ร่วมทำบุญบูชา ชุดเก่าตะกรุดดอกครูนามธรรมบุญหนุนส่งวาสนานำพา(เอื้อบุญ) พ่ออาจารย์พล

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย คุรุปาละ, 12 ตุลาคม 2014.

  1. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,111
    ค่าพลัง:
    +16,530
    พูดคุยรอบเช้า

    อรุณสวัสดิ์ครับ พอดีไปเจอบทความดีๆจากหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ก็เอามาให้อ่านกัน หลักๆเลยคือเค้าสรุปเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ได้ดี ที่สำคัญต้องเน้นการปฏิบัติจริงด้วยตัวเอง อย่าไปฟังคนอื่นมาก


    .....มีแต่จิต สมาธิ ศีล และปัญญาเท่านั้นที่ต้องหมั่นฝึกรักษาและปฏิบัติกัน จึงจะเป็นคุณวิเศษที่แท้จริง ฝึกจิตต้องเริ่มที่กรรมฐาน เพื่อให้จิตมีพลัง โดยเราให้จิตเป็นเครื่องรู้จิตและความคิด ให้จิตเป็นเครื่องระลึกรู้ เมื่อกรรมฐานไม่แน่ อยู่กับลมหายใจ ก็ไม่แน่นพอ ติดขัด ผิดจังหวะ ลมหายใจขาดหาย เพราะถ้าจิตที่ตามอยู่มีการหลุด จิตมันก็ไม่มีแรง มันก็รักษาสติไว้ไม่ได้นาน ก็ต้องตกภวังค์จนหลับไปไม่ได้อะไร คำว่าหลับ รู้มันหลบ ถ้าเพื่อว่ารู้อยู่ว่าไม่มีอะไรให้รู้ เรียกว่าสมถะ คือตามรู้ไปเรื่อยๆ จนเริ่มไม่มีอะไรให้รู้ เรียกว่ารู้ว่าง นี่เป็นสมาธิขั้นสมถะ ฝึกฝนจิตให้มีกำลัง พอจิตมันมีกำลังแล้ว เมื่อจะรักษาศีลก็ไม่หลงผิดศีลได้ง่าย

    เมื่อปัญญาเกิดก็สามารถครองสติเจริญปัญญาไว้ได้นาน แต่ถ้าเพื่อว่ารู้ก็หายไป อะไรก็วูบหายไปหมด มันก็จะหลับไปในที่สุด แต่ความที่รู้มันไม่หายไปก็เพราะกรรมฐานมันแน่นและถูกฝึกมาอย่างดี เช่นว่า อยู่กับลมหายใจก็อยู่กับลมหายใจตลอด เห็นชัดเจนว่าลมหายใจเข้า-ออกไม่ขาดตอน อยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งตัวรู้กับลมหายใจนี้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่พรากจากกัน รู้กับลมหายใจเป็นอันเดียวกัน มันก็จะพาเราออกจากความคิดออกมา ทีนี้พอมันพาออกจากความคิดออกมาได้ รู้มันก็จะเริ่มรู้ว่าไม่มีอะไรให้มันรู้ มีแต่ว่างให้มันรู้ แต่รู้มันยังอยู่ มันก็เลยเป็น "อาการรู้ว่าง" ซึ่งว่างแบบนี้ก็ถือเป็นสมาธิขั้นสมถะกรรมฐาน ถ้าว่างจนเข้าติดลึกนานๆ รู้มันจะรู้ว่างอย่างเดียว ไม่มีอะไรให้รู้เลย มีแต่สภาวะปีติ มีสุขอยู่ แต่ไม่มีเรื่องราวอะไรให้มันรู้ มันก็เลยมีอาการคล้ายว่าติดว่าง

    คนที่ทำสมาธิขั้นนี้แล้วติดว่างก็มีเยอะ แต่ถามว่าเก่งมั้ย ใช้ได้หมดทุกคน เพราะขนาดคนปฏิบัติยังต้องใช้เวลาและความเพียรยาวนานมากกว่าจิตจะสามารถพรากจากดงความคิดออกมาได้ ให้ถึงสมถะขั้นจิตว่างนี้ได้ก็ยังทำกันได้ยาก เพราะคนมันยังติดทุกข์ติดสุขอยู่ ยังมีเรื่องวุ่นวายในหัวไม่รู้จบ ตั้งแต่เกิดจนแก่จนตาย จิตมันเลยสงบไม่ได้ง่ายๆ เมื่อเครื่องรู้มันไม่แน่น ทำได้ยาก เขาบอกให้อยู่กับลมหายใจก็อยู่ ได้พักเดียว ก็มีความคิดเข้ามาแทรกอีก ดูลมหายใจกลับไปกลับมา ก็ทำไม่ได้นาน พอสมาธิไม่แน่นก็ก้าวสู่ลักษณะอาการ เข้าสมาธิที่เป็นธาตุรู้จริงๆ ไม่ได้

    ธาตุรู้ที่สัมผัสไม่ได้จริงมันก็ไม่เจอสมาธิ พอไม่เจอสมาธิเสร็จเราก็อยู่ในสภาวะปกติของจิต จิตตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งความคิด อยู่ภายใต้การครอบงำของความคิด พอจิตอยู่ภายใต้การครอบงำของความคิด อาการอย่างนี้ตัวจิตมันก็จะไม่เกิดปัญญาที่รู้แจ้งได้ แต่ถ้าเผื่อว่ามันหยุดความคิดได้ จิตออกจากความคิดได้เสร็จ จิตตัวนี้มันจะเริ่มรู้ และแจ้งโลกแจ้งธรรมขึ้นมา ตรงนี้ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนก่อนตั้งแต่ตอนแรก คือต้องให้รู้แจ้งเห็นจริงก่อน พอรู้แจ้งเห็นจริงแล้ว หลายคนเรียกอาการตรงนี้ว่าภูมิวิปัสสนา คืออยู่ๆ มันก็รู้ด้วยตัวของมันไป แต่มันไม่ได้รู้ด้วยอำนาจของความคิดนะ มันรู้ของมันไปทุกเรื่องจากสภาวะข้างใน

    แต่เราจะถึงสภาวะปัญญารู้แจ้งตรงนี้ไม่ได้เลยถ้าเรารักษาสภาวะไว้ไม่ได้ จึงต้องฝึกฝนอบรมจิต ให้สมถะนั้นแข็งแรงพอที่จะเจริญสภาวะจนเกิดปัญญา จิตวิญญาณหรือธาตุรู้ตามแต่ใครจะเรียกกัน แท้ที่จริงก็คือตัวจิตนั้นที่เป็นพลังงานของชีวิตเราจริงๆ นี้แหละ ผู้ที่เข้าถึงสภาวะแห่งปัญญาจากภายในจิตจึงจะเห็นว่าความเดิมแท้ของจิตนี้มันเป็นเช่นไร

