เรื่องเด่น พระอรหันต์ไม่สูญจากโลก โดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ฉลาดน้อย, 21 พฤษภาคม 2013.

  1. ฉลาดน้อย

    ฉลาดน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +1,721
    พระอรหันต์ไม่สูญจากโลก

    โดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

    ตอบปัญหารายการทไวไลท์โชว์ Twilight Show

    แพร่ภาพทางไทย ทีวีสี ช่อง 3 เมื่อวันที่ 5 กรกฏาคม 2541


    ผู้ถาม

    ท่านผู้ฟังครับนี้คือรายการ ทไวไลท์โชว์ และนี่ก็คือช่วง ทอล์ค โชว์ ของเรา ทอล์ค โชว์ ของเราในวันนี้ ผมถือว่าเป็นเกียรติกับรายการ และเป็นโชคดี เป็นกุศลอันยิ่งใหญ่แก่ท่านผู้ชมเป็นอย่างยิ่งที่จะได้รับชมเรื่องราวของเราในวันนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่าในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันนี้ ประเทศชาติของเราได้ประสบกับปัญหาเรื่องของเศรษฐกิจตกต่ำเป็นอย่างยิ่ง หลายๆ ฝ่ายได้ร่วมมือร่วมใจกันช่วยเหลือที่จะให้ประเทศเรารอดพ้นจากภัยเศรษฐกิจตรงนี้ แต่ว่าไม่ใช่เฉพาะคนธรรมดาอย่างพวกเราเท่านั้นที่ร่วมกันช่วยเหลือ ยังมีพระอริยเจ้าอีกองค์หนึ่ง ท่านได้กรุณาช่วยเหลือและได้กรุณาที่คิดจะทำให้ชาตินี้พ้นภัยไปด้วย

    ท่านเองได้ปวารณาตัวเองออกมาเพื่อจะช่วยชาติ เกิดเป็นโครงการขึ้นมาชื่อว่า โครงการช่วยชาติ โดย หลวงตาบัว หลวงตาบัวที่เราพูดถึงนี้ก็คือ ท่านพระราชญาณวิสุทธิโสภณ หรือท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี ซึ่งวันนี้ท่านได้มาร่วมรายการกับเราแล้ว และวันนี้ก็จะได้สนทนากันในหลายๆ เรื่อง ซึ่งจะเป็นธรรมะอันยิ่งใหญ่กับท่านผู้ชมด้วยนะครับ

    ผมต้องขอกราบขอบพระคุณหลวงตาเป็นอย่างยิ่งที่ได้กรุณากับรายการของเรา วันนี้จึงต้องขอกราบเรียนถามหลวงตาในปัญหาหลายๆ ปัญหาที่เป็นปัญหาซึ่งจะเป็นประโยชน์กับชนหมู่ใหญ่ หลวงตาขอรับ เศรษฐกิจชาติบ้านเมืองเป็นอย่างตอนนี้ หลายๆ คนก็มีแต่ทุกข์ ทุกข์ก็หนักขึ้นไป แล้วก็ทุกข์ทั้งกายทุกข์ทั้งใจ อยากจะเรียนถามหลวงตาว่า ทำอย่างไรจึงจะดับทุกข์ตรงนี้ไปได้ขอรับ

    หลวงตา


    ก็ต้องต่างคนต่างตะเกียกตะกายช่วยเหลือตัวเอง ด้วยความขยันหมั่นเพียร และมีการประหยัดการเป็นอยู่หลับนอนใช้สอยต่างๆ ที่เคยฟุ่มเฟือยมาเป็นประจำในชาติไทยของเรานี้ ให้ลดน้อยถอยลงไปโดยลำดับลำดา ต่างคนต่างปฏิบัติต่อตัวเองด้วยความประหยัดและความขยันหมั่นเพียร นี่ก็เป็นพื้นฐานอันดีที่จะทำให้บ้านเมืองของเราดีขึ้น ทุกข์ของเราก็มีน้อยลง เช่น การประพฤติปฏิบัติตัว ก็อย่าเตร็ดเตร่เร่ร่อนไม่มีสถานีที่จอดแวะ ให้มีสถานีที่จอดแวะด้วยศีลด้วยธรรม

    การอยู่การกิน พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ว่า ให้รู้จักประมาณในการกินการใช้การสอย ดังแสดงไว้ในหลักธรรมว่า อารักขสัมปทา แรกก็บอกว่า ให้มีความขยันหมั่นเพียรต่อหน้าที่การงานที่ชอบธรรมของตน มีความขยันหมั่นเพียรแล้วก็ให้มีการเก็บการรักษา อย่างสุรุ่ยสุร่าย ท่านว่า สมชีวิตา การเป็นอยู่ปูวายให้พอเหมาะพอสมกับความเป็นอยู่ของตนและครอบครัวของตน อย่าให้สุรุ่ยสุร่ายฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไปต่างๆ ซึ่งเป็นความเสียหาย

    และการคบค้าสมาคมกับเพื่อนฝูง ก็ให้พึงระมัดระวังว่า คนใดเป็นคนดี คนใดเป็นคนชั่ว ควรคบได้มากน้อยเพียงไรก็ให้ใช้ความพินิจพิจารณาแล้วย้อนมาดูตัวของเราเองว่า เรานี้เป็น คนพาลหรือเป็นบัณฑิตนักปราชญ์ เวลานี้จิตใจของเราเป็นยังไง ความประพฤติของเราเป็นยังไง เป็นความประพฤติที่เป็นพาล เป็นความคิดที่เป็นพาล หรือเป็นความคิดที่ดีที่งาม ที่ท่านเรียกว่าเป็นความคิดของบัณฑิตนักปราชญ์ ก็ให้เลือกเฟ้นภายในของตัวเองว่า เวลานี้เราเป็นพาลชน หรือเป็นบัณฑิตชน

    ถ้าเราเป็นพาลชนก็ให้รีบแก้ไขดัดแปลงสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายซึ่งมีอยู่ภายในตัวของเรานี้ ออกไปโดยลำดับ แล้วนำสิ่งที่ดีงามเข้ามาแทนที่ ได้แก่ ความประพฤติดีงามทุกอย่าง อันนี้ก็ทำให้ชาติบ้านเมืองของเราจะมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปโดยลำดับ เพราะต่างคนต่างปฏิบัติอย่างนี้ที่เรียกว่าดำเนินตามศีลธรรมสมกับว่าเราเป็นชาวพุทธ คำว่าเป็นชาวพุทธต้องมีแบบมีฉบับ มีธรรมเป็นเครื่องดำเนิน เป็นเครื่องพาอยู่พาเป็นพาไป เรียกว่าเป็นชาวพุทธ ถ้ากิเลสมาเป็นชาวพุทธแทนเสีย สิ่งที่ทำทั้งหลายนี้ก็จะเป็นภัยต่อตนทั้งนั้นไม่มีประมาณ เพราะกิเลสไม่เคยมีประมาณ และเคยเป็นข้าศึกต่อโลกมานานแสนนานแล้ว

    แต่ใครๆ ไม่ค่อยจะทราบว่ากิเลสเป็นภัย เพราะกิเลสมีความละเอียดแหลมคมมาก ถ้าไม่ได้ขึ้นปฏิบัติต่อกรกับกิเลสเสียก่อน ก็ไม่ทราบว่าอะไรเป็นภัย พระพุทธเจ้าที่เป็นศาสดาองค์เอกของพวกเราทั้งหลายนั้น ได้ทรงทราบทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งด้านธรรมะ ทั้งด้านกิเลส จึงนำมาสอนโลกทั้งทางโทษและทางคุณโดยสมบูรณ์ทุกแบบ พวกเราทั้งหลายที่เป็นชาวพุทธก็ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตามนี้ เข้าใจไหม

    ผู้ถาม

    พระคุณเจ้าได้พูดถึงว่า เป็นชาวพุทธต้องอยู่ในศีลในธรรม ชาวพุทธส่วนใหญ่ก็มักจะได้ยินคำนี้อยู่เสมอ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา อยากจะเรียนถามพระคุณเจ้าว่า การรักษาศีลนี้เป็นประโยชน์อย่างไรครับ

    หลวงตา


    เริ่มเป็นประโยชน์ เช่นอย่างเวลานี้ เรานั่งอยู่ด้วยกัน ต่างคนต่างสงบ นี้คือมีศีลเป็นเครื่องรักษา ถ้าการทำลายศีลอยู่นี้ด้วยกัน ต่างคนต่างฆ่าฟันรันแทงกันนี้ โลกนี้แตกกระเจิงทันทีเลย นี้เรียกว่าโทษแห่งการทำลาย ศีล มีคุณค่าอย่างนี้ คือ ความสงบร่มเย็นนี้แหละเป็นคุณค่าของศีล ให้โลกได้อยู่ด้วยกันร่มเย็นเป็นสุข เพราะต่างคนไม่เบียดเบียน ต่างคนไม่ทำลายกัน ต่างคนต่างเห็นอกเห็นใจกัน ต่างคนต่างมีเมตตาสงสารซึ่งกันและกันแล้ว คือ ให้อภัยซึ่งกันและกันแล้ว โลกเรานี้เป็นผาสุกทั้งนั้น

    ผู้ถาม

    เมื่อรักษาศีลแล้ว ธรรมจะเกิดขึ้นในใจเองหรือเปล่าพระคุณเจ้า

    หลวงตา


    ธรรมไม่มีทางเกิด ถ้าลงไม่รักษาศีลแล้ว ธรรมไม่มีทางเกิด ธรรมนี่วิ่งเผ่นลงทะเลเลยไม่มีเหลือละธรรม จะมีแต่เปรตแต่ผีเต็มบ้านเต็มเมือง เวลานี้กิเลสมันมากเปรตผีมันจึงมาก ทำลายคนได้ทุกบททุกแบบ เรื่องกิเลส คำว่ากิเลสคือความเศร้าหมองมืดตื้อ มันทำจิตใจของเราให้มืดดำไปหมด มืดแปดทิศแปดด้านคือกิเลสปกคลุมใจ เหมือนกับคนตาบอด คนตาบอดนี้มีกี่ตาก็ตาม ถ้าบอดเหมือนกันหมด ไปไหนก็ชนกันไปเลย ถ้าเป็นคนตาดีแล้ว มันก็มีช่องทางที่หลีกที่แวะไปได้ไม่เป็นภัย

    ผู้ถาม

    อย่างนั้นเราจึงควรมีศีลในจิตใจ ธรรมจะเกิดขึ้น

    หลวงตา


    เมื่อมีศีลแล้วธรรมก็เกิดขึ้นในขณะที่มีศีลนั่นแหละ

    ผู้ถาม

    เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่ไม่มีศีล ธรรมก็ไม่มี

    หลวงตา


    ไม่มีศีล ธรรมก็ไม่มีแหละ คือ ศีลกับธรรมเกิดขึ้นในขณะเดียวกัน เช่นเดียวกับตัวของเรากับเงาของเรา เกิดขึ้นในขณะเดียวกัน

