ประสบการณ์ในการปฏิบัติธรรมบนทางสายกลาง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 31 สิงหาคม 2010.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    การปฏิบัติธรรม ของนายขันธ์ นี่ ดำเนินอย่างอุกฤตมายาวนาน ทางด้านสมาธิ ก่อนที่จะมาถึงด้านปัีญญา ด้านสมาธินั้น ทำมาอย่างโชกโชน
    ทั้ง นะมะพะธะ แห่งหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ทั้งสัมมาอรหัง แห่ง หลวงพ่อสด
    ทั้ง กรรมฐาน 5 เกศาโลมา นขา ทันตา ตโจ
    ทั้ง พุทโธ
    ทั้ง อานาปานสติ

    กระทำไป ได้ผลไป แต่สติปัญญานั้นยังไม่กว้างขวาง อย่างดีก็ได้แต่ความรู้แบบโลกๆ คือ รู้ว่า ทำแล้วดีไม่ดี ในสมาธิ แต่ส่วนมากแล้ว จะทำไปเพื่อกำหนดให้จิตเพ่งอยุ่กับคำบริกรรมเสียมากกว่า

    ทางศีล ก็เจริญศีล 8 บ้าง

    ส่วน เจริญสตินี่ เจริญมาพร้อมๆ กับ การเจริญสมาธิ แต่เป็นการเจริญสติ ทั้งวันกำหนดรู้ อริยาบท ทั้งวัน ไม่ให้เผลอ สิ่งนี้จึงมีอานิสงค์มาก ทำอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง จนเห็นว่า การเจริญสติทางกายนี้ ดีในแง่ที่ทำให้จิตมาตั้งอยุ่ที่ฐาน ระยะนั้นจึงเริ่มมองเห็น นามธรรม เคลื่อนไหว จึงได้ดูนามธรรม จนมาวันหนึ่ง คิดอะไรขึ้นมา แล้ว พอเลิกคิด ความคิดนั้นดับไป นั่นแหละ จึงได้เริ่มเห็นว่า นี่นามธรรม เกิดแล้วดับ

    จากนั้นก็เริ่มขัดเกลา สิ่งที่ไม่ดีในตน นิสัยที่ไม่ดี พร้อมกันกับ การเจริญสติ ดู รูปนามไป อะไรที่ไม่ดี ก็พยายามเตือนตน รู้แล้ว ละ และจะต้องมีหิริโอตัปปะ

    จะเห็นได้ว่า สิ่งต่างๆ มีเหตุปัจจัย ส่งถึงกัน เป็นสายทาง ก้าวเดินแห่งมรรค มาตั้งแต่ต้น แม้ว่ายังไม่มีปัญญามากพอ แต่ว่าเดินทางถูก ดีกว่า มีปัญญาร้อยแปด แต่อบรมข้อวัตรปฏิบัตรผิด ก็ทำให้เราเดินไปผิดทาง ไม่ถึงทางสักที

    ดังนั้น ที่ว่า ปัญญา เจริญอย่างเดียว ก็ไม่ได้ บางคนประมาท เจริญปัญญาแล้ว เห็นว่าดี ก็ไม่มีสติถ้วนทั่ว จึง มองไม่เห็นปัจจัยอย่างอื่นที่หนุน ซึ่ง ประกอบไปด้วย ศีล สมาธิ สติ ปัญญา ที่หนุนนำ และ จะต้องเดินถูกทาง มาพบกับคำสอนที่ถูก

    บางคน เจริญสมาธิ อย่างเดียว กุศลอย่างอื่น ไม่ทำให้ถึง อกุศล ไม่ละ
    ปัญญา ไม่ได้เจริญ สติไม่ได้เจริญ ก็ไปไม่ถึง

    นี้่จึงต้องบอกว่า บุญเก่า หนุนนำ ให้เราเดินช่องทางได้ตรง มาตามลำดับลำดา พบเจอครูบาอาจารย์ที่ชี้ทางได้ตรง เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว ปฏิปทา ข้อวัตร ปฏิบัติ จะต้องแหกออกนอกทาง เพราะมีสิ่งชักนำมากมาย ที่จะนำพาเราออกนอกทาง ได้ง่าย