    เมื่อเกิดรู้จากภายในได้อย่างนี้โดยไม่มีความคิดครอบงำแล้ว รู้ตัวนี้แหละมันจะไปรู้ธรรมรู้โลกและเข้าใจโลกอย่างแท้จริง และละวางโลกนี้ได้ด้วยตัวมันเองโดยไม่ต้องคิด อย่างเรานี้ ถ้าเรายังทำไม่ได้ถึงสภาวะนี้ สิ่งที่เรารู้มันยังไม่จริงมันยังรู้ในความคิดอยู่ พอจะว่างมันก็ปล่อยวางไม่ได้จริง ยิ่งปล่อยยิ่งทุกข์ ยิ่งวางยิ่งไม่มีความสุข เพราะมันเป็นเพียงจินตนาการ มิใช่สภาวะ ฟังธรรม อ่านหนังสือ มันก็รู้อย่างนี้แล้วจินตนาการเอา ไม่ได้รู้จากสภาวะภายใน จึงยังไม่รู้แจ้ง รู้แจ้งมันรู้ของมันเอง อบรมสมาธิก็ต้องให้ได้ตรงนี้ ถ้าไม่ได้ตรงนี้ก็จะติดอยู่แค่นึกเอา อยากเห็นอะไร อยากรู้อะไร ก็นึกกันไป จินตนาการเอา

    เหมือนเราจะไปเชียงใหม่ ก็ไปฟังคนเล่าเรื่องเชียงใหม่ให้ฟัง และก็อ่านหนังสือ ดูเว็บไซต์ว่าเชียงใหม่เป็นอย่างไร แล้วเราก็จินตนาการว่าเชียงใหม่หน้าตาเป็นอย่างไร แต่ยังไม่เคยถึงเองเลย เขาบอกว่าบรรยากาศดี ดอกไม้สวย เราก็ต้องจินตนาการไป แต่การปฏิบัตินี้มันถึงที่นั้นเลยไม่ต้องจินตนาการ เพราะถ้าเราถึงเชียงใหม่แล้วเราไม่ต้องให้ใครมาบรรยายว่าเชียงใหม่เป็นยังไงอีก การจินตนาการกับถึงเองมันก็ผิดกัน ตอนที่เราไม่เข้าใจธรรม เราก็จินตนาการว่าธรรมนั้นเป็นอย่างไร ตีความเข้าใจจากที่ได้ยิน ได้เห็นมา แต่เมื่อถึงวันที่เราถึงธรรมนั้นจริงๆ เหมือนถึงเชียงใหม่นั้นแหละ เราถึงเข้าใจธรรมที่แสนธรรมดาได้อย่างลึกซึ้งและมีค่าอย่างแท้จริง นี่แหละปัญญารู้แจ้ง
     
  2. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,111
    ค่าพลัง:
    +16,530
    ใครจะฝากคำถามอะไรก็ PM ไว้นะครับ ของเก่าผมตอบครบแล้ว;)
     
  3. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,111
    ค่าพลัง:
    +16,530
    วันนี้ตอบไลน์และPM ครบนะครับ ใครจะฝากอะไรก็ PM ไว้นะ
     
  4. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,111
    ค่าพลัง:
    +16,530
    อรุณสวัสดิ์ครับ

    พอดีวันนี้มีธุระด่วน ขอเลื่อนการส่งของเป็นวันพรุ่งนี้นะครับ อันนี้ก็ขออภัยจริงๆ ส่วนทางกระทู้นั้นใครจะฝกคำถามอะไรก็ PM ไว้ หรือโทรมาและแอดไลน์มาก็ได้ ที่เบอร์ 0948866245 ;)
     
  5. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,111
    ค่าพลัง:
    +16,530
    เดี๋ยวรอบเย็นจะลงสาระความรู้ให้ ติดตามกันนะ
     
  6. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,111
    ค่าพลัง:
    +16,530
    พรุ่งนี้ส่งของให้นะครับ ;)
     
  7. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,111
    ค่าพลัง:
    +16,530
    ทำไมต้องเป็นตะกรุดโสฬสมงคล

    วันนี้จะนำข้อมูลทั่วไปมาให้อ่านกันก่อนจะบรรยายเชิงลึกลงไปอีกหน่อยในคราวหลัง เกี่ยวกับวิธีการทำตะกรุดโสฬสแท้ๆตามตำรับหลวงปู่เอียม วัดสะพานสูง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่ายันต์โสฬสยังมีการทำอยู่ แต่การสร้างและเสกตะกรุดโสฬสจริงๆแบบที่หลวงปู่เอี่ยมทำนั้น ไม่มีใครนิยมเสียเวลาเพื่อที่จะทำให้เต็มสูตรตามที่หลวงปู่ท่านทำกันแล้ว จึงมีแต่ได้รูปยันต์ซึ่งสร้างแบบไม่เต็มกระบวนการเท่านั้น วันนี้ก็มาทำความรู้จักข้อมูลทั่วไปคร่าวๆกันก่อนนะครับ


    "ยันต์" (cabalistic writing) เป็นคำโบราณ เข้าใจว่ามีพัฒนาการมาจากคำว่า "ยนต์" สมัยก่อนมีการผูกหุ่นพยนต์ คือเสกหุ่นฟางให้กลายเป็นคน หรือเสกเรือสำเภายนต์ ซึ่งทำจากหญ้าฟางให้แล่นไปมาได้ทั้งในน้ำและบนบก ทางเหนือมีการลงอักขระในช่องสี่เหลี่ยมไว้หน้าเรือนนอนลูกสาวก้นไอ้หนุ่มที่มีคาถาอาคมแอบเข้าไปทำมิดีมิร้ายถ้ารอดเข้าไปอาคมทางไม่ดีจะเสื่อมรู้จักเรียกกันว่า "หำยนต์" ส่วนใหญ่จะหมายถึงการทำให้สิ่งไม่มีชีวิตเกิดการเคลื่อนไหวตามใจปรารถนาเป็นรากเหง้าแห่งคำว่า "ภาพยนตร์" ซึ่งเมื่อก่อนเรียก "หนัง" (มาจากหนังใหญ่ หนังตะลุง) เครื่องยนต์ กระทั่ง รถยนต์ ในปัจจุบัน

    ยันต์ เป็นการจาร จารึก หรือเขียนอักขระโบราณลงบนวัสดุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นเงินแผ่นทองแผ่นโลหะอันเป็นมงคล และใช้จารหรือสักลงบนร่างกายของมนุษย์เพื่อแสดงกลุ่มชาติพันธุ์หรือความเป็นหนุ่มพร้อมจะรับผิดชอบมีครอบครัว เช่น การสักยันต์ของกลุ่มชาวลาวพุงดำ คือสักตั้งแต่พุงลงไป เกจิคณาจารย์จะได้รับการถ่ายทอดวิชาการลงอักขระเลขยันต์สืบต่อกันมา โดยเชื่อว่ายันต์แต่ละอย่างมีพุทธคุณช่วยให้เกิดความเป็นสิริมงคลในลักษณะต่างๆ ซึ่งการลงอักขระเลขยันต์นั้น เป็นตำราเฉพาะของแต่ละอาจารย์บางครั้งเป็นการสักด้วยหมึกดำ บ้างเป็นการสักน้ำมัน ซึ่งจะไม่เห็นรอยสัก

    สำหรับยันต์ในประเทศไทยนั้น ได้รับอิทธิพลจากการเขียน "ติลก" (Tilok) ซึ่งเป็นเครื่องหมายบูชาเทพเจ้า โดยเฉพาะพระศิวะ และพระนารายณ์ จากอินเดียโดยเขียนไว้บนหน้าผาก ภายหลังเขมรรับเอาทั้งพราหมณ์และพุทธมหายานเข้าไปการเขียนยันต์เลยแพร่หลายเข้าสู่สยามในเวลาต่อมา