    ผู้ถาม

    สาธุพระคุณเจ้า พระคุณเจ้าขอรับ แล้วสมาธิ หลายๆ คนพูดถึงสิ่งนี้กันเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ทำงานอย่างเช่นพวกกระผม หรือว่าคนที่ทำงานอย่างในโลกปัจจุบันนี้ ทำนี่มันต้องมีสมาธิ ทำอย่างไรจึงจะมีสมาธิได้ครับ

    หลวงตา


    อ๋อ ต้องทำสมาธิ อย่าขี้เกียจภาวนา คนขี้เกียจภาวนาไม่มีสมาธิเกิดขึ้นได้แหละ ต้องภาวนา คำว่าภาวนานั้นเป็นอย่างไรบ้าง ในธรรมท่านสอนไว้หลายบทหลายบาท เช่น กรรมฐาน 40 ห้อง จะเป็นธรรมบทใดตั้งแต่อานาปานสติขึ้นไป พุทโธ ธัมโม สังโฆ เรียกว่าบทธรรมกำกับใจทั้งนั้น เรานำธรรมมากำกับใจโดยมีสติ สติคือความระลึกรู้

    เพียงแต่มีความรู้เฉยๆ ไม่มีสติเป็นเครื่องควบคุม เป็นผู้รับผิดชอบแล้ว ความรู้เหล่านั้นก็ไม่เกิดผลเกิดประโยชน์อะไร เช่นเดียวกับคนบ้าไม่มีสติแล้วก็ ไปอยู่ที่ไหน ทางสามแพร่งสี่แพร่ง ไฟเขียวไฟแดง คนไม่มีสติคือคนบ้านั้น จะอยู่ได้ทุกแห่งทุกหน ไม่รู้ว่าผิดว่าถูกประการใด นี่คือคนไม่มีสติ ถ้าคนมีสติแล้ว นี้คือทางที่ควรไป ทางไม่ควรไป สถานที่ควรอยู่ไม่ควรอยู่ คนมีสติย่อมทราบ นี่เรียกว่าสติ

    ทีนี้เวลาเราภาวนาก็เช่นอย่างเรากำหนดภาวนา พุทโธๆ ก็ให้มีสติกำกับอยู่คำว่าพุทโธ ไม่ให้ส่งจิตไปในที่อื่น มีสติเครื่องรับผิดชอบกำกับอยู่ภายในใจ จิตก็สงบได้ง่าย จิตก็สงบเข้าไป สงบเข้าไปแล้วหลายครั้งหลายหนจิตก็เกิดความแน่นหนามั่นคงขึ้นภายในใจ นั่นละท่านเรียกว่าสมาธิเกิดแล้ว นี่เรียกว่าสมาธิเกิดขึ้นจากการภาวนา เอ้า มีอะไรอีก

    ผู้ถาม

    ขอรับ ที่พระคุณเจ้าพูด ถ้ากระผมจะพูดก็คงหมายถึงว่า จริงๆ แล้วการที่มีศีล มีสมาธิ ถ้าไม่มีสติกำกับก็คงเป็นไปไม่ได้

    หลวงตา

    เป็นไปไม่ได้

    ผู้ถาม

    ขอรับ ทีนี้คนเรามักจะขาดสติพระคุณเจ้า สติเดี๋ยวมาเดี๋ยวไป เดี๋ยวหายเดี๋ยวอยู่ ทำอย่างไรให้สติอยู่นิ่งได้พระคุณเจ้า

    หลวงตา

    คือสตินี้ไม่จำเป็นจะต้องเข้าที่ภาวนานั่งเฉยๆ นี้มีความตั้งสติอยู่นี้ เราก็เป็นคนมีสติอยู่ธรรมดา เราจะทำหน้าที่การงานอะไรก็ตาม สติให้อยู่กับหน้าที่การงานและรู้สึกตัวอยู่ภายใน ไม่ให้จิตออกนอกไปสู่ที่โน้นที่นี่ ข้างนอกออกไปมากๆ เกี่ยวกับเรื่องความเสียใจดีใจนี้ มันก็ทำให้คนลืมตัวไปได้ เสียไปได้ ถ้าสติอยู่กับตัว หน้าที่การงานก็สมบูรณ์ เขียนหนังสือก็ไม่ค่อยผิดค่อยพลาด อ่านหนังสือก็จดจ่อ

    ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าสติกำกับแล้วดีหมด เพราะฉะนั้นท่านจึงแสดงไว้ว่า สติ สัพพัตถัง ปัตถิยา สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง คือไม่เว้นที่สติจะไม่มี ต้องมีสติ แต่สติวงกว้างก็มี สติในวงแคบก็มี เราทำหน้าที่การงานส่วนหยาบ สติก็เป็นวงกว้างเกี่ยวข้องกับการงาน ถ้าเราทำสมาธินี้สติก็มีวงแคบจดจ่อเฉพาะจุดของตนที่ทำ สติมีหลายขั้นที่เราจะต้องใช้นี่ เรียกว่าสติทั้งนั้น แล้วมีอะไรอีกล่ะ

    ผู้ถาม

    แสดงว่าต้องแน่วแน่ ต้องมีความมั่นคงในการกระทำ

    หลวงตา


    นั่นละ มีความจดจ่อ มีสติควบคุมงานก็สมบูรณ์ ทุกสิ่งทุกอย่างดีหมด ถ้าขาดสติเสียแม้แต่เขียนหนังสือก็ไม่ถูก ผิดๆ พลาดๆ คือ ขาดสติ เช่น เราเขียนหนังสือนี่ สติเราไม่มี จิตไปจดจ่อในที่อื่น ไปทำงานในที่อื่นไปเสีย คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเสีย เขียนหนังสือก็ผิดๆ พลาดๆ ไป พอสติย้อนมารู้สึกตัวนี้เขียนไป สติเขียนหนังสือก็ถูกต้อง สติจึงเป็นของสำคัญมากทีเดียว

    ผู้ถาม

    หมายถึงทำอะไรก็ตาม ให้มุ่งมั่นอยู่กับสิ่งนั้น อย่าได้วอกแวกนัก ให้มุ่ง ให้มั่น ให้แน่วแน่

    หลวงตา


    ใช่ มีสติ

    ผู้ถาม


    พระคุณเจ้าครับ ทราบมาว่าพระคุณเจ้าก่อนจะมาถึงตรงนี้ได้ ที่พระคุณเจ้าได้ฟันฝ่ากับทุกข์กับเรื่องราวต่างๆ มามากมาย ฝึกฝนอยู่เป็นเวลานานมาก แต่ว่าทราบจากหนังสือพระคุณเจ้าว่ามีเคล็ดลับอยู่อย่างหนึ่ง ที่พระคุณเจ้าบอกไว้ว่า เวลาที่กลัวอะไรก็ให้ไปหาไอ้นั่น เช่น กลัวผีให้เข้าไปป่าช้า ถ้ากลัวเสือต้องไปหาเสือ อันนี้หมายความว่าอย่างไรพระคุณเจ้า

    หลวงตา


    อ๋อ คือที่ว่ากลัวนั้น เป็นเรื่องของจิตเราไปสำคัญมั่นหมายหลอกลวงเราเอง ก็ทำให้เรากลัว ความกลัวนี้ก็เป็นกิเลสประเภทหนึ่ง เรารบกับกิเลสเราต้องรบกับความกลัวอันนี้ เมื่อว่ากลัวเสือ ถ้าเราไม่ไปสถานที่เรากลัวอย่างนี้ กิเลสมันก็จะหลอกเราไปอีก หลอกเราไปเรื่อยๆ ไม่มีสิ้นสุด ทีนี้เมื่อเป็นธรรมเข้าต่อสู้กันแล้ว กลัวที่ไหน ว่าเสืออยู่ที่ไหน ก็ตามเข้าไปที่นั่น ให้รู้เห็นเหตุผลของจิตที่มันหลอกลวงเราเป็นประการใดบ้าง

    สมมุติว่าเราเดินจงกรมอยู่ไปมาอย่างนี้ จิตของเรานี้จะวาดภาพรอบทางจงกรมเลย ว่ามีแต่เสือล้วนๆ หมอบอยู่รอบทางจงกรม นี่ทั้งๆ ที่เสือไม่มีน่ะ แต่จิตจะปรุงแต่งวาดภาพออกไปว่าเสือมีอยู่รอบด้านเรา ทีนี้ทำให้เรากลัว ทีนี้เมื่อเรากลัวเราจะแก้ยังไง เราก็ติดตามไปซิ ความสำคัญมั่นหมายนี้เป็นความจริงหรือเป็นความปลอม เราก็เดินเข้าไปหาตรงที่ว่าเสือมีที่จิตกลัว อันหนึ่งมันหลอกว่าเสือหมอบอยู่ที่นั่นๆ แล้วเดินเข้าไป

    สติต้องจดจ่อเข้าไปคอยจับพิรุธความปรุงความแต่งของตนว่าเสือมีอยู่ที่ตรงนั้น ไหนอยู่ตรงไหนก็เดินเข้าไปหาเสือ เดินเข้าไปตรงนี้แล้วไม่มีเสือ นี่จิตหลอกเราขั้นหนึ่งแล้วนะ แล้วเสืออยู่ที่ไหนอีก จิตจะหลอกไปอีก จิตว่าเสืออยู่ที่นั่น เดินเข้าไปอีกเข้าไปหาอีก ที่สองไม่มีแล้วเสือ เดินเข้าไปทีไรมีแต่จิตหลอกอย่างเดียวๆ เห็นโทษของจิตเข้าเป็นลำดับลำดา จิตก็หดตัวเข้ามาสู่ธรรม ธรรมไม่โกหก กิเลสโกหกต่างหาก ความปรุงแต่งโกหก มันก็เห็นโทษของความโกหกนั้นแล้วก็มาเชื่อความจริงคือธรรม ไปแล้วไม่มีเสือ จากนั้นแล้วจิตก็เกิดความกล้าหาญชาญชัยขึ้นมา ด้วยการฝึกวิธีนี้

    อันนี้หลวงตาได้ทำแล้ว ต้องขออภัยนะ จะหยาบละเอียดก็ตาม เป็นเรื่องที่เคยทำมาแล้ว ต่อสู้กับกิเลสประเภทนี้ เข้าไปอยู่ในป่า เวลาเดินจงกรมนั้นเหมือนว่าเสือมาหมอบอยู่ตามข้างทางจงกรมเต็มไปหมด จนจะก้าวขาไม่ออก ตัวสั่น กลัวขนาดนั้นนะ เพราะเสือหลายตัวนี่ เสือหลอกไม่ใช่เสือจริง มันหลอกรอบด้าน ไหนตัวไหน เราก็เดินมา ตัวไหนใหญ่ๆ นั้นละ ให้ตัวนั้นกินก่อน พระขี้ขลาดอย่างนี้ อย่าให้อยู่หนักศาสนาเลย ก็เดินเข้าไปหาเสือที่ว่า ตัวใหญ่ๆ มันไม่มี แล้วไปหาตัวไหนอีก ตัวนั้นอีกตัวนั้นก็ไม่มี ตัวนี้ก็ไม่มี มีแต่ภาพหลอกตัวเอง

