นิพพานไม่ใช่ผู้รู้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 30 กรกฎาคม 2013.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ก่อนจังหัน
    ในวันเสาร์ วันอาทิตย์ วันพระ วันโกน ได้เห็นพี่น้องทั้งหลายเข้ามาสู่วัดวาบำเพ็ญการกุศล เรารู้สึกพอใจด้วย พอใจด้วยตลอดนะ ไปเข้าโรงหนังโรงละครโรงลิเก ระบำรำโป๊ นั่นมันโรงเปรต เข้าใจหรือเปล่าล่ะ พวกนี้ชอบเป็นเปรตกัน ใครก็เข้าไปตรงนั้นแหละ เข้าไปตรงเปรตตรงผี กินไม่พอกินไม่อิ่ม กินเท่าไรยิ่งเพลิดยิ่งเพลิน ยิ่งเป็นบ้าสดๆ ร้อนๆ นั่นละโรงบ่มบ้า รู้จักกันไหม อยู่ตามนั้นแหละ บ้าธรรมดามีกิเลสธรรมดาก็ไม่ว่า ไอ้บ้าจนเสียผู้เสียคน เสียสังคม เสียชาติบ้านเมืองนี้ดูไม่ได้เลย

    มีศีลธรรมเท่านั้นที่จะชำระล้างสิ่งเหล่านี้ให้พอเป็นพอไป ระงับดับทุกข์กันบ้าง เราไม่ได้บอกว่าให้ละให้หมดกิเลสนี่ บอกแต่ว่ามันรุนแรงเกินไปๆ ทุกวันๆ เท่านั้นเอง กิเลสสิ่งไม่ดีทั้งหลายนับวันรุนแรง ส่วนดีงามทั้งหลายนี่แทบจะมองไม่เห็น นี่ที่น่าสลดสังเวช เมื่อได้เห็นพี่น้องทั้งหลายเข้ามาสู่วัดสู่วาฟังธรรม นำไปปฏิบัติ ทำจิตใจของตนให้สงบร่มเย็น นี่เราพอใจมาก ใจจะสงบได้ด้วยธรรม ใจเป็นฟืนเป็นไฟด้วยอำนาจของกิเลสทั้งนั้น กิเลสไม่เคยทำใครให้สงบร่มเย็น มีแต่ความดีดดิ้น มีแต่ฟืนแต่ไฟ ไปที่ไหนมีแต่ฟืนแต่ไฟ ตื่นความเจริญกัน ไอ้ความเจริญไม่ทราบมันอยู่ที่ไหน ต่างคนต่างตื่นเหมือนกระต่ายตื่นตูมดังที่ว่าแหละ

    ใครมาหาแต่ความเจริญๆ บ้านนั้นเจริญ เมืองนี้เจริญ ฟังพูดเป็นอย่างนั้นแหละ ความสำคัญก็เต็มหัวใจ ระบายออกมามีแต่ความเจริญ เจริญลมๆ แล้งๆ ด้วยสมบัติบ้าของกิเลสนั่นน่ะให้รู้เสีย มันดีดมันดิ้นเหลือประมาณ ยิ่งชาวพุทธของเรานี้แทบไม่มีฝั่งมีฝา แม้แต่ในวัดก็เป็นเปรตเป็นผีในท่ามกลางวัด จะว่าอะไรประชาชนพวกเรา เป็นด้วยกันทั้งนั้นไม่มีข้อยกเว้น ถ้ากิเลสมีช่องทางตรงไหนมันเผาเข้าตรงนั้นแหละ พระมันก็ไม่ได้กลัวหัวโล้นนะ กิเลสไม่ได้กลัว กลัวแต่ธรรม ถ้าธรรมมีอยู่ในใจแล้วไม่มีใคร ฆราวาสหรือพระดีทั้งนั้น

    ให้พากันสนใจกับอรรถกับธรรม อย่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเกินประมาณนะ ตายไม่มีป่าช้า ดีดดิ้นหาที่พึ่งที่เกาะแล้วก็ไม่ได้อะไร ตายจมไปๆ มีอย่างนั้นแหละส่วนมากต่อมาก ตายจะได้หลักได้เกณฑ์ อยู่ก็มีหลักมีเกณฑ์ อย่างนี้มีน้อยมากที่สุดเลย ธรรมที่เป็นเครื่องพยุงส่งเสริมโลกให้มีความสงบร่มเย็นแทบไม่ปรากฏในโลกนี้ เลย มีแต่ฟืนแต่ไฟของกิเลส ไปที่ไหนมองดูอะไรจนแทบดูไม่ได้ หรือดูไม่ได้ ขอให้นำธรรมนี้ไประงับดับกิเลสอยู่ในจิตให้พอสงบตัว อยู่ได้ กินได้ ไปได้ สงบร่มเย็นบ้างนะ

    ถ้าไม่มีธรรมนี้อย่าหวัง ใครจะหวังเท่าไรก็หวังเพื่อความจมๆ ทั้งนั้น อย่าเก่งกว่าศาสดาองค์เอก ตามธรรมดากิเลสเป็นคู่แข่งของธรรมเสมอ ของศาสดาเสมอให้รู้เอาไว้ เมื่อเป็นคู่แข่ง มันเข้ามาในจิตของเราให้ปัดมันออกๆ ส่งเสริมธรรมให้ดีขึ้น เราก็จะค่อยเจริญรุ่งเรือง ที่ไหนๆ สถานที่ใด บุคคลผู้ใด สั่งสมสิ่งเหล่านี้มากๆ นั่นละคือไฟนรกมันเผาอยู่ในหัวอกไม่ได้เผาอยู่ไหน เผาในหัวอกมนุษย์ จากมนุษย์นี้แล้วก็ไปเผาในนรกอเวจีไม่มีสิ้นสุด สั่งสมมันมากเท่าไรมันเผาได้ทั้งเมืองคนเมืองผี เผาได้หมดนั่นแหละ ธรรมะก็เหมือนกัน ส่งเสริมได้ในแดนมนุษย์ ลงไปเมืองผีไม่ไปผู้มีธรรม ไปแดนสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน พากันจำเอานะ

    ให้พากันอบรมศีลธรรมบ้าง อย่าอยู่แบบตื่นแบบเต้นอยู่ตลอดเวลา อันนี้มันมีมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้ว น่าจะเข็ดหลาบอิ่มพอกันบ้าง หรือไม่อย่างนั้นระงับดับกันให้อยู่พอประมาณ ผู้มีศีลมีธรรมจะอยู่กันพอประมาณ กิเลสก็มี ธรรมก็มี หากฟัดหากเหวี่ยงกันอยู่ในตัวของผู้นั้น ผลที่ได้ก็คือความสงบร่มเย็น จำเอา

    พระเราก็เหมือนกัน ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ต่างองค์ต่างมานี้แน่นตลอดนะ ไม่มีที่ให้พักให้อยู่เราก็ต้องพักเอาไว้ๆ ไม่เช่นนั้นเต็มไปหมดละวัดนี้ ให้พากันตั้งอกตั้งใจ หลักภาวนาได้สอนเรียบร้อยแล้วนะ ไม่ผิด ถ้าลงได้พูดคำไหนลงไปแล้วเราแน่ใจที่สุด ออกมาจากหัวใจ หัวใจนี้ออกมาจากขึ้นเวทีระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันมาแล้ว เราบอกได้อย่างชัดเจน อย่างกล้าหาญชาญชัย เพราะเราทำเอง รู้เองเห็นเองมาพูดเองผิดไปไหน พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญเอง รู้เองเห็นเอง สาวกทั้งหลายบำเพ็ญเอง รู้เองเห็นเอง ท่านเหล่านี้เรียกว่าเลิศเลอ

    ธรรมก็เป็นธรรมประเภทเดียวกัน หัวใจดวงนี้เป็นภาชนะสำหรับรับธรรมสำหรับผู้บำเพ็ญธรรมอย่างเดียวกัน ต้องรู้ต้องเห็นอย่างเดียวกัน ตรงนี้ละ ธรรมอยู่ที่หัวใจนะ กิเลสก็อยู่ที่หัวใจ ดูข้าศึกให้ดูที่ใจของเรา ใจเป็นมหาเหตุ ดูมหาคุณก็ให้ดูที่ใจ จ่อลงที่ใจแล้วจะเจอทั้งมหาภัยมหาคุณนั้นแหละ จำให้ดีพระเรา อย่าเร่ๆ ร่อนๆ นะ ภาวนาก็ให้มีหลักใจ ไปที่ไหนให้มีศีลมีธรรมประจำตนจะสง่างามไปตลอดนั่นแหละ เอาละให้พร