    ในจำนวนยันต์ทั้งหมด ยันต์โสฬสมงคลและยันต์มหาโสฬสมงคลจัดเป็นยันต์ชั้นสูง ทำเป็นตัวเลข ๓ ชั้น ชั้นนอกลงด้วยเลข ๑๖ ตัว (โสฬส แปลว่า ๑๖ ชั้นฟ้า มีความหมายถึงภูมิชั้นอรูปภูมิอันเป็นถิ่นที่อยู่ของพระพรหมทั้ง ๑๖ ชั้น และหมายถึงพระพุทธคุณแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑๖ ประการ) พระมหายันต์นี้ปรากกฏหลักฐานในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงตั้งศาลหลักเมืองโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญยันต์มหาโสฬสมงคลประดิษฐานไว้ที่ส่วนยอดเพื่อนำความเจริญรุ่งเรืองและมหามงคล ณ เสาหลักเมือง

    พระยันต์นี้แม้แต่สมเด็จพระสังฆราชแพ วัดสุทัศนฯ กรุงเทพฯ ผู้เจนจบในพระยันต์ร้อยแปด ทรงพิจารณาแล้วเห็นว่ายันต์โสฬสมงคลเป็นยันต์อันวิเศษสุดกว่ายันต์ทั้งปวง พระองค์ได้นำไปประทับในพระอุโบสถของวัดสุทัศนฯ และเขียนสอดใส่ไว้ใต้หมอนหนุนศีรษะตลอดเวลา จนกระทั่งท่านมรณภาพเมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๗ ลูกศิษย์ลูกหาจึงได้พบแผ่นยันต์วางใว้ใต้หมอนของท่าน และหลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม แห่งวัดสะพานสูง ได้อัญเชิญไปดัดแปลงจัดสร้างเป็นตะกรุดโสฬสอันลือลั่น

    ยันต์โสฬสมงคลเป็นมหายันต์ที่เกิดจากการนำเอายันต์ ๓ ชนิดมารวมกันไว้ โดยใช้ตัวเลขแทนด้วยความหมายมงคลต่างๆ จากภาพ ตรงกลางช่องเล็ก ๙ ช่อง คือ ยันต์ จตุโร ถัดมาวงกลาง เป็นยันต์สูตรตรีนิสิงเห และด้านนอกสุดเป็น ยันต์ อริยสัจโสฬส จากนั้นอักขระด้านนอกที่ล้อมยันต์อยู่ คือ พระคาถาบารมี ๓๐ ทัศ

    พระยันต์นี้มิได้มีบังคับการลงยันต์ด้านหลังไว้ ฉะนั้นการลงยันต์ด้านหลังตะกรุดก็แล้วแต่พระเถราจารย์ท่านจะลง ในสายวัดสะพานสูง จะลงไตรสรณคมแบบย่อ อ่านว่าว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ฯ หากลงเต็ม จะนำเอาบทอิติปิโส ๓ ห้อง มาผูกลงในตารางกระดูกยันต์ ซึ่งถือเป็นพิธีลงยันต์ใหญ่ที่ยิ่งใหญ่และลงยากมาก

    ส่วนยันต์โสฬสมหามงคล รอบนอกใช้พระคาถาจตุราวุธ ประกอบด้วย ด้านซ้าย อาวุธอาฬะวะกะยักษ์ มีบ่วงเป็นอาวุธ ด้านขวา อาวุธยะมะราชา มีนัยน์ตาเป็นอาวุธ ด้านบน อาวุธพระอินทร์ มีสายฟ้าเป็นอาวุธ ด้านล่าง อาวุธท้าวเวสสุวัณ มีคทาเป็นอาวุธ


    image.jpg
     
  8. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,111
    ค่าพลัง:
    +16,530
    อจินไตย

    อรุณสวัสดิ์นะครับ วันนี้ก็จะมาพูดถึงความหมายของสิ่งอันเป็นอจินไตยต่างๆ ที่หลายๆคนยังคิดและสงสัย ถึงแม้จะเป็นสิ่งไม่ควรคิดก็ตาม ก็ติดตามกันนะครับ เดี๋ยววันนี้จะลงเรื่องตะกรุดโสฬสต่อ

    อจินไตย คือ สิ่งที่ไม่ควรคิด หรือหมายถึง สิ่งที่ไม่มนุษย์ทั่วไปไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญปุถุชนธรรมดา


    อจินไตยมี 4 อย่างได้แก่


    1. พุทธวิสัย
    พุทธวิสัย หมายถึง วิสัยแห่งความมหัศจรรย์และความรู้ความสามารถของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย


    2. ฌานวิสัย
    ฌานวิสัย หมายถึง วิสัยแห่งอิทธิฤทธิ์ของผู้มีฌาน ทั้งมนุษย์และเทวดา ซึ่งสามารถเข้าฌานนั่งอยู่เฉยๆได้เป็นวันๆ โดยที่ไม่ต้องกินข้าวไม่ต้องหลับไม่ต้องนอน และไม่มีอาการเมื่อยขบแต่อย่างใด


    3. กรรมวิสัย
    กรรมวิสัย หมายถึง วิสัยของกฎแห่งกรรมและวิบากกรรม คือการให้ผลของกรรมที่สามารถติดตามไปได้ทุกชาติ รวมถึงเรื่องการรับรู้ความเป็นมาของตนในชาติภพต่างๆ


    4. โลกวิสัย
    โลกวิสัย หมายถึง วิสัยแห่งโลก คือการมีอยู่ของสวรรค์ นรก และสังสาระวัฏ รวมถึงเรื่องความเป็นมาของโลกว่าเกิดเมื่อไหร่ เกิดอย่างไร เป็นต้น


    ในทางพุทธศาสนาถือว่าเรื่องอจินไตย เป็นเรื่องที่เกินกว่าสามัญชนคนธรรมดาอย่างเราๆจะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ เป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง จนบางครั้งเกินกว่าสติปัญญาของคนทั่วไปจะเข้าใจได้ คิดมาก อยากรู้มาก จะทำให้เป็นบ้าได้ แต่อจินไตยนี้สามารถรับรู้ได้ด้วยการบรรลุธรรมขั้นสูงเท่านั้น


    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า…
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการนี้ อันบุคคลไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน อจินไตย ๔ ประการเป็นไฉน
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑ ฌานวิสัย ของผู้ได้ฌาน ๑ วิบากแห่งกรรม ๑ ความคิดเรื่องโลก ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการนี้แล ไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน ฯ
     
  9. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,111
    ค่าพลัง:
    +16,530
    วันนี้ส่งของนะครับ ;)
     
  10. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,111
    ค่าพลัง:
    +16,530
    วันนี้ส่งของให้ครบแล้วนะครับ เดี๋ยวรอบเย็นจะกลับมาพิมพ์หมาบเลข EMs ให้อีกทีหนึ่ง;)
     
  11. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,111
    ค่าพลัง:
    +16,530
    แจ้งการส่ง EMS
    พี่ศิระ ET 5621 1299 0 TH