    เมื่อรู้ อ๋อ นี่คือภาพหลอกตัวเอง ไม่ใช่ความจริง กิเลสมันหลอก พอรู้ว่ากิเลสหลอกเท่าไร ธรรมความจริงนี้ก็ยิ่งเด่นขึ้น เด่นขึ้น รู้ชัดว่านี้กิเลสหลอก ธรรมไม่ได้หลอกนี่ เอ้า ก้าวเข้าไป สุดท้ายจิตก็รวมตัวเข้ามาเป็นพลังภายในตัว ไม่มีกลัวอะไรเลย ทีนี้เดินไปได้สบาย ไปไหนสามแดนโลกธาตุไม่มีสิ่งใดกลัวเลย จิตกล้าหาญชาญชัยเช่นเดียวกับเวลาที่จิตกลัวมากๆ จนตัวสั่น เวลาจิตกล้าหาญชาญชัยก็ยังตัวสั่นเหมือนกัน ทีนี้เมื่อได้ที่แล้ว เรียกว่าเราชนะแล้ว นี่คือกิเลสตัวหลอกนี้แล้ว เราก็กลับมาเดินจงกรมได้อย่างสบาย

    แล้วอยากจะให้เสือเดินผ่านหน้ามาเลยนะ แล้วจะก้าวเข้าไปเดินเข้าไปลูบคลำหนังเสือได้อย่างสบาย ไม่มีสะทกสะท้านภายในใจเลย นี่ละจิตที่รวมตัวเป็นกำลังแล้วมีความกล้าหาญชาญชัยอย่างนี้ แม้เสือตัวจริงมาก็ไม่กลัว จะเดินเข้าไปลูบคลำหลังเสือได้เลยในขณะนั้น โดยที่ว่าเสือจะไม่ทำอะไรได้ เพราะอำนาจของจิตที่กำลังแข็งแกร่งด้วยความกล้าหาญชาญชัยนี้มีพลังมากที่สุด นี่ละที่ว่ากลัวผีแล้วไปหาผี ก็เหมือนกันนั่นละ ไปนั่งอยู่ในป่าช้าผีตัวไหนจะมาหลอก ก็แบบเดียวกับเสือหลอกนั่นละ มันก็รู้แบบเดียวกัน ทีนี้ไปอยู่ในป่าช้าได้อย่างสบายอีกเหมือนกัน

    ผู้ถาม

    สติต้องตั้ง

    หลวงตา

    ต้องตั้ง เรื่องสตินี่เผลอไม่ได้นะ เราไปที่ไหน สตินี่หมายความว่าความเพียรที่จะต่อสู้กับสิ่ง หลอกลวงทั้งหลาย คือสติเป็นเครื่องจดจ่อให้ติดแนบอยู่กับจิต จิตเมื่อได้สติเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงแล้วจิตก็มีกำลังขึ้น ความกล้าหาญชาญชัยก็เป็นพลังขึ้นกับจิต เมื่อจิตเกิดความกล้าหาญชาญชัยแล้ว ไปที่ไหนไปได้หมดไม่มีกลัวเล
     
  2. ฉลาดน้อย

    ฉลาดน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +1,721
    ผู้ถาม

    อย่างพวกผมขี้เกียจกันอยู่ทุกวันนี้ บางทีขี้เกียจทำโน่น ขี้เกียจทำนี่ จริงๆ แล้วพวกผมโดนกิเลสตัวขี้เกียจมันหลอกล่อซิขอรับ

    หลวงตา

    เราทราบไหมว่ากิเลสตัวนั้นมันหลอกล่อ ถ้าเราทราบแล้วก็ควรจะรู้เรื่องของมันว่าโกหกเรา เราก็ไม่ขี้เกียจตามมันล่ะซิ อันนี้เราหลงไปตามมันเลยนั่นซิ มันถึงได้หลอกเราเรื่อย ให้ขี้เกียจเรื่อยไม่หยุดไม่ถอย โลกนี้เต็มไปด้วยคนขี้เกียจ เชื่อกิเลส กิเลสจึงหลอกได้ตลอดไป

    ผู้ถาม

    เป็นพวกเชื่อกิเลส เพราะฉะนั้นต้องเอาความขยันสู้กับมันใช่ไหมครับ

    หลวงตา

    สู้ซิ ต้องสู้ เวลาขี้เกียจต้องสู้ด้วยความขยันหมั่นเพียร นั่นเป็นของสำคัญ

    ผู้ถาม

    เพราะฉะนั้น ถ้าเกิดจะให้พ้นทุกข์ ถ้าจน ถ้ายาก ถ้าไม่มีอยู่ ถ้าอยากจะให้พ้นจากไอ้ทุกข์ตัวนี้ก็ต้องขยันหมั่นเพียร

    หลวงตา

    ต้องขยันหมั่นเพียร พระพุทธเจ้าไม่สอนให้คนขี้เกียจ ไม่ว่าหน้าที่การงานการอาชีพอะไรทั้งนั้น ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร ยิ่งเข้าสู่อรรถสู่ธรรมด้วยแล้วยิ่งเข้มแข็งยิ่งกว่าการทำงานทางโลก ไปไหนๆ ความขยันหมั่นเพียรเป็นของสำคัญ หมายถึง ความขยันหมั่นเพียรในสิ่งที่ดีงามทั้งหลายไม่ให้ขยันในสิ่งที่ชั่ว

    ผู้ถาม

    ขอรับ อยู่กับศีล สมาธิ ปัญญามันจะมาเอง

    หลวงตา

    หา อันไหนจะมาเอง

    ผู้ถาม

    ปัญญาจะมาไหมครับ พระคุณเจ้า ถ้ามีศีล มีสมาธิ ตั้งมั่นแน่วแน่ ปัญญาจะมาไหมขอรับ

    หลวงตา

    ไม่มา

    ผู้ถาม

    แล้วปัญญาจะมาได้อย่างไรขอรับ

    หลวงตา


    ต้องพิจารณาทางด้านปัญญา คือ ศีลต้องเป็นศีล แต่เป็นเครื่องหนุนให้สมาธิเกิดขึ้นได้ง่าย เช่น ผู้ปฏิบัติตัวด้วยศีลอันบริสุทธิ์แล้ว จิตจะไม่เป็นกังวลระแคะระคายในตัวของตนว่า เป็นผู้มีศีลด่างพร้อยอะไรๆ เพราะศีลสมบูรณ์แล้วก็มีความอบอุ่น จิตก็ไม่เป็นกังวล เมื่อจิตไม่เป็นกังวลแล้วทำสมาธิก็ลงได้เร็ว นี้ลงได้เร็วแล้วเป็นสมาธิแน่วแน่เข้าไป สมาธิเป็นหลายขั้นหลายภูมิในภาคปฏิบัติ

    สำหรับทางด้านปริยัติที่เราจดจำมานั้น กับภาคปฏิบัติผิดกันมาก ต้องได้ผ่านทางภาคปริยัติ และภาคปฏิบัติแล้วจะพูดได้อย่างฉะฉานคนเรานะ ถ้ามีเต็มๆ เพียงเรียนมาเฉยๆ ตามภาคปริยัติ จะเรียนจบพระไตรปิฎกก็ไม่พ้นเป็นหนอนแทะกระดาษแหละเข้าใจไหม เป็นหนอนแทะกระดาษ กิเลสไม่ได้ถลอกปอกเปิกเลย พอเข้าสู่สงครามคือภาคปฏิบัติแล้วนั้นแหละ เราจะเห็นความจริง เหมือนทหารที่เรียนวิชาการรบมาอย่างช่ำชองก็ตาม แต่ไม่ได้เข้าแนวรบก็ยังไม่มีความหมายอะไรนัก ต้องเป็นผู้เข้าแนวรบ ออกมาแล้ว รอดตายออกมา แล้วจะพูดได้อย่างอาจหาญชาญชัยในเหตุการณ์ต่างๆ ในสนามรบ ว่างั้นเถอะ

    นี่ก็เมื่อเข้าภาคปฏิบัติแล้ว เราจะรู้สิ่งต่างๆ ขึ้นจากภาคปฏิบัติเหมือนกับเขาเข้าสู่สงคราม ศัตรูมาแบบไหน แบบไหน ที่ควรต่อสู้กับศัตรูด้วยวิธีใด เราจะทราบในสนามรบ ภาควิชาพูดเป็นกลางๆ ไว้เท่านั้นแหละ ส่วนที่ซอกแซกซิกแซ็กที่สุดในเหตุการณ์ต่างๆ จะเป็นผู้เข้าสู่สงครามนั้นละเป็นผู้เห็นเอง เจอเอง

    อันนี้ภาคปฏิบัติก็เหมือนกัน เรื่องอรรถเรื่องธรรม เรื่องกิเลสทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่ได้มาในตำรานะ คำว่า ตำรามีแต่ชื่อของกิเลส มีแต่ชื่อของธรรมะ มีแต่ชื่อของบาปของบุญของนรกของสวรรค์ ตัวเหตุตัวการที่จะไปนรกไปสวรรค์ไปนิพพาน เป็นบาปเป็นบุญจริงๆ คือตัวใจ เมื่อภาคปฏิบัติเป็นภาคปฏิบัติแล้วต้องเป็นเรื่องของใจล้วนๆ เข้าปฏิบัติทางสมาธิ จิตก็เป็นสมาธิขึ้นมาด้วยการอบรมควบคุมด้วยสติ ทีนี้เมื่อเวลาสติค่อยแน่นหนามั่นคงขึ้นไป ถ้าทางด้านจิตใจก็แน่นหนามั่นคง สติแนบแน่นเข้าไปโดยลำดับ สมาธิก็แน่นขึ้นไปเป็นขั้นๆ ขั้นๆ นี่เรียกว่าละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ สมาธิ

    ผู้ถาม

    นั้นหมายถึงว่า คิดไปอย่างเดียว ไม่ทำ ไม่เกิดอะไรเลย

    หลวงตา

    ไม่เกิด

    ผู้ถาม


    ต้องทำ

    หลวงตา

    ต้องทำ

    ผู้ถาม

    เพราะฉะนั้นถึงมีศีล มีสมาธิแล้ว ไม่รู้จักพิจารณาก็ไม่เกิดปัญญา

    หลวงตา

    ไม่เกิดปัญญา ศีลเป็นศีล สมาธิเป็นสมาธิ ปัญญาเป็นปัญญา ถ้าอยากให้เกิดปัญญา ต้องออกใช้พิจารณาทางด้านปัญญา แล้วความแยบคายจะเกิดขึ้นละเอียดยิ่งกว่าสมาธิเสียอีก เป็นลำดับลำดา เช่นเดียวกัน สมาธิเป็นขั้นๆ ตั้งแต่ขั้นหยาบ ถึงขั้นกลาง ขั้นละเอียด ทีนี้ปัญญาก็เหมือนกัน พอได้ก้าวออกสู่ปัญญา พินิจพิจารณาทางเหตุทางผล เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สภาวธรรมต่างๆ ที่จิตของเราเคยยึดถือด้วยอำนาจของกิเลส พอมันเห็นชัดเจนแล้ว มันจะถอนตัวเข้ามา ถอนตัวเข้ามา

