ร่วมทำบุญบูชา สำเร็จครูประทับมหาสมาคมฟ้าสลับหัว(เคลียร์สะสางมหากาลไม่ทำร้าย) พ่ออาจารย์พล

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย คุรุปาละ, 12 ตุลาคม 2014.

  1. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,527
    พูดคุยรอบเช้า

    อรุณสวัสดิ์ครับ

    วันนี้ก็มาพูดคุยกันต่อ เห็นมีคนฝากคำถามไว้ว่าเรื่องของการสร้างพระนั้น พระโรงงานต่างจากพระปั๊มมืออย่างไร

    อันนี้ก็จะมาพูดคุยกันแต่ขอแยกเป็นสองกรณีนะครับ ต้องเข้าใจไว้ด้วยว่าพระปั๊มมือบางวัดก็มีคันโยกมีเครื่องปั๊มเพื่อความสะดวกและทำเอาปริมาณ หรือพูดง่ายๆก็คือทำครบวงจรแบบโรงงานก็มี จึงจะแยกให้ชัดเจนระหว่างพระแบบนั้นกับพระที่พ่ออาจารย์ท่านนั่งปั้นนั่งพิมพ์ของท่านเอง

    แน่นอนว่าพระโรงงานก็คือพระที่ปั๊มตามใบสั่ง ปั๊มอย่างเร่งรีบโดยใช้ปูนเป็นส่วนผสมหลักเยอะกว่าชนวนมวลสารมงคลต่างๆ หรือในบางทีอาจจะไม่ใส่เลยตามที่โฆษณาไว้ บางที่แย่หน่อยใช้ปูนผสมขี้เลื่อยไม้แทนก็มี พอพระออกมาแล้วคนส่องก็อุปทานเห็นจุดดำๆนั่นนี่ก็บอกว่าเป็นมวลสาร ทั้งนี้เหตุที่เขาต้องเร่งรีบก็เพราะเมื่อผสมเนื้อแล้วปูนมันก็มีเวลาเซตตัวของมัน และพระที่ใช้ปูนมาก อันนี้จำไว้เลย มันจะสวยงาม ติดพิมพ์คมชัด ปั๊มขึ้นรูปง่าย
    (แบบที่บางท่านคอมเม้นต์มาว่าอยากให้พ่ออาจารย์ทำระกดพิมพ์แบบเด้งๆเอามันแบบชัดๆ สวยๆไปเลยซักรุ่น แต่ก็ยังไม่มีออกมาซักครึ่งรุ่นตรงนี้ก็คร่าวๆว่าเราไม่ตอบรับเพราะพ่ออาจารย์ท่านว่าเรากดพิมพ์โดยมือของเรา ใช้บล๊อกไม้แกะแบบสมเด็จโตยุคแรกๆ ค่อยๆทำตามมวลสารที่ผสมไป เช่นนี้มันจะทำได้อย่างไรในเมื่อพระของท่านเน้นมวลสาร ทีหลังคนคอมเม้นต์มา ผมจะให้เขาเอาปูนห้อยคอให้เข็ดจริงๆรับรองว่าสวยคมแน่ๆ) รู้ดังนี้แล้วเวลาเห็นพระไม่สวยก็ควรจะดีใจไว้นะครับ เพราะแน่นอนว่าเนื้อของท่านไม่ใช่ปูน 90 -100 เปอร์เซ็นต์แบบที่องค์สวยๆเขาผสมกัน

    และข้อแตกต่างที่ผมเรียกว่าเป็นเสน่ห์ของพระพิมพ์ ระหว่างพระโรงงานกับพระที่กดมือ เสน่ห์ตัวนี้ที่หายไปก็คือความขลัง แน่นอนว่าโรงงานเขาไม่มีพิธี ไม่มีมานั่งบริกรรมคาถาระหว่างปั๊มไปทีละองค์แน่นอน ในขณะที่พ่ออาจารย์ท่านเรียกว่าตั้งแต่ตำผงทั้งสากทั้งครกต้องลงยันต์ ทั้งบล๊อกแม่พิมพ์ก็ต้องนำมาชุบน้ำเทพมนต์พุทธมนต์ เรียกว่าเสกกันยันอุปกรณ์

    ตำก็เสก นวดเนื้อพระก็เสก พอได้ก้อนมวลสารก่อนนำมาปั๊มท่านก็เอามาแผ่ลงเหล็กจารมหายันต์ มหาสูตรของท่านเสียหนหนึ่งแล้วจึงกดพิมพ์ บางทีก็ดวงอริยสัจ บางครั้งก็ธาตุกรณี บางครั้งก็พุทธเมตตา บางครั้งก็โสฬสมงคล ขึ้นกับตอนนั้นฤกษ์ยามอะไรและท่านกำลังกดพระอะไรท่านก็จะพิจารณาลงเหล็กจารที่ก้อนผงต่างๆกันไป ก่อนจะกดไป ย้ำไป คลึงไป ระหว่างย้ำๆคลึงๆก็ภาวนาคาถาหัวใจพระสูตรต่างๆไป ไม่รีบ ไม่เร่ง แต่เผ็ดร้อนทุกขั้นตอน นั่นคือท่านทำให้ขลัง แม้จะล้างจะขัดแม่พิมพ์แต่ละทีก็ยังใช้น้ำมนต์ธรณีสารมาล้างมาขัดก่อนจะปั้นผงพระทำองค์ใหม่ก็ย้อนไปวิธีเดิมอีก

    ดังนั้นพระผงของพ่ออาจารย์ท่านจึงขลังตั้งแต่ยังเป็นผงเพราะท่านตั้งใจทำของท่านคนเดียวตามวิธีกรรมของท่านไม่ให้คนอื่นมายุ่ง ซ้ำแม้มีโรงานปั๊มพระติดต่อมาว่าให้พ่ออาจารย์ท่านปั๊มทีเยอะๆไปเลย เสกทีเดียว จะได้ขายถูกๆขายเยอะๆตามปกติพระพิมพ์ของวัดต่างๆก็ทำกันแบบนี้ อยากผสมมวลสารอะไรเดี๋ยวผมผสมให้ ท่านก็ปฏิเสธไปแบบนิ่มๆว่าเรายังทำไหว

    ท่านมักจะพูดว่า " ก็ไอ้ของแบบนั้น มันมีให้เห็นดาษดื่นกันอยู่ทั่วแผ่นดิน ทำไมเราต้องไปทำตามเขาด้วย เอกลักษณ์ของเรา ตัวตนของเราเป็นดั่งนี้ทำไมต้องซ้ำกับใคร พระของเรา เราทำทุกขั้นตอนให้ดี ให้เต็มที่ ทำด้วยศรัทธาเหมือนยุคทวาราวดีโน่นประไร เช่นนั้นคนทำก็ได้บุญ คนใส่ก็ได้บุญ พระของเราไม่ใช่พระเข้าเครื่องปั๊ม ไม่ใช่ทั้งพระปั๊มมือโดยใช้คันโยก ของแบบนั้นตราบใดที่เราพอเหลือกำลังอยู่บ้าง จะไม่ทำเสียแม้สักครึ่งค่อนองค์ "

    * ก็เอามาพูดคุยกันรอบเช้านะครับ เกี่ยวกับลักษณะการปั๊มพระว่าพระโรงงานกับที่พ่ออาจารย์ทำต่างกันอย่างไร ใครมีไว้จะได้นั่งยิ้มนอนยิ้มภูมิใจได้ ทั้งเวลาใส่ห้อยไปไหนก็สบายใจแบบประหลาดๆ ด้วยพระผงของท่านนั้นท่านทำแบบเต็มคุณภาพเพราะกว่าจะได้แต่ละองค์นั้นบอกได้คำเดียวว่าไม่ง่ายเลย
    บางคนบอกว่าเอาพระองค์อื่นมาสลับห้อยก็ไม่เหมือนใส่ของพ่ออาจารย์ท่านไม่รู้เป็นอะไร บางทีออกเดินทางไปไกลจะถึงแล้วก็ยังต้องรีบกลับบ้านไปเปลี่ยนสร้อยพระทั้งที่กำลังจะถึงออฟฟิศก็มี

    296fdde1cd55120c40233d6fb1e12327-d25vj52.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2018
  2. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,527
    เริ่มมีประสบการณ์ไม้ครูกันแล้ว ใครจะเล่าอะไรก็แจ้งฝากไว้เลยนะครับ เดี๋ยวจะเลือกเรื่องเด่นๆเอามาลง

    แล้วก็มีคนสอบถามพร้อมกับตัดพ้อว่า อยากได้พระผงของพ่ออาจารย์บ้าง แต่ที่ออกมาทุกรุ่น ส่วนใหญ่จะมีค่ากำนลครูอยู่ที่สี่พันทั้งนั้น หลายๆคนว่าบุญไม่ถึง บางอย่างเก็บเงินรอ พอได้เงินครบของก็หมด ไม่มีของแล้ว เลยอยากขอให้พ่ออาจารย์ท่านออกพระผงซักรุ่นให้เป็นขวัญกำลังใจคนที่งบไม่เยอะ อันนี้ก็ติดตามไว้เดี๋ยวจะมาแจ้ง
     
  3. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,527
    แจ้งการส่งems
    พี่เสฏฐณันฐ EV 7736 4370 8 TH

    พี่นฤชา EV 7736 4371 1 TH
     
  4. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,527
    ผงน้ำมัน

    ใครที่ชอบพระผง ใครที่ไม่ค่อยมีงบ พรุ่งนี้ต้องติดตามกันให้ดีๆเลย เพราะว่าพ่ออาจารย์ท่านให้เอาพระรุ่นสำคัญชนิดหนึ่งของท่านออกมาให้บูชา

    .....พระรุ่นนี้อย่าดูถูกว่าราคาเบาแล้วจะไม่ใช่ของดี จริงอยากให้หลายๆคนมองข้ามไปเยอะๆนะ จะได้เหลือไว้ให้คนที่ไม่ค่อยมีงบพอจะบูชากันได้นานๆ เพราะพระรุ่นนี้ถึงราคาจะเบาแต่ก็หนักพุทธานุภาพแบบเฉพาะทางและพิเศษ ด้วยพ่ออาจารย์ท่านใช้น้ำมัน...(ของเฉพาะกาล)นำมาทำ ซึ่งน้ำมันตัวนี้มีอายุเกินร้อยปีเป็นของตกทอดแต่อาจารย์ของท่าน ท่านว่าเป็นน้ำมันที่ในปัจจุบันนั้นถึงจะมีทรัพย์ มีเงิน มีตำรา รู้วิธีทำอย่างไรก็ไม่มีวันทำให้สำเร็จได้ และในอนาคตนั้นยิ่งไม่มีทางเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน

    น้ำมันนี้ หลายๆคนที่เขารู้ เขามาขอบูชาต่อแม้ซักหลอดก็พร้อมจ่ายหลายๆพันถึงหลายๆหมื่น แต่พ่ออาจารย์ท่านก็ไม่ให้ใครนำออกไป หรือไม่ให้ใครใช้เสียซักหยดนึง ท่านว่าคนเอาไปโดนเนื้อตัวมันจะอันตรายเพราะมันแรงเกินไป ท่านจึงนำมาผสมสร้างพระและขอบารมีพระไว้ทั้งหมด

    วิชาน้ำมันของพ่ออาจารย์นั้นแรงแบบลูกโดด ยิ่งขึ้นชื่อว่าเป็นน้ำมันตั้งแต่ยุคบูรพาจารย์ด้วยแล้วคงไม่ต้องกล่าวอะไร พ่ออาจารย์ท่านพูดให้เราดีใจไว้ว่าพระองค์หนึ่งๆนั้น ท่านผสมน้ำมันเกินหลอดที่คนมาขอเช่าราคาเป็นพันเป็นหมื่น ท่านใส่เยอะมากจนเรียกได้ว่าเทหมดหน้าตักทีเดียว

    พระรุ่นนี้จึงเหม็นและมีกลิ่นแรงมากชนิดเหม็นติดมือ แต่ของเหม็นนี่แหละที่หมักด้วยอาคมมานับร้อยปี มันก็มีกลิ่นหืนเป็นธรรมชาติของน้ำมันนั่นเอง อย่าได้ดูถูกของเหม็นๆเชียว ดูอย่างสมเด็จเหม็นหลวงพ่ออุ้นนั่นแรงอย่างไร พระบางอย่างยิ่งกลิ่นแรงพุทธคุณก็ยิ่งสูง น้ำมันนี้ที่พ่ออาจารย์ท่านนำมาผสมสร้างพระให้ก็เช่นกัน

    เรียกว่าถ้าเทียบกับราคาที่ให้บูชากับราคาที่คนขอเช่าน้ำมันประวัติศาสตร์นี้แล้ว มันเกินคุ้มไปมากเลยทีเดียวเพราะพ่ออาจารย์ท่านเทนวดผงในปริมาณที่เยอะมากต่อพระหนึ่งองค์

    หากใครอยากรู้ว่าเป็นน้ำมันอะไร ทำไมในปัจจุบันและอีกร้อยปีต่อจากนี้จะไม่มีใครทำน้ำมันเช่นนี้ได้อีก แรงอย่างไร และองค์พระที่เหม็นติดมือนั้นพ่ออาจารย์ท่านทำไว้พิเศษเพื่อให้เราได้ของดีสุดๆไว้แขวนกันขนาดไหน พรุ่งนี้...ห้ามพลาดกันนะ บอกได้คำเดียวว่าน้ำมันตัวนี้แรงมากถ้าใครพอมีงบก็เก็บเอาไว้เถอะเผื่อลูกเผื่อหลานเผื่อคนในครอบครัวเขาด้วย บอกได้คำเดียวว่าแรงขนาดที่ตอนทำนั้นพ่ออาจารย์ท่านยังสะดุ้ง ท่านว่า " น้ำมันเขากัดมือ ไอ้...เขาหยอก "(ไม่ใช่น้ำมันพราย)


    296fdde1cd55120c40233d6fb1e12327-d25vj52.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2018
  5. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,527
    ร่วมทำบุญบูชา พระผงมหาบุรุษสร้างคนยอดขุนพลดับดาว(ผงน้ำมันตบะพยัคฆ์มหาสิงหนาท)

    เมื่อพูดถึงพระยอดขุนพลแล้วย่อมหมายถึงพระที่มีอานุภาพเป็นยอด เพราะคำว่า “ขุนพล” นี่ถือว่าเป็นยอดอยู่แล้ว แต่นี่เป็นยอดยิ่งกว่าจึงเรียกว่า “ยอดขุนผล” กล่าวง่ายๆพ่ออาจารย์ท่านว่าการจะสร้างพระให้คนใส่แล้วเอ่ยยกนามว่ายอดขุนพลได้ พระนั้นจะต้องช่วยเขาได้ คำว่าช่วยคือช่วยจากคนให้เป็นยอดคน ยอดบุรุษ เปลี่ยนจากสามัญให้เป็นบุรุษผู้ยิ่งใหญ่คู่ควรแก่ความเป็นยอดในทุกๆด้าน เพื่อในกาลเบื้องหน้าคนผู้นั้นเขาจะได้ทำประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่มหาชน สมกับชื่อชั้นของยอดคนที่คู่ควรกับยอดขุนพลนั่นเอง

