พระพม่าเตือนให้ญาติโยมสะสมอาหาร ดูตัวอย่างไทยสะสมข้าว

ผมไปสนทนาธรรมกับพระที่เมืองสะกาย ที่ไปเที่ยวมาเมื่อหลายวันก่อน
มีเรื่องหนึ่งที่ท่านเทศสอนชาวบ้านญาติโยมของท่านให้ปีนี้
สะสมอาหารข้าวปลาไว้มากๆเน่อ อาจมีเหตุที่ทำมาหากินไม่ได้
นานพอควร บ้านใหนไม่เก็บสะสมอาหารจะลำบาก
ชาวบ้านก็ดีครับไม่ถามเลย ก็สาธุ แล้วก็กลับไปเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางมากขึ้น
(ในปีนี้นะครับ)
แต่ที่น่าสนใจ พระท่านบอกว่าไทยแลนด์โชคดีมีบุญที่มีรัฐบาลสะสมข้าวไว้ก่อน
เพราะในยามเกิดสงครามนั้น อาหารสำคัญที่สุด...ผมคาดว่าคงเป็นข้าวที่จำนำนะครับ
(หรือว่ามองว่าบ้านเราจะเกิดสงครามขึ้นก็ไม่รู้ อันนี้ไม่รู้ครับ)
ชาวบ้านจะได้พึ่งพิงข้าวที่เก็บสะสมได้
5555 ตอนนี้ขายไปหมดหรือยังไม่รู้ ไม่ได้ตามข่าว

หรือจะเป็นวาสนาในคราเคราะห์ ที่บ้านเมืองเรายังพอมีอาหารให้
ชาวประชาพอกินกันในระหว่างเกิดภัยพิบัติโดยบังเอิญโดยที่รัฐบาลเองก็ไม่รู้
สาธุ ถ้ามีข่าวออกไปมากๆ เดียวประเทศอื่นๆก็ยกคนมาปล้นข้าวอาหาร
ยุ่งอีก
แต่ที่น่าสนใจนะครับว่าถ้าเป็นการบังเอิญจริงๆก็เป็น
บุญของคนไทยจริงๆครับ เพราะในยามนั้น ไม่ว่าจะรอดลักษณะใหน
หลังจากนั้นก็ต้องกินครับ การที่มีอาหารสำรองอยู่คนคงฆ่ากันเพื่ออาหารลดลง ครับ
สาธุๆๆๆๆๆๆ

 

และหลังจากได้สอบถามว่าต้องเก็บนานขนาดใหนชาวบ้านถึงจะพอกิน
ท่านก็บอกว่าอย่างน้อย1เดือนไม่ออกไปหากินเลย
อันนี้ช่วงเวลาก็พอจะเข้าใจ อนุมานเป็นของเราซะเลย
ถามเหตุผลท่านอธิบาย ว่าโยมอย่ารู้เลย เรื่องมันยาว
555แต่เรามีเวลาฟังน้อย ว่าไปโน้น

 

555+ ชอบ ชอบ ขำดี เล่าเรื่องได้น่ารักมากค่ะ

 

ขอบคุณค่ะ คุณ ต้นที่สาม

มารายงานตัวนะคะว่า ยังติดตามอ่านอยู่นะคะ และแอบยิ้ม

ยังไงลองแวะไปอ่านกระทู้ของคุณ toplus99 นะคะ เป็นอีกหนึ่งจากหลาย ๆ กระทู้ที่น่าสนใจค่ะ

 

ผมเองก็ไม่รู้ว่ารัฐสะสมข้าวไว้ทำไม ....... ไม่อยากรู้ ถ้าเก็บเป็นข้าวสำรองให้กับประเทศ ก็โมทนาบุญครับ ก็รู้ๆ อยู่บ้านเมืองเรา การเมืองไม่สะอาดเอาเลย ต้องผลประโยชน์ส่วนตัวมาก่อนส่วนร่วมเสมอ....

 

ขายไม่ออกมากกว่า

 

อ.FALKMAN เพิ่งทัก ก็มีหลุดจากคอกแล้ว...