    พี่แมน ET 5621 1300 6 TH

    พี่ฐิตกาญจน์ ET 5621 1301 0 TH

    พี่ชวภณ ET 5621 1302 3 TH

    พี่กฤษฏ์กุญช์ ET 5621 1303 7 TH

    พี่วิชัย ET 5621 1304 5 TH

    พี่นฐมน ET 5621 1305 4 TH
     
  12. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,111
    ค่าพลัง:
    +16,530
    เดี๋ยวมาติดตามกันนะครับ กับความลับเกี่ยวกับตะกรุดโสฬส ว่าแตกต่างอย่างไร หรือไม่มีใครทำแล้วจริงๆมั๊ยนับแต่หลวงปู่เอี่ยมลงมา ทำไมถึงเป็นยอดตะกรุด ซึ่งกว่าจะมาเป็นตะกรุดโสฬสนั้นไม่ง่ายเลย
     
  13. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,111
    ค่าพลัง:
    +16,530
    ตะกรุดโสฬส
    โสฬะสะมังคะลัญเจวะ นะวะโลกุตตะระธัมมะตา จัตตาโรจะมหาทีปาปัญจะพุทธามหามุนี ตรีปิฏะกะธัมมักขันธา ฉะกามาวะจะราตะถาปัญจะทัสสะกะเวสัจจัง ทะสะมังสีละเมวะจะ เตรัสสะธุตังคาจะปาฎิหารัญจะทะวาทัสสะ เอกะเมรุจะ สุราอัฎฐะ ทะเวจันทังสุริยังสัคคาสัตตะโพชฌังคาเจวะ จุททัสสะจักกะวัตติจะ เอกาทะสะวิสะณุราชาสัพเพเทวา สะมาคะตา มังรักขันตุ ปะลายังตุ เตสัพพะทา เอเตนะ มังคะละเตเชนะ สัพพะโสตถี ภะวันตุ เม ฯ

    กล่าวให้ปรากฏ อุปเทห์โสฬส บันดาลชายหญิง ภาวนาทีหนึ่ง สองทีดีจริง สิบแปดทีดียิ่งมีผลานิสงค์ ชักลูกปะคำ ร้อยแปดเลิศล้ำ ให้ได้คาบทรง คงเกิดส่วนบุญ มีผลานิสงค์ พบแล้วอย่างง ไม่พบเร่งหา ผู้ใดไม่พบ บุญน้อยถอดถด เสียชาติเกิดมา เป็นคนขัดสน มืดมนต์หนักหนา พบแล้วท่านว่า ภาวนาประจำ เหมือนได้ดวงแก้ว แถมทองผ่องแผ้ว กุศลชักนำ สิ่งใดปรารถนา ภาวนาเช้าค่ำ กุศลเลิศล้ำ ประมูลพูนมา กันอุบาทว์จัญไร กันทั้งโรคภัย ปรากฏคาถา กลับจิตคิดเห็น เห็นอนัตตา มิอาจมาทำลายตัวเรา ภาวนากันภัย หัวค่ำที่หนึ่ง ประจำเที่ยงคืน และย่ำรุ่งเป็นสามที เกิดสวัสดี มีลาภทุกประการ อาหารการกิน ปรีเปรมเกษมสันต์ ภาวนาสามถึงเจ็ด เป็นสำเร็จการ เช้าค่ำสำราญ กว่าคนทั้งหลาย อายุวัณโณ บรมสุขโข ภัญโญทั้งปลาย ถ้าไฟไหม้มา ให้เสกข้าวสาร สาดหว่านหลังคา ลมพาพัดหวน อย่าได้สงกา ฝนตกลงมา ภาวนาป้องกัน ถ้าจะขายของ เสกน้ำประพรม สินค้าสารพัน ระบือลือลั่น พากันเข้ามา ค้าเรือเหนือใต้ เขียนคาถาไว้ แผ่นกระดาษปรารถนา เสกด้วยตัวเอง ปิดหัวนาวา นำของสินค้า ขายมีกำไร เป็นความเสกน้ำ ล้างหน้าทาแป้ง เสกเครื่องแต่งตน เสกหมากอย่านาน กินแล้วยาตรา ทืบเท้าสามที แปลกายบ่ายสู่ คู่ความตามที่ เป่าพ่นอย่าหนี พุ่งพล่านต้องเวทย์ มนต์คาถาพลัน ให้ภาวนา เสกน้ำล้างหน้า กันทั้งคุณไสย อุบาทว์จัญไร อัคคีโจรภัย ตามความปรารถนา....ฯ

    เกี่ยวกับตะกรุดโสฬสนั้น พ่ออาจารย์ท่านว่าก็มีหลายพระยันต์ หลายสาย หลายตำรา แต่ถ้าจะเอาให้แน่นอนที่สุดก็ต้องสายหลวงปู่เอี่ยมนั้นเอง ซึ่งมีชุดอักขระบังคับต่างๆเรียกได้ว่ามีคุณครบทุกด้าน ทำให้มีคนขวนขวายหาตะกรุดหลวงปู่เอี่ยมของแท้ๆในราคาหลายแสนบาทก็ไม่ผิด

    เนื่องด้วยการลงตะกรุดโสฬสนั้นต้องใช้สูตรเฉพาะของวัดสะพานสูงซึ่งเรียกได้ว่ามีความพิศดารมาก มีคาถากำกับในแต่ละขั้นตอน ลงเลขก็ต้องท่องคาถาเช่น 16 ก็ต้องภาวนาโสฬสมังคลัญเจวะตามด้วยพระเจ้าสิบหกพระองค์ มีสูตรในการชักยันต์ที่ว่าชินะวะจะนะ ยุตตังหิแตกต่างจากสูตรชักยันต์ทั่วๆไป แม้ในเลขยันต์อื่นๆแต่ละตัวก็มีคาถากำกับทั้งสิ้น ไม่ว่าจะตัวล้อมบารมีสามสิบทัศน์ก็ล้วนมีคาถากำกับ ทั้งพุทธคุณห้าสิบหกหรือไตรสรณคมก้ต้องลงตามสูตรรัตนมาลาเรียกสูตรแบบเต็มกระบวนครบถ้วน และยังมีสูตรวิธีการลงอีกมากที่พ่ออาจารย์บอกว่ามันไม่ใช่แค่การเขียนตะกรุด กว่าจะได้ตะกรุดโสฬสที่มีคุณภาพสูง แบบที่หลวงปู่เอี่ยมทำไว้จริงๆนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย

    สุดท้ายก็คือวิธีการเสก พ่ออาจารย์ท่านว่าตรงนี้นี่เองที่ทำให้ตะกรุดโสฬสแบบที่หลวงปู่เอี่ยมเคยทำนั้น ไม่ค่อยมีใครจะกระทำกันแล้วในกาลบัดนี้เพราะมันไม่ใช่แค่เพียงการเขียนตะกรุดแบบที่ทำมากันทั่วๆไป เนื่องจากการจะสำเร็จตะกรุดนั้นต้องใช้ความเพียรกอปรด้วยวิริยะอุตสาหะอย่างมาก โดยการเสกให้สำเร็จนั้นต้องใช้โองการมหาทมืนว่าดังนี้
    โอม นะโมพุทธายะ กูจะกล่าวกำเนิดเกิดพระมหาทะมื่น กูจะโยนตัวกูขึ้นไปเป็นกง
    ไม้ไร่ก็หักแหลกเป็นผุยผงทั่วทั้งเมืองสกลชมภู กูจะรำลึกถึงครูกู ใครจะสู้กูก็มิได้ ครูกูจึงให้กูเล่าพระคาถาว่า

    พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ภะคะวา ไชยะมังคะลัง อะระหัง สุคะโต นะโมพุทธายะ วันทะนัง ปาสุอุชา อิสะปะมิ พุทธะสังมิ อิสะวาสุ นะมะอะอุ อิกะวิติ วิสุทธิเสฏโฐ อะสังวิสุโลปุสะพุภะ อะระหัง สุคะโต ภะคะวา สังวิธาปุกะยะปะ อาปามะจุปะ ทีมะสังอังขุ ทุสะมะนิ สะธะวิปีปะสะอุ ทุสะนะโส จิเจรุนิ ตันนิพุทติง
    นะมะนะอะ นอกอนะกะ กอออนออะ นะอะกะอัง ตัตถุมะถะ อุมะอะยัง จิปิเสคิ คิเสปิจิ กันหะเนหะ นิระมะหะสะตัง จะภะกะสะ นะมะพะทะ กะระมะถะ จะอะภะคะ นะมะกะยะ สุสิโม พุทโธ ภะคะวา สุสิโม ธัมโม ภะคะวา สุสิโม สังโฆ ภะคะวา โลกะนาโถ มะหิทธิโก นาสังสิโม ยะถาพะลัง จังงังเหยหาย

    เตชะครูบาธิยาย จึงให้เป็นกำแพงเพ็ชรทั้ง ๗ ชั้น กันตนกู คือ พระวิภังค์ พระสังคินี พระปรมัตถ์ อัตถาจาริยเจ้า จึงให้คงแก่ หอกดาบ แหลนหลาว ธนู ธน้า ทั้งหน้าไม้ ปืนไฟ อย่าได้ต้องตัวกู เพชรคง คงแก่หอกเหล็ก หอกหล่อ หอกข้อเงิน หอกข้อทอง หอกสัมฤทธิ์ กริชทองแดง คงแก่แสงฟ้าผ่าวัง คงทั้งข้างซ้าย คงทั้งข้างขวา คงทั้งข้างหน้า คงทั้งข้างหลัง คงทั้งนั่ง คงทั้งยืน คงทั้งหลับ คงทั้งตื่น คงทั้งกลางคืน คงทั้งกลางวัน ตรีเพ็ชรคงคงสวาหะ

    อมเอิกเกริกไตรภพ ตลบบาดาล เหาะทยานบนอากาศ หมู่อสูรขยาดมืดมัวกลัวกูอยู่ระย่อ ฤๅษีเร้นซุกซ่อนนอนหลับอยู่กลางป่า ทั้งขโมดมายาทะยานเหาะมาช่วยกู หนุมานหลานพระวายุบุตร สัประยุทธ์ด้วยอินทรชิต ประสิทธิสรรพางค์ล้างมาร มัดตนได้เอาไปถวายแก่ราพย์เจ้ากรุงลงกา หมู่อสูรยักษาจะฆ่ากูก็บ่มิตาย ด้วยเดชะพระนารายณ์จุติลงมาบังเกิด นะโมพุทธายะ ตรีเพ็ชรคงคง

    อิติปิ โส ภะคะวา เกศา ผมอยู่ทั่วไปในกายตนกู คงตรีเพ็ชรคงคง
    อิติปิ โส ภะคะวา โลมา ขนอยู่ทั่วในกายตนกู คงตรีเพ็ชรคงคง
    อิติปิ โส ภะคะวา ตะโจ หนังหุ้มห่อตนกู คงตรีเพ็ชรคงคง
    อิติปิ โส ภะคะวา มังสัง เนื้ออยู่ทั่วในกายตนกู คงตรีเพ็ชรคงคง
    อิติปิ โส ภะคะวา นหารู เอ็นอยู่ทั่วในกายตนกู คงตรีเพ็ชรคงคง
    อิติปิ โส ภะคะวา อัฐิ กระดูกอยู่ทั่วในกายตนกู คงตรีเพ็ชรคงคง

    คงด้วยนะโมพุทธายะ พุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา บิดารักษา มารดารักษา พระอินทร์รักษา พระพรหมรักษา ครูบาอาจารย์รักษา อิมัง กายาพันธะนัง อะธิฏฐามิฯ

    พ่ออาจาย์ท่านว่าการเสกตะกรุดโสฬสด้วยวิธีของหลวงปู่เอี่ยมนั้นที่ว่ายาก ไม่ใช่เพราะโองการนั้นยาก แต่เป็นเพราะเมื่อจะสำเร็จ ต้องภาวนาโองการมหาทะมืนถึงหนึ่งหมื่นจบให้ครบตามครูสั่ง

    ดังนั้นการจะเสกให้ครบหนึ่งหมื่นจบจึงไม่ใช่ใช้เวลาแค่วันสองวันแต่มันต้องว่ากันเป็นเดือน เป็นปี ทำทีก็ต้องตั้งหัวหมูบายศรีเชิญครูหาฤกษ์หาวันที่มีกำลังเสก กว่าจะได้ตะกรุดแต่ละดอกนั้น ท่านว่ายากนักหนาจึงต้องลงไว้ให้ครบจำนวนและเสกจนสำเร็จ เช่นนี้แล้วก็ไม่แปลกอันใดที่จะเป็นตะกรุดอันดับหนึ่ง เพราะวิธีการลงการเสกนั้นมีความพิศดารและยังยากที่จะหาใครมาเสียเวลาทำให้ได้ตามกฏเกณฑ์

    แต่เมื่อพ่ออาจารย์ท่านตั้งใจทำ ที่ว่ายากท่านก็ทำ..... อันนี้ก็ให้ติดตามกันต่อไป ท่านว่าทำไว้ให้ใช้ชั่วลูกสืบหลาน ทำสิ่งที่เป็นตำนาน กระทำได้ยากให้เป็นตำนาน
    ต่อไป

    619172-img-1339390725-1.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2017
  14. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,111
    ค่าพลัง:
    +16,530
    เสาร์นี้ติดตามกิจกรรมที่ประกาศค้างไว้กันนะครับ ;)
     
  15. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,111
    ค่าพลัง:
    +16,530
    แจ้งการส่ง EMS
    พี่สรวุฒิ ET 5620 5262 0 TH