    หลังจังหัน
    วันนี้มีอะไรไหมล่ะ (ไม่มีครับ) วันนี้ไม่มี ให้สบายสักหน่อยเถอะ วันไหนมีแต่เรื่องสกปรก พูดขึ้นมาเรื่องไหนมีแต่เรื่องสกปรก ผู้มาปฏิบัติอยู่ข้างในก็ให้ตั้งใจปฏิบัติจริงๆ นะ อย่ามาเร่ๆ ร่อนๆ ไม่ได้นะมันจะเลอะเทอะไปหมด แม้ภายในวัดก็เลอะเทอะแล้ว ไม่มีละในโลกนี้จะหาที่ซุกหัวนอนได้เป็นความสงบสุข เข้ามาอยู่ในวัด วัดเป็นสถานที่อบรมจิตใจ เป็นที่ระงับดับไฟ (เสียงไอ้หยองเห่า) พอเทศน์มีอะไรปั๊บเข้ามานี้ อย่างน้อยก็กระเทือนธรรม ถ้าแรงกว่านั้นก็หายเงียบไปเลย

    ธรรมภายในใจไม่ได้เหมือนในคัมภีร์นะ ในคัมภีร์เป็นความจำ ในใจจากภาคปฏิบัติจริงๆ แล้วเป็นความจริงล้วนๆ เลย ความจำเราจำมาได้ เสียงอึกทึกครึกโครมขนาดไหนก็ตาม เราก็พูดได้เพราะเราจำมาแล้ว เช่น นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฟาดวันยังค่ำ เสียงจะเป็นยังไงช่างหัวมันเราจำได้ แต่เรื่องธรรมไม่เป็นอย่างนั้น เรื่องธรรมชาติ หลักธรรมชาติ คือปรากฏขึ้นจากการปฏิบัติธรรมนะ จะเกิดขึ้นที่ใจ เพราะใจนี้เป็นสถานที่เกิดของกิเลสและธรรม ส่วนมากมีแต่กิเลสเกิด..พวกเรา ธรรมไม่ค่อยเกิด ในระยะที่กิเลสมีกำลังมาก ไปที่ไหนมีแต่กิเลสเกิด นั่งอยู่นอนอยู่ เดินเหินไปไหน เคลื่อนไหวไม่เคลื่อนไหว แต่กิเลสมันเกิดของมัน มันหมุนตัวของมันโดยอัตโนมัติ มันหากคิดหากปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้จากกิเลสภายในดันออกไปๆ

    เราก็ไม่เคยคิดแต่ก่อน แต่เวลาเข้ามาจุดใหญ่มหาเหตุนี้มันก็เจอกันได้ รู้กันได้ ธรรมก็ไม่ทราบอยู่ที่ไหนแต่ก่อน ได้ยินแต่ท่านว่าธรรมเกิดๆ ธรรมยังไงก็ไม่รู้ เวลามันเกิดขึ้นในหัวใจ ทั้งกิเลสเกิดทั้งธรรมเกิด รู้ชัดทั้งสอง เราจะยกมาหยาบๆ เพียงเอกเทศอันเดียวนะ ในจำนวนมากนับไม่ได้เลยเรื่องของกิเลสเกิด เรื่องของธรรมก็ยกไว้ อยู่ภูเขาไปบิณฑบาตถึงบ้านเขามัน ๔ กิโลกว่าๆ กำหนดวันเวลาไว้จากนี้ไปถึงบ้าน ถ้าเราอดไปเท่านั้นวันจะไปถึงบ้านไหม กะว่าวันพรุ่งนี้ไปได้อยู่ เพราะวันพรุ่งนี้ก็ฉันแล้ว เดินไปถึงกลางทางไปไม่ไหวแล้ว หยุดพักอยู่กลางทาง

    นี่ละกิเลสเกิด เพราะจิตกับสติไม่ได้ห่างจากกัน ติดกันไปตลอด อะไรเกิดมันก็รู้ เรื่องร่างกายนี่อ่อนเปียกขนาดนั้น แต่จิตเหมือนจะเหาะเหินเดินฟ้าอยู่ภายใน มันต่างกัน เพราะฉะนั้นจึงทน ทุกข์ลำบากก็ทนเอา พออยู่สงบเงียบๆ สักเดี๋ยวทางนี้ผุดขึ้นมาอย่างชัดเจนทีเดียว เป็นถ้อยเป็นคำขึ้นมาเหมือนเราสอนกันอยู่ภายในใจ นี่เห็นไหม ว่างั้นนะ ขึ้นเบื้องต้นก็ว่า นี่เห็นไหมท่านอดอาหารเพื่อจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่เวลานี้กิเลสยังไม่ตายท่านกำลังจะตายรู้ไหม ว่างั้นนะ ขึ้นเลย นี่เรียกว่ากิเลสเกิดเพื่อจะตีธรรมให้หมอบ ก็ต้องอ่อนเปียกละซีเมื่อกลัวตาย ต้องอ่อนไป

    พอทางนั้นดับลงไปปั๊บ ธรรมขึ้นรับกันเลย การกินนี้กินมาตั้งแต่วันเกิด อดเพียงเท่านี้จะตายหรือ เอ้า ตายก็ตาย น่านเห็นไหมล่ะ ดับกันปึ๋งเลย นี่เรียกว่าธรรมเกิด ผุดขึ้นทั้งสองเลยขึ้นภายในใจ ขึ้นเป็นถ้อยเป็นคำชัดเจนๆ นี่ละที่เรียกว่าธรรมเกิด กิเลสเกิด เกิดอย่างนี้ ทีนี้เวลาธรรมได้เกิดเป็นสายยาวเหยียดไปแล้วเป็นอีกแบบหนึ่งนะ อยู่ที่ไหนมีแต่ธรรมแสดงตัวจ้าๆ อยู่ภายในใจแสดงออกรับกับกิเลส กิเลสตัวไหนมันรับกัน นี่ให้ฟังเสียนะภาคปฏิบัติ ที่ว่าปฏิบัติเห็นผลยังไงไม่เห็นผลยังไง เกิดขึ้นจากจิตล้วนๆ แหละ เพราะกิเลสอยู่ในนั้น พอจิตจ่อเข้าไปเรื่องจิตตภาวนามีสติอยู่แล้ว กิเลสเกิดแง่ไหนๆ มันจะตามกันทันๆ ไม่ลุกลาม

    สติเป็นสำคัญมาก พอแย็บออกมา มันจะดันออกมาแย็บๆ สติทันดับปั๊บๆ ไม่ต่อ ถ้าสติไม่ทันลุกลามไปใหญ่เลย นี่เรียกว่าสติควบคุมไป กิเลสเกิดก็อย่างว่าแหละ ธรรมเกิดรับกันก็อย่างว่า รับกันได้ลบไปได้เลย ก็การกินนี้กินมาตั้งแต่วันเกิดไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร อดเพียงเท่านี้จะตายเหรอ เอ้า ตายก็ตายเท่านั้นละ อันนั้นก็เรียกว่าดับกันไปได้เลย จิตก็พุ่งตามเดิม เวลาเกิดก็เกิดอย่างนั้นละ แต่ไม่สนใจที่จะสอนใครนะ อุบายใดทั้งหมดสอนเจ้าของทั้งนั้นๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ไม่เคยสนใจจะไปสอนใคร เพราะไม่อยู่ในสถานที่จะไปสอนคน อยู่ในป่าในเขาลึกๆ ลับๆ อยู่คนเดียวเหมือนผ้าขี้ริ้วห่อมูตรคูถนั้นแหละ ยังไม่ได้ห่อทอง เหมือนผ้าขี้ริ้วหมดราค่ำราคา ถ้าโลกมองดูเรียกว่าหมดราคา แต่ธรรมดูนี้มันจ้าๆ อยู่ในนั้น