    บา่งคน ทำบุญสุนทาน เป็นประจำ แต่มักมุสา บางคนถือศีลเป็นประจำแต่เผลอละเมิดศีลโดยที่ตนเองก็ไม่รู้
    บางคนมีเมตตาสูง แต่เฉพาะกับ คนชราบ้าง แต่อย่างอื่นไม่เมตตา
    บางคน มีเมตตาแต่เฉพาะสัตว์ แต่ว่าไม่เมตตากับสิ่งอื่น
    บางคน เจริญสมาธิอย่างเดียว สติไม่เจริญ
    บางคน มีจิตคิดอกุศลเป็นประจำ แต่ระลึกไม่ได้ แต่ชอบธรรมะ เลยคิดว่าตนเป็นคนดี
    บางคน เป็นคนดีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทำบุญเป็นประจำ แต่มีภรรยาน้อย
    บางคน ชอบช่วยเหลือผุ้อื่น แต่แท้จริงแล้วต้องการ การยอมรับ นี่จะเห็นว่ากลายเป็นว่า ละโมภ บนฉากของ ความเมตตา
    บางคน ทำบุญ เพราะว่า ตัวเองอยากรวย นี่ก็สะสม ความโลภ เหมือนกัน
    บางคน เห็นแก่ตัว ตักตวงใส่ตนก่อน คนอื่นจะเป็นอย่างไร ไม่สนใจ แต่ชอบทำบุญ

    จึงเรียกได้ว่า คนมากมายบนโลกนี้ มีวิถีชีวิต ที่ยากที่จะตะล่อมเข้าสู่ทางสายกลาง ที่ดีพร้อม และชัดเจน

    ดังนั้น สิ่งเดียวที่จะกระทำให้เราระลึกรู้ตัวเราได้ครบถ้วน และจริงที่สุดก็คือ
    มหาสติปัฎฐานสี่ ให้เจริญให้มาก เพราะจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราสามารถสำรวจ วิถีชีวิตที่ตรงและถูกทาง ไม่หลงไปตามกิเลสและกรรม ได้ดีที่สุด
     
  2. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    สาธุครับ ท่านขันธ์ เรียนถาม เวลาบวชแล้วเหงามากเกิดจากอะไรครับ ทั้งที่ตั้งใจจิง
     
  3. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ไม่คุ้นกับการ "แปรงฟัน" ไง

    แมงมันกินจนชินเป็นอนุสัยนอนเนื่อง

    ภาวนาเป็นก็ ตีหัวมันเลย โอกาสมาแล้ว
    ภาวนาไม่เป็น ก็...งง ต่อไป
     
  4. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    หากต้องเจริญสติปัฎฐาน4..ตลอดเวลาคงต้องเริ่มทำจิตให้มีกำลังก่อน แล้วบวช ใช่นะครับ
     
  5. ว

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +106
    ได้ข้อคิดมากครับ ขอบคุณ
     
  6. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    วัฎสงสารนี่ ถ้าหลงอยู่มันก็วน ไปข้างล่างบ้าง ไปมนุษย์บ้าง ไปพรหม ไปสวรรค์บ้าง แต่นั่นแหล่ะมันไม่สิ้นสุด ท่องเที่ยวในทะเลทุกข์ไปเรื่อย ๆ เกิดเวียนว่ายไปเรื่อย ๆ

    ทางสายกลางนี่ มันก็เป็นทางออกทางเดียว ออกตรงกลางนี่แหล่ะ อยู่มนุษย์ อยู่สวรรค์ หรืออยู่ที่ไหน ก็ออกได้ คือ ไม่เอาแล้วการเกิดทั้งหลาย ไม่เอาแล้วไม่ว่าจะเป็นอะไร มนุษย์ สวรรค์ หรือโลกพรหมที่ไหน