 

ตอนนี้มีเงินซื้อข้าวกิน..ก็มักตำหนิคนนั้นไม่ดี ทำเลว เก็บไว้ทำไม ขายไม่เป็น ไม่มีลูกค้า พอไม่มีเงินแล้วเขาเอาข้าวมาแจก...ก็บอกว่าเป็นภาษีของตัวเอง ก็สมควรเอามาแจก และคราวมีเงินแต่หาซื้อข้าวกินไม่ได้ ก็โทษว่ามันไม่ขายไม่เก็บสำรองไว้ให้คนในชาติ ค้ากำไรเข้าพรรคพวกตัวเอง แล้วตอนไม่มีเงิน และไม่มีข้าวกิน.... มันเลวทำเศรษฐกิจพัง ทำลายชาติและประชาชน

*** ไม่มีใครสามารถทำให้เราพอใจได้แม้แต่ตัวเรา เมื่อจิตเราประกอบไปด้วย โทสะ โมหะ โลภะ ก็เร่าร้อนไม่มีที่สิ้นสุด ความต้องการไม่สิ้นสุด นี่คือกฏของวัฏสงสาร ****

๑๑๑ ค่อย ๆ ปล่อยวางเถอะครับ เวลาเหลือน้อยแล้ว ใครทำอะไรไว้อย่างไรก็ได้อย่างนั้น ปลูกข้าวก็ได้ข้าว ปลูกมะม่วงก็ได้ต้นมะม่วงและผล โดยปกติเวลาก่อนตายจิตมักจะชอบไปในที่ ๆ คุณชอบไปและมักจะไปบ่อย ๆ คนโบราณก็มีกุศโลบาย ให้คนทำบุญบ่อย ๆ ให้ชินมากกว่าการทำกิจที่เป็นอกุศล ๑๑๑

ปล่อยให้ทุกอย่างในเป็นไปตามนั้นเถอะครับ ทุกอย่างถูกกำหนดตามกฏของวัฏสงสารอยู่แล้ว..... ไม่แน่สิ่งที่พวกเค้าทำอยู่ตอนนี้อาจจะดี หรือไม่ดีก็ได้ใครจะรู้

มีข้าวกินตอนเกิดภัยพิบัติดีกว่าไม่มีอะไรกิน...

 

หลายครั้งละ คุณอภิฏฐานนี่ ทั้งๆ ที่รู้ว่า ที่นี่คุยกันเรื่องภัยพิบัติ...ก็ไม่รู้กาละเทศะ วกเข้าการเมืองเรื่อย....ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้ที่นี่เลย...เอาความมันส์ส่วนตัวอย่างเดียว คิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรยาน เอ้ย จักรวาลละมั้งเนี่ย...

หลายท่านก็เตือน ท่าน zz ผู้ดูแลบอร์ดก็เคยเตือน ยังมิวาย ไม่ไหวจะเคลียร์จริงๆ

ปล.สำหรับคุณนี่เหมาะมากกับคำว่า "เกลียดอะไรก็ได้สิ่งนั้น" สงสัยเพื่อไทย ได้เป็นอีกหลายสมัย 555

 

ไม่ได้ติดตามซะนาน มีเค้าจะเกิดสงครามอะไรอ่ะพี่???

 

กลุ่มเศรษฐีและมหาเศรษฐี ต้องตื่นตัวอย่างสูงมากกับเรื่อง
อดีต เคยเป็นความจริงเป็นเรื่องน่าขัน ปัจจุบันเป็นเรื่องน่าตกตื่น
เชื่อว่าพวกเขาคงพร้อมมาก ในหลายระดับ

ส่วนคนระดับล่างและกลาง ลำบากหนักแน่นอน ถ้ามันเกิดขึ้นจริง

 

หนทางพิสูจน์ความเเข็งเเรงของม้า กาลเวลาพิสูจน์ความจริงใจของรัฐบาล

 