    พอจิตมันถอนตัวเข้ามาทีไร จะรวมพลังแห่งความรู้ของตัวเองซ่อนออกไปโดยลำดับลำดา ยิ่งรู้แจ้งเห็นชัดเข้าไป ละเอียดลออเข้าไป นี่เรียกว่าปัญญา ถ้าไม่พาคิดไม่เกิด จนกระทั่งวันตายก็ไม่เกิดปัญญา ใครที่ว่าไม่ต้องเจริญสมาธิ ปัญญาก็เกิด นั้นคือคนไม่เคยเข้าสนามรบ นั้นคือคนไม่เคยภาวนา มันพูดหลอกตาโลกไปอย่างนั้นแหละ

    พระพุทธเจ้าแสดงว่า ศีล สมาธิ ปัญญา นี้คือ องค์ศาสดาเป็นผู้แสดงเอาไว้ ดังในคัมภีร์ท่านก็บอกไว้แล้วว่า สีลปริภาวิโต สมาธิ มหัปผโล โหติมหานิสังโส สมาธิเมื่อศีลอบรมแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก คือศีลอบรมสมาธินี้อบรมอย่างไร ศีลนี่เป็นเครื่องคุ้มกันสมาธิ คุ้มกันจิตไม่ให้วอกแวกคลอนแคลน ไม่ได้ตำหนิตนว่าศีลด่างพร้อยไปต่างๆ จากการภาวนาล้วนๆ ทีนี้ไม่ต้องอาศัยสิ่งที่มากระทบกระเทือนทางหู ทางตา จมูก ลิ้น กาย อะไรก็ตาม ปัญญานี้จะผลิตตัวของเราขึ้นโดยลำดับลำดา เช่นเดียวกับกิเลสมันผลิตตัวขึ้นภายในใจของสัตว์โลกนั่นแล เพราะความชำนาญของมัน

    กิเลสนี่ไม่ต้องบอก ไม่ต้องมีครูมีอาจารย์เป็นกิเลสได้ด้วยกัน สัตว์โลกเกิดมาเพราะอำนาจของกิเลส หมุนเวียนไปตามอำนาจของกิเลส อันนี้เป็นเครื่องผูกพัน ทีนี้พอปัญญาเกิดขึ้นแล้ว ปัญญาจะแก้ตัวกลับคืน คลี่คลายกลับคืนหมด เมื่อปัญญาภาวนามยปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว แล้ว จะหมุนตัวกลับ กิเลสผูกมัดเท่าไร สติปัญญาขั้นนี้จะหมุนกลับ หมุนกลับเป็นอัตโนมัติ จนกระทั่งเข้าถึงขั้นละเอียด ท่านเรียกว่า มหาสติมหาปัญญา อันนี้ยิ่งหมุนเร็วที่สุด เกียงไกรที่สุด

    แชมป์ที่ว่านักมวยแชมเปี้ยนที่ว่าอย่างรวดเร็วที่สุดนี้ ยังขี้ปะติ๋ว ยังสู้ไม่ได้เลย สติปัญญานี้ละเอียดมากยิ่งกว่านั้น เพราะกิเลสมันเคยละเอียดมาเป็นลำดับลำดาอยู่แล้ว ถ้าสติปัญญาไม่มีความเกรียงไกรแล้วจะฆ่ากิเลสไม่ได้ สติปัญญาประเภทเหล่านี้แลเป็นสติปัญญาฆ่ากิเลส ไม่ใช่สติปัญญาที่เรียนมาจากตำรับตำราแล้วมาฆ่ากิเลส นี้มีแต่มาพอกพูนกิเลสโดยถ่ายเดียว

    เช่นเรียนได้นักธรรมตรี ก็สำคัญตนว่านักธรรมตรี กิเลสขึ้นแล้วจากความสำคัญ เรียนได้นักธรรมโท โห นี่เราได้นักธรรมโทนะ กิเลสขึ้นแล้ว แทรกนักธรรมโทขึ้นมาแล้ว เป็นทิฐิมานะอันหนึ่ง เป็นนักธรรมเอกจนเป็นมหาเปรียญแล้วก็ก้าวไม่ออก เพราะหนักสติปัญญา หนักความรู้วิชา ความจริงมันหนักกิเลสต่างหาก ความสำคัญตน นี่ละเรียนมากเท่าไรกิเลสจะสวมรอยเข้าไป เข้าไป มากเท่านั้น กิเลสไม่มีทางปอกเปิก มีแต่พอกพูนขึ้นไปจากการศึกษาเล่าเรียน

    นี้เราจะเห็นได้เวลาภาคปฏิบัติ พอก้าวเข้าสู่ภาคปฏิบัติแล้ว มันจะปล่อยสิ่งเหล่านี้ออกโดยลำดับ ลำดับ ลำดับ จนกระทั่งถึงพุ่งเลยไปเลยสิ่งเหล่านี้ เป็นกิเลสหรือไม่เป็นกิเลสรู้หมด ถึงขั้นมหาสติมหาปัญญาแล้ว มวยแชมเปี้ยนนี้ไม่ทัน อันนั้นรวดเร็วโดยหลักธรรมชาติของตัวเองนะ คือไม่ต้องอาศัยรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ที่จะมากระทบกระเทือน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเราแหละ มันหากเกิดขึ้นเองเป็นเอง หมุนตัวไปเอง

    กิเลสมีอยู่ที่ไหนเหมือนไฟได้เชื้อ เชื้อของไฟคือกิเลส ไฟนั่นหมายถึงสติปัญญา ตามไหม้ไปหมด ไหม้ไปหมดแล้ว กิเลสละเอียดเท่าไร ไฟก็ละเอียดไปตามๆ จนกระทั่งไม่มีเชื้อที่จะให้ไหม้แล้วก็ยุติกันเอง มหาสติมหาปัญญาจะยุติกันเมื่อเวลากิเลสขาดสะบั้นลงไปหมดแล้ว เพราะสติปัญญานี้ก็เป็นมรรค เป็นสมมุติ กิเลสก็เป็นสมมุติ เมื่อสมมุติฝ่ายดีกับสมมุติฝ่ายชั่วแก้กันแล้วก็หมดปัญหาไปเลย

    นี่ละพระพุทธเจ้าท่านอุบัติขึ้นตรงกลางนี้แล พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอรหันต์ทุกๆ องค์อุบัติขึ้นตรงนี้เอง มหาสติมหาปัญญานี้คือยอดของมรรค อวิชชาปัจจยา สังขารา ซึ่งเป็นฝ่ายกิเลสนั้นเรียกว่ายอดสมุทัย ไปแก้กันที่ตรงนี้ มหาสติมหาปัญญาแก้ยอดสมุทัยคือ อวิชชาปัจจยา ให้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย ก็ผุดขึ้นที่ตรงกลางนี้ พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอรหันต์ทุกๆ พระองค์จะหนีพ้นไปจากอริยสัจ 4 นี้ไม่ได้เลย ต้องขึ้นจากช่องนี้

    เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงมีมากต่อมากเพราะองค์นี้ผุดขึ้นได้ องค์นั้นทำไม่ผุดไม่ได้ องค์นี้ผุดขึ้นได้ องค์นั้นต้องผุดขึ้นได้ หนึ่งแล้วก็ต้องเป็นสองเป็นสามเป็นสี่โดยลำดับลำดามาเรื่อยๆ ผุดขึ้นได้เรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด เข้าใจน่ะ นี่ละเรื่องว่าธรรม กิเลสสูงสุดตรงนี้ สุดตรงที่กิเลส ที่เป็นฝ่ายสมมุติกับมรรคที่เป็นฝ่ายสมมุติ แก้กันตกลงไปแล้ว แล้วความบริสุทธิ์ของจิตก็ผุดขึ้นตรงนี้ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นตรงกลางนี้แหละ พระอรหันต์ทั้งหลายผุดขึ้นตรงกลางนี้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นคำว่าธรรมจึงมีอยู่ในโลก

    เราก็จะขอเปรียบเทียบเรื่องธรรมให้ฟังก่อนนะ ธรรมที่ว่าธรรมแท้คืออย่างไร เหมือนกับน้ำมหาสมุทรทะเลหลวงเรานี้เป็นพื้นฐาน แล้วแม่น้ำสายต่างๆ เช่นอย่าง แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำบางปะกง เป็นต้นนะ แม่น้ำสายนั้น สายนั้น ไหลลงมาสู่มหาสมุทรมหาทะเลไหลมา ไหลมา เวลายังไม่ถึงก็เรียกว่าแม่น้ำสายนั้นๆ ยังไม่ถึงมหาสมุทรนะ พอเข้าถึงมหาสมุทรแล้ว แม่น้ำทั้งหลายนั้นเข้าเป็นอันเดียวกันกับน้ำมหาสมุทรแยกกันไม่ออก เรียกได้แต่ว่ามหาสมุทรอย่างเดียว

    นี่ก็เหมือนกัน ผู้บำเพ็ญธรรมทั้งหลายเต็มกำลังความสามารถของตนแต่ละราย แต่ละรายนั้นละ เป็นเหมือนกับแม่น้ำสายต่างๆ ที่ไหลรวมเข้ามาสู่มหาวิมุตติมหานิพพาน นี่เรียกกันมหาสมุทรมหานิพพาน เปรียบกับมหาสมุทรทะเลหลวง ทีนี้พอถึงขั้นบริสุทธิ์แล้วเข้าเป็นอันเดียวกันหมดเลย เหมือนกับแม่น้ำสายต่างๆ เข้าถึงมหาสมุทรแล้วเข้าเป็นอันเดียวกัน แยกกันไม่ออก

    จิตของท่านผู้บริสุทธิ์จะบริสุทธิ์มาจากสถานที่ใดอยู่แห่งหนตำบลใดก็ตาม เมื่อก้าวเข้าสู่ความบริสุทธิ์ด้วยกันแล้ว เป็นมหาวิมุตติ เป็นมหานิพพานด้วยกัน นี่ละมหาวิมุตติมหานิพพาน นี้แลเป็นธรรมที่ครอบโลกธาตุอยู่เวลานี้ จากพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่รวมพระองค์ทุกองค์ ทุกองค์ จากแม่น้ำสายต่างๆ แล้ว เข้ามาสู่มหาวิมุตติมหานิพพานด้วยกัน นี่ละที่ว่าธรรมไม่สูญจากโลก พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่สูญจากโลกเป็นอย่างนี้เอง แล้วยังจะอุบัติขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นมหาวิมุตติมหานิพพานไปเรื่อยๆ อย่างนี้