    พ่ออาจารย์ท่านสอบทานบารมีของพระยอดขุนพลทุกยุคทุกสมัย ซ้ำยังตรวจอานุภาพของพระยอดขุนพลที่อาจารย์ชุมสร้างไว้ ท่านว่าพอรู้แล้วว่าบูรพาจารย์เขาเสกอย่างไรเราก็จะทำให้ได้ดีดุจของเดิม เพื่อให้ชนยุคนี้ได้มีโอกาสใช้อาราธนาทดแทนกัน ซึ่งพ่อครูท่านว่าพระยอดขุนพลนั้นมีพุทธคุณเน้นหนักทางด้านเมตตาเป็นพิเศษ พร้อมทั้งแคล้วคลาดคงกระพัน ทั้งยังเสริมส่งความเป็นผู้นำ ความเป็นหัวหน้า เป็นเจ้าคนนายคน ท่านว่าให้จำไว้นะ พระยอดขุนพลแท้ๆคือพระที่หนุนชีวิตจากคนให้เป็นยอดคน ซึ่งการจะเป็นยอดคนได้ก็ต้องมีบารมี ด้วยมนุษย์นั้นเกิดมาเพื่อสร้างบารมี ทั้งยังมีคุณเป็นมหาอำนาจอย่างถึงที่สุด เมื่อไล่ลำดับสอบทานแล้ว พ่ออาจารย์ท่านจึงตั้งใจแกะบล๊อคก่อนจะนำมาชุบและทำตามวิธีทำขลังของท่าน ท่านว่าหนนี้ที่เราทำยอดขุนพล ทำยอดพระขึ้นมา เราจะลงวิชาเสือกลับใจเอาไว้ด้วย ด้วยวัฏจักรสงสารนี้ไม่ว่าชนหน้าไหนจะต่ำหรือสูงเพียงใด ชีวิตเขาล้วนมีภัยแฝงมาในหลายรูปแบบ ท่านว่าวิชานี้จะเปลี่ยนผู้ที่คิดทำร้ายให้มาทำดีต่อเรา เปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อเราให้เขามองเราดีขึ้น พอเขาเห็นเราดีจากที่คิดทำร้ายก็จะกลายเป็นส่งเสริมกัน เรียกว่าคิดร้ายได้ แต่ยิ่งคิดยิ่งทำร้ายไม่ลงเพราะเขาจะเห็นข้อดีต่างๆของเราแทนแบบนี้

    ท่านว่าพระยอดขุนพลของท่านนั้นทำยากอย่างมากเพราะท่านตั้งใจเสกในฤกษ์ที่ดีที่สุด นั้นคือทำในฤกษ์วันเสาร์5 (นับสิบปีถึงจะมีสักครั้ง) แต่บางปีโชคดีก็มีฤกษ์อยู่บ้างซึ่งมีฤกษ์คราใดท่านก็จะยกยอดขุนพลมาอธิษฐานตลอด เพื่อให้องค์พระนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยอานุภาพอย่างสูงสุด มีครบทั้งเมตตามหานิยม เสริมบารมี เป็นมหาอำนาจแก่ทุกชีวิตทั้งหญิงและชาย เป็นที่คร้ามขาม หวั่นเกรง เกรียงไกร มีวาสนาบารมีดังกษัตริย์แต่โบราณ ทั้งยอดขุนพลนั้นท่านว่ายังใช้อาราธนาติดตัวเพื่อกำจัดโรคภัยได้อีกด้วย พ่ออาจารย์ท่านว่าการจะเป็นคนที่สมบูรณ์ เป็นยอดคนนั้นแน่นอนว่าในร่างกายต้องมีกำลังวังชา ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน ถ้าคนไหนเจ็บไข้ได้ป่วยร่างกายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคต่างๆยอดคนมันก็เกิดขึ้นมาไม่ได้ ดังนั้นคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยท่านจึงให้อาราธนาไว้เพื่อสังเคราะห์และแก้กันโรคภัย ทั้งโรคที่เกิดจากธรรมชาติแวดล้อม รวมไปถึงโรคเวรโรคกรรม แม้คนที่คนถูกคุณผี ถูกคุณไสย์มนต์ดำแฝงไว้ในรางกาย ก็แก้ออกขับออกได้ผลชงักดีนัก

    ทำไมยอดขุนพลจึงสร้างคนให้เป็น..ยอดบุรุษได้
    การสร้างพระยอดขุนพลของพ่ออาจารย์นั้นท่านสร้างด้วยผงน้ำมันตบะพยัคฆ์มหาสิงหนาท เรียกสั้นๆเข้าใจตรงกันง่ายๆเลยก็คือทำด้วยน้ำมันเสือ หากแต่น้ำมันเสือของพ่ออาจารย์นั้นกลับเป็นน้ำมันเสือที่ตกทอดมาแต่บูรพาจารย์ของท่าน ซึ่งมีอานุภาพสูงและรุนแรงมากและที่สำคัญน้ำมันเสือตำรับนี้ท่านว่าต่อให้เรียนรู้ไว้ก็ไม่สามารถสร้างให้เลิศเลอ เทียบเท่า หรือเสมอเหมือนได้อีก

    เพราะการทำน้ำมันเสือตำรับนี้นอกจากใช้เสือสี่ขาแล้วยังต้องใช้เสือสองขาด้วย พ่ออาจารย์ท่านว่าสมัยนี้มันไม่มีหรอกไอ้เสือทั้งหลาย มีก็แต่โจรกระจอก เจ้าพ่อ แล้วก็มิจฉาชีพเต็มบ้านเต็มเมือง จึงกล่าวได้ว่าปิดตำนานการสร้างน้ำมันตบะพยัคฆ์ของจริงๆทิ้งไปได้เลย

    การทำน้ำมันตบะพยัคฆ์สูตรนี้ต้องใช้น้ำมันของเสือที่ดุๆ ซึ่งคนโบราณจะเรียกโจรที่มีศีลธรรม แบบนี้เขาจะเรียกว่าเสือ แต่ถ้าไม่มีศีลธรรมเขาก็จะเรียกว่าโจร เพราะเสือมีศีลมีการจำศีล ถึงจะเป็นโจรแต่ก็มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีมีคุณธรรมที่ต้องยึดถือปฏิบัติ แม้เสือจะมีความดุร้ายแต่เมื่อใดที่มันมีศีล มันรู้จักคุณธรรม รู้จักการจำศีลมันก็จะกลายเป็น“พญา”ของเสือทั้งหมด

    พ่ออาจารย์ท่านเผยว่า ต้องใช้น้ำมันของไอ้เสือเช่นนี้ที่แก่ตายด้วยตบะตนเองนี่แหละ ถือว่ารอดพ้นจากราชภัย จากตำรวจทหารมาได้ทั้งชีวิต ไอ้ที่โดนยิงตายนั้นท่านว่ารักษาตัวเองไม่รอดถือว่าใช้ไม่ได้ ต้องเอาไอ้คนที่รอดมาได้เท่านั้น เพราะนั่นย่อมเป็นเสือที่มีอาคมและอำนาจมาก ต้องเอาน้ำมันเสือสองเท้านี้มาหุงผสมกับกับน้ำมันเสือสี่เท้าที่แก่และตายลงเองไม่ได้ถูกพรานจับล่าฆ่าทิ้ง ท่านว่าต้องใช้เสือทั้งสองชนิดนี้ถึงจะเป็นที่สุดแห่งน้ำมันตบะพยัคฆ์ เมื่อได้ครบทั้งสองแล้ว ให้เอามาหุงเข้ากับน้ำมันที่ได้จากราชสีห์ตายโหงในวันเสาร์ เช่นนี้จึงจะเข้าตำราเป็นน้ำมันเสือที่เป็นเสือไปถึงจิตวิญญาณแค่หยิบมาพกพาไว้ก็ช่วยเพิ่มตบะ อำนาจ บารมีของคนใช้ไปได้ไกลหลายขุม เห็นหน้าเป็นมหาจังงัง ทำอะไรไปไหน เอ่ยปากกับใครล้วนมีแต่คนเกรงอกเกรงใจ เป็นมหาอำนาจถึงขนาดปิดปากไม่กล้าให้วาจาหลุดออกมาขัดใจเราแม้เพียงครึ่งคำ เป็นที่ครั้นคร้ามแก่อสุรกายภูติผีไม่เว้นแม้เทพเทวดาทั้งปวงเพราะทำด้วยตบะของสัตว์อันเป็นราชาผู้พิทักษ์ผืนป่ากับตบะของเสือผู้แกล้ากล้าในอาคม(ท่านว่านี่ไม่ใช่น้ำมันพรายนะ เพราะวิญญาณเสือนั้นไปเกิดทั้งหมดแล้ว เหลือไว้แต่เสือที่บูรพาจารย์ท่านผูกพยนต์กำกับไว้กับอำนาจสูงสุดของตบะแห่งชาติพยัคฆราชทั้งสามเท่านั้น)

    ด้วยเป็นน้ำมันที่ผู้เข้มขลังขมังเวทย์ มีฤทธิ์ในการสะกดข่มอาถรรพ์ดุร้ายของพญาเสือทั้งสามชนิดลงได้ ท่านได้เมตตาแสวงหามวลสารมาเข้าว่านยาที่หายากในอดีตทำการอธิษฐานบารมีหุงไว้เพื่อทำน้ำมันตบะเสือที่เป็นน้ำมันมหาอำนาจตัวที่แรงที่สุด ดุที่สุด ร้ายกาจที่สุดซ้ำได้รับการยอมรับนับถือว่าเป็นน้ำมันตัวสูงสุดแล้วของสายมหาอำนาจ ใช้สะกด ข่มสัตว์ได้ถ้วนทั่ว ซึ่งแม้แต่พ่ออาจารย์ท่านก็ยังทำให้ดีเสมอกันไม่ได้ด้วยท่านไม่มีใจคิดจะทำและกาลสมัยไม่เอื้ออำนวยให้ทำ กอปรกับในชั้นหลังมีคนรู้กันเยอะว่าท่านมีน้ำมันตบะเสือของครูเก่าไว้บูชาจึงมาขอเช่าขอแบ่งในสนนราคาค่อนข้างสูงเพื่อแลกกับปริมาณน้ำมันเพียงเล็กน้อย ท่านกลัวว่าคนจะเอาไปใช้ในทางที่ผิดทั้งยังจะเข้าเนื้อเข้าตัว ท่านจึงตัดรำคาญนำน้ำมันมาขออาราธนาพุทธบารมีครอบไว้พร้อมทั้งเอามาสร้างพระยอดขุนพลอันเป็นที่สุดแห่งยุค เพื่อให้พญาเสือทั้งสามได้ช่วยเหลือหนุนนำผู้ครอบครองต่อไป


    พ่ออาจารย์ได้นำน้ำมันพญาเสือนี้มาผสมกับผงพุทธคุณ ผงมงคลโสฬส ผงนะปัดตลอด ผงมหาลาภ ผงโภคทรัพย์ ผงกวักทรัพย์ ผงมหาปราบ ผงมหาอำนาจ และนำมาเข้ากับผงมหาสูตรหัวใจตบะพยัคฆ์ ที่ดีทางตบะเดชะทั้งข่มศัตรูให้กลัว เป็นมหาจังงัง เป็นมหาละลวยอย่างถึงที่สุด ทั้งยังใส่ผงยันต์ตัวเกิด คือให้กำเนิดได้ในทุกสรรพสิ่งเป็นมงคลสูงสุด พร้อมทั้งเข้าด้วยผงเขี้ยวเสือกลวง ผงลูกกรอกเสือโคร่ง และยาเสือสูตรพม่าที่เป็นอำนาจถึงขนาดที่ว่าคนใดได้อาราธนาพกไว้ ตัวยังไปไม่ถึง แค่ได้ยินชื่อหูก็ตั้งหางก็ตก เพียงได้กลิ่นก็หวาดกลัวจิตตกสยองพองขนเช่นนั้น พ่ออาจารย์ว่าท่านทำให้เป็นที่สุดของมหาอำนาจอย่างแท้จริง เพราะคนเราถ้ามีอำนาจอยู่ในตัวเองแล้ว แน่นอนว่าแม้ปรารถนาทุกสิ่งในปฐพี ก็ไม่มีสิ่งใดคลาดเคลื่อนไปได้จากความปรารถนาเลย พ่ออาจารย์ท่านได้นำผงทั้งหมดนี้มาเข้ากันแล้วนำมาคลุมด้วยผงหัวใจยอดศีล หัวใจศีล 227 ข้อทั้งหมด ท่านว่านี่แหละที่สุดแล้ว เพราะหากเสือมีศีลมันก็จะกลายเป็นพญาเสือ แรงทั้งฤทธิ์ทั้งคุณธรรม แถมยังเต็มที่กับการช่วยคนยกคนให้เป็นยอดคนนั้นด้วย

    ด้านหลังพ่ออาจารย์ท่านฝังเหรียญหล่อเสือเฒ่านอนกินและกำกับตะกรุดหัวใจพญาเสือสมิงเอาไว้ ท่านเสกอำนาจตบะเสือลงหัวใจเรียกอาการไว้ครบทั้งหมด เป็นรูปพญาเสือสมิงที่คาบเหยื่อคาปาก พ่ออาจารย์ท่านว่าเสือเฒ่านอนกินคือเสือที่มีตบะสูงสุด เป็นราชาของทั้งป่าอย่างแท้จริง กล่าวอีกมุมหนึ่งคือเสือที่อยู่มาจนแก่เฒ่ามีอำนาจตบะสูงพอที่จะสะกดได้ทั้งป่า แม้นอนอยู่ในรังเฉยๆก็มีเหยื่อวิ่งเข้ามาถึงปาก มาพลีกายสังเวยตัวเอง ยอมให้แม้กระทั่งชีวิตตนเองเช่นนั้น ท่านว่าคนเอาไปใช้นี่สำคัญนักอยากกินอะไรก็ได้กิน ซ้ำเขายังมาให้กินถึงที่ ให้สร้างมโนภาพเปรียบตัวเองเป็นเสือไว้ อยากกินอะไร กินใคร สะกดข่มใคร อยากได้อะไรก็ให้นึกถึงสิ่งนั้นเป็นเหยื่อแล้วกลืนลงไป พ่ออาจารย์ท่านว่านั่นแหละเขาจะมาให้กินถึงที่ทีเดียว เป็นวาสนาปากอย่างแท้จริง ท่านไม่ให้พูดมากไปกว่านี้เพราะตั้งใจจะให้คนที่ใช้ได้ใช้สติตริตริงกันเอาเอง ท่านว่าพูดมากไปเดี๋ยวพวกจะเอาไปใช้เกินกรรม ไปขย้ำ ไปกินอะไรที่ไม่สมควรกันทั้งหมด