    สำหรับนิสัยของเรานี้ชอบทางอดอาหาร เพราะฉะนั้นจึงต้องบึกบึนจนท้องเสีย ไม่มีหยุดเลย จนกระทั่งลงเวทีแล้ว ทีนี้การฉันอาหารอดอาหารหยุด ตั้งแต่บัดนั้นมาไม่เคยอดอาหาร นอกจากไม่สบายด้วยอาการใดอาการหนึ่ง วันนี้ไม่ฉันละเท่านั้นไปเลย ที่จะตั้งใจอดฆ่ากิเลสหยุด ไม่อด ตั้งแต่นั้นต่อไปท้องก็เสีย เสียก็เสียซิมันได้แต่กากเมืองไป สมบัติขนหนีหมดแล้ว มันก็ได้แต่กากเมืองไปกิเลสจะว่าไง

    ธรรมเกิดกิเลสเกิดรู้ภายในใจของผู้ปฏิบัติธรรม ผู้ไม่ปฏิบัติไม่รู้ กิเลสเกิดวันยังค่ำไม่รู้ตลอดไปเลย ธรรมเกิดไม่ได้ ถ้ากิเลสเกิดไม่รู้ตัวแล้วเรียกว่าธรรมเกิดไม่ได้ เวลาสติจับเข้าไปๆ กิเลสเกิดทีไรมันจะเริ่มทราบๆ พอมันปรุงเรื่องอะไรปั๊บ สติทันปั๊บดับปุ๊บๆ ไม่ลุกลาม ต่อไปก็มีแต่สติรักษาใจตลอด สติเป็นของสำคัญมากทีเดียว ถ้าขาดสติแล้วนั่นละช่องว่างของกิเลสเข้าช่องนั้น ถ้าสติมีอยู่ อกจะแตกมันอยากคิดอยากปรุงก็ออกไม่ได้ เพราะฉะนั้นกิเลสจะหนาขนาดไหนก็ตาม ขอให้มีสติบังคับเถอะ เราจะได้เห็นชัดๆ ว่าอำนาจของกิเลสมันดันจนเหมือนว่าอกจะแตกนะ มันอยากคิดอยากปรุง ทางนี้ก็ดันไม่ยอมให้คิด ด้วยสติๆ หนาแน่นเข้าๆ ต่อไปความดันมันก็เบาลงๆ สติตั้งขึ้น จิตก็สงบเข้าไปๆ นี่ละวิธีภาวนาให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ นี่ถอดออกมาจากหัวใจไม่ใช่มาพูดธรรมดา

    สติจึงเป็นของสำคัญ เป็นพี่เลี้ยงของจิตได้เป็นอย่างดีทีเดียว ใครมีสติดีเท่าไรผู้นั้นจะตั้งหลักฐานได้ ยิ่งเวลาขึ้นบนเวทีแล้วจะเผลอไม่ได้ ว่างั้น เวลานั่งภาวนาจริงๆ เอากันเรียกว่าบทหนัก ซัดกันเลย สติก็ดีขึ้นๆ หนักขึ้นไปๆ การพิจารณาปัญญา สติต้องแนบตลอดๆ สติห่างไม่ได้นะ ปัญญาออกเป็นบางเวลา สตินี้ติดอยู่ตลอด ทีนี้เวลาถึงกาลที่สติปัญญาจะกลมกลืนเป็นอันเดียวกันแล้วมันไปด้วยกันเลย เป็นอันเดียวกันไปเลย ปัญญาพิจารณาไปไหนสติจะติดตามๆ เป็นอันเดียวกันไปเรื่อย จนกลายเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ ลงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติแล้วไม่มีคำว่าเผลอ ตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมาจนกระทั่งหลับ เผลอเวลาไหนไม่มี นั่นเรียกว่าสติปัญญาอัตโนมัติ นี้ละเกิดในจิตดวงนี้แหละ ดวงมหาเหตุ ระงับกิเลสระงับอย่างนี้เองด้วยจิตตภาวนา

    ศาสนธรรมพระพุทธเจ้าเรียกว่าเอกอุไม่มีที่ไหนเสมอเลย ชี้ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น ออกไปจากจิตตภาวนานี้ทั้งนั้น สอนไว้โดยถูกต้อง เมื่อถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัตินี่แล้วมันเป็นของมันอยู่ในนั้นเอง ไม่มีคำว่าเผลอ ไม่เผลอเลย พอตื่นนอนติดกันไปแล้วๆ อยู่ที่ไหนมีแต่สติปัญญาทำงานๆ แก้กิเลสเป็นอัตโนมัติๆ นี่ถึงขั้นที่ธรรมมีกำลังกลายเป็นอัตโนมัติไปแล้วในการแก้กิเลส ฆ่ากิเลส แต่ก่อนกิเลสเป็นอัตโนมัติทำลายจิตใจให้ได้รับความชอกช้ำขุ่นมัวตลอดเวลา นี่กิเลสทำงานบนหัวใจ

    ทีนี้เวลาธรรมทำงานเข้าในหัวใจอันเดียวกันแล้ว และมีกำลังกล้าขึ้นเท่าไรๆ กิเลสยิ่งหมอบลงๆ ทีนี้ยิ่งตีหนักเข้าๆ สุดท้ายตั้งแต่ตื่นนอนถึงหลับนี้เผลอเวลาไหนไม่มีเลย เป็นเองนะ จึงเรียกว่าอัตโนมัติ เป็นเอง จากนั้นก็เชื่อมเข้าไปหามหาสติมหาปัญญา พอเข้ามหาสติมหาปัญญาแล้วมันเป็นเรื่องซึมซาบ อันนั้นยังละเอียดกว่านี้อีกนะเรามาพูดได้เพียงแค่นี้ มหาสติมหาปัญญานี้ซึมไปเลยเชียว ซึมไปเลย สติปัญญาอัตโนมัติ ยังเหมือนกับเขายำลาบ ยังมีปั๊กๆๆ อยู่บ้าง ส่วนมหาสติมหาปัญญานี่ซึมไปเลย ไม่มีคำว่าปั๊กๆ แป็กๆ ละ

    เผลอไม่เผลอไม่พูดถึงเลยลงขั้นมหาสติมหาปัญญาแล้ว ใจดวงนั้นเต็มไปด้วยมหาสติมหาปัญญาครอบครองจิต แล้วกิเลสจะขึ้นมาได้ยังไง มันก็ยิ่งเบาลงๆ ทางนี้ยิ่งหนักนะ คำว่าหนักทางด้านอัตโนมัติของมหาสติมหาปัญญานี้ยิ่งเป็นอัตโนมัติละเอียด มากๆ เข้าไป เราเคยพูดให้ฟัง เวลามันซ่อนตัวนี้กิเลสมันละเอียดมากนะ แต่ไม่พ้นสติปัญญาไปได้ มันจะละเอียดขนาดไหนก็ไม่ยอมรับ สมมุติบางทีพิจารณาจนหมด ไม่มีอะไรปรากฏเลยในใจ ว่างเปล่าไปหมดเลย

    เหอ ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอนี่ ว่าให้เจ้าของ แต่ยังไม่ได้สำคัญว่าเป็นพระอรหันต์นะ คือค้นหาที่ไหนก็ไม่เจอ เหอ ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ ทั้งค้นอยู่นั่นละ เพราะไม่ได้สำคัญนี่นะ มันหมดในเวลานั้นปรากฏว่า ซัดกันไปซัดกันมาเดี๋ยวโผล่ขึ้นมาๆ แป๊บขาดสะบั้นๆ พอถึงขั้นมันม้วนเสื่อมันแล้วพรึบเดียวหมดเลย ขณะจิตพรึบเดียวนี้โลกธาตุสะเทือนไปหมด แต่ความจริงกระเทือนในระหว่างกายกับจิต กิเลสกับธรรมกระทบกัน ขาดสะบั้นจากกันนี้กระเทือนมากทีเดียว เป็นฟ้าดินถล่มไปเลย พูดออกไปก็เลยว่าฟ้าดินถล่ม ความจริงฟ้าดินเขาก็ไม่ถล่ม มันหากเป็นอยู่ในกายกับจิต มันกระเทือนกันอย่างแรง