    นี่ละเรื่องของธรรมขั้นสุดยอดสุดตรงนี้ ต้องสุดจากภาคปฏิบัตินะ เรียนเฉยๆ ไม่สุด มีแต่กิเลสนั่นละมัดคอเรื่อยไปเลย ถ้าเป็นเรื่องของภาคปฏิบัติเข้าสู่สงครามแล้ว เห็นหมดทุกสิ่งอย่าง กิเลสประเภทใดเห็นหมด เหมือนอย่างนักรบเข้าสู่สงคราม เหตุการณ์อะไรให้เห็นหมดรู้หมด

    ที่มา พระอรหันต์ไม่สูญจากโลก (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) | OpenBase.in.th
     
  3. Saksurat

    Saksurat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +529
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  4. Reynolds

    Reynolds เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    578
    ค่าพลัง:
    +1,501
    สาธุครับ ขอให้มีพระอรหันต์ในประเทศไทยมากขึ้นๆๆต่อๆไปครับผม
     
  5. ไผ่มรกต

    ไผ่มรกต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,896
    พระพุทธเจ้ายังมีอยู่ไม่ได้หายไปใหน

    นะโมตัสสะ ภัควะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุธธัสสะ ฯ
    ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย วันนี้ซึ่งก็เป็นวันเพ็ญวิสาขะฤกษ์ พุทธศาสนิกชน ถือกันว่าวันนี้เป็นวันสำคัญ วันสำคัญก็คือ พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ ประสูติ และเสด็จดับขันธะ พระปรินิพพาน ฉะนั้น วันสำคัญอันเวียนมา เหมือนกับวันนั้น จึงควรเป็นวันอนุสรณ์ ที่ระลึกหรือ สักการะบูชา คือควรแก่การบูชา ซึ่งเรียกกันว่า วิสาขะบูชา บูชาทำอย่างไร ข้อนี้มันก็มีการกระทำหลายหลาก แต่อย่างๆไรก็ดี ณ.ที่นี้ ก็จะไม่ขอกล่าวอธิบายอะไรมาก ก็เพียงแต่จะกล่าวว่า พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า ที่พุทธศาสนิกชน พึงบูชานั้น จะมีผลอย่างใดหรือไม่ พระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่ ข้อที่ว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่ อันนี้ก็จะไม่มีใครจะสงสัย แต่เป็นพระพุทธเจ้าที่มีมาแล้วในอดีต ก็คือที่มีมาแล้วในอดีต เป็นเวลาล่วงมา 2000 กว่าปี จนถึงปัจจุบันนี้ 2542 ปี นั่นเราเชื่อกัน แน่นอนว่า คือองค์พระสัมมาสัมมาพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้มาแล้ว คือเป็นเจ้าแห่งพระพุทธศาสนา เราไม่สงสัยว่าไม่มี พระสงฆ์สาวกก็เป็นผู้ที่สืบ พระพุทธศาสนาของพระพุทธองค์มา จนตราบเท่าเราทั้งหลาย ได้เข้ามาบวช มาเรียนศึกษาใน พระพุทธศาสนา ถือเป็นสิ่งสำคัญในทุกวันนี้ ก็คือพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น แสดงว่าพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระโคดมองค์นั้น ก็ได้เสด็จดับขันธ์พระปรินิพพานไปแล้ว ในเมื่อพุทธศก 80 ปี ท่านผู้ฟังทั้งหลาย เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเสด็จดับขันธ์พระปรินิพพานไปแล้ว ส่วนมาก ก็เข้าใจกันว่า ดับขันธ์พระปรินิพพานแล้ว ก็สูญไปแล้ว ก็คงทิ้งไว้แต่ชื่อ ๆ ตัวจริงไม่มีแล้ว หรือที่ว่า พุทธะ พุทธะ นั้นไม่มีแล้ว อันนี้ก็เป็นความเข้าใจเผินๆ หรือเปลือกๆ ของเราท่านทั้งหลาย หรือคนทั่วๆไป เหมือนกับหนึ่งว่า คนที่ตายไปแล้ว จะมีแต่ที่ไหน ก็จะมีแต่เพียงชื่อเท่านั้น ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย หามีแต่เพียงชื่อไม่ พระพุทธเจ้าที่เป็นจริง ที่ตรัสรู้ ใต้ต้นสลีมหาโพธิ์นั้น คือพระพุทธเจ้าตัวจริง แต่พระพุทธเจ้าที่ คลอดออกมาจาก พระครรภ์ของพระนางศิริมหามายานั้นเป็น พระพุทธเจ้าตัวเปลือกนอก พระพุทธเจ้าตัวเปลือกนอก เสด็จดับขันธ์พระปรินิพพานไปแล้ว เขาเผาแล้ว ก็เหลือไว้แต่พระอัฐธิ หรือที่เรียกกันว่าบรมสารีริกธาตุ ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย พระพุทธเจ้าตัวจริง ที่ตรัสรู้ใต้ต้นสลีมหาโพธ์ คือโพธิญาณ ได้บังเกิดขึ้นแก่พระองค์ ซึ่งเรียกว่าพุทธุปาโด พระพุทธุปาโดคือ พระพุทธเจ้าเกิดขึ้น ที่ใต้ต้นสลีมหาโพธ์ คือตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ที่ตรัสรู้ใต้ต้นสลีมหาโพธิ์ อันนี้ใครแลไม่เห็น คนทั้งหลายไม่มีใครเห็นก็จะเห็นแต่พระพุทธเจ้าอันเป็นตัวเปลือก คือตัวเปลือกนอก ก็จากที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์นั้น มองไม่เห็น อันนี้คือเป็นพระพุทธเจ้าตัวจริง พระพุทธเจ้าจริงเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่ได้ดับไปไหน เรียกว่าไม่ตาย ทรงเป็นพระอมตะคือไม่ตาย ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ไข้ ก็แม้พระพุทธเจ้าที่ว่านี้ เกิดทีหลังนี้ คือเกิดแล้ว ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย คือเกิดแล้วบรรลุถึงพระนิพพาน อันนี้ยังดำรงอยู่ คือยังมีอยู่ จะพูดง่ายๆว่า กายนั้นตายไปแล้ว แต่ใจนั้นยังไม่ตาย กายนั้นตายไปแล้ว ไม่มีแล้ว แต่ใจนั้นไม่ตายใจนั้นยังมีอยู่ ก็คือหัวใจยังมีอยู่ ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย ก็หัวใจยังมีอยู่ ยังไม่มีวันตาย อยู่ที่ไหน ก็เมื่อมีอยู่แล้ว อยู่ที่ไหน ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย ก็จะขอตอบเพียงง่ายๆ ก็คืออยู่ในที่ ทั่วๆไปนี้แหละ คืออยู่ในอากาศนี้แหละ อากาศมีอยู่ในที่ใด พระพุทธเจ้าก็มีอยู่ในที่นั้น คือไม่สูญ ก็เมื่อพระพุทธเจ้ามีอยู่ไม่สูญดังนี้ จึงพูดได้ว่า แม้ปัจจุบันนี้ พระพุทธเจ้าก็มีอยู่ ครอบงำ สัตว์ทั้งหลายอยู่ทุกเมื่อ คุมอยู่ในที่ทุกแห่ง แต่ไม่เห็นเท่านั้นเอง เรายกมือไหว้พระยกมือกราบไหว้ พระพุทธเจ้า แต่เราไม่เห็นตัว แต่แม้กระนั้นพระพุทธเจ้าก็เห็นเราอยู่ เรามองไม่เห็นตัวพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าก็เห็นเราอยู่ บางทีเรายกมือ ไหว้พระพุทธเจ้า แต่เราไม่ได้นึกถึงพระพุทธเจ้า ยกมือเพียงสักแต่ว่าไหว้ เหมือนกับว่า ไม่มีผลอะไร เท่ากับว่าการไหว้ของเรานั้น ก็อยู่ด้านนอก ไม่ได้ไหว้พระพุทธเจ้า เพียงแต่ยกมือพนม ขึ้นเท่านั้น แต่หากว่าเรายกมือพนมไหว้ แต่จิตใจของเราน้อมถึงพระพุทธเจ้า นั่นคือการไหว้ ของเราไปถึงพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้าได้ทรงรับไหว้ของเราแล้ว ได้รับการบูชาของเราแล้ว ก็เป็นอันว่า การกระทำอันเป็นบุญ ที่เราท่านทั้งหลาย กระทำนั้น ย่อมมีผล คือย่อมปรากฏออกมา เป็นของจริง คือเป็นอานิสงค์ หรือเป็นผลในทางที่ดี จริงอย่างแน่นอน คือไม่สูญเปล่า ฉะนั้นการสักการะบูชา หรือการบูชาของเราท่านทั้งหลาย ที่สวดมนต์ เช้า ค่ำ ทุกวันนี้ ทำด้วยจิตใจอันนอบน้อม ด้วยจิต ด้วยใจ ของเราแล้ว ผลบุญ ก็ย่อมมีอยู่เสมอ ไม่ใช่ไหว้เปล่า เหมือนกับที่ว่า ตะกี้ เพียงยกมือไหว้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าไหว้อะไร ไหว้ของสูญ คิดว่าเป็นอย่างนั้น คิดว่าพระพุทธเจ้าไม่มีแล้ว เพียงสักแต่ว่าทำ ก็เป็นอันว่า พระพุทธเจ้านั้นน่ะ เหมือนกับที่กล่าวข้างต้น มีอยู่ทุกแห่ง ที่บ้านของเราก็มี ที่วัดก็มี ที่สำนักใดๆมี ตามทุ่งตามนา ตามป่าตามน้ำ ตามเขา ตามดอยก็มี เราไหว้ได้เสมอ ถ้ายังไม่เชื่อแน่ ก็ขอไหว้พระบรมสารีริกธาตุไปก่อนก็ได้ พระบรมสารีริกธาตุ ก็เป็นตัวแทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นรูปธรรม รูปธาตุ
    อันนั้นเห็นได้ด้วยตา ไหว้อันนั้นก็ได้บุญเหมือนกัน แต่เท่าที่กล่าวนี้ คือกล่าวด้วย กาย จริงของพระพุทธเจ้า คือหัวใจของพระพุทธเจ้า นั้นมีอยู่ในที่ทั่วไป ทีนี้ก็มาพูดถึงว่า พระพุทธเจ้ามี เป็นเครื่องรับ สักการะบูชาของเราท่านทั้งหลาย
    อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หรือตลอดกาล เราท่านทั้งหลายก็มีโอกาส ที่จะได้บุญจนกว่าชีวิตจะดับไป หรือลมหายใจ จะดับลงไป เพราะไหว้ที่ไหนก็ได้ ระลึกถึงที่ไหนก็ได้ ทีนี้ว่ากันถึง เรื่องตัวตน หรือการท่องเที่ยว ตามสังสารวัฎ ตัวตนก็เป็นของมีจริง ตัวตน อัตตาเป็นของมีจริง คือสภาวะอันหนึ่ง ที่เราเรียกกันว่าคนนั้น คนนี้ ที่ว่าเป็นเราบ้าง เป็นเขาบ้าง นาย ก บ้าง ข บ้าง หญิงบ้าง ชายบ้าง หลังจากที่อัตภาพ แตกสลาย ลงไปแล้ว เขาเอาไปเผาทิ้งแล้ว หรือเอาไปฝังในป่า ช้า แล้ว แต่เราท่านทั้งหลาย ที่ชื่อนั้น ชื่อนี้ อันเป็นตัวข้างใน สภาวะข้างในอันนั้นยังไปตาย ไม่มีวันตาย คือยังไปเกิดที่นั่น ที่นี่เรียกว่า เที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่ แต่การท่องเที่ยวไปในภพน้อย ภพใหญ่ ไม่ได้ไปตามลำพัง คือไปด้วยอำนาจ การกระทำ คือทำดี หรือทำชั่ว ที่จะเป็นเครื่อง ติดตัวไปตลอดกาล การกระทำก็มี อยู่2 อย่าง คือกระทำในปัจจุบัน กับ กระทำในอดีต กระทำในอดีตก็ส่งผลมาในปัจจุบันได้ กระทำในปัจจุบัน ก็ส่งผลให้ปัจจุบัน แล้วก็จะไปส่งผลให้ในอนาคต ต่อไปอีก ก็ชื่อว่าคนทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ย่อมเป็นไปตามกรรมต่างกัน คือการกระทำ ฉะนั้นการกระทำนี้แหละ มันเหมือนกับเป็นเงา ติดตัวไป ไปทุกหนทุกแห่ง คือไปทุกภพ ทุกชาติ ก็กรรมอันนั้นก็ติดไป ก็เวลาที่กรรมชั่วติดตามไป มันก็ให้ผลในคราวที่ เสวยความทุกข์ แต่ถ้ากรรมดีนั้นติดตามไปให้ผลเวลานั้น มันให้ความสุข ก็จะเสวยความสุขคือรับความสุขนั่นเอง ฉะนั้นมากก็ตาม น้อยก็ตาม ผลที่ทำเหตุที่ทำแล้วนั้น มันย่อมได้ทั้งนั้น คือย่อมได้ทั้งมากก็ได้ น้อยก็ได้ เพราะฉะนั้น การทำความดี เป็นต้นว่าการให้ทาน แม้ที่สุด ให้แก่คนยาก คนจน เพียง 10 บาท การกระทำนั้นไม่สูญเลย การกระทำนั้นไม่สูญ แล้วก็ ชาติหน้า ยังได้ผลพิเศษคือยังมีดอกเบี้ย ไม่ใช่ได้แค่นั้น คือทำความดีไว้ทั้งหมดแม้ 10 บาท ถ้าทำไปแล้ว ผลที่เราทำจะได้แค่ 10 บาทเท่านั้น ก็หามิได้ ดอกเบี้ยก็เกิดตามมาอีกเยอะแยะไปเลย ก็เกิดตามขึ้นมาอีกมากมาย เป็นร้อยเป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน จนชื่อว่าเป็นผู้ร่ำรวย ขึ้นมาได้ ก็เพราะความดีนั้น เป็นของไม่ตาย ติดตามไป เหมือนกับความชั่ว ก็ไม่ตายเหมือนกัน ก็ติดตามตัวไปเหมือนกัน ทางที่ดี ก็อย่าให้มีความชั่ว มันติดตามไปชะเลย นั่นแหละเป็นทางที่ดี น้อยหนึ่งก็ไม่ควรจะมี ฉะนั้นความดี นิดหนึ่งน้อยหนึ่งนั้นก็ควร ที่จะทำให้เกิดมี เพราะว่าเกิดมีแล้ว มันมีแต่ผลดี ที่จะประดังเข้ามา หรือติดตามไปอยู่เสมอ ทีนี้ว่าถึงผลการท่องเที่ยว ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วว่า คนเราตายไปแล้วท่องเที่ยวไปในภพน้อย ภพใหญ่ มันไม่ตาย ไอ้ตัวในนั้นมันไม่ตาย ก็จะขอยกเรื่อง หรือนำเรื่องมาเล่า หรือมาแสดง เป็นตัวอย่าง สักเรื่องหนึ่ง....
    ท่านพระคุณเจ้า ดาบส สุมโน
    เทศน์เนื่องในวันคล้ายวันวิสาขบูชา