    มีทางที่พระศาสดาทรงประทานไว้ให้ จะออกจากกองทุกข์ทั้งหลายตรงไหนก็ทำได้ อกาลิโกจริง

    มันบริสุทธิ์ มันประเสริฐินะ ทางสายกลางเนี่ย ดับเสียซึ่งความทุกข์ทั้งหลายเนี่ย

    อนุโมทนาแด่ผู้ออกไปแล้ว อนุโมทนาแด่ผู้กำลังเดินทางนั้น ทางสายกลาง
     
  7. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    ของผมเริ่มจากหย่อนๆ แล้วก็ส้มหล่น คิดแล้วก็ ขอบคุณความทุกข์:cool:
    เดี๋ยวว่างๆลองเรียบเรียงบ้างดีกว่า
     
  8. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    อืม..ลุงขันธ์แกคงได้ปักหลักในแนวทางอันมั่นคงแล้ว
    ไม่ไหลไปตามกระแสแม่น้ำที่เชี่ยวกราก
    กับสังคมสมัยนี้ทั้งต่อกระแสโลก และกระแสที่ชักนำพาประพฤติปฏิบัติในทางธรรม

    ว่าแต่ลุงขันธ์ยังชอบสวดมนต์บทยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏกอยู่ไหมครับ
    แรกเริ่มเดิมที ที่เคยประพฤติปฏิบัติมา

    อนุโมทนา

    และที่กล่าวว่า
    นี่คงเป็นการเจริญสมาธิ โดยใช้คำอนุโลม เพราะสมาธิจะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดสติควบคุมกำกับ
    คอยเพ่งพินิจพิจารณาต่อกรรมฐานนั้นๆ
    แต่เป็นการนั่งหลับตาแล้วปล่อยจิตปล่อยใจล่องลอยไปอยู่นอกกาย นอกใจ
    ยังอยู่ในห้วงข่ายของกิเลสนิวรณ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2010
  9. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ขอให้เป็นอย่างที่กล่าวไว้เถอะครับ อนุโมทนากับสิ่งที่ดีๆและเป็นบุญเป็นกุศลด้วย การละกิเลสเป็นของยาก ต้องอาศัยสติปัญญาอันอบรมมาดีแล้วเป็นอันมาก สติและปัญญานั้นก็ไม่ได้เพราะการคาดเดา แม้ในทางโลกก็อาศัยการฝึกฝนท่องจำและช่างสังเกตช่างคิดพิจารณาจึงเกิดเป็นได้และมีได้ ทางธรรมนั้นละเอียดและแยบคายยิ่งนักเพราะเป็นสิ่งที่จะเรียกว่ารู้ได้เฉพาะตนก็ได้แต่แท้ที่จริง คนอื่นก็รู้ด้วยได้นั้นเพราะผลแห่งธรรมทั้งหลายขัดเกลาจิตใจให้สะอาดไม่มัวหมองไม่ระคนไปด้วย ความวุ่นวายที่สร้างขึนด้วยจิตใจตน แม้เนื้อถ้อยความทั้งหลายนั้นจะมีจะพูดได้จำได้ก็ยังคงแสดงออกถึงความ ไม่เป็นธรรมเป็นกิเลสอยู่ดีสำหรับบางคน จะว่าไปก็ไม่ใช่เรื่องน่าสนใจเพราะเป็นความธรรมดาปกติ และการที่คนเรายังพิจารณาว่าคนแก่กว่าจะมีความคิดสติปัญญามากกว่าคนหนุ่มกว่า นั่นก็ยังถือว่าเอียงอยู่มาก ยิ่งคิดว่าคนที่ทำสิ่งใดนานๆนั้นจะมีสติปัญญามากกว่าคนที่ทำสิ่งนั้นน้อยกว่า นี่ก็ยิ่งเอียงเพราะยึดติดอยู่กับระยะเวลา ที่เป็นเช่นนั้นเพราะมักเอาสมมุติของทางโลกมาทำให้ซับซ้อนดูเหนือกว่าดูต่ำกว่า ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วธรรมทั้งหลายไม่ได้เป็นเช่นนั้น ในโลกนี้เมื่ออดีตมีมากมายหลายลักษณะมีทั้ง คนที่รู้ได้เร็ว มีทั้งคนที่รู้ได้ช้า และอื่นๆอีกมากมาย หาใช่เรื่องที่จะมาพิจารณาเปรียบเทียบก็หาไม่ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งในธรรมเท่านั้นที่จะนำมาเสนอ เพราะการพิจารณาสิ่งใดก็ตามหากยึดเอาตามกิเลส เห็นค่าเพียงเพื่อยกตนข่มผู้อื่นก็ยากจะเอ่ยว่าเข้าใจแจ่มแจ้งในธรรมทั้งหลาย ผมขอกล่าวแสดงความคิดเห็นตามสมควรและเชิญชวนให้ทุกท่านร่วมกันคิดพิจารณาร่วมรักษาความดีงามอันเป็นธรรมะที่พระศาสดาทรงสอนไว้ ให้จรรโลงอยู่คู่ชาติ คู่คนไทยไปตราบนานเท่าที่จะเป็นได้ตามเหตุปัจจัยนั้นๆ
    สาธุคั๊บผม
     