    ด้วยท่านนำน้ำมันมาหมักผงไว้ เพราะเป็นน้ำมันเก่านับร้อยปีจึงมีกลิ่นหืนเป็นธรรมดา ท่านจึงเรียกผงชุดนี้ว่าผงเหม็นและยังอุทานว่าผงเหม็นนี่แหละแรงกัดมือ ท่านพูดเปรยๆว่าไอ้ผงเหม็นแบบนี้แหละแรงนัก เพราะไอ้ที่คนว่าเหม็นแต่เทวดาเขากลับว่าหอม เห็นเขามองผงนี้กันทำตาโตเท่าไข่ห่าน แม้เทวดายังอิจฉาที่ตัวเองไม่มีร่างมนุษย์ในชาตินี้ ไม่มีโอกาสได้พระผงแบบนี้ ไม่มีโอกาสใช้ยอดขุนพลสร้างคนเพื่อสร้างบารมี

    พ่ออาจารย์ท่านนำพระยอดขุนพลชุดนี้มาเสกเก็บไว้ในวันเสาร์ห้าจนฟ้าลั่นกลางวันแสกๆแล้วก็เก็บเอาไว้เสกต่อมาอีกเรื่อยๆ เสกจนมีฝูงผึ้งบินมาล้อมมาเกาะตามตัวท่านจนดูดำๆด่างๆเป็นจุดๆเต็มไปหมด แต่ผึ้งเหล่านี้ที่จะทำร้ายหรือต่อยท่านทำอันตรายให้เกิดขึ้นกับท่านแม้แต่ซักตัวเดียวก็หาได้ไม่ ท่านนั่งอธิษฐานจนผึ้งเหล่านี้ค่อยๆบินหายกลับไปทั้งหมด ท่านว่านี่แหละยอดขุนพลเรา แม้สัตว์มีพิษมีเหล็กใน ดุจคนมีอันตรายมีความร้ายกาจซุกซ่อนไว้ ต่อให้มารุมล้อมนับสิบนับร้อยเขาก็ไม่ทำอันตรายแก่เรา ท่านว่าให้คนเขาไปใช้เพื่อสร้างบารมีของตนให้เต็ม ให้เป็นยอดขุนพล เป็นยอดคนไปทุกชาติเช่นนั้น

    ด้วยนิมิตมงคลปรากฏขึ้นหลายประการ พ่ออาจารย์ท่านจึงได้นำองค์พระอาราธนาดับแสงดาวบนท้องฟ้าแล้วท่านก็เปรยว่านี่แหละของดี ใช้ดับทุก ดับร้อน ดับภัย ดับอันตราย ดับสิ่งไม่ดีได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าดาวดวงไหน(ท่านหมายถึงคน)ที่ว่าจรัสแสงจะมาแข่ง มาทาบรัศมีเราเขาย่อมทำไม่ได้เลย หากอยู่ใกล้เราแสงของเขาย่อมลดทอนและดับไปเช่นนั้น พร้อมกันนั้นท่านยังเตือนว่าการดับดาวบนท้องฟ้านั้นเราเพียงทำเพื่อทดลองดูอานุภาพและทำวิชาเท่านั้นเพราะเรื่องแบบนี้คนทั่วไปไม่สมควรกระทำเลย ด้วยว่าเมื่อดับลงแล้วก็ต้องทำให้แสงกลับคืนมาได้ด้วย หากเผลอไปดับและทำให้คืนมาไม่ได้ก็จะติดกรรมใหญ่และเป็นกรรมหนักหนาสาหัสแก่ชีวิตติดตัวไปหลายภพชาติ

    คาถาบูชา
    พุทธะเสฏโฐ มะหานาถัง วัณณะโก สิงหะนาทะกัง พุทธะสิระสา เตเชนะ มาระเสนา ปะราชัยยัง ชัยยะ ชัยยะ ภะวันตุ เม (ภาวนา ภู ภิ ภุ ภะ พยัคโฆจะ วิรุณเจวะ)

    * พ่ออาจารย์ท่านว่าพระยอดขุนพลนี้เป็นพระสร้างคนที่ทำมาเพื่อช่วยคนอย่างแท้จริง ท่านจึงพิมพ์ขึ้นไว้ได้ไม่มากเพียงแค่น้ำมันหมด ทั้งท่านยังนอธิษฐานกับครูบาอาจารย์ทั้งหลายว่าให้คนที่มีวาสนาได้เป็นยอดคนในเบื้องหน้าเท่านั้นได้นำไปอาราธนาบูชา

    ร่วมทำบุญบูชา พระผงมหาบุรุษสร้างคนยอดขุนพลดับดาว(ผงน้ำมันตบะพยัคฆ์มหาสิงหนาท) บูชา 2,500 บาท


    42114289_2203489796539770_3850200398589591552_n.jpg 42189072_320031238771393_7819457294919270400_n.jpg
    tnews_1474957998_1218.jpg
    42059116_2138616193057291_2424195639123378176_n.jpg
     
  6. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,527
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่ปกรณ์เกียรติ EV 4403 7941 5 TH

    พี่เกษมธิดา EV 4403 7942 9 TH

    พี่กรธัช EV 4403 7943 2 TH

    พี่สุเมธ EV 4403 7944 6 TH
     
  7. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,527
    มีคนถามเข้ามาว่าพญาเสือนี่ต้องเลี้ยงต้องเซ่นมั๊ย พ่ออาจารย์ท่านว่าชุดนี้ไม่ต้องเลี้ยงนะครับ เพราะเป็นรูปพระ ซ้ำพ่ออาจารย์ท่านว่าภพภูมิเขายังสูงเกินกว่าที่เราคิดไปมากแล้ว เอาไว้บูชาอธิษฐานขอพรพระได้เลยไม่ต้องยุ่งยากทำอะไรทั้งนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2018
  8. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,527
    อรุณสวัสดิ์ครับ

    ชุดยอดขุนพลพญาเสือนี่ก็แรงกันจริงๆเพราะคนที่ติดตามมาตั้งแต่น้ำมันแทบจะกวาดเก็บจนต้องจำกัดจำนวนไว้ว่าให้เช่าได้คนละสององค์เท่านั้นไม่มากไปกว่านี้ บางคนก็บอกว่าพ่ออาจารย์ท่านออกถูกไปหนนี้เสียดายของ เขาขอเหมาไปขายต่อได้มั๊ยจะตั้งค์ละสี่พันเท่าเดิม

    เราก็กลัวจะเข้าตำราว่ารอของแพงแล้วค่อยมาเก็บ คนหลังๆที่มาช้าคงจะบ่นกันอุบเพราะคนนึงเช่าราคานึงแล้วตนมาได้อีกราคานึงมันดูแปลกๆ ผมถือว่าไม่สมควรนะ เอาให้มันพอดีกันได้เท่ากันทุกคน ไม่ต้องมีใครเอาไปซุกไปเก็บ ไปเพิ่มหรือไปปั่น เอาแค่ตรงนี้จบตรงนี้นี่แหละ บางทีคนที่เขาจับชุดที่ราคาแรงไม่ไหวจะได้มาเอาไว้

    อยากจะบอกว่าชุดผงเหม็นนี่พ่ออาจารย์ท่านเรียกว่าพ่อเนื้อหอม เรียกแบบนี้มันต่างกันไปไกลโข ต้องมีอะไรแน่นอนเพราะมั่นใจว่าท่านคงไม่พูดเฉยๆแบบเปล่าประโยชน์ เดี๋ยวใครได้รู้ได้เห็นกันชัดๆก็อย่าลืมเอามาเล่ามาฝากบอกต่อบ้างนะ
    ติดตามกันให้ดีๆ :)
     
  9. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,527
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่เมธี EV 4403 8037 3 TH

    พี่ศิระ EV 4403 8038 7 TH
     
  10. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,527
    มีแจ้งประสบการณ์เข้ามาแล้ว เดี๋ยวเอาไว้ติดตามคุยกันพรุ่งนี้นะ ;)
     
  11. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,527
    การฝึกพลังจิต

    การฝึกใช้พลังจิตเล่นฤทธิมีมานานตั้งแต่อดีตนับพันปี เป็นเรื่องจริงที่ไม่ต้องสงสัยจากอดีตนักบวชฤาษีโยคีจนถึงปัจจุบันนักจิตวิทยาและนักวิทยาศาสตร์ ศึกษาเรื่องพลังจิต โดยเฉพาะการนำพลังจิตมาใช้ บันทึกคัมภีร์ทางพุทธศาสนา่เขียนวิธีการฝึกจิตให้มีฤทธิ นึกคิดเป็นไปตามความต้องการ เรียกว่ามโนมยิทธิ อิทธิวิธี ดังเช่นตำราจิตตานุภาพ ,ทิพยอำนาจ,วิสุทธิมรรค,ไตรปิฎก อธิบาย วิธีการฝึกจิตอย่างละเอียดเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นอย่างมีเหตุผล

    จิตเป็นกระบวนการทำงานของสมอง ที่รับรู้สิ่งต่างๆทั้งภายในและภายนอกร่างกาย มีกระบวนการ รู้ จำ คิด รู้สึก ซึ่งใช้พลังงานไฟฟ้าขนาดต่ำ หรืออาจกล่าวได้ว่าจิตเป็นพลังงานนั้นเอง การฝึกจิตจึงเป็นกระบวนการฝึกใช้สมองควบคุมกระบวนการทำงานของสมอง พลังจิต เป็นพลังสมองที่ฝึกให้เกิดผลขึ้น เช่น การฝึกเพื่อมีพลังจิตคุ้มครองตนและสิ่งที่ต้องการ(วัตถุมงคล,บุคคล), การฝึกเพื่อสำแดงฤทธิผลาดแผลงสยบศัตรู และให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธา,การสะกดจิตควบคุมความคิดบำบัดอาการและรักษาโรค

    พลังจิตที่สำคัญที่สุดคือการฝึกเพื่อให้เกิดความฉลาดรู้แจ้งเห็นจริง(ปัญญา:ญาณทัสนะ)รอบรู้ทุกสรรพสิ่งจนถึงขั้นพ้นความทุกข์อยู่เหนือโลกแห่งการเวียนว่ายตายเกิดเป็นอมตะซึ่งจะเรียกว่าอยู่กับพระเจ้า หรือ นิพพาน สงบเย็นก็ได

    การใช้พลังจิตในทางที่ผิดจะก่อเภทภัยแก่ตนเอง การใช้พลังทำลายล้างก่อเวรกรรมดังเช่นผู้ใช้ไสยเวทในทางที่ผิดมักประสบเคราะห์กรรมไม่ตายดี ไสยเวทย์เป็นการใช้พลังจิตผ่านคาถาอาคมหรือเวทย์มนตร์ การท่องคาถานั้นจัดเป็นการรวบรวมพลังจิตเพื่อใช้ให้เกิดผลที่ตนต้องการมักเป็นไปในทางไม่ดีเนื่องจากไม่ทราบเหตุผลแห่งการกระทำที่แท้จริงจึงเรียกเวทมนต์ของผู้ไม่รู้หรือผู้หลับไหล ส่วนพุทธมนต์เป็นคำสอนของผู้รู้ผู้ตื่น บทสวดเพื่อท่องจำวิธีปฏิบัติและคำสอนที่ช่วยให้ผู้สวดเข้าใจวิธีปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์และสามารถถ่ายทอดยังคนรุ่นต่อไป ดังนั้นผู้ฝึกพลังจิตควรมีความปกติ(ศีล)ไม่เบียดเบียนทำร้ายผู้อื่นเพื่อคุ้มครองตนและทำให้การฝึกจิตได้ง่ายหรือเกิดความฉลาดรอบรู้ วิธีการเอาชนะโดยไม่ใช้กำลังและการฆ่าฟันเบียดเบียนผู้อื่น รวมทั้งเข้าสู่ความเป็นอมตะเหนือการเวียนว่ายตายเกิด
    จิต(สมอง)ที่ฝึกแล้วมีพลังที่สามารถควบคุมทุกสรรพสิ่งทั้งภายในและภายนอกร่างกาย ทั้งมวลสารและพลังงาน ควบคุมการ เปลี่ยนแปลงพลังงานและมวลสารตามความต้องการ เป็นได้ดังใจนึกคิด(มโนมยิทธิ) และสามารถแสดงฤทธิ (อิทธิวิธี)
    ความฉลาดรอบรู้ พ้นทุกข์
    ตาทิพย์เห็นอดีต อนาคต เหตุผล
    หูทิพย์
    อ่านใจคน
    ควบคุมสะกดจิตผู้อื่น
    ควบคุมเปลี่ยนแปลงวัตถุธาตุ มวลสารและพลังงาน
    เคลื่อนย้ายวัตถุ
    เหาะเหิรเดินอากาศ เดินบนน้ำ เดินผ่านวัตถุ หายตัว
    สื่อสารทางจิต