    อ่านต่อในเวปไซต์อาศรมไผ่มรกต.com
     
  6. แจซ

    แจซ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +23
    รายชื่อ พระอริยสงฆ์สายหลวงปู่มั่นที่หลวงตามหาบัวรับรอง

    1.ท่านอาจารย์เจี๊ยะ จุนโท (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ) วัดป่าภูริทัตปฏิปทาราม อ.สามโคก จ.ปทุมธานี
    2.หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
    3.หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร วัดป่าประชาชุมพลพัฒนาราม อ.เมือง จ.อุดรธานี
    4.หลวงปู่ขาล ฐานวโร (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ) วัดป่าบ้านเหล่า อ.เวียงเชียงรุ้ง จ.เชียงราย
    5.พระอาจารย์แบน ธนากโร วัดดอยธรรมเจดีย์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร
    6.หลวงปู่หลวง กตปุญโญ (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ) วัดคีรีสุบรรพต จ.ลำปาง
    7.อาจารย์เหรียญ วรลาโภ (มรณภาพแล้วยังไม่ประชุมเพลิง) วัดอรัญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
    8.อาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย (มรณภาพแล้วยังไม่ประชุมเพลิง) วัดเขาสุกิม อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี
    9.หลวงปู่หลอด ประโมทิโต วัดสิริกมลาวาส (วัดใหม่เสนานิคม) เขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร
    10.หลวงปู่มหาเนียม สุวโจ วัดเจริญสมณกิจ (หลังศาลภูเก็ต ) อ.เมือง จ.ภูเก็ต
    11.หลวงปู่มหาเจิม ปัญญาพโล วัดสระมงคล อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม
    12.หลวงปู่ศรี มหาวีโร วัดประชาคมวนาราม อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด
    13.พระอาจารย์สายทอง เตชธัมโม วัดป่าห้วยกุ่ม (ใกล้เขื่อนจุฬาภรณ์ ) อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ
    14.หลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป วัดป่าประทีปปุญญาราม อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร
    15.พระอาจารย์ประสิทธิ์ ปุญมากโร วัดป่าหมู่ใหม่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
    16.พระอาจารย์เลี่ยม ฐิตธัมโม วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
    17.หลวงปู่ทา จารุธัมโม วัดถ้ำซับมืด จ.นครราชสีมา (มรณภาพแล้ว)
    18.พระอาจารย์เพียร วิริโย วัดป่าหนองกอง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
    19.อาจารย์สาย เขมธัมโม วัดป่าพรหมวิหาร อ.โนนสัง จ.หนองบัวลำภู
    20.อาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
    21.หลวงปู่วิริยังค์ สิรินธโร วัดธรรมมงคล เขตพระโขนง จ.กรุงเทพมหานคร
    22.อาจารย์พวง สุขินทริโย วัดศรีธรรมมาราม อ.เมือง จ.ยโสธร
    23.หลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู
    24.หลวงตาแตงอ่อน กัลป์ยาณธัมโม วัดป่าโชคไพศาล อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร
    25.หลวงปู่บุญหนา ธัมทินโน วัดป่าโสตถิผล อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
    26.หลวงปุ่บุญพิน กตปุญโญ วัดผาเทพนิมิตร อ.นิคมน้ำอูน จ.สกลนคร
    27.หลวงปู่ลี ฐิตธัมโม (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ) วัดเหสลึก อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    28.หลวงปู่แปลง สุนทโร วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
    29.หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ) วัดป่าสันติกาวาส อ.ไชยวาน จ.อุดรธานี
    30.หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป วัดโพธิ์สมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี
    31.พระอาจารย์ท่อน ญาณธโร วัดศรีอภัยวัน อ.เมือง จ.เลย
    32.พระอาจารย์อุ่นหล้า ฐิตธัมโม วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    33.พระอาจารย์คำบ่อ ฐิตปัญโญ วัดใหม่บ้านตาล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    34.พระอาจารย์อุทัย สิรินธโร วัดถ้ำพระ อ.เซกา จ.หนองคาย
    35.หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต สำนักสงฆ์สวนทิพย์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
    36.พระอาจรย์วิไล เขมิโย วัดถ้ำพณาช้างเผือก อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ
    37.หลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย อ.วังทรายพูล จ.พิจิตร
    38.อาจารย์อ่ำ ธัมกาโม วัดธุดงคสถานสันติวรญาณ อ.วังโป่ง จ.เพรชบูรณ์
    39.หลวงปู่ถวิล จ.อุดรธานี (ไม่ทราบที่อยู่และฉายาท่าน)
    40.อาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสโก วัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี
    41.อาจารย์วันชัย วิจิตโต วัดภูสังโฆ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
    42.หลวงปู่มี (เกล้า) ประมุตโต วัดดอยเทพนิมิตร (วัดถ้ำเกีย ) อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
    43.อาจารย์เสน ปัญญาธโร วัดป่าหนองแซง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
    44.อาจารย์คำแพง อัตสันโต วัดป่าหนองวัวซอ (วัดบุญญานุสรณ์ ) อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
    45.พระอาจารย์ปัญญาวัฒโท (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ) วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี
    46.หลวงปู่มี (เกล้า) ประมุตโต วัดดอยเทพนิมิตร (วัดถ้ำเกีย ) อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
    47.อาจารย์เสน ปัญญาธโร วัดป่าหนองแซง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
    48.อาจารย์คำแพง อัตสันโต วัดป่าหนองวัวซอ (วัดบุญญานุสรณ์ ) อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
    49.พระอาจารย์ปัญญาวัฒโท (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ) วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี
    50.ท่านฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมญาณ ) (ท่านมรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
    51.(หลวงปู่สิม เคยปรารภให้อาจารย์มหาบัวฟัง)
    52.หลวงปู่สังวาลย์ เขมโก จ.สุพรรณบุรี
    53.หลวงปู่วัดพระพุทธบาทตากผ้า (อันนี้หนังสือไม่ชัดครับเล่มนี้เก่ามากครับ )
    54.พระอาจารย์มหาโส กัสโป วัดป่าคำแคนเหนือ อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น
    55.หลวงปู่คำฟอง เขมจาโร (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ) วัดกุดเรือคำ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร
    56.หลวงปู่บุญเพ็ง กัปโป วัดป่าวิเวกธรรม (วัดป่าช้าเหล่างา) อ.เมือง จ.ขอนแก่น
    57.หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ วัดเกาะแก้วะดงคสถาน อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์
    58.คุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ) สำนักชีบ้านห้วยทราย อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
    59.พระอาจารย์ทุย (ปรีดา) ฉันทกโร วัดป่าดานวิเวก อ.โซ่พิสัย จ.หนองคาย
    60.พระอาจารย์สรวง สิริปุญโญ วัดป่าศรีฐานใน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร
    61.พระอาจารย์สาคร ธัมวุธโธ วัดป่ามณีกาญจ์ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี
    62.พระอาจารย์จันทร์โสม กิตติกาโม วัดป่านาสีดา อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี (มรณภาพแล้ว)
    63.พระอาจารย์แยง สุขกาโม วัดเจติยาคีรีวิหาร (ภูทอก) อ.ศรีวิไล จ.หนองคาย
    64.หลวงปู่แฟ็บ สุภัทโท วัดป่าดงหวาย อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร
    65.พระอาจารย์จันทร์เรียน คุณวโร วัดถ้ำสหายธรรมจันทร์นิมิตร อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
    66.หลวงปู่ผาง โกสโล วัดภูหินแตก อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
    67.หลวงปู่หล้า เขมปัตโต (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ) วัดบนนพตคีรี (ภูจ้อก้อ) อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร
    68.ท่านพระอาจารย์สิงทอง ธัมวโร(มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ)วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    69.หลวงปู่อ่อนศรี ฐานวโร วัดถ้ำประทุน ต.เขาไม้แก้ว อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
    70.หลวงปู่ต้น สุทธิกาโม วัดบึงพลาราม ต.บ้านว่าน อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย
    71.หลวงปู่สมศักดิ์ ปัณฑิโต วัดบูรพาราม ( วัดหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ) ต.ในเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์
    72.หลวงปู่ทอง จันทสิริ วัดอโศการาม ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
    73.หลวงปู่ทองใบ ปภสฺสโร สำนักวิปัสสนาธุระ (ภูย่าอู่) บ.นาหลวง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
    74.หลวงปู่คูณ สุเมโธ วัดป่าภูทอง ต.บ้านผือ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
    75.พระอาจารย์ฟัก สันติธัมโมวัดพิชัยพัฒนาราม ( วัดป่าเขาน้อยสามผาน ) ต.สองพี่น้อง อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี
    76.หลวงปู่สุทัศน์ โกสโล วัดกระโจมทอง ต.วัดชลอ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี
    77.หลวงปู่อ้ม สุขกาโม วัดภูผาผึ้ง อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร
    78.ท่านพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม วัดป่าหนองไผ่ ต.ดงมะไฟ อ.เมือง จ.สกลนคร
    79.ท่านพระอาจารย์หลอ นาถกโรวัดถ้ำอภัยดำรงธรรม(วัดถ้ำพวง วัดพระอาจารย์วัน อุตโม) อ.ส่องดาว จ.สกลนคร
    80.หลวงพ่อทองคำ กาญวันวัณโณ วัดถ้ำบูชา อ.เซกา จ.หนองคาย
    81.หลวงปู่ถิร ฐิตธัมโม (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ) วัดทิพยรัฐนิมิตร (วัดป่าบ้านจิก) อ.เมือง จ.อุดรธานี
    82.พระอาจารย์ทองอินทร์ กตปุญฺโญ วัดป่ากุง (วัดป่าประชาคมวนาราม ) อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด
    83.หลวงปู่เผย วิริโย วัดถ้ำผาปู่ ต.นาอ้อ จ.เลย
    84.หลวงปู่คำพอง ขันติโก วัดป่าอัมพวัน จ.เลย
    85.หลวงปู่อว้าน เขมโก วัดป่านาคนิมิตร อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร
    86.ท่านพระอาจารย์วิชัย เขมิโย วัดถ้ำผาจม จ.เชียงราย
    87.พระอาจารย์บุญทัน ปุญทัตโต (ท่านเพิ่งจะมรณภาพ เดือน ธค.49 ) วัดป่าสามัคคีสันติธรรม อ.ฝาง จ.ขอนแก่น
    88.หลวงปู่พิศดู ธรรมจารีย์ วัดเทพธารทอง ต.พลวง กิ่งอ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี
    89.หลวงปู่เนย สมจิตฺโต วัดป่าโนนแสนคำ บ.ทุ่งคำ ต.เจริญศิลป์ อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร
    90.หลวงปู่สังข์ สังกิจโจ วัดป่าพระอาจารย์ตื้อ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
    91.ท่านพระอาจารย์อุทัย ธมฺมวโร วัดภูย่าอู่ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
    92.หลวงปู่ประสาร สุมโน วัดป่าหนองไคร้ ต.หนองหิน อ.เมือง จ.ยโสธร
    *พุทธะบูชา มหาเตชะวันโต
    *ธรรมะบูชา มหาปัญโญ
    *สังฆะบูชา มหาลาโภ
    ติโลกะนาถัง อภิปูชยามิ
    ...สาธุ สาธุ สาธุ...