    พี่การัณยภาส ET 5620 5263 3 TH
     
  16. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,111
    ค่าพลัง:
    +16,530
    มีคนถามถึงเรื่องตะกรุดโสฬสกันมามาก หลายคนขอจองทั้งที่ยังไม่รู้อะไร ตรงนี้ผมเกรงว่าจะเลยเถิดไปถ้าไม่บอกอะไรก่อนซักเล็กน้อย ว่าความพิเศษของตะกรุดโสฬสนั้น จริงอยู่ว่าในเครื่องมงคลองค์นี้นับว่าพิเศษจริงเพราะมีตะกรุดโสฬสเก่าที่พ่ออาจารย์ท่านย่ออักขระกระทำอย่างเต็มสูตรลงจารไว้แถมตะกรุดชุดนี้ยังได้บารมีหลวงพ่อฤาษีอธิษฐานจิตให้อีกวาระหนึ่งด้วย นอกจากนั้นที่พิเศษยิ่งไปกว่าตะกรุดก็คือพิมพ์พระที่หาดูที่ไหนไม่ได้ เป็นพระพิมพ์ที่มีความหมายลึกซึ้งอย่างมาก ด้วยท่านทำตามครูสั่งเป็นพิมพ์...อย่างไรอันนี้ต้องติดตาม แถมชุดนี้ท่านทำวิชาพิเศษฝังเหรียญหล่อพระอัคนีด้วย อันนี้ให้ติดตามกันห้ามพลาด
     
  17. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,111
    ค่าพลัง:
    +16,530
    พรุ่งนี้จะยกเรื่องเหรียญหล่อพระอัคนีมาคุยกันนะครับ ต้องติดตามๆเพราะว่าไม่เหมือนใครจริงๆ เป็นของสำคัญอย่างมาก เนื่องจากท่านว่าเกี่ยวข้องกับประกายไฟแห่งชีวิตและพลังงานสวรรค์ที่อยู่ในตัวมนุษย์
     
  18. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,111
    ค่าพลัง:
    +16,530
    พรุ่งนี้ติดตามกันนะครับ ....
     
  19. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,111
    ค่าพลัง:
    +16,530
    พระอัคนี

    พระอัคนี เป็นเทพแห่ง ไฟ ทรงเป็นหนึ่งในเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ในยุคแรก และทรงเป็นคู่แข่งสำคัญของ พระอินทร์ อย่างไรก็ตาม พระองค์ก็มีตำนานที่น่าเคารพมากมายเช่นเดียวกับพระอินทร์ ถือกันว่า ไฟ เกิดขึ้นได้ก็มาจากการเสียดสีของสิ่ง 2 สิ่ง ดังนั้นไฟจึงถือว่าเป็นบุตรของ โลก (พระนาง ปฤถวี) และ สวรรค์ (พระทโยส : Dyaus) และเป็นพระอนุชาของพระอินทร์ ทรงโปรดเสวยน้ำเนยใสเหมือนพระอินทร์ ทรงโปรดน้ำโสม พระองค์จึงมีพระชิวหา (ลิ้น) ถึง 7 ชิวหา เพื่อใช้เลียเนยที่ละลายจากการบูชายัญไฟ ซึ่งแต่ละชิวหามีชื่อประจำ พระอินทร์เป็นผู้ให้ชีวิต และพระอัคนีเป็นสัญลักษณ์ของการจุดประกายที่สำคัญ ซึ่งเป็นรากฐานแห่งชีวิตมนุษย์ สัตว์ รวมถึงพืช ต้นไม้

    พระอัคนีทรงเป็นอมตะ เป็นผู้ริเริ่มพิธีบูชายัญ พระองค์ทรงเป็นต้นแบบของพราหมณ์ เป็นสื่อกลางระหว่างพระเจ้าและมนุษย์ เป็นผู้สื่อสารของพระเจ้า โดยการไปเยี่ยมมนุษย์ในพิธีบูชายัญ และจะเป็นผู้อัญเชิญเทพเจ้ามายังสถานบูชา

    ตำนานการเกิดของพระองค์บ้างก็กล่าวว่า พระองค์ทรงเป็นเทพแห่งปฐพี ซึ่งมี พระวายุ หรือ พระอินทร์ เป็นเทพแห่งลม และพระสุริยะเป็นเทพแห่งท้องฟ้า กระนั้นยังกล่าวว่าพระอัคนี ทรงเป็นเทพทั้ง 3 โลก และเป็นหัวหน้าเทพทั้งสอง มืเรื่องเล่าอีกว่า พระองค์ทรงประสูติใหม่ถึง 3 ครั้ง คือ พระองค์ทรงประสูติเป็นพระอาทิตย์ในสวรรค์ หรือบางครั้งก็ทรงประสูติเป็นเปลวเพลิงแห่งพระอาทิตย์ ครั้งที่ 2 พระองค์ประสูติบนโลกมนุษย์ โดยการจุดไฟของพราหมณ์และมนุษย์ในพิธีบูชาไฟ ซึ่งทำให้เกิดความอบอุ่น ช่วยปกป้องและบำรุงเลี้ยงในรูปของที่ตั้งเตาไฟ ซึ่งควันไฟจะลอยขึ้นไป กลายเป็นเมฆในชั้นบรรยากาศอีกครั้ง พระองค์จึงสามารถเข้าไปสัมผัสสำรวจในทุกรูปการณ์ได้ และได้รับการบูชาเหมือนดั่งเช่นวิญญาณในบ้านด้วย

    ในฐานะที่เป็นเจ้าแห่งการสร้าง บทบาทของพระองค์คือ การให้ชีวิต และทรงร่วมแบ่งลักษณะอื่นๆจากพระเชษฐาหรือพระอินทร์ด้วย ศัตรูของพระองค์คือพวก รากษส ที่ชอบกินเนื้อมนุษย์ ในการสู้รบกับอสูรพระองค์จึงแปลงพระวรกายเป็นอีกรูปหนึ่ง คือ พระฉวีกลายเป็นสีแดง มีพระเศียรเป็นเปลวไฟสามเศียร มีขา 3 ขา และพระกร 7 กร ทรงสวมมงกุฏผลไม้ ส่วนอสูรจะมีเขี้ยวยาว และรูปลักษณ์น่าเกลียด พระอัคนี จะทรงเสกเขี้ยวเหล็กยาวแหลม 2 อัน มาต่อสู้กับพวกอสูร และใช้เขี้ยวเหล็กนั้นแทงอสูรและกลืนพวกมันลงไป

    การบูชายัญของพระองค์จะมีการถวายเนื้อมนุษย์ เนื้อนี้จะต้องเป็นเนื้อบริสุทธิ์ ถ้าไม่บริสุทธิ์ พระองค์จะทำให้บริสุทธิ์เสียก่อน ในการนี้จะมี ฤษีภฤคุ คอยจัดการอยู่ เขาจะไปลักพาเด็กหญิง 1 คน มาหมั้นกับอสูรหรือปีศาจก่อน อสุรานี้จะทราบว่าพระอัคนี ทรงสถิตอยู่ทุกหนทุกแห่ง จึงถามพระอัคนีว่า เด็กหญิงอยู่ที่ไหน พระอัคนีจะตอบอสุราด้วยความสัตย์ และมันจะหาตัวเด็กเจอ อีกเรื่องหนึ่งกล่าวไว้ว่า พระอัคนีมาสู่มนุษย์โดย เทพครึ่งอสูร (Matarisvan) เทพครึ่งอสูรผู้ที่มารับคือ ฤษีภฤคุ ซึ่งจะเป็นผู้ทำพิธีบูชาพระอัคนี