    ขั้นตอนการฝึก
    1.ควบคุมความคิดให้สงบจากเคลื่อนไหวของร่างกายและจิตใจที่ไม่หยุดนิ่ง มีสติรู้เท่าทันต่อความคิดต่างๆที่เกิดขึ้น หยุดการคิดปรุงแต่งที่ต้องใช้พลังงาน ด้วยการนั่ง นอนหรืออิริยาบถที่สะดวก ฝึกในสถานที่สงบเหมาะสมกับตนเอง การฝึกสมาธิ(Meditation)มีสติรู้สึกตัว รู้ว่าคิดเรื่องอะไรหรือไม่คิด
    2.ทำจิต(สมอง)ให้ปรอดโปร่งจากสิ่งดึงรั้งคืออารมณ์ต่างๆที่ไม่น่าปราถนา
    แก้ไขอารมณ์ที่ทำให้สูญเสียพลังไปกับการคิดต่างๆที่ไม่เกิดประโยชน์ โดยคิดในทางตรงข้าม
    แก้ความโกรธด้วยความรัก
    แก้ความสงสัยด้วยศรัทธาความเชื่อที่ดีและถูกต้อง
    แก้ราคะสุภะด้วยวิราคะ อสุภะ
    แก้ความง่วงด้วยการตื่น(เพ่งแสงสว่าง)
    แก้ความฟุ้งซ่านด้วยความสงบ
    สรรพสิ่งมีสองด้านหากด้านใดมากไปก็แก้โดยเพิ่มด้านตรงข้าม เพื่อเข้าสู่สมดุลสภาวะปกติที่จิตสงบปรอดโปร่ง เย็นสบาย ไม่ร้อนรนด้วยสิ่งผูกรัดดังกล่าว จึงสามารถใช้จิตสร้างพลังงานที่ก่อให้เกิดฤทธิต่างๆได้โดยง่าย
    3.รวบรวมพลังจิต เมื่อทำจิตให้เกิดสมาธินิ่งสงบจากความคิดต่างๆสร้างภาพในใจ(มโนภาพ)โดย
    กำหนดให้จิตคิดติดอยู่กับฐานที่กำหนด :ลมหายใจ ร่างกาย หรือวัตถุ
    เพ่ง วัตถุธาติ ดิน,น้ำ,ลม,ไฟ ,สีเขียวแดงเหลืองขาว ,อากาศ ,ความสว่าง
    4.สร้างพลังจิตให้แรงกล้า ด้วยการฝึกดังกล่าวจนมีสมาธิโดยไม่ต้องนั่งหลับตา มีจิตสงบนิ่งเข้มแข็งในทุกอิริยาบถของการเคลื่อนไหว ร่างกายเคลื่อนไหวแต่จิตหยุดนิ่งอยู่กับมโนภาพ(วัตถุ รูป)ที่เพ่ง เช่น เพ่งจนไม่ต้องเพ่งวัตถุอีกต่อไป ก็สามารถกำหนด ให้เห็นดิน น้ำ ลม ไฟ สีต่าง อากาศ แสงสว่าง แม้ในเวลาหลับตาหรือลืมตาทุกอิริยาบถ การเพ่งกสิณ ทำให้เล่นฤทธิต่างๆ เช่น กำหนดให้เกิดน้ำ ฝนตกมีสีแดง(ฝนโบกขรณี) เกิดจากการเพ่งน้ำและสีแดง จนมีพลังควบคุมวัตถุธาตุให้เกิดน้ำสีแดงในอากาศ ดังเช่นที่พระพุทธเจ้าทรงทำให้ญาติเกิดศรัทธาจากการเล่นฤทธิ
    5.การใช้พลังจิต(สำแดงฤทธิ) พลังจิต(การใช้พลังไฟฟ้าสมอง)กำหนดและควบคุมสรรพสิ่งให้เป็นไปตามที่ต้องการ การปล่อยคลื่นกระแสไฟฟ้าจากสมองผ่านหน้าผากสุ่ภายนอกเพื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงตามที่ต้องการ เช่น

    ๑.เกิดความฉลาดรู้แจ้งทุกสรรพสิ่ง ฝึกคิดอย่างมีเหตุผล แก้ไขปัญหาคือความไม่รู้ด้วยการแสวงหาความรู้จริง เมื่อฝึกคิดมากขึ้นจะเกิดความชำนาญในการใช้ความคิดแก้ปัญหาเกิดความรอบรู้
    ๒.ควบคุมความคิด สะกดจิต การฝึกเริ่มจากมีสติระลึกรู้เรื่องที่คิด การเปลี่ยนแปลงของการคิดของตนเอง ฝึกสะกดจิตตนเองหรือควบคุมความคิดตนเองให้ได้ เช่นฝึกการคิดในเรื่องที่ต้องการ การเปลี่ยนความคิด การหยุดคิด ฝึกสะกดจิตตนเองให้หลับและตื่นในเวลาที่กำหนด เมื่อฝึกจนชำนาญจะมีสติดีและความคิดที่ดีขึ้นรวมทั้งพลังที่จะควบคุมความคิดตนเอง เมื่อสะกดจิตตนเองได้จึงฝึกสะกดจิตผู้อื่น หัดอ่านใจและสะกดจิตควบคุมความคิดผู้อื่นให้กระทำหรือคิดในสิ่งที่เราต้องการ การฝึกอ่านใจและสะกดจิตนำไปสู่การสื่อสารทางจิตซึ่งไม่ต้องใช้ภาษาพูดสื่อสารโดยตรงสู่สมอง
    ๓.อ่านจิตรู้ใจคน การฝึกเริ่มจากการหัดอ่านใจตนเอง ดูใจตนเอง หรือรู้ว่าตนคิดเรื่องใด เมื่อมีอารมณ์ต่างๆเกิดขึ้นเช่น รัก เศร้า เสียใจ โกรธ ดีใจ เป็นต้น และหัดอ่านภาษากายเมื่อร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ต่างๆเมื่อฝึกอ่านใจดูใจตนเองเป็นชำนาญแล้ว จึงเริ่มฝึกอ่านใจดูใจผู้อื่น ทดลองทายใจผู้อื่นว่าคิดอะไร จะพูดหรือทำอะไรและทำสิ่งนั้นจริงดังที่เราทายใจหรืออ่านใจหรือไม่ เมื่อฝึกบ่อยๆจะเกิดความชำนาญและมีพลังจิตที่สูงขึ้น
    ๔.ควบคุมมวลสาร,พลังงาน และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมต่างๆ ทำให้เกิด ดิน น้ำ ลม ไฟ สี แสงสว่าง อากาศ จากพลังจิตซึ่งเป็นพลังของคลื่นไฟฟ้าในสมองเหนี่ยวนำการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กและพลังงานระดับอะตอมจนเกิดการเปลี่ยนแปลงโมเลกุลของธาตุต่างๆก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นลุกโซ่ต่อเนื่องจนเกิดการแปรเปลี่ยนของสิ่งแวดล้อมและวัตถุธาตุ การจะควบคุมได้ต้องเข้าใจความจริงการแปรเปลี่ยนของสรรพสิ่งอย่างมีเหตุและผล เมื่อมีพลังงาน ไฟเกิดขึ้นจะเกิดการเคลื่อนของลม เมื่อมีลมเกิดขึ้นจะเกิดการเคลื่อนของน้ำ เมื่อน้ำเคลื่อนจะเกิดการเคลื่อนไหวของดิน (โลกนี้แผ่นดินลอยอยู่บนของเหลว) พลังความร้อนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมวลสารอากาศ น้ำ ดินต่อเนื่องกัน นอกจากนี้การใช้พลังจิตก่อให้เกิดการเปลี่ยนสภาพของสสารต่างๆโดยตรงเมื่อพลังจิตมากเพียงพอ ฝึกสร้างภาพในใจ(มโนภาพ)ถึงสิ่งที่ต้องการ สร้างมโนภาพให้เด่นชัดและต่อเนื่องจากภายในใจสู่สิ่งแวดล้อมภายนอก เพื่อควบคุมสรรพสิ่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจนเกิดขึ้นจริงจากมโนภาพนั้น
    มโนภาพของแสงสว่างในใจทำให้เกิดแสงสว่างในความมืดมองเห็นในที่มืด มโนภาพของลมทำให้วัตถุเคลื่อนไหวเช่นกิ่งไม้,ธงไหวทำให้เกิดลมพัด เคลื่อนย้ายวัตุถุและคน เกิดการเหาะลอยไปในอากาศ, มโนภาพของไฟที่ทำให้เกิดเปลวไฟเกิดเพลิงไหม้,มโนภาพของน้ำที่ทำให้เกิดน้ำหรือฝนตก มโนภาพของดินที่ทำให้น้ำหรืออากาศแข็งตัวเป็นแผ่นดิน เดินบนน้ำหรืออากาศได้, มโนภาพของอากาศช่องว่างที่ทำให้วัตถุทึบกลายเป็นช่องว่างเดินทะลุผ่านกำแพง , มโนภาพของร่างกาย ทำให้การแปลงกายเปลี่ยนรูปร่างให้เป็นไปตามใจนึก การฝึกเริ่มจากง่ายไปหายาก จากการเพ่งภาพขณะลืมตาจนเกิดภาพในใจเด่นชัดและต่อมาฝึกให้เห็นภาพนั้นเมื่อหลับตาฝึกจนชำนาญสามารถเห็นภาพได้ทุกเวลาที่ต้องการในทุกอิริยาบถ เมื่อพลังจิตเข้มแข็งสร้างมโนภาพเปลี่ยนโลกให้เป็นไปตามมโนภาพที่กำหนด เกิดดิน น้ำ ลม ไฟ สี แสง ตามต้องการ จึงฝึกการเปลี่ยนธาตุหรือทำให้เป็นไปตามมโนภาพที่ต้องการ มโนภาพนั้นย่อมปกครองโลก
    ๕.ตาทิพย์มองเห็นอดีต หรืออนาคต การฝึกระลึกอดีตในปัจจุบันนึกย้อนกลับไปเป็นวัน สัปดาห์ เดือน ปี เพื่อระลึกเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่างๆในอดีตซึ่งเป็นการฝึกการฟื้นความทรงจำ เมื่อมีกำลังมากขึ้นจะย้อนระลึกถึงชาติก่อนได้ การฝึกให้เห็นอนาคตเริ่มจากปัจจุบัน มองไปถึงสิ่งที่กำหนดจะทำและทำให้เกิดขึ้นจริงในอนาคตที่กำหนดไว้จากวัน เดือน ปี ชาติต่อๆไป บางท่านเรียกการนั่งทางในเป็นการทำสมาธิสงบถึงระดับที่พอเหมาะและเห็นภาพในใจไม่ใช่ใช้ตาเนื้อเห็น
    ๖.หูทิพย์รู้และเข้าใจทุกภาษาแม้แต่ภาษาสัตว์หรือได้ยินเสียงระยะไกล ฝึกหัดจิตให้เข้าใจภาษากาย ที่แสดงอารมณ์และการสื่อสารต่างๆของคนและสัตว์ ฝึกให้ละเอียดจนคล้ายการอ่านใจ หัดฟังเสียงค่อยระยะใกล้ถึงระยะไกล ฝึกให้หูไวต่อเสียง และได้ยินเสียงจากระยะไกลออกไป(Telepathy)
    การจะยึดตำรานั้นไม่ดีเท่ากับการฝึกจริงดังที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พิสูจน์ด้วยตนเอง
    ผู้มีความฉลาดจะสามารถฝึกสำเร็จ ค้นพบ ความมหัศจรรย์ทางจิตตามแนวศาสนาที่มีมาก่อนวิทยาศาสตร์และอยู่เหนือข้อจำกัดของวิทยาศาสตร์ในการพิสูจน์สิ่งที่มีอยู่จริงแต่จับต้องไม่ได้ ท้าทายความสามารถของนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันที่จะทำเรื่องดังกล่าวให้เกิดขึ้นได้เช่นเดียวนักบวชในอดีต พลังจิตมีอยู่ในมนุษย์ทุกคนแต่จะรู้จักควบคุมและนำออกมาใช้หรือไม่
    การฝึกจิตทำให้เข้าใจธรรมชาติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับธรรมชาติควบคุมและเปลี่ยนแปลงสภาพธรรมชาติได้ดั่งใจนึก
    พลังจิตใช้เพื่อป้องกันตน ปรับสภาพให้อยู่สบาย ฝึกกำลังจิตให้เข้มแข็งเช่นเดียวกับการออกกำลังกาย เป็นการออกกำลังจิตหรือออกกำลังสมอง และควรเข้าใจว่าผู้มีพลังจิตยังคงต้องประสบโลกธรรมเกิดแก่เจ็บตาย ฤทธิที่ดีและง่ายที่สุดที่ควรฝึกเป็นการฝึกให้เกิดความฉลาดรู้วิธีทางพ้นทุกข์

    6.ฝึกจิต(สมอง)พิจารณาความจริงทางธรรมชาติเกิดปัญญาความฉลาด พิจารณาวัตถุธาตุทั้ง4,กาย รูปนาม(วัตถุ,พลังงาน),ไตรลักษณ์(อนิจจัง,ทุกขัง,อนัตตา)สรรพสิ่งเปลี่ยนแปลงเสมอ โลกหมุนทุกวันทุกสิ่งไม่หยุดนิ่งเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา,เกิดความรู้เพื่อละสังโยชน์ตัดเครื่องผูกมัดจิตไว้ในโลก (ละความคิดต่างๆที่เกี่ยวกับเรื่องราวทางโลก) เข้าสู่นิพพาน นิพพานอยู่ที่จิต (พลังจิตเป็็นพลังงานเช่นเดียวกับพลังงานที่มีในธรรมชาติ) นิพพานอยู่ทุกที่เมื่อใดจิตไม่อยากอยู่กับโลกก็จะเข้าสู่นิพพาน (พลังงานที่ไม่เปลี่ยนสภาพอีกต่อไป)

    การพัฒนาพลังจิตเพื่อเกิดประโยชน์เป็นสิ่งที่ต้องฝึกอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะสำเร็จ กระบวนการคิดและปฏิบัติดังกล่าวตั้งอยู่บนความจริงของเหตุและผลที่สามารถพิสูจน์ด้วยตนเอง หลักการทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันก็เป็นเช่นเดียวกับพุทธศาสตร์ที่มีวิธีการอธิบายสิ่งต่างๆอย่างมีเหตุผล จากเรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อนทำให้เข้าใจได้อย่างง่ายและนำไปใช้ได้จริง

    ทฤษฎี รหัสธรรมชาติ(Natural source code theory)

