พระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย รักโพธิญาณ, 18 เมษายน 2013.

  1. รักโพธิญาณ

    รักโพธิญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +224
    ก่อนเขียนเรื่องพระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ ขอแนะนำตัวเองก่อนครับว่าผมในนามแฝงชื่อ"รักโพธิญาณ"ไม่เคยเขียนในเว็บพลังจิตมาก่อนเลย เพียงแต่แวะเข้าอ่านของบุคคลอื่นที่เขียนลงไว้ในกระทู้ต่างๆถ้ามีญาติธรรมมาคุยกันได้เพื่อแลกเปลี่ยนเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะครับในเฟรชบุ๊ค http://www.facebook/รักในธรรม มุ่งมั่นหลุดพ้นวัฏสงสาร(กลุ่มแก้วรัตนมหาจักรพรรดิ์).com จะเห็นได้ว่าผู้คนในยุคปัจจุบันคงถอยห่างไกลธรรมไปมากเหลือเกิน มีจำนวนน้อยคนที่ศึกษาหลักธรรมพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ในลักษณะที่ผมเขียนแบบลักษณะกึ่งบทความผสมกับเป็นลักษณะกันเอง เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจยิ่งขึ้น มีการลักษณะอธิบายแบบตั้งคำถามและคำถามไปในตัว เพื่อให้ผู้มีการนึกมโนภาพได้ง่ายยิ่งขึ้นและอธิบายอย่างง่ายๆมีภาษาธรรมน้อยนิดเป็นการอธิบายแบบภาษาไทย ขออย่างเดียวอย่ายึดติดอุปาทานไปเอง อ่านเพื่อให้มีสติปัญญาเป็นผู้นำทางแสงสว่างเพื่อเลือกทางเดินให้ดีที่สุดสำหรับบุคคลผู้นั้น ส่วนผมศึกษาธรรมะมาตั้งระดับ ม.1 แล้วแล้วก็เรัยนศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองถึงแม้นว่ามาเนิ่นนานแล้วก็ตาม บางทีอาจลืมไปแล้วก็ได้ พยายามรื้อฟื้นความทรงจำกลับมาใหม่ ตอนเด็กๆอยู่พระประแดงลำบากมากเป็นคนยากจน และปัจจุบันนี้อยู่บางพลีใกล้วัดแห่งหนึ่ง ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นมากแล้วก็ตาม ลำบากตั้งแต่เด็กๆแล้ว เคยตกน้ำไปใต้ถุนบ้านไปตอนกำลังคลานนั่นคือเป็นกรรมมาตั้งตอนนั้นแล้ว ทุกวันนี้ต้องใช้กรรมให้หมดไปจากชาตินี้ ผมต้องศึกษาธรรมะทำให้เปลี่ยนชีวิตที่ดีขึ้นในปัจจุบันได้ครับ เริ่มจากการให้ทาน หัดสวดมนต์ และมีการเจริญวิปัสสนาพระกรรม เพื่อสร้างความดีสะสมบุญบารมีจากน้อยๆไปหามาก ดีกว่าไม่ได้ทำเลย ผมกว่าจะเรียนจบมหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขานิติศาสตร์ ใช้เวลา 4 ปี ตอนนั้นได้มีการห่างเหินไกลธรรมะไปมากเลยครับ มีความทุกข์ตั้งแต่เด็กๆแล้วจนกระทั่งปัจจุบัน ทุกข์นั้นกว่าจะจบสิ้นเป็นรายกรณีไปนะครับ ผมไม่ได้เรียนเก่งนะครับ อาศัยต้องขยันเข้าไปฟังบรรยายและศึกษาค้นคว้ากฎหมายตั้งหลายเล่มที่ห้องสมุด เล่นเอาผมเหนื่อยยากลำบาก ไม่เคยสุขสบายเลย แต่ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว เพราะสมองไม่ดีตั้งเรียนชั้นประถมแล้ว อันมาเนื่องจากสูญเสียได้ยินไป 