บทความให้กำลังใจ(ไม่มีคำว่าสายเกินไป)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    (ต่อ)
    อย่างไรก็ตาม ได้กล่าวแล้วว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้เรากลัวความสูญเสีย ก็คือ ความยึดติดถือมั่นว่าเป็นของเรา หรือที่ท่านอาจารย์พุทธทาสเรียกว่า ความยึดมั่นใน “ตัวกู ของกู” ดังนั้นถ้าไม่อยากให้ความกลัวสูญเสียครอบงำใจ นอกจากการใช้สติและปัญญารับมือกับเหตุการณ์แล้ว การทำใจให้คลายความยึดมั่นในตัวกูของกู ก็เป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเรายึดติดถือมั่นในทรัพย์สินน้อยลง ความกลัวสูญเสียก็จะน้อยลงตามไปด้วย

    วิธีหนึ่งที่ช่วยลดความยึดมั่นในตัวกูของกู ก็คือ การให้ทานหรือสละทรัพย์สมบัติให้แก่ผู้อื่นหรือส่วนรวม ถ้าเราคิดแต่จะเอา ไม่ยอมให้ ความยึดมั่นในตัวกูของกูย่อมเพิ่มมากขึ้น แต่เมื่อคิดจะให้ ทีแรกจะมีแรงต้านทานอันเกิดจากความยึดติดถือมั่น แต่เมื่อให้บ่อย ๆ ความยึดติดถือมั่นในทรัพย์สมบัติก็จะลดลง โดยเฉพาะการให้ที่ไม่หวังประโยชน์เข้าตัวเลย หากมุ่งเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นหรือส่วนรวมล้วน ๆ แต่ถ้าให้เพราะอยากร่ำรวยอยากถูกหวยแล้ว อย่างที่ผู้คนมักอธิษฐานเวลาทำบุญ ความยึดมั่นในทรัพย์มีแต่จะพอกพูนขึ้น

    ผู้ที่ให้เป็นนิจ ไม่ว่าให้แก่ผู้เดือดร้อน นักบวช หรือองค์กรสาธารณประโยชน์ เมื่อถึงคราวที่ต้องสูญเสียทรัพย์ด้วยเหตุจำเป็น ก็พร้อมจะเสียโดยไม่บ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยงชนิดที่ก่อให้เกิดโทษ ขณะเดียวกันก็ไม่ทุกข์ใจ เพราะไม่ได้ยึดติดถือมั่นกับมันอย่างเต็มที่ หากจำเป็นต้องเสียทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะหรือชีวิต ก็พร้อมจะทำ ไม่เผลอเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อรักษาทรัพย์ เช่น ในยามที่ถูกโจรปล้นจี้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง การไม่ยึดมั่นถือมั่นในทรัพย์ว่าเป็น “ของกู” ทำให้เราเป็นนายมัน ไม่ใช่มันเป็นนายเรา ตรงกันข้าม การยึดติดถือมั่นว่ามันเป็นของเรา มีแต่จะทำให้เรากลายเป็นของมันไป

    การหมั่นระลึกถึงความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เรายึดติดถือมั่นในสิ่งต่าง ๆ น้อยลง เพราะตระหนักได้ว่าไม่ช้าไม่นานมันก็ต้องจากเราไป ไม่มีอะไรที่เป็นของเราอย่างแท้จริง ทุกอย่างเป็นของชั่วคราวทั้งนั้น ยิ่งระลึกถึงความจริงที่ว่า เราเกิดมามือเปล่า และเมื่อสิ้นลม เราก็ต้องจากไปมือเปล่า ทรัพย์สมบัติที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นจึงเป็นเสมือนกำไร หากสูญไปจนหมดก็แค่เท่าทุน ไม่อาจเรียกว่าขาดทุนหรือสูญเสียด้วยซ้ำ เพราะมันไม่ได้เป็นของเราตั้งแต่แรก การระลึกเช่นนี้ยังกระตุ้นให้เราหมั่นให้ทานหรือสละทรัพย์ให้ผู้อื่น ไม่คิดจะเก็บเอาไว้กับตัวเอง เพราะรู้ว่าตายแล้วก็เอาไปไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว

    นอกจากการให้ทานและระลึกถึงความไม่เที่ยงแล้ว การหมั่นมองตนจนเห็นใจที่ยึดมั่นในตัวกูของกูอยู่เนือง ๆ ก็ช่วยให้เราเป็นอิสระเหนือทรัพย์มากขึ้น และไม่กลัวการสูญเสีย จะว่าไปแล้วการยึดติดถือมั่นว่ามี “ตัวกู”นี้แหละเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เราดิ้นรนแสวงหาสิ่งต่าง ๆ อย่างไม่รู้จักจบสิ้น ทั้งนี้เพื่อประกาศความยิ่งใหญ่แห่งตัวตน ดังนั้นเมื่อต้องสูญเสียสิ่งหนึ่งสิ่งใดไป จึงกลายเป็นการกระทบตัวกู ทำให้ความยิ่งใหญ่แห่งตัวกูลดน้อยถอยลง หรือถึงกับรู้สึกว่าตัวกูถูกคุกคาม การทำทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสีย จึงมิใช่เป็นแค่การปกป้องทรัพย์สมบัติที่ยึดมั่นว่าเป็นของกูเท่านั้น หากยังเป็นการปกป้องตัวกูหรือความยิ่งใหญ่แห่งตัวกูด้วย

    เป็นเพราะหวงแหนตัวตน ผู้คนจึงหวงแหนทรัพย์สมบัติและอะไรต่ออะไรอีกมากมาย ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรสักอย่างที่เที่ยงแท้ยั่งยืนหรืออยู่กับเราไปตลอด ร้ายกว่านั้นก็คือ ตัวตนที่หวงแหนนั้นแท้จริงหามีไม่ หากเป็นสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมาเองด้วยอวิชชา เมื่อใดที่เราเห็นชัดด้วยปัญญาว่าตัวกูนั้นไม่มีอยู่จริง ความยึดติดถือมั่นในตัวกูของกูก็ดับไปเอง ถึงตอนนั้นก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกต่อไป ไม่ว่าความสูญเสียทรัพย์ หรือแม้แต่ความสูญเสียชีวิต ไม่ว่าความผันผวนปรวนแปรใด ๆ เกิดขึ้นกับชีวิต ก็ไม่ทุกข์อีกต่อไป จะได้หรือเสียก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะจิตอยู่เหนือการได้และเสียอย่างสิ้นเชิง

    แต่ตราบใดที่ยังไม่มีปัญญาถึงขั้นนั้น เราก็ควรฝึกใจให้เป็นทุกข์น้อยที่สุดเมื่อประสบความสูญเสีย โดยไม่มัวหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธความสูญเสียอย่างหลับหูหลับตา
    :- https://visalo.org/article/sarakadee255502.htm
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    เผชิญหน้ากับความจริง
    พระไพศาล วิสาโล
    ระหว่างการสนทนากับเพื่อนในวงอาหาร หญิงสาวคนหนึ่งเล่าว่า “พ่อแม่รักฉันมากและแสดงความรู้สึกออกมาบ่อย ๆ เวลาฉันไม่เห็นด้วยกับแม่ แม่จะหยิบทุกอย่างที่อยู่ใกล้มือขว้างใส่ฉันทันที คราวหนึ่งแม่ขว้างมีดใส่ฉัน ฉันต้องเย็บสิบเข็มที่ขา หลังจากนั้นไม่กี่ปีพ่อก็บีบคอฉันตอนที่ฉันเริ่มเที่ยวกับผู้ชายที่ฉันไม่ชอบ” แล้วเธอก็ตบท้ายว่า “พ่อแม่เป็นห่วงฉันจริง ๆ”

    ใครได้ฟังก็ย่อมรู้ว่า ความรู้สึกของพ่อแม่ที่มีต่อเธอนั้นเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ไม่ใช่ความรักหรือความห่วงใยอย่างแน่นอน เพราะอาการแสดงออกของพ่อแม่ตามที่เธอเล่านั้นชัดเจนมากว่าเต็มไปด้วยความโกรธและความรุนแรง ซึ่งคงไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งสองครั้ง แต่เกิดเป็นประจำ

    อะไรทำให้เธอยืนยันว่านั่นเป็นความรักที่พ่อแม่มีให้แก่เธอ ใช่หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วเธอยอมรับไม่ได้ว่าพ่อแม่เกลียดเธอ แม้พฤติกรรมของพ่อแม่จะแสดงออกอย่างชัดเจน แต่เธอเลือกที่จะ “ตีความ”ไปในทางตรงกันข้าม

    บางครั้งความจริงเป็นเรื่องเลวร้าย ยอมรับเมื่อใดก็เจ็บปวดเมื่อนั้น หลายคนจึงเลือกที่จะปฏิเสธความจริงดังกล่าว บางคนใช้วิธีตีความปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไปในแง่อื่น แต่หลายคนเลือกที่จะปฏิเสธปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น โดยทำเป็นมองไม่เห็นหรือไม่ได้ยินเอาเลย

    อะไรทำให้เราปฏิเสธความจริงทั้ง ๆ ที่ชัดเจนแจ่มแจ้งหรืออยู่ต่อหน้าต่อตา คำตอบคือ ความกลัว บางคนกลัวว่าพ่อแม่ไม่รัก หรือเพื่อนไม่คบ เพราะนั่นหมายถึงความรู้สึกไร้คุณค่า ตัวตนไม่มีความหมาย ไม่มีอะไรที่เจ็บปวดรวดร้าวมากเท่ากับการเป็น nobody หรือไม่มีตัวตนในสายตาของคนอื่น

    ความกลัวตายก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หลายคนปฏิเสธความจริง คนจำนวนไม่น้อยไม่ยอมเชื่อเมื่อหมอยืนยันผลวินิจฉัยว่าเขาเป็นมะเร็ง ในใจเขานั้นได้แต่ตะโกนว่า “ไม่จริง ๆ” บางคนถึงกับทักท้วงหมอว่า วินิจฉัยผิด หรือหยิบฟิลม์ผิดหรือเปล่า

    ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองมีชาวยิวหลายล้านคนที่ถูกกวาดต้อนไปยังค่ายนรกเพื่อรอการสังหารด้วยการรมก๊าซพิษ ปรากฏว่านักโทษหลายคนไม่เชื่อว่า มีห้องรมก๊าซพิษหรือการสังหารโหดในค่ายของตน ทั้ง ๆ ที่เห็นเตาเผาศพส่งกลิ่นไหม้คละคลุ้งอยู่ห่างไม่กี่ร้อยหลา รวมทั้งได้ยินข่าวลือดังกล่าววันแล้ววันเล่า พวกเขาปฏิเสธความจริงดังกล่าวเพราะยอมรับไม่ได้ว่าตนเองกำลังจะตาย มิใช่แต่คนที่จิตใจอ่อนแอหรือสิ้นเรี่ยวสิ้นแรงเท่านั้นที่ไม่กล้ายอมรับความจริงอันเจ็บปวด แม้กระทั่งคนที่เต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจหรือมีอำนาจ ก็อาจมีอาการดังกล่าวด้วยเช่นกัน อาจจะไม่ใช่เพราะกลัวตาย แต่เพราะกลัวความล้มเหลวหรือความพ่ายแพ้

    เมื่อนายพลเกอริง ผู้บัญชาการกองทัพเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง ได้รับรายงานว่ามีผู้พบเครื่องบินขับไล่ฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นครั้งแรกในเขตแดนของเยอรมัน ซึ่งไกลจากแนวรบของฝ่ายอักษะมาก นั่นหมายความว่าฝ่ายสัมพันธมิตรได้พัฒนาเครื่องบินพิสัยไกลที่สามารถทิ้งระเบิดปูพรมเยอรมันได้อย่างสบาย เขาตกใจมาก เฝ้าแต่บอกตนเองว่า เป็นไปไม่ได้ ใช่แต่เท่านั้นเขายังมีคำสั่งกลับไปว่า “ผมขอยืนยันอย่างเป็นทางการว่าเครื่องบินขับไล่ของอเมริกันมาไม่ถึงเมืองอาเชน ผมขอออกคำสั่งอย่างเป็นทางการกับคุณว่า เครื่องบินพวกนั้นไม่ได้อยู่ที่นั่น”

    แต่ปฏิกิริยาของเกอริงนั้นยังเทียบไม่ได้กับสตาลิน ซึ่งเป็นตัวอย่างคลาสสิคของผู้นำที่ปฏิเสธความจริงจนวินาทีสุดท้าย ทั้ง ๆ ที่ข้อมูลข่าวสารพรั่งพรูมาจากทุกทิศทุกทาง

    ฮิตเลอร์นั้นประกาศมานานแล้วว่าต้องการยึดรัสเซีย แม้มีการทำสนธิสัญญาระหว่างสองประเทศว่าจะไม่รุกรานกันในปี ๑๙๓๙ ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองจะระเบิด แต่หลังจากที่เยอรมันบุกโปแลนด์และประกาศสงครามกับสัมพันธมิตร ก็มีเค้าลางว่าเยอรมันจะบุกรัสเซีย
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    (ต่อ)
    สตาลินนั้นรู้ดีว่ารัสเซียยังไม่พร้อมทำสงครามกับเยอรมัน จึงหวังพึ่งมาตรการทางการทูตเพื่อแก้ไขความขัดแย้งกับเยอรมัน และฝากความหวังว่าวิธีการเหล่านั้นจะได้ผล อย่างไรก็ตามสถานการณ์บ่งชี้ว่าเยอรมันมีแผนบุกรัสเซียแน่นอน นายพลของรัสเซียหลายคนพยายามเตือนสตาลินครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สตาลินไม่เชื่อ คราวหนึ่งเขาบอกกับนายพลเหล่านี้ว่า “พวกเยอรมันกลัวเรา เรื่องนี้เป็นความลับนะ จะบอกคุณให้ ทูตของเราได้คุยกับฮิตเลอร์อย่างจริงจังเป็นส่วนตัวแล้ว ฮิตเลอร์บอกเขาว่า “โปรดอย่ากังวลที่ทหารของเรารวมพลกันที่โปแลนด์ กองทัพของเรากำลังฝึกซ้อมกันอยู่”

    แม้ได้รับคำเตือนจากอังกฤษเรื่องการบุกของเยอรมัน สตาลินก็ไม่เชื่อ โดยให้เหตุผลว่าเป็นลูกไม้ของอังกฤษที่ต้องการยุแยงให้รัสเซียกับเยอรมันผิดใจกัน ครั้นสายลับของรัสเซียยืนยันข่าวดังกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน สตาลินก็ตอบว่า “ฮิตเลอร์ไม่ใช่คนโง่” เขาไม่เปิดแนวรบสองด้านในเวลาเดียวกันหรอก (คือแนวรบด้านตะวันตก กับด้านตะวันออก)

    หนึ่งเดือนครึ่งก่อนเยอรมันบุกรัสเซีย สตาลินได้รับรายงานว่า เยอรมันส่งเครื่องบินมาลาดตระเวน แทนที่จะตื่นตัว เขากลับบอกว่า “ผมไม่รู้ว่าฮิตเลอร์รู้เรื่องนี้หรือเปล่า”

    สตาลินปฏิเสธทุกครั้งเมื่อได้ยินข่าวเกี่ยวกับยุทธการของฮิตเลอร์ เขาไม่ยอมรับ หรือพูดให้ถูกต้องกว่านั้น เขายอมรับไม่ได้ว่าฮิตเลอร์มีแผนร้ายต่อรัสเซีย จนกระทั่งวันที่เยอรมันกรีฑาทัพบุกรัสเซีย สตาลินก็ยังคิดว่า นี้อาจเป็นแผนการยั่วยุของนายพลเยอรมัน “ฮิตเลอร์คงไม่รู้เรื่องนี้” ดังนั้นเขาจึงไม่ออกคำสั่งให้ต่อต้านทหารเยอรมันจนกว่าจะได้รับคำยืนยันจากสถานทูตในเบอร์ลิน

    ต่อเมื่อได้รับคำยืนยันจากทูตเยอรมันประจำรัสเซีย สตาลินจึงยอมรับว่าเยอรมันประกาศสงครามกับรัสเซียจริง ๆ เขาถึงกับนิ่งงันอยู่นาน สีหน้าเหนื่อยล้าและหมดสภาพ ยิ่งได้ข่าวเป็นระยะ ๆ ว่า เยอรมันยึดได้เมืองแล้วเมืองเล่า เขาถึงกับทำอะไรไม่ถูก ผ่านไปไม่ถึงอาทิตย์ สถานการณ์ของฝ่ายรัสเซียวิกฤตหนัก เพราะถูกตีแตกไม่เป็นขบวน มีช่วงหนึ่งสตาลินถึงกับเก็บตัว ไม่คุยกับใคร และไม่สนใจอะไรเลย แต่เดินไปเดินมาเหมือนคนไร้สติ ผลก็คือรัฐบาลของรัสเซียเป็นอัมพาตสองวันเต็ม ๆ ไม่มีคำสั่งใด ๆ ออกมาจากส่วนกลาง แต่ละเมืองที่ถูกโจมตีต้องเอาตัวรอดกันเอง

    กว่าสตาลินจะฟื้นจากฝันร้าย และพร้อมเผชิญหน้ากับความจริง ก็ใช้เวลาเป็นอาทิตย์ แต่ถึงตอนนั้นรัสเซียก็เพลี่ยงพล้ำไปมาก และถอยร่นจนเปิดทางให้เยอรมันบุกประชิดมอสโคว์ในเวลาแค่สามเดือน

    ความกลัวพ่ายแพ้แบบหมดรูปทำให้สตาลินไม่ยอมรับความจริงว่าเยอรมันมีแผนบุกรัสเซีย เขาไม่เพียงปฏิเสธข่าวกรองนานาชนิดที่มาจากทุกสารทิศ แต่ยังพยายามให้เหตุผลทั้งแก่ตนเองและคนอื่น เพื่อยืนยันความเชื่อของตน จนถึงขั้นมั่นอกมั่นใจว่าฮิตเลอร์ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คนอื่นคิด จะว่าไปแล้วในส่วนลึกคนฉลาดอย่างสตาลินย่อมรู้ดีว่าฮิตเลอร์คิดอะไร แต่เขาไม่สามารถยอมรับความจริงดังกล่าวได้ จึงพยายามหลอกตัวเองด้วยเหตุผลและข้ออ้างสารพัด จนกลายเป็นคนดื้อด้านและโง่เขลาในสายตาของผู้คนเป็นอันมาก

    กรณีสตาลินยังชี้ให้เห็นถึงความสามารถของคนเราในการหลอกตนเอง ยิ่งฉลาดเท่าใด ก็ยิ่งสรรหาเหตุผลสวยหรูมาเป็นกำแพงปิดกั้นความจริง ยิ่งมีอำนาจล้นฟ้าด้วยแล้ว ก็สามารถบังคับข่มขู่เพื่อมิให้ความจริงนั้นมาถึงตัวหรือย้ำเตือนให้กระเทือนจิตได้ ดังสตาลินแสดงอาการกราดเกรี้ยวกับคนที่พูดไม่ถูกหู จนไม่มีใครกล้าบอกข่าวร้ายแก่เขา แม้กระทั่งทันทีรู้ข่าวว่ากองทัพเยอรมันถล่มชายแดนรัสเซียแล้ว นายทหารคนสนิทก็ยังเกี่ยงกันในการแจ้งข่าวแก่สตาลินเพราะกลัวภัยจากเขา

    จะว่าไปแล้วการปฏิเสธความจริงด้วยวิธีการต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนเป็นวิธีปกป้องจิตใจตนเองไม่ให้เป็นทุกข์หรือเจ็บปวด แม้จะมีประโยชน์แต่ก็เป็นโทษในระยะยาว เพราะทำให้ไม่สนใจเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุร้ายที่เกิดขึ้น ความสูญเสียที่ตามมาจึงมักร้ายแรงกว่าการยอมรับความจริงเสียตั้งแต่แต่แรก

    สตาลินนั้นมีเดิมพันสูง มีราคามหาศาลที่ต้องจ่ายหากพ่ายแพ้เยอรมัน เพราะเขาเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศที่ยิ่งใหญ่ จึงไม่สามารถยอมรับข่าวร้ายจากชายแดนได้ แต่จะว่าไปแล้วเดิมพันอะไรจะสูงเท่ากับชีวิต สูญเสียตำแหน่งหรือทรัพย์สมบัติก็ไม่ร้ายเท่ากับสูญเสียชีวิต ด้วยเหตุนี้ถึงแม้จะไม่ได้เป็นใหญ่อย่างสตาลิน เราทุกคนก็สามารถมีอาการอย่างเดียวกับเขาหากพบว่าความตายกำลังจะมาถึงตัว นั่นคือไม่ยอมรับความจริงว่าตนกำลังจะตาย

    อันที่จริงแม้ความตายยังไม่ถึงกับประชิดตัว แต่ในส่วนลึกของคนส่วนใหญ่นั้นไม่เชื่อว่าตนจะต้องตายด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่ได้ยินได้ฟังว่ามีคนตายอยู่เนือง ๆ หรือถึงแม้รู้ว่าตัวเองจะต้องตายไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่ใจก็ไม่ได้เชื่ออย่างนั้น ดังนั้นเมื่อถึงคราวที่จะต้องตาย จึงยอมรับไม่ได้ พยายามปฏิเสธผลักไสและต่อต้าน ซึ่งเท่ากับเพิ่มความทุกข์ทรมานให้แก่ตนมากขึ้น

    ปัญหาใด ๆ ก็ไม่ร้ายแรงหรือน่ากลัวเท่ากับใจที่ปฏิเสธปัญหา เพราะนั่นหมายถึงความประมาท นิ่งดูดาย งอมืองอเท้า ปล่อยให้ปัญหานั้นจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว ถึงตอนนั้นแล้วหากใจยังปฏิเสธผลักไส ตีโพยตีพาย ไม่ยอมรับความจริง ก็ยิ่งเจ็บปวดเพราะถูกความจริงโบยตี จะดีกว่ามากหากยอมรับความจริงเสียแต่ต้น แม้จะเจ็บปวดทีแรก แต่ก็มีโอกาสที่จะรับมือกับมันได้ดีขึ้น ยิ่งยอมรับแต่เนิ่น ๆ เท่าไร ก็ยิ่งมีเวลาเตรียมการมากเท่านั้น อีกทั้งสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ ดังผู้ที่เจริญมรณสติอยู่เสมอ ไม่เพียงจะตื่นตระหนกน้อยลงเมื่อความตายมาประชิดตัวเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้ประโยชน์จากมัน คือเห็นธรรมจากความตาย ทำให้ปล่อยวางและเผชิญความตายด้วยใจสงบ
    :- https://visalo.org/article/sarakadee255612.htm
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    psPrawut.jpg
    จุดเปลี่ยนและบทเรียนชีวิต

    พระไพศาล วิสาโล
    ใครที่มีอายุล่วงเลยมาถึงปัจฉิมวัย ชีวิตย่อมต้องผ่านจุดเปลี่ยนมาหลายครั้ง ข้าพเจ้าเองก็เช่นกัน แน่นอนว่าจุดเปลี่ยนสำคัญย่อมได้แก่จุดเปลี่ยนครั้งแรกในชีวิต ซึ่งแม้จะไม่หวือหวาหรือหักมุม แต่ก็นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกหลายครั้ง

    ตอนนั้นข้าพเจ้าอายุ ๑๔ ปี พูดถึงประวัติการเรียนแล้ว ก็นับว่าเป็นเด็กเรียนดีมาโดยตลอด แม้ไม่ถึงกับดีมากหรือดีเลิศ (เคยสอบได้ที่ ๑ เพียงครั้งเดียว ส่วนใหญ่อยู่ใน ๑๐ อันดับแรกของชั้น) ไม่เคยมีปัญหากับครูบาอาจารย์ เพราะเป็นเด็กที่ตั้งใจเรียน ไม่ขาดตกบกพร่องเรื่องการบ้าน แต่ก็ยอมรับว่าตั้งแต่อนุบาลเป็นต้นมาไม่เคยมีความสุขกับการเรียนเลย (ยกเว้นบางวิชาในบางปีเท่านั้น) การเรียนเป็นแค่การทำตามหน้าที่ โดยมีจุดมุ่งหมายคือเพื่อทำคะแนนให้ดีที่สุด แน่นอนว่าถ้าวิชาไหนได้คะแนนน้อย หรือเทอมใดผลสอบออกมาไม่ดี ก็รู้สึกเป็นทุกข์มาก

    แต่ความรู้สึกของข้าพเจ้าเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อถึงอายุดังกล่าว มีวันหนึ่งข้าพเจ้าถามตัวเองว่า เราเรียนเพื่ออะไร ? ข้าพเจ้าพบว่า คำตอบไม่น่าจะเป็น การเรียนเพื่อเอาคะแนน แต่ควรเป็นการเรียนเพื่อเอาความรู้มากกว่า ความคิดเช่นนี้ทำให้จุดหมายในการเรียนของข้าพเจ้าเปลี่ยนไป และช่วยให้ข้าพเจ้าก็มีความสุขกับการเรียนมากขึ้น เพราะคะแนนหรือผลสอบมีความหมายต่อข้าพเจ้าน้อยลง เพราะถึงแม้บางวิชาจะได้คะแนนไม่มาก แต่ข้าพเจ้าก็มั่นใจว่าได้ความรู้มากขึ้น

    คำตอบดังกล่าวไม่เพียงทำให้ข้าพเจ้ากระตือรือร้นกับการอ่านหนังสือเรียน โดยไม่สนใจว่าครูจะออกข้อสอบหรือไม่แล้ว ยังทำให้เกิดความสนใจอ่านหนังสือนอกห้องเรียนมากขึ้น ที่จริงข้าพเจ้าเป็นสมาชิกขาประจำของห้องสมุดในโรงเรียนมานานแล้ว แต่คราวนี้ยังสนใจหนังสือที่เป็นวิชาการมากขึ้นด้วย ไม่ใช่แค่สารคดีเท่านั้น

    มีเหตุการณ์หนึ่งที่มาเสริมความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ก็คือข้าพเจ้ากับเพื่อนได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของห้องในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์เพื่อร่วมงานวิทยาศาสตร์ที่เครือข่ายโรงเรียนคาทอลิกจัดขึ้น (ล้อกับงานวิทยาศาสตร์สัมพันธ์อันโด่งดังซึ่งจัดที่โรงเรียนสวนกุหลาบ ฯ มานานหลายปี) ข้าพเจ้าเป็นเด็กเรียนที่ไม่เคยทำกิจกรรมทำนองนี้มาก่อน เมื่อมารับผิดชอบงานนี้ จึงได้พานพบประสบการณ์หลายอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ซึ่งล้วนแต่เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าทั้งสิ้น แม้ปัญหาบางอย่างจะทำให้หนักใจไปหลายวัน เพราะทำเกือบเสร็จแล้วแต่ไม่ทำงานดังที่หวัง (เครื่องทำน้ำอุ่นพลังแสงอาทิตย์ แต่น้ำกลับไม่เขยื้อนขยับ) แต่หลังจากใช้เวลาครุ่นคิดกับมันอย่างเอาจริงเอาจัง ก็หาทางออกได้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือความสุข ยิ่งโครงงานนี้ได้รับรางวัลที่ ๑ ด้านฟิสิกส์ก็ยิ่งเกิดความภาคภูมิใจ

    ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้ข้าพเจ้าพบว่า การทำกิจกรรมนอกห้องเรียนนั้นให้อะไรแก่ตนเองมากมายอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ที่สำคัญก็คือได้รู้จักคิดและแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ซึ่งไม่ค่อยได้จากการเรียนในห้องเรียน เพราะปัญหาที่เจอในการเรียนนั้นล้วนเป็นปัญหาที่หาคำตอบได้จากหนังสือ และเป็นคำตอบที่มีได้แค่หนึ่งเดียว ในขณะที่ปัญหาที่ข้าพเจ้าพบจากการทำโครงงานนั้น เป็นปัญหาปลายเปิดที่มีทางออกได้หลายทาง นอกจากนั้นกิจกรรมดังกล่าวยังช่วยฝึกทักษะให้แก่ข้าพเจ้าอีกหลายประการ เช่น การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน (หรือที่สมัยนี้เรียกว่า social skills ซึ่งไม่ค่อยได้จากการเรียนในห้องเรียนเท่าใดนัก)

    กล่าวอีกนัยหนึ่ง กิจกรรมนอกห้องเรียนได้ช่วยให้ข้าพเจ้า “เรียนรู้”อีกหลายเรื่อง นับเป็นการขยายขอบเขตหรือนิยามของ “ความรู้” ให้กว้างกว่าที่ข้าพเจ้าเคยคิดว่ามีอยู่แต่ในหนังสือเท่านั้น ประสบการณ์ดังกล่าวประกอบกับการเรียนที่มีจุดหมายแปรเปลี่ยนไปดังได้กล่าวข้างต้น ช่วยให้ชีวิตในโรงเรียนของข้าพเจ้านับแต่นั้นมามีความสุขมากขึ้น ให้ประสบการณ์ที่มีชีวิตชีวา ไม่น่าเบื่อดังแต่ก่อน

    ผลที่ต่อเนื่องตามมาก็คือ ข้าพเจ้าอ่านหนังสือหลากหลายมากขึ้น แม้ตอนนั้นตั้งใจจะเอาดีทางวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะด้านฟิสิกส์ ถึงกับเริ่มอ่านตำรามหาวิทยาลัยและตำราฝรั่งแล้ว แต่พออายุ ๑๕ ก็ขยายไปอ่านหนังสือด้านสังคมศาสตร์ด้วย อันเป็นเหตุให้กลายเป็นแฟนของส.ศิวรักษ์ และสังคมศาสตร์ปริทัศน์ (ซึ่งตอนนั้นอยู่ในบังเหียนของสุชาติ สวัสดิ์ศรีแล้ว) ขณะเดียวกันข้าพเจ้าก็เอาจริงเอาจังกับการทำกิจกรรมนอกห้องเรียนด้วย ไม่ใช่แต่กิจกรรมวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงงานอาสาพัฒนาและสังคมสงเคราะห์ โดยจับพลัดจับผลูไปเป็นแกนของกลุ่มอัสสัมชัญอาสาพัฒนา ซึ่งตอนนั้นเป็นกลุ่มนักเรียนกลุ่มเดียวในประเทศที่จัดค่ายอาสาพัฒนาทุกปี การคลุกคลีตีโมงอยู่กับเพื่อนนักเรียนกลุ่มนี้ ประกอบกับการอ่านหนังสือของส.ศิวรักษ์ และนิตยสารอย่างสังคมศาสตร์ปริทัศน์ ได้เปิดหูเปิดตาข้าพเจ้าเกี่ยวกับปัญหาบ้านเมืองเวลานั้นซึ่งมีมากมายหลายประการ ทำให้เกิดความห่วงใยในบ้านเมืองและหล่อหลอมให้เกิดสำนึกทางการเมืองขึ้นมาในที่สุด

    จากเด็กที่เอาแต่เรียน เส้นทางชีวิตของข้าพเจ้าได้เบนไปสู่การเป็นนักกิจกรรมทั้ง ๆ ที่ยังนุ่งกางเกงขาสั้น ไม่ใช่แค่กิจกรรมในโรงเรียน แต่ขยายไปสู่กิจกรรมนอกโรงเรียน ทำทั้งค่ายอาสาพัฒนา และร่วมชุมนุมประท้วงในเหตุการณ์เดือนตุลา ๒๕๑๖ ขณะเดียวกันกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ทิ้ง ข้าพเจ้ายังคงทำโครงงานวิทยาศาสตร์เป็นตัวแทนของชั้นและโรงเรียนทุกปี จนได้รับรางวัลที่ ๑ เป็นคำรบสอง แต่ระยะหลังความสนุกเริ่มลดลง เพราะความสนใจในทางสังคมศาสตร์แรงกล้าขึ้นจนไม่คิดจะเอาดีทางวิทยาศาสตร์หรือเป็นวิศวกรอีกต่อไป ในปีสุดท้ายของมัธยมศึกษา ข้าพเจ้าจึงย้ายไปเรียนห้องศิลปะและเลือกเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แทน

    มาถึงตอนนี้ข้าพเจ้าไม่ได้เรียนเพื่อความรู้แล้ว แต่ได้เปลี่ยนเป็นเรียนเพื่อทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม เพื่อสังคม หรือเพื่อประเทศชาติ ที่จริงไม่ใช่แค่การเรียนเท่านั้น แต่ขยายไปถึงการดำเนินชีวิตเลยทีเดียว นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับบรรยากาศบ้านเมืองเวลานั้น ที่จริงเป็นความรู้สึกร่วมของหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อย ซึ่งเป็นผลจากลัทธิสังคมนิยม (ซึ่งเริ่มแพร่หลายในเวลานั้น) พอ ๆ กับลัทธิชาตินิยม ที่ปลูกฝังกันตั้งแต่เล็ก โดยเฉพาะจากงานของหลวงวิจิตรวาทงการ

    ลัทธิสังคมนิยมรวมทั้งลัทธิมากซิสม์มีอิทธิพลต่อข้าพเจ้าอย่างจริงจังอยู่พักใหญ่ ทำให้ช่วงหนึ่งถึงกับครุ่นคิดถึงการปฏิวัติด้วยกำลังอาวุธเพื่อโค่นล้มทุนนิยมและจักรวรรดินิยมที่ครอบงำเมืองไทย แต่ไม่นานก็หันมาสนใจพุทธศาสนาและภูมิปัญญาทางจิตวิญญาณ (เช่น เต๋า) ผู้ที่มีส่วนชักชวนให้โน้มมาทางนี้ก็คือ อาจารย์สุลักษณ์ และมิตรสหายเช่น พจนา จันทรสันติ ชาญณรงค์ เมฆินทรางกูร เป็นต้น และที่ตามมาคู่เคียงกันก็คือ ความศรัทธาในแนวทางอหิงสาหรือสันติวิธี โดยนิโคลัส เบ็นเนตต์ ที่ปรึกษากระทรวงศึกษาธิการเวลานั้น เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีอิทธิพลต่อข้าพเจ้าในด้านนี้

    นี้คือจุดเปลี่ยนอีกครั้งหนึ่งที่เกิดกับข้าพเจ้า ทำให้แยกตัวออกมาจากขบวนการนักศึกษานิยมซ้าย ซึ่งกำลังเฟื่องฟูอย่างมากในเวลานั้น หาไม่ข้าพเจ้าก็คงเข้าป่าร่วมขบวนการคอมมิวนิสต์หลังเหตุการณ์นองเลือด ๖ ตุลา ๒๕๑๙ ที่ธรรมศาสตร์ ที่จริงข้าพเจ้าก็ถูกจับในเหตุการณ์นั้นด้วย แต่เหตุผลที่ข้าพเจ้าไปอยู่ที่ธรรมศาสตร์นั้นแตกต่างจากนักศึกษาส่วนใหญ่ที่ร่วมชุมนุมประท้วงรัฐบาล กลางสนามฟุตบอลธรรมศาสตร์วันนั้นเองที่ข้าพเจ้าได้เห็นโทษภัยของความโกรธเกลียดว่าสามารถทำลายความเป็นมนุษย์ในตัวเราได้อย่างไร ดังนั้นแม้จะถูกทำร้าย ก็ไม่มีความรู้สึกโกรธเกลียด พร้อมให้อภัยผู้ที่เตะถีบข้าพเจ้า จะว่าไปแล้วนั่นเป็นบททดสอบสำคัญที่ทำให้ข้าพเจ้ามั่นคงในอหิงสธรรมมากขึ้น

    การสมาทานพุทธศาสนาทำให้ข้าพเจ้าไม่เพียงเห็นความสำคัญของการอุทิศตนเพื่อส่วนรวมเท่านั้น แต่ยังเห็นว่าการขัดเกลาตนเองหรือการพัฒนาชีวิตด้านในก็มีความสำคัญเช่นกัน โดยเห็นว่าภารกิจสองประการนี้สามารถทำควบคู่กันไปได้ ขณะเดียวกันก็เห็นว่า ศาสนธรรมกับการสร้างสรรค์สังคม ไม่ได้แยกจากกัน เราสามารถนำหลักธรรมทางศาสนามาใช้เป็นแนวทางในการเปลี่ยนแปลงสังคมได้ เช่น เปลี่ยนแปลงด้วยสันติวิธี โดยตระหนักถึงความเป็นมนุษย์ของทุกฝ่าย แม้ผู้ที่ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับเรา ก็มีความเป็นมนุษย์ไม่น้อยกว่าเรา มีแต่ความรัก ความเข้าใจ เท่านั้นที่จะก่อให้เกิดสันติสุขในสังคมอย่างแท้จริง หาใช่ความโกรธเกลียดหรือการเข่นฆ่าทำร้ายกันไม่
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    (ต่อ)
    ความเข้าใจดังกล่าว ทำให้ข้าพเจ้าทุ่มเทให้กับกลุ่มประสานงานศาสนาเพื่อสังคม (กศส.) ซึ่งมีบทบาทอย่างแข็งขันหลังเหตุการณ์ ๖ ตุลา ฯ เนื่องจากมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง ยังไม่ต้องพูดถึงการจับกุมคุมขังและดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรมกับนักศึกษาประชาชนกว่า ๓,๐๐๐ คนที่ชุมนุมในธรรมศาสตร์วันที่ ๖ ตุลา ฯ แม้ตอนนั้นข้าพเจ้าจะยังเป็นศึกษาชั้นปีที่ ๒ แต่เห็นว่าเรื่องนี้สำคัญกว่าการเรียน จึงหันมาทำงานเต็มเวลาให้แก่กศส.ก็ว่าได้ โดยถือว่าการเรียนเป็นเรื่องรอง

    กศส.นั้นมีกรรมการหลากศาสนา ทั้งพุทธ คาทอลิก และโปรเตสแตนท์ ปณิธานหลักคือการนำเอาหลักศาสนธรรมมาใช้เพื่อสร้างสรรค์สังคม เมื่อบ้านเมืองมีการข่มเหงคะเนงร้ายกันอย่างกว้างขวาง ศาสนาควรทำหน้าที่เตือนสติผู้คน และปกป้องผู้ถูกข่มเหง ขณะเดียวกันก็ควรช่วยให้เกิดการสมานไมตรีระหว่างคนสองฝ่าย งานเฉพาะหน้าที่เป็นรูปธรรมก็คือ รณรงค์ให้มีการนิรโทษกรรมนักโทษ ๖ ตุลา ฯ และช่วยเหลือผู้ที่ถูกจับกุมโดยไม่เป็นธรรม รวมทั้งคัดค้านการละเมิดสิทธิมนุษยชน

    คนที่ทำงานแบบนี้ในยุคที่รัฐบาลเป็นเผด็จการ มีอำนาจล้นฟ้า และหวาดระแวงคอมมิวนิสต์ ย่อมถูกเข้าใจผิดได้ง่าย และมีโอกาสมากที่จะถูกจับเข้าคุก พวกเราคนหนุ่มสาวในกศส.ตระหนักถึงความเสี่ยงดังกล่าวเป็นอย่างดี สำหรับข้าพเจ้านั้น ทำใจตั้งแต่แรกว่าพร้อมจะสูญเสียทุกอย่างรวมทั้งอิสรภาพ (อย่างเดียวที่ยังไม่พร้อมจะสูญเสียคือชีวิต) จึงไม่รู้สึกหวั่นไหวเท่าใดนักในการทำงานให้กศส. จะว่าไปแล้ว หากไม่เกิดเหตุการณ์ ๖ ตุลา ฯ และเกิดความแตกแยกในบ้านเมืองอย่างหนักจนมีโอกาสมากที่จะเกิดสงครามกลางเมืองอย่างเวียดนาม เขมร และลาว ข้าพเจ้าก็คงไม่พร้อมทำใจขนาดนั้น มองในแง่นี้ วิกฤตของบ้านเมืองมีส่วนกระตุ้นให้คนเราละวางตัวตนได้ไม่น้อย

    การทำงานกศส.นั้นได้ให้อะไรแก่ข้าพเจ้ามากมาย ทั้งในแง่ประสบการณ์ชีวิต ทักษะการทำงาน การพัฒนาความกล้า ความคุ้นเคยกับคุกตะราง (เพราะไปเยี่ยมนักโทษจนชิน) แต่ที่สำคัญซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตก็คือ ทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจออกบวช ทั้งนี้เพราะความเครียดที่สะสมตลอด ๗ ปีที่ทำงานกศส. (ทั้ง ๆ ที่ตอนเริ่มทำงานก็ไม่คิดว่ากศส.จะสามารถอยู่ยาวถึงขนาดนั้น) ช่วงนั้นความหงุดหงิดเกิดขึ้นง่ายมาก เป็นเหตุให้ทะเลาะกับเพื่อนร่วมงานบ่อย ๆ เวลาอยู่คนเดียว ก็มีอาการกระสับกระส่าย อยู่นิ่งได้ยาก แม้เป็นวันหยุดก็ต้องหาเรื่องไปโน่นมานี่ ซึ่งลงเอยด้วยความเหนื่อยล้า ถึงกระนั้นก็นอนไม่ค่อยหลับ พูดง่าย ๆ คือ ข้าพเจ้าเริ่มเสียศูนย์แล้ว แม้จะพยายามพักผ่อนด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่นิยมทำกัน เช่น ดูหนัง ไปเที่ยว ก็ไม่หาย ในที่สุดก็เหลือทางออกเดียวที่น่าจะช่วยได้ นั่นคือ สมาธิภาวนา ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นความสำคัญมาตลอด แต่ทำไม่ค่อยจริงจัง และเมื่อตั้งใจจะทำสมาธิอย่างจริงจัง ก็ต้องพึ่งผ้าเหลือง หาไม่ก็คงมีข้ออ้างให้บ่ายเบี่ยงหลบเลี่ยง ดังที่เคยทำหลายครั้งก่อนหน้านั้น

    การออกบวชครั้งนั้นทำให้ข้าพเจ้าประจักษ์ถึงคุณค่าของสมาธิภาวนาอย่างชัดเจน เห็นถึงพลังแห่งสติที่สามารถบรรเทาความทุกข์ และช่วยให้เกิดสันติกับตัวเองและในตัวเอง ทำให้พบกับความสงบเย็น ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตของข้าพเจ้าก่อนหน้านั้น ท่านอาจารย์พุทธทาสเคยกล่าวว่า “ชีวิตที่ดีคือชีวิตที่สงบเย็น และเป็นประโยชน์” ที่ผ่านมาชีวิตข้าพเจ้าเน้นหนักไปด้านการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่น แต่การบวชได้ช่วยเติมอีกด้านหนึ่งที่เคยพร่องไป แม้ยังไม่ถึงกับเต็มดีก็ตาม

    สมาธิภาวนา ไม่เพียงช่วยเติมความสุขและสงบเย็นให้แก่ชีวิตข้าพเจ้าเท่านั้น แต่ยังทำให้การบำเพ็ญประโยชน์ของข้าพเจ้ามีอีกมิติหนึ่งที่เพิ่มเข้ามา คือ มิติด้านจิตใจ กล่าวคือ ชี้ชวนให้ผู้คนตระหนักถึงความสำคัญของการเสริมสร้างชีวิตด้านใน รวมทั้งแนะนำให้รู้จักเข้าถึงความสุขภายใน นี้คือสิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบัน ซึ่งแม้จะมั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติ เต็มไปด้วยความสะดวกสบาย แต่ก็หามีความสุขอย่างแท้จริงไม่ กลับหลงเป็นทาสของวัตถุสิ่งเสพ อำนาจ และเกียรติยศ จนนำไปสู่การเอารัดเอาเปรียบและทำร้ายกัน รวมทั้งผลาญพร่าธรรมชาติ ทั้งโดยตรงและผ่านโครงสร้างต่าง ๆ ในสังคม

    อันที่จริงเมื่อแรกบวชนั้นข้าพเจ้านึกถึงแต่ประโยชน์ตนเพราะต้องการแค่ผ่อนคลายใจให้หายเครียดเท่านั้น ไม่ได้คิดถึงการบำเพ็ญประโยชน์ท่านไม่ว่าในด้านใดทั้งสิ้น แต่เมื่อได้ประจักษ์ถึงอานิสงส์ของสมาธิภาวนาและความสำคัญของชีวิตด้านใน ก็หันมาทำงานส่งเสริมด้านนี้มากขึ้น ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ทั้งด้วยการเขียน การพูด และการอบรม แม้ว่างานที่ข้าพเจ้าทำค่อนข้างหลากหลาย ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ สันติวิธี และการพัฒนา แต่ล้วนมีมิติด้านจิตใจเป็นพื้นฐานหรือแกนกลางทั้งสิ้น การให้ความสำคัญแก่งานเหล่านี้ มีส่วนสำคัญทำให้ข้าพเจ้าอยู่ในเพศบรรพชิตอย่างต่อเนื่อง ผลก็คือ แทนที่จะบวชแค่ ๓ เดือนตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก ก็ล่วงเลยมาจนบัดนี้เป็นเวลา ๓๐ ปีแล้ว

    มาย้อนคิดดู ความเครียดจนเริ่มเสียศูนย์ในวัยเบญจเพสนั้นมีคุณประโยชน์อย่างมาก เพราะเป็นแรงผลักดันให้ข้าพเจ้าเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ และหันมามีวิถีชีวิตที่แตกต่างจากเดิมอย่างแทบจะสิ้นเชิง หากข้าพเจ้าไม่มีปัญหาชีวิตในครั้งนั้น ป่านนี้ข้าพเจ้าคงยังครองเพศคฤหัสถ์ และมีชีวิตที่รุ่มร้อนและเหนื่อยล้า อีกทั้งยังไม่แน่ว่าจะสามารถบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมได้กี่มากน้อย

    หลายปีที่ผ่านมาข้าพเจ้าพบว่า “สงบเย็น” กับ “เป็นประโยชน์”นั้นสัมพันธ์กันมาก ในด้านหนึ่งความสงบเย็นช่วยให้สามารถทำประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ได้อย่างต่อเนื่อง และไม่ผิดเพี้ยนผันแปรกลายเป็นการสนองกิเลสส่วนตน หรือกลายเป็นการเบียดเบียนผู้อื่น ดังมีตัวอย่างมากมายที่ชี้ว่าหากปราศจากความสุขด้านในแล้ว ก็ง่ายที่จะหันไปแสวงหาความสุขจากทรัพย์ อำนาจ และเกียรติยศ จนตกเป็นทาสของมัน และทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา โดยอ้างว่าเป็นการทำเพื่อส่วนรวม เกิดแรงจูงใจที่จะคดโกงหรือใช้อำนาจไปในทางมิชอบ รวมไปถึงการทำร้ายคนที่ขัดขวางการตักตวงผลประโยชน์ของตน

    ในอีกด้านหนึ่ง การคำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวม ก็ช่วยกระตุ้นให้พร้อมที่จะเสียสละประโยชน์สุขส่วนตนเพื่อผู้อื่น เป็นแรงผลักดันให้ลดละตัวตน หรือคลายความยึดมั่นในตัวกูของกู กิเลสที่เบาบางนั้นย่อมช่วยให้พบกับความสงบเย็นได้ง่าย อย่างน้อย ๆ เมื่อใส่ใจกับความทุกข์ของคนอื่น ก็จะรู้สึกว่าความทุกข์ของตนเองเป็นเรื่องเล็ก ในทางตรงข้ามคนที่คิดถึงแต่ตัวเอง ไม่คิดจะทำอะไรเพื่อผู้อื่นเลย แม้มีความทุกข์เกิดขึ้นกับตนเองเพียงเล็กน้อย ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงกลายเป็นคนที่ทุกข์ง่าย และสุขยาก

    จะว่าไปแล้วความสงบเย็นที่แท้จริงนั้น จะรู้ได้ชัดเจนก็จากการออกไปรับแรงกระทบจากภายนอก หากยังสงบนิ่งอยู่ได้ ก็แสดงว่าเป็นความสงบเย็นที่มาจากภายใน เนื่องจากได้ลดละกิเลสหรือตัวตนลงได้ หากยังหวั่นไหว ใจกระเพื่อม หรือรุ่มร้อน ก็แสดงว่า เป็นความสงบเย็นแบบเทียม ๆ ซึ่งอาจเกิดจากการหลบลี้หนีปัญหา หรือแวดล้อมด้วยคนที่เอาใจตน ไม่มีใครมาขัดใจให้ขุ่นเคือง สำหรับคนที่ไม่แน่ใจว่าความสงบเย็นที่เกิดกับตนนั้นมาจากภายในหรือภายนอก การออกไปทำประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ที่ทุกข์ยาก เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้พบคำตอบ ขณะเดียวกันก็สามารถขัดเกลากิเลสหรือลดละตัวตนให้เบาบาง จนพบกับความสงบเย็นที่แท้เพิ่มขึ้นได้

    ข้าพเจ้านั้นเริ่มต้นจากการพยายามทำประโยชน์แก่ส่วนรวม ต่อมาจึงเห็นความสำคัญของการลดละกิเลสและฝึกฝนใจให้สะอาด สงบเย็น และเป็นสุข ต่างจากหลายคนที่เริ่มต้นจากการมุ่งขัดเกลาตนเอง แต่ในที่สุดก็ตระหนักถึงความสำคัญของการช่วยเหลือผู้อื่น เพราะเมตตากรุณาเบ่งบานขึ้นในจิตใจ หาไม่ก็เป็นเพราะเห็นว่าการทำเช่นนั้นจะช่วยฝึกฝนตนให้เห็นแก่ตัวน้อยลงหรือมีความมั่นคงในจิตใจมากขึ้น

    ชีวิตข้าพเจ้ามีจุดเปลี่ยนมากมายหลายวาระ แต่การเปลี่ยนแปลงทุกครั้งล้วนเป็นคุณที่หนุนเนื่องให้เกิดการพัฒนาตนเป็นลำดับ แม้วัดจากค่านิยมของผู้คนทั่วไป เป็นการถดถอยหรือหนีห่างจากความเจริญที่โลกยึดถือ ( คือ ความร่ำรวย มีการงานที่มั่นคง มีตำแหน่งสูงส่ง มากด้วยบริษัทบริวาร)ไกลขึ้นทุกทีก็ตาม เมื่อใคร่ครวญดูข้าพเจ้าคิดว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ช่วยให้ชีวิตข้าพเจ้าเมื่อถึงจุดเปลี่ยน ก็ไม่ใช่การหันเหไปในทางที่ตกต่ำ นอกจากครูบาอาจารย์และกัลยาณมิตรที่ให้ข้อคิดและความเห็นอันเป็นประโยชน์มาโดยตลอดแล้ว ที่มองข้ามไม่ได้ก็คือ คุณค่าหลายประการที่ถูกปลูกฝังมาแต่เล็ก

    ตั้งแต่เล็กทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน ข้าพเจ้าถูกปลูกฝังให้มีวินัยและความขยันขันแข็ง โยมแม่จะคอยดูแลและเคี่ยวเข็นให้ลูก ๆ กินข้าวและนอนเป็นเวลา ไม่ว่าจะไปเล่นที่ไหนหากเลยเวลาก็จะได้ยินเสียงโยมแม่เรียกให้กินข้าว อาบน้ำ และเข้านอน (ในสมัยที่เรายังไม่มีโทรทัศน์ที่บ้าน การเข้านอนเป็นเวลาดูจะไม่ใช่เรื่องยากเท่ากับสมัยนี้) แม้โยมพ่อจะไม่ค่อยใกล้ชิดกับลูก แต่ถ้าถึงช่วงสอบ ลูก ๆ จะถูกบังคับให้อ่านหนังสือเตรียมตัวสอบทั้งวัน ไปเล่นที่ไหนไม่ได้ แต่ความเข้มงวดที่บ้านนั้นเทียบไม่ได้กับที่โรงเรียน ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องความเจ้าระเบียบ (โดยเฉพาะการตรงต่อเวลาและความสะอาด) อีกทั้งยังเอาจริงเอาจังเรื่องการเรียน นักเรียนถูกฝึกให้ขยันด้วยการทำการบ้านมาก ๆ จึงเป็นธรรมดาที่เมื่อนักเรียนกลับบ้าน อย่างแรกที่ต้องทำหรือนึกถึง คือ การบ้าน เพราะหากละเลยหรือบกพร่อง เป็นต้องถูกตีในวันรุ่งขึ้น ๑๒ ปีที่อัสสัมชัญทำให้ความมีวินัยและความขยันขันแข็งฝังอยู่ในนิสัยของข้าพเจ้า ซึ่งนอกจากช่วยให้ครองตนหรือคุมอารมณ์ของตนได้ดีขึ้นแล้ว ยังช่วยให้ไม่กลัวความยากลำบาก บ่อยครั้งแม้จะประสบอุปสรรค ทั้ง ๆ ที่สติปัญญาไม่มาก แต่อาศัยใจสู้ พึ่งความเพียรเป็นหลัก ก็สามารถฟันฝ่าจนลุล่วงไปด้วยดี

    มีอีกหลายอย่างที่ข้าพเจ้าได้รับจากโรงเรียน ที่สำคัญก็คือ ความซื่อสัตย์สุจริต ความสมถะและความเสียสละ คุณธรรมเหล่านี้ข้าพเจ้าได้เห็นจากครูทั้งที่เป็นนักบวช(คาทอลิก)และฆราวาส ซึ่งแสดงให้ประจักษ์อยู่ตลอดเวลา นักบวชหลายท่านเป็นชาวต่างชาติแต่มาอุทิศชีวิตให้แก่ยุวชนไทยจนวาระสุดท้ายของชีวิต โดยที่ทุกท่านอยู่อย่างเรียบง่าย เป็นแบบอย่างได้เช่นเดียวกับครูหลายท่านที่สอนพวกเราอย่างทุ่มเทจนวัยชรา โดยไม่สนใจเรื่องเงินทองเลย ยังไม่ต้องพูดถึงศิษย์เก่าอีกนับไม่ถ้วน ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นชื่อที่ข้าพเจ้าคุ้นแต่เล็ก เช่นเดียวกับอีกหลายท่านที่คนยุคนี้คงลืมไปแล้ว