  10. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    การปฏิบัติธรรม ของกองขันธ์นี้* ดำเนินอย่างสม่ำเสมอมายาวนาน ทางด้านอานาปานสติ
    (การเจริญสัญญาลำดับที่ 10 วิชาของผู้มีสติกล้า วิชาเอกอุ มหาบุรุษ) จึงมาถึงด้าน
    ปัญญามาแต่เกิด ด้านสมาธินั้น ก็ล้นออกมาปรากฏอย่างโชกโชนยามกำลังบารมีมัน
    อ่อน ศีลบารมีอ่อนลงก็ปรากฏ เนขขัมบารมีอ่อนลงก็ปรากฏ ปรากฏแล้วก็รู้ทันทีว่า
    ศีลมันอ่อนลง เนขขัมมะมันอ่อนลง เน้นการเห็นบารมี30ทัศน์ ก็รู้ๆไป ไม่ตบไม่แต่งปรุง
    ปุญญาภิสังขารอันไม่ใช่ทาง เพราะจะขาดความเป็นกลางจะเป็นการเดินออกจากทางสาย
    กลาง กลับไปหายใจก็พอแล้ว

    ทั้ง นะมะพะธะ แห่งหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ทั้งสัมมาอรหัง แห่ง หลวงพ่อสด ไม่เคยปรุง
    เพราะ มันเต็มอยู่แล้วใน อานาปานสติ

    ทั้ง กรรมฐาน 5 เกศาโลมา นขา ทันตา ตโจ ไม่เคยปรุง เพราะมันเต็มอยู่แล้วใน
    อานาปานสติ

    ทั้ง พุทโธ ไม่เคยปรุง เพราะมันเต็มอยู่แล้วในอานาปานสติ

    อานาปานสติ เกิดขึ้นแทนที่กรรมฐานทุกกอง พอจะทำกรรมฐานใด ก็ปรากฏสัญญา
    ในกรรมฐานนั้นๆให้ระลึก แล้วอิ่มอารมณ์วิ่งเข้าอานาปานสติไปหมด

    แม้แต่ รถคว่ำ รถชน จมน้ำ จะอะไรๆ ก็ไม่แส่ส่ายไปไหน วิ่งเข้าอานาปานสติหมด
    และไม่ใช่กองลมที่เป็นลมหายใจเพียงเท่านั้น ปัสสาสะ อัสสาสะ ไม่ได้หมายถึงลมหาย
    ใจผ่านรูจมูกกลมๆบานๆ เพียงอย่างเดียวก็หาไม่ มันจึงเข้ากรรมฐานอานาปานสติได้
    ในทุกๆเหตุการณ์แม้แต่ในน้ำ