ผมเล่าต่อนะครับเรื่องพระอาจารย์ท่านบอกให้ญาติโยมสะสมอาหารนั้น
ปรากฏเหตุการหนึ่งก็คือ ที่ศาลาวัดและศาลามุงใบตองที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ
กลายเป็นที่เก็บฟักแฟง มากมายจนล้นออกมานอกศาลา
รวมทั้งมีการทำบุญข้าวเปลือกกันมากกว่าปรกติ จนพระอาจารย์ต้องบอกศรัทธาญาติโยม
ว่าถ้าถวายแล้วเก็บไว้ที่บ้านก็ได้ ถือว่าวัดฝากไว้ก็แล้วกัน เพราะที่วัดไม่มีที่เก็บแล้ว

ที่ผมสนใจประเด็นนี้คือ ถ้าเกิดเหตุการภัยพิบัติอะไรขึ้นนั้น วัดจะเป็นจุดศูนย์รวมที่ดี
ของชุมชน และการที่สะสมอาหารที่นั่นก็จะช่วยให้สามารถช่วยเหลือกันได้ดี
แต่ที่นั่นยังมีความเป็นชนบทสูงมาก
อีกประเด็นช่วงหน้าหนาวนั้นอุณภูมิเท่าไหร่ไม่รู้แต่ชาวบ้านบอกว่า น้ำค้างบนยอดหญ้าแข็งน้อยไป
เพราะน้ำที่ใส่ขันวางไว้ก็จะมีแผ่นน้ำแข็งบางๆลอยอยู่ ยิ่งในปีที่ผ่านมานั้น
ยาวนานมาก การปรับตัวของชาวบ้านก็คงไม่ยาก

และที่ผ่านมาข่าวแผ่นดินไหวจนเกิดการตายก็เกิดขึ้นย่านนี้แหละครับ
ชาวบ้านบอก แผ่นดินไหวสนุกดี อ้าวไปโน่นเลย
เพราะหลังแผ่นดินไหว หากินสัตว์ป่าประเภทตัวอ้นตัวตุ่นได้ง่าย
555555

ผมถามพระอาจารย์เรื่องทำไมไม่สะสมอาหารแห้งอย่างประเทศไทย
อย่าม่าม่าอะไรประมาณนั้น พระอาจารย์หัวเราะบอกว่า
อาหารที่ทานได้ง่ายๆ ทำให้คนไม่รู้ถึงคุณอาหาร
และการเอื้ออาทร ซึ่งกันและกัน

 

ลองคำนวณ ความต้องการข้าวของแต่ละคนในครอบครัวดู (เวลา 1 เดือน)

สมมุตติให้ 1 ครอบครัว มีสมาชิกประมาณ 5 คน

แต่ละคนต้องกินข้าว 3 มื้อ/วัน เฉลี่ยกินข้าวประมาณ 100 กรัม/คน/มื้อ

รวม 500 กรัม(ครึ่งกิโลกรัม) / มื้อ หรือ 1500 กรัม(1.5 กิโลกรัม)/วัน

ในหนึ่งเดือน ต้องสะสมข้าวไว้กิน ประมาณ 45 กิโลกรัม หรือ 9 ถุง (ถุงละ 5 กิโลกรัม)

นอกจากข้าวก็ยังมีน้ำดื่มสะอาด ให้คนหนึ่งคนต้องการน้ำดื่มประมาณ 2 ลิตร/วัน
หรือ 10 ลิตร/ครอบครัว ในหนึ่งเดือนต้องสะสมน้ำดื่มไว้กินราวๆ 300 ลิตร

ระบบการหุงต้มอาหารก็สำคัญมาก อาจใช้วิธีง่ายๆแต่ได้ผล คือ สะสมก้อนแอลกอฮอว์แข็ง ไว้เป็นเชื้อเพลิงหุงต้ม หม้อสนามสักชุด ไฟแช๊คสักโหล ประมาณนั้น