    คุณธรรมเหล่านี้ (รวมทั้งความมีวินัย และความขยันหมั่นเพียร) แม้คนยุคนี้จะมองว่าเป็นสิ่งพื้น ๆ คร่ำครึ หรือ “เชย” ไม่แปลกใหม่ทันสมัยเท่ากับ ความเป็นตัวของตัวเอง การมีความคิดสร้างสรรค์ ความกล้าแสดงออก หรือความรักเสรีภาพ แต่ก็เป็นคุณค่าสากล ที่ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าโลกจะก้าวสู่ยุคโลกาภิวัตน์ หรือยุคดิจิตัล เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยประคับประคองให้ชีวิตสามารถเดินหน้าไปได้อย่างมั่นคง ไม่ว่าจะมีอุปสรรคมากมายเพียงใด อีกทั้งยังช่วยกำกับให้เดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง ไม่ก่อความทุกข์แก่ตนเองและผู้อื่น ไม่ว่าจะเลือกเส้นทางชีวิตสายใดก็ตาม จะมุ่งความสำเร็จทางโลก หรือหวังความก้าวหน้าทางธรรม คุณธรรมเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งจำเป็นเสมอ

    หากเปรียบชีวิตเหมือนการเดินทาง ข้าพเจ้าก็เดินมาไกลแล้ว แต่ยังต้องเดินต่อไป เพราะจุดหมายปลายทางยังอยู่อีกไกล นั่นคือ จิตใจที่ไกลจากกิเลส เข้าถึงความสงบเย็นเป็นอิสระอย่างแท้จริง บนทางสายนี้จุดเปลี่ยนยังสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ แต่ไม่ว่าชีวิตจะเปลี่ยนไปอย่างไรก็หวังว่าจะยังคงแน่วแน่ในจุดหมายดังกล่าวอยู่เสมอ
    :- https://visalo.org/article/prawutAPatipata.html
    , EndLineMoving.gif



     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    อันตรายที่ไม่ได้มาจากศัตรู
    พระไพศาล วิสาโล
    ย้อนหลังเมื่อ ๙๐ ปีที่แล้ว โลกทั้งโลกประสบมหันตภัยจากโรคระบาดที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ไข้หวัดใหญ่ซึ่งอุบัติขึ้นเมื่อปี ๒๔๖๑ และสลายไปในอีก ๒ ปีต่อมาได้คร่าชีวิตผู้คนทุกมุมโลกไม่น้อยกว่า ๕๐ ล้านคน (บ้างว่าอาจสูงถึง ๑๐๐ ล้านคน) แม้แต่กาฬโรคที่กวาดชีวิตผู้คนถึง ๑ ใน ๔ ของยุโรปเมื่อ ๗ ศตวรรษที่แล้ว ยังสังหารมนุษย์ได้ไม่มากเท่านี้

    ไข้หวัดใหญ่ครั้งนั้นเป็นไวรัสสายพันธุ์ H1N1 (ชนิดเดียวกับที่ระบาดในขณะนี้) ความที่ผู้คนเวลานั้นไม่มีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสสายพันธุ์นี้เลย มันจึงสามารถสังหารผู้คนจนล้มตายเป็นเบือในเวลาที่รวดเร็วมาก ไม่เคยมีไวรัสสายพันธุ์ใดที่มีอานุภาพร้ายแรงขนาดนั้นมาก่อน ที่น่าสังเกตก็คือเกือบครึ่งของผู้ตายเป็นหนุ่มสาวอายุระหว่าง ๒๐-๓๐ ปี ซึ่งจัดว่าเป็นวัยฉกรรจ์ที่มีสุขภาพดีกว่าประชากรกลุ่มอื่น ประมาณกันว่า ร้อยละ ๘-๑๐ ของคนหนุ่มสาวที่มีชีวิตอยู่ในเวลานั้นล้มตายเพราะไวรัสตัวนี้

    มีหลายคนที่ป่วยและเสียชีวิตอย่างรวดเร็วเพราะไวรัสสายพันธุ์นี้ หลายรายเสียชีวิตภายใน๖-๑๒ ชั่วโมงที่เกิดอาการ แต่ยังมีที่ตายเร็วกว่านั้นอีก ชายบราซิลผู้หนึ่งเล่าว่าเช้าวันหนึ่งมีคนมาสอบถามเขาขณะกำลังรอรถราง น้ำเสียงของเขาดูเป็นปกติ แต่จู่ ๆ ก็ล้มลงและสิ้นลม อีกคนเป็นชาวแอฟริกาใต้เล่าว่าขณะที่กำลังนั่งรถรางกลับบ้าน จู่ ๆ พนักงานเก็บเงินก็ล้มพังพาบและตายคาที่ เมื่อนั่งรถไปได้ ๕ กม.ต่อมา อีก ๖ คนบนรถรางรวมทั้งคนขับก็ตายด้วย สุดท้ายเขาต้องลงรถและเดินกลับบ้านคนเดียว

    เป็นเวลานานนับสิบปีกว่าเราจะรู้ว่าโรคระบาดครั้งนั้นเกิดจากไวรัสไข้หวัดใหญ่ และนานกว่านั้นกว่าจะรู้ว่ามันเป็นอันตรายต่อผู้คนได้อย่างไร คำตอบที่หลายคนนึกไม่ถึงก็คือ จริง ๆ แล้วผู้คนไม่ได้ตายเพราะเชื้อไวรัสตัวนี้ แต่ตายเพราะภูมิคุ้มกันของตัวเอง ปอดของผู้ตายถูกทำลายก็เพราะการโจมตีของเม็ดเลือดขาวนานาชนิดที่ตื่นตกใจเมื่อรู้ว่ามีไวรัสแปลกปลอมเข้ามา โปรตีนที่เกิดจากเม็ดเลือดขาวเหล่านี้รวมทั้งเอ็นไซม์นานาชนิดถูกระดมเพื่อจัดการกับไวรัส แต่สิ่งที่ตามมาคือเส้นเลือดฝอยรวมทั้งเซลล์ในปอดถูกทำลายขนานใหญ่ ผลก็คือเลือดและของเหลวนานาชนิดท่วมปอด จนหายใจไม่ได้ นอกจากนั้นยังเกิดการอักเสบในปอดอย่างรุนแรง ราวกับว่าปอดถูกเผาข้างใน ทั้งหมดนี้เพื่อจุดหมายประการเดียวเท่านั้นคือทำลายไวรัสแปลกปลอมไม่ให้เหลือ แต่การทำงานอย่างบ้าระห่ำและดุเดือดของภูมิคุ้มกัน ก็พลอยทำให้เจ้าของร่างตายตามไวรัสไปด้วย

    ยิ่งอยู่ในวัยฉกรรจ์ มีกำลังวังชาดี ภูมิคุ้มกันก็ยิ่งเข้มแข็ง ทำงานได้เด็ดขาดว่องไว นี้คือคำตอบว่าเหตุใดผู้ที่ตายจากโรคระบาดครั้งนั้นเกือบครึ่งจึงเป็นหนุ่มสาว ปฏิกิริยาของภูมิคุ้มกันที่ทำงานอย่างตื่นตระหนกและบ้าระห่ำนี้ อาจเปรียบได้กับกองกำลังติดอาวุธที่ถูกส่งมาจัดการกับแก๊งโจรเรียกค่าไถ่ที่ซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้าน สิ่งที่เกิดขึ้นคือกองกำลังดังกล่าวกระหน่ำใส่โจรด้วยอาวุธนานาชนิด ทั้ง M16 , M79 รวมทั้งทิ้งระเบิดจากเครื่องบิน ผลคือโจรตาย แต่ตัวประกันก็ตายด้วย แถมหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านยังพังพินาศ

    ปัญหาหรือศัตรูนั้น บ่อยครั้งกลับน่ากลัวหรืออันตรายน้อยกว่าวิธีที่ใช้จัดการกับปัญหาหรือศัตรูเสียอีก เมื่อใดที่ขาดสติ ตื่นตระหนก หรือใช้ความรุนแรงเกินขอบเขตแล้ว การแก้ไขปัญหาหรือกำจัดศัตรูก็อาจสร้างปัญหาใหม่ ๆ ที่ร้ายแรงหรืออันตรายยิ่งกว่าศัตรูตัวนั้น ปัญหาที่เกิดจากปฏิกิริยาเกินขอบเขต (หรือที่เรียกว่า over-reaction) มิได้เกิดขึ้นกับร่างกายของเราเมื่อมีไวรัสแปลกปลอมบุกเข้ามาเท่านั้น หากยังเห็นได้ทั่วไปทั้งในวิถีชีวิตของผู้คนและปรากฏการณ์ทางสังคม หลายคนมองว่าความอ้วนเป็นปัญหา แต่วิธีที่ตนใช้ลดความอ้วนนั้นกลับเป็นอันตรายต่อตัวเองยิ่งกว่าความอ้วนเสียอีก เมื่อเจอคนพูดโทรศัพท์รบกวนสมาธิของเราขณะดูหนัง การจัดการกับเขาด้วยการตะโกนด่าเขากลางโรงหนัง ไม่เพียงสร้างปัญหาที่หนักกว่าเดิมให้แก่เราเท่านั้น หากยังทำให้เรากลายเป็นตัวปัญหาที่แย่ยิ่งกว่าคน ๆนั้นเสียอีก เช่นเดียวกับคนบางคนที่คัดค้านการทำแท้งเพราะเห็นว่าเป็นการฆ่าอย่างหนึ่ง แต่เมื่อต่อต้านเท่าไรก็ไม่เป็นผล ก็คว้าปืนกระหน่ำยิงหมอกลางคลีนิคทำแท้งจนตายคาที่

    ในทางสังคมหรือการเมืองก็เช่นเดียวกัน การจัดการกับผู้ที่เป็น “ภัยสังคม” หรือ “ศัตรูของชาติ” บ่อยครั้งลงเอยด้วยการที่ทำให้สังคมหรือชาตินั้นมีอาการเพียบหนักกว่าเดิม เพราะวิธีการที่ใช้กำจัดภัยสังคมหรือศัตรูของชาตินั้น กลับมาทำร้ายสังคมหรือชาติของตนเสียเอง (เช่น กำจัดผู้นำที่คุกคามประชาธิปไตย ด้วยการรัฐประหารโค่นล้มเขา แต่ก็ทำให้ระบอบประชาธิปไตยถูกล้มล้างไปด้วย) เป็นความพ้องพานที่น่าสนใจ เพราะในช่วงเดียวกับที่ผู้คนทั่วโลกพากันล้มตายเพราะภูมิคุ้มกันของตัวเองที่มุ่งกำจัดไข้หวัดใหญ่อย่างบ้าระห่ำนั้น ในสหรัฐอเมริกา (ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นต้นตอของโรคระบาดครั้งนั้น)ประชาชนก็พากันเดือดร้อนจากการกระทำของรัฐบาลของตนที่มุ่งจัดการกับศัตรูของชาติอย่างไม่ลืมหูลืมตา

    ช่วงที่เกิดโรคระบาดทั่วโลกนั้น สหรัฐกำลังทำสงครามกับเยอรมัน เยอรมันถูกวาดภาพว่าเป็นตัวชั่วร้ายประธานาธิบดีวูดโร วิลสันประกาศว่าการต่อสู้กับเยอรมันเป็นหน้าที่ทางศีลธรรมหรือหน้าที่ทางศาสนาเลยทีเดียว เพราะอเมริกาเป็นแบบอย่างของ “การอุทิศตนเพื่อความถูกต้องที่ได้รับการเผยแสดงจากพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์” เขายังกล่าวอีกว่า เขาจะไม่ร่ำร้องคำว่า สันติภาพ “ตราบใดที่ยังมีบาปหรือความชั่วร้ายอยู่ในโลกนี้”
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    (ต่อ)
    ในนามของความถูกต้อง ประธานาธิบดีวิลสันประกาศว่า เมื่อทำสงครามกับเยอรมัน ประชาชนอมริกันจะต้อง “ลืมว่าเคยมีสิ่งที่เรียกว่าความอดกลั้น เมื่อจะต่อสู้ คุณต้องโหดเหี้ยมและดุร้าย จิตวิญญาณแห่งความโหดเหี้ยมดุร้ายจะต้องอยู่ในสายเลือดของชีวิตประชาชาติเรา แผ่ซ่านรัฐสภา ศาล ตำรวจ และผู้คนบนท้องถนน”

    สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือการออกกฎหมายระงับสิทธิเสรีภาพของประชาชน กล่าวคือห้ามพูด เขียน หรือพิมพ์ข้อความที่วิจารณ์ ดูหมิ่น หรือแสดงความไม่ภักดี ต่อรัฐบาล ผู้ละเมิดมีโทษจำคุก ๒๐ ปี แม้แต่การเรียกร้องสันติภาพก็ถูกสั่งห้าม ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนหนึ่งถึงกับถูกตัดสินจำคุก ๑๐ ปีข้อหาต่อต้านสงคราม ขณะที่สมาชิกรัฐสภาคนหนึ่งถูกตัดสินจำคุก ๒๐ ปีด้วยข้อหาเดียวกัน ประชาชนทั่วประเทศถูกปลุกระดมให้รายงานเจ้าหน้าที่รัฐหากเห็นใคร “เผยแพร่เรื่องราวที่ทำให้มองโลกในแง่ร้าย....เรียกร้องสันติภาพ หรือ ดูแคลนการทำสงครามของเรา” ส่วนทนายความที่ว่าความให้กับผู้ต่อต้านสงคราม ถูกกล่าวหาว่าเป็น “คนไม่รักชาติ” ขณะเดียวกันหลายรัฐได้ห้ามสอนภาษาเยอรมัน มีการกล่าวหาถึงขั้นว่า “ร้อยละ ๙๐ ของหญิงและชายที่สอนภาษาเยอรมันเป็นคนทรยศ”
    สิทธิเสรีภาพเป็นรากฐานของสังคมอเมริกัน และเป็นคุณค่าสูงสุดที่ชาวอเมริกันภาคภูมิใจ แต่แล้วสิทธิเสรีภาพดังกล่าวก็ถูกบ่อนทำลาย ไม่ใช่เพราะการกระทำของเยอรมัน แต่เป็นด้วยน้ำมือของรัฐบาลอเมริกันเอง ยิ่งคิดจะห้ำหั่นศัตรูมากเท่าไร ก็กลับทำร้ายตัวเองมากเท่านั้น เป็นเพราะความโกรธเกลียดชิงชังอย่างรุนแรงนี้เอง จึงไม่เพียงมีอคติ เห็นคนที่คิดต่างจากตนเป็นผู้ทรยศหรือศัตรูของชาติไปหมด หากยังขาดสติถึงขั้นที่ทำสิ่งที่เป็นผลร้ายต่อตนเอง

    ที่น่าคิดก็คือขณะที่รัฐบาลอเมริกันประกาศว่ากำลังต่อสู้กับ “ความชั่วร้าย”เพื่อพิทักษ์ความถูกต้อง แต่กลับใช้วิธีการอันชั่วร้ายนั้นเสียเอง ทั้งกับเยอรมันและกับประชาชนของตน นั่นคือใช้วิธีการที่ “โหดเหี้ยมดุร้าย” อย่างไม่ต้องอดกลั้นหรือยั้งมือ ใช่หรือไม่ว่ายิ่งเชื่อมั่นในความถูกต้องชอบธรรมของตนมากเท่าไร ก็ยิ่งง่ายที่จะใช้วิธีเลวร้ายมากเท่านั้น ก็ในเมื่อเราเป็นฝ่ายถูกต้องเสียแล้ว จะทำอะไรก็ถูกทั้งนั้น และในเมื่ออีกฝ่ายเป็นตัวเลวร้าย จะจัดการกับ “มัน”ด้วยวิธีการใดก็ถือว่าถูกต้องชอบธรรมทั้งสิ้น

    ความยึดติดถือมั่นในความเห็นของตนว่าถูกต้อง หรือสำคัญมั่นหมายว่าฉันอยู่เหนือกว่าไม่ว่าในทางศีลธรรม อำนาจ หรือความรู้ ฯลฯ คือสิ่งที่พุทธศาสนาเรียกว่า ทิฏฐิและมานะ ซึ่งมีความยึดติดถือมั่นในอัตตาเป็นรากเหง้า และดังนั้นจึงสามารถชักนำเราให้ทำสิ่งที่เลวร้ายในนามของเหตุผลอันสวยหรูได้เสมอ

    อะไรก็ตามที่ทำด้วยแรงผลักดันของทิฎฐิมานะหรือตัวตน ย่อมคลาดเคลื่อนจากความถูกต้องและก่อผลเสียทั้งต่อตนเองและส่วนรวมได้ง่าย ด้วยเหตุนี้เมื่อใดก็ตามที่เราต่อสู้กับยักษ์มารหรือความชั่วร้าย หากไม่รู้เท่าทันทิฏฐิมานะของตน เราก็จะกลับกลายเป็นยักษ์มารเสียเอง รวมทั้งใช้วิธีการอัน “โหดเหี้ยมดุร้าย” ที่กลับมาเป็นผลร้ายกับตัวเองและส่วนรวม

    วันนี้คนไทยทั้งประเทศกำลังเครียดและเต็มไปด้วยความโกรธเกลียด เพราะเห็นคนชั่วร้ายหรือศัตรูของชาติเต็มไปหมด คนเหล่านี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคนที่ใส่เสื้อคนละสีกับเรา ซึ่งอาจอยู่ในบ้าน ที่ทำงาน หรือตรอกเดียวกันด้วยซ้ำ ในเมื่อสำคัญมั่นหมายอย่างแน่นอนแล้วว่า “พวกเราถูก” “พวกมันผิด” ทุกคนก็พร้อมจะห้ำหั่นชนิดตาต่อตา ฟันต่อฟัน (แต่ไม่ลืมที่จะบอกว่าฉันเอา “ธรรมนำหน้า”) แต่เราลืมไปแล้วหรือว่า ศัตรูนั้นไม่น่ากลัวหรืออันตรายเท่ากับวิธีการที่เราใช้จัดการกับศัตรู หากใช้วิธีการที่โหดเหี้ยมดุร้าย อย่างไร้สติหรือความอดกลั้น ผลร้ายก็อาจสะท้อนกลับมาทำร้ายเราเองตลอดจนสถาบันและประเทศชาติที่เรารัก มันทำร้ายเราก็ด้วยการสุมเพลิงแห่งความโกรธเกลียดเผาลนใจของเรา และทำให้เรากลายเป็นยักษ์มาร (ที่อาจจะโหดเหี้ยมดุร้ายยิ่งกว่าศัตรูที่เราหมายกำจัดด้วยซ้ำ) มันทำร้ายสถาบันที่เรารักก็ด้วยการดึงสถาบันนั้นให้ตกต่ำลง หรือทำให้พิกลพิการ มันทำร้ายประเทศชาติของเราด้วยการทำให้เกิดความวุ่นวายปั่นป่วนและอาจถึงขั้นนองเลือด ซึ่งอาจต้องใช้เวลานานนับสิบปีกว่าจะเยียวยาให้หายได้

    เราทุกคนล้วนมีความปรารถนาดีต่อชาติ พร้อมจะต่อสู้กับศัตรูที่หมายจ้องทำลายสถาบันและประเทศชาติของเรา แต่เราแน่ใจได้อย่างไรว่าเราจะไม่ทำตัวอย่างภูมิคุ้มกันที่พยายามกำจัดไข้หวัดใหญ่อย่างตื่นตระหนกและบ้าระห่ำ จนทำให้เจ้าของร่างถึงแก่ความตาย

    ๑๗ พฤษภาคม เมื่อ ๑๗ ปีที่แล้ว ทหารหลายกองพันถูกสั่งให้มาปราบปราม “ศัตรูของชาติ”ที่ชุมนุมเต็มถนนราชดำเนิน แต่การใช้อาวุธสงครามกับผู้ที่ชุมนุมโดยสงบ กลับทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้นจนเกือบเป็นมิคสัญญี การใช้ความรุนแรงเกินพิกัดเพื่อแก้ปัญหานั้น กลับทำให้เกิดความเสียหายเหลือคณานับต่อประเทศชาติ อีกทั้งยังทำให้สถานภาพของกองทัพตกต่ำอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา

    เห็นปัญหาอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีสติในการจัดการกับปัญหาด้วย และหากจะจัดการกับศัตรู เราแน่ใจได้อย่างไรว่าศัตรูที่แท้จริงนั้นมิได้ซุกซ่อนอยู่ในใจของเรานั่นเอง อันได้แก่ทิฏฐิมานะและความยึดติดในตัวตนจนหลงมั่นใจว่า “กูถูก” “มันผิด” ที่สำคัญก็คือ หากมั่นใจว่า “มัน”คือยักษ์มาร เรามีหลักประกันเพียงใดว่าขณะที่กำลังห้ำหั่นกับยักษ์มาร เราจะไม่กลายเป็นยักษ์มารเสียเอง รวมทั้งไม่ทำให้บ้านเมืองเสียหายยับเยินด้วยน้ำมือของเราเองด้วย

    เมื่อใดก็ตามที่เห็นคนอื่นเป็นตัวปัญหา อย่างแรกที่พึงทำก็คือ ระมัดระวังมิให้เรากลายเป็นตัวปัญหาไปกับเขาด้วย

    :- https://visalo.org/article/matichon255205.htm
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    กฎแห่งกรรมกับความเป็นธรรม
    พระไพศาล วิสาโล
    ทำไมคนดีถึงยากจน แต่คนชั่วกลับร่ำรวย ? เหตุใดคนที่เสียสละเพื่อส่วนรวมถึงมีอายุสั้น แต่คนที่โกงกินบ้านเมืองกลับมีอายุยืน?

    ข้อความเหล่านี้มักถูกยกขึ้นมาเพื่อตั้งข้อสงสัยกับกฎแห่งกรรมว่า กฎนี้มีจริงหรือ และมีความเป็นธรรมเพียงใด ในทัศนะของคนจำนวนไม่น้อยสองประเด็นนี้สัมพันธ์กัน เพราะหากชี้ได้ว่ากฎแห่งกรรมไม่มีความเป็นธรรมก็แสดงว่ากฎนี้ไม่มีอยู่จริง

    คำถามก็คือ เราเข้าใจกฎแห่งกรรมว่าอย่างไร กฎแห่งกรรมในความเข้าใจของคนทั่วไป สรุปได้สั้น ๆ ว่า “ทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว” นัยยะที่มักพ่วงตามมาก็คือ ทำดีแล้วต้องรวยและอายุยืน ทำชั่วต้องยากจนและอายุสั้น เป็นต้น เพราะคนทั่วไปมองว่า รวยและอายุยืนนั้นคือ “ดี” ส่วนยากจนและอายุสั้นคือ “ไม่ดี”

    ไม่ผิดหากจะกล่าวว่ากฎแห่งกรรมหมายถึง “ทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว” เพราะข้อความนี้มาจากพุทธศาสนสุภาษิตในพระไตรปิฎก แต่ข้อความนี้ไม่ได้มาโดด ๆ ข้อความที่มาก่อนหน้านั้นก็คือ “หว่านพืชเช่นใด ได้ผลเช่นนั้น” ความหมายก็คือหากปลูกมะม่วง ก็ได้มะม่วง ปลูกมะพร้าว ก็ได้มะพร้าว เป็นอื่นไปไม่ได้ นี้คือกฎธรรมชาติที่พุทธศาสนาเรียกว่า “พีชนิยาม” หรือกฎธรรมชาติเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตและการสืบพันธุ์

    ในทัศนะของพุทธศาสนา พีชนิยามกับกฎแห่งกรรม (ซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่า “กรรมนิยาม”) มีสถานะเท่ากัน คือเป็นกฎธรรมชาติเหมือนกัน และมีความเป็นสากล ไม่ขึ้นอยู่กับการบังคับควบคุมของมนุษย์ ปลูกมะม่วง ย่อมได้มะม่วงฉันใด ทำดีย่อมได้ดีฉันนั้น แต่ “ดี” ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่ารวยหรืออายุยืน เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการบอกว่า ปลูกมะม่วงย่อมได้เงินดี

    ใคร ๆ ก็รู้ว่าปลูกมะม่วงแล้วไม่จำเป็นต้องได้เงินดี เพราะเงินจะดีหรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับราคาของมะม่วงในตลาดว่าสูงหรือต่ำ และยังต้องขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของพ่อค้าคนกลาง ตลอดจนความสามารถของลูกค้าในการเข้าถึงสวนมะม่วง เป็นต้น ปัจจัยเหล่านี้อยู่นอกเหนือกฎธรรมชาติหรือพีชนิยาม แต่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในสังคม ซึ่งแปรเปลี่ยนตลอดเวลาและมีมนุษย์เป็นตัวกำหนดที่สำคัญ

    ปลูกมะม่วงไม่ได้แปลว่าต้องได้เงินดีฉันใด ทำดีก็ไม่ได้หมายความว่าต้องรวยฉันนั้น แต่ที่แน่ใจก็ได้ก็คือ ปลูกมะม่วงก็ต้องได้มะม่วง (หากปลูกถูกต้อง) ทำดีก็ต้องได้ดี (หากทำดีถูกต้อง) ดีในที่นี้หมายถึงผลดีที่เกิดขึ้นกับจิตใจ บุคลิกนิสัย และส่งผลถึงการกระทำ เช่น ทำให้จิตใจสงบเย็น โปร่งเบา ส่วนผลที่นอกเหนือจากนั้น เช่น รายได้ สุขภาพ ชื่อเสียงเกียรติยศ ยังต้องขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยอีกมากมาย เช่น ความสามารถในการประกอบอาชีพและการจับจ่ายใช้สอยของคนผู้นั้น รวมทั้งพฤติกรรมของคนรอบข้าง ค่านิยมของสังคม สภาวะเศรษฐกิจในเวลานั้น ฯลฯ

    ชอบทำบุญ ทอดกฐินทอดผ้าป่าเป็นประจำ แต่ขณะขับรถกลับจากต่างจังหวัด เกิดหลับในขึ้นมา จึงขับชนเสาไฟฟ้าถึงแก่ชีวิต ในกรณีเช่นนี้ย่อมไม่อาจพูดได้ว่าทำดีแล้วทำไม่ไม่ได้ดี เพราะการขับรถอย่างปลอดภัยนั้นต้องอาศัยสติด้วย ไม่ได้อยู่ที่ว่าเป็นคนใจบุญอย่างเดียว ในทำนองเดียวกัน ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ไม่โกงไม่กิน แต่ชอบกินอาหารที่เต็มไปด้วยไขมัน แถมไม่ออกกำลังกาย อีกทั้งยังเครียดจากที่ทำงาน เส้นเลือดในสมองจึงแตก กลายเป็นอัมพาต นอนซมอยู่ที่บ้านช่วยตัวเองไม่ได้ กรณีอย่างนี้ก็ไม่อาจพูดได้เช่นกันว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี เพราะสุขภาพนั้นจะดีหรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการบริโภคและการใช้ชีวิตด้วย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความซื่อสัตย์สุจริตอย่างเดียว

