เรื่องเด่น ปกิณกธรรมก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันเสาร์ที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 16 สิงหาคม 2024 at 08:43.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    18,193
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,411
    ค่าพลัง:
    +26,227
    ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒๕๖๗ ณ วัดท่าขนุน
    ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันเสาร์ที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๗​



    (เสียงตามสายหลวงพ่อวัดท่าซุงจบ) หลวงพ่อท่านเทศน์เรื่องอะไร..? พระพุทธเจ้าตรัสกับปิปผลิมาณพที่ขอบวชว่า "ดูก่อนกัสสปะ เมื่อเธอฟังธรรม จงตั้งใจเงี่ยหูฟังและพิจารณาในเนื้อความ" ไม่ใช่เอาเสียงเป็นเพื่อน..! พวกเราส่วนใหญ่เอาเสียงธรรมเป็นเพื่อน..ยิ่งใหญ่มาก..! เอาเสียงธรรมเป็นเพื่อนก็เท่ากับเอาพระพุทธเจ้าเป็นเพื่อน..!

    เรื่องการเคารพในพระรัตนตรัยเป็นเรื่องยาก เนื่องเพราะว่าถ้าเราไม่เห็นคุณงามความดีจริง ๆ เราก็ไม่รู้ว่าจะเคารพไปทำอะไร การที่จะเห็นคุณงามความดีได้ ก็ต้องตั้งใจประพฤติปฏิบัติใน ศีล สมาธิ แล้วก็ปัญญา โดยเฉพาะในส่วนของสมาธิ เนื่องเพราะว่า..สมาธิจะยกจิตของเราให้มีกำลัง มีกำลังแล้วเอาไปทำอะไร ?

    อันดับแรกเลย..ไปกด รัก โลภ โกรธ หลง ให้ดับลงชั่วคราว จิตใจของเราจะได้นิ่ง จะได้สงบ ไม่ฟุ้งซ่านกวัดแกว่งไปตามกิเลส

    หลังจากนั้นก็ใช้กำลังของสมาธิช่วยปัญญา พินิจพิจารณาหาหนทางในการ ลด ละ แล้วก็เลิก สิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ตามอำนาจของกิเลสบงการ โดยเฉพาะถ้าสามารถลาขาดตัดกุดกันได้เลยยิ่งดี


    แต่คราวนี้ถ้าเราทำไม่ถึง ถามว่า "ทำถึงแค่ไหน ?" แค่นิดเดียว ชั้นอนุบาล ๑ อนุบาล ๒ ก็พอ ไม่ต้องถึงขนาดจบปริญญา เข้าสมาธิแค่เกิดปีติก็พอแล้ว เพราะว่าเราได้สัมผัสสภาวะธรรมที่ต่างจากปกติไปมาก ทำให้เกิดความมั่นใจว่า สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนเอาไว้ หมู่ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายนำมาสั่งสอนต่อนั้นเป็นของจริง

    อย่าลืมว่าต้นกำเนิดคือพระพุทธเจ้า สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนคือพระธรรม ผู้ที่นำพระธรรมมาเผยแผ่คือพระสงฆ์ ถ้าพิจารณาเป็นในลักษณะอย่างนี้ เราก็จะมีความเคารพในพระรัตนตรัยมากขึ้นไปตามลำดับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    18,193
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,411
    ค่าพลัง:
    +26,227
    เมื่อจิตของเรามีกำลัง ยังสามารถจะทำสิ่งที่คนทั่วไปทำไม่ได้ ภาษาบาลีท่านใช้คำว่า อุตริมนุสธรรม คือธรรมอันยิ่งกว่ามนุษย์ทั่ว ๆ ไปจะทำได้

    ความจริงเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นแค่ของแถมในการปฏิบัติ ก็คือถ้าหากว่าเราทำถึง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็จะมาเอง ไม่ต้องเสียเวลาไปตั้งเป็นเป้าหมายในชีวิต ไม่ต้องเสียเวลาไปดิ้นรนทำเพื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น เนื่องเพราะว่าถ้าเราตั้งเป็นเป้าหมายในชีวิต เราไปดิ้นรนทำเพื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น เท่ากับว่าเราเอากิเลสนำหน้า เอาตัณหานำทาง โอกาสที่จะเข้าถึงก็ยาก

    แต่ถ้าหากว่าเราไม่ใส่ใจตรงนั้นมาก วางกำลังใจอยู่กับปัจจุบัน เรามีหน้าที่ภาวนา จะได้หรือไม่ได้ จะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่างมัน ถ้าวางกำลังใจแบบนี้ ท่านทั้งหลายจะปฏิบัติธรรมก้าวหน้าได้รวดเร็วมาก