1 ข้าง ได้ยินเหมือนกันแต่ได้ยินน้อยทำให้การรับรู้มีความผิดพลาดขึ้นได้ซึ่งผลการเรียนช้ากว่าคนอื่น ได้ยินเหมือนกันแต่ได้ยินประมาณว่าโต้ตอบคำถามได้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมน่ะพูดไม่ได้เลย ต้องเรียนฝึกพูดตั้งหลายปีโดยได้รับความเมตตาจากผู้ความเป็นแม่ ตอนนั้นแม่มีลูกตอนอายุ 17 ปี แม่ยังเมตตาสงสารให้เหมือนคนอื่นเขา ปัจจุบันนี้ดีขึ้นมากแล้วไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตลอดที่โรงพยาบาลราชวีถี ใช้เวนานมากนั่นแหละกรรมตรงนี้แหละต้องชดใช้กรรมเก่า เอาล่ะเพื่อเรียนรู้ดูทุกข์ของตนเป็นอย่างไร และวิธีการแก้ปัญหาอย่างไรให้ติดตามบทความในหัวข้เรื่องพระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ เพราะผมเรียนระดับชั้นมัธยมปลายเรียนสายวิทย์คณิตมาก่อนและเรียนระดับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานครมาก่อน มีการศึกษาวิทยาศาสร์มาเปรียบเทียบพุทธศาสนา ปรากฎเข้ากันได้โดยบางกรณี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2013
  2. รักโพธิญาณ

    รักโพธิญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +224
    เดี๋ยวผมเขียนต่อในเวลตอนบ่ายนะครับ
     
  3. รักโพธิญาณ

    รักโพธิญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +224
    พระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์
    บททั่วไป
    เมื่อกล่าวถึงของคำว่า "วิทยา" ตามความหมายของพจนานุกรมหมายถึง"ความรู้"ส่วนคำว่า"ศาสตร์"นั้นย่อมหมายถึง"ระบบประมวลความรู้"แล้วรวมเป็นคำว่า"วิทยาศาสตร์"เป็นวิชาที่ว่าด้วย "ความรอบรู้ทั่วไปของธรรมชาติรอบๆตัวเอง"
    ส่วนคำว่า"ศาสนา"หมายถึง ลัทธิความเชื่อของเผ่าพันธ์ุ์มนุษย์ ที่เกิดมาจากความกลัว สรรพสิ่งปรากฎในธรรมชาติ เช่น ฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า แผ่นดินไหว โรคภัยไข้เจ็บ ภัยธรรมชาติที่คุกคามชีวิตมนุษย์ อย่างนี้เป็นต้น
    หลักคำสอน หมายถึงหลักธรรมต่างๆที่เกี่ยวกับยึดหลักประเพณีสิ่งที่ดีงามสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน
    พระพุทธศาสนา หมายถึงความมั่นคงภายในจิตใจของหนุษย์เพื่อให้มีจิตใจผู้เป็นอันประเสริฐ ด้วยการยึดเป็นที่พึ่งทางใจก็คือพระรัตนตรัย หมายถึงแก้วสามประการ ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    บางคนสงสัยว่าพระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์มาเกี่ยวข้องได้อย่างไร เกี่ยวข้องแน่นอนซึ่งไปตรงกับว่าด้วยเรื่องเหตุและผล ทั้งสองศาสตร์ที่เกี่ยวโยง มีการตั้งข้อสังเกตุว่าสิ่งนั้นๆมันเป็นอย่างไร โดยการตั้งโจทย์ แล้วให้หาคำตอบด้วยวิธีการหาทฤษฎี,การทดลอง,การตั้งสมมุติฐาน,ผลสรุปการทดลอง หรือนัยหนึ่งว่าเป็นการค้นคว้าหาเหตุผลมาจากประมวลความรู้ต่างๆว่าเป็นอย่างไร เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าผลออกมาแล้วพิสูจน์ว่าเป็นความจริงที่ความรู้นั้นๆจึงเชื่อถือได้โดยการพิสูจน์นั่นเอง ยกตัวอย่างเช่นการปลูกต้นมะยมจะออกลูกมะม่วงแทนมะยมได้หรือไม่ โดยการตั้งสมมุติฐานว่า การผสมพันธุ์ไม้ยืนต้นทั้ง 2 พันธุ์ ซึ่งน่าจะผสมพืชพันธุ์กันได้ รวมทั้งต้นสะเดา,ต้นดอกคูน อย่างนี้เป็นต้น ในเมื่อผสมพันธุ์สำเร็จแล้วหน้าตาผลไม้เป็นอย่างไร แล้วมีรสชาติเป็นอย่างไร อาจมีรสขมๆเปรี้ยวๆ อาจมีความหวานก็ได้ นั่นคือเป็นวิชาวิทยาศาสตร์ซึ่งตรงกับพระพุทธศาสนาว่าด้วยเรื่องการหาทางดับทุกข์ว่าจะหาหนทางดับทุกข์ด้วยวิธีใด สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ซึ่งมาจาการกระทำต่างๆของมนุษย์ แล้วผลที่ได้รับเป็นอย่างไร จะหาวิธีการดับทุกข์ แล้วตั้งเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนาคืออะไร
    ทั้งสองศาสตร์สิ่งสามารถเชื่อมถึงกันได้โดยการตั้งเป้าหมายในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรซึ่งแต่ละคนไม่เหมือนกัน กล่าวถึงในบทต่อไป
     
  4. รักโพธิญาณ

    รักโพธิญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +224
    (ต่อ)บทพระพุทธศาสนากับชีวิตประจำวัน
    พระพุทธศาสนาซึ่งหลักธรรมที่เข้ากับชีวิตประจำวันมาปรับใช้กับเข้ากับตนเองได้ เช่นอริยสัจ4,พรหมวิหาร4,โลกธรรม8,อิทฺธิบาท4 เป็นต้น ในเมื่อพระพุทธเจ้าทรงค้นพบสัจธรรมบังเกิดขึ้นสากลในโลกซึ่งมีคำว่า"อริยสัจ4" ได้แก่ ทุกข์,สมุทัย,นิโรจ,มรรค ซึ่งมีอยู่ตามสภาวะธรรมชาติทั่วๆไป ก่อนพระพุทธเจ้าที่จะบังเกิดขึ้นในโลกของเราไม่มีใครค้นพบอันหลักธรรมที่มาจากธรรมชาติรอบๆตัวเรา เพราะเหตุมนุษย์เราซึ่งไปไม่ถึงแดนธรรมทำให้ขาดสติปัญญาอันแจ่มแจ้งในธรรมซึ่งมนุษย์เกินกว่าที่จะเข้าใจในหลักธรรมที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ย่อมมีเหตุอันต้องทุกข์โศกยากที่หาหนทางดับทุกข์ไปได้ยากมาก ไม่มีผู้ชี้แนะแนวทางการปฎิบัติตนเพื่อให้พ้นออกจากกองทุกข์ ซึ่งเป็นไปตามความคิดสามัญธรรมดาของมนุษย์เรา เห็นว่าชาติหน้าไม่มี เห็นเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็เห็นมาหมดทุกอย่างแต่ทว่าไม่เห็นดวงตาธรรมแน่นอน ในช่วงที่พระพุทธเจ้ายังบังเกิดขึ้นในโลก ในขณะนั้นมีความทุกข์ร้อนยิ่งกว่าในยุคปัจจุบัน เพื่อมีสัญชาติญาณเอาตัวรอดของมนุษย์ต้องมีการเข่นฆ่ากันเป็นเรื่องปกติธรรมเหตุการณ์นั้น เนื่องจากไม่มีประเพณีสิ่งที่ดีงามไว้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตประจำวัน ไม่มีกฎเกณฑ์ทางสังคม ย่อมหมายความว่าทำอะไรตามใจชอบทุกๆเรื่องตามที่ต้องการ ผิดศีลธรรมผิดหรือไม่ผิดก็ยังไม่รู้เลย ต่างคนต่างเอาตัวรอดโดยการเบียดเบียนซึ่งกันและกันด้วยกันเองอย่างหนักในยุคนั้น ย่อมทำให้เดือดร้อนต่างทั่วหน้า นี่แหละสมัยที่ยังว่างเว้นพระพุทธศาสนาต้องเป็นอย่างนี้แน่นอนหรือถ้ามีสัตตบุรุษบังเกิดขึ้นเป็นพระจักรพรรดิ์ ก็ย่อมมีพระจักรพรรดิ์เป็นผู้นำมหาชนในการทำความดีโดยการสร้างประเพณีอันที่ดีงามไว้ ต้องรักใคร่สามัคคีกลมเกลียวซึ่งกันและกัน แต่ว่าไม่มีหลักธรรมะที่เกิดขึ้นในโลกได้ เพียงเป็นผู้ชี้แนวทางให้เป็นบรรทัดฐานของสังคมในยุคนั้น เหมือนกับการคั่นเวลาก่อนที่พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นในโลกของเราก็นับใช้ระยะเวลายาวนานมากที่จะมีพระพุทธเจ้าเกิดมาในโลก เพื่อไม่ให้มนุษย์เรามีปัญหาการแก่งแย่งทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าโดยไม่รู้ว่าบาปบุญคุณโทษเป็นอย่างไร ไม่มีการสำนึกรับผิดชอบชั่วดี ให้ผู้อ่านคิดได้ว่าในยุคนั้นมีสุขในการดำรงชีพหรือไม่ ตกอยู่ภายใต้ความกลัว หวาดระแวงผู้คนรอบข้าง กลัวสิ่งที่ลี้ลับที่มองไม่เห็น กลัวธรรมชาติต่างๆ เป็นต้น นี่แหละนักหนาในยุคนั้น น้อยยุคนักที่มีความสุขนอกจากมีสัตตบุรุษเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ของโลกที่เกิดขึ้นมาแล้ว ท่านผู้นี้สอนคนให้ยึดประเพณีอันที่ดีงามสร้างขึ้นมาให้ผู้คนได้ปฎิบัติเป็นระเบียบเรียบร้อยเพื่อความสงบสุขของสังคมมนุษย์ยุคนั้น
    ต่อมาพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นในโลกของเราแล้ว ทรงเป็นบุคคลพิเศษกว่าในโลกเพราะพระพุทธทรงมีพระปัญญามากมายก่ายกองโดยไม่มีประมาณ ทรงมีพระกรุณาต่อเวไนยสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง การสั่งสอนหลักด้วยความเมตตาโดยไม่มีประมาณกว้างใหญ่ไพศาลเพื่อให้หลักธรรมมาโปรดเวไนยสัตว์ในโลกของเรา เพื่อหาทางดับทุกข์ไปเสวยสุขในดินแดนพระนิพพาน ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าก็ไม่มีหลักธรรมก็ย่อมไม่รู้จักคำว่า"พระนิพพาน" ซึ่งนิพพานนั้นย่อมเกิดขึ้นเองไม่ได้ต้องมีผู้ชี้แนะแนวทางในการปฎิบัติธรรมให้พ้นออกจากทุกข์หมดสิ้นในชาตินี้ ต้องมีบุคคลนำทางให้เราเดินในสิ่งที่ถูกต้องมีเพียงผู้เดียวเท่านั้นก็คือพระพุทธเจ้า ผู้คนในยุคปัจจุบันถือว่าโชคดีที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนายังคงดำรงอยู่ท่ามกลางอายุพระพุทธศาสนา 5,000 ปี บัดนี้ 2556 ปีแล้ว ซึ่งถือได้ว่ามีความโชคดีที่เกิดมาเป็นมนุษย์นอกจากนี้ยังมีพระพุทธศาสนาที่ได้พบกันในชาตินี้ โชคดีถึง 2 ชั้นเป็นเนื้อนาบุญของโลก ผู้อ่านยังมีโอกาสได้สร้างบุญบารมีให้ถึงที่สุด