    คำถามสิ่งต่างๆเกิดขึ้นได้อย่างไร คำตอบ สิ่งต่างๆทางธรรมชาติเกิดจากรหัสทางธรรมชาติที่มีรูปแบบ วิทยาศาสตร์เหมือนศาสนาใหม่ที่พยายามทำความเข้าใจเรื่องราวต่างๆทางธรรมชาติอธิบายด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่มีเหตุผลพิสูจน์ได้ตั้งต้นจากคิดทฤษฏีต่างๆขึ้นมากมายและมีการทดสอบหาคำตอบที่เป็นจริง ยังไม่มีทฤษฎีใดสามารถอธิบายสิ่งที่เกิดทางธรรมชาติได้ทั้งหมด เรื่องของโลกที่นักคิดทั้งหลายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันคิดและบางท่านรู้เรื่องจริงทางธรรมชาติ สามารถอธิบายเรื่องที่สลับซับซ้อนยากแก่การเข้าใจสำหรับคนทั่วไปในยุคนั้นโดยเปรียบทียบกับสิ่งที่เห็นในชีวิตประจำวัน สิ่งที่พูดบางครั้งยากที่จะเชื่อเนื่องจากคนทั่วไปไม่ได้มีสติปัญญาสูงหรือฉลาดเท่าอัจฉริยบุคคลเหล่านั้นและการจำกัดด้วยภาษาที่จะสื่อสารไม่สามารถจะกำหนดสิ่งที่จับต้องไม่ได้ การนำหลักคำสอนหรือเรื่องต่างๆมาเรียบเรียงเป็นภาษาวิทยาศาสตร์เพื่อให้เข้าใจอย่างมีเหตุผลเป็นเรื่องที่ไม่ยากและแสดงให้เห็นสิ่งที่บุคคลเหล่านั้นสอนเรื่องของธรรมชาติ
    ธรรมชาติแรกเริ่มมี2สิ่ง ความว่างเปล่า(Space)กับกลุ่มพลังงาน(Energy) รหัสธรรมชาติ(Natural source code)มาจากแหล่งพลังงาน ที่เกิดขึ้นในความว่างเปล่า(Space) รหัสที่ควบคุมพลังงาน(Code of Energy formation)ก่อให้เกิดธาตุ(Mass)ซึ่งเกิดเป็นรหัสของการควบคุมพลังงาน(Source code) ,รูปแบบพลังงานควบคุม (Program,Pattern),การกำเนิด(Genesis) คงอยุ่(Regeneration) เสื่อมสลาย(Destruction) แปรเปลี่ยนสภาพ(Change)
    รหัสทางธรรมชาติมีลักษณะเป็นลูกโซ่(Chain of code)ให้กำเนิดสิ่งต่างๆ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นรหัสของอีกสิ่งหนึ่งที่ควบคุมซึ่งกันและกัน อย่างมีรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่นองค์ประกอบของธาตุพื้นฐานDNAกำหนดลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่มีรูปแบบแตกต่างกัน ซึ่งรหัสDNAควบคุมการสร้าง โปรตีนที่สร้างองค์ประกอบพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การทำงานการตายของเซลล์ต่างๆที่ประกอบขึ้นเป็นอวัยวะ อวัยวะมีรหัสการทำงานและควบคุมซึ่งกันและกันประกอบขึ้นเป็นร่างกาย,สิ่งมีชีวิตถุกกำหนดด้วยรหัสพันธุกรรมที่ควบคุมการเกิด การเปลี่ยนรูปร่าง การคงอยู่ และการเสื่อมสลาย ตาย นอกจากนี้สิ่งมีชีวิตที่ถูกกำหนดด้วยธรรมชาติให้มีการให้กำเนิด เลี้ยงดู อาศัยซึ่งกันและกัน กินกัน ฆ่าฟันทำลายกัน ตาย เกิดเป็นรูปแบบวงจรที่เป็นรหัสจากระดับพลังงาน วัตถุธาตุ อะตอม โมเลกุล เซลล์ อวัยวะ ร่างกาย สังคมสัตว์ ระบบนิเวศน์ ระบบสุริยจักรวาล มีรุปแบบเป็นรหัสที่กำหนดขึ้นจากรหัสเริ่มต้นทางธรรมชาติเป็นลูกโซ่ต่อเนื่องกันไป เช่นเดียวกับสิ่งไม่มีชีวิต ความว่างเปล่า พลังงาน ธาตุ ดวงดาว ระบบดวงดาว มีการเกิด คงอยู่เปลี่ยนสภาพและแตกดับ
    สรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเกิดจากพลังงาน(Energy) ธาตุที่รวมตัวกันได้ก็เกี่ยวเนื่องกับพลังงาน การเปลี่ยนแปลงของพลังงานระดับธาตุ(Mass) อะตอม มีรหัสทางธรรมชาติ(Natural source code)ที่ควบคุมการกำเนิด (Genesis)คงอยู่(Regeneration) เสื่อมสลาย(Destruction) อย่างมีรูปแบบ(Pattern of process,program) การเข้าใจรหัสมากมาย จะสามารถควบคุมรหัสทางธรรมชาติ ซึ่งควบคุมพลังงานที่ก่อกำเนิด แปรเปลี่ยนและทำลาย ซึ่งควบคุมทุกสรรพสิ่ง สร้าง ทำลาย เปลี่ยนรูปแบบของสิ่งต่างๆ
    รหัสทางธรรมชาติมีมากมาย การเข้าใจรหัสที่ควบคุมพลังงานระดับธาตุเป็นกุญแจสำคัญที่จะพัฒนาความรู้ต่อการกำเนิดของสิ่งต่างๆทางธรรมชาติ การควบคุมพลังงานระดับธาตุ กำเนิด เปลี่ยน ทำลาย ธาตุ เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ และเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันพยายามเข้าใจ การศึกษาพลังงานต่างๆที่มีมวลสาร(Quantum physic) มวลของพลังงาน ยังไม่เพียงพอที่จะเข้าใจความจริงทางธรรมชาติ เรื่องที่ละเอียดยิ่งกว่าระดับมวลพลังงาน เป็นเรื่องของรหัสที่ควบคุมมวลพลังงาน ที่กำเนิดมวลสาร และพลังงานรูปแบบต่างๆ การกำเนิดจักรวาล ดวงดาว สิ่งไม่มีชีวิต สิ่งมีชีวิต พลังงาน พลังงานเปรียบเสมือนผลแห่งการควบคุมด้วยรหัสควบคุมพลังงานและตัวมวลพลังงานเองก็เป็นรหัสเช่นเดียวกันที่ใช้ควบคุมต่อเนื่องและเกี่ยวเนื่องเป็นลูกโซ่ของสิ่งต่างๆ จากรหัสธรรมชาติ กำเนิด ควบคุม พลังงาน เป็นรหัส ควบคุมธาตุ กำเนิดอะตอม โมเลกุล ธาตุ สสารทั้งหลาย
    เมื่อใดที่เข้าใจจุดกำเนิดดังกล่าว มนุษย์ก็จะพบความจริงที่ว่าพระเจ้าไม่ได้มีตัวตน เป็นเพียงสภาวะพลังงานในความว่างเปล่า และการเข้าใจรหัสที่มีไม่ถ้วนมากมายนั้นจะทำให้สามารถสร้างและควบคุมทุกสรรพสิ่งดุจเดียวกับพระเจ้า หรือจะพูดว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่นั้นเป็นเพียงรหัสธรรมชาติ(God,Nirvana is the Natural source code)
    คำสอนทางศาสนามาจากความจริงทางธรรมชาติที่ยากจะอธิบายด้วยข้อจำกัดของสติปัญญาและภาษา คำสอนนั้นไม่อาจทำให้เกิดความเข้าใจแก่คนทั่วไปด้วยเหตุผลต่อสรรพสิ่งทั้งหลาย และผู้ยึดคำสอนอาจเข้าใจผิดต่อสิ่งที่ศาสดาพยายามจะบอก ผู้ที่มีระดับสติปัญญาสูง จะสามารถเข้าใจเรื่องที่ละเอียดดังกล่าวไม่ยาก มนุษย์เองก็สงสัยและมีคำถามมากมายต่อการกำเนิดของตนเอง คำถามนี้มีคำตอบที่ง่ายๆที่จะอธิบายออกมาเป็นภาษาดังกล่าว สิ่งมีชีวิตกำเนิดขึ้นในรูปแบบต่างๆจากพลังงาน รหัสพลังงานทาง ธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่มาก เกินกว่าที่สิ่งมีชีวิตทั่วไปจะเรียนรู้ได้หมด รหัสทางธรรมชาติมีมากมาย หลายล้าน ล้าน ล้านรหัส มิติของสรรพสิ่งที่สร้างขึ้นซ้อนทับกันอยู่มากมายหลายมิติ ซึ่งรหัสนั้นมีรูปแบบซ้ำๆเป็นเสมือนวงจรของการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เกิด คงอยู่ แปรเปลี่ยน เสื่อมสลาย แตกดับ เราเข้าใจเพียงรูปแบบที่รหัสกำหนดขึ้นิ
    ธรรมชาติกำเนิดจากรหัสธรรมชาติ สรรพสิ่งเกิดขึ้นอยางมีรูปแบบที่กำหนดด้วยรหัสทางธรรมชาติ
    การนำความรู้เรื่องรหัสธรรมชาติมาใช้ เช่นการควบคุมอายุ การเปลี่ยนรูปแบบวงจรการเกิด คงอยู่ ยับยั้งการเสื่อมสลาย อาจยืดอายุไขของสิ่งมีชีวิต ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจ มิติหรือสภาพที่อยู่อาศัยและสิ่งมีชีวิตรูปแบบต่างๆที่มีอยู่กลุ่มก้อนพลังงานชีวิต(Life force) และช่วยให้เข้าใจการใช้สิ่งที่เรียกว่าพลังจิต นึกคิดเป็นไปตามมโนภาพ เมื่อสามารถเข้าใจรหัสธรรมชาติที่ควบคุมทุกสรรพสิ่ง เปลี่ยนแปลงทุกสรรพสิ่ง (Mind energy directly control Natural Source code to change everything in the way of Imagination)รหัสทางธรรมชาติต้นกำเนิดมาจากความว่างเปล่าที่ไม่ไร้ตัวตน เป็นกลุ่มพลังงาน การอยู่เหนือรหัสต่างๆ เป็นพลังงานที่ไม่แปรเปลี่ยนด้วยรหัสอีกต่อไปเป็นการสิ้นสุดของวงจรรหัสธรรมชาติ ที่เรียกว่าพ้นทุกข์


    296fdde1cd55120c40233d6fb1e12327-d25vj52.jpg
     
  12. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,527
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่วิศณุกร EV 7737 6167 3 TH

    พี่รุ่งเรือง EV 7737 6168 7 TH

    พี่เอกชัย EV 7737 6169 5 TH

    พี่นวรัตน์ EV 7737 6170 0 TH
     
  13. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,527
    พูดคุย

    ก็มีแจ้งประสบการณ์พระยอดขุนพลเข้ามาแล้ว ในที่นี้จะขอเรียกว่าพญาเสือแทนก็แล้วกันนะครับ

    เรื่องแรกเป็นเรื่องของพี่ที่อาราธนาองค์พระไปตอนขับรถ พี่เขาว่าวันนั้นก็แกมๆบีบผมนิดนึงเพราะต้องการจะเร่งนัดรับของให้ได้วันที่จองเลย โดยอันที่จริงแล้วช่วงนี้ใครที่นัดรับมาผมจะปฏิเสธไปเยอะเพราะไม่ค่อยว่าง แต่พอดีพี่ท่านนี้เขาอยู่ในเส้นทางผ่านเราไปบางแควันนั้นพอดีก็เลยนัดเจอกัน ซึ่งพี่เค้ามาเล่าอีกทีว่าวันนั้นเพลียและง่วงมากเพราะขับรถมารับของแล้วก็ขับกลับ(คลาดเคลื่อนจากที่เราเข้าใจว่าเค้านัดตรงจุดที่เราผ่าน หลายเป้นว่าเค้าย้อนกลับไปกลับมาไกลพอสมควร) พี่เขาว่ามันเหมือนขับๆอยู่แล้วจะหลับในซึ่งแน่นอนว่าขับรถแล้วหลับในนี่ไม่ตายก็เจ็บหนักแน่ๆ แต่ตอนที่ตาเริ่มหลับๆตื่นๆจะถ่างตาไม่อยู่เหมือนสติจะดับตาจะปิดสนิทไปแล้วกลับได้ยินเสียงเสือคำราม(เขาว่าแบบนั้น) แค่นั้นแหละตาสว่างเลยพอมีสติก็ได้กลิ่นสาปที่พี่เค้าอนุมานเอาว่าคงเป็นสาปเสืออยู่ในรถ เขาเลยรีบจอดข้างทางเพื่อพักร่างกายแล้วเข้าปั๊มหาผ้าเย็นและงีบประมาณครึ่งชั่วโมงถึงกลับบ้านได้ พี่เค้าว่าตอนนั้นถ้าไม่มีเสียงเสือคำรามแน่นอนว่าเขาคงตายไปแล้วจริงๆ ทั้งนี้เขาก็ย้อนถามเรากลับว่าแล้วเสือที่ไหนมันจะมาคำรามในรถผมถ้าไม่ได้มาจากพระยอดขุนพลที่เพิ่งไปรับมา อันนี้ก็เป้นประสบการณ์ที่ไม่อยากให้เกิดดันเท่าไหร่ หลายๆคนถ้าขับรถแล้วง่วงก็ควรจอดพักกันนะครับ อย่ารอประสบการณ์ที่เสี่ยงกับชีวิต

    ส่วนอีกเรื่องรายนี้เขาว่าอาราธนาพระยอดขุนพลไปวันเดียวได้ขึ้นห้องผู้หญิงถึงสองคน ....เรื่องนี้ขอเล่าแบบคร่าวๆไม่ลงลึกมาก พี่เขาว่าคนแรกคือคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน เจอหน้ากัน คุยกันแล้วก็ตามเขากลับห้องเขาไปเลยแบบงงๆ พี่เขาว่าเจอกันทีแรกนางมองแปลกๆ ขึ้นรถมาก็มองเราแปลกๆ พอลงรถจะต่อรถก็ดันมาลงที่เดียวกันยืนชิดกันอีก พอต่อรถก็ดันไปสายเดียวกับเราอีกแล้วรถก็แน่นมากจนต้องยืนจับเสาต้นเดียวกันแล้วเหมือนเราก็พยายามหามุมที่ยืนถนัด เขาก้หามุมของเขากลายเป็นค่อยๆหันหน้ามาชนกัน พี่เค้าว่าตอนนั้นนี่อายม้วนกันทั้งคู่เลยก่อนจะชวนลองคุยดู เป็นความรู้สึกแบบบุพเพอาละวาดมาก สุดท้ายก็กลายเป็นเราลงป้ายเดียวกับเขาตามเขากลับห้องไปแบบงงๆ(ซึ่งอันนี้ไม่แนะนำเพราะบางทีผู้หญิงสมัยนี้ก็อันตรายไม่ควรตามกันไปง่ายๆ) หลังจากกลับมาตอนกลางคืนก็ไปนั่งร้านดื่มกับเพื่อนๆ พี่เค้าว่าเด็กที่มานั่งด้วย ขนาดเพื่อนให้เงินจะพาออกข้างนอกเขายังไม่ไปกลับมาพาเราไปต่อห้องเขาโดยที่ไม่ต้องใช้เงินซักกะบาท พี่เค้าก็เลยสรุปว่าเสน่ห์พระยอดขุนพลรุ่นนี้คะแนนเต็มสิบเขาให้ร้อยเลย เขาว่าไม่เคยเจออะไรแบบนี้มานานมากเพราะมันเลยช่วงวัยรุ่นไปแล้ว พอแก่ผู้หญิงที่เข้ามาส่วนใหญ่ไม่หวังเงินก็เห็นแก่ตัวทั้งนั้น เพิ่งจะได้มีมุมนี้กับเขาบ้างก็ตอนห้อยพระเนื้อเหม็นองค์นี้ เขาว่าพี่เก็ตเลยกับคำว่าพ่อเนื้อหอม ต่อไปวันไหนจะล่าเหยื่อเขาว่าคงจะต้องขอบารมีพญาเสือเป็นพิเศษ

    image.jpg

     
  14. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,527
    ให้พลังใจตัวเอง

    คงจะไม่มียุคไหนที่มนุษย์เราต้องการพลังใจเท่ากันยุคนี้ พลังใจเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ ฉะนั้นเราแต่ละคนจะต้องตระหนักถึงการให้กำลังใจกันและกัน สามี-ภรรยา พ่อ-แม่–ลูก เจ้านาย-ลูกจ้าง เพื่อนร่วมงานควรหล่อเลี้ยงชีวิตและให้กำลังใจกัน เฉพาะอย่างยิ่งบุคคลที่ประสบอุบัติเหตุชีวิต มีแผลลึกในหัวใจ เขาต้องการกำลังใจไม่ใช่ไปซ้ำเติม