    พอมันพุ่งขึ้นมาอย่างนั้น นี่เป็นเอง นี่เรียกว่ายอดแห่งธรรมเกิดแล้วที่นี่ สุดขีดแห่งธรรมเกิด จนกระทั่งฟ้าดินถล่มคือร่างกายไหวไปเลยทีเดียว มันรุนแรงของมันเอง ธรรมชาติที่เราไม่เคยคาดเคยคิดเคยรู้เคยเห็น ขึ้นมาพร้อมกันเลย จ้าขึ้นมาหมดเลย นั่นละที่ให้เกิดความท้อใจ เพราะอันนี้จ้าขึ้นมามันไม่ได้เหมือนอะไรเลย มันเหนือเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ในแดนสมมุตินี้ไม่มีอะไรจะเหมือนได้เลย ละเอียดขนาดไหนไม่เหมือน นั้นคือแดนวิมุตติหลุดพ้นแล้ว ถ้าว่าโลกก็เป็นคนละโลกไปแล้ว จะเรียกว่าโลกได้ยังไง ก็มันเลยสมมุติไปแล้ว

    นี่ละผลแห่งการปฏิบัติภาวนา ถอดออกมาจากหัวใจนะ มาให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ เพราะจวนจะตายแล้วนี่ จะไม่มีใครพูด พูดให้มันเต็มปากเต็มคอ ไม่อวดนะ เราพูดด้วยความถนัดใจของเรา รู้อย่างถนัดใจ ตายใจได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ขณะนั้นแล้วไม่เคยปรากฏว่ากิเลสเท่าเม็ดหินเม็ดทรายจะมาแสดงให้เห็น อีกเลย พอให้ได้เกิดงงงันอั้นตู้ว่า เหอ กิเลสเหรอนี่กูนึกว่ามึงตายตั้งแต่วันนั้นแล้ว แล้วมึงทำไมมึงมาโผล่ได้อีกเหรอ ไม่เคย ก็มันขาดสะบั้นไปแล้ว ประจักษ์แล้ว มันก็ไม่มีมาตั้งแต่นั้น เรามาปรุงขึ้นเฉยๆ ว่ามันมามีอีก แสดงอย่างนั้นอีก เรียกว่าไม่มีเลย

    กิเลสนี้คือตัวสร้างทุกข์ กิเลสละเอียดสร้างทุกข์ละเอียด พอกิเลสทุกประเภทดับโดยสิ้นเชิง ทุกข์ไม่มีเลย เพราะกิเลสเป็นตัวสร้างทุกข์ ทุกข์ไม่มีเลยในหัวใจของผู้สิ้นกิเลสแล้วตั้งแต่บัดนั้น ไม่มีตลอดไป ท่านเรียกว่านิพพานเที่ยง มีแต่เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ เจ็บไข้ได้ป่วย ปวดหัวตัวร้อน อันนี้เหมือนโลกทั่วๆ ไป เป็นแต่เพียงว่าโลกไปตามภาษีภาษาของโลก ไม่มีสติปัญญาธรรมเครื่องรักษา แต่เรื่องธรรมอันนั้นเป็นความบริสุทธิ์แล้วเป็นหลักธรรมชาติของตัวเอง ถึงธาตุขันธ์จะมีอะไรเป็นอะไรก็รู้ตามเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ แต่ไม่เคยหวั่น ไม่ได้ระวัง เป็นหลักธรรมชาติของใครของเรา

    ส่วนธาตุขันธ์มียังไงก็เป็นไปอย่างนั้นละ เผ็ดก็รู้ว่าเผ็ด เค็มรู้ว่าเค็ม ชอบก็รู้ว่าชอบ ความรู้นี้เป็นความรู้ประจำขันธ์ ท่านทั้งหลายฟังเสียคำดังว่านี่ มีใครเคยพูดไหม ความรู้ประจำขันธ์มี ความรู้ที่เป็นธรรมชาติสมมุติแล้ว จะบอกว่ารู้ก็ไม่ถูก ดังที่ท่านหล้าเขียนไว้ในภูจ้อก้อนิพพานไม่ใช่ผู้รู้ เหนือผู้รู้ขึ้นอีกไม่มีประมาณ ตรงเป๋งเลยเทียวท่านเขียนไว้นั้น เอ้อนี่น่ะ นั่นเห็นไหม มันยอมรับกันทันที คืออันนั้นพูดไม่ได้เลย นิพพานไม่ใช่ผู้รู้ นิพพานตั้งเป็นสมมุติขึ้นมา ความรู้ที่เด่นอยู่ในวงขันธ์อันนี้เป็นความรู้กระแสแห่งความบริสุทธิ์เต็ม เหนี่ยว รักษาอยู่ภายในขันธ์ เพราะฉะนั้นความรู้ที่ประจำขันธ์มันมีอยู่กับขันธ์นี้ถูกต้องนะ ชอบอันนั้น ไม่ชอบอันนี้ เพราะขันธ์นี้มันชอบอะไร ไม่ชอบอะไร มันหากเป็นของมัน บ่งบอก

    เช่นมองดูอาหารเอ้ออันนี้ดี มันรู้สึกยิบแย็บ เป็นเรื่องของขันธ์ทั้งนั้นละ ธรรมชาตินั้นไม่มี เพียงแต่รับทราบว่าอันนี้มันชอบ อันนี้มันไม่ชอบเท่านั้นละ มีอยู่แค่นั้นนะไม่เลยนั้น ให้หนักกว่านั้นไปไม่มี อยู่ในวงขันธ์ นี่เรียกว่าความรู้ในวงขันธ์เป็นอย่างนั้น ท่านก็ปฏิบัติต่อกันไปอย่างนั้นละ อันนั้นดี อันนี้ไม่ดี โลกเขาว่าไงก็ว่าได้เหมือนโลกเขา เป็นแต่เพียงว่าธรรมชาติอันหนึ่งมันไม่ใช่อันนี้ นี่ละจิตเวลาเรียนเข้าไปถึงมันจริงๆ แล้ว ยังพูดไม่ได้ก็มี ดังที่ท่านหล้าท่านว่า นิพพานไม่ใช่ผู้รู้ เหนือผู้รู้ขึ้นไปอีกหาประมาณไม่ได้ ผู้รู้เด่นๆ ที่ใช้อยู่นี้ไม่ใช่ ก็คือในวงขันธ์ ความรู้อันนี้อยู่ในวงขันธ์ อันนั้นนอกจากนี้แล้วพูดไม่ได้เลย

    นี่แหละธรรมพระพุทธเจ้าที่ว่าเลิศเลอ เปรียบเทียบกับอะไรไม่ได้เลย เลยไปหมดแล้ว ถ้าว่าดีก็เลย อะไรก็เลย อย่าง นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง เราก็คาดเป็นสุขอย่างยิ่งอยู่นี้นะ แต่นิพพานแท้-ธรรมชาติแท้ไม่ใช่อันนี้ แน่ะก็อย่างนั้นแหละ อย่างที่ท่านว่านิพพานไม่ใช่ผู้รู้ ยังเหนือผู้รู้ขึ้นไปอีกไม่มีประมาณ นั่น ท่านพูดถูกต้อง นี่ผู้เจอแล้วพูด เจอธรรมชาตินั่นแล้วพูด หาที่ค้านกันไม่ได้ พอไปอ่านแล้วเอ้ออย่างนี้ซี เราก็ว่าอย่างนั้น อย่างนี้ซี

    มันอยู่ในจิตของเจ้าของเอง ไม่มีที่สงสัย ไม่ต้องหาใครมาเป็นพยาน จ้าขึ้นในนั้นแล้วรู้หมด ส่วนละเอียดส่วนไหนอะไรที่มาเกี่ยวข้องรู้กันไปหมด นั่นละธรรมชาตินั้นละที่พระพุทธเจ้าทรงท้อพระทัย ท่านท้อพระทัยเพราะเหตุนี้เอง ธรรมชาตินั้นเหนือเสียทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีประมาณ ขอให้ท่านทั้งหลายได้ปฏิบัตินะ ธรรมพระพุทธเจ้านี่ท้าทายตลอดเวลา เรื่องมรรคเรื่องผลอยู่กับการปฏิบัตินะ ไม่ได้อยู่กับกาลสถานที่เวล่ำเวลา

    ท่านก็แสดงไว้แล้วว่าอกาลิโก ธรรมไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาที่จะเกิดเวลานั้นเกิดเวลานี้ ถ้าเหตุมีเท่าไรหนุนเข้าไปแล้วเกิดได้ตลอดเวลา อิริยาบถใดก็ตามเกิดได้ทั้งนั้น ไม่ว่าเดือนปีนาทีโมง อันนั้นยังไกล ในอิริยาบถของเจ้าของเกิดได้ทุกเวลาถ้ามีความเพียร ธรรมเกิดได้ตลอด สดๆ ร้อนๆ อย่าไปเชื่อหูหนวกตาบอดมันเต็มโลกเต็มสงสาร มันมีแต่ลบล้างบาปบุญนรกสวรรค์ ไม่มีทั้งนั้นละพวกตาบอด พระพุทธเจ้า-พระอรหันต์ทั้งหลายท่านสลดสังเวชนะ กับความหูหนวกตาบอดของแดนนรก แดนวัฏจักร มันพูดของมันอย่างนั้น นี่วิวัฏจักรเป็นยังไงท่านก็ดูของท่าน ดูหมดแล้ว พากันจำเอา