    บางตำนานก็เล่าว่า พระองค์ไม่ได้เสวยแค่เนยใสเท่านั้น แต่ยังเสวยน้ำโสมเหมือนเช่นพระอินทร์ด้วย ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเทพแห่งการสวดมนต์ พฤหัสบดี (Brihaspati)พระองค์จะเป็นผู้ช่วยพระอินทร์ในการสร้างจักรวาล ส่วนบทบาทของพระองค์สืบต่อมาในช่วงปลายยุคพระเวท ซึ่งเป็นช่วงที่พระอินทร์ใกล้จะกลืนอำนาจของพระองค์เป็นผลสำเร็จแล้ว

    ในศาสนาฮินดู พระอัคนีได้รับบทบาทของพระวรุณ เสมือนกษัตริย์แห่งปิตริ (Pitris) แต่พระองค์ยังไม่ใช่พระบิดาที่ดีในช่วงแรก มีเรื่องเล่าว่าพระองค์เป็นโอรสของ ฤษีอังคีรส (Angiras) หนึ่งในพราหมณ์ 7 คน หรือหนึ่งในบรรพบุรุษของมนุษย์ ในฐานะที่พระอังคีรส เป็นกษัตริย์แห่งปิตริ พระอัคนี จึงได้รับราชสมบัติต่อมา และส่งผ่านคุณลักษณะในช่วงแรกของคนให้บิดาเช่นกัน ซึ่งต่อมาพระอังคีรส ได้กลายมาเป็นพระของเทพเจ้าและเป็นเจ้าแห่งการบูชายัญ

    ในยุคนี้พระองค์ได้รับการบูชาในฐานะเทพแห่งไฟลดน้อยลง แต่ได้รับการบูชาในฐานะผู้ที่ทำให้ของเซ่นไหว้บริสุทธิ์มากกว่า และได้รับการสักการะในโอกาสสำคัญ เช่น งานแต่งงาน และงานศพ พระองค์จะใช้พระชิวหาทั้ง 7 เลียเนยที่ใช้ในพิธีบูชาบัญอย่างไม่รู้เบื่อ และด้วยความบริโภคมากไปนี้เอง จึงทำให้พระองค์อ่อนแอ

    ใน มหาภารตะ กล่าวไว้ว่า พระองค์ทรงเสวยของเซ่นไหว้มากมายจนเหนื่อยล้า พระองค์จึงคิดที่จะฟื้นคืนกำลังกลับมาโดยการเสวยป่า ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตราย พระอินทร์จึงทรงห้ามไว้ แต่ต่อมา พระองค์ก็ทำสำเร็จ โดยมีพระกฤษณะ และอรชุน โอรสของพระอินทร์คอยช่วยเหลือ ในบทบาทของเทพแห่งไฟ พระองค์มีสัญลักษณ์เป็นมนุษย์ พระฉวีแดง มีพระเศียรเป็นเปลวไฟ 3 เศียร เทพพาหนะหรือสัตว์คู่กายคือแกะตัวผู้ ในฐานะที่เป็นกษัตริย์แห่งปิตริ พระองค์เป็นเช่นผู้ที่ทำให้การบูชายัญราบรื่น และนำพาวิญญาณที่ตายแล้วมายังที่ประทับของพระองค์ เพื่อทำให้วิญญาณนั้นบริสุทธิ์

    ความสับสนระหว่างพระอัคนีกับพระอินทร์นั้น เริ่มจากพระอินทร์ได้ขโมยพลังของพระองค์ไป และให้ยืมเทพแห่งบรรยากาศไป จากนั้นพระศิวะ ที่มีความเกี่ยวข้องกับพระรุทระ ก็ได้ขโมยลักษณะอื่นๆของพระองค์ไป เช่น ผู้ฆ่าปิศาจเชื้อโรค บางครั้งพระอัคนีก็เป็นฤษี บางครั้งก็เป็นดวงดาว และเป็นพระมรุต บ่อยครั้งในช่วงปลาย พระองค์มีสัญลักษณ์เป็นมนุษย์ มี 4 กร ฉลองพระองค์สีดำ พระองค์จะถือหอกไฟ และประทับรถม้า ซึ่งมีลมทั้ง 7 เป็นล้อ ม้าสีแดงเป็นตัวขับเคลื่อน บางครั้งก็เป็นพระรุทระ และถือว่าโอรสทั้ง 49 องค์นั้นเป็นพระมรุต

    พระอัคนียังเป็นเทพผู้รักษาทิศตะวันออกเฉียงใต้ด้วย พระองค์ทรงดำรงอยู่ทั้ง 3 แดน คือ เป็นไฟบนโลก สายฟ้าในชั้นบรรยากาศ และดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า พระองค์ยังเป็นพระตรีมูรติร่วมกับ พระสูรยาทิตย์ และพระอินทร์ด้วย ต่อมากล่าวกันว่าได้รวมพระองค์เข้ากับพระศิวะ ในความเชื่อของชาวฮินดู และเป็นพระบิดาของพระกรรตติเกยะ กับพระแม่คงคา

    ใน คัมภีร์ฤคเวท พระเศียรของพระอัคนีจะลุกเป็นไฟ มี 3 เศียร และมีลำแสง 7 ลำ มี 3 ชิวหา 4 เขา 3 พระบาท และ 7 พระกร บ้างก็ว่าพระองค์มีพระเศียรโดยรอบ บ้างก็ว่าทรงไม่มีพระบาทและพระเศียร

    ใน มหาภารตะ พระองค์เป็นบุตรของ พระอนิล (Anila) เจ้าแห่งลม มีพระชิวหาแดง 7 ชิวหา พระพักตร์ 7 พักตร์ พระโอษฐ์ใหญ่ พระศอแดง พระเนตรสีน้ำตาลปนเหลือง พระเกศาเงางาม และน้ำเชื้อสีทอง ทรงเป็นผู้ปัดเป่าองค์แรกที่พระพรหมสร้างขึ้น บ้างก็ว่าพระองค์มีเครา พระกร 4 กร เขี้ยว 4 เขี้ยว พระเนตร 3 ดวง ทรงประทับรถพระที่นั่งโดยมีนกแก้ว 4 ตัว เทียมไปในอากาศ มีครุฑตัวเมียคือ นางสวาหะ พระมเหสีประทับบนตักเบื้องซ้าย เทพศาสตราวุธของพระองค์ คือเปลวไฟ ตรีศูล และ ลูกประคำ

    ชาวฮินดูโบราณเคารพนับถือ พระอัคคี หรือ พระอัคนี หรือ พระเพลิง เป็นเทพแห่งการเผาผลาญ การบวงสรวงกราบไหว้บูชาพระอัคคีจะประสบความสำเร็จ ชีวิตมีแต่ความโชติช่วงชัชวาล มีแต่ความรุ่งโรจน์ ปัญหาต่างๆที่สะสมก็จะถูกเผาผลาญให้สิ้นไปด้วยอำนาจแห่งพระอัคคี หรือพระเพลิง

    อานุภาพของพระอัคคีหรือพระเพลิงนี้มีมหาศาล พระองค์ประทานฤทธิ์บารมี อำนาจเพิ่มพูน ประทานยศศักดิ์ยากที่ใครจะราวีได้

    ของบูชาพระอัคคี ก็เช่นเดียวกับการบูชาเทพทุกพระองค์ นั่นคือ สามารถถวายน้ำ นม ดอกไม้ ผลไม้ ขนมหวานดอกไม้ให้เน้นสีเหลือง สีแดง อันเป็นสีแห่งเปลวไฟ