    ผู้ที่เคยไปดูการแสดงปลาวาฬ แมวน้ำ และสัตวอื่น ๆ เราจะเห็นผู้ควบคุมการแสดงจะให้อาหาร ทุกครั้งทั้งก่อนและหลังการแสดง แต่ละฉากอาหารคือรางวัล รางวัลคือกำลังใจที่สัตว์เหล่านั้นเต็มใจแสดง แม้แต่สัตว์ยังต้องการกำลังใจเฉกเช่นมนุษย์ แต่สิ่งที่สัตว์ทำไม่ได้คือการให้กำลังใจตนเอง พลังใจที่เราอาจได้รับจากผู้อื่น ไม่ว่าจะในรูปของคำชมเชย คำเตือน ด้วยความหวังดี การรับรางวัล รอยยิ้ม เสียงปรบมือ ไม่ว่าจะมากหรือน้อยย่อมเป็นสิ่งชูใจให้มีความมุมานะยิ่งขึ้น แต่ถ้าเราอยู่ในที่ซึ่งไม่มีบุคคลรอบข้างให้กำลังใจ ผมมีวิธีที่เราจะให้กำลังใจตนเอง

    เริ่มจากการให้อภัยตนเอง มีคนไม่น้อยที่มีความขมขื่นกับตนเอง เกลียดตนเองเมื่อความพลาดพลั้งเกิดขึ้นหรือทำอะไรไม่ได้สมความตั้งใจผิดหวัง เขาจะตำหนิตัวเอง บางคนคงโทษตัวเองเจ็บๆ ในรูปแบบต่างๆ เลวร้ายที่สุดคือ ฆ่าตัวตาย ตัวเราเองใช่ว่าจะเพียงต้องการกำลังใจจากบุคคลอื่นเท่านั้น แต่ต้องการกำลังใจจากตนเองด้วย ฉะนั้นจงเรียนรู้ที่จะให้อภัยตนเอง นอกจากให้อภัยตนเองแล้ว เราต้องพูดเพื่อให้กำลังใจตนเองด้วยว่า

    “ จิตใจของข้าพเจ้าท้อแท้ทำไม”
    “ ไม่มีใครในโลกที่สำเร็จโดยไม่เคยพลาด”
    “ ความผิดพลาดความไม่สมหวังไม่ใช่ความล้มเหลว แต่คือบันไดอีกขั้นหนึ่งที่นำไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า”

    ข้อแนะนำอีกประการหนึ่งที่จะช่วยให้ตนเองมีกำลังใจคือ ให้กำลังใจคนอื่น คนที่ให้กำลังใจคนทุกข์ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดคือผู้ที่นั่ง นอนอยู่ในทุกข์นั้น จำไว้เสมอว่าเราไม่ใช่คนเดียวในโลกที่สัมผัสความท้อแท้ ไม่ใช่เราคนเดียวที่ทุกข์ที่สุดในโลก ยังมีคนอีกมากมายที่เป็นกำลังใจ ขณะที่เราพูดให้เขาสู้ เขาได้กำลังใจสู้ ตัวเราเองจะมีพลังทวีคูณ ฉะนั้นเมื่อท้อแท้ใจ จงไปหาใครสักคนหนึ่งที่เรารู้ว่าเขากำลังหมดกำลังแล้วให้กำลังใจเขา แล้วตัวคุณจะมีกำลัง เพราะนั่นเป็นกฎของพระคริสต์ที่ตรัสว่า “จงให้เขา และท่านจะได้รับด้วย”

    296fdde1cd55120c40233d6fb1e12327-d25vj52.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2018
  15. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,527
    มีคนถามๆกันมาว่าช่วงนี้พ่ออาจารย์ท่ายังมีหุ่นพยนต์หรือภูติรับใช้อะไรเหลืออยู่บ้าง ก็เดี๋ยวจะติดตามให้นะครับ เพราะบางคนชอบแนวขอหรืออธิษฐานนสิ่งที่ไม่สามารถลงมือหรือทำอะไรไม่ถนัด ทำไม่ได้ด้วยตนเอง ก็เดี๋ยวมาติดตามกันอีกที
     
  16. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,527
    เจ้าศรี

    เมื่อถามหาพยนต์กับพ่ออาจารย์ ท่านก็ตอบเบี่ยงไปว่าตอนนี้มีเฉพาะกุมารทอง แต่กุมารตัวนี้มันค่อนข้างจะแรงแบบพิศดาร เพราะกุมารทั่วไปเวลาเลี้ยงเราต้องเลี้ยงเขาตั้งแต่เป็นเด็กจนเขาโตและพัฒนาไปพร้อมกับเรา แต่กุมารฉันนอกจากเป็นเทพกุมารที่เก่งมากซ้ำไม่ต้องเลี้ยงก็โตแล้ว พร้อมที่จะรับปัญหาใหญ่ๆเรื่องหนักๆได้ทุกสิ่งเพราะฉันทำตามตำราเก่า ท่านว่ากุมารของท่านตนนี้ประหลาดกว่ากุมารทั้งปวงเพราะเป็นกุมารเจ้าเล่ห์แสนกล นอกจากนั้นยังขยันทำได้ทุกวิธี

    เมื่อพูดถึงกุมารที่มีอาคมสูงทั้งนิสัยเป็นจอมเจ้าเล่ห์ แต่แรกนั้นพ่ออาจารย์ท่านพูดถึงเจ้าศรีหรือกุมารรุ่นนี้ว่าฤทธิ์เขาแรง แต่ไอ้ที่แรงกว่าฤทธิ์ก็คือสมองของมันที่ฉันตั้งใจทำ.... มันจึงเป็นเช่นนี้ ทำไมถึงแรง และพิเศษอย่างไรเอาไว้พูดคุยกันอีกที

    ท่านว่าโบราณนั้น
    ถ้าไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็ต้องเอาด้วยคาถา แต่พ่ออาจารย์ท่านบอกว่าพ่อศรีของท่านนั้นมีครบทั้งเล่ห์กลมนต์คาถาหรือพูดอีกอย่างคืออะไรมันก็ทำได้ ไม่มีอะไรเกินมือพ่อศรีไปได้เลย เพราะว่ามันเจ้าเล่ห์และร้ายกาจในอุบายท่านจึงตั้งชื่อเทียบเทียมไว้กับศรีธนญชัยแล้วก็เรียกสั้นๆแค่เจ้าศรีหรืออ้ายศรี ด้วยเป็นกุมารทองช่างคิดที่ฉลาดแกมโกง และเรื่องที่เจ้าศรีเขาโกงเขาทำ พ่ออาจารย์ท่านย้ำว่ามีแต่เรื่องใหญ่ๆพอที่จะพลิกเหตุการณ์วุ่นวายยุ่งยากได้ทั้งสิ้น

    และเหนือสิ่งอื่นใดเลย เจ้าศรีของท่านนั้นไม่ต้องเลี้ยง เป็นกุมารที่ให้ติดตัวไว้ใช้ ไม่ต้องเลี้ยงต้องเซ่น ไม่ต้องบน ไม่ต้องถวายข้าวปลาอาหารหรือของเล่นใดๆทั้งสิ้นเกินไปกว่าตรรกะของกุมารทองโดยทั่วไป พ่ออาจารย์ท่านว่าเหมาะแก่คนที่ไม่ชอบอะไรยุ่งยาก ไม่มีเวลา ไม่ค่อยสะดวกในการไหว้บูชาทั้งกลัวได้หน้าลืมหลัง กังวลว่าจะลืมสัญญา ลืมถวายข้าวของขนมต่างๆ กลัวได้ไปแล้วจะลืมเลี้ยงดู ซึ่งกุมารเจ้าศรีนี้พ่ออาจารย์ท่านว่าเรื่องหยุมหยิมไม่เป็นเรื่องเหล่านั้นไม่ต้องกังวลหรือคิดถึงเลย เพราะฉันทำมาให้ใช้อย่างเดียวยิ่งใช้ยิ่งแรง

    ดั่งคำพ่ออาจารย์ที่ว่า

    "อ้ายศรี...พ่อตัวดีของฉันมันกลิ้งกลอก เจ้าเล่ห์เพทุบาย ฉลาดแกมโกง มักซ้อนกลอุบายในการแก้ปัญหา"

    72645_full.png
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2018
  17. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,527
    พรุ่งนี้ติดตามพูดคุยกันดีๆนะครับ เห็นของฝังหลังพ่อศรีของท่านแล้วบอกได้คำเดียวว่าที่สุดของมหาภูติสายกุมาร รับรองว่าแรงเพราะพ่ออาจารย์ท่านบอกว่าแค่วางเสกเอาไว้เรื่อยๆนี่ก็เล่นกันจนพานกระเด็นมาบ่อยแล้ว

    ท่านว่าบางองค์เราเคยเอาไปฝังที่ทางบอกกล่าวทำพิธีต่างๆ ตอนนั้นที่ดินที่ขายไม่ออกหลายๆปีเขาว่าประกาศขายตั้งแต่พ่อยังอยู่จนพ่อเขาตายไปแล้วจากที่ขายไม่ได้ก็ยังขายได้ คนซื้อเขาว่าเห็นเด็กน่ารักวิ่งมาโบกรถจึงหยุดดู แถมโบกเรียกเขาเข้าไปถึงที่ดินทีเดียว ถามชื่อเด็กไปจึงรู้เพราะเขาบอกว่าพ่อฉันเรียกว่าศรี กลายเป็นว่าคนซื้อที่ไปรีบขุดเจ้าศรีที่ฝังไว้ใช้ให้เรียกคนมาซื้อขึ้นมาบูชาต่อกันเลยก็มี ท่านว่าคนที่บูชาไปเขาเห็นตัวเห็นตนแต่หนก่อนเลี้ยงๆไปก็เจอเจ้าศรีชอบออกมาวิ่งเล่นเห็นตัวกันกลางวันแสกๆอยู่บ่อย

    ดังนั้นก็จะให้ติดตามกันดีๆสำหรับใครที่ชอบสายกุมาร เพราะปกติแล้วพ่ออาจารย์ท่านจะใช้เจ้าศรีก็ต่อเมื่อมีเรื่องตึงมือหรือคิดไม่ตกจริงๆว่าจะไปช่วยเขาอย่างไร ท่านว่าถึงมือมันแล้ว ยากที่จะไม่ได้เรื่อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2018
  18. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,527
    ร่วมทำบุญบูชา ลูกกรอกกายแก้วพรหมอารักษ์ (พ่อศรีจอมปราชญ์ลูกพระไพร)

    แต่เดิมนั้นหากพูดถึงลูกกรอกแล้วหลายๆคนย่อมปรารถนาที่จะมีไว้บูชาในชีวิตซักตนหนึ่ง ด้วยทราบดีว่าลูกกรอกที่ได้มาอย่างถูกต้องตามตำราทั้งการได้มาตัวมารดานั้นจะต้องเต็มใจยกให้ ไม่ใช่ได้มาด้วยการฆ่า การทำแท้งต่างๆซึ่งลูกกรอกนั้นจะถือว่ามีคุณมาก มีฤทธิ์มหาศาลดุจของวิเศษ หลายๆคนที่ทราบว่าพ่ออาจารย์ท่านมีลูกกรอกที่คนเอามาถวายอยู่เนืองๆ จึงมักจะขอบูชากันบางท่านเรียกว่าขอให้มีของเขาจะไม่เกี่ยงราคาค่างวดเลย ซึ่งพ่ออาจารย์ท่านเห็นว่าลูกกรอกอาคมนั้นเป็นของวิเศษจริง แต่หากเอาให้คนเพียงคนเดียวไปใช้ ประโยชน์มันก็น้อยเพราะว่าของมันไปไม่ถึงมือคนที่เขาเดือดร้อน คนมีเงินส่วนใหญ่ไม่เอาไว้สะสมประดับบารมีก็เอาไว้สนองตัณหาตัวเอง ดังนั้นท่านจึงมีดำริจะทำลูกกรอกหรือยอดกุมารขึ้นมาเสียครั้งหนึ่ง

    หากพูดถึงวิชาการเสกกุมารบางคนอาจจะคิดว่าเป็นเดรัจฉานวิชา แต่สำหรับพระอรหันต์และฆราวาสที่ทรงภูมิแล้วย่อมจะทราบดีว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ของเลวร้าย พ่ออาจารย์ท่านว่ามันเป็นวิชาทางจิต กุมารนั้นเป็นเครื่องรางนำโชคที่มีมาตั้งแต่ยุคสมัยบรรพบุรุษย้อนกลับไปไม่อาจนับได้ว่ากี่ชั่วโคตร วิชาการทำกุมารนี้มีสืบกันมาตั้งแต่สมัยอยุธยา แม้นอยุธยาก็ว่าสืบมาตั้งแต่วงศ์พระร่วง ด้วยทราบดีถึงคุณวิเศษจึงเป็นที่นิยมทำกันสืบมา กล่าวกันว่าถ้าใครที่ประกอบกิจการใดๆก็ดีมีกุมารทองเก่งๆ จะสามารถเรียกคนเรียกคู่ข้าได้กิจการนั้นจะมีลูกค้าเดินเข้ามาติดต่อย่างอุ่นหนาฝาคลั่งไม่ขาดสายเขาจะนำพาซึ่งโชคลาภ ความรุ่งเรืองมาสู่ผู้ดูแลอย่างคาดไม่ถึง

    เมื่อกล่าวถึงกุมารทอง พ่ออาจารย์ท่านว่าเจ้ากุมารนี่แหละสำคัญ เพราะยุคปัจจุบันนี้มันมีอยู่เกลื่อนเมือง เป็นของที่ใครก็คิดว่าตนก็ทำได้แต่เมื่อทอดสายตาไปจะแลหากุมารที่เก่งๆซักตนก็นับได้ว่ายากเต็มที ท่านว่าเราเห็นมีแต่เด็กที่ไร้สมอง ไม่มีความคิด ส่วนมากแล้วช่วยเหลือตัวเองยังไม่ได้ มีไว้ก็รังแต่จะเป็นภาระคนดูแล และหากพิจารณากันดีๆกุมารทองนั้นเป็นของสำคัญที่พ่ออาจารย์ท่านไม่ค่อยสร้างให้ใครใช้เลย ยิ่งกุมารเก่งๆนั้นท่านจะหวงแหนเป็นอย่างมาก