    ชอบทำบุญแต่ตายเพราะอุบัติเหตุ หรือซื่อสัตย์แต่กลับเป็นอัมพาต จึงไม่ได้หมายความว่ากฎแห่งกรรมไม่มีจริง ทั้งยังพูดไม่ได้ด้วยว่ากฎแห่งกรรมไร้ความเป็นธรรม เพราะเป็นคนละเรื่องกัน กฎแห่งกรรมนั้นเป็นกฎธรรมชาติ ส่วนความเป็นธรรมนั้นเป็นเรื่องที่มนุษย์นิยามเอาเอง แค่ไหนจึงเรียกว่าความเป็นธรรม เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันได้มาก ผู้คนมักคิดว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมก็ต่อเมื่อพบว่าตนเองได้น้อยกว่าคนอื่น (เช่นได้แจกผ้าห่มน้อยกว่า หรือได้เงินเดือนและโบนัสน้อยกว่า) แต่หากตนเองได้มากกว่าคนอื่น มีใครบ้างที่จะโวยวายว่ามีความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้น ความไม่เป็นธรรมจึงไม่ได้แปลว่าความไม่เท่าเทียม แต่มักแปลว่าฉัน(หรือพวกของฉัน)ได้น้อยกว่าคนอื่น

    คำว่า “ธรรม”ในพุทธศาสนาแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ประเภทแรกคือสัจธรรม หมายถึงความจริงหรือกฎธรรมชาติ ส่วนจริยธรรม นั้นเป็นการเอาความจริงหรือกฎธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยจัดวางเป็นวิธีการ หรือกำหนดเป็นคุณค่าหรือคุณธรรมที่พึงยึดถือ เพื่อนำไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์อย่างถูกต้องตามกฎธรรมชาติ เช่น มรรคมีองค์ ๘ ไตรสิกขา เมตตากรุณา สันโดษ อหิงสา ความใจกว้าง และ การเคารพสิทธิของผู้อื่น เป็นต้น

    มองในแง่นี้ กฎแห่งกรรม จัดว่าเป็นเรื่องสัจธรรม ส่วน ความเป็นธรรม หรือ ความยุติธรรม จัดเป็นเรื่องจริยธรรม การแยกเช่นนี้จะช่วยให้เห็นว่า ความเป็นธรรม หรือความยุติธรรมนั้น เป็นคุณค่าหรือคุณธรรมที่ควรทำให้เกิดมีขึ้น (ไม่ว่าในระดับบุคคลหรือสังคมก็ตาม) มิใช่กฎธรรมชาติโดยตัวมันเอง แต่ก็อิงอาศัยกฎธรรมชาติ โดยเฉพาะกฎแห่งกรรม ทั้งนี้เพื่อเป็นแนวทางให้เกิดจิตที่เป็นกุศลหรือสร้างเงื่อนไขทางสังคมที่เกื้อกูลต่อความสงบสุขและชีวิตที่ดีงาม เป็นต้น

    ในฐานะสัจธรรม กฎแห่งกรรม เป็นสิ่งที่เป็นกลาง ๆ ไม่ดีไม่ชั่วในตัวมันเอง อยู่นอกเหนือการควบคุมของมนุษย์ มนุษย์จะรับรู้ว่ามีกฎนี้หรือไม่ก็ตาม มันก็ยังทำงานของมันอยู่นั่นเอง แต่ในฐานะจริยธรรม ความเป็นธรรม เป็นสิ่งซึ่งมนุษย์ต้องทำให้เกิดมีขึ้น รวมทั้งต้องตกลงให้แน่ชัดว่ามีความหมายอย่างไร ในเมื่อความเป็นธรรมเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับการตีความ กฎแห่งกรรม จะ “เป็นธรรม”เพียงใด จึงเป็นเรื่องที่มนุษย์เราตีความเอาเอง ดังนั้นจึงพบว่าในบางครั้งกฎแห่งกรรมก็ดูเหมือนเป็นธรรม แต่ในบางครั้งก็ไม่เป็นธรรม
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    (ต่อ)
    การแสวงหาความเป็นธรรมจากกฎแห่งกรรม มองในแง่หนึ่งก็ไม่ต่างจากการแสวงหาความยุติธรรมจากกฎอื่น ๆ ในธรรมชาติ เช่น กฎแห่งการเกิดโรคระบาด (ซึ่งจัดว่าเป็นพีชนิยามอย่างหนึ่ง) กฎนี้หากกล่าวอย่างสั้น ๆ (ซึ่งอาจดูหยาบสักนิด)ก็คือ โรคระบาดเกิดจากเชื้อโรค มิได้เกิดจากอำนาจลี้ลับ หรือจากสภาพอากาศ ใครที่ติดเชื้อโรค เช่น มาลาเรีย ไม่ว่า รวย หรือ จน เด็กหรือคนแก่ ขาวหรือดำ กษัตริย์หรือยาจก ล้วนต้องล้มป่วยหรือตายทั้งสิ้น มองในแง่นี้กฎนี้ก็นับว่ายุติธรรมอย่างยิ่ง แต่ในความเป็นจริงเราพบว่าคนที่ติดและตายเพราะโรคนี้ส่วนใหญ่เป็นคนจน และอยู่ในประเทศโลกที่สาม หลายคนเป็นเด็กน่ารัก และจำนวนไม่น้อยก็เป็นคนดี ในขณะที่นักการเมืองที่โกงกินบ้านเมืองแทบไม่มีใครตายเพราะโรคนี้เลย ทั้ง ๆ ที่บางคนหากตรวจเลือดก็พบเชื้อมาลาเรีย (เช่นเดียวกับอีกหลายคนที่มีเชื้อวัณโรคในร่างกาย แต่กลับไม่เป็นโรคนี้เลย ) เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะพูดได้ไหมว่ากฎนี้ไม่ยุติธรรม ตรงนี้เป็นเรื่องขึ้นอยู่กับการตีความ แต่ไม่ว่าจะตีความอย่างไร หรือถึงแม้จะสรุปว่ากฎนี้ไม่ยุติธรรม ก็ไม่ได้หมายความว่ากฎนี้ไม่มีอยู่จริง จะเป็นธรรมหรือไม่ ก็เป็นการตีความหรือให้ค่าของมนุษย์เอง แต่กฎนี้ไม่รับรู้ด้วย ยังคงทำงานต่อไปตามเหตุปัจจัยอยู่นั่นเอง

    การที่บางคนรักษาสุขภาพอย่างดี ไม่สูบบุหรี่ แต่กลับเป็นมะเร็งปอด ขณะที่หลายคนสูบบุหรี่มาตลอดแต่ไม่เป็นโรคนี้เลย ไม่ได้หมายความว่าบุหรี่กับมะเร็งปอดไม่เกี่ยวกัน การศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ชี้ชัดว่า สองอย่างนี้เกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน แต่ก็มีเหตุปัจจัยอื่น ๆ มาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งตอนนี้เรายังมีความรู้ที่จำกัด จึงไม่สามารถบอกได้แน่ชัดว่าทำไมบางคนไม่เป็นมะเร็งปอดทั้ง ๆ ที่สูบบุหรี่มาก แต่เท่าที่มีอยู่ตอนนี้ก็สามารถยืนยันได้แล้วว่าบุหรี่กับมะเร็งปอดนั้นเกี่ยวข้องกันอย่างมาก (อย่างน้อยก็มีผลในระดับเซล เช่น ทำให้เกิดเซลมะเร็งขึ้น แต่จะลุกลามเป็นเนื้อร้ายหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ อีกมาก)

    ความรู้ดังกล่าวทำให้สามารถระบุได้ว่าการไม่สูบบุหรี่เป็นปัจจัยหนึ่งในการส่งเสริมสุขภาพ ฉันใดก็ฉันนั้น ถึงแม้เรายังไม่รู้เหตุปัจจัยอื่น ๆ อย่างครบถ้วน ว่าเหตุใดบางคนที่ทำความดีมาตลอดจึงถูกฆ่าตายตั้งแต่อายุยังน้อย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า การทำความดีจะไม่ส่งผลดีต่อผู้กระทำ จริงอยู่ การไม่สูบบุหรี่มิได้เป็นหลักประกันเด็ดขาดว่าจะไม่ป่วยเป็นมะเร็งปอด ในทำนองเดียวกัน การทำความดีก็มิได้เป็นหลักประกันเด็ดขาดว่าจะไม่มีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับตน เพราะเหตุปัจจัยที่จะก่อให้เกิดสิ่งเลวร้ายกับตนนั้นมีอยู่มากมายนอกเหนือจากการกระทำของตนเองในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามการกระทำของตนเองก็เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดอย่างน้อยก็เป็นสิ่งซึ่งอยู่ในการควบคุมของเราได้

    กฎแห่งการเกิดโรคระบาด จะยุติธรรมหรือไม่ก็ตาม ก็ยังมีประโยชน์ หากเราเอาความรู้หรือความจริงจากกฎดังกล่าวมาใช้ในการป้องกันมิให้เกิดแหล่งเพาะเชื้อโรค ร่วมกันพัฒนายารักษาโรคขึ้นมา รวมทั้งรณรงค์ให้ผู้คนมีพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง ตลอดจนสามารถเข้าถึงยาได้อย่างสะดวก ฉันใดก็ฉันนั้น ถึงแม้กฎแห่งกรรมจะดูไม่เป็นธรรมในสายตาของเรา และถึงแม้การทำความดีจะไม่ใช่หลักประกันเด็ดขาดว่าจะไม่เกิดเหตุร้ายกับตน แต่ความจริงที่ว่ามีความสัมพันธ์เชื่อมโยงตามหลักเหตุปัจจัยระหว่างการทำความดีกับการเกิดคุณภาพจิตที่ดีและมีชีวิตที่ดี ความจริงดังกล่าวเราสามารถเอามาใช้ในการส่งเสริมให้ผู้คนทำความดี มีจริยธรรมต่อกัน อย่างน้อยก็ไม่นิ่งดูดายต่อความทุกข์ของผู้อื่นโดยอ้างว่าเป็น “กรรมของสัตว์” หรือ “กรรมใครกรรมมัน” ผู้ที่ทำเช่นนั้นนอกจากจะเข้าใจกฎแห่งกรรมผิดพลาดแล้ว ยังสร้างกรรมใหม่ที่เป็นอกุศล ซึ่งในที่สุดก็จะต้องก่อผลร้ายแก่ตนเองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

    :- https://visalo.org/article/matichon255108.htm
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    ศีลที่โลกยุคใหม่ต้องการ
    พระไพศาล วิสาโล
    ในเว็บไซต์ของ"สำนักข่าวชาวพุทธ" (www.budpage.com) เคยมีการตั้งคำถามถึงผู้อ่านว่า หากจะเลือกไข่สักฟองหนึ่งมาทำเป็นอาหาร จะเลือกฟองไหนระหว่างไข่สองฟองนี้ คือ ๑.ไข่จากไก่บ้านที่คุ้ยเขี่ยอาหารตามธรรมชาติ ๒. ไข่จากไก่ที่เลี้ยงในฟาร์มขนาดใหญ่แบบอุตสาหกรรม ปรากฏว่าส่วนใหญ่ของผู้ที่ตอบคำถามเลือกไข่ฟองที่ ๒ โดยให้เหตุผลว่าเป็นไข่ที่ไม่มีเชื้อ ดังนั้นกินแล้วย่อมไม่ผิดศีลข้อ ๑ ส่วนไข่ฟองแรกนั้น สาเหตุที่ไม่เลือกก็เพราะมีเชื้อ ใครกินเข้าไปย่อมเป็นปาณาติบาต

    ทัศนะดังกล่าวเป็นเรื่องน่าสนใจเพราะอาจจะสะท้อนความคิดเห็นของชาวพุทธส่วนใหญ่ในเมืองไทยเลยทีเดียว ประเด็นของเรื่องนี้อยู่ตรงที่ว่า ส่วนใหญ่ของผู้ที่ตอบคำถามนี้มองไม่เห็นว่า การกินไข่ฟองที่ ๒ นั้นก็มีส่วนทำให้เกิดการเบียดเบียนชีวิตอื่นด้วย เพราะเป็นการส่งเสริมการทารุณสัตว์ อีกทั้งยังทำให้เกิดพิษภัยต่อผู้คนและสิ่งแวดล้อมด้วย

    เป็นที่รู้กันว่าไก่ที่ถูกเลี้ยงในฟาร์มใหญ่ ๆ นั้นจะอยู่อย่างแออัดยัดเยียด และถูกบังคับให้กินตลอด ๒๔ ชั่วโมง เพราะมีการเปิดไฟให้สว่างจ้าตลอดเวลา ไก่เหล่านี้ภูมิต้านทานต่ำมาก เพราะร่างกายอ่อนแอจึงต้องกินยาฆ่าเชื้อ ซึ่งบ่อยครั้งก็ให้มากเกินไป จนร่างกายอ่อนแอ วันดีคืนดีก็อาจถูกขนทิ้งลงทะเล หากราคาตกต่ำจนไม่คุ้มทุน และไม่แน่ว่าหากมีโรคระบาด ก็อาจถูกฆ่าพร้อมกันเป็นแสน ๆ ล้าน ๆ อย่างในฮ่องกงเมื่อไม่นานมานี้ หรือในทำนองเดียวกับวัวยุโรปที่ถูกคุกคามด้วยโรควัวบ้าและเท้าเปื่อยปากเปื่อย

    นอกจากผลเสียต่อไก่โดยตรงแล้ว ฟาร์มไก่แบบอุตสาหกรรมยังอาจเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน เพราะฟาร์มเหล่านี้ก่อปัญหามลพิษมาก ไม่ว่าจากขี้ไก่จำนวนมหาศาลที่ถูกระบายลงน้ำ จนน้ำเสีย หรือจากยาและสารเคมีต่าง ๆ ที่ยัดใส่ไก่ทุกตัว จนเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ยังไม่ต้องพูดถึงส่วนที่ไหลสู่แหล่งน้ำจนเกิดมลภาวะ

    เห็นได้ชัดว่าไข่ฟองที่ ๒ นั้นเกิดจากกระบวนการที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตนานาชนิด จนอาจเรียกได้ว่าเป็นปาณาติบาต ถ้าหากการกินไข่ฟองแรกเป็นปาณาติบาต การกินไข่ฟองที่ ๒ ก็เป็นการสนับสนุนปาณาติบาตอย่างกว้างขวาง เพราะไม่เพียงแต่จะส่งเสริมให้ไก่จำนวนมหาศาลถูกฆ่าตายแบบผ่อนส่ง (หรือตายทันทีในกรณีถูกโยนลงทะเล) เท่านั้น หากยังส่งเสริมให้มีการฆ่ามนุษย์แบบผ่อนส่ง (โดยการทำให้สิ่งแวดล้อมเกิดมลพิษ)

    กรณีนี้เป็นเพียงตัวอย่างที่ชี้ว่าชาวพุทธส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะมองเรื่องศีลแต่ในแง่เดียวหรือชั้นเดียว คือมองเฉพาะที่เป็นการเบียดเบียนกันอย่างซึ่ง ๆ หน้า หรืออย่างชัด ๆ ตรง ๆ ดังนั้นจึงเห็นว่าการกินไข่จากไก่บ้านเป็นการผิดศีล (ซึ่งก็ไม่แน่เสมอไปเพราะไข่อาจไม่มีเชื้อก็ได้) แต่ไม่เห็นว่าการกินไข่จากฟาร์มไก่เป็นการสนับสนุนให้ผิดศีล เพียงเพราะว่าการเบียดเบียนอันเกิดจากฟาร์มไก่นั้นผ่านหลายกระบวนการจนบางครั้งไม่สามารถระบุชัด ๆ ตรง ๆ ว่า ใครเป็นคนทำ

    ปัญหาก็คือการมองศีลแค่ชั้นเดียวนั้นเพียงพอหรือไม่สำหรับทุกวันนี้ เพราะสังคมปัจจุบันมีความซับซ้อนมาก การเบียดเบียนมิได้เกิดจากการกระทำระหว่างบุคคลต่อบุคคล (หรือกับชีวิตอื่น) โดยตรง ชนิดเห็นหน้าเห็นตากันเท่านั้น แต่เรายังสามารถเบียดเบียนหรือทำให้ผู้อื่นชีวิตอื่นเดือดร้อนได้โดยผ่านกลไกต่าง ๆ มากมายในสังคม การที่เราใช้น้ำใช้ไฟอย่างไม่บันยะบันยัง อาจทำให้คนชนบทนับพันนับหมื่นต้องสูญเสียที่ดินเพื่อสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าและผันน้ำให้คนกรุงใช้ตลอดปี การบริโภคอย่างฟุ่มเฟือยของคนในเมืองหมายถึงขยะและมลพิษจำนวนมหาศาลที่เกลื่อนกล่นชนบททั้งบนดิน ใต้ดินและตามแหล่งน้ำ ในขณะที่รายได้จากการส่งผลิตผลทางการเกษตรไปขายยังต่างประเทศ แทนที่จะช่วยชาวนาชาวไร่ให้ลืมตาอ้าปากได้ กลับถูกดูดมาหล่อเลี้ยงชีวิตอันสุขสบายของคนในเมือง โดยผลตอบแทนที่เกษตรกรได้รับคือหนี้สินและความยากจน การเบียดเบียนเหล่านี้นอกจากเกิดขึ้นโดยผ่านระบบตลาดที่ยึดหลักใครมือยาวสาวได้สาวเอาแล้ว ยังเกิดจากกลไกรัฐและนโยบายนานาชนิดของรัฐ อาทิ นโยบายพลังงาน นโยบายอุตสาหกรรม นโยบายจัดการทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งนโยบายการเกษตร ซึ่งล้วนแต่ผันทรัพยากรทุกชนิดของคนส่วนใหญ่ในประเทศไปเอื้อให้แก่คนส่วนน้อยในเมืองในนามของการพัฒนา หาไม่ก็ผลักภาระให้แก่ชาวไร่ชาวนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและความสะดวกสบายแก่คนเมือง

    พูดง่าย ๆ คือกลไกต่าง ๆ ในสังคมสมัยใหม่ ได้กลายเป็นเครื่องมือที่เพิ่มขีดความสามารถให้แก่ผู้คนในการเบียดเบียนกันหรือสร้างความทุกข์แก่กัน เป็นแต่ว่าแทนที่จะทำกับคนใกล้ตัวที่เห็น ๆ หน้า ก็ไปทำกับคนที่อยู่อีกมุมหนึ่งของประเทศหรือของโลก ซึ่งไม่เห็นหน้าค่าตา และดังนั้นความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเขาจึงไม่ปรากฏซึ่งหน้าคาตา แต่นั่นก็ไม่ใช่ข้ออ้างให้ปฏิเสธความรับผิดชอบได้โดยเฉพาะสำหรับชาวพุทธที่ปรารถนาชีวิตและสังคมที่ดีงาม

    ศีลนั้นมิได้เป็นไปเพื่อชีวิตที่สุขสงบเท่านั้น หากยังมุ่งให้เกิดสังคมที่ผาสุกด้วย แม้จะอ้างว่าการเบียดเบียนโดยผ่านกลไกต่าง ๆ ดังกล่าวมิได้เกิดขึ้นโดยเจตนา ดังนั้นจึงไม่ถือว่าเป็นบาปหรืออกุศลกรรมแต่จะพ้นวิบากกรรมไปเลยนั้น หาได้ไม่ เพราะถึงแม้จิตใจจะไม่เศร้าหมอง แต่การกระทำดังกล่าวย่อมส่งผลสะท้อนกลับมาสู่ทุกคนที่เกี่ยวข้อง เพราะสังคมที่มีการเบียดเบียนดังกล่าวย่อมไม่อาจสงบสุขได้ ความยากจนที่เพิ่มมากขึ้นอันเนื่องจากการสูญเสียที่ดินและทรัพยากรยังชีพ อาชญากรรมที่ตามติดมา รวมทั้งธรรมชาติที่แปรปรวน และมลพิษที่แพร่ระบาดไปทั่ว ฯลฯ เหล่านี้ล้วนนำหายนะมาสู่สังคม และบั่นทอนชีวิตของทุกคนที่มีส่วนในการสนับสนุนกลไกซึ่งเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบดังกล่าว เราอาจพ้น"กรรมส่วนบุคคล" แต่ไม่อาจหนีพ้น"กรรมร่วม"ที่ช่วยกันก่อได้เลย

    ด้วยเหตุนี้ศีลในสังคมสมัยใหม่จึงไม่ควรที่จะจำกัดอยู่แค่การกระทำระหว่างบุคคลต่อบุคคลเท่านั้น หากควรคลอบคลุมไปถึงการกระทำที่ผ่านกลไกและระบบต่าง ๆ ในสังคมด้วย การรักษาศีลจึงไม่ควรหมายถึงการไม่เบียดเบียนซึ่ง ๆ หน้า ชัด ๆ ตรง ๆ แต่ควรรวมถึงการไม่สนับสนุนกลไก ระบบ และกระบวนการต่าง ๆ ที่เบียดเบียนหรือก่อความทุกข์ให้แก่ผู้อื่นหรือชีวิตอื่นด้วย แน่นอนว่าการรักษาศีลในความหมายหลังนี้เป็นเรื่องยาก เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ทั่วถึงว่าการกระทำของเราอะไรบ้างที่มีส่วนสนับสนุนให้เกิดการเบียดเบียนกัน แต่ศีลในความหมายเช่นนี้แหละที่จะทำให้เราต้องใส่ใจกับการไตร่ตรองตรวจสอบผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำของเราอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคหรือการประกอบอาชีพก็ตาม ขณะเดียวกันก็พยายามหลีกเลี่ยงการกระทำใด ๆ ที่จะก่อความทุกข์แก่ผู้อื่นแม้โดยไม่เจตนาก็ตาม ศีลในความหมายนี้แหละที่จะเป็นฐานอันมั่นคงให้แก่สังคมที่สงบสุขและสันติอย่างแท้จริง

    การทำความดีในพุทธศาสนานั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจตนาที่เป็นกุศลเท่านั้น หากยังขึ้นอยู่กับปัญญาคือการแลเห็นความจริง และการตระหนักรู้ในผลที่เกิดจากการกระทำนั้น ๆ ด้วย แม้จะให้ทานด้วยเจตนาดี แต่ถ้าไม่มีวิจารณญาณในการให้ หรือให้โดยไม่รู้ว่าเป็นโทษแก่ผู้รับ ทานนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นบุญ อย่างน้อยก็ไม่เรียกว่าเป็นสัปปุริสทานหรือทานของสัตบุรุษ ในทำนองเดียวกันหากประสงค์จะมีชีวิตที่งดงามด้วยศีล ลำพังการไร้เจตนาเบียดเบียนย่อมไม่เพียงพอ หากจำเป็นต้องมีการพิจารณาด้วยสติปัญญาอย่างดีที่สุดเพื่อไม่ให้วิถีชีวิตหรือการกระทำของตนก่อความทุกข์ยากเดือดร้อนแก่ผู้อื่น

    ด้วยเหตุนี้ความรู้ความเข้าใจในผลกระทบจากกลไกต่าง ๆ ในสังคมที่เราเข้าไปเกี่ยวข้อง ตลอดจนการตรวจสอบติดตามผลที่เกิดจากการกระทำของเราทั้งทางตรงและทางอ้อม จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับจริยธรรมหรือการรักษาศีลในสังคมสมัยใหม่
    :- https://visalo.org/article/matichon254405_2.htm
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    พลังแห่งความดี
    พระไพศาล วิสาโล
    ย้อนหลังไปเพียง ๒ ปีคนอเมริกันส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินชื่อบารัค โอบามาเลยด้วยซ้ำ แต่วันนี้เขากลับเป็นว่าที่ประธานาธิบดีที่ได้รับความนิยมทั่วโลก และกำลังสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในฐานะผู้นำผิวสีคนแรกของสหรัฐอเมริกา ชัยชนะของโอบามาบนเส้นทางสู่ทำเนียบขาวนั้นส่วนหนึ่งเป็นผลจากความเบื่อหน่ายและผิดหวังที่ประชาชนมีต่อพรรครีพับลิกันอันมีประธานาธิบดีบุชเป็นตัวแทน ยิ่งเกิดวิกฤตเศรษฐกิจซ้ำเติมด้วยแล้วก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลรีพับลิกัน

    แต่โอบามาจะประสบความสำเร็จไม่ได้เลยหากปราศจากการรณรงค์หาเสียงที่มีการจัดตั้งอย่างเข้มแข็ง ทรงประสิทธิภาพและมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ชนิดที่เป็นแบบฉบับให้แก่นักการเมืองรุ่นหลังไปได้อีกนาน สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนก็คือการระดมอาสาสมัครมาช่วยหาเสียงให้เขานับล้าน ๆ คน อาสาสมัครเหล่านี้เปรียบเสมือน “กองทัพมด”ที่กระจายกำลังไปทั่วประเทศ และช่วยระดมทุนให้เขาอย่างมากมายเป็นประวัติการณ์ ต่างคนต่างคิดและริเริ่มทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากส่วนหัว กล่าวได้ว่าการรณรงค์ของโอบามามีฐานจากประชาชนระดับรากหญ้าอย่างแท้จริง

    ความสำเร็จในการดึงผู้คนทุกเพศทุกวัยทุกสถานะและทุกเชื้อชาติผิวสีมาช่วยทำงานการเมืองให้โอบามาอย่างแข็งขันนั้น ไม่ใช่เป็นแค่เรื่องของการจัดการองค์กรหรือบริหารเครือข่ายเท่านั้น หากยังอยู่ที่บุคลิกและความสามารถเฉพาะตัวของโอบามาเองด้วย ความสามารถในทางวาทศิลป์ของเขานั้นเป็นเรื่องที่กล่าวขานกันมาก แต่ที่เขามีมากกว่านั้นก็คือ ความสามารถในการดึงเอาส่วนที่ดีของผู้คนออกมา แทนที่จะปลุกให้คนเกลียดกัน เขาสามารถบันดาลใจให้ผู้คนมองกันด้วยสายตาที่เป็นมิตร แทนที่จะพูดให้คนนึกถึงประโยชน์ส่วนตัว เขาสามารถชักชวนให้ผู้คนคิดถึงประโยชน์ส่วนรวม

    มีนักเขียนผู้หนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า “โอบามามีความสามารถในการทำให้คนเก่ง ๆ และประสบความสำเร็จรู้สึกดีขึ้นมาทันทีเพียงเพราะว่านึกอยากจะช่วยเขาเท่านั้น” มีหลายเหตุผลที่ทำให้คนเราอยากจะช่วยผู้อื่น เหตุผลหนึ่งก็คือเพราะหวังผลตอบแทน แต่ในกรณีของโอบามานั้นผู้คนรู้สึกดีที่ได้ช่วยโอบามาก็เพราะเชื่อว่าตนกำลังทำสิ่งที่มีคุณค่าต่อผู้อื่นหรือเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เมื่อใครสักคนหันมาคิดถึงผู้อื่น (หรือหลักการอันดีงาม)ยิ่งกว่านึกถึงตนเอง นั่นก็เพราะคุณงามความดีในใจของเขากำลังถูกปลุกขึ้นมาแล้ว