    กระทำไป ได้ผลไป ไม่ต้องประครองรักษา สติปัญญาจึงว่างพอที่จะแล่นไป อนุโลม
    ตามไปท่ามกลางควันสงครามของกิเลส ของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ล้วนปรากฏเป็นเพียง
    ของกลาง ให้เอามาพิจารณาใคร่ครวญในเหตุปัจจัย อุบาย สมมติ สรรพอุบาย สรรพ
    สมมติไปเรื่อยๆ จึงกว้างขวาง อย่างดีก็ได้ความรู้แบบเกือบหลุดโลก คือ รู้ว่าจิตรวม
    สังขารทั้งหลายดับลงไม่มีอะไรเหลือ แล้วถอยกลับมา จึงได้วิจัยโลกียปัญญา(ญาณ9)
    อันมีแต่ในพุทธศาสนาไปเรื่อยๆ ทำแล้วไม่ดี หากปัจจัยสมาธิดีจึงดี แต่ส่วนมากแล้ว
    จะแสร้งวางจิตไม่เผลอเพ่งคำบริกรรมเสียมากกว่า( คือ ไปรู้ลม หรืออานานปานสติ นั่น
    แหละ)

    ทางศีล ก็ ศีลใดเจริญอยู่บ้าง ก็แลอยู่

    ส่วน เจริญสตินี่ เจริญมาพร้อมๆ กับ อานาปานสติสัญญา แต่เป็นการเจริญสติ ทั้งวันที่
    ไม่ได้จงใจกำหนด จะรู้เรื่อยๆในทุกๆอริยาบท ทั้งวัน เผลอเป็นเข้ากรรมฐาน สิ่งนี้จึงมี
    อานิสงค์มาก ก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไประยะเวลาหนึ่ง เพราะเห็นว่ามันแอบเก็บกำลังยังไม่
    พอ แต่บางทีก็ต้องจำใจออกเพราะการงานอาชีพมันต้องมาใส่ใจทำ การเจริญสติทาง
    อานาปานสตินี้ ดีในแง่ที่ทำให้จิตมาตั้งอยุ่ที่ฐาน ทั้งวันเห็นสรรพสังขารกุ้มรุมใจอยู่กลางอก
    เป็นระยะๆ เมื่อก่อนไม่รู้ แต่พอมีคนชี้จึงทราบว่าเดินมรรคอันแสนยาวไกลอยู่
    นามธรรม จิตสังขารแปรปรวนกลุ่มรุมปรุงในใจ เคลื่อนไหว เป็นจำนวนมาก ไอ้ที่อุป
    ทานหยิบออกมาก็ส่วนน้อย จึงได้ดูนามธรรม จนมาวันหนึ่ง คิดอะไรขึ้นมา แล้ว พอเลิกคิด
    ความคิดนั้นดับไป นั่นแหละ จึงได้เริ่มเห็นว่า มันขาดการเห็นทุกขอริยสัจจ

    จากนั้นก็เริ่มอนุโลม สิ่งที่ไม่ดี นิสัยที่ไม่ดี และสิ่งที่ดี นิสัยที่ดี ไม่ใช่แค่ในตน แต่
    เปิดให้ธรรมภายนอกเข้ามาแปรปรวนตามหลักตัณหา108 ไปพร้อมกันกับ การเจริญสติ ดู
    รูปนามไป อะไรที่ไม่ดี ก็พยายามเฝ้นอุบายธรรม รู้แล้ว ละความรู้นั้นๆ เพื่อไม่ให้
    อัตตวาทุปทานอาศัยเป็นเชื้อพยา หิริโอตัปปะจึงเกิดขึ้น แลอยู่ ตามกำลัง

    จะเห็นได้ว่า สิ่งต่างๆ มันเป็นเรื่องของเหตุปัจจัย อย่าไปสนเลยว่ามันจะส่งถึงกันหรือไม่ถึงกัน
    ถึงจะเป็นการแลอยู่ที่ทาง ก้าวเดินเจริญมรรค ไปเรื่อยๆ ปัญญายังไม่มีมาก
    พอ แต่ว่าเดินทางถูก ดีกว่า ท้อใจจนปัญญาเพียงแค่งานมันเริ่มต้น ลูบคลำแต่ข้อวัตร
    ปฏิบัตรผิดๆ ไม่เข้าใจอุบาย เครื่องมือที่แท้ คงต้องอดทนต่อการเห็นการเดินที่ผิดทาง การไม่ถึงสักที