จริงๆแล้ว เมื่อเผชิญความลำบากของจริง มันจะลำบากกว่าที่จินตนาการไว้มากมายนัก เมื่อน้ำท่วมปี 54 นั้น แม้จะท่วมเพียงเมตรกว่าๆ (บ้านผม) ท่วมนาน 1 เดือน มันก็สร้างความยากลำบากจนเกินจะกล่าว การเหม่อมองผืนน้ำท่วมที่สุดลูกหูลูกตา ยามตะวันโพล้เพล้ มันทำให้จิตใจห่อเหี่ยว หดหู่ วังเวง อย่างบอกไม่ถูก เราลองขังตัวเองไว้ในบ้านสัก 1วันก็พอพร้อมอาหารบริบูรณ์ แล้วลองสังเกตุจิตใจตนเองดู ว่าเป็นอย่างไร

 

- โดยส่วนตัวก็ยังเชื่อพระอรหันต์ของไทยที่ท่านบอกว่าประเทศไทยจะเจริญขึ้นเรื่อยๆไม่มีภัยพิบัติรุนแรงแบบฟ้าถล่มดินทลาย และก็ไม่เห็นท่านจะมาบอกให้ใครกักตุนอาหาร ถ้าจะแนะนำก็มีบ้าง เช่น เรื่องการจัดการน้ำฝน น้ำใช้ การปลูกยางพาราที่ช่วยให้มีรายได้และช่วยให้อากาศมีความชื้นลดความรุนแรงจากลมมรสุม การจุดบั้งไฟในภาคอิสานที่เป็นการเผาโปแตสเซียม เมื่อขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศทำให้เกิดความชื้นและชะล้างสารพิษในอากาศ(คล้ายสารส้มที่จุ่มในน้ำทำให้น้ำใส) เมื่ออากศดีคนก็เป็นโรคลดลง และเมื่อแร่โปแตสเซียมที่ถูกความร้อนเผาตกลงสู่ดินก็เป็นปุ๋ยให้ต้นไม้เจริญงอกงาม เกษตรกรก็ไม่ต้องใช้ปุ๋ยที่เป็นสารเคมีอีก ... เป็นต้น
ดังนั้นพระดีๆในเมืองไทยที่ท่านรู้จริงท่านย่อมแก้ปัญหาด้วยหลักวิทยาศาสตร์ที่เป็นเหตุเป็นผล (อย่างหลวงตาบัวท่านแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจด้วยการหาทองเข้าคลังหลวง ผมก็ไม่เห็นพวกหมอดู พวกแอบอ้างตนจะออกมาช่วยประเทศอะไรในตอนนั้น) พระท่านจะไม่ใช้เรื่องภัยพิบัติเพื่อหวังเอาลาภสักการะใดๆ (จึงไม่มีการกักตุนอาหารในวัดจนล้นแบบนั้น สมัยหลวงตาบัวจัดงานประทายข้าวเปลือกก็ไม่ได้กักตุนแบบนั้น)

- เรื่องกักตุนข้าวคิดว่ารัฐบาลไม่ได้มีเจตนาจะไปเก็บข้าวไว้ใช้ในยามฉุกเฉินหรอก(จะว่าไปยังไม่เห็นทำประโยชน์ให้เกิดแก่ประชาชนอย่างแท้จริงเลย เห็นแต่ประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับพวกตัวเอง แค่เรื่องกู้เงินมาจัดการเรื่องน้ำท่วมตอนนี้แก้ไขอะไรไปบ้าง) ผมว่าก็คงเป็นไปตามนโยบายจำนำข้าว ที่ผลสุดท้ายเป็นเช่นไรก็อย่างที่ทราบ ชาวนาเดือดร้อนออกมาชุมนุมกัน แม้แต่เจ้าของโรงสีก็เดือดร้อน

ถ้าหากรัฐบาลต้องการกักตุนข้าวไว้ใช้ในยามเกิดภัยพิบัติแล้วทำไมแค่น้ำท่วมปีก่อนหรือปีนี้ประชาชนยังเดือดร้อนต้องช่วยเหลือกันเอง แถมปีก่อนยังไปกักตุนของบริจาคจนน้ำท่วมเสียหายเปล่าๆไม่ถึงมือประชาชน ยังไม่พูดถึงเงินทดแทนได้กันครบหรือยัง