    วันนี้พูดเพียงเท่านั้น วันนี้พูดธรรมล้วนๆ เสียทีเถอะ มันมีแต่เรื่องสกปรก เรื่องส้วมเรื่องถานมายุ่ง ตีกันกับส้วมกับถานวันหนึ่ง อู๊ย กำปั้นหมัดนี่เลอะหมดตีกับส้วมกับถาน วันนี้ให้ได้พูดเป็นอรรถเป็นธรรมให้สะดวกสบายเสียหน่อยเถอะ เราสบายถ้าได้พูดเรื่องอรรถเรื่องธรรม เรื่องโลกนี่ โอ๊ เราฝืนพูดไปอย่างนั้นละ ยังไงก็อยู่กับโลก เราก็รับผิดชอบโลกอยู่โดยตรงนั่นแหละ ทางชาติ-ศาสนาก็อยู่ในความรับผิดชอบของเราที่จะต้องอุ้มต้องชูกันทั้งสอง

    (น้องสาวท่านปัญญามากราบหลวงตา) ดูเหมือนนี่ละมั้งเป็นน้องสาวของท่านปัญญา คล้ายคลึงกันอยู่นะ ไปเยี่ยมตอนเย็นเมื่อวาน ท่านดิ๊กพาไป เราก็ได้คุยให้ฟังเรื่องท่านปัญญา ท่านเป็นพระที่ดีเอามากทีเดียว เราบอก มาอยู่กับเราได้ ๔๑ ปี ตั้งแต่ปี ๒๕๐๖ ท่านพึ่งเสียปี ๒๕๔๗ ท่านเชอรี่นี้ ๔๐ ท่านดิ๊กนี้สักเท่าไร ไปๆ มาๆ เข้าๆ ออกๆ อยู่อย่างนั้นท่านดิ๊ก ดีนะท่านดิ๊กก็ดี เพราะฉะนั้นเวลาท่านปัญญาเสียไปแล้ว จึงต้องสั่งให้ท่านดิ๊กมาเพื่อติดต่อสื่อสารกับบรรดาพระชาวต่างประเทศ ที่เข้ามาศึกษาอบรมแทนท่านปัญญา แม้จะไม่เหมือนท่านปัญญาก็ยังดีอยู่

    ท่านปัญญานี้เป็นพระที่ดีจริงๆ นะ มาอยู่กับเราไม่เคยได้ตักเตือนตรงไหนๆ เลย เป็นพระที่เรียบสุขุมมาก มีหลักมีเกณฑ์ทุกอย่าง ไปคนละแบบ ดีไปคนละอย่างๆ ท่านเชอรี่ก็ไปอีกแบบหนึ่ง ดีอีกแบบหนึ่ง แล้วท่านดิ๊กท่านอะไรที่อยู่นานๆ พวกนี้อยู่นานๆ ทั้งนั้น สามองค์นี้อยู่กับวัดนี้นาน ให้พร

    ใครได้ยินแล้วยังที่ท่านอาจารย์เจี๊ยะเขียนว่านักสู้ ขึ้นไอ้ห่า…นี่เป็นภาษาธรรมล้วนๆ โลกจะถือเป็นภาษาหยาบโลนโหดร้าย โลกจะถือแบบเดียวกันหมดเลย แต่ภาษาธรรมเรียกว่าเป็นธรรมล้วนๆ น้ำหนักเต็มที่เลย กระตุกอย่างแรงให้ได้สติสตัง เข้าใจไหม กระตุกอย่างแรงให้ได้สติสตัง ตั้งหน้าตั้งตาประกอบความพากเพียร เวลานี้วิ่งตามหลังโยมยังไม่ทันโยมเขาอีก เลว ท่านก็ดุเอา มึงบวชมา เข้าใจไหมล่ะ มึงบวชมา ขึ้นเลย โอ๊ย ถึงใจเหลือเกิน นี่ละภาษาธรรมโดยแท้ กระตุกให้รู้ตัว แล้วก็ตรงกับนิสัยของท่านเป็นคนจริงจัง นั้นละคนจริงจังมักจะออกบทหนักๆ เพราะท่านสอนท่านภายในท่านสอนอย่างนั้น ท่านเอาบทหนักๆ กิเลสพังเพราะธรรมประเภทบทหนักๆ กิเลสพังออกๆ ท่านเอาธรรมประเภทนี้หรือว่านิสัยออกมาแสดงต่อโลก พอว่า มึงบวชมา เท่านี้โอ๋ยโลกตื่นเต้นกันไปหมดนะ ท่านไม่ตื่น เอาให้กิเลสมันรู้ตัวสักที

    ท่านเอาจริงเอาจังนะท่านเจี๊ยะ นิสัยท่านเด็ด ตรงไปตรงมา กับพ่อแม่ครูจารย์ควรค้านที่ไหนท่านซัดกับพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้ว้ากๆ เลยนะ เราอยู่นั้นเราก็ฟัง ไม่พอสองสามประโยค เดี๋ยวเงียบเลย แสดงว่าหน้าผากแตกแล้ว หงายลงไป สู้พ่อแม่ครูจารย์มั่นไม่ได้ เสียงว้ากวี้กๆ เอากัน เดี๋ยวเงียบ ตอนนั้นเราเดินจงกรมอยู่ในป่าที่มันชัดเจนมากนะ เสียงว้ากวี้กๆ สององค์เท่านั้นแหละ ท่านเย็บผ้าปะผ้าอยู่ด้วยกัน สักเดี๋ยวเสียงว้ากวี้กๆ มันยังไงกันน้า เราตัวสั่นอยู่ข้างในมันกลัว ทางนั้นยังซัดกันอยู่ พอเงียบแล้วเราก็เลยด้อมๆ ออกมา ท่านกำลังเก็บอะไรๆ พอเสร็จแล้วอาจารย์เจี๊ยะก็ลงมา ท่าน( หลวงปู่มั่น) ก็เข้าห้อง ตอนสิบโมงเช้าแหละ

    เป็นยังไงตะกี้นี้ เสียงอะไรว้ากวี้กๆ ท่านดุอะไรท่านว่าอะไร ท่านดุผม ว่างั้น แล้วดุอะไร ก็ผมเย็บผ้าผิดท่านก็ดุละซี ยอมรับนะ ก็ผมเย็บผ้าผิดท่านก็ดุละซี อย่างนั้นละอาจารย์เจี๊ยะนิสัยเด็ด เวลามาพูดนี้ก็ถอดออกมาจากนิสัยเอาจริงเอาจังของท่านที่ฆ่ากับกิเลสเป็น อย่างนั้น ผึงเลยทันที กิเลสจะขาดด้วยวิธีการอันนี้ท่านก็นำออกมา เป็นนิสัยที่เด็ดเดี่ยว ท่านขึ้นทีแรกว่า ไอ้ห่า…มึงเป็นพระให้เขากราบไหว้ แล้วมึงภาวนานั่งสู้ญาติโยมแก่ๆ ไม่ได้ แล้วมึงจะมาบวชทำไม เอาละวะ เป็นไงเป็นกัน ตายเป็นตาย อยู่เป็นอยู่ พระพุทธเจ้าทำอย่างไร เราจะทำอย่างนั้น พระสาวกท่านปฏิบัติเคร่งอย่างไร เราจะเคร่งครัดอย่างนั้น ขบขันดีนะ ใครอยากรู้ให้ไปดูเอง นี่ละยอดธรรมของท่านที่ถอดออกมาจากนิสัยของท่านฟัดกับกิเลส ท่านเอาขนาดนั้น เรียกว่ามึงกับกิเลส ขบขันดี ไปละที่นี่

    รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
    Luangta.Com – หรือ Luangta.Com –
    และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
    FM 103.25 MHz
    Luangta.Com –
     
  2. MindSoul1

    MindSoul1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2012
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +496
    สาธุ