    ดังนั้น ที่ว่า ปัญญา เจริญอย่างเดียว ก็ไม่ได้ บางคนประมาท เจริญปัญญาแล้ว เห็นว่าดี
    ก็ไม่มีสติถ้วนทั่ว นั่นเพราะมองปัจจัยที่หนุนไม่เป็น จึงเอาแต่ ประกอบศีล
    สมาธิ สติ ปัญญา หนุนนำทีละตัว จึงเดินไม่ถูกทาง ยังไม่พบคำสอนที่ถูก

    บางคน เจริญสมาธิ อย่างเดียว กุศลอย่างอื่น เอาแต่ทำเพื่อสมาธิ เห็นอกุศลว่า
    ละก็แต่เฉพาะในสมาธิ ปัญญาจึงไม่เจริญ สติเจริญมากไป ก็ไปไม่ถึง

    นี่จึงต้องบอกว่า บุญเก่า หนุนนำ ให้เราเดินมาเกิดในเขตสัมมาทิฏฐิ ต้องหาช่องทาง
    เข้าให้ได้ ค่อยๆหาไปตามลำดับลำดา จนเจอครูบาอาจารย์ที่ชี้ทางได้ตรง เพราะไม่เช่น
    นั้นแล้ว ปฏิปทา ข้อวัตร ปฏิบัติ จะต้องจมอยู่แต่ในลู่ในทาง ไม่เข้าใจเครื่องมือ แล
    อุบายที่แท้ เพราะมีปุญญาภิสังขารหลอกล่อชักนำมากมายให้ข้องอยู่ ไม่นำพาเราออก
    นอกทางสู่ความอิสระได้เลย

    บางคน ทำบุญสุนทาน เป็นประจำ แต่มักเอามาอวดสมาทาน บางคนถือศีลเป็นประจำแต่
    เผลอลูบๆคลำๆศีลอยู่ก็ไม่รู้

    บางคนมีเมตตาสูง แต่เฉพาะกับ สาวๆ แต่อย่างอื่นไม่เมตตา

    บางคน มีเมตตาแต่เฉพาะสัมภเวสี เทวบุตรมาร แต่ว่าไม่เมตตาหยุดที่ตน

    บางคน เจริญสมาธิอย่างเดียว สติกล้า แต่ปัญญาไม่เจริญ

    บางคน มีจิตคิดอกุศลเป็นประจำ ระลึกรู้อยู่ แต่เล็งเป็นธรรมขันธ์ไปหมด
    เลยคิดว่าตนเป็นคนฉลาด

    บางคน เป็นคนดีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทำบุญเป็นประจำ แต่เพลินกามคุณอันเกิดจากวาสนาตอบผล

    บางคน ชอบช่วยเหลือผุ้อื่น แต่แท้จริงแล้วต้องการ ให้คนศรัทธา นี่จะเห็นว่ากลาย
    เป็นว่า ลามก บนฉากของ ธรรมนำหน้า

    บางคน ทำบุญ เพราะว่า ตัวเองอยากรวย นี่ก็เอาแต่สะสมสวรรค์สมบัติ

    บางคน เห็นแก่ตัว ตักตวงใส่ตนก่อน คนอื่นจะเป็นอย่างไร ไม่สนใจ แต่ชอบทำบุญ
    หวังสววรค์ อสุราสมบัติ เหมือนกัน

    จึงเรียกได้ว่า คนมากมายบนโลกนี้ มีวิถีชีวิต ที่ยากที่จะตะล่อมเข้าสู่ทางสายกลาง ที่ดี
    พร้อม และชัดเจน