อย่าไปอายใครเขาเลยปล่อยเขาไปเถิดเพราะปัญญาของบุคคลผู้นั้นยังมืดบอดอยู่ ยังไม่ถึงแสงสว่างเป็นผู้นำทางเดินในสิ่งที่ถูกต้องและอีกทั้งหนึ่งบุคคลผู้นั้นไม่มีบุญบารมีติดตัวมาเลยก็ย่อมมีปัญญาบังเกิดขึ้นไม่ได้ ของสิ่งเหล่านี้เป็นสะสมบุญบารมีไม่ใช่น้อยเลยแล้วไม่ใช่เพียงแค่ชาติเดียวเท่านั้นมันเป็นหลายๆชาติจนนับไม่ถ้วนจึงถือได้ว่าเป็นการสั่งสมบุญบารมีเริ่มจากน้อยๆไปหามากจนกว่าจะเต็มในชาติถัดไป ถ้าไม่มีสื่งเหล่านี้ก็นับว่าปัญญานำทางแสงสว่างนั้นไม่มีในตัวเองนะ เพราะฉะนั้นแล้วการดำเนินชีวิตก็ย่อมผิดพลาดในการดำรงชีวิตประจำวัน เพียงแค่ทำทานยังทำไม่ได้เลย ยังมีจิตใจตระหนี่ถี่เหนียว ไม่อยากแบ่งปันให้ใคร มีแต่เอาเปรียบของคนอื่น นั่นแหละบุคคลผู้นั้นซึ่งมืดบอดทางปัญญามาเบียดเบียนผู้อื่น โดยไม่สนใจว่าผู้อื่นได้รับความทุกข์หรือเปล่าหรือพึงพอใจหรือไม่ จิตใจของบุคคลผู้นั้นยังไม่ค้นพบสิ่งที่เป็นประเสริฐในธรรมท่ามกลางพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นใโลกแล้ว ยังคงมัวเมาในการดำรงชีวิตประจำวันด้วยความประมาทยังไม่รู้จักคำว่า"ประเสริฐ"หมายถึงการทำสิ่งที่ดีงามหรือดวงจิตสิ่งที่ดีงาม ผ่านการเจียรนัย เป็นมันแวววับเปล่งประกายแลดูสวยงามดั่งเพชร ถึงแม้นว่าผู้คนในยุคปัจจุบันไม่มีพระพุทธเจ้าแล้วก็ตาม ยังคงมีพระสงฆ์เป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวต่อไปได้ก็ยังดีที่มีพระพุทธศาสนาไม่ได้สูญหายไป มีโอกาสให้ทาน รักษาศีล ปฎิบัติธรรม มีโอกาสฟังธรรมะโอสถของพระพุทธเจ้า ขอให้ทำดีที่สุดในปัจจุบันไม่ใช่ว่าเกิดมาเป็นมนุษย์กันง่ายๆหรอกขอให้ได้ทำไปเถิดแล้วจะดีไปเองขอจบในบทนี้ ไว้คราวหน้ามีบทใหม่ซึ่งบทต่อไปว่าการประยุกต์ใช้ธรรมะเป็นอย่างไรติดตามตอนต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2013
  5. รักโพธิญาณ

    รักโพธิญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +224
    (ต่อ)เมื่อกล่าวที่ผ่านมาการเกิดมาเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นของยากมากกว่าจะได้เกิดมา เมื่อเปรียบเทีบกับมนุษย์ 1 คนต่อสัตว์เดรัจฉานเป็นล้านกว่าตัว อ้าวทำไมเป็นอย่างนั้น เพราะการเกิดของสัตว์เดรัจฉานมีมากกว่า 1 ตัว เช่น หมู,แมว,สุนัข,นก,จรเข้,ปลา,ยุง,แมลงต่างๆอย่างนี้เป็นต้น การเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานซึ่งหมายถึงการขวางความเจริญในด้านบุญบารมี อะไรก็แล้วที่เรียกว่าขวางก็แล้วกัน หามีสติปัญญาได้ไม่ถึงแม้นว่าสัตว์บางชนิดมีความฉลาดแต่ไม่สามรถเข้าถึงธรรมได้ ซึ่งมีน้อยมากที่เข้าแก่นธรรมได้เท่านั้นที่หลุดพ้นความเป็นสัตว์เดรัจฉาน ปฎิบัติธรรมก็ไม่ได้ ดังนั้นการเกิดมาเป็นมนุษย์เท่านั้นที่สามารถปฏิบัติตามคำสั่งพระพุทธองค์ได้ บางคนเกิดมาในโลกจึงไม่เชื่อว่ามีชาติก่อนหรือชาติหน้า เกิดมาครั้งเดียวก็ตายแล้วสูญไม่มีมีการเกิดมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง สิ่งเหล่านี้ถือได้ว่ามิจฉาทิฎฐิอยู่อีกมาก เป็นสิ่งที่น่าเสียดายที่เกิดมาเป็นมนุษย์สูญเปล่าไม่ได้อะไรเลย ไร้ราศีไร้ราคา จึงไม่มีแก้วรัตนะใดๆเลย อะไรคือแก้วรัตนะ,แล้วอยู่ตรงไหนส่วนหนึ่งในโลก,แล้วเกิดขึ้นได้อย่างไร,มีรูปร่างสัณฐานเป็นอย่างไร ขอให้คิดไตร่ตรองดูเถิด นั่นแหละทีนี้ความเข้าใจเป็นแบบไหนชี้แสดงให้เห็นว่าปัญญาของท่านเป็นอย่างไร
    ทีนี้พูดถึงพระพุทธศาสนากับชีวิตประจำวันนั้นใช้ได้ทุกๆหลักธรรมเลยล่ะเพียงแต่ละคนมีจริตนิสัยไม่เหมือนกัน ในเมื่อรวมกำลังจิตใจมาหล่อหลอมให้เป็นหนึ่งเดียวในนั้นก็คือพระรัตนตรัยหรือแก้วรัตนะก็ได้ที่ท่านต้องหาคำตอบดังกล่าวไว้ข้างต้น สิ่งเหล่านี้มนุษย์ทุกคนจะพลาดสิ่งนี้ไม่ได้เลย ถ้าพลาดเมื่อใดก็มีการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ เมื่อนั้นออกนอกเขตพระพุทธศาสนาไปแล้วเป็นการชั่วคราวย่อมหมายถึงการเกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ย่อมเกิดได้รวมไปถึงการเกิดเป็นอสุรกายด้วยหรือเกิดมาเป็นมนุษย์ในต่างประเทศที่ไม่มีพระพุทธศาสนาก็ย่อมเกิดทุกข์โศกได้ง่ายกว่า นานเท่าแสนนานมากกว่าจะหลุดพ้นวงโคจรนี้ไปได้ จึงได้พบพระพุทธศาสนากันอีกครั้งหนึ่งนั่นแหละชีวิตมนุษย์ปุถุชนธรรมดาพลาดท่าได้โดยง่าย ซึ่งในต่างประเทศบางทีก็สงบนะครับแต่มีความเครียดสูงกว่าของเรานะ ต้องมีการแข่งขันทุกๆอย่างเต็มไปด้วยความทุกข์เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวมากกว่าซึ่งบางครั้งมีภัยธรรมชาติร้ายแรงกว่าเรา บางประเทศมีรบราฆ่าฟันอยู่ไม่ได้เป็นสุขเลย บางประเทศอดอยากอาหารขาดแคลน ล้วนทุกสิ่งย่อมเป็นไปตามกรรมที่กำหนดไว้ เพราะฉะนั้นแล้วพวกเราชาวพุทธศาสนิกชนต้องพึงปฎิบัติตามพระพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัดทรงชี้ทางเดินไว้ให้แล้ว แล้วให้ทันพระพุทธเจ้าอุบัติเกิดขึ้นในโลกทุกๆชาติไปย่อมหมายความว่าการเกิดมาเป็นมนุษย์ได้พบพระพุทธศาสนา เมื่อใดก็ตามขาดหลักธรรมเมื่อนั้นโลกของจักฉิบหายเมื่อนั้น ศาสนาอื่นๆมีการปฎิบัติธรรมหรือเปล่า มีเหมือนกันแต่แตกต่างตรงที่ว่าการตั้งเป้าหมายของแต่ละศาสนาไม่เหมือนกันนะ ในเรื่องของพระพุทธศาสนามีเป้าหมายสูงสุดคือดินแดนพระนิพพานนั่นเอง
    จบบทพระพุทธศาสนากับชีวิตประจำวัน ตอนต่อไปเป็นบทการประยุกต์ใช้ธรรมะเป็นอย่างไรเข้ากับวิทยาศาสตร์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2013
  6. รักโพธิญาณ

    รักโพธิญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +224