    เทพองค์อื่นๆ หากไม่สะดวกจุดเทียน ไม่จุดไฟ ก็ไม่เป็นไรแต่สำหรับการไหว้เทพอัคนี จะต้องจุดไฟ ใช้ได้ทั้งไฟตะเกียง ไฟเทียน ไฟประทีป ไฟการบูร ฯลฯจุดให้สว่างตลอดเวลาที่ทำการสวดบูชาและขอพร


    * พ่ออาจารย์ท่านได้จัดสร้างเหรียญหล่อพระอัคนีขึ้น โดยให้เหตุผลว่า ท่านเป็นเทพสูงสุดในยุคบรรพกาล นอกจากนี้ท่านยังเป็นผู้ประทานชีวิตแก่สรรพสิ่งด้วย

    การบูชาพระอัคนีนั้นจะช่วยให้ประสบความสำเร็จ ชีวิตมีแต่ความโชติช่วงชัชวาล มีแต่ความรุ่งโรจน์ ปัญหาต่างๆที่สะสมก็จะถูกเผาผลาญให้สิ้นไปด้วยอำนาจแห่งพระอัคคี หรือพระเพลิง อานุภาพของพระอัคคีหรือพระเพลิงนี้มีมหาศาล พระองค์ประทานฤทธิ์บารมี อำนาจเพิ่มพูน ประทานยศศักดิ์ยากที่ใครจะราวีได้

    ท่านว่าการสร้างพระอัคนีนั้นมีอาถรรพ์มาก ต้องกระทำโดยพระเวทย์ แม้ว่าใครที่นำไปบูชาด้วยกระแสตบะและพลังงานของพระอัคนีนั้น จะช่วยขัดเกลาธาตุตั้งต้นรวมไปถึงพลังงานสวรรค์และเปลวไฟแห่งชีวิตของตนอันถูกจุดโดยพระองค์ ให้กลับมารุ่งโรจน์เฟื่องฟูอีกครั้ง พ่ออาจารย์ท่านว่าพระอัคนีนั้นเป็นมหาธาตุบาล การไหว้ท่านก็เหมือนเราไหว้กราบศรัทธาในโคตรเหง้าบรรพบุรุษตัวเอง ความเจริญรุ่งเรืองย่อมเกิดมีขึ้นได้ หากเพียงน้อมจิตระลึกคุณตั้งมั่นอยู่ในการอภิบาลรักษาของพระอัคนี แม้สิ่งใดๆที่จะทำให้เกิดผลร้ายกับเราก็จะพินาศเป็นจุณวิจุณในทันที

    เหรียญหล่อพระอัคนีนั้น พ่ออาจารย์ท่านว่ายังมีความลับและพลังงานต้นกำเนิดซ่อนอยู่มากมาย ท่านว่าแม้มหาอสูรฤาษีภฤคุผู้เป็นมานสาบุตรแห่งพระพรหมมา เป็น 1 ใน สัปตะฤาษี หรือมหาฤาษีผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง7 ตน ซึ่งได้รับการเคารพสูงสุดจากพระผู้เป็นเจ้าในฐานะมหาคุรุและมหามุนี และเป็นบิดาของฤๅษีศุกกราจารย์ และฤๅษีชมทัคนี ฤๅษีปรศุราม ก็ยังให้ความเคารพพระอัคนี อันมหาฤาษีภฤคุนี้กล่าวให้ถูกก็ยังเป็นบริวารเป็นพาหนะของพระอัคนีเช่นกัน

    สำหรับเหรียญหล่อพระอัคนีอันมีความสำคัญยิ่งยวดนี้ซึ่งพ่ออาจารย์ท่านว่าใช้ทางชำรระบาปชำระเคราะห์กรรมและชุบพลังงานชีวิตขึ้นใหม่จะพิเศษอย่างไร ทำไมพ่ออาจารย์ท่านถึงเลือกที่จะฝังในเครื่องมงคลสำคัญคู่กับตะกรุดมหาโสฬส ต้องติดตาม ....

    Agni_18th_century_miniature.jpg
    102459250.jpg picture.jpg image.jpg maxresdefault_3.jpg
     
  20. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,111
    ค่าพลัง:
    +16,530

    กล่าวให้ปรากฏ อุปเทห์โสฬส บันดาลชายหญิง ภาวนาทีหนึ่ง สองทีดีจริง สิบแปดทีดียิ่งมีผลานิสงค์ ชักลูกปะคำ ร้อยแปดเลิศล้ำ ให้ได้คาบทรง คงเกิดส่วนบุญ มีผลานิสงค์ พบแล้วอย่างง ไม่พบเร่งหา ผู้ใดไม่พบ บุญน้อยถอดถด เสียชาติเกิดมา เป็นคนขัดสน มืดมนต์หนักหนา พบแล้วท่านว่า ภาวนาประจำ เหมือนได้ดวงแก้ว แถมทองผ่องแผ้ว กุศลชักนำ สิ่งใดปรารถนา ภาวนาเช้าค่ำ กุศลเลิศล้ำ ประมูลพูนมา
    เป็นกระแสถามเข้ามาเยอะมาก เกี่ยวกับตะกรุดโสฬส ซึ่งวันนี้ก็จะนำแผ่นยันต์โสฬสที่พ่ออาจารย์ท่านได้ลงไว้มาให้ดูกัน เรียกว่าเป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์อย่างมาก เพราะแม้แต่กล้องก็ยังจับภาพให้ชัดไม่ได้ ท่านใช้ญาณใช้กำลังความเพียรและความชำนาญในการลงจารและเรียกสูตรจริงๆ ซ้ำยังทำพิธีเสกจนเต็มวิชา กว่าจะมาเป็นแผ่นยันต์โสฬสนี้ ซึ่งท่านได้ทำไว้เพียง 16 แผ่น เท่ากำลังโสฬส และนำไปสร้างเครื่องมงคลอันประเสริฐที่มีรูปลักษณ์มหามงคลยากที่จะปฏิเสธได้ ส่วนที่เหลือท่านได้นำไปเป็นชนวนหล่อหลอมทำของมงคลไว้ใช้ประจำตัวท่านเอง เหลือให้ถ่ายรูปพิสูจน์ลายยันต์และความน่ามหัศจรรย์อยู่ก็แต่เพียงแผ่นเดียว ดั่งที่ท่านว่าว่าแม้เป็นตะกรุดดอกเล็กๆท่านก็ตั้งใจทำมากจริงๆ ไม่มีสุกเอาเผากิน

    ขนาดเอามาเทียบกับปลอกหลอดยาดม ปลอกยาดมยังใหญ่กว่าเสียอีก ใครที่ติดตามมหาโสฬสมงคลที่จะเปิดตัวชุดนี้ อย่าให้พลาด อย่าได้ประมาทตะกรุดดอกน้อยๆว่าจะทำไม่เต็มสูตรเต็มวิชา ท่านว่าทำให้ครั้งเดียวเท่านั้น ติดตามกันให้ดีที่สุดนะครับ กับตะกรุดที่พ่ออาจารย์ท่านเรียกว่าตะกรุดแห่งปาฏิหาริย์

    619172-img-1339390725-1.jpg SAM_5388.jpg SAM_5389.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2017

แชร์หน้านี้

Loading...