    มนุษย์ทุกคนมีทั้งความใฝ่ดีและความเห็นแก่ตัว เราจะทำดีหรือชั่วก็ขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นความใฝ่ดีหรือความเห็นแก่ตัวขึ้นมาเป็นใหญ่ในใจเรา โอบามาเคยพูดถึงคำสอนของแม่ว่า “อย่าตัดสิน ให้มองหาความดีในตัวผู้คนเสมอ” คำสอนดังกล่าวมีอิทธิพลต่อเขาไม่น้อย เขาเคยพูดว่า “ปกติคนเราก็อยากทำสิ่งที่ถูกต้อง” ทัศนะดังกล่าวทำให้เขามีท่าทีเป็นมิตรกับผู้คนมากกว่าจะเป็นปฏิปักษ์ จึงสามารถดึงความร่วมมือจากผู้คนหลากหลายอุดมการณ์ และทำให้การรณรงค์หาเสียงของเขาหลีกเลี่ยงการโจมตีคู่แข่ง แต่เน้นหลักการหรืออุดมคติของสังคมการเมืองอเมริกัน เช่น ความยุติธรรม ภราดรภาพเหนือชาติพันธุ์ และความเสียสละเพื่อส่วนรวม ดังตอนหนึ่งในการปราศรัยของเขา

    “ผมเชื่อว่าชาวอเมริกัน ไม่ว่าจะมีอุดมการณ์ทางการเมืองเช่นใด กำลังกระหายอยากเห็นการเมืองแบบใหม่ การเมืองที่ไม่ได้เน้นที่คำถามว่า เราจะเอาชนะคะคานกันอย่างไร แต่เน้นที่คำถามว่า ทำไมเราจึงควรจะเอาชนะกัน การเมืองที่เน้นคุณค่าและอุดมการณ์ที่เรามีร่วมกันในฐานะคนอเมริกัน การเมืองที่เชิดชูสามัญสำนึกมากกว่าอุดมการณ์ และการพูดตรงไปตรงมามากกว่าการปั่นคำพูด”

    ในขณะที่การเมืองแบบเก่าเน้นที่การหาเสียงจากความแตกต่างทางอัตลักษณ์ เช่น เพศ หรือผิวสี โอบามากลับเน้นสมานฉันท์ระหว่างผิวสี โดยชี้ให้เห็นว่าความเจริญก้าวหน้าของเพื่อนต่างผิวนั้นหมายถึงความเจริญรุ่งเรืองของทุกคน “เส้นทางสู่ความปรองดองสมบูรณ์แบบแปลว่าชาวอเมริกันทุกคนต้องตระหนักว่าความฝันของคุณไม่จำเป็นต้องแลกด้วยความฝันของฉัน ตระหนักว่าการลงทุนในระบบประกันสุขภาพ สวัสดิการ และการศึกษาของคนผิวดำ คนผิวสีน้ำตาล และคนผิวขาว จะทำให้อเมริกาทั้งประเทศเจริญรุ่งเรือง” (สำนวนแปลของสฤณี อาชวานันทกุล)

    การมองเห็นด้านดีของมนุษย์และเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนล้วนอยากทำความดีทำให้เขาไว้วางใจผู้คนมาก ความไว้วางใจดังกล่าวนี้เองที่นักสังเกตการณ์หลายคนชี้ว่าเป็นกุญแจสู่ชัยชนะของเขา อาสาสมัครนับล้านสามารถเข้าถึงคลังข้อมูลของคณะหาเสียงของโอบามาเพื่อดึงเอาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ลงคะแนนเสียงออกมาได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้เพราะโอบามาไว้วางใจว่าพวกเขาจะนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ในทางที่ถูกต้อง ทุกคนสามารถโทรศัพท์หรือเคาะประตูบ้านเพื่อหาเสียงในนามของเขาได้อย่างอิสระ เพราะเขาไว้วางใจวิจารณญาณของทุกคน เมื่อผนวกกับการรณรงค์ที่เน้นประเด็นเชิงบวก ทุกคนจึงรู้สึกว่ากำลังมีส่วนสร้างการเมืองใหม่ให้กับประเทศของตน

    ที่แล้วมาการหาเสียงทางการเมืองมักเน้นที่การสร้างความกลัว-เกลียด-โกรธ การแบ่งเขาแบ่งเรา และการนึกถึงแต่ประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ซึ่งก็คือการดึงเอาด้านที่เห็นแก่ตัวของมนุษย์ออกมา แต่โอบามาเป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่าการดึงเอาด้านที่ดีของมนุษย์ออกมานั้นไม่เพียงเป็นไปได้เท่านั้น หากยังสามารถก่อให้เกิดพลังการเปลี่ยนแปลงที่มหาศาลได้ด้วย นี้เป็นบทเรียนสำคัญที่มีคุณค่าอย่างมากสำหรับเมืองไทยในยุคที่กำลังแบ่งแยกเป็นฝักฝ่ายด้วยสาเหตุทางด้านอุดมการณ์ ภูมิภาค เศรษฐฐานะ ตลอดจนชาติพันธุ์ และศาสนา คนเราไม่จำเป็นต้องรวมกันเพียงเพราะว่าเกลียดศัตรูคนเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องยอมเสี่ยงตายเพราะมีความโกรธเป็นตัวขับเคลื่อน ความรักและศรัทธาในสิ่งดีงามก็สามารถเป็นพลังประสานให้เรารวมกันและกล้าทำสิ่งยากที่ท้าทายหรือเรียกร้องการเสียสละอย่างสูงได้
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    (ต่อ)
    จะทำเช่นนั้นได้เราต้องมีศรัทธาในผู้คนไม่เว้นแม้แต่คู่กรณีว่า เขาเหล่านั้นมีความดีงามอยู่ในจิตใจ แต่ความดีงามนั้นบ่อยครั้งก็ไม่สามารถออกมาจากจิตใจของเขาได้ เพราะถูกครอบงำด้วยความเห็นแก่ตัวหรือเพราะความกลัว-เกลียด-โกรธ ในกรณีเช่นนี้ยิ่งเราทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับเขา หรือโจมตีด่าว่าเขา ก็ยิ่งกระตุ้นความกลัว-เกลียด-โกรธให้รุนแรงขึ้น กลับกลายเป็นการดึงพลังฝ่ายลบของเขาออกมา ในทางตรงข้ามการแสดงความเป็นมิตรกับเขาหรือการกระทำที่สัมผัสด้านดีของเขา สามารถปลุกความดีงามภายในใจเขาให้มีพลังมากขึ้น จนอาจเอาชนะความเห็นแก่ตัวได้

    ความดีงามภายในใจนั้นเติบโตได้ก็เพราะมีความดีเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง หากบุคคลผู้นั้นคิดดี พูดดี ทำดี ความดีงามภายในก็ยิ่งเบ่งบาน อย่างไรก็ตามแม้ผู้นั้นจะพร่องในการคิดดี พูดดี หรือทำดี แต่หากมีผู้ใดมาพูดดีทำดีด้วย ความดีที่ได้รับก็อาจซึมซาบไปถึงใจและบำรุงความดีงามในตัวเขาให้เจริญงอกงามได้ ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงตรัสสอนให้เราเอาชนะความชั่วด้วยความดี เพราะความดีนั้นย่อมสามารถชนะใจเขาได้ในที่สุด

    สตีเวน สปีลเบิร์ก นักสร้างหนังชื่อดังเคยเล่าว่าเมื่อเขาอายุ ๑๓ ปี เขามักถูกอันธพาลรุ่นพี่แกล้งเป็นประจำ บางครั้งก็ถึงกับทำร้ายเขา จนเขาไม่อยากไปโรงเรียน แต่แล้ววันหนึ่งเขาเดินไปหาอันธพาลผู้นั้นแล้วบอกว่า เขากำลังถ่ายทำวีดีโอเรื่องต่อสู้นาซี จึงอยากชวนเขามาเล่นเป็นพระเอก หมอนั้นหัวเราะใส่เขาแต่ ๒-๓ วันหลังจากนั้นก็ตอบรับอย่างไม่เต็มใจ เขาได้เล่นเป็นพระเอกจนถ่ายทำจบ สปีลเบิร์กเล่าว่านับแต่นั้นมาอันธพาลคนนั้นก็เลิกทุบตีเขา แถมยังกลายเป็นเพื่อนสนิทของเขาไปในที่สุด

    แม้ไม่มีอะไรให้เขา เพียงแค่รู้จักขอโทษเมื่อทำผิด ก็สามารถเปลี่ยนศัตรูเป็นมิตรได้ ชายคนหนึ่งเล่าว่าขณะที่กำลังขับรถอยู่เพลิน ๆ ก็มีรถอีกคันหนึ่งปาดหน้าพร้อมกับมีเสียงตะโกนด่าว่าเขา เขาโมโหมากจึงเร่งเครื่องไล่ตามเพื่อปาดหน้ากลับ ขณะที่รถของเขาแล่นตีคู่กับรถคันนั้น เขาได้ลดกระจกเพื่อเตรียมตะโกนด่า แต่ชั่วขณะนั้นเองเขาก็เปลี่ยนใจ แล้วตะโกนว่า “ผมขอโทษ”แทน ส่วนอีกฝ่ายซึ่งลดกระจกและเตรียมด่ากลับ พอได้ยินคำขอโทษ ก็อึ้งไปแล้วก็ตะโกนกลับมาว่า “ผมก็ขอโทษ” จากนั้นต่างคนต่างก็บอกให้อีกฝ่ายแซงไปก่อน “คุณไปก่อน” “ไม่ คุณไปก่อน”

    บางครั้งเพียงแค่มีผู้เห็นความดีของเราหรือเชื่อมั่นในความดีของเรา ก็ทำให้เราอยากทำความดีจนสามารถเอาชนะนิสัยที่ไม่ดีได้ ครูสุรินทร์ กิจนิตย์ชีว์ ปูชนียบุคคลในวงการครูชนบทและนักพัฒนาเล่าว่า ในอดีตท่านติดการพนันแถมเป็นนักเลงชนไก่ ถึงกับลงขันกับเพื่อน ๆ ตั้งบ่อนไก่หน้าโรงเรียนที่ท่านเป็นครูใหญ่ แม่ขอร้องให้เลิกเท่าไรก็ไม่เคยเป็นผล

    แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดจุดเปลี่ยนในชีวิต ท่านไปร่วมพิธีวันครูที่อำเภอ นายอำเภอได้กล่าวเปิดงานสั้น ๆ ว่า “วันนี้เป็นวันครู ผมดีใจ ผมไหว้ครูได้สนิทใจ เพราะครูเป็นปูชนียบุคคล ผมได้ดีมาทุกวันนี้เพราะว่าคุณครู” ได้ยินเพียงเท่านี้ ครูสุรินทร์ก็ใจหาย เอามือแอบไว้ข้างหลัง เพราะกลัวว่านายอำเภอจะเห็นมือซึ่งเหลืองอร่ามเพราะทาขมิ้นให้ไก่ ขณะเดียวกันก็รู้สึกกังวลว่าหากนายอำเภอรู้ว่าเราตีไก่ ท่านจะไหว้เราลงหรือนี่

    นายอำเภอยังพูดต่อไปว่า เมื่อได้รับเลื่อนตำแหน่งเป็นนายอำเภอ ได้ไปเล่าให้แม่ฟัง ถามว่าแม่ดีใจไหม แม่ตอบว่า “เอ็งเป็นนายอำเภอ แม่ไม่ดีใจหรอก เอ็งเป็นคนดีต่างหากแม่ถึงดีใจ” คำพูดดังกล่าวกระทบใจครูสุรินทร์อย่างจัง มาได้คิดตอนนั้นเองว่าเหตุใดแม่ถึงได้อ้อนวอนไม่หยุดให้ตนเลิกอบายมุข นับแต่นั้นมาครูสุรินทร์ก็ตั้งปณิธานว่าจะเลิกทั้งการพนันและเหล้ายา และสามารถเลิกได้ในที่สุด

    ครูสุรินทร์รู้ดีว่าการพนันเป็นสิ่งไม่ดี แต่ก็เลิกไม่ได้เพราะความเห็นแก่ตัวมีอำนาจมากกว่า แต่คำพูดของนายอำเภอที่ชื่นชมความดีของครู ก็สามารถปลุกความดีในใจของครูสุรินทร์ขึ้นมา ยิ่งมาเข้าใจความรักของแม่ที่อยากให้ลูกได้ดี ครูสุรินทร์ก็ยิ่งมีพลังที่จะทำความดีจนสามารถเอาชนะความเห็นแก่ตัวได้

    น่าคิดว่าหากนายอำเภอพูดตำหนิครูที่ติดพนัน ครูสุรินทร์จะมีปฏิกิริยาอย่างไรในวันนั้น เป็นไปได้ว่านอกจากจะเกลียดนายอำเภอแล้ว อัตตายิ่งสรรหาเหตุผลและกลไกต่างๆ มาปกป้องพฤติกรรมของตนแน่นหนาขึ้น จนยากที่จะเปลี่ยนนิสัยได้

    ทุกวันนี้ผู้คนถูกปลุกเร้าให้ใช้พลังฝ่ายลบเป็นแรงจูงใจและขับเคลื่อนทุกสิ่งทุกอย่าง ทุนนิยมกระตุ้นให้เรานึกถึงแต่ตัวเองเพื่อจะได้ขยันหาเงิน บริโภคนิยมกระตุ้นให้เราเกลียดตัวเองและอิจฉาคนอื่นเพื่อจะได้ซื้อสินค้ามาเสริมภาพลักษณ์ตัวตนมาก ๆ ส่วนการเมืองก็ปลุกให้เราเกลียดกลัวซึ่งกันและกัน เพื่อจะได้พึ่งพาและเชื่อฟังผู้นำ ทั้งหมดนี้อาจก่อให้เกิดผลดีเฉพาะหน้า แต่สร้างปัญหาในระยะยาว อาทิ สิ่งแวดล้อมถูกทำลาย สังคมแตกแยก ครอบครัวร้าวฉาน และผู้คนเป็นทุกข์

    ไม่ดีกว่าหรือหากเราจะมาช่วยกันดึงเอาพลังฝ่ายดีของกันและกันออกมา เริ่มจากการมองเห็นความดีที่มีอยู่ในใจของผู้คน ชื่นชมความดีของเขา และทำดีหรือมีน้ำใจไมตรีต่อเขา การทำเช่นนี้ไม่เพียงเสริมสร้างพลังแห่งความดีในใจเขาเท่านั้น หากยังบ่มเพาะความดีในใจของเราให้งอกงาม ซึ่งในที่สุดย่อมทำให้ชีวิตสงบเย็นและสังคมเป็นสุขอย่างแท้จริง
    :- https://visalo.org/article/matichon255201.htm
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    สู่ชีวิตที่สงบเย็นและเป็นอิสระ
    พระไพศาล วิสาโล
    เมื่อสองเดือนที่แล้วมีรายงานข่าวว่าศาลเกาหลีใต้ได้ตัดสินจำคุกสามีภรรยาคู่หนึ่งเป็นเวลาสองปี เนื่องจากทิ้งให้ลูกสาววัยสามเดือนอดอาหารจนตาย
    ทารกที่น่าสงสารคนนี้มิได้ถูกทิ้งที่กองขยะอย่างที่มักจะเป็นข่าว หากถูกปล่อยไว้ที่บ้านของเธอเอง ส่วนคนที่หายไปจากบ้านคือผู้ที่เป็นพ่อแม่ ทั้งสองคนไปขลุกอยู่ที่ร้านอินเตอร์ทั้งวันเนื่องจากติดเกมอย่างหนัก รายงานข่าวไม่ได้แจ้งว่าทั้งสองมีเวลาไปทำมาหากินหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ ก็คือทารกน้อยได้รับอาหารเพียงวันละมื้อเท่านั้น ซึ่งก็คงเป็นช่วงที่ทั้งสองกลับไปนอนบ้าน

    ผู้เป็นพ่อนั้นมิใช่วัยรุ่น หากเป็นผู้ใหญ่วัย ๔๑ ปี ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ เกมออนไลน์ที่เขาและภรรยาวัย ๒๕ ปีติดหนักจนโงหัวไม่ขึ้น มิใช่เกมบู๊ล้างผลาญเต็มไปด้วยความรุนแรง หากเป็น เกมชื่อ “พริอุส” ซึ่งผู้เล่นจะต้องเพียรพยายามช่วยเหลือเด็กหญิงนาม "อะนิเมะ" ให้สามารถฟื้นฟูความทรงจำและพัฒนาอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ของตนเอง

    ใครจะคาดคิดว่า ขณะที่สามีภรรยาคู่นี้เอาจริงเอาจังกับการช่วยเด็กหญิงในจินตนาการ แต่กลับละทิ้งลูกน้อยของตัว ซึ่งมีน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐานเนื่องจากคลอดก่อนกำหนด เท่านั้นยังไม่พอเมื่อกลับมาบ้าน ทั้งสองยังตีลูกน้อยของตัวด้วย

    ข่าวนี้ตอกย้ำถึงอานุภาพของเกมออนไลน์ ซึ่งสามารถสะกดผู้คนให้ลุ่มหลงและเสพติดอย่างหนัก จนลืมได้แม้กระทั่งลูกตัวเอง

    เกมออนไลน์หากเสพติดเมื่อใด ก็เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทั้งของตนเองและผู้อื่น

    เมื่อปีที่แล้วก็มีข่าวว่า หนุ่มเกาหลีใต้ผู้หนึ่งติดเกมออนไลน์อย่างหนัก จนไม่สนใจการงาน ในที่สุดก็ถูกไล่ออกจากงาน แทนที่จะเสียใจ เขากลับดีใจที่ได้เล่นเกมเต็มที่ คราวนี้เขาขลุกอยู่แต่ในห้องเล่นเกมทั้งวันทั้งคืนไม่ได้หลับไม่ได้นอน อาหารก็กินหน้าจอคอมพิวเตอร์ หลังจากเล่นเกมแบบไม่หยุดติดต่อกันถึง ๓๖ ชั่วโมง ร่างกายเขาก็ทนไม่ไหว ถึงกับช็อคและเสียชีวิตคาแป้น

    เสน่ห์อย่างหนึ่งของเกมออนไลน์คือให้ความตื่นเต้น เพราะเต็มไปด้วยสิ่งท้าทายที่กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอยากเอาชนะ หากแพ้ก็อยากแก้มือเพื่อเป็นผู้ชนะให้ได้ ถ้าชนะก็ดีใจ อยากเล่นต่อเพราะติดใจในชัยชนะ(และรางวัลที่ได้รับ ไม่ว่าจะเป็นคะแนนหรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ) นี้คือเสน่ห์อย่างเดียวกับที่ทำให้คนติดการพนัน เป็นแต่ว่ารางวัลที่ได้จากการพนันนั้นสามารถเอาไปซื้อความสุขอย่างอื่นได้อีกเพราะเป็นเงินจริง ๆ

    แต่สิ่งหนึ่งที่การพนันไม่สามารถให้ได้ ก็คือความรู้สึกมีอำนาจมากกว่าเดิม เกมออนไลน์ได้สร้างโลกเสมือนจริงที่ผู้เล่นมีความสามารถนานัปการ ซึ่งสามารถเพิ่มพูนได้เรื่อย ๆ จนกลายเป็นยอดมนุษย์ มีอำนาจควบคุมสิ่งต่าง ๆ ได้มากมาย ซึ่งมิอาจทำได้ในโลกแห่งความเป็นจริง มันยังทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่าเป็นพระเอกหรือวีรชนเพราะได้ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก หรือปราบปรามศัตรูผู้หมายทำลายโลก ความรู้สึกอย่างนี้มีความหมายต่อผู้เล่นมาก เพราะไม่อาจหาได้ในชีวิตจริง ใคร ๆ ก็อยากเป็นคนเก่ง เป็นพระเอกนางเอก หรือวีรชนทั้งนั้น ในอดีตคนส่วนใหญ่ทำได้อย่างมากก็แค่ฝันกลางวัน แต่เกมออนไลน์ได้สร้างโลกเสมือนจริงที่ตอบสนองความต้องการดังกล่าว ทำให้ความรู้สึกว่า “กูแน่”นั้นดูเข้มข้นสมจริงยิ่งกว่าเดิม สำหรับคนที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้แพ้ คนไม่เก่ง ไร้อำนาจในชีวิตจริง อะไรจะทำให้มีความสุขและชวนลุ่มหลงเท่ากับการหลุดเข้าไปในโลกแบบนี้

    พูดง่าย ๆ เสน่ห์ที่สำคัญที่สุดของเกมออนไลน์ก็คือการสนองและปรนเปรออัตตาของผู้เล่น ทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวยหรือมีชีวิตชีวาขึ้นมา (ซึ่งสัมพันธ์กับสารเคมีบางอย่างที่หลั่งออกมาด้วย) ในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยการแข่งขันกันอย่างรุนแรง คนส่วนน้อยเท่านั้นที่เป็นผู้ชนะ ขณะที่คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าตนเป็นผู้แพ้ ไร้ความสามารถ ไม่มีน้ำยา (ที่จริงแค่รู้สึกว่าเป็นคนธรรมดาก็ยากที่คนสมัยนี้จะรับได้เพราะถูกปลูกฝังว่าชีวิตนี้จะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อเป็นผู้ชนะหรือคนเก่งเท่านั้น)

    ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่มีผู้คนเป็นอันมากจมหายเข้าไปในโลกเสมือนผ่านเกมออนไลน์ จนลืมโลกแห่งความเป็นจริง หลายคนเพลินกับการเป็นวีรบุรุษช่วยเด็กที่น่าสงสารในโลกเสมือนจริง จนลืมลูกน้อยของตัวที่บ้านไป ในที่สุดจึงกลายเป็นผู้ร้ายในโลกแห่งความเป็นจริงดังสามีภรรยาในเรื่องข้างต้น

    เกมออนไลน์เมื่อเล่นมาก ๆ ย่อมทำให้ผู้คนลืมตัว และเมื่อลืมตัวแล้ว ก็สามารถลืมทุกอย่างได้ ไม่ว่าจะเป็นลูกเมียพ่อแม่หรือหน้าที่ความรับผิดชอบ ทำให้เกิดความเสียหายตามมามากมาย แต่คนเราไม่ได้ลืมตัวเพราะเกมออนไลน์เท่านั้น มีอีกมากมายที่ทำให้เราลืมตัวได้ แต่ไหนแต่ไรมาสิ่งที่ทำให้ลืมตัวมีชื่อเรียกรวม ๆ ว่า “อบายมุข” พุทธศาสนาได้จำแนกออกเป็น ๖ อย่าง คือสุรายาเสพติด การพนัน การเที่ยวกลางคืน การเที่ยวดูการละเล่น การคบคนชั่ว และความเกียจคร้าน แต่ในปัจจุบันการจำแนกเท่านี้ย่อมไม่เพียงพอเสียแล้ว เพราะช่องทางแห่งความเสื่อมอันเนื่องจากความลืมตัวนั้นได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น นอกจากเกมออนไลน์แล้ว โทรทัศน์ ภาพยนตร์ หรือแม้แต่การช็อปปิ้งก็สามารถทำให้เกิดการเสพติดจนลืมตัวได้

    ทุกวันนี้สำหรับคนจำนวนไม่น้อย การช็อปปิ้งเป็นมากกว่ากิจวัตร เพราะกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันไปเสียแล้ว เลิกเรียนหรือเลิกงานเมื่อไร เป็นต้องไปเที่ยวห้าง มิใช่เพื่อเสพสิ่งปรนเปรอทางผัสสะทั้งห้า หรือสนองความอยากทางกามเท่านั้น หากยังเพราะรู้สึกมีอำนาจเมื่อได้ซื้อสิ่งของตามใจนึกและได้รับบริการจากผู้คน ดังนั้นเมื่อไปเที่ยวห้างแล้วไม่ซื้ออะไรเลย(ไม่ว่าสินค้าหรือบริการ)ก็เหมือนกับไม่ได้ไป แม้จะไม่มีเงินก็ต้องดิ้นรนหาบัตรเครดิตมาจนได้ ยิ่งจ่ายเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุข และยิ่งมีความสุขก็ยิ่งจ่ายจนหนี้ล้นพ้นตัว ของที่ซื้อมานั้นจำนวนมากอาจจะไม่ได้ใช้เลย แต่ก็ยังซื้ออีก เพราะความสุขอยู่ที่การซื้อและได้มา หาได้อยู่ที่การใช้ไม่ ถ้าถามว่านักช็อปปิ้งเสพติดอะไร ก็ต้องตอบว่าเสพติดประสบการณ์การช็อปปิ้ง ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงทุรนทุรายกระสับกระส่ายเป็นอย่างยิ่งเมื่อคนเสื้อแดงยึดราชประสงค์ เพราะทำให้ไม่สามารถไปช็อปปิ้งในศูนย์การค้าชื่อดังบริเวณนั้นนานถึงเดือนครึ่ง

    กระแสบริโภคนิยมดูเหมือนจะทำให้เรามีเสรีภาพมากขึ้นในการเสพและแสวงหาความสุข แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือผู้คนมีอิสรภาพในทางจิตใจน้อยลง เพราะตกเป็นทาสของอบายมุขทั้งเก่าและใหม่มากขึ้น ชีวิตจึงติดอยู่ในกับดักแห่งความทุกข์ ยากจะไถ่ถอนออกมาได้ แม้จะได้รับความสุขอยู่บ้างจากการเสพวัตถุ แต่ก็ชโลมใจชั่วคราว เพราะเป็นสุขที่เจือด้วยทุกข์ และทำให้ลุ่มหลงหรือลืมตัวหนักขึ้น

    หากปรารถนาชีวิตที่เป็นสุขอย่างแท้จริง จะต้องพยายามยกจิตให้เป็นอิสระจากอบายมุขทั้งหลาย รวมทั้งพึ่งพาความสุขจากวัตถุให้น้อยลง เริ่มต้นด้วยการลดการเสพจนสามารถเลิกได้ในที่สุด ตั้งแต่อบายมุขอย่างหยาบ (สุรา ยาเสพติด การพนัน สถานเริงรมย์) จนถึงอบายมุขอย่างละเอียด (เกมออนไลน์ การช็อปปิ้ง ละครโทรทัศน์) ขณะเดียวกันก็มีความสุขอย่างประณีตมาทดแทน เช่น สุขจากสมาธิภาวนา สุขจากการทำบุญสร้างกุศล สุขจากการบำเพ็ญประโยชน์ เป็นต้น ยิ่งได้สัมผัสกับความสุขประณีตมากเท่าไร ก็ยิ่งเห็นชัดว่าสุขจากอบายมุขและวัตถุนั้นเต็มไปด้วยโทษ ไม่น่าพัวพันลุ่มหลง หากทำได้มากกว่านั้นคือฝึกฝนจิตใจให้รู้ตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอ ก็จะไม่ถูกกิเลสครอบงำจนลืมตัว หรือมัวแต่ปรนเปรออัตตาจนถลำสู่ความเสื่อม สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ ปัญญาที่ตระหนักชัดว่าความสุขที่แท้อยู่ที่ใจซึ่งโปร่งโล่ง สงบเย็น เป็นอิสระ ไม่หลงใหลติดยึดในตัวตน ความตระหนักชัดดังกล่าวจะเป็นทั้งฐานที่มั่นคงและพลังขับเคลื่อนให้ชีวิตเป็นอิสระอย่างแท้จริง