    ก็แปลว่าที่ผ่านมาส่วนใหญ่ทำผิดทั้งนั้น ไปทำเพราะอยากมี อยากได้ อยากเป็น แล้วถามว่า "ไม่อยาก แล้วจะทำไปทำอะไร ?" ความอยากไม่ใช่ความผิด แต่ถ้าอยากแล้ววางความอยากไม่เป็นนั่นถึงจะผิด ถามว่า "ผิดตรงไหน ?" ก็คือผิดวิธี เราตั้งใจอยากได้ ต้องการอะไร ให้ตั้งเป้าหมายเอาไว้ก่อน หลังจากนั้นเราตั้งหน้าตั้งตาทำไป โดยไม่ต้องไปสนใจว่าเป้าหมายนั้นคืออะไร พูดง่าย ๆ ก็คือเรามีหน้าที่ทำ

    พอเราวางกำลังใจผิด โอกาสที่จะทำดีทำถูกก็ยากขึ้น เนื่องเพราะว่าการปฏิบัติธรรมทุกระดับต้องมีอุเบกขา พวกเราส่วนใหญ่ไม่รู้จักอุเบกขา อุเบกขาเป็นการปล่อยวางตั้งแต่ระดับต่ำสุดจนถึงสูงสุด ถามว่า "ทำไมมีหลายระดับ ?" ก็เพราะว่ากำลังใจของคนไม่เท่ากัน
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    18,193
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,411
    ค่าพลัง:
    +26,227
    ถ้าหากว่าเป็นกำลังใจของพระอริยเจ้า อะไรเกิดขึ้นก็..ช่างมัน
    ถ้าหากว่ากำลังใจของผู้ปฏิบัติธรรมยังเข้าถึงไม่ได้เต็มที่ก็ ..ช่างหัวมัน
    ถ้ากำลังใจต่ำลงไปกว่านั้นก็..ช่างหัวแม่มัน..!
    ท้ายที่สุดพวกเฮงซวยห่วยแตกพยายามจะวางให้ได้ก็..ช่างหัวโคตรพ่อโคตรแม่มัน..!


    เห็นหรือยังว่ากำลังใจของเราแต่ละระดับไม่เท่ากัน แต่ต้องเข้าใจและเข้าถึงให้ได้ว่า การปฏิบัติธรรมจะให้ก้าวหน้า ต้องมีอุเบกขาเป็นหลัก เรามีหน้าที่ทำ ได้หรือไม่ได้ เป็นหรือไม่เป็น..ช่างมัน พูดไปตั้งแต่แรกแล้ว จับจุดไม่ได้กันเอง

    ดังนั้น..สิ่งที่เราทั้งหลายมานั่งอยู่ตรงนี้ ส่วนใหญ่แล้วอาตมาไม่ได้เน้นว่าวิธีการปฏิบัติเป็นอย่างไร ทุกคนทำเป็นทั้งนั้น แต่มักจะใช้วิธีบอกเคล็ดลับว่าต้องวางกำลังใจอย่างไร เพราะว่าเรื่องของพวกเคล็ดลับ ต้องให้คนที่เดินทางผ่านไปแล้ว ถึงจะบอกได้ว่า "ถนนตรงนี้ไม่ดี ถึงเวลาหาไม้มาพาดหน่อยจะเดินผ่านง่ายขึ้น" "ตรงนี้เป็นหลุมเป็นบ่อ กระโดดข้ามไปเลย" "ทางด้านโน้นต้องเดินชิดข้างผนังให้มาก ๆ ไว้ เพราะว่าอีกฝั่งเป็นเหว..!" คนที่เดินผ่านแล้วจะบอกเขาได้

    เพียงแต่ว่าเราท่านศึกษาไปแล้ว ก็ต้องรู้จักจดรู้จักจำด้วย เมื่อทำถึงเมื่อไรก็ "อ๋อ..ที่แท้หลวงพ่อพูดมาคืออย่างนี้เอง" คราวนี้เราท่านทั้งหลายก็มักจะมีข้ออ้างมาก ไม่มีเวลา วันนี้ทำอย่างอื่นเหนื่อยมากแล้ว ไหนจะลูกกวนตัว ไหนจะผัวกวนใจ สารพัดข้ออ้าง กิเลสอ้างล้วน ๆ..! ถ้าคนรักจะปฏิบัติจริง ๆ จะต้องไม่มีข้ออ้าง