    ขอคัดลอกมาวางเพียงบางส่วนนะคะ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2013
  3. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    นิพพานรู้อะไรไม่ได้
    เพราะนิพพานไม่ใช่ตัวรู้
    นิพพานไม่ใช่จิต
    นิพพานเป็นธรรมชาติที่ถูกรู้
    นิพพานเป็นอารมณ์ให้จิตรู้
     
  4. นางมะลิ

    นางมะลิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +117
    งงกะหลวงตามาก

    "อายตนะนิพพานเป็นยังไง อันนี้พูดยากนะ แต่ไม่สงสัย มันเป็นอายตนะนอกสมมุติเสียทั้งหมด นิพพานก็นอกสมมุติแล้ว อายตนะนิพพานก็นอกไปด้วยกัน แล้วจะเอามาพูดคลุกเคล้ากันกับมูตรกับคูถได้ยังไง แน่ะ อายตนะที่จะใช้ในมูตรในคูถก็ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ของพระอรหันต์ท่านก็มีท่านก็ใช้เหมือนกัน แต่ท่านไม่แปดเปื้อนกับสิ่งเหล่านี้ นี่เป็นอายตนะอันหนึ่ง อายตนะนิพพาน จิตเป็นนิพพานแล้วก็เป็นอายตนะอันหนึ่ง มาใช้ภายนอกเป็นอายตนะอันหนึ่ง เอ้า ดับไปโดยสิ้นเชิง ไม่ต้องพูด แน่ะ หายสงสัยทุกอย่างวันนี้พูดธรรมะจะสูงไปหรือต่ำไปก็ไม่รู้นะเรา ก็งงผู้พูดเหมือนกันเราก็งง หนาขึ้นเรื่อย ๆ นะ ให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้ กิเลสจะหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ คนจะนับวันทะนงตัวดีดดิ้นเรื่อยไปตามกิเลส ทะนงเท่าไรยิ่งต่ำลง ๆ ผู้มีสติสตังพินิจพิจารณาผู้นี้ไม่ทะนงจะผ่านไปได้ ๆ จำเอานะ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้น

    "

    ผู้รู้ไม่ใช่นิพาน เราเรียนกันมาว่าผู้รู้นั้นแหละคือจิต แต่อันนี้หลวงตาว่า "จิตเป็นนิพพานเป็นอายตนะอันหนึ่ง"

    จิตเป็นอายตนะ นิพพานเป็นอายตนะ ก็ไม่แปลกอะไร เพราะนิพพานก็เป็น ธรรมารมณ์ซึ่งเป็นอายตนะเช่นกันกับจิต หรือ ใจ ธรรมารมณ์คู่กับใจนะค่ะ เป็นสิ่งที่ใจหรือจิตรู้ได้

    แน่นอนว่านิพพานไม่ใช่จิต แต่เป็นอารมณ์ของจิตได้

    แต่อ่านข้อความที่สีแดงแล้ว งงกะหลวงตา เหมือนท่านเทศน์ขัดๆๆกันยังไงไม่รู้สิหรือเรามึนเองช่วยขยายหน่อยสิค่ะ เดี๋ยวเป็นจิต เดี๋ยวไม่เป็นจิต

    อย่างประโยคนี้ "นิพพานไม่ใช่ผู้รู้ เหนือผู้รู้ขึ้นไปอีกหาประมาณไม่ได้ ผู้รู้เด่นๆ ที่ใช้อยู่นี้ไม่ใช่ ก็คือในวงขันธ์ ความรู้อันนี้อยู่ในวงขันธ์ อันนั้นนอกจากนี้แล้วพูดไม่ได้เลย"

    เข้าใจไม่ได้เลย นิพพานไม่ใช่ผู้รู้ คือ บอกว่านิพพานไม่ใช่จิต ก็ไม่แปลกอะไร แต่ไอ้คำว่า เหนือผู้รู้ขึ้นไปอีกหาประมาณไม่ได้ คืออะไร คือเป็นสิ่งที่อยู่เหนือจนใจก็รู้ไม่ได้หรือค่ะ เดาค่ะอ่านแล้วเข้าใจว่าหลวงตาสื่อแบบนี้ ประหลาดแล้วเราจะรู้ได้ไงว่านิพพานเป็นอารมณ์ของเราแล้ว กิเลสจางหายไปจากใจแล้ว ก็เหนือผู้รู้นี่ค่ะ...ผู้รู้มารู้ไม่ได้เลย
    ส่วนไอ้ข้อความว่า"อายตนนิพพาน จิตเป็นนิพพานเป็นอายตนะอันหนึ่ง " คือคล้ายๆๆจะบอกว่าพอเป็นอรหันต์แล้ว อายตนะใหม่ก็มีขึ้นให้มีให้ใช้ไม่ใช่อยาตนะภายนอกอายตนะภายในเหล่านั้นที่ใช้กันอยู่ทั่วไปนะ เป็นอายตนะใหม่ ที่เรา เรียกว่า อายตนะนิพพานและกัน

    ........งงค่ะ เหนื่อยใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2013
  5. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    หากกิเลสมันจางลงไปจริง จิตจะเบิกบานขึ้นมาสว่างไสวขึ้นมาเอง
    เราจะรู้หรือไม่ก็ได้แต่ที่แน่ๆจิตมันจะแจ่มรู้ของมันเอง

    และถ้ามันบริสุทธิ์มันก็แจ้งทุกอย่างของมันเอง
    เราไม่ต้องไปสงสัยมันให้เสียเวลา ลงมือเลย ลงมือเลย
    ขณะนี้มันกำลังรอเราที่จะเป็นเครื่องมือในการ
    ชำระกิเลสให้เพื่อมันจะเดินเข้าสู่การรู้และแจ้งในที่สุด!!!

    ระดมขันธ์ 5ของเราสงเคราะห์จิตมันหน่อยเหอะ ครับ!!!!
     
  6. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    [๙๑] พระนครสาวัตถี ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง
    สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา
    เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า
    นั่นไม่ใช่ของเรา. นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.
    เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น
    จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.
    เวทนาไม่เที่ยง...
    สัญญาไม่เที่ยง...
    สังขารไม่เที่ยง...
    วิญญาณไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา
    เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา.
    นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความจริงอย่างนี้
    จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.
    [๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ถ้าจิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้วจากรูปธาตุ
    หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย
    เพราะไม่ถือมั่น.
    ถ้าจิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้วจากเวทนาธาตุ
    ... จากสัญญาธาตุ
    ... จากสังขารธาตุ
    ... จากวิญญาณธาตุ
    หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.
    เพราะหลุดพ้นแล้ว จิตจึงดำรงอยู่
    เพราะดำรงอยู่ จึงยินดีพร้อม
    เพราะยินดีพร้อม จึงไม่สะดุ้ง
    เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมดับรอบเฉพาะตน
    เท่านั้น
    ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดว่า
    ชาติสิ้นแล้ว
    พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
    กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว
    กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๗ หน้าที่ ๔๔/๓๑๐ ๓. อนิจจสูตรที่ ๑

    -มาเพิ่มความงงให้ครับ
     
  7. นางมะลิ

    นางมะลิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +117
    ไม่งงหรอกค่ะ เพราะคนล่ะเรื่องกันกับที่พูดไป แต่เอามาให้ก็ขอบคุณค่ะอ่านแล้วมีความสุขทุกที ข้อความดีๆๆ ไม่ไหลไปไหลมาคือรู้ว่าจะสื่ออะไร จะงงได้ไงค่ะ ถ้ากลับไปกลับมาก็ว่าไปอย่าง แบบคนบางพวก อย่างนักการเมือง(บางคน) เป็นต้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2013
  8. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    [๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ถ้าจิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้วจากรูปธาตุ
    หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย
    เพราะไม่ถือมั่น.
    ถ้าจิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้วจากเวทนาธาตุ
    ... จากสัญญาธาตุ
    ... จากสังขารธาตุ
    ... จากวิญญาณธาตุ
    หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.
    เพราะหลุดพ้นแล้ว จิตจึงดำรงอยู่
    เพราะดำรงอยู่ จึงยินดีพร้อม
    เพราะยินดีพร้อม จึงไม่สะดุ้ง
    เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมดับรอบเฉพาะตน
    เท่านั้น ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดว่า
    ชาติสิ้นแล้ว
    พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
    กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว
    กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