    พ่ออาจารย์ท่านได้นำลูกกรอกที่มีรกพันคอสามตนอันมีคนถวายไว้นำมาพลีป่นเป็นผงเพื่อจะทำการชุบจิตวิญญาณเสียใหม่แล้วนำมาเข้ากับว่านวัวละแกออย(เครือให้)อันมีลักษณะคล้ายกับพระธาตุพระฉิมดีทางเรียกโชคลาภและเสี่ยงโชคอย่างเอกอุเป็นที่สุด จากนั้นจึงนำผงสำคัญคือผงลูกกรอกตะเคียนใส่ลงไปด้วย อันลูกกรอกตะเคียนนี้ท่านว่าจะเกิดในท้องแม่ตะเคียนหรือต้นตะเคียนที่ลำต้นมีลักษณะบวมเหมือนคนท้อง เมื่อครบเก้าเดือนบริเวณที่บวมนั้นก็จะปล่อยแก่นไม้ออกมาดุจแม่คลอดบุตรหากได้นำมาทำเป็นกุมารแล้วจะมีคุณเอกอุเป็นที่สุด พ่ออาจารย์ท่านว่าลูกกรอกตะเคียนนั้นเกิดด้วยกำลังของพระไพรในป่าที่สมสู่กับแม่ตะเคียน เมื่อนำมาทำยอดกุมารจะได้กุมารที่มีชาติตระกูลสูงซ้ำยังถือว่าจุติเช่นผู้มีกำลังมาก มีบารมีเหนือผู้ใดด้วยกำลังของพระไพรต่างจากกุมารผีน้อยทั่วไป เมื่อได้ผงสำคัญแล้วท่านจึงนำมานวดกับน้ำมันนางหลง ผงเทพเจ้าแห่งการพนัน ผงเสี่ยงโชค ผงเสี่ยงดวง ผงสยบมหาอำนาจ ผงเสริมวาสนา ผงเสริมดวง ผงเร่งรวย ผงพระเจ้าทันใจ ผงพระลักษณ์หน้าทอง ผงกลับดวง ผงกลับร้ายกลายดี ผงนิพพานสูตร (ท่านตั้งใจเอาไว้ให้เป็นกุมารที่โกงที่สุด สามารถพลิกดวงผู้บูชาได้ และแสวงหาลาภจากการเสี่ยงดวงเสี่ยงโชคได้) และเหนือสิ่งอื่นใดเลยท่านว่ากุมารของเรานี้จะโง่ไม่ได้ ท่านจึงลงผงหัวใจพระมโหสถโพธิสัตว์บัณฑิตและหัวใจพระสารีบุตรเอาไว้โดยแยกทำการปลุกเสกขอกำลังเสด็จพระใหญ่เจริญปัญญาบารมี ปัญญาอุปะบารมี และปัญญาปรมัตถะบารมีเป็นชนวนตั้งต้นภูมิกำลังของขุมปัญญา ความคิด แลจิตวิญญาณอันเป็นที่สุดก่อนผสมลงไปด้วยอีกคำรบหนึ่ง ท่านนำผงนั้นมาปั้นเป็นหัวเด็กหรือกุมารไว้ด้วยถือคติว่ามีแต่หัวแล้วยังมีชีวิตนี่ก็คือเด็กอมตะมีพลังมีชีวิตล้นเหลือไม่มีวันตาย ใครก็รังแกไม่ได้เอาชนะไม่ได้ ซ้ำที่ท่านลงผงหัวใจพระมโหสถแลพระสารีบุตรนั้นก็เพื่อให้กุมารมีความคิด มีอุปนิสัยช่างคิดเป็นเด็กฉลาดปราดเปรื่องรู้เท่าทันโลกและยุคสมัย สามารถใช้อุบายเล่ห์กลต่างๆเพื่อบรรลุความสำเร็จและนำผู้บูชาออกจากสถานการณ์คับข้องใจได้ ท่านเสกไปวัดพลังและภูมิปัญญาไปจนกระทั่งตั้งชื่อให้กับกุมารว่าเจ้าศรีธนญชัยโดยเรียกสั้นๆแค่พ่อศรีเพราะเขามีอุปนิสัยฉลาดแกมโกงอย่างมาก พ่ออาจารย์ท่านว่า " อ้ายศรี...พ่อตัวดีของฉันมันกลิ้งกลอก เจ้าเล่ห์เพทุบาย ฉลาดแกมโกง มักซ้อนกลอุบายในการแก้ปัญหาอยู่เสมอ"

    หลังจากสำเร็จกุมารทนสิทธิ์มีฤทธิ์ดุจภูมิเทวดาแล้ว ท่านว่ามีแต่หัวก็จะไม่น่าเอ็นดูเท่าไหร่ จึงหลอมร่างสถิตย์ให้พ่อศรี ท่านใช้ธาตุกายสิทธิ์มาลงสูตรพรหมกุมารเทร่างให้ในลักษณะลูกกรอกพร้อมกับกล่าวว่า "พ่อตัวร้ายของฉันต้องดูดรกจกปากเท่านั้น"

    "พ่อศรีดูดรกจกปาก" ท่านว่าเก่งที่สุดของกุมารก็ต้องเป็นลูกกรอกท่านจึงทำพ่อศรีให้มีลักษณะเป็นลูกกรอกเพราะเขามีฤทธิ์เป็นกายสิทธิ์ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่บันดาลให้แม่มีโชคมีลาภ แคล้วคลาดอันตรายตั้งแต่ยังอยู่ในท้อง ซ้ำยังถือคติเมื่ออยู่ในท้องจะมีรกพันตัวเลยเรียกว่ากุมารดูดรก พ่ออาจารย์ท่านว่าที่กุมารดูดรกก็คือกุมารที่กินหรือดูดตลอดเวลาที่อยู่ในท้องแม่เป็นเคล็ดว่าอมไม่รู้สิ้น กินไม่รู้จบ เช่นนั้นลูกกรอกที่มีรกพันตัวจึงถือเป็นสุดยอดของศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์เหนือกุมารทองทั่วไป แต่ที่สำคัญที่สุดคือการจะปลุกเสกให้สำเร็จได้นั้นนับว่ายากมาก กุมารเช่นนี้เมื่อมีบูชาไว้ ท่านว่าจะไม่พบพานความลำบาก ไม่รู้ยาก รู้จน ชีวิตไม่มีทางอับจนลงได้เลย ด้วยเป็นกุมารทองกายสิทธิ์มีอิทธิฤทธิ์อิ่มอุดม ให้คุณค้ำคูณผู้เลี้ยงอย่างเดียวดังเลี้ยงลูกกรอก ถือคติว่าเป็นกุมารที่อยู่ในครรภ์มารดาตอนยังไม่คลอด มีกิน รู้อิ่มด้วยสายสะดือที่ป้อนเข้าถึงปาก แถมยังมี“แม่ซื้อ”เทวดารักษาตัวคอยอุ้มสม จึงถือเป็นเคล็ดให้คนครอบครองมีกินมีใช้อิ่มหนำสำราญไม่รู้จักอดตลอดเวลาใครได้ใช้ดุจมีลูกกรอกเทวดาบูชาอยู่ช่วยให้คุณค้ำคูณให้พ่อแม่มีแต่ความเจริญร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีอย่างเดียว โบราณจึงบอกเล่ากันว่าใครเลี้ยงกุมารดูดรก ไม่พานพบความจน

    พ่ออาจารย์ท่านเสกบรรจุปราณใส่หายใจให้แก่กุมารทอง ตรึงรูป ตรึงนาม ปลุกเสกประจุพลังอาถรรพณ์มนตรานิพพานสูตร ว่าสูตรมหาภูติคืนครรภ์ลงในกุมารเพื่อให้กุมารเป็นทิพย์ อิ่มทิพย์ดั่งอยู่ในครรภ็มารดาท่านเสกจนกุมารทองดูดรกเคลื่อนไหวได้ ทั้งปรากฏเสียงเด็กร้องดั่งมีชีวิตมีชีวิต แล้วก็ค่อยๆทำการเสกหนุนต่อไปทีละด้าน หาฤกษ์หายามวันไหนฤกษ์ไหนเป็นมงคล ท่านก็จะประจุมนต์ปลุกเสกไปเรื่อยๆ วันไหนท่านคำนวณเลขยามแล้วดีถือเป็นวันมงคลท่านก็จะนั่งเดินมนต์ปลุกเสกไป เช่น
    - วันไหนตรงกับฤกษ์เศรษฐีท่านก็จะเสกด้วยมนต์หัวใจเศรษฐี หัวใจพระฉิม หัวใจเงินล้านเสกให้รวยกันถ้วนหน้า
    - วันไหนเข้าโจโรฤกษ์หรือฤกษ์มหาโจรท่านก็จะเสกด้วยหัวใจโจรเพราะโจรเป็นที่เกรงกลัวของผู้คน สะกดคน น่าเกรงขาม จิตใจเด็ดเดี่ยว โหดเหี้ยม ดีเด่นด้านมหาอำนาจทำให้เหนือคนชนะศัตรูทำให้เราเด่นกว่าใคร
    - วันไหนเข้าเพชรฆาตฤกษ์หรือเรียกว่าฤกษ์พิฆาต ท่านก็จะเสกด้วยมนต์มหาสะกดสยบคนให้ดวงเหนือกว่าเด่นกว่าคู่แข่ง แม้ทำการพนันขันต่อเสี่ยงดวงก็จะสะกดเจ้ามือเรียกว่าเป็นมหาสยบ มหาสะกด พิฆาตคู่แข่ง
    ถ้าตรงกับฤกษ์ยามมงคลไหนท่านก็จะเสกมนต์คาถาตามฤกษ์นั้นไปเรื่อยๆคนครบทุกบทเพื่อให้ดีทุกทางเก่งทุกด้านทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆนับวันเดือนปี หลังจากนั้นจึงอธิษฐานขอบารมีเสด็จพระใหญ่หนุนภูมิเขาไปเรื่อยๆตั้งแต่ภูมิเทวา อากาศเทวาหนุนไปเรื่อยๆจนเป็นพรหมกุมาร ท่านว่าพ่อศรีของฉันนั้นฉันหนุนจนเป็นพรหมกุมารมีกายแก้วเป็นกุมารรู้ความ คนที่บูชาเขาจะอิ่มด้วยโภคทรัพย์ ทั้งยังใช้เขาให้วิ่งหาทรัพย์ให้ คอยจับ คอยสนับสนุนเราก็ย่อมได้ ใช้ได้ทั้งอนุเคราะห์และสงเคราะห์ ช่วยพ่อ ช่วยแม่ ช่วยคนเลี้ยงเพื่อเป็นกำลังค้ำคูณอุดหนุนชักนำให้ดีขึ้นแบบรวดเร็ว ท่านว่าฉันทำไว้ให้คนใช้ขอทรัพย์รับโชคจำไว้เท่านี้ก็พอ


    ท่านว่าเสกกุมารให้เขามีปัญญา ให้เขาเก่งและฉลาดไปพร้อมๆกันนั้นถือว่าทำได้ยาก ท่านมักนำกุมารของท่านไปเสกตรงจุดที่มีพลังธาตุพลังธรรมชาติแรงๆอยู่เนืองๆจนพวกชาวเขาเห็นดวงไฟลอยไปลอยมา ดุจลอยเล่นแสงพระจันทร์คืนเพ็ญ บ้างก็วิ่งแข่งกัน ทำให้หลงเข้าใจว่าเป็นพระธาตุและสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงเดินตามมาดูจนเห็นลูกไฟเหล่านั้นค่อยๆลอยเข้าไปในกองกุมารของพ่ออาจารย์เช่นนั้น ถึงขนาดที่พ่ออาจารย์ท่านกล่าวว่า " ไอ้ศรีนี้ฉันเสกจนเต็มหมดแล้ว เสกต่อไปไม่ได้อีกแล้วเพราะพลังงานมันไม่พร่องเลย ใครมีบุญก็มาเอาไปนะ เอาไปช่วยทำการ ทำงาน ทำไปเถอะนะจะทำอะไรก็สำเร็จ "

    พ่ออาจารย์ท่านพูดถึงกุมารทั่วไปว่าเวลาเลี้ยงเราต้องเลี้ยงเขาตั้งแต่เป็นเด็กจนเขาโตและพัฒนาไปพร้อมกับเรา แต่กุมารฉันนอกจากทำให้จะทำให้เก่งมีฤทธิ์มากแล้ว มันยังต้องรู้ความมีปัญญามาก รู้หน้าที่ รู้จักรับผิดชอบงานของตน ซ้ำกุมารฉันไม่ต้องเลี้ยงเขาก็โต พร้อมที่จะรับปัญหาใหญ่ๆเรื่องหนักๆได้ทุกสิ่งเพราะฉันทำตามตำราเก่าเสกแล้วก็ต้องหนุนภพภูมิ ทั้งเสกเก็บทุกฤกษ์ให้เก่งทุกด้าน ตั้งใจทำให้เป็นกุมารเพื่อให้คนเอาไปใช้งาน ไม่ใช่ทำเพื่อให้เอาไปเลี้ยงเป็นขี้ขา เป็นภาระ เป็นคนรับใช้กุมารเช่นนั้น ท่านว่ากุมารของท่านตนนี้ประหลาดกว่ากุมารทั้งปวงเพราะเป็นกุมารเจ้าเล่ห์แสนกล นอกจากนั้นยังขยันทำได้ทุกวิธี เมื่อพูดถึงกุมารที่มีอาคมสูงทั้งนิสัยเป็นจอมเจ้าเล่ห์ แต่แรกนั้นพ่ออาจารย์ท่านพูดถึงเจ้าศรีหรือกุมารรุ่นนี้ว่าฤทธิ์เขาแรง แต่ไอ้ที่แรงกว่าฤทธิ์ก็คือสมองของมันที่ฉันตั้งใจทำตั้งแต่เริ่ม ฉันต้องการกุมารที่มีสมอง คิดเองเป็นไม่ใช่ใช้งานอะไรเจอปัญหาก็ทำตัวไม่ถูก ทำงานไม่เป็น ต้องมานั่งเลี้ยงซื้อของซื้อขนมให้เขาทุกวันรอความหวังรอมันโตมันเก่ง เข้าทำนองงานก็ไม่เดิน ทรัพย์ก็ร่อยหรอ ดังนั้นเมื่อสร้างฉันจึงขอเสด็จพระใหญ่ท่านหนุนปัญญาบารมีให้เขาเป็นพิเศษเปิดสติปัญญาให้รู้แจ้งแทงตลอดบวกกับนิสัยแกมโกงทำงานทุกวิธีขอให้สำเร็จ เอาว่าพ่อศรีมันไม่เกี่ยงวิธีการเช่นนั้น