    แต่ทว่า ก็เนื่องเพราะเขายังแลเห็นประโยชน์ของเขาเพียงเท่านั้น จึงควรให้ในส่วนที่
    เขาต้องการไปก่อน เขาย่อมตักจวงสิ่งที่ต้องการได้เต็มที่ ในยามที่เขามีใจให้อยู่ จึง
    ควรมอบสิ่งนั้นให้ก่อน ให้ประโยชน์ในทุกประโยชน์ที่เขาพึงรับได้ก่อน ไม่จะเป็นต้อง
    ขยั้นขยอให้มาเอานิพพานสมบัติเสียตะพึดตะพือ

    ให้นำเสนอ นิพพานสมบัติ เป็นเพียงทางเลือกให้ได้สดับไว้เสมอๆ เท่านั้น

    ดังนั้น สิ่งเดียวที่จะกระทำให้เราระลึกรู้ตัวเราได้ครบถ้วน และจริงที่สุดก็คือ
    มหาสติปัฎฐานสี่ ให้เจริญให้มาก เพราะจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราสามารถสำรวจ วิถีชีวิต
    ที่ตรงและถูกทาง ไม่หลงไปตามกิเลสและกรรม ได้ดีที่สุด


    * กองขันธ์นี้ : เพื่อชี้ว่าคือผู้เขียน แต่ไม่มีเจตนาจะระบุว่าเป็นใคร ในสังสารวัฏ

    [ เนื่องจาก เป็นสำนวน ลอกเลียนแบบ ดัดแปรง ผิดตกยกเว้น ]<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2010
  11. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    นั่นเป็นเรื่อง ของความรู้ที่ว่าอ่านมาฟังมา ที่ว่า สมาธิเกิดไม่ได้ถ้าไม่ใช้สติ
    เพราะว่า สติ นี้มีสัมมาสติ และ สติทั่วๆไป
    การเจริญสัมมาสติ ก็ได้กล่าวไปแล้วในอีกกระทู้หนึ่ง เรื่องสติ

    แต่ การเจริญสมาธิ ที่ทำกัน ไม่ใช่ การเจริญสติ
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เป็นเจตสิกคนละตัว ทำหน้าที่ต่างกัน สติมีองค์ธรรมคือสติเจตสิก เป็นเจตสิกที่ดี จัดเข้าในกลุ่มโสภณเจตสิก ... สมาธิมีองค์ธรรมคือเอกัคคตาเจตสิก เป็นเจตสิกกลางๆ อาจจะเข้าได้กับทางชั่้วหรือทางดีก็ได้
    ( เจตสิก คือ อาการของจิต หรือสิ่งปรุงแต่งจิต มีทั้งหมด ๕๒ อาการ )
    <TABLE cellSpacing=1 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top noWrap width=75>จากคุณ</TD><TD>: <!--MsgFrom=1-->ศิษย์พระป่า </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom noWrap width=75>เขียนเมื่อ</TD><TD vAlign=bottom>: <!--MsgTime=1-->27 ส.ค. 53 21:29:46 <!--MsgIP=1--></TD></TR></TBODY></TABLE>

    ถ้าเหมือนกัน พระพุทธเจ้าท่านคงไม่แยกไว้น่ะครับน่ะ พิจารณาจาก มหาสติปัฏฐานสูตร ดังนี้

    "สัมมาสติ" เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้พิิจารณาเห็นกายในกายอยู่มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯลฯ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯลฯ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ อันนี้เรียกว่า สัมมาสติ ฯ"

    "สัมมาสมาธิ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่เธอบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่ เธอมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยกาย เพราะปีติสิ้นไปบรรลุตติยฌานที่พระอริยทั้งหลาย สรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข เธอบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ อันนี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ ฯ"

    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=10&A=6257&Z=6764
    -----------------------------------
    เจริญทำครับ <!--MsgEdited=3-->