    ถ้าจิตไม่ประกอบด้วยองค์ฌานระดับเนวสัญญา นาสัญญา จะคลายอาสวะจากวิญญาณธาตุได้อย่างไร??
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2013
  9. นางมะลิ

    นางมะลิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +117
    เนวสัญญานาสัญญายตนะ ที่ไหนคลายจากอาสวะค่ะ เนวสัญญานาสัญญายตนะแค่เป็นการข่มกิเลสชั่วคราวให้จิตรับรู้อยู่ในสภาวะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ฤาษีชีไพรก่อนยุคพระพุทธเจ้าก็ทำได้มานานแล้ว ยังไม่เห็นเป็นพระอรหันต์ได้เลย
     
  10. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    "เพราะหลุดพ้นแล้ว จิตจึงดำรงอยู่ เพราะดำรงอยู่ จึงยินดีพร้อม เพราะยินดีพร้อม จึงไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมดับรอบเฉพาะตนเท่านั้น"

    เรื่อง "จิต" เรื่องเดียวกันไม่ได้ไหลไปตรงไหนเลยครับ "จิตหลุดพ้นแล้ว จิตจึงดำรงอยู่" ที่บอกว่าไหลไปไหลมานั่นมันความคิดที่คุณไหลไปตามอายตนะ ครับ
     
  11. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    [๖๕] ดูกรอานนท์ วิญญาณฐิติ ๗ อายตนะ ๒ เหล่านี้ วิญญาณฐิติ ๗ เป็นไฉน คือ
    ๑. สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน ได้แก่พวกมนุษย์ และพวกเทพบางพวก
    พวกวินิบาตบางพวก นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๑
    ๒. สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน ได้แก่พวกเทพผู้นับเนื่องในชั้นพรหม
    ผู้บังเกิดด้วยปฐมฌาน และสัตว์ผู้เกิดในอบาย ๔ นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๒
    ๓. สัตว์มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน ได้แก่พวกเทพชั้นอาภัสสร
    นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๓
    ๔. สัตว์ที่มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน ได้แก่พวกเทพชั้นสุภกิณหะ
    นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๔
    ๕. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นอากาสานัญจายตนะด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุด มิได้ เพราะ
    ล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆะสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา โดยประการทั้งปวง
    นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๕
    ๖. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นวิญญาณัญจายตนะด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุด มิได้ เพราะ
    ล่วงชั้นอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๖
    ๗. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร เพราะล่วงชั้น
    วิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๗

    ส่วนอายตนะอีก ๒ คือ อสัญญีสัตตายตนะ (ข้อที่ ๑) และข้อที่ ๒ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ
    ดูกรอานนท์ บรรดาวิญญาณฐิติทั้ง ๗ ประการนั้น วิญญาณฐิติข้อที่ ๑ มี ว่า สัตว์มีกายต่างกัน
    มีสัญญาต่างกัน ได้แก่พวกมนุษย์และพวกเทพบางพวก พวกวินิบาตบางพวก
    ผู้ที่รู้ชัดวิญญาณฐิติข้อนั้น รู้ความเกิดและความดับ รู้คุณ และโทษ แห่งวิญญาณฐิติข้อนั้น
    และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจากวิญญาณฐิติ ข้อนั้น เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินวิญญาณฐิติ
    นั้นอีกหรือ ฯ
    ไม่ควร พระเจ้าข้า ฯ
    ฯลฯ ฯลฯ
    วิญญาณฐิติที่ ๗ มีว่า สัตว์ผู้เข้าถึงชั้นอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการ ว่า ไม่มีอะไร
    เพราะล่วงชั้นวิญญาณณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง ผู้ที่รู้ชัด วิญญาณฐิติข้อนั้น
    รู้ความเกิดและความดับ รู้คุณและโทษ แห่งวิญญาณฐิติ ข้อนั้น และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจาก
    วิญญาณฐิติข้อนั้น เขายังจะควรเพลิดเพลินวิญญาณฐิตินั้นอีกหรือ ฯ
    ไม่ควร พระเจ้าข้า ฯ

    ดูกรอานนท์ ส่วนบรรดาอายตนะทั้ง ๒ นั้นเล่า
    ข้อที่ ๑ คือ อสัญญีสัตตายตนะผู้ที่รู้ชัดอสัญญีสัตตายตนะข้อนั้น
    รู้ความเกิดและความดับ รู้คุณ และโทษ แห่งอสัญญีสัตตายตนะข้อนั้น
    และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจากอสัญญีสัตตายตนะข้อนั้น เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลิน
    อสัญญีสัตตายตนะนั้น อีกหรือ ฯ
    ไม่ควร พระเจ้าข้า ฯ
    ส่วนข้อที่ ๒ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ผู้ที่รู้ชัดเนวสัญญานา สัญญายตนะข้อนั้น
    รู้ความเกิดและความดับ รู้คุณและโทษแห่งเนวสัญญานาสัญญายตนะข้อนั้น และรู้อุบายเป็น
    เครื่องออกไปจากเนวสัญญานาสัญญายตนะข้อนั้น เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินเนวสัญญานา
    สัญญายตนะข้อนั้นอีกหรือ ฯ
    ไม่ควร พระเจ้าข้า ฯ
    ดูกรอานนท์ เพราะภิกษุมาทราบชัดความเกิดและความดับทั้งคุณและโทษ และอุบาย
    เป็นเครื่องออกไปจากวิญญาณฐิติ ๗ และอายตนะ ๒ เหล่านี้ ตามเป็น จริงแล้ว ย่อมเป็นผู้หลุดพ้นได้
    เพราะไม่ยึดมั่น อานนท์ ภิกษุนี้เราเรียกว่า ปัญญาวิมุตติ ฯ

    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค ข้อที่ ๕๗ - ๖๖
     
  12. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    พบความสุขใจที่ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ จากเพื่อนสมาชิกพลังจิต เพราะทำให้รู้ว่าตนเองเข้าใจถูกตรงเกี่ยวกับอรรถธรรม
    คำสอนมากน้อยเพียงใด จากการที่ได้ฟังและได้อ่านอรรถธรรมตามกระทู้ต่างๆ

    ที่มีผู้หยิบยกมานำเสนอไม่ว่าจะเป็นพระสูตรต่างๆ หรือพระธรรมเทศนาของพ่อแม่ครูอาจารย์
    หรือแม้แต่เป็นคำอรรถาธิบายองค์ธรรมจากผู้ที่มีภูมิธรรมเกิดขึ้นในตัวเองแล้ว เกิดมีเมตตา
    อยากช่วยเหลือผู้ที่กำลังจะดำเนินเพื่อไปสู่ความหลุดพ้น ที่บางครั้งก็มีบ้าง
    ที่คลาดเคลื่อนในการตีความคำสอนจากต้นฉบับแล้วก็เอามากล่าวเผยแผ่อย่างผิดเพี้ยน
    แต่เป็นการเพี้ยนอย่างสุจริต ซึ่งก็จะมีผู้รู้ท่านอื่นออกมาย้อนแย้ง บางครั้งกลายเป็นธัมม์วิวาทะ
    ก็มี สาธุชนก็พึงแยกแยะให้ได้ด้วยการค้นคว้าหาความจริง
    ให้ได้ว่าพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้าเเท้จริงเป็นอย่างไร


    ทั้งนี้ หากผู้ศึกษาค้นคว้าจะยึดเอาพระไตรปิฎกเป็นแม่บท ความผิดพลาดหากจะมีบ้าง
    ก็ไม่ถึงกับทำให้ผู้ตั้งใจศึกษา หลุดกระเด็นกระดอนอย่างสิ้นเชิง ออกจากกระแสนิพพาน!!!

    ต้องขอขอบพระคุณเพื่อนสมาชิกทุกท่านที่ทำให้เห็นแสงสว่างและมีกำลังใจเพิ่มขึ้นทุกวัน
     
  13. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    วนไปวนมาขอเหนื่อยด้วยคน
     
  14. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    อ่านจากพระสูตร ที่อุรุยกมาให้อ่านประกอบ
    คำสอนหลวงตามหาบัวแล้ว
    อาจจะไม่เข้าใจในบางข้อ
    เพราะสภาวธรรมเช่นนั้น
    ยังไม่ปรากฎที่จิต
    เลยเข้าใจไม่ได้

    นี่มันเนื้อเนื้อทั้งนั้น!!!
     