    วิธีการดังกล่าวพุทธศาสนาเรียกว่าไตรสิกขา หรือการฝึกฝนพัฒนาตนอย่างเป็นระบบครบถ้วนทั้งสามด้าน คือด้านพฤติกรรม (ศีล) ด้านอารมณ์(สมาธิ) และด้านความเข้าใจ(ปัญญา) ไตรสิกขามิใช่สิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่ลุ่มหลงในวัตถุเท่านั้น หากยังจำเป็นสำหรับทุกคนที่ปรารถนาชีวิตที่ดีงาม ดังนั้นจึงควรทำเป็นประจำในชีวิตประจำวัน

    อย่างไรก็ตามในชีวิตประจำวันนั้น คนทั่วไปมักทำได้ไม่ต่อเนื่องเพราะมีภารกิจรัดตัว ดังนั้นจึงควรจัดหาเวลาเพื่อการฝึกฝนพัฒนาตนอย่างจริงจัง ในประเพณีของพุทธศาสนา ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการฝึกฝนพัฒนาตนก็คือ ช่วงเข้าพรรษา ในช่วงสามเดือนดังกล่าวกุลบุตรจึงนิยมบวชพระเพื่อศึกษาปฏิบัติธรรม ส่วนผู้ที่ยังครองเพศคฤหัสถ์อยู่ ก็เข้าวัดถือศีล บำเพ็ญภาวนา ตลอดพรรษาเช่นกัน หรืออย่างน้อยก็ทุกวันพระ

    ในอดีตการถือศีลช่วงเข้าพรรษา มักเป็นการถือศีลตามประเพณี เช่น ถือศีล ๕ หรือศีล ๘ ซึ่งล้วนเป็นไปเพื่อการการละอบายมุขหรือห่างไกลจากกามสุข (เช่น ถือพรหมจรรย์ ไม่กินอาหารหลังเที่ยง ไม่ดูหนังฟังเพลงหรือละเล่น) แต่ทุกวันนี้มีอบายมุขอย่างใหม่เข้ามาพัวพันในชีวิตของเรามากขึ้น จึงควรใช้ช่วงเวลาดังกล่าวในการลดละอบายมุขอย่างใหม่เหล่านี้ด้วย เช่น ลดการช็อปปิ้ง พักการเล่นเกมออนไลน์ ชมรายการบันเทิงทางโทรทัศน์ให้น้อยลง หรือมีวันปลอดความบันเทิงอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง โดยอาจทำเป็นส่วนตัวหรือร่วมกันทำในครอบครัว ใครที่อยากละเลิกนิสัยไม่ดีบางประการ เช่น ตื่นสาย ติดกาแฟ ชอบนินทา ขี้บ่น ก็น่าจะทำในช่วงนี้ด้วยเช่นกัน

    นอกจากการลดละอบายมุขและพฤติกรรมบางอย่างที่เป็นโทษแล้ว ทุกวันควรมีเวลาเจริญสมาธิ ทำจิตให้สงบผ่องใสอย่างน้อยวันละ ๕-๑๐ นาที หรือสวดมนต์ทบทวนพุทธวัจนะทุกคืนก่อนนอน กิจกรรมเหล่านี้หากทำร่วมกันเป็นกลุ่ม (หรือผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์) ก็จะช่วยให้เกิดกำลังใจและความมุ่งมั่นที่จะทำต่อเนื่องทั้งพรรษา

    ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นการบำเพ็ญประโยชน์ตน แต่จะดียิ่งขึ้นหากมีการบำเพ็ญประโยชน์ท่านให้มากขึ้นด้วย เช่นบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนกิจกรรมที่มีประโยชน์ หรือเสนอตัวเป็นจิตอาสา ช่วยเหลือส่วนรวมหรือเกื้อกูลผู้ตกทุกข์ได้ยาก อันที่จริงกิจกรรมดังกล่าวไม่เพียงช่วยให้ผู้อื่นมีความสุขเท่านั้น หากยังนำความสุขมาสู่ผู้กระทำด้วย ก่อให้เกิดความปลื้มปีติและภาคภูมิใจ หลายคนได้พบว่าชีวิตที่เคยว่างเปล่านั้นได้รับการเติมเต็ม รู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่ามากขึ้น ใช่หรือไม่ว่าเป็นเพราะรู้สึกว่าชีวิตว่างเปล่า ผู้คนจึงพยายามไขว่คว้าความสุขทางวัตถุมาชดเชย หรือไม่ก็หนีปัญหาด้วยการไปหมกมุ่นกับอบายมุข รวมทั้งจมอยู่ในโลกเสมือนจากเกมออนไลน์ แต่เมื่อใดก็ตามที่จิตใจไม่รู้สึกว่างเปล่าอีกต่อไป สิ่งยั่วยวนเหล่านั้นก็จะไร้ความหมาย

    หากชาวพุทธร่วมกันทำเทศกาลเข้าพรรษาให้มีความหมายต่อการฝึกฝนพัฒนาตน โดยประยุกต์ให้สอดคล้องกับยุคสมัยแล้ว ไม่เพียงชีวิตจะบังเกิดความสงบเย็นและเป็นอิสระเท่านั้น แต่ยังจะช่วยให้สังคมไทยน่าอยู่กว่านี้มาก
    :- https://visalo.org/article/matichon255307.htm


     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    เป็นสุขในทุกความเปลี่ยนแปลง
    พระไพศาล วิสาโล
    คนเราย่อมปรารถนาความเปลี่ยนแปลง หากว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นอยู่ในอำนาจของเรา หรือสอดคล้องกับความต้องการของเรา ไม่มีใครอยากขับรถคันเดิม ใช้โทรศัพท์เครื่องเดิม หรืออยู่กับที่ไปตลอด มิจำต้องพูดถึงการอยู่ในอิริยาบถเดิม ๆ เราต้องการสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ แต่ความจริงอย่างหนึ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ก็คือ มีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่เราไม่ต้องการแต่หนีไม่พ้น ความเปลี่ยนแปลงอย่างนี้แหละที่ผู้คนประหวั่นพรั่นพรึง วิตกกังวลเมื่อนึกถึงมัน และเป็นทุกข์เมื่อมันมาถึง

    แต่ยังมีความจริงอีกอย่างหนึ่งที่เราพึงตระหนักก็คือ สุขหรือทุกข์นั้น มิได้ขึ้นอยู่กับว่า มีอะไรเกิดขึ้นกับเรา แต่อยู่ที่ว่า เรารู้สึกอย่างไรกับสิ่งนั้นต่างหาก แม้มีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับเรา แต่ถ้าเราไม่รู้สึกย่ำแย่ไปกับมัน หรือวางใจให้เป็น มันก็ทำให้เราเป็นทุกข์ไม่ได้ กนกวรรณ ศิลป์สุข เป็นโรคธาลัสซีเมียตั้งแต่เกิด ทำให้เธอมีร่างกายแคระแกร็น กระดูกเปราะและเจ็บป่วยด้วยโรคแทรกซ้อนนานาชนิด ซึ่งมักทำให้อายุสั้น แต่เธอกับน้องสาวไม่มีสีหน้าอมทุกข์แต่อย่างใด กลับใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เธอพูดจากประสบการณ์ของตัวเองว่า “มันไม่สำคัญหรอกว่าเราจะเป็นอย่างไรหรือมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิต แต่สำคัญที่ว่าเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว เราคิดกับมันยังไงต่างหาก สำหรับเราสองคน ความสุขเป็นเรื่องที่หาง่ายมาก ถ้าใจของเราคิดว่ามันเป็นความสุข”

    โอโตทาเกะ ฮิโรทาดะ เกิดมาพิการ ไร้แขนไร้ขา แต่เขาสามารถช่วยตัวเองได้แทบทุกอย่าง ในหนังสือเรื่อง ไม่ครบห้า เขาพูดไว้ตอนหนึ่งว่า “ผมเกิดมาพิการแต่ผมมีความสุขและสนุกทุกวัน” ใครที่ได้รู้จักเขาคงยอมรับเต็มปากว่าเขาเป็นคนที่มีความสุขคนหนึ่ง อาจจะสุขมากกว่าคนที่มีอวัยวะครบ (แต่กลับเป็นทุกข์เพราะหน้ามีสิว ผิวตกกระ หุ่นไม่กระชับ)

    ในโลกที่ซับซ้อนและผันผวนปรวนแปรอยู่เสมอ เราไม่สามารถเลือกได้ว่าจะต้องมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับเราตลอดเวลา แต่เราเลือกได้ว่าจะมีปฏิกิริยากับสิ่งนั้นอย่างไร รวมทั้งเลือกได้ว่าจะยอมให้มันมีอิทธิพลต่อเราอย่างไรและแค่ไหน

    ในวันที่แดดจ้าอากาศร้อนอ้าว บุรุษไปรษณีย์คนหนึ่งยืนรอส่งเอกสารหน้าบ้านหลังใหญ่ หลังจากเรียกหาเจ้าของบ้านแต่ไม่มีวี่แววว่าจะมีคนมารับ เขาก็ร้องเพลงไปพลาง ๆ เสียงดังชัดเจนไปทั้งซอย ในที่สุดเจ้าของบ้านก็ออกจากห้องแอร์มารับเอกสาร เธอมีสีหน้าหงุดหงิด เมื่อรับเอกสารเสร็จเธอก็ถามบุรุษไปรษณีย์ว่า “ร้อนแบบนี้ยังมีอารมณ์ร้องเพลงอีกเหรอ” เขายิ้มแล้วตอบว่า “ถ้าโลกร้อนแต่ใจเราเย็น มันก็เย็นครับ ร้องเพลงเป็นความสุขของผมอย่างหนึ่ง ส่งไปร้องไป” ว่าแล้วเขาก็ขับรถจากไป

    เราสั่งให้อากาศเย็นตลอดเวลาไม่ได้ แต่เราเลือกได้ว่าจะยอมให้อากาศร้อนมีอิทธิพลต่อจิตใจของเราได้แค่ไหน นี้คือเสรีภาพอย่างหนึ่งที่เรามีกันทุกคน อยู่ที่ว่าเราจะใช้เสรีภาพชนิดนี้หรือไม่ พูดอีกอย่างก็คือ ถ้าเราหงุดหงิดเพราะอากาศร้อน นั่นแสดงว่าเราเลือกแล้วที่จะยอมให้มันยัดเยียดความทุกข์แก่ใจเรา

    ถึงที่สุดแล้ว สุขหรือทุกข์อยู่ที่เราเลือก มิใช่มีใครมาทำให้ ถึงแม้จะป่วยด้วยโรคร้าย เราก็ยังสามารถมีความสุขได้ โจว ต้า กวน เด็กชายวัย ๑๐ ขวบ เป็นโรคมะเร็งที่ขา จนต้องผ่าตัดถึง ๓ ครั้ง เขาได้เขียนบทกวีเล่าถึงประสบการณ์ในครั้งนั้นว่า เมื่อพ่อแม่จูงมือเขาเข้าห้องผ่าตัด เขาเลือก “น้องสงบ” เป็นเพื่อน (แทนที่จะเป็น “น้องกังวล”) เมื่อเขาห้องผ่าตัดครั้งที่สอง เขาเลือก “ลุงมั่นคง”เป็นเพื่อน (แทนที่จะเป็น “ป้ากลัว”) เมื่อพ่ออุ้มเขาเข้าห้องผ่าตัดครั้งที่สาม เขาเลือก “ชีวิต” (แทนที่จะเป็น “ความตาย”) ด้วยการเลือกเช่นนี้มะเร็งจึงบั่นทอนได้แต่ร่างกายของเขา แต่ทำอะไรจิตใจเขาไม่ได้

    เมื่อใดก็ตามที่ความเปลี่ยนแปลงอันไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น หากเราไม่สามารถสกัดกั้นหรือบรรเทาลงได้ ในยามนั้นไม่มีอะไรดีกว่าการหันมาจัดการกับใจของเราเอง เพื่อให้เกิดความทุกข์น้อยที่สุด หรือใช้มันให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ด้วยวิธีการต่อไปนี้

    ๑. ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว
    การยอมรับความจริงที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้เราเลิกบ่น ตีโพยตีพาย หรือมัวแต่ตีอกชกหัว ซึ่งมีแต่จะเพิ่มความทุกข์ให้แก่ตนเอง คนเรามักซ้ำเติมตัวเองด้วยการบ่นโวยวายในสิ่งที่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้

    เรามักทำใจยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นแล้วไม่ได้ เพราะเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง ไม่น่าเกิด ไม่ยุติธรรม (“ทำไมต้องเป็นฉัน ?”) แต่ยิ่งไปยึดติดหรือหมกมุ่นกับเหตุผลเหล่านั้น เราก็ยิ่งเป็นทุกข์ แทนที่จะเสียเวลาและพลังงานไปกับการบ่นโวยวาย ไม่ดีกว่าหรือหากเราจะเอาเวลาและพลังงานเหล่านั้นไปใช้ในการรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว

    เด็ก ๓ คนได้รับมอบหมายให้ขนของขึ้นรถไฟ แต่ระหว่างที่กำลังขนของ เด็กชาย ๒ คนก็ผละไปดูโทรทัศน์ซึ่งกำลังถ่ายทอดสดการชกมวยของสมจิตร จงจอหอ นักชกเหรียญทองโอลิมปิค เมื่อมีคนถามเด็กหญิงซึ่งกำลังขนของอยู่คนเดียวว่า เธอไม่โกรธหรือคิดจะด่าว่าเพื่อน ๒ คนนั้นหรือ เธอตอบว่า “หนูขนของขึ้นรถไฟ หนูเหนื่อยอย่างเดียว แต่ถ้าหนูโกรธหรือไปด่าว่าเขา หนูก็ต้องเหนื่อยสองอย่าง”

    ทุกครั้งที่ทำงาน เราสามารถเลือกได้ว่าจะเหนื่อยอย่างเดียว หรือเหนื่อยสองอย่าง คำถามคือทุกวันนี้เราเลือกเหนื่อยกี่อย่าง นอกจากเหนื่อยกายแล้ว เรายังเหนื่อยใจด้วยหรือไม่

    การยอมรับความจริง ไม่ได้แปลว่ายอมจำนนต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเลือกที่จะไม่ยอมทุกข์เพราะความเปลี่ยนแปลง อีกทั้งยังทำให้สามารถตั้งหลักหรือปรับตัวปรับใจพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงนั้นอย่างดีที่สุด

    ๒. ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
    นอกจากบ่นโวยวายกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว เรามักทุกข์เพราะอาลัยอดีตอันงดงาม หรือกังวลกับสิ่งเลวร้ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต สุดท้ายก็เลยไม่เป็นอันทำอะไร

    ไม่ว่าจะอาลัยอดีตหรือกังวลกับอนาคตเพียงใด ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น กลับทำให้เราย่ำแย่กว่าเดิม สิ่งเดียวที่จะทำให้อะไรดีขึ้นก็คือการทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ทางข้างหน้าแม้จะยาวไกลและลำบากเพียงใด แต่เราไม่มีวันถึงจุดหมายเลยหากไม่ลงมือก้าวเสียแต่เดี๋ยวนี้ รวมทั้งใส่ใจกับแต่ละก้าวให้ดี ถ้าก้าวไม่หยุดในที่สุดก็ต้องถึงที่หมายเอง

    บรู๊ซ เคอร์บี นักไต่เขา พูดไว้อย่างน่าสนใจว่า “ทุกอย่างมักจะดูเลวร้ายกว่าความจริงเสมอเมื่อเรามองจากที่ไกล ๆ เช่น หนทางขึ้นเขาดูน่ากลัว....บางเส้นทางอาจดูเลวร้ายจนคุณระย่อและอยากหันหลังกลับ นานมาแล้วผมได้บทเรียนสำคัญคือ แทนที่จะมองขึ้นไปข้างบนและสูญเสียกำลังใจกับการจินตนาการถึงอันตรายข้างหน้า ผมจับจ้องอยู่ที่พื้นใต้ฝ่าเท้าแล้วก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว”

    ๓. มองแง่บวก
    มองแง่บวกไม่ได้หมายถึงการฝันหวานว่าอนาคตจะต้องดีแน่ แต่หมายถึงการมองเห็นสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าเจ็บป่วย ตกงาน หรืออกหัก ก็ยังมีสิ่งดี ๆ อยู่รอบตัวและในตัวเรา รวมทั้งมองเห็นสิ่งดี ๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ในความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นด้วย

    แม้กนกวรรณ ศิลป์สุข จะป่วยด้วยโรคร้าย แต่เธอก็มีความสุขทุกวัน เพราะ “เราก็ยังมีตาเอาไว้มองสิ่งที่สวย ๆ มีจมูกไว้ดมกลิ่นหอม ๆ มีปากไว้กินอาหารอร่อย ๆ แล้วก็มีร่างกายที่ยังพอทำอะไรได้อีกหลายอย่าง แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่เราจะมีความสุข” ส่วนจารุวรรณ ศิลป์สุข น้องสาวของเธอ ซึ่งขาหักถึง ๑๔ ครั้งด้วยโรคเดียวกัน ก็พูดว่า “ขาหักก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องไปโรงเรียน ได้อยู่กับบ้าน ฟังยายเล่านิทาน หรือไม่ก็อ่านหนังสือ อยู่กับดอกไม้ กับธรรมชาติ กับสิ่งที่เราชอบ ก็ถือว่ามีความสุขไปอีกแบบ”

    โจว ต้า กวน แม้จะถูกตัดขา แต่แทนที่จะเศร้าเสียใจกับขาที่ถูกตัด เขากลับรู้สึกดีที่ยังมีขาอีกข้างหนึ่ง ดังตั้งชื่อหนังสือรวมบทกวีของเขาว่า “ฉันยังมีขาอีกข้างหนึ่ง”

    หลายคนพบว่าการที่เป็นมะเร็งทำให้ตนเองได้มาพบธรรมะและความสุขที่ลึกซึ้ง จึงอดไม่ได้ที่จะอุทานว่า “โชคดีที่เป็นมะเร็ง” ขณะที่บางคนบอกว่า “โชคดีที่เป็นแค่มะเร็งสมอง” เพราะหากเป็นมะเร็งปากมดลูกเธอจะต้องเจ็บปวดยิ่งกว่านี้

    ถึงที่สุด ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเรา ก็ล้วนดีเสมอ อย่างน้อยก็ดีที่ไม่แย่ไปกว่านี้

    ๔. มีสติ รู้เท่าทันตนเอง
    เมื่อความเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น เรามักมองออกนอกตัว และอดไม่ได้ที่จะโทษคนโน้น ต่อว่าคนนี้ และเรียกหาใครต่อใครมาช่วย แต่เรามักลืมดูใจตนเอง ว่ากำลังปล่อยให้ความโกรธแค้น ความกังวล และความท้อแท้ครอบงำใจไปแล้วมากน้อยเพียงใด เราลืมไปว่าเป็นตัวเราเองต่างหากที่ยอมให้เหตุการณ์ต่าง ๆ รอบตัวยัดเยียดความทุกข์ให้แก่ใจเรา ไม่ใช่เราดอกหรือที่เลือกทุกข์มากกว่าสุข การมีสติ ระลึกรู้ใจที่กำลังจมอยู่กับความทุกข์ จะช่วยพาใจกลับสู่ความปกติ เห็นอารมณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นโดยไม่ไปข้องเกี่ยว จ่อมจม หรือยึดติดถือมั่นมัน อีกทั้งยังเปิดช่องและบ่มเพาะปัญญาให้ทำงานได้เต็มที่ สามารถเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี หรือมองเห็นด้านดีของมันได้

    สติและปัญญาทำให้เรามีเสรีภาพที่จะเลือกสุข และหันหลังให้กับความทุกข์ ใช่หรือไม่ว่าอิสรภาพที่แท้คือความสามารถในการอนุญาตให้สิ่งต่าง ๆ มีอิทธิพลต่อชีวิตของเราได้เพียงใด ความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ของทรัพย์สิน ของผู้คนรอบตัว รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงในบ้านเมือง ไม่สามารถทำให้เราทุกข์ได้ หากเราเข้าถึงอิสรภาพดังกล่าว แทนที่เราจะมัววิงวอนเรียกร้องให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ถูกใจเรา ไม่ดีกว่าหรือหากเราพยายามพัฒนาตนบ่มเพาะจิตใจให้เข้าถึงอิสรภาพดังกล่าว ควบคู่ไปกับการสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้เกิดขึ้นแก่ตนเองและสังคม
    :- https://visalo.org/article/matichon255212.htm

    . EndLineMoving.gif
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กันยายน 2024
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    ทำชีวิตให้ช้าลง
    พระไพศาล วิสาโล
    พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราพิจารณาธรรมชาติเสมือนครูของเรา เช่น ให้ไปอย่างเบาเหมือนกับนกที่มีเพียงแค่ปีก ๒ ข้างก็สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ อันนี้ท่านสอนพระให้มีสัมภาระน้อย เราลองสังเกตธรรมชาติ เขาจะสอนเราหลายอย่าง เช่น ต้นไม้ เวลาเดินกลางแดดเราเคยนึกสงสัยบ้างหรือเปล่า เราเดินแค่ ๒ ชั่วโมงก็เหนื่อยแล้ว แต่ต้นไม้นี่เขียวตลอดเลย ขนาดอยู่กลางแดด รับแดดเข้าไปเต็มๆ ก็ยังเขียวได้ มีต้นไม้บางต้นบอบบางแต่เขียว แถมผลิดอกสวยงาม

    อาตมาเดินธรรมยาตราทุกปี ปีหนึ่งผ่านเส้นทางที่เป็นทางดินฝุ่นจับหนามาก ตอนนั้นเป็นตอนกลางวัน สองข้างทางมีแต่หญ้าเหลืองแห้ง พวกเราเดินไปก็รู้สึกห่อเหี่ยวไปด้วย แต่พอมาถึงจุดหนึ่งระหว่างห้วยลาดผักหนามกับซับสมบูรณ์ มีต้นประทัดจีนขึ้นอยู่ริมทาง ต้นเล็กๆ ดอกแดงสด แถมหันดอกให้กับพระอาทิตย์ พวกเราหลายคนพอเห็นแล้วรู้สึกเลยว่าดอกไม้ในใจเราเบ่งบานเลย เพราะเกิดกำลังใจว่าขนาดดอกเล็กๆ เขายังสู้แดดได้ และไม่ได้สู้แดดแบบฝืนทน แต่สู้แดดแบบร่าเริงแจ่มใส เราเสียอีกกลับห่อเหี่ยวเมื่อเจอแดด ทั้ง ๆ ที่เรียกตัวเองว่านักปฏิบัติธรรม พอเจอดอกประทัดจีนบาน ดอกไม้ในใจก็บาน หน้าก็บานด้วย เลยยิ้มกันใหญ่

    แต่มีบางคนมองไม่เห็นดอกประทัดจีน เพราะมัวแต่กลุ้มใจ เอาแต่บ่นว่า ร้อนเหลือเกิน เมื่อไหร่จะถึง ถ้าคิดแบบนี้ก็ไม่เห็นหรอกแม้สองข้างทางจะสวยงามเพียงใดเพราะใจไม่ว่างแล้ว ใจอัดแน่นด้วยความทุกข์ เราจะเห็นภาพสวยงามชุ่มชื่นใจอย่างนี้ได้ก็ต่อเมื่อเราเปิดใจ แล้วเราก็จะเห็นธรรมชาติ เห็นความจริงที่เขาสอนและแสดงให้เราเห็น

    นอกจากต้นไม้ทนต่อแดด สามารถเขียวสะพรั่งได้ตลอดวันแล้ว ต้นไม้ยังทำได้ยิ่งกว่านั้นอีก คือเปลี่ยนแดดให้กลายเป็นร่มเงา เปลี่ยนแดดให้กลายเป็นใบไม้ เปลี่ยนแดดให้กลายเป็นดอกไม้ที่สวยงามได้ ไม่มีแดดก็ไม่มีสีเขียว ไม่มีแดดก็ไม่มีดอกไม้ นี้เป็นความเก่งกาจของต้นไม้ นอกจากจะทนต่อแดดแล้ว ยังสามารถเปลี่ยนแดดมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ด้วย พวกเราก็ได้รับประโยชน์จากความสามารถของต้นไม้ ถ้าต้นไม้ไม่มีความสามารถที่จะเปลี่ยนแดดร้อนให้กลายเป็นร่มเงาที่เย็น ดอกไม้ที่สวยงาม หรือผลไม้ที่หอมหวานได้ เราก็คงจะไม่สามารถอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ เขาสอนเรามากเลยนะ คือสอนเรื่องความเสียสละ เพราะว่าเขายอมทนแดดเพื่อให้ร่มเงาแก่เรา ให้ร่มเงาแก่สัตว์เล็กสัตว์น้อย เราจะมองว่าเขาฉลาดก็ได้ที่เปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี

    คนเราถ้ารู้จักเปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นสุข เปลี่ยนอุปสรรคให้กลายเป็นกำลังบำรุงใจเราก็จะไม่ด้อยกว่าต้นไม้เลย เปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นสุขให้ได้ เปลี่ยนเคราะห์ให้กลายเป็นโชคให้ได้ ไม่ใช่แค่ใบเท่านั้นที่ทำอย่างนี้ได้ รากต้นไม้ก็ทำอย่างนี้ได้เหมือนกัน เราเอาขยะ เอาขี้หมา เอาซากเอาศพเน่าทิ้งลงไปที่โคนต้น ประเดี๋ยวรากก็จัดการเอง เปลี่ยนของที่เน่าเหม็นให้กลายเป็นดอกไม้ที่สวยงามหรือผลไม้ที่อร่อยได้

    พวกเรา เคยไปเมืองจีนไหม ปุ๋ยที่เอามาทำสวน จนได้ผักใบงามๆ ผลไม้ลูกใหญ่ๆ ล้วนมาจากขี้ทั้งนั้น ที่เมืองจีนส้วมจะมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร คือไม่มีประตู มีแต่ฝาคั่นเป็นช่องๆ เวลาจะถ่ายเราก็หันหน้า ส่วนอุจจาระก็จะหล่นลงไปในราง แล้วชาวบ้านจะกวาดเก็บอุจจาระเหล่านี้มาทำปุ๋ย สวนผลไม้ สวนผักชอบปุ๋ยแบบนี้มาก อันนี้คือความสามารถของต้นไม้ ทั้งใบทั้งรากสามารถเปลี่ยนขยะปฏิกูลให้กลายเป็นของดีขึ้นมาได้