    (ต่อ)บทการประยุกต์ใช้ธรรมะเป็นอย่างไรเข้ากับวิทยาศาสตร์
    พระพุทธศาสนาสามารถเข้ากับวิทยาศาสตร์ได้อย่างลงตัว มีการพิสูจน์แสวงหาข้อเท็จจริง บางครั้งวิทยาศาสตร์ไม่สมารถพิสูจน์ได้ในบางเรื่องบางกรณี ถึงแม้ว่ามีเครื่องมือวัดได้แต่ไม่สารถพิสูจน์ทางจิตได้ซึ่งเรืื่องของ ปัจจัตตัง ก็คือเป็นเรื่องที่จะรู้ได้เฉพาะตัว ย่อมหมายความว่าคนที่เข้าถึงแก่นธรรม มีเป้าหมายก็คิอออกจากกองทุกข์ให้หมดสิ้นไป ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงค้นพบหลักธรรมแล้วก็นับว่า มนุษย์อย่างเราเรียกว่าผู้มีจิตใจเป็นอันประเสริฐ ในเมื่อหลักธรรมเปรียบเทียบกับวิทยาศาสตร์ก็คือ อริยสัจ 4 หมายถึง การแสวงหาหนทางพ้นจากกองทุกข์ อันได้แก่
    ทุกข์ คือ เป็นเหตุที่ไม่สบายใจ,หนักใจ
    สมุทัย คือ การหาสาเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์
    นิโรธ คือ แสวงหาให้พ้นออกจากองทุกข์
    มรรค คือ การนำไปสู่ความหลุดพ้นออกจากกองทุกข์
    ถ้าเป็นวิทยาศสตร์ก็มีการตั้งคำถามว่าสิ่งมันคืออะไร ก็จะนำการตั้งข้อสังเกต การตั้งสมมติฐาน การทดลอง การหาคำอธิบายหลักการต่างและผลสรุปการทดลองว่าเป็นอย่างไร ล้วนสิ่งเหล่านี้เป็นปรากฎการณ์การอธิบายความเป็นได้ของสิ่งนั้นๆเมื่อเปรียบเทียบพระพุทธศาสนามีการแสวงหาเหตุและผลที่ทำให้เกิดความทุกข์ ทั้งสองศาสตร์เหมือนกันแต่อยู่ในความแตกต่างกันระหว่าความรอบรู้มากกว่ากัน พระพุทธศาสนามีการอธิบายจักรวาลแสนโกฎิจนกระทั่งวิญญาณอณูเป็นสิ่งที่เล็กๆที่มองไม่เห็นซึ่งวิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายปรากฎการณ์สิ่งเหล่านี้ได้ ต้องเป็นการพิสูจน์วิทยาศาสตร์ทางจิตอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นหนทางเพิ่มพูนสติปัญญามากกว่าแล้วไปสู่พ้นออกจากกองทุกข์ซึ่งเข้าสู่ดินแดนพระนิพพาน จริงแล้วพระพุทธศาสนารู้ลึกทางปัญญามากว่าทางวิทยาศาสตร์ บางสิ่งบางอย่างคำว่าดวงจิตคืออะไร วิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้ คำว่าดวงจิตนั้นคือเป็นสสารไม่วันแตกสลายไปได้สิ่งไหนหมดไปแล้วสามารถย้อนกลับมาขึ้นมาใหม่ได้เหล่านี้เรียกสสาร ซึ่งเป็นพลังงานของตัวเองมีอยู่ทุกคนอยู่แล้ว ก่อให้เกิดชาติภพขึ้นมาจนนับไม่ถ้วน นับจนเป็นกัปป์หรืออสงขัยก็ได้ สิ่งเหล่าเป็นการเวียนว่ายตายเกิดซ้ำซากอยู่อย่างนี้เขาเรียกว่าสังสารวัฎมีทั้งหมด 31 ภูมิ ซึ่งเป็นกระแสพลังงานอย่างหนึ่ง ผู้เขียนไม่อธิบายเพราะเหตุทำให้ไม่เข้าใจเจาะลึกลงไปสำหรับผู้ที่เริ่มต้นพระพทธศาสนา ขอข้ามไปนะ พระพุทธเจ้าของเราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดของโลก ย่อมเป็นครูที่ดีที่สุดของโลกก็ว่าได้ พระพุทธเจ้าทรงเน้นเรื่องกฎแห่งกรรมเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งคนเราส่วนใหญ่มักไม่สนใจในธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างมาก ผู้เขียนขอยืมคำพูดของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระธรรมสิงหบุราจารย์หรือหลวงพ่อจรัญ แห่งวัดอัมพวันว่า"ใกล้เกลือกินด่าง"ของดีใกล้ตัวไม่เอา ไปเอาอะไรมาก็ไม่รู้แถมไปยึดอะไรก็ไม่รู้เป็นสรณ แทนที่ยึดพระรัตนตรัยเป็นสรณซึ่งเป็นของดีอยู่แล้ว ทางพระพุทธศาสนาถ้ามีการพิจาณาความไปได้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความจริงเขาเรียกว่า"ศรัทธา"ย่อมหมายถึงการพิจารณาทางปัญญาไตร่ตรองเสียก่อนจึงมีความเชื่อได้ ตรงกับวิทยาศาสตร์ต้องมีการค้นคว้าทดลองจึงเชื่อได้ เอาล่ะผู้เขียนต่อในคืนนี้ให้จบเรื่องนี้เพื่อเป็นประโยชน์ให้กับบุคคลบางคนได้ พบกันในคืนนี้
     
  7. รักโพธิญาณ

    รักโพธิญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +224
    (ต่อ)หลักทั่วไปของคำว่าศรัทธานั้นเป็นเรื่องของการปัญญาในการพิจารณา ไม่ใช่เชื่อหลงงมงายนั้นเป็นสิ่งไหลไปสู่ตกต่ำของดวงจิตได้อยู่แล้ว โอกาสได้ทำความชั่วมากก็ได้ อย่างเช่น เชื่อรา่งทรง,เชื่อพระสงฆ์ที่อวดอ้างสรรพคุณวิเศษ,เชื่อตำราแบบไสยศาสตร์ เป็นต้อน บางครั้งไม่ใช่เป็นหนทางดีที่สุดเลยว่าได้ ทางที่ดีก็คือ สวดมนต์ไหว้พระ การฟังธรรมตามกาล การปฎิบัติธรรมเพื่อให้ปัญญาตามมา เป็นการสะสมบุญบารมีนะ พระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ มีหลายสิ่งอย่างที่เหมือนกัน ในขณะเดียวกันตรงกันข้ามก็มีนะ พระพุทธศาสนามีโอกาสการเรียนรู้ดูจิตของว่าเป็นอย่างไร ไปในทิศทางไหนเพื่อที่จะไม่หลงทางตามกิเลสไป
    สุดท้ายพระพุทธศาสนาเป็นหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นจริงสามารถพิสูจน์ความจริงอยู่แล้วเพียงต้องใช้เวลานานจึงจะเห็นผลในการปฎิบัติ จริงๆแล้วไม่งา่ายและไม่ยาก ซึ่งเดินทางสายกลางเป็นการสิ่งที่ดีที่สุดของชีวิตนี้มีโอกาสสร้างบุญกุศลได้ผลอานิสงค์มากกว่าว่างเว้นพระพุทธศาสนา ขอให้พึงต้องปฎิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดแล้ว ในขณะเดียวกันอย่าลืมหลักวิทยาศสาตร์มาปรับใช้เข้าหลักธรรมะหลายธรรมะ ไม่ใช่หลักธรรมอริยสัจ 4 เพียงอย่างเดียวเท่านั้น มีหลายอย่างที่มีธรรมะเทียบกันได้ในยุคปัจจุบัน ต้องไม่เชื่ออย่างไร้เหตุผลมารองรับความเชื่อสิ่งเหล่านั้นโดยปราศจากการพิสูจน์ความจริง และมีโอกาสก้าวหน้าไปในที่สูงในต่อเมื่อปัญญาแก่กล้ามากขึ้นตามลำดับ ขอโอกาสจบเพียงเท่านี้ในหัวข้อเรื่องพระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์
     

แชร์หน้านี้

Loading...