  15. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    นิพพานไม่ใช่ผู้รู้ แต่ ผู้รู้แล้วถึงจะได้นิพพาน
     
  16. นางมะลิ

    นางมะลิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +117
    เกี่ยวอะไรกับที่พูดค่ะ ฉันว่าคนล่ะเรื่องนะ
    ฉันพูดว่าตกลงจิตเป็นนิพพาน หรือจิตไม่ได้เป็นนิพพาน
    หลวงตาจะเอาไง

    แค่นั้น เกี่ยวอะไร กับที่คุณสื่อค่ะ ที่คุณเอาข้อความมาเขาพูดว่าจิตดับกิเลส สำรอกออกเพราะความไม่ยึดมั่นถือมั่น จิตก็รู้ถึงนิพพาน

    ก็แสดงว่า นิพพานไม่ใช่จิต
    ก็แค่นั้น

    แต่ฉันถามว่า หลวงตาจะเอายังไง ฉันศึกษา ฉัน งง ค่ะ ฉันต้องการความกระจ่าง ฉันไม่ใช่คุณนะค่ะเอามาลงสองกระทู้ พูดต่างกันราวฟ้ากับเหว ทั้งๆๆที่พระรูปเดียวกันท่านเทศน์คุณเคยอ่านมาก่อนเอามาลงหรือเปล่าค่ะ ถึงไม่สงสัยอะไรเลยถึงไม่แปลกใจแอะไรเลยในเรื่องความต่างกันของคำเทศน์ หรือสักแต่หามาจากเน็ตแล้วก็ก็อปปี้มาทั้งดุ้นค่ะ

    เดี๋ยวบอกนิพพานเป็นจิต(คือจิตที่ชื่อ อายตนะนิพพาน) เดียวบอกนิพพานไม่เป็นจิต คือที่ว่า ผู้รู้ไม่ใช่นิพพาน

    คุณอ่านอะไรจับประเด็นหน่อยสิคุณ ว่าแต่ที่ยกมาคุณเข้าใจหรือเปล่าว่าสูตรสื่ออะไร สูตรก็สื่อว่าจิตไม่ใช่นิพพาน ก็แสดงว่าสนับสนุนมติที่อยู่ในกระทู้นี้ ไม่ใช่มติในอีกกระทู้ที่หลวงตาก็เทศน์เช่นเดียวกัน

    ใครกันค่ะที่ไหลไปไหลมาคุณอ่านหนังสือออกไหม?ค่ะ ถึงไม่เคยรู้เลยว่าฉันถามว่าอะไร ฉันถามถึงวัวคุณชอบไปพูดถึงควายตลอดเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2013
  17. MindSoul1

    MindSoul1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2012
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +496
    แยกให้ก็บอกว่า ติดสัตว์(จิต)
    พอไม่แยกให้ก็บอกว่า งงกะหลวงตามาก , วนไปวนมา อิอิอิ

    ว่างๆจะมาแยก ตามความเข้าใจให้นะคะ ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2013
  18. MindSoul1

    MindSoul1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2012
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +496
    ขออธิบายเรื่อง วิมุตติญาณทัสสนะ หรือที่หลวงตามหาบัวเรียกว่า อายตนะนิพพาน ก่อนนะคะ
    ส่วนเรื่อง "นิพพานไม่ใช่ผู้รู้ เหนือผู้รู้ขึ้นไปอีกหาประมาณไม่ได้ ผู้รู้เด่นๆ ที่ใช้อยู่นี้ไม่ใช่ ก็คือในวงขันธ์
    ความรู้อันนี้อยู่ในวงขันธ์ อันนั้นนอกจากนี้แล้วพูดไม่ได้เลย"
    ว่างๆจะมาอธิบายตามที่เข้าใจอีกครั้งค่ะ

    อธิบายเพิ่มจากที่เคยอธิบายไว้บางส่วน
    ที่กระทู้ "ดูจิตติดเฉยโง่ "อัญญาณุเบกขา"
    http://palungjit.org/threads/ดูจิตติดเฉยโง่-อัญญาณุเบกขา.502148/page-8

    การรู้เฉยๆ กับความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นๆ ก็คือ การทำสมาธิอย่างหนึ่ง
    ถ้ารู้เฉยๆ ในขณะใช้ชีวิตประจำวันก็จะเป็นการทำสมาธิแบบเปิดอายตนะ
    เมื่อมีผัสสะ เกิดเวทนา สุข ทุกข์ เฉยๆ เราก็แค่รู้เฉยๆ แล้วก็วาง
    การจะวางได้ช้า-เร็วขนาดไหน ก็ขึ้นอยู่กับอินทรีย์ภาวนาของแต่ละบุคคล

    ถ้าเกิดความรู้สึกปุ๊บ เราวางได้เลย ก็คือเรารู้เฉยๆ เราไม่เข้าไปยึดจับความรู้สึกนั้น
    แต่เราแค่ดู-แค่รู้-แค่เห็นความรู้สึกนั้นๆที่มันกำลังเกิดขึ้น แล้วเดี๋ยวมันก็ดับไป
    (เดี๋ยวก็ดีใจแล้วก็ดับ เดี๋ยวก็เสียใจแล้วก็ดับ เดี๋ยวก็ไม่พอใจแล้วก็ดับ
    เพราะมันมีเหตุปัจจัยมันจึงเกิด เมื่อเหตุปัจจัยหมดมันก็ดับ)
    ถ้าเราสามารถรู้-ดู-เห็นอย่างนี้ได้บ่อยๆ มากๆ ก็จะทำให้เรารู้ทันจิตสังขาร
    อันนี้เป็นการใช้จิตสังขาร ดูจิตสังขาร อันนี้เป็นการทำวิปัสสนา

    เมื่อทำให้มากๆๆ จน รู้-ดู-เห็นได้เท่าทันกับทุกๆผัสสะ เกิดผัสสะปุ๊บวางได้เลย
    จะทำให้จิตว่าง-สงบและตั้งมั่น ไม่แส่ส่ายออกไป เป็นเอกัคคตา จนถึงที่สุดแล้ว
    จิต(สัตว์)จะแยกตัวออกจากขันธ์๕ ทำให้เห็นการทำงานของขันธ์๕ เพียวๆ (จากตรงนี้จะเกิดขึ้นเองพร้อมภวังค์)
    โดยที่จิต(สัตว์ฯ) ไม่ได้เข้าไปร่วมเลย ขันธ์๕จะดับสนิทไปจากจิต แยกเป็นคนละส่วนกัน
    จิต(สัตว์ฯ)จะกลายเป็นผู้ดู อาการที่เกิดจากผัสสะของขันธ์๕จะเป็นผู้แสดง(ผู้ถูกดู)
    จิต(สัตว์ฯ)จะเห็นการทำงานของขันธ์๕ ที่ปรากฎนั้นๆ ด้วยจิตเอง โดยไม่ได้ใช้การคิด
    จิต(สัตว์ฯ)จะประจักษ์ชัดเพราะเห็นความจริงของขันธ์๕ เห็นอริยสัจ ด้วยตัวของจิตเอง
    แล้วจะถอดถอนอวิชชาได้ ประหานกิเลส อันนี้เป็นวิปัสสนาญาณ

    เมื่อจิต(สัตว์ฯ)ประหานกิเลส ถอดถอนอวิชชาได้แล้ว
    จิต(สัตว์ฯ)ก็มีวิชชา จึงถูกเรียกใหม่ว่า วิมุตติญาณทัสสนะ(ผู้รู้ในวิมุตติ) มีที่ตั้งอาศัยในวิมุตติ
    ก็คือสิ่งที่หลวงตามหาบัวท่านเรียกว่า อายตนะนิพพาน(สิ่งที่รู้นิพพาน) นั่นเอง

    [ขณะจิตที่เกิดวิปัสสนาญาณ จิตจะหยั่งลงภวังค์ ขันธ์๕จะดับสนิท เกิดพร้อมกันในขณะจิตเดียว
    หลังจากนั้นแล้ว จิตจะขึ้นสู่วิถีจิตใหม่ ซึ่งทางอภิธรรมเรียกว่า ปัจจเวกขณวิถี]


    ก็ในเมื่อ ในสภาวะนิพพานหรือวิมุตติ ขันธ์๕ดับสนิท (อายตนะของขันธ์