    เรื่องของกิเลสเราต้องเข้าใจว่าเขาคือเรา เพราะว่ากิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย อยู่กับร่างกายนี้เอง เพียงแต่ว่าถ้าเราไม่ไปยุ่งด้วย กิเลสก็ทำอะไรไม่ได้ ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะไป ปรุง แต่ง ช่วยให้กิเลสเจริญงอกงาม อาตมภาพเคยเปรียบเทียบว่า เหมือนกับเราลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวใส่น้ำเปล่า ใครอยากกินบ้าง..? ดีไม่ดียื่นมาให้ก็โยนทิ้งเลย..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    18,193
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,411
    ค่าพลัง:
    +26,227
    แล้วคราวนี้เราทำอย่างไร ? ใส่หมูสับ หอมซอยอีกหน่อย กระเทียมเจียวอีกนิด กุ้งแห้งหน่อยหนึ่ง ตั้งฉ่ายหน่อยหนึ่ง ยิ่งปรุงยิ่งอร่อย ไอ้โน่นก็น้ำตาล ไอ้นี่ก็น้ำส้มสายชู ไอ้นั่นพริกดอง ใส่ไปเรื่อย ยิ่งอร่อยก็ยิ่งกินมาก ก็เจริญ..เพราะว่ากิเลสงอกงาม..!

    คราวนี้ถ้าหากว่าเราจะไม่ปรุงต้องทำอย่างไร ? ก็ต้องทำตัวสิ้นคิด ต้องเป็นลูกศิษย์หลวงตาสินทรัพย์ จรณธมฺโม หยุดความคิดให้ได้ เห็นเพศตรงข้ามเดินมา ห้ามคิดต่อเด็ดขาดเลย สวยหรือไม่สวย หล่อหรือไม่หล่อ เจ๊งทั้งคู่..!

    เห็นสวยเห็นหล่อ..ชอบใจ..เป็นราคะ ไม่สวยไม่หล่อ..ไม่ชอบใจ..เป็นโทสะ กิเลสกินเราทั้งขึ้นทั้งล่อง..!

    แต่ถ้าเราหยุดคิดอยู่ตรงนั้น สักแต่ว่าเป็นรูป สักแต่ว่าเป็นธาตุ มองไปไม่มีอะไรแตกต่างจากสิ่งอื่นรอบข้าง จิตใจก็ไม่ปรุงแต่งไปใน รัก โลภ โกรธ หลง ในเมื่อเราไม่คิด ไม่ปรุงแต่ง ก็คือเราไม่ไปใส่สิ่งต่าง ๆ ลงไปในก๋วยเตี๋ยวถ้วยนั้น ความอยากกินก็ไม่มี

    ในเมื่อหมดอยาก ก็จะค่อย ๆ ถอนกำลังใจออกมา ยิ่งยึดเกาะน้อยเท่าไร ก็ยิ่งเบาสบายเท่านั้น นี่คือสิ่งที่พวกเราขาด ขาดเพราะอะไร ? ขาดเพราะสติไม่เท่าทันกิเลส แล้วทำไมกิเลสไม่เท่าทันกิเลส ? เพราะสมาธิไม่มี แล้วทำไมสมาธิไม่มี ? เพราะว่ารักษาศีลไม่ทรงตัว ศีลเป็นเครื่องค้ำจุนสมาธิให้ทรงตัว


    วนเป็นงูกินหางอยู่แค่นี้เองในเมื่อศีลไม่ทรงตัว สมาธิไม่เกิด สติไม่มี แล้วปัญญาจะมาได้อย่างไร..?ก็แปลว่าที่เราเจ๊งทุกครั้ง แพ้ทุกงาน เกิดจากการที่เราไม่ทำอะไรจริงจัง ทำเล่น ๆ ทำเหมือนกับแก้บน ไปลองวัดโน้นหน่อยเขาว่าดี ไปลองแบบวัดนี้หน่อยเขาว่าดี นั่นมันดีของเขา..! ต้องหาดีของเราให้เจอ


    จะว่าไปแล้วอาตมภาพนั่งบ่นอยู่ตรงนี้มาหลายสิบปีแล้วนะ บ่นไปเท่าไรก็เหมือนเดิม ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมาเลย กัดลิ้นตายดีกว่า..!


    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒๕๖๗ ณ วัดท่าขนุน
    ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันเสาร์ที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทะเล และ นาทาม)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...