- เรื่องพม่าจะเกิดภัยพิบัติหรือไม่ผมก็ไม่ทราบ ยังไงก็เชื่อตามคำพระที่ท่านบอกว่าผู้มีศีลมีธรรมย่อมอยู่รอดจากภัยต่างๆ
การกักตุนอาหารโดยไม่มีแบบแผน ไม่รู้ต้องเริ่มเก็บเมื่อไหร่ เก็บนานเท่าไหร่ อาหารอะไรที่ควรเก็บบ้าง อย่างอาหารที่เก็บได้นานกับอาหารสดที่เก็บ 1-2 วันก็เสีย ก็ต้องพิจารณาให้ดีไม่เช่นนั้นก็เสียของเปล่าๆ

สรุป - พระดีๆในไทยยังมีอยู่ครับอย่าได้วิตกกังวลเรื่องภัยพิบัติมากนัก เสาะแสวงหาครูบาอาจารย์และหมั่นศึกษาธรรม ดำรงตนให้อยู่ในศีลในธรรมก็ย่อมอยู่รอดปลอดภัยเป็นสุข

 

ได้อ่านกระทู้ของท่านทำให้คิดอะไร ๆ ได้ หลาย ๆ อย่าง
1. มีส่วนเป็นไปได้ที่ อดีตนายกที่ท่องเที่ยวอยู่ต่างแดนหลาย ๆ ประเทศ รู้อะไรบางอย่าง จึงให้น้องสาวทำการรับจำนำข้าวไว้ทุกเม็ดในราคาที่สูง เพื่อ ข้าวจะได้ไม่ถูกขายออกไปต่างประเทศ เพราะข้าวราคาแพงลิบลิ่วคงไม่มีประเทศไหนซื้อข้าวไทย ซึ่งที่จริงแล้วเป็นแผนการเก็บข้าวไว้กินตอนเกิดสงครามที่อาจไม่คาดคิดก็เป็นได้

2. หรือถ้าอดีตนายกไม่รู้ แต่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลใจให้รัฐบาลจัดการรับจำนำข้าวในราคาที่สูงลิ่วจนชาวนาถูกใจ ก็เพื่อจะได้เก็บไว้ให้พี่น้องชาวไทยได้กินในช่วงที่เกิด สงครามที่ไม่คาดคิด หรือเกิดภัยพิบัติที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรสักอย่างก็ได้ใครจะรู้นอกจากท่านผู้เรืองฤทธิ์

 

การเผาบ้านเผาเมืองก็เป็นความหวังดีของอดีตนายกหรือสิ่งศักสิทธิ์ดลใจด้วยใช่หรือไม่ครับ

ผมไม่อยากให้ยกย่องคนผิดเกินจริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะดลจิตดลใจผู้ที่มีจิตใจดีงามมีศีลมีธรรม แต่สำหรับผู้ไม่มีศีลคงเป็นอำนาจมารมากกว่า

ปล. ข้าวเก็บไว้ได้นานแค่ไหน ถ้าเสื่อมสภาพขายไม่ได้ราคาจะเป็นอย่างไร สำหรับผู้ที่คิดว่ากันไว้ก่อนก็ขอให้พิจารณาให้ดีว่าถ้าเก็บจะเก็บเมื่อไหร่เก็บอย่างไรด้วย ไม่เช่นนั้นก็เสียของเปล่าๆเพียงเพราะความตื่นตระหนกของตน (ผมมองว่าถ้าสงครามเกิดจริงก็เป็นเรื่องของยักษ์นอกศาสนาที่จะตีกัน ไม่ได้เกี่ยวกับประเทศไทยหรอกครับ)

ปล.2 ถ้าพูดกันเรื่องการเมืองแล้วทำไมกระทู้ต้องหายล่ะครับ ไม่เห็นเกี่ยวกันเลย ต่อให้ไม่ใช่เรื่องการเมืองแต่พูดคุยโดยใช้เพียงอารมณ์ก็ร้อนแรงได้ ยังไงก็พูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผลละกันครับ ถ้าพูดความจริงไม่ใส่ร้ายป้ายสีหรือหมิ่นประมาทก็ไม่ผิดกฎหมายหรอกครับ