    เวลาเราเดิน หากเราเดินช้าๆ จะช่วยให้ชีวิตเราเร่งรีบน้อยลง ชีวิตคนเราสมัยนี้เร่งรีบมาก เราเร่งรีบเพื่อจะได้ไปทำอีกอย่างหนึ่ง พอทำงานชิ้นที่ ๒ เราก็เร่งรีบอีกเพื่อไปทำงานชิ้นที่ ๓ กับชิ้นที่ ๓ เราก็เร่งรีบอีก กลายเป็นว่าเราเร่งรีบเพื่อจะไปเร่งรีบอีกอย่างหนึ่ง ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรนอกจากนี้ ผลก็คือเรา กลายเป็นคนไม่มีเวลาว่าง แม้แต่ไปเที่ยวธรรมชาติก็รีบๆ คนสมัยนี้มีเครื่องทุ่นแรงทุ่นเวลามากมาย เพื่อทำอะไรให้เร็วๆ ให้เสร็จไวๆ แต่สุดท้ายก็ไม่มีเวลาว่างเลย ไม่มีเวลาแม้แต่จะพักผ่อน หรือมีเวลาให้กับพ่อแม่ลูกหลาน ตรงกันข้ามกับชาวบ้าน ชาวบ้านไม่ค่อยมีเครื่องทุ่นแรงทุ่นเวลา จะทำอะไรแต่ละอย่างๆ ใช้เวลามาก ไม่ว่า การเดินทาง การหุงหาอาหาร การตักน้ำ แต่ทำไมเขามีเวลาว่างเยอะ ลองสังเกตก็จะเห็นว่า เขามีเวลานอนเล่น กลับถึงบ้านเขาก็มีเวลาอยู่กับลูกกับหลาน ส่วนคนเมืองกลับไม่มีเวลาว่างทั้ง ๆ ที่รีบทุกอย่าง แปลกไหม ยิ่งรีบ กลับไม่มีเวลาว่าง ส่วนคนไม่รีบ กลับมีเวลาว่าง เราลองสังเกตดู

    มาเดินธรรมยาตรา เราบ่นว่าใช้เวลาเดินเยอะเหลือเกิน ถ้านั่งรถครู่เดียวก็ถึงแล้ว แต่สิ่งที่เราสูญเสียไปกับการเร่งรีบนี้มีเยอะมาก เราเคยคิดบ้างหรือเปล่า การเร่งรีบดูเหมือนจะทำให้ประหยัดเวลา แต่นับวันเวลาว่างเรากลับมีน้อยลง การเร่งรีบยังทำให้เราสูญเสียหลายอย่าง เช่น สูญเสียความสงบใจ สูญเสียโอกาสที่จะเพ่งพินิจธรรมชาติตามรายทาง รวมทั้งสูญเสียโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับผู้คน ไม่มีโอกาสพูดคุยกับผู้คน เดี๋ยวนี้เวลาไปเที่ยวต่างประเทศ เรารู้จักแต่สถานที่ โดยเฉพาะย่านช็อปปิ้ง แต่เราแทบไม่รู้จักกับผู้คนที่เป็นเจ้าของประเทศเลย เพราะเราไปกันแบบรีบๆ เลยไม่ได้มีโอกาสปฏิสัมพันธ์หรือเรียนรู้จากผู้คน เวลาไปต่างประเทศก็อยู่โรงแรม พอย่างท้าวออกจากโรงแรมก็ขึ้นรถทัวร์ ถึงสถานที่ท่องเที่ยวก็ลงรถ เที่ยวๆ เสร็จกลับมาขึ้นรถทัวร์ กลับมาพักโรงแรม เราถ่ายรูปเพื่อบอกใครว่าได้ไปสถานที่โน้นสถานที่นี้ แต่เรารู้จักคนที่เป็นเจ้าของประเทศบ้างหรือเปล่า

    การขาดปฏิสัมพันธ์แบบนี้เป็นความขาดทุนอย่างหนึ่ง เพราะการมีปฏิสัมพันธ์กันทำให้เกิดความเข้าอกเข้าใจกัน รวมทั้งได้ซาบซึ้งกับน้ำใจของผู้คน เวลาเราเอาท้องฝากไว้กับคนอื่น มันจะทำให้เราเห็นน้ำใจของผู้คนมากขึ้น อย่างขบวนธรรมยาตรานี้ จะเรียกว่าเราเอาปากท้องฝากไว้กับชาวบ้าน กับผู้คนสองข้างทางก็ได้ เมื่อไรก็ตามที่เราทำอย่างนี้ เราจะเห็นน้ำใจของผู้คน คนที่นั่งรถ คนที่ทำอะไรเร็วๆ ไปถึงที่หมายเร็วๆ หรือนั่งรถทัวร์ จะไม่มีโอกาสได้สัมผัสน้ำใจแบบนี้เลย ประสบการณ์แบบนี้เป็นสิ่งมีค่า และอาจตราตรึงใจเราได้ไม่น้อยกว่าการได้เห็นสถานที่แปลกๆ ก็ได้

    การได้เห็นสถานที่แปลกๆ ส่วนใหญ่ก็แค่ประทับไว้ในภาพถ่าย อาจถ่ายเป็นพันรูปแต่ไม่ได้กลับมาดูเลยก็ได้ หรืออาจจะดูแค่วันสองวันแล้วก็ลืมไป แต่สิ่งที่จะประทับอยู่ในใจเรานานก็คือเมตตาของผู้คน โดยเฉพาะเวลาตกระกำลำบากเราจะซาบซึ้งน้ำใจของเขามาก เวลาประสบความยากลำบากในต่างแดนแล้วมีคนช่วยเรา เราจะจำหน้าเขาได้ไม่ลืม ทุกวันนี้อาตมายังจำหน้าคนหลายคนที่ช่วยอาตมาตอนมีปัญหาได้ หากเราอยู่แต่ในบ้านเราจะไม่รู้สึกแบบนี้ เพราะเวลาเราอยู่บ้าน เราจะรู้สึกว่าเรามีทุกอย่าง เราเป็นใหญ่ในบ้าน ทุกอย่างเรียบร้อยเลิศเลอเพอร์เฟ็ค สบาย เราจะรู้สึกว่าเราเป็นคนสำคัญ ทุกอย่างอยู่ในอำนาจของเรา แต่พอเราไปต่างแดน ตัวเราจะเล็กลง เพราะเราไม่ใช่เจ้าบ้าน ยิ่งเราตกระกำลำบาก เราจะได้พบกับน้ำใจผู้คน และหากเราไปช้า ๆ เราจะได้เรียนรู้จากผู้คน ได้มีโอกาสพูดคุยกับเขา ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น แม้จะต่างชาติ ต่างภาษา หรือต่างศาสนาก็ตาม
    การเดินจึงมีหลายมิติมาก การท่องเที่ยวด้วยการเดินไปช้าๆ ทำให้ได้เห็นธรรมชาติ ได้อาศัยธรรมชาติเป็นครู และได้รู้จักผู้คนต่างชาติต่างภาษาที่อาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลย เจอกันเพียงครั้งเดียว แต่อาจซาบซึ้งน้ำใจของเขาไปตลอดชีวิตเลยก็ได้
    :- https://visalo.org/article/komol255407.htm


     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    walkingmeditation.jpg
    สุขง่าย ทุกข์ยาก

    พระไพศาล วิสาโล
    ธรรมชาติคนเราเวลามีความเจ็บปวดก็จะพยายามผลัก พยายามปฏิเสธ พยายามดิ้น สังเกตนะเวลากายร้อน เวลากายเหนื่อย เวลากายปวด กายจะผลักไสความเจ็บปวดออกไป แต่มันไม่ยอมไป สิ่งใดที่ไม่ยอมไปไปเราจะทำอย่างไร เราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ คนเราต้องอยู่กับความผิดหวัง ความไม่สมหวัง อยู่กับความทุกข์ อยู่กับความเจ็บปวดให้ได้ วันนี้อาจจะไม่เจอแต่พรุ่งนี้อาจจะเจอ อย่างน้อยต้องมีสักครั้งหนึ่งในชีวิตที่ต้องเจอ ถ้าไม่เจอตอนเป็นหนุ่มเป็นสาวก็เจอตอนแก่

    หลายคนรักษาตัวให้มีสุขภาพดีมาตลอดแต่สุดท้ายเป็นมะเร็ง เป็นมะเร็งเราก็รู้อยู่แล้วว่ามันปวดมาก ยามักเอาไม่อยู่ แม้จะไปฉีดยา ไปทำเคมีบำบัด หรือฉายแสงก็ยังปวด หลายคนตายไปด้วยความทุกข์ทรมานเพราะความปวด ไม่ว่ารวยแค่ไหนเป็นเศรษฐีพันล้านหรือร้อยล้าน เงินทั้งหมดทั้งหลายทั้งปวงที่มีไม่ได้ช่วยเราเลย แต่สิ่งที่จะช่วยเราได้ก็คือใจ ใจที่ไม่ใช่อดทนเท่านั้นนะ แต่ใจต้องมีสติด้วย ใจที่มีสติจะทำให้เราอยู่กับความเจ็บปวดได้ ทำอย่างไรเราถึงจะอยู่กับความเจ็บปวดได้อย่างสงบ สันติ ต่างตนต่างอยู่ ความเจ็บปวดก็อยู่ไปแต่ใจไม่ทุกข์ ให้มันรบกวนแต่ร่างกาย ส่วนใจเราสงบเป็นปกติ นี่คืออานิสงส์ของการฝึกจิต เราไม่ได้เดินกลางแดด เดินเท้าเปล่า เพื่อฝึกความอดทนเท่านั้น แต่ฝึกเพื่อให้ใจเป็นอิสระจากความทุกข์ทางกายได้ แล้วใจก็จะเบา

    มีบางคนเป็นมะเร็งลำไส้แล้วปวดมากจนยาก็เอาไม่อยู่ แต่ว่าพอตั้งสติได้ เขาเล่าว่า สติดึงจิตมาอยู่ที่หัวไหล่แล้วมาดูกาย กายปวดแต่ใจไม่ปวดเลย สงบมาก แต่พอเผลอสติใจก็ไปรวมเข้ากับกาย จะรู้สึกปวดสุดๆ เลย ต้องตั้งสติใหม่ดึงจิตออกมาดูกาย ความปวดยังอยู่ ไม่ได้หายไปไหน แต่ใจไม่เป็นทุกข์แล้ว

    เราอยากทำได้แบบนี้ไหม ถ้าอยากทำได้แบบนี้ก็ต้องฝึก แล้วจะฝึกอย่างไรก็ต้องฝึกจากชีวิต จากประสบการณ์จริงๆ การฝึกมันทำได้หลายแบบ การมาเดินให้แดดเผา เดินให้กรวดทิ่มแทงเท้า ก็เป็นการฝึกอีกแบบหนึ่ง แต่ไม่จำเป็นต้องฝึกแบบนี้ก็ได้ แต่ว่าควรจะฝึก ไหนๆ มาถึงนี่แล้ว แทนที่จะเดินด้วยความทุกข์ทั้งกายและใจ ก็ควรเดินด้วยใจที่ทุกข์น้อยที่สุด

    แล้วจะทำอย่างไร ก็ต้องฝึก อาตมาถึงได้แนะว่า เวลาเดินให้เดินอย่างมีสติ พยายามพูดคุยกันให้น้อย การพูดการคุยมันช่วยให้เจ็บน้อยลงก็จริง แต่ช่วยได้ไม่มาก คุยกันนานๆ ก็เหนื่อย แถมยังสร้างความทุกข์ให้คนข้างๆ บางคนอุตส่าห์มาเดินถึงนี่ ก็ยังมาเดินคุยกัน มันได้แค่ความอดทนแต่อย่างอื่นไม่ได้เลย นับว่าเสียดายโอกาสเพราะว่าเราไม่ได้ถูกบังคับให้มาเดิน เมื่อมาเดินทั้งทีก็ควรใช้โอกาสนี้ฝึกใจของเราให้มีสติ ถ้าใจเรามีสติแล้วก็จะได้ประโยชน์คุ้มค่า แต่ถ้าเดินแล้วคุยกันเรื่องหนัง เรื่องการเมือง มันได้ประโยชน์น้อย แถมยังไปรบกวนคนอื่นที่ต้องการความสงบด้วย แต่ถ้าเดินอย่างมีสติจริงๆ แม้คนรอบข้างจะคุยกัน เราก็ใจสงบได้ อย่างที่พูดเมื่อวานว่า ใจก็สงบได้แม้ว่าคนจะคุยกันเพราะเราไม่เอาเสียงเหล่านี้มาเป็นเครื่องกวนอารมณ์

    ถ้าเราเดินไปได้เรื่อยๆ แม้บางคนอาจจะยังฝึกไม่ถึงขั้นที่อาตมาว่า แต่สิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นกับเราคือ ทำให้เราเป็นคนสุขง่ายและทุกข์ยาก คนเดี๋ยวนี้มักจะสุขยากแต่ทุกข์ง่าย ทั้งๆ ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อยู่ที่บ้านมีโทรทัศน์ มีโทรศัพท์มือถือ มีพัดลม มีแอร์ มีอาหารอร่อยๆ กิน แต่ว่าทุกข์ อยู่ที่บ้านไม่ได้ รู้สึกกระสับกระส่าย ต้องออกไปเที่ยวห้าง บางคนอยู่ว่างๆ ไม่เป็น ต้องโทรศัพท์หาเพื่อนคุยเป็นชั่วโมงสองชั่วโมง อาการอยู่เฉยไม่ได้นี้เป็นสิ่งบ่งบอกถึงความทุกข์ใจ คนเราถ้ามีความสุขจะนิ่งได้ ถ้าอยู่เฉยไม่ได้แสดงว่าทุกข์ เสาร์อาทิตย์ก็อยู่นิ่งๆ ไม่เป็น ต้องไปเที่ยวห้าง ต้องไปทำโน่นทำนี่ อันนี้เขาเรียกว่าทุกข์ง่าย สุขยาก

    แต่เมื่อมาที่นี่ หลายคนบอกว่ามีความสุขง่ายขึ้น เวลาเดินแค่มีลมพัดมาเบาๆ หรือได้พักใต้เงาไม้ก็มีความสุขแล้ว กำลังเหนื่อยๆ ได้กินน้ำ น้ำเปล่า ๆ ไม่ต้องแช่น้ำแข็ง ไม่ต้องเป็นน้ำอัดลมก็มีความสุขแล้ว ถ้าเป็นแต่ก่อนต้องกินน้ำอัดลม ต้องกินไอศกรีมฮาเก้นดาส แต่ว่าที่นี่เพียงแค่ได้กินน้ำเปล่าดับกระหายก็มีความสุขแล้ว ความสุขหาได้ง่ายเพราะไม่ต้องใช้เงินเลย ได้กินน้ำฝน น้ำประปา ไม่ต้องใส่น้ำแข็ง ได้นอนกลางดินก็หลับได้ ไม่จำเป็นต้องนอนบนเตียงในห้องที่หรูหรา หลายๆ คนได้นอนบนเตียงราคาแพงในห้องที่หรูหราก็ยังไม่หลับ แต่มาที่นี่นอนในเต๊นท์กลับหลับได้สบาย ความสุขนั้นหาได้ง่ายมาก สังเกตหรือเปล่าว่า เราไม่มีโทรศัพท์มือถือ เราไม่ได้ดูโทรทัศน์ คืนนี้เป็นคืนที่ ๔ ก็ยังอยู่ได้ ไม่ตาย ไม่มีวีดีโอเกมส์ให้เล่น ไม่มีคอมพิวเตอร์ให้แชทก็ยังอยู่ได้ ขณะที่อยู่ในเมืองถ้าไม่มีอินเตอร์เน็ท ไม่มีโทรศัพท์มือถือจะตายให้ได้ เคยมีการสอบถามคนในเมือง โดยเฉพาะวัยรุ่นว่าอะไรเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิต มากกว่าครึ่งตอบว่าโทรศัพท์มือถือ ไม่รู้ว่ารวมถึงพวกเราด้วยหรือเปล่า แต่เห็นไหมว่าถึงแม้ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เราก็ยังอยู่ได้และอยู่ได้สบายด้วย

    ลองไตร่ตรองดูว่าสิ่งของเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นที่ชีวิตต้องการจริงๆ หรือเปล่า หลายคนบอกว่าโทรศัพท์มือถือเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิต แต่มาอยู่ที่นี่จะรู้เลยว่า ถึงไม่มีมันเราก็อยู่ได้ อยู่ที่นี่ไม่ต้องมีอะไรมาก แค่ได้พักใต้ร่มไม้ก็มีความสุขแล้ว มีข้าวกิน แม้ข้าวไม่อร่อย ก็ยังมีความสุขได้ มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอายุ ๑๓ ปี เขาอยากเป็นนักแสดง ก็เลยไปสมัครเข้าค่ายละคร พอไปเห็นค่ายก็รู้สึกผิดหวังมาก เพราะมันอยู่กลางทุ่งเป็นค่ายเหมือนที่เรากางเต็นท์แบบนี้ ที่แย่กว่านั้นคือไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ก็ไม่มีให้ดู รู้สึกผิดหวังมากเพราะฝันไว้อีกแบบหนึ่ง แต่พอเข้าค่ายละครได้สี่ห้าวัน ได้แสดงละครได้เข้ากลุ่มพูดคุยกันในเรื่องการกำกับละคร การเขียนบท เธอก็ลืมความทุกข์ไปเลย ถึงวันสุดท้ายเธอบอกว่ามีความสุขมาก แล้วก็ฉุกคิดขึ้นมาว่าวันแรกเธอมีความทุกข์มากเพราะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ความสะดวกก็ไม่มี ห้องน้ำก็ลำบาก แต่ทำไมพอถึงวันที่ ๕ กลับมีความสุข ทำไมถึงมีความสุข ก็เพราะได้ทำสิ่งที่ชอบ เธอเห็นเลยว่าความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีสิ่งของสิ่งอำนวยความสะดวก ความสุขมันอยู่ที่ใจ อยู่ที่การทำสิ่งดีๆ ที่มีค่าที่น่าภาคภูมิใจ คนเราถ้าเห็นความจริงอย่างนี้จะเป็นคนสุขง่าย ทุกข์ยาก

    ทุกข์ยากหมายความว่าเป็นคนที่ไม่ทุกข์ง่ายๆ อยู่ที่นี่ถ้ากินกล้วยใบหนึ่งแล้วรู้สึกอร่อย กินข้าวกับน้ำพริกก็อร่อย อันนี้เรียกว่าสุขง่าย ถ้าสุขง่ายแบบนี้ความทุกข์จะเกิดขึ้นได้ยาก เราอยากจะเป็นไหมคนสุขง่าย ทุกข์ยาก หลายคนบอกว่ามาลำบากทำไม ประการแรกก็เพื่อให้เรารู้ว่าคนเราสามารถมีความสุขโดยไม่มีสิ่งมาอำนวยความสะดวกก็ได้ ของแบบนี้ถ้าไม่ได้ปฏิบัติเองก็ไม่รู้ คิดเอาเองก็ไม่รู้นะ ประการที่สอง ก็เพื่อให้เราหันมาชื่นชมสิ่งที่เรามีอยู่ที่บ้าน หลายคนตอนอยู่บ้านมักมีเรื่องบ่นอยู่เรื่อย อาหารทานไม่อร่อย ที่นอนก็ไม่ค่อยดี ห้องนอนเล็ก ห้องน้ำไม่หรู แต่มาพออยู่อย่างนี้หลายคนจะคิดถึงบ้านและได้รู้ว่าบ้านนั้นคือสวรรค์ ถ้าไม่มาลำบากอย่างนี้ก็ไม่รู้นะว่าสิ่งที่เราเคยมี หรือกำลังมีอยู่นั้นมีค่ามากเพียงใด

    คนเราถ้าไม่เคยพลัดพรากจากสิ่งที่เคยมีจะไม่เห็นคุณค่าของสิ่งนั้น คนที่มีมือมีเท้าจะไม่รู้สึกเลยว่ามือเท้านั้นสำคัญเพียงใด จนกว่ามือหรือเท้าจะมีอันเป็นไป เช่น พิการหรือยกแขนไม่ขึ้น เคยเป็นไหมยกแขนไม่ขึ้น แล้วจะรู้เลยว่าการมีมือปกติที่เคลื่อนไหวไปมาปกตินั้นเป็นความสุขอย่างหนึ่งที่มีค่ามาก แต่ก่อนเราไม่รู้สึกเลยว่ารองเท้าธรรมดานั้นมีค่าเพียงใด เราอยากได้รองเท้าสวยๆ ราคาแพงๆ ได้อย่างไร ยี่ห้อธรรมดาไม่เอาจะเอายี่ห้อที่แพงกว่านั้น แต่มาอยู่ที่นี่เพียงคุณมีรองเท้าแตะคู่หนึ่งคุณก็มีความสุขแล้ว ไม่เชื่อก็ลองถอดรองเท้าดู รองเท้าแตะราคา ๑๐ บาท ๑๕ บาทก็ทำให้มีความสุขได้

    คนเราถ้าไม่ขาด ไม่สูญเสีย หรือไม่พลัดพรากห่างไกลจากสิ่งที่เคยมีเราจะไม่รู้เลยว่าสิ่งนั้นมีคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือบุคคล คนที่มีพ่อแม่จะค่อยไม่รู้สึกเลยว่าการที่ได้อยู่กับพ่อแม่ หรือพ่อแม่ยังอยู่กับเรานั้นมีความหมายเพียงใด พอไกลจากท่านหรือท่านเสียชีวิตไปจึงค่อยได้คิดว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่เรามีความสุขที่สุดในชีวิต แต่ตอนนั้นไม่รู้สึกนะว่าเป็นช่วงที่มีความสุขเพราะใจอยากได้อย่างอื่นที่ไม่เคยมี คนเรามักจะแสวงหาสิ่งที่ไม่มี เราคิดว่าถ้าเราได้มันมาเราจะมีความสุข แต่เราลืมมองไปว่าสิ่งที่เรามีอยู่กับตัวตอนนี้ให้ความสุขกับเราแล้ว ไม่ต้องแสวงหาความสุขจากที่ไหนอีก

    การที่เรามาลำบากอย่างนี้ อย่างน้อยๆ มันทำให้เราได้เห็นว่าบ้านเอย หอพักเอย เป็นที่ ๆ ให้ความสุขแก่เรา ไม่ต้องดิ้นรนเรียกร้องแสวงหาอะไรมากกว่านี้ก็ได้ เป็นเพราะเราไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามี เราถึงอยากได้โน่นอยากได้นี่ มีโทรศัพท์มือถือแล้ว ก็ไม่พอใจอยากได้รุ่นใหม่ อยากได้รุ่นที่มีลูกเล่นมากกว่านี้ แต่พอโทรศัพท์หายถึงค่อยรู้ว่ามันมีค่า เราอย่ามาคอยให้มันหายหรือสูญเสียมันไปก่อนแล้วค่อยเห็นคุณค่า ต้องรู้จักชื่นชมมันเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ตั้งแต่มันยังอยู่กับเรา
    :- https://visalo.org/article/komol255503.htm
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    รู้ทันความคิด
    พระไพศาล วิสาโล
    อันตรายที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา มักจะมาจากสิ่งภายนอก เช่น จากศัตรู สัตว์ร้าย ภัยธรรมชาติ น้ำเชี่ยว เขาสูง เหวลึก รวมถึงพิษจากผลไม้หรืออาหาร มนุษย์เราอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ ผ่านมาหลายล้านปี สืบทอดเผ่าพันธุ์กันมา นับแสนนับล้านชั่วอายุคน เพราะเรารู้จักหลบหลีกอันตรายที่มาจากภายนอก ทั้งภัยจากสัตว์และธรรมชาติ สะสมจนกลายเป็นสัญชาตญาณของคนเรา ว่าจะอยู่รอดได้ก็ต้องหมั่นรู้เท่าทันอันตรายจากภายนอก

    แต่สมัยนี้วิถีชีวิตของคนเราไม่ได้มีอันตรายจากภายนอกมากเท่าแต่ก่อน ทุกข์ภัยที่เกิดขึ้นกับผู้คนส่วนใหญ่เป็นทุกข์ทางใจ ไม่ใช่ทุกข์ทางกาย อันตรายที่จะมาบีบคั้นร่างกายของเราให้เดือดร้อนทุกข์ทรมานนั้นน้อยลงไปทุกที สัตว์ร้ายก็ดี ภัยธรรมชาติก็ดี เดี๋ยวนี้มีน้อยมาก จะมีก็แต่ภัยจากเทคโนโลยี รถยนต์ อุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องยนต์ต่างๆ แต่ถึงอย่างไรก็นับว่าเรามีความปลอดภัยมากขึ้น เพราะสิ่งเหล่านั้นเราสามารถควบคุมจัดการได้มากกว่าสิงสาราสัตว์ที่เป็นอันตราย ความหิว ความเจ็บป่วยก็ลดน้อยลงมาก แม้จะไม่หมดไปก็ตาม

    ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเราทุกวันนี้ถ้ามีร้อยส่วน ก็เป็นความทุกข์กายประมาณ ๓๐ ส่วน อีก ๗๐ ส่วนที่เหลือเป็นความทุกข์ใจ ความทุกข์เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ประสบกับสิ่งที่ไม่รัก หรือปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น เหล่านี้ล้วนแต่เป็นทำให้ทุกข์ใจ อยากเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งแต่ไม่ได้ อยากได้ของชิ้นนั้นชิ้นนี้แต่ไม่ได้ พลัดพรากจากของรัก เช่น เงินหาย ของเสีย แฟนทิ้ง ประสบกับสิ่งที่ไม่รัก อันนี้ไม่ต้องถึงขั้นมีคนมาทำร้าย แค่มีคนมาต่อว่าด่าทอ ติฉินนินทา ตัดพ้อต่อว่า ทำอะไรข้ามหน้าข้ามตา ไม่ให้ความเป็นธรรม พวกนี้ทำให้ทุกข์ใจทั้งนั้น ไม่ใช่ทุกข์กาย แต่แน่นอนถ้าวางใจไม่เป็น จัดการกับความทุกข์ใจไม่ได้ ก็ทำให้เกิดความทุกข์กายตามมา เช่น เจ็บป่วย ป่วยเพราะสร้อยหาย ป่วยเพราะถูกเพื่อนโกงเงิน

    ทุกข์ใจถ้าสะสมมากๆ ก็ทำร้ายเราได้ ทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ หรืออาจถึงขั้นไม่อยากมีชีวิตอยู่เป็นผู้เป็นคนอีกต่อไป ความทุกข์ใจเกิดจากอะไร เกิดจากอารมณ์ที่สะสมหมักหมม เผาลน หรือบีบคั้นทิ่มแทงใจ อารมณ์เหล่านี้มาจากไหน มาจากความคิด มีความคาดหวังแล้วไม่ได้อย่างที่คาดหวังก็ทุกข์ ความคาดหวังเป็นความคิดอย่างหนึ่งที่เจือด้วยความอยาก เมื่อเรามีความคิดว่าสิ่งนี้ควรสิ่งนี้ไม่ควร แล้วไปเจอสิ่งที่ไม่ควรเข้าก็ทุกข์ใจขึ้นมา เช่น คิดว่าเราควรจะได้รับเงินเดือนมากกว่านี้ ที่ได้รับอยู่มันน้อยไป หรือเจอรถติดทั้งที่เป็นเช้าวันอาทิตย์ เราคิดว่ามันไม่ควรจะติดเลย พอคิดว่าไม่ควรเท่านั้นแหละใจก็ทุกข์เลย