    ที่มาแหล่งอ้างอิง(reference):ศูนย์คอมพิวเตอร์มหาลัยขอนแก่น(ราม บูรพา)
    https://sites.google.com/a/kku.ac.t...say-hlwng-pu-man-thi-hlwng-tam-ha-baw-rabrxng
     
  7. ละโลก

    ละโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    188
    ค่าพลัง:
    +654
    กราบหลวงตา อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ กับเจ้าของกระทู้ครับ
     
  8. johndavy

    johndavy สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +11
    แนวทางปฏิบัติ ๒ - ๑๐.อริยสัจสี่ ในอานาปาณสติ ตอนที่ ๑ โดยพระอาจารย์สมภพ โชติปัญโญ



    ถ้าภิกษุทั้งหลายเป็นอยู่โดยชอบในเส้นทางสายนี้ในอริยมรรคนี้ โลกจักไม่ว่างจากพระอรหันต์


    ลาภ สักการะ เสียงสรรเสริญ เยินยอ เป็นภัย อันแสบเผ็ด ทารุน หยาบคายอย่างยิ่ง ต่อการบรรลุ โลกุตรธรรม ไม่มีสิ่งอื่นที่ยิ่งกว่า


    วันนี้ก็คือพรุ่งนี้ของเมื่อวาน ชาติหน้าเราอาจจะไม่ปักใจเชื่อสนิทว่ามันจะมีหรือไม่มี เหมือนกับวันพรุ่งนี้ เรามองไม่เห็น แต่ว่าวันพรุ่งนี้มันมี มันมีให้เราเห็นอย่างสืบเนื่องกัน วันนี้ก็คือพรุ่งนี้ของเมื่อวาน ถ้าชาตินี้มันก็คือชาติหน้าของชาติก่อน





    ฟังเพิ่มได้ที่ พระธรรมเทศนาหลวงพ่อสมภพ โชติปัญโญ|ความสุขอยู่ที่ความพอใจ
    สาธุๆๆ อนุโมทามิ
    
     
  9. parapuda

    parapuda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +250
    อนุโมทนาสาธุ ในบุญกุศล ในบูรณาการพระศาสนาทั้งปวง ^^
    อนุโมทนา Express gratitude Buddha ۩ - YouTube
    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
    http://www.facebook.com/UniversalReligionNirvana
    ศาสนาสากล - Universal Religion
    - มีธรรมชาติทั้งหมดเป็นองค์ความรู้ และอุดมสุข ให้ิผู้นับถือและปฏิบัติพัฒนาศักยภาพตนได้ตามลำดับตามอุดมสุขของตนได้จนถึงเป็นพระเป็นเจ้า หรือศาสดา ตามอุดมคติและความรู้สูงสุดของศาสนา ปรัชญา อภิปรัชญา รวมถึงศิลปะเเละวิทยาการทั้งหมด ในประวัติศาสตร์โลกรวมกัน ตามจริตและความเหมาะสมของอุดมสุขของมนุษยชาติทุกคนโดยให้บังเกิดสันติภาพความเจริญก้าวหน้าและอารยะธรรม ศิลปะและวิทยาการ สรรค์สร้างความสมบูรณ์ ผาสุก ตลอดไป.
    - There is a natural body of knowledge and practice development Ideal of happiness thier Anglicans and their respectively Ideal of happiness their God or prophet according to the highest ideals and knowledge of religion, philosophy, metaphysics and science all artistic undertakings. In the history of the world together. By happiness sense of humanity and decency of all people to bring peace, prosperity and civilization. Arts and Sciences. Create the perfect bliss forever.
    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