    โบราณนั้นเขาว่าถ้าไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็ต้องเอาด้วยคาถา แต่พ่ออาจารย์ท่านบอกว่าพ่อศรีของท่านนั้นมีครบทั้งเล่ห์กลมนต์คาถาหรือพูดอีกอย่างคือ อะไรมันก็ทำได้ ไม่มีอะไรเกินมือพ่อศรีไปได้เลย เพราะว่ามันเจ้าเล่ห์แสนกลและร้ายกาจในอุบายไม่ขี้เกียจท่านจึงตั้งชื่อเทียบเทียมไว้กับศรีธนญชัยแล้วก็เรียกสั้นๆแค่เจ้าศรีหรืออ้ายศรี ด้วยเป็นกุมารทองช่างคิดที่ฉลาดแกมโกง และเรื่องที่เจ้าศรีเขาโกงเขาทำ พ่ออาจารย์ท่านย้ำว่ามีแต่เรื่องใหญ่ๆพอที่จะพลิกเหตุการณ์วุ่นวายยุ่งยากได้ทั้งสิ้นและเหนือสิ่งอื่นใดเลย เจ้าศรีของท่านนั้นจำไว้ว่าไม่ต้องเลี้ยง เป็นกุมารที่ทำให้ติดตัวไว้ใช้ ไม่ต้องเลี้ยงต้องเซ่น ไม่ต้องบน ไม่ต้องถวายข้าวปลาอาหารหรือของเล่นใดๆทั้งสิ้นเกินไปกว่าตรรกะของกุมารทองโดยทั่วไป พ่ออาจารย์ท่านว่าเหมาะแก่คนที่ไม่ชอบอะไรยุ่งยาก ไม่มีเวลา ไม่ค่อยสะดวกในการไหว้บูชาทั้งกลัวได้หน้าลืมหลัง กังวลว่าจะลืมสัญญา ลืมถวายข้าวของขนมต่างๆ กลัวได้ไปแล้วจะลืมเลี้ยงดู ซึ่งกุมารเจ้าศรีนี้พ่ออาจารย์ท่านว่าเรื่องหยุมหยิมไม่เป็นเรื่องเหล่านั้นไม่ต้องกังวลหรือคิดถึงเลย เพราะฉันทำมาให้ใช้อย่างเดียวยิ่งใช้ยิ่งแรง

    โดยปกติแล้วพ่ออาจารย์ท่านจะใช้เจ้าศรีก็ต่อเมื่อมีเรื่องตึงมือหรือคิดไม่ตกจริงๆว่าจะไปช่วยเขาอย่างไร เพราะท่านว่าเมื่องานถึงมือมันแล้ว ยากนักที่จะไม่ได้เรื่อง ดังนั้นหนนี้ท่านจึงให้นำออกให้บูชา ท่านว่าคนที่มีทุกข์ มีภาระหนักอะไรก็พูดก็บอกพ่อศรีเขา พูดกับเขาเพราะๆ จำเอาไว้ว่าพ่อศรีของฉันอิ่มทิพย์ไม่ต้องเลี้ยง เขาช่วยเราเขาก็ได้บุญมีบารมีเพิ่มขึ้นเป็นวงจรของเขา ขอแค่คนเลี้ยงหมั่นชวนคุย หมั่นขอ หมั่นพูดถึงเขาเพียงเท่านี้ก็พอ คิดเสียว่าพ่อศรีก็เหมือนคน พูดมากๆหน่อย เรียกใช้บ่อยๆหน่อย เดี๋ยวก็จะสนิทกันเอง พอสนิทกันแล้วอะไรก็ดีไปหมด

    *** พ่ออาจารย์ท่านว่าควรอาราธนาพ่อศรีเป็นคู่เพื่อให้เขามีสหายมีหัวโจกมีบริวาร ทั้งการสิ่งใดที่เราขอเขาจะจัดแจงแบ่งงานกันทำเอง หรือใครที่มีห้างร้านสถานที่ต่างๆก็ดีให้เอาเขาไปฝังไปทำอาถรรพ์ไว้ หรือจะตั้งบูชาในเคหะสถานก็ได้ เอาไว้บอกกล่าวให้เขาดูแลที่ทางหรือทำให้สถานที่และกิจการของเรานั้นเจริญรุ่งเรืองไร้คู่แข่งก็หมดปัญหา ท่านว่าจะใช้กี่ตนก็ตามแต่วาสนาบารมีของแต่ละคน แต่ตามตำราเลี้ยงลูกกรอกนี้เขาว่ายิ่งมีเยอะยิ่งดีเพราะมันจะช่วยเหลือกันดันเราหนุนเราจนเจริญรุ่งเรือง

    คาถาบูชา
    เอหิตาตะ ปิยะปุตตะปุเรถะ มะมาปาระมิง หะทะยัง เมพิสินเจถะ กะโรถะ เอหิกุมาโรวามะมะ นะมะพะทะ
    โอม มหาพรหมาปิยะกุมาโร มหาภูโตมหิทธิโก สัพเพธิเสสุวัตถิโก สัพพะคาเมสุโคละโส สัพพะชะนานังหะทะเย มหาเตโชปะวัตติโก รัตตะนัตยานุภาเวนะ รัตตะนัตยะเตชะสา เทวานังอิทธิพะเสนะ พรหมมะกุมาโรจะโลกะวิทู อะหังนุกา อะคัจฉายะ อาคัณฉาหิ มหิทธิโก


    พ่ออาจารย์ท่านว่าของที่มีฤทธิ์เสมอ แลมีชาติตระกูลสูงกว่าลูกกรอกเช่นนี้ทำยากและท่านตั้งใจจะทำเพียงครั้งเดียวเพราะมวลสารนั้นหายากและมีราคาสูงมาก ดังนั้นใครมีวาสนาก็ให้เอาไว้เถิด เพราะสมัยนี้ต่อให้คนดีมีคุณธรรมแค่ไหน หากไม่มีกุนซือที่ฉลาดแกมโกงคอยช่วยเหลือแล้วมันก็ไปต่อไม่ได้จริงๆนั่นแหละ พ่ออาจารย์ท่านว่าคบเจ้าศรีไว้ถือมันเป็นเพื่อนรับรองว่าชีวิตจะพุ่งขึ้นต่อไปได้เรื่อยๆ ซ้ำเจ้าศรีของฉันใครพกก็เป็นสง่าราศรีสมชื่อมัน หน้าเธอจะหวานดุจครอบพระลักษณ์หน้าทองนั่นทีเดียวเพราะฉันทำให้เป้นเสน่ห์มหานิยมดึงดูดคนอยู่ในที

    ร่วมทำบุญบูชา ลูกกรอกกายแก้วพรหมอารักษ์(พ่อศรีจอมปราชญ์บุตรพระไพร) บูชา 900 บาท

    42413605_1981431478616774_4641150653719117824_n.jpg 42356592_229650684570882_5145625598067998720_n.jpg
    42435612_661299147578027_3322668626686771200_n.jpg
     
  19. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,527
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่คณพศ EV 4403 9742 2 TH

    พี่อัครพงศ์ EV 4403 9743 6 TH

    พี่ชัยวัฒน์ EV 4403 9744 0 TH

    พี่ธีธัช EV 4403 9745 3 TH
     
  20. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,104
    ค่าพลัง:
    +16,527
    ลูกกรอก

    นานทีปีหนพ่ออาจารย์จะทำกุมารทองซักครั้ง วันนี้ก็เลยเอาบทความเรื่องลูกกรอกมาให้อ่านกันคร่าวๆ จะได้พิจารณาดูถึงความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ต้องเลี้ยง และไม่ต้องเลี้ยงอาศัยใช้ใจบูชาอย่างเดียว ก็ลองเทียบกันดู

    อัศจรรย์เหนือธรรมชาติ "ลูกกรอก"มีทั้งคนและสัตว์ ดุจดั่งมีจิตวิญญาณสถิต ให้คุณแก่ผู้เลี้ยงดู ป้องกันอันตรายให้โชค ให้ลาภ ต้องคอยเลี้ยงดูให้ดี

    ลูกกรอกแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ

    ๑. ลูกกรอกที่เป็นคน

    ๒. ลูกกรอกที่เป็นสัตว์ เช่น ลูกกรอกแมว ลูกกรอกสุนัข

    ลูกกรอกที่เป็นคนคือ ทารกที่ปฏิสนธิแล้ว มีอาการครบ ๓๒ แต่มีขนาด เล็กแค่คีบ หรือใหญ่กว่าเล็กน้อย แม้จะอยู่ในครรภ์ครบแล้วแต่ขนาดก็ไม่เพิ่มขึ้น ในทางการแพทย์ถือว่าเด็กนั้นเสียชีวิตตั้งแต่ในครรภ์ จึงไม่ถือว่าเป็นบุคคล ตามกฎหมาย แต่ในทางไสยศาสตร์นั้นถือว่า วิญญาณได้ปฏิสนธิในตัวลูกกรอก แล้ว วิญญาณฝังครองอยู่จนกระทั้งคลอดออกมา จึงทำให้ร่างกายลูกกรอก ไม่เน่า ไม่เปื่อยทั้งๆ ที่ในการแพทย์ถือว่าไม่มีชีวิตอยู่แล้ว

    ในทางไสยศาสตร์จึงถือว่า ลูกกรอกเป็นทารกที่มีวิญญาณครองแต่ไม่มีชีวิต ดังนั้นเมื่อคลอดออกมาจึงมีคติที่จะอาบน้ำอาบท่า ใส่เสื้อผ้า ใส่พาน แล้ว สักการบูชา โดยมีคติความถือว่าจะปกป้องรักษาผู้เป็นแม่ให้แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง มีโชคลาภ มีทรัพย์สินเงินทอง

    ที่น่าแปลกใจคือ ลูกกรอกที่ตั้งอยู่ในพานนั้นไม่มีการเน่าเปื่อย โดยไม่ต้องมียาสมุนไพรหรือสารเคมีใดๆ มาอาบไว้ ลูกกรอกบางรายคงสภาพอยู่ถึง ๖๐ ปี แต่ส่วนมากจะสลายกลายเป็นผุยผงเมื่อพ่อแม่เสียชีวิต

    ความศักดิ์สิทธิ์ หรือความขลังของลูกกรอก หาได้เกิดจากพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ หรือการปลุกเสกแต่อย่างใด แต่เชื่อว่าลูกกรอกนั้นมีวิญญาณสิงสถิตอยู่ คอยทำนุบำรุงอุ้มชูผู้เป็นพ่อเป็นแม่ และพ่อแม่ก็จะปฏิบัติต่อลูกกรอก เหมือนปฏิบัติต่อลูกตามวัยของเด็ก เช่น หาของกินให้ หาของเล่นให้ ชวนป้อนข้าว ไปไหนก็ชวนไปด้วย ผู้เป็นแม่บางรายรู้สึกได้เลยว่าในยามค่ำคืน ลูกกรอกจะมาดูดนมแม่ตอนที่แม่หลับ หรือกึ่งหลับกึ่งตื่น

    นักไสยศาสตร์บางรายถึงกับเที่ยวล่าหาลูกกรอก เที่ยวแสวงหาว่าที่ใดมีลูกกรอกบ้าง ก็ใช่วิชาอาคมเรียกเอาวิญญาณลูกกรอกไปใช้สอยเป็นข้าทาสบริวาร ดังนั้นพ่อแม่คนใดมีลูกกรอกจึงต้องหาอาจารย์ดีๆ มาทำพิธีป้องกันไม่ ให้คนอื่นมาเรียกเอาวิญญาณลูกกรอกไป

    ลูกกรอกที่เป็นสัตว์ ก็ให้คุณคล้าย ๆ กันคือ ให้โชคให้ลาภ มีหลายคนที่ สงสัยว่าลูกกรอกเป็นผู้ใช้หรือไม่ คำตอบคือ ไม่ใช่ แต่ลูกกรอกเป็นกึ่งเทพกึ่งผี จะมีอำนาจมากกว่า ระยะเวลามีชีวิต จากที่เคยพบเห็นจะมีอายุอยู่ที่ประมาณ ๒๐ ปี ซึ่งก็ถือว่าไม่นานนักและหากบ้านไหนคิดว่ามีลูกกรอกอยู่ในบ้าน ก็ควรรีบทำบุญ ถวายสังฆทาน อุทิศส่วนกุศลให้โดยไว้

    วิธีบูชาลูกกรอกแมวรกแมว

    ๑.ทำการตั้งชื่อแมวให้นำติดตัวติดกระเป๋าพาเดินทางไปยังที่ต่างๆด้วยกัน เวลาเจอจังหวะมีโชคมีลาภขึ้นมาแมวจะบอกเอง หรือค้าขายก็ให้บอกแมวนั้น หรือจะไปเจรจาใดๆพูดจากับใครให้รักให้หลงให้เชื่อคล้อยตามก็บอกลูกกรอกแมว จะไปซื้อหวย เสี่ยงโชคการพนัน หรือจะทำอะไรก็ให้บอกลูกกรอกแมวนั้น หรืออาจจะบนก็ได้เช่นปลาทูสิบตัวเป็นต้น

    ๒.จุดธูปขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทางในบ้าน ใช้ธูป ๑๒ หรือ ๑๖ ดอก จากนั่นแนะนำตัว ข้าพเจ้าชื่อ….อยู่

    บ้าน เลขที่…ขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทาง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายแห่งนี่ที่ปกปักรักษาบ้านข้าพเจ้าอยู่ จงเปิดทางเข้า-ออก ให้ลูกกรอกแมวชื่อ…ให้เข้า-ออกบ้านข้าพเจ้าได้โดยสะดวก เพื่อเสริมทรัพย์ เสริมบารมี การค้าการขาย โชคลาภ เมตตามหานิยม ขอให้เจ้าที่จงเปิดทาง ให้ลูกกรอกแมวด้วยเถิด

    ๓.หาภาชนะมาใส่ อาจจะวางไว้บนพานหรือหากล่อง แต่ควรหา ผ้าสีแดงมารองไว้ด้วย เลี้ยงและบูชาด้วยน้ำ นม อาหารแมว หรือปลาทู สิ่งที่แมวชอบกินกัน อาจจะทุกวัน ทุกวันพระ หรือประจำวันเกิดขึ้นอยู่ ผู้นำไปเลี้ยงบูชา เวลาทำบุญก็หมั่นอุทิศส่วนกุศล ผลบุญแผ่บุญกุศลไปถึงลูกกรอกแมวด้วย

    คาถาลูกกรอกแมว หรือรกแมว

    นะโม ๓ จบ
    มะ อะ อุ มา นิ มา มา
    คำพูดที่เราต้องการ ตัวอย่าง ขอให้ถูกหวย ขอให้.....มาซื้อของเรา มารักเรา มาหาเรา มาซิมามา (๙จบ)

    คาถาปลุกลูกกรอกแมว หรือรกแมว

    ตั้งนะโม๓จบ
    นะทุเตสัง ตะโตภุญชันติ โภชะนัง เมสัญเจ อาคัจฉายะ อาคัจฉาหิ โอเมตตันติโรทันตังเต เตจะรันตุเม สัพเพเมตตัง จิตตังจิตตัง เมตตัญจะ สัพโลกัสสะมิง นะชาลีติ มะชาลีติ พะชาลีติ ทะชาลีติ ๙จบ


    42413605_1981431478616774_4641150653719117824_n.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...