    คนเราทุกข์เพราะความคิด ความคาดหวัง เรียกรวมๆ ว่าเป็นความปรุงแต่งทางใจ ทีแรกก็ปรุงแต่งทางความคิด จากนั้นก็ปรุงแต่งต่อเป็นอารมณ์ เมื่อประสบพบเจอเรื่องที่ไม่เป็นอย่างที่คิด ไม่เป็นไปอย่างที่คาด ก็เกิดความเสียใจ โกรธ น้อยเนื้อต่ำใจ เกิดความทุกข์ขึ้นมาทันที เป็นความทุกข์ใจที่สามารถทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ ทั้งๆ ที่มีอาหารกินครบสามมื้อ มีบ้านที่อยู่สบาย แต่ไม่สามารถจะกินอิ่มนอนอุ่นได้ ไม่ใช่เพราะขาดแคลน ไม่ใช่เพราะหนาว แต่เพราะว่าทุกข์ที่ใจ ทุกข์เพราะการปรุงแต่งทางใจ

    แต่ถ้าเรารู้ทันความคิดและอารมณ์ปรุงแต่ง มันก็จะไม่เป็นปัญหา ปัญหาคือเราไม่รู้ทัน เราปล่อยให้มันเล่นงานจิตใจ เพราะมัวแต่ไปรับรู้หรือจดจ่อสิ่งนอกตัว พอมีความทุกข์ใจก็ไปโทษสิ่งภายนอก โทษไฟสัญญาณจราจรว่าแดงนานเกินไป ทำไมไม่เขียวสักที โทษรถติดว่าทำให้เราทุกข์ใจ แต่ลองพิจารณาดูนะว่า ไม่ว่าไฟแดงจะนานสักแค่ไหน แต่หากเราไม่มีความคิดว่ามันควรจะเขียวได้แล้ว การติดไฟแดงก็ไม่ได้ทำให้เราทุกข์ใจ หรือถึงรถจะติดมาก แต่เราไม่รีบร้อน การถึงที่หมายช้าก็ไม่ทำให้เราทุกข์ใจ แต่คนเรามักมองไม่เห็นความคิดความอยาก ความคาดหวังที่เกิดขึ้นในใจ แต่กลับไปเพ่งโทษสิ่งภายนอก ที่เป็นเช่นนี้เพราะเรามัวแต่ส่งจิตออกนอก ไม่ได้กลับมาดูใจ รู้ทันความคิดอารมณ์ที่เกิดขึ้น

    การที่เราจะดูใจรู้ทันความคิดไม่ใช่เรื่องยาก ใจของเรามีสติที่จะทำหน้าที่นี้อยู่แล้วเหมือนตาใน แต่เรากลับให้ความสนใจกับสิ่งภายนอกมากกว่า อาจเป็นเพราะว่าเรามีอายตนะรับรู้สิ่งภายนอกถึง ๕ อย่าง มันเลยแส่ส่ายออกไปเพ่งสิ่งที่อยู่นอกตัว อันนั้นอาจจะจำเป็นสำหรับมนุษย์ที่ต้องต่อสู้กับภัยธรรมชาติ กับสัตว์ร้ายสมัยที่ยังอยู่ป่า แต่สมัยนี้เรามาอยู่เมือง ภัยจากสิ่งภายนอกน้อยลง ภัยจากภายในมีมากขึ้น แต่เรายังไม่ปรับเปลี่ยนวิธีการ ยังมัวเพ่งมองอันตรายจากภายนอก มองไม่เห็นอันตรายจากภายใน จากความคิดปรุงแต่ง

    เพียงแค่ความรู้สึกที่ว่า “ฉันเป็น nobody ฉันเป็นคนที่ไม่มีความหมาย” มันก็สามารถทำร้ายเราได้อย่างน่ากลัว คนจำนวนมากฆ่าตัวตายเพราะรู้สึกว่า “ฉันเป็นnobody ฉันไม่มีตัวตนในสายตาใคร” นี่เป็นความคิดทั้งนั้น แต่ความคิดแบบนี้สร้างความทุกข์ใจจนถึงขั้นฆ่าตัวตายได้ คนที่จะฆ่าตัวตายได้นั้นเป็นเพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า โดดเดี่ยว ไม่มีใครให้พึ่งพาอาศัย ไม่มีใครช่วยได้ หรือบางคนไม่ได้ฆ่าตัวเอง แต่กลับไปฆ่าคนอื่นโดยเฉพาะคนดัง เช่น มาร์ค แชปแมน ที่ยิงจอห์น เลนนอนจนตาย เขาให้สัมภาษณ์ว่า เขาฆ่าจอห์น เลนนอน เพราะต้องการเป็น “somebody” ที่เป็นเช่นนี้เพราะเขารู้สึกไม่มีค่าในสายตาใครเลย ทำอะไรก็ล้มเหลว ไม่ว่าเรื่องการเรียน การทำงาน หรือความรัก เขาพยายามทำหลายอย่างให้คนสนใจ แต่ก็ไม่มีใครสนใจ ก็เลยตัดสินใจฆ่าจอห์น เลนนอนเพื่อให้โลกสนใจเขา เพราะต้องการมีตัวตนในสายตาคนอื่น

    ความรู้สึกว่าตัวเองเป็น nobody เป็นเรื่องของความคิดล้วนๆ เลย ทำไมถึงเป็นปัญหาขนาดนี้ได้ เพราะไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้ใจตัวเอง แต่มันจะไม่เป็นปัญหารบกวนใจเลย ถ้าเราหันมาดูใจตัวเองอย่างสม่ำเสมอ
    :- https://visalo.org/article/komol5807.html
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    ได้ปลาผิดตัว
    ภาวัน
    เมื่อพูดถึงตัวเอง ผู้คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าไม่มีใครรู้จักตัวเองดีเท่าฉัน อย่างไรก็ตามถ้าคุณเป็นหนึ่งในนั้น ก็อย่าเพิ่งแน่ใจ เพราะเอาเข้าจริง ๆ คุณอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณต้องการอะไรกันแน่

    จริงอยู่เวลาคุณไปร้านอาหาร คุณอาจรู้ว่าอยากกินอะไร เวลาไปเที่ยวห้าง ก็รู้ว่าอยากได้อะไร แต่ถ้าเป็นเรื่องสำคัญกว่านั้น เช่น คู่ครองหรือคนรัก คุณคงเหมือนกับหลาย ๆ คนที่ไม่รู้ว่าอยากได้คนแบบไหน ไม่ใช่แค่นิสัยใจคอเท่านั้น แต่ยังรวมถึงรูปร่างหน้าตาด้วยซ้ำ

    คุณอาจเถียงว่า ทำไมจะไม่รู้ว่าฉันอยากได้คนแบบไหนมาเป็นคู่รัก คุณสามารถพรรณนาได้เป็นข้อ ๆ ว่า อยากได้คนที่มีหน้าตาอย่างนี้ ส่วนสูงขนาดนี้ อายุเท่านี้ นิสัยแบบนี้ แต่สุดท้ายคนที่คุณเลือกเป็นแฟนหรือแต่งงานด้วยอาจมีลักษณะที่ไม่ตรงกับที่ระบุมาเลย จะว่าไปแล้วแนวโน้มดังกล่าวมีสูงเสียด้วย

    นี้เป็นข้อสรุปของบริการจัดหาคู่ทางอินเตอร์เน็ตหลายแห่ง ที่สรุปได้เช่นนั้นก็เพราะว่า เวลาจะใช้บริการดังกล่าว ลูกค้าจะต้องระบุลักษณะของคนที่อยากได้เป็นคู่ครอง เช่น อายุ ศาสนา สีผม เป็นต้น หน้าที่ของบริการเหล่านี้ก็คือพยายามแนะนำให้ลูกค้ารู้จักกับคนที่มีลักษณะดังกล่าว แต่ในที่สุดก็พบว่าคนที่ลูกค้าสนใจคบหาส่วนใหญ่กลับมีลักษณะไม่ตรงกับที่เขาบอกมา

    ปรากฏการณ์ดังกล่าวบอกเราว่า อย่าเพิ่งมั่นใจว่าเรารู้ว่าเราต้องการอะไร เพราะที่คิดว่าตนเองรู้นั้นมีโอกาสผิดมากทีเดียว อย่าลืมว่าการที่ใครสักคนจะบอกได้ว่าตนชอบคนแบบไหนนั้น เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาครุ่นคิดพอสมควร ไม่ใช่เรื่องที่จะบอกได้ปุบปับเหมือนซื้ออาหารหรือเสื้อผ้า แม้กระนั้นทั้ง ๆ ที่คิดว่ารู้แล้ว แต่ผู้คนจำนวนไม่น้อยกลับเปลี่ยนใจไปเลือกคนที่ไม่ตรงกับ “สเป็ค” ที่คิดเอาไว้ พูดอีกอย่างก็คือ จะรู้ว่าต้องการคนแบบไหนเป็นแฟนก็ต่อเมื่อเห็นคนนั้นต่อหน้าต่อตาแล้วเท่านั้น

    ไม่ใช่เฉพาะเรื่องคู่รักหรือคู่ครองเท่านั้นที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่รู้ความต้องการที่แท้จริงของตนเอง เรื่องที่ใหญ่กว่านั้น เช่น จุดมุ่งหมายของชีวิต ก็คงไม่ต่างกัน หลายคนคิดว่าชีวิตนี้ฉันต้องการความสำเร็จ ปรารถนาความร่ำรวย มีชื่อเสียงสูงเด่น พร้อมสละทุกอย่างเพื่อความสำเร็จดังกล่าว ไม่เว้นแม้กระทั่งสุขภาพ มิตรภาพ และครอบครัว แต่เขาแน่ใจหรือว่า นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการอย่างแท้จริง

    หลายคนตอบด้วยความมั่นใจว่าใช่ แต่เมื่อได้มาแล้ว ก็ไม่รู้สึกพึงพอใจ คิดว่ายังได้น้อยไป จึงดิ้นรนหามาให้มาก ๆ ครั้นได้มาดังใจ ก็ยังไม่รู้สึกสมอยากเสียที หามาเท่าไหร่ก็ไม่พบความสุข ต่อเมื่อถึงบั้นปลายของชีวิต จึงพบว่า นั่นไม่ใช่สิ่งที่ตนเองต้องการอย่างแท้จริง แต่ถึงตอนนั้นก็สายเสียแล้ว เพราะไม่มีเรี่ยวแรงและเวลาเพื่อหาคำตอบว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่

    ออรังเซ็บ กษัตริย์แห่งราชวงศ์โมกุล หลังจากทำศึกสงครามมาทั้งชีวิต สามารถแผ่ขยายอาณาจักรจนครอบคลุมอนุทวีปอินเดีย มีทรัพย์สมบัติเต็มท้องพระคลัง ได้ทุกอย่างที่ฝันใฝ่ แต่เมื่อใกล้ตาย ได้เขียนจดหมายถึงลูกชายว่า “ฉันไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร และกำลังทำอะไรอยู่...ชีวิตนั้นมีคุณค่ามาก แต่ผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์”

    เฮนรี เดวิด ธอโร เคยกล่าวว่า “โศกนาฏกรรมที่สุดในชีวิต คือ การใช้เวลาทั้งชีวิตตกปลา เพียงเพื่อจะพบว่ามันไม่ใช่ปลาตัวที่ต้องการ” อย่างไรก็ตามชีวิตของเราไม่จำเป็นต้องลงเอยอย่างนั้นหากหันมาตั้งคำถามแต่เนิ่น ๆ ว่า ปลาที่เราตกมาได้นั้นเป็นปลาที่เราต้องการจริง ๆ หากหยุดตกปลาชั่วขณะ แล้วลองเดินไปยังแม่น้ำสายอื่นดู อาจพบปลาที่เราต้องการอย่างแท้จริงก็ได้

    หลายคนเมื่อได้ออกจากชีวิตที่จำเจ อึกทึก วุ่นวาย ได้สัมผัสกับความสงบในป่า หรือชีวิตที่สงบในชุมชนเล็ก ๆ จึงรู้ว่า นี้คือสิ่งที่ตนต้องการอย่างแท้จริง จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ชีวิตของเขาไม่ต้องจบลงด้วยโศกนาฏกรรมอาจเริ่มต้นที่จุดนี้

    ถ้ายังไม่พบกับใครบางคน ก็คงไม่รู้ว่านั่นคือคนที่ตนปรารถนาเป็นคู่ครอง ฉันใดก็ฉันนั้น ใครที่ยังไม่พบกับความสงบ ก็อาจไม่รู้เลยว่าในส่วนลึกของตนนั้นต้องการความสงบเย็นในจิตใจเป็นอย่างยิ่ง

    :- https://visalo.org/article/Image255810.html
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    คนสองโลก
    ภาวัน
    แดน อาเรียลลี่ นักเศรษฐศาสตร์เชิงพฤติกรรมแห่งเอ็มไอที เขียนเล่าว่า คราวหนึ่งสมาคมผู้เกษียณอายุแห่งสหรัฐอเมริกาได้สอบถามทนายความจำนวนหนึ่งว่า พวกเขาสามารถลดค่าบริการให้แก่คนวัยเกษียณที่ยากจนได้ไหม โดยอาจเหลือแค่ชั่วโมงละ ๓๐ ดอลลาร์ ทนายความตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่ได้” แทนที่ผู้จัดการโครงการจะท้อถอย เขาเปลี่ยนมาถามทนายความเหล่านั้นว่า พวกเขายินดีให้บริการแก่ผู้ยากไร้วัยเกษียณโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ ได้ไหม ปรากฏว่าทนายส่วนใหญ่ตอบว่า “ได้”

    อะไรทำให้คำตอบที่ได้ทั้งสองครั้งนั้นแตกต่างกันมาก โดยสามัญสำนึกของคนทั่วไป ขนาดลดค่าบริการ ทนายความยังไม่ยอม แล้วจะยอมทำงานให้ฟรี ๆ ได้อย่างไร คำอธิบายเรื่องนี้ก็คือ เวลาพูดถึงเรื่องเงิน ทนายความจะนึกถึงบรรทัดฐานที่ใช้ในทางธุรกิจ ทำให้รู้สึกว่า ๓๐ ดอลลาร์นั้นเป็นอัตราที่ต่ำมาก แต่พอไม่พูดถึงเรื่องเงินเลย หากเป็นการขอร้องให้ช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน ทนายความจะนึกถึงบรรทัดฐานทางสังคม ซึ่งเน้นเรื่องความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน จึงตอบตกลงได้ง่าย

    คนเราทุกวันนี้เสมือนอยู่ในโลกสองโลกที่ซ้อนกัน โลกหนึ่งคือโลกที่สัมพันธ์กันด้วยเงินตรา ใช้เงินเป็นตัววัดมูลค่า เป็นโลกแห่งกำไร-ขาดทุน อีกโลกหนึ่งนั้นเป็นโลกที่สัมพันธ์กันด้วยน้ำใจ ให้คุณค่าแก่ความเอื้อเฟื้อเกื้อกูล รวมทั้งให้ความสำคัญแก่คุณค่าที่เป็นนามธรรม ประเมินเป็นตัวเลขไม่ได้ เวลาเราอยู่ในโลกประเภทแรก เงินทองจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ มีการใช้ “บรรทัดฐานทางตลาด” เป็นเกณฑ์ แต่เมื่อเราอยู่ในโลกประเภทที่สอง น้ำใจจะเป็นสิ่งสำคัญ “บรรทัดฐานทางสังคม” จะเป็นตัวกำกับความคิดและพฤติกรรมของเรา

    จะเรียกว่าคนเรามีสองมาตรฐานก็ได้ จะใช้มาตรฐานใดก็ขึ้นอยู่กับว่าอีกฝ่ายมีปฏิสัมพันธ์กับเราอย่างไร หรือมีอะไรมากระตุ้นให้เราใช้มาตรฐานประเภทใด เคยมีการทดลองกับคนสามกลุ่ม โดยทุกกลุ่มทำกิจกรรมอย่างเดียวกัน นั่นคือลากวงกลมที่ปรากฏอยู่ด้านซ้ายของจอคอมพิวเตอร์ ให้เข้าไปอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมซึ่งอยู่ด้านขวา เมื่อลากเสร็จวงกลมจะหายไป แล้วจะปรากฏขึ้นใหม่ที่ด้านซ้าย สิ่งที่ทุกคนต้องทำก็คือ ลากวงกลมให้เข้าไปในกรอบสี่เหลี่ยมให้มากที่สุดภายในเวลาห้านาที

    กลุ่มแรกได้รับเงินห้าดอลลาร์ทันทีที่เข้าห้องทดลอง กลุ่มที่สองได้แค่ ๕๐ เซ็นต์ ส่วนกลุ่มที่สามถูกขอร้องให้มาช่วยทำกิจกรรมนี้ โดยไม่มีการพูดถึงเรื่องเงินเลย ผลที่เกิดขึ้นก็คือ กลุ่มแรกลากวงกลมได้เฉลี่ย ๑๕๙ วง ส่วนกลุ่มที่สองลากได้แค่ ๑๐๑ วงโดยเฉลี่ย ไม่น่าแปลกใจที่ผลออกมาเป็นเช่นนั้น เพราะกลุ่มที่สองได้ผลตอบแทนเล็กน้อยมาก แล้วกลุ่มที่สามล่ะ ปรากฏว่าทั้ง ๆ ที่ทำฟรีแต่ผลงานกลับออกมาดีที่สุดคือ ลากวงกลมได้ ๑๖๘ วงโดยเฉลี่ย

    กลุ่มที่สามตั้งใจทำเพราะเขาถูกชวนให้ใช้บรรทัดฐานทางสังคม ขณะที่กลุ่มที่สองไม่ตั้งใจทำเพราะถูกกระตุ้นให้ใช้บรรทัดฐานทางตลาด จึงรู้สึกว่า “ไม่คุ้ม” ที่จะขยันขันแข็งด้วยเงินเพียงแค่ ๕๐ เซ็นต์เท่านั้น

    พูดอีกอย่างก็คือ คนเรามีทั้งคุณธรรมและความเห็นแก่ได้ ถ้าถูกขอร้องไหว้วานกัน คุณธรรมก็จะออกมานำหน้า จึงพร้อมที่จะช่วยเหลือทั้ง ๆ ที่ไม่ได้อะไร แต่ถ้าว่าจ้างกัน ความเห็นแก่ได้ ก็จะเป็นใหญ่ จะขยันหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่า ได้มากหรือได้น้อย ถ้าได้น้อยก็ทำอย่างขอไปที

    การชักชวนให้คนทำความดี ขยัน เสียสละ ไม่ใช่เรื่องยาก อยู่ที่ว่าเราดึงเอาคุณสมบัติส่วนใดของเขาออกมา หรือโน้มน้าวให้เขาใช้บรรทัดฐานประเภทใด น่าเสียดายที่ทุกวันนี้เราถนัดแต่การกระตุ้นความเห็นแก่ได้ หรือกระตุ้นให้ใช้บรรทัดฐานทางตลาด ผู้คนจึงคิดแต่เรื่องกำไร-ขาดทุน หรือ คุ้ม-ไม่คุ้มชนิดที่วัดด้วยเงินตรา ความเอื้อเฟื้อเกื้อกูล รวมทั้งความขยันหมั่นเพียร และความซื่อสัตย์สุจริต จึงเจือจางลง
    :- https://visalo.org/article/Image255605.html
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    คุณค่าของความผิดหวัง
    ภาวัน
    คงไม่มีชาวลอนดอนคนไหนไม่รู้จัก A-Z Maps หนังสือแผนที่ที่แม้กระทั่งนักท่องเที่ยวก็ต้องมีไว้คู่กายหากคิดจะอยู่มหานครแห่งนี้แม้ชั่วเวลาสั้น ๆ ก็ตาม

    แต่ถึงแม้คุณไม่เคยไปลอนดอนเลย คุณก็ต้องรู้จักหรือได้ยินชื่อ ฮอลิเดย์อินน์ กับ แอร์เอเชียแน่นอน อาจจะเคยใช้บริการของทั้งสองแล้วด้วยซ้ำ

    ทราบหรือไม่ว่า A-Z Maps ฮอลิเดย์อินน์ และแอร์เอเชีย มีอะไรอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน นอกเหนือจากการเป็นสินค้าหรือบริการที่นักเดินทางที่ติดต่อหรืออาศัยอยู่ในซีกโลกตะวันตกรู้จักดี คำตอบก็คือ ทั้งสามมีจุดเริ่มต้นมาจาก “ปัญหา” หรือ “ความผิดหวัง”

    วันหนึ่งในปี ๑๙๓๕ ฟิลลิส เพียร์ซอล ได้รับเชิญไปร่วมงานปาร์ตี้แห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน เธอรู้ดีว่ามหานครแห่งนี้มีตรอกซอกซอยซับซ้อนมาก เมื่อถึงวันงานเธอจึงเอาแผนที่ติดตัวไปด้วย แต่มันก็ไม่ช่วยให้เธอไปถึงบ้านเจ้าภาพได้ทันเวลาเลย เธอหลงทางอยู่พักใหญ่เนื่องจากแผนที่นั้นหยาบและล้าสมัยแล้ว นั่นคือจุดเริ่มต้นให้เธอคิดทำหนังสือแผนที่กรุงลอนดอนที่ครอบคลุมทุกถนนและตรอกซอกซอยอย่างละเอียด นับแต่วันนั้นชีวิตของเธอก็เปลี่ยนแปลงไป จากนักวาดรูปเหมือนกลายเป็นนักทำแผนที่และนักออกแบบตัวอักษรที่โด่งดังทั่วอังกฤษ

    กลางปี ๑๙๕๒ เคมมอนส์ วิลสันขับรถพาครอบครัวไปกรุงวอชิงตัน ระหว่างทางต้องนอนค้างแรมตามโรงแรมริมทาง เขารู้สึกผิดหวังมากกับโรงแรมทุกแห่งที่เข้าพัก เพราะนอกจากจะไม่สะอาดแล้ว บริการก็ย่ำแย่ เอาแน่นอนไม่ได้ เขาจึงเกิดความคิดที่จะสร้างโรงแรมที่สะอาด บริการได้มาตรฐาน เป็นมิตรกับครอบครัว ราคาไม่แพง และเข้าถึงง่าย จากอาชีพนักสร้างบ้าน เขากลายเป็นผู้บริหารโรงแรม ในชั่วเวลาไม่กี่ปีโรงแรมได้ขยายสาขาไปอย่างรวดเร็วจนเป็นที่รู้จักทั่วโลก

    โทนี เฟอร์นันเดส ไปเรียนอังกฤษตั้งแต่อายุ ๑๒ ความสุขของเขาในวัยเยาว์คือการได้กลับไปเยี่ยมบ้านที่กัวลาลัมเปอร์ วันหนึ่งหนุ่มโทนีขออนุญาตพ่อกลับไปเที่ยวบ้านกลางภาคเรียน แต่พ่อไม่อนุญาต เหตุผลก็เพราะค่าเครื่องบินแพงมาก ด้วยความรู้สึกผิดหวัง เขาจึงชดเชยด้วยการไปเดินแกร่วแถวสนามบินฮีทโทรว์ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เพื่อดูเครื่องบินขึ้นลง นั่นคือจุดเริ่มต้นของความฝันที่จะเป็นเจ้าของสายการบินต้นทุนต่ำ ในที่สุดฝันของเขาเป็นจริงเมื่ออายุ ๓๗ ปี ก่อนเหตุการณ์ ๑๑ กันยาแค่ ๓ วันเท่านั้น

    เมื่อพบกับปัญหาหรือความไม่สมหวัง เรามักเกิดความหงุดหงิด ขุ่นเคือง หรือโมโหโกรธา หลายคนอาจซ้ำเติมด้วยการโทษชะตากรรมหรือ “ความซวย”ของตน แต่นั่นก็มีแต่จะทำให้เราทุกข์มากขึ้น และไม่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเลย แต่ถ้าหากเราหยุดคร่ำครวญ แล้วหันมาใคร่ครวญสิ่งที่เกิดขึ้น เราอาจจะได้คิดและเกิดปัญญาขึ้นมา

    ทั้งสามกรณีข้างต้นเป็นตัวอย่างของคนที่ไม่มัวหัวเสียกับเรื่องที่ไม่สมหวัง แต่กลับมาตั้งคำถามว่าปัญหาคืออะไร มีสาเหตุอยู่ที่ตรงไหน และจะแก้ไขได้หรือไม่ ด้วยท่าทีเช่นนี้ “ปัญหา” จึงกลายเป็นตัวกระตุ้น “ปัญญา” ทำให้เกิดความคิดที่จะทำสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมา แต่ทั้งสามคนไม่ได้หยุดเท่านี้ พวกเขาไม่เพียงแต่คิดหรือฝันเท่านั้น แต่ยังลงมือทำด้วย จะว่าไปแล้วความผิดหวังทำให้พวกเขามีแรงผลักหรือความมุ่งมั่นที่จะทำความฝันให้เป็นความจริงขึ้นมา หากไม่เคยผิดหวังหรือเจ็บปวดด้วยตนเอง พวกเขาก็อาจแค่คิด แต่ไม่กระตือรือร้นที่จะลงมือทำ

    หลังจากหลงทางวันนั้น วันรุ่งขึ้นฟิลลิส เริ่มทำการสำรวจกรุงลอนดอน กว่าเธอจะทำแผนที่มหานครแห่งนี้เสร็จ เธอเดินเป็นระยะทางถึง ๔,๘๐๐ กม. (เกือบ ๗ เท่าของระยะทางจากกทม.-เชียงใหม่) ตระเวนตามถนนและตรอกซอกซอยไม่น้อยกว่า ๒๓,๐๐๐ สาย โดยตื่นตั้งแต่ตี ๕ และกลับบ้าน ๑๘ ชั่วโมงหลังจากนั้น

    ทุกวันนี้แม้เป็นเจ้าของสายการบินแล้ว โทนียังทำงานขนกระเป๋าผู้โดยสารเดือนละวัน เป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ๒ เดือนต่อวัน และเป็นพนักงานเช็คอิน ๓ เดือนต่อวัน เขาจึงรู้ดีว่าลูกค้าต้องการอะไร

    นักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งเคยกล่าวว่า “คนเราเมื่อล้มแล้วต้องหยิบอะไรขึ้นมาสักอย่าง” เมื่อคุณประสบปัญหาหรือความผิดหวัง ลองมองดูสิว่ามันมีประโยชน์อย่างไรบ้าง เมื่อเห็นแล้ว อย่าอยู่เฉย ควรลงมือทำให้เกิดผลด้วย
    :- https://visalo.org/article/Image255208.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...