    ญาณทัสสนวิสุทธิ-Mystics Tuscan pine LDS.(translation by google 4/6/2013 6:22 PM)
    ความบริสุทธิ์วิเศษด้วยความรู้ความรู้ความเห็นในทางดำเนิน หมายถึง วิปัสสนา
    ญาณที่มีกำลังตั้งแต่อุทยัพพยญาณที่พ้นจากอุปกิเลสแล้ว จนถึงสัจจานุโลมิกญาณ
    อันเป็นวิปัสสนาญาณที่ถึงยอด ( อุทยัพพยญาณที่ ๔ ภังคานุปัสสนาญาณที่ ๕
    ภยตุปัฏฐานญาณที่ ๖ อาทีนวานุปัสสนาญาณที่ ๗ นิพพิทาญาณที่ ๘ มุญจิตุกัม
    ... ยตาญาณที่ ๙ ปฏิสังขานุปัสสนาญาณที่ ๑๐ สังขารุเปกขาญาณที่ ๑๑ อนุโลม
    ญาณที่ ๑๒ )
    Youtude : [ame=http://www.youtube.com/watch?v=e4vqZcIPVYk]ความจริงไม่มีใครทุกข์ - YouTube[/ame]
    วิสุทธิ>Religion Nirvana
    วิสุทธิ - วิกิพีเดีย
    Thailand>นิพพาน - วิกิพีเดีย
    "นิพพาน" จากบาลี Nibbāna निब्बान ประกอบด้วยศัพท์ นิ (ออกไป, หมดไป, ไม่มี) + วานะ (พัดไป, ร้อยรัด) รวมเข้าด้วยกันแปลว่า ไม่มีการพัดไป ไม่มีสิ่งร้อยรัด คำว่า "วานะ" เป็นชื่อเรียก กิเลสตัณหา กล่าวโดยสรุป นิพพานคือการไม่มีกิเลสตัณหาที่จะร้อยรัดพัดกระพือให้กระวนกระวายใจ อันเป็นจุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา
    ในทางมหายานได้กล่าวไว้ใน ธรฺม ธาตุ ปรกฺฤตย อวตาร สูตฺร(入法界體性經 ) โดยอธิบายว่า ธรรมธาตุของนิพพานนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิด ไม่ดับ ไม่สกปรก ไม่บริสุทธิ์ ไม่แปดเปื้อน ไม่แปรปรวน ไม่มีผู้ใดดับได้ จึงไม่มีผู้ใดเกิด นิกายมหายานส่วนใหญ่มักมุ่งสู่การไปเกิด ณ แดนสุขาวดี (หนึ่งในพุทธเกษตร ซึ่งเป็นโลกธาตุที่พระอมิตตายุสสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เนรมิตขึ้น ) โดยมีคติการบรรลุธรรมคนเดียวเป็นการเห็นแก่ตัวดังนั้นจึงอยู่ช่วยสรรพสัตว์จนถึงคนสุดท้าย
    English>Nirvana - Wikipedia, the free encyclopedia
    Nirvāṇa (Sanskrit: निर्वाण; Pali: निब्बान nibbāna; Prakrit: णिव्वाण) is an ancient Sanskrit term used in Indian religions to describe the profound peace of mind that is acquired with moksha (liberation). In shramanic thought, it is the state of being free from suffering. In Hindu philosophy, it is union with the Brahman (Supreme Being).
    The word literally means "blown out" (as in a candle) and refers, in the Buddhist context, to the imperturbable stillness of mind after the fires of desire, aversion, and delusion have been finally extinguished.[1]
    ------------------------------------------------------------------------------
    ปรัชญา-Philosophy
    Thailand : ปรัชญา - วิกิพีเดีย
    คำว่า ปรัชญา มีที่มามาจากภาษาสันสกฤต หมายถึงความรู้อันประเสริฐ โดยมีรากศัพท์มาจากคำว่า ปฺร ที่แปลว่าประเสริฐ กับ คำว่า ชฺญา ที่แปลว่ารู้ ซึ่งเป็นศัพท์บัญญัติโดยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ แทนคำว่า philosophy ในภาษาอังกฤษ ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำว่า Φιλοσοφία ฟีโลโซเฟีย ในภาษากรีกโบราณ ซึ่งแยกได้เป็นคำว่า φιλεῖν ฟีเลน แปลว่าความรัก และ σοφία โซเฟีย แปลว่าความรู้ เมื่อรวมกันจึงมีความหมายว่า "การรักในความรู้" หรือ ปรารถนาจะเข้าถึงความรู้หรือปัญญา
    ปรัชญา ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน แปลว่า วิชาว่าด้วยหลักแห่งความรู้และหลักแห่งความจริง กล่าวคือ ในบรรดาความรู้ทั้งหลายของมนุษยชาตินั้น อาจแบ่งได้เป็นสองเรื่องใหญ่ ๆ
    เรื่องที่หนึ่ง คือ เรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติ เช่น ฟิสิกส์ มีเป้าหมายในการศึกษาเพื่อหาความจริงต่าง ๆ และเข้าใจในธรรมชาติมากกว่าสิ่งรอบตัวเพราะรวมไปถึงจักรวาลทั้งหมดอย่างลึกซึ้ง ชีววิทยา มีเป้าหมายในการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย เคมี มีเป้าหมายในการศึกษาเกี่ยวกับธาตุและองค์ประกอบของธาตุ เป็นต้น
    เรื่องที่สอง คือ เรื่องเกี่ยวกับสังคม เช่น เศรษฐศาสตร์ มีเป้าหมายในการศึกษาเกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจของสังคม รัฐศาสตร์ มีเป้าหมายในการศึกษาเกี่ยวกับระบบการเมืองการปกครองของสังคม นิติศาสตร์ มีเป้าหมายในการศึกษาเกี่ยวกับระบบกฎหมายของสังคม เป็นต้น
    เป้าหมายในการศึกษาของปรัชญา คือการครอบคลุมความรู้และความจริงในทุกศาสตร์และในทุกสาขาความรู้ของมนุษย์ รวมทั้งชีวิตประจำวันของตนด้วย ผลจากการศึกษาของปรัชญาก็สามารถนำไปใช้อ้างอิงได้ ผู้รอบรู้ด้านปรัชญามักขนานนามว่า นักปรัชญา ปราชญ์ หรือ นักปราชญ์
    English : Philosophy - Wikipedia, the free encyclopedia
    Philosophy is the study of general and fundamental problems, such as those connected with reality, existence, knowledge, values, reason, mind, and language.[1][2] Philosophy is distinguished from other ways of addressing such problems by its critical, generally systematic approach and its reliance on rational argument.[3] In more casual speech, by extension, "philosophy" can refer to "the most basic beliefs, concepts, and attitudes of an individual or group".[4]
    The word "philosophy" comes from the Ancient Greek φιλοσοφία (philosophia), which literally means "love of wisdom".[5][6][7] The introduction of the terms "philosopher" and "philosophy" has been ascribed to the Greek thinker Pythagoras.[8] A "philosopher" was understood as a word which contrasted with "sophist". Traveling sophists or "wise men" were important in Classical Greece, often earning money as teachers, whereas philosophers are "lovers of wisdom" and were therefore not in it primarily for the money.
    ------------------------------------------------------------------------------
    อภิปรัชญา (อังกฤษ: Metaphysics)
    Thailand : อภิปรัชญา - วิกิพีเดีย
    English : Metaphysics - Wikipedia, the free encyclopedia
    ------------------------------------------------------------------------------
    ศาสนา (อังกฤษ: religion) หมายถึง ความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเหนือธรรมชาติ ตามประมาณการที่มีการค้นพบศาสนาในโลกมีประมาณ 4,200 ศาสนา ในหลักอภิปรัชญาว่าทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้นมาดำรงอยู่และจะเป็นเช่นไรต่อไป มีหลักการ สถาบัน หรือประเพณี ที่เป็นที่เคารพโดยทั่วไป แล้วอาจกล่าวได้ว่า ศาสนาเป็นสิ่งที่ควบคุม และประสานความสัมพันธ์ของมนุษย์ ให้อยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข คือ ให้มีหลักการ ค่านิยม วัฒนธรรมร่วมกันและวิถีทางที่มนุษย์เลือกใช้ในการดำรงชีวิต ให้สังคมเป็นหนึ่งเดียวกัน มีแนวทางไปในทิศทางเดียวกัน ด้วยหลักจริยธรรม คุณธรรม ศิลธรรมที่เป็นบรรทัดฐานเดียวกัน
    นอกจากการนับถือศาสนาแล้ว ยังมีความเชื่อไม่นับถือศาสนาด้วย เรียก "อศาสนา" (อังกฤษ: irreligion) และผู้ไม่นับถือศาสนาเรียก "อศาสนิก" (อังกฤษ: irreligious person)
    Thailand : ศาสนา - วิกิพีเดีย
    Religion is an organized collection of beliefs, cultural systems, and world views that relate humanity to the supernatural, to spirituality and, sometimes, to moral values.[note 1] Many religions have narratives, symbols, and sacred histories that are intended to create meaning to life or traditionally to explain the origin of life or the Universe. From their beliefs about the cosmos and human nature, they tend to derive morality, ethics, religious laws or a preferred lifestyle. According to some estimates, there are roughly 4,200 religions in the world.[1]
    Many religions may have organized behaviors, clergy, a definition of what constitutes adherence or membership, holy places, and scriptures. The practice of a religion may also include rituals, sermons, commemoration or veneration of a deity, gods or goddesses, sacrifices, festivals, feasts, trance, initiations, funerary services, matrimonial services, meditation, prayer, music, art, dance, public service or other aspects of human culture. Religions may also contain mythology.[2]
    The word religion is sometimes used interchangeably with faith or belief system; however, in the words of Émile Durkheim, religion differs from private belief in that it is "something eminently social".[3] A global 2012 poll reports that 59% of the world's population is religious, 23% are not religious, and 13% are atheists.[4]
    English : http://en.wikipedia.org/wiki/Religion
    ------------------------------------------------------------------------------
    Spiritual Reality The Ultimate To Meditation.
    Youtube :Spiritual Reality Power Of Meditation (Techniques) 1080P Full HD - YouTube
    วิดีโอนี้บอกเกี่ยวกับการทำสมาธิลึก การเดินทางจากจุดเริ่มต้นถึงจุดสิ้นสุด โดยใช้แบบจำลอง 3 มิติที่วิธีการที่เข้าใจง่ายในเรื่องเทคนิคในการทำสมาธิแบบเต็มรูปแบบ เป็นวิธีการที่ทำให้เราเข้าใจคร่าวๆ เกี่ยวกับความจริงของชีวิต ในมิติของจิตวิญญาณ ที่สอดผสานกับธรรมชาติและจักรวาลเป็นวิทยาศาสตร์ภายใน ที่ทุกคนสามารถค้นคว้าและเข้าถึงได้โดยวิธีการปฏิบัติ โดยปรับจากสภาพจิตพื้นฐาน ของผู้มีจิตสำนึกในความดีงาม...ขอความสันติสุข ความสงบ บังเกิดมีแด่ทุกท่าน..
    This video tell about deep meditation. A journey from the beginning to the end. The 3D models that how easy meditation techniques in full. Is how we understand the idea. About the reality of life. The dimensions of the soul. To integrate science with nature and the universe is within. Everyone can search and access them by way of practices. Adjusted basis of mental state. Of a sense of decency ... to bring peace, peace be upon all of you.
    Referance:Lakhwinder Singh.
    Copy Right :Meditation Techniques in Hindi
    ●▬▬▬▬▬▬▬▬ஜ۩۞۩ஜ▬▬▬▬▬▬▬▬●

    SPACE
    Space is an spiritual organization. Space is created by Spiritual Masters. Space is essence of Knowledge of the Spiritual Masters who have perceived the Knowledge through decades of research in other frequency realities, living with self in every moment of their life and understanding and becoming That.
    Space has created Spiritual Reality- journey within video on Meditation and Meditation experiences. Space is now creating Sarrva-science of Consciousness video.
    Contact:
    SPACE

    PC SPACE PVT LTD.,
    205, Gnana Marga,
    Siddartha Nagar,
    Mysore-570011
    Email: pcspacepvtltd@gmail.com
    Contact person: P.N. Chandrashekar
    Phone: 91-821-2470772
    Mobile: 91-9448470772
    Contact person: B.V.Pratap Reddy
    Mobile: 91-9440686588
    Website: Space is Spiritual Organization SriSpace India
     
  10. thontho

    thontho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    398
    ค่าพลัง:
    +612
    วิธีดูอรหันต์ย่อที่สุดคือ........ถ้าชาตินี้ยังติดมนุษย์ คลุกคลีมนุษย์เป็นประจำ ชาติหน้าก็ต้องมาคลุกคลีอีก คือต้องมาหันซ้ายหันขวา คลุกคลีแล้วจะเป็นอรหันต์ได้อย่างไร ?
     

แชร์หน้านี้

Loading...