    [SIZE=-1]แก้ไขเมื่อ 27 ส.ค. 53 23:53:55[/SIZE] <!--MsgFile=3--><TABLE cellSpacing=1 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top noWrap width=75>จากคุณ</TD><TD>: <!--MsgFrom=3-->วิริยารัมภะ (XeRaMos) </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom noWrap width=75>เขียนเมื่อ</TD><TD vAlign=bottom>: <!--MsgTime=3-->27 ส.ค. 53 23:31:27 </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ที่มา PANTIP.COM : Y9625400
     
  13. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241


    ฮั่นแน่ ใกล้ได้คำตอบและ จะทัน 3 เดือนไหมนี่

    ต้อง ทรมาน
     
  14. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    อ่านแล้ว เดี๋ยวจะสับสน

    ที่นายขันธ์ พูดนั้น หมายถึง คนที่เจริญแต่สมาธิ ไม่เจริญสติ

    คนที่เจริญสมาธิ เช่น บริกรรมพุทโธ หรือ เพ่งกสิณ นั่นเขามี สติกำกับกับอยู่กับคำบริกรรม แต่ สติปัญญาที่ให้กว้่างกว่านั้น ลึกกว่านั้น เขาไม่ได้เจริญ

    ทีนี้ ส่วนใครที่เจริญ สติ พิจารณาทางด้านปัญญา และ สติ พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

    แล้ว กำลังสติ กล้าขึ้น ก็หนุนนำ สมาธิ ให้เจริญก้าวหน้าได้ เพราะละ อกุศลจิตได้ มีสติแก่กล้า มากยิ่งขึ้น

    นั่นแหละ เรื่องมันเป็นแบบนั้น
     
  15. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    cLear..! ครับลุงขันธ์
     
  16. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ตอบท่าน สับสน

    เรื่องความเหงา มันเป็นอนัตตา อารมณ์ เกิดจากนิสัยที่บ่มเพาะ ความไม่ชอบโดดเดี่ยวเอาไว้
    แต่มันแปลกตรงที่ว่า ถ้าถามว่า สมุทัยมันอยู่ตรงไหน นี่ หากันไม่ค่อยเจอ

    แต่ ผมจะบอกให้ ความเหงาเกิดจาก ความเพลิดเพลินในหมู่คณะ เป็น ภพที่เคยชิน

    การถอนตัวนี้ ยาก ต้องพิจารณาว่า เติบโตมาจากท้องพ่อแม่ ไม่มีใคร เมื่อเรามาเจอ เพื่อน เจอคนนั้นคนนี้ ก็ยึดติดไปในความสุข เมื่อเวลาห่างจากเพื่อนสนิทมิตรสหาย ก็เกิดอาการเหงา แท้จริง สมุทัย คือ ตัวภพ คือ ตัณหา ที่อาลัยอาวรณ์ กับสถานที่่ กับ สภาพแวดล้อม ที่เราเคยชิน

    นี่ อธิบายเท่านี้ก่อนนะ เดี๋ยว ปัญญามันมากกว่านี้มัน จะพาลไปบวชกันหมดเสียก่อน
     
  17. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,166
    อนุโมทนากับท่านขันธ์ครับ
    มหาสติปัฎฐานสี่ ให้เจริญให้มาก เพราะจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราสามารถสำรวจ วิถีชีวิตที่ตรงและถูกทาง ไม่หลงไปตามกิเลสและกรรม ได้ดีที่สุด
     
  18. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ว้าว พี่สับสน ไม่ยักรู้ว่า ตะเอง ขี้เหงา

    หัดแปรงฟันบ่อยๆ สิจะ คนดี
     
  19. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=z-gCu18L3Xg&feature=related"]YouTube - คนขี้เหงา- นีโน เมทนี บูรณศิริ[/ame]
     
  20. นิลมังกร

    นิลมังกร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +72
    ทางสายกลางของแต่ละคนคงไม่เท่ากันไช่ใหมครับ กลางของบางคนอาจตึงเกินไป หรือหย่อนไปสำหรับบางคน เป็นอย่างนั้นใช่ใหม..
     

แชร์หน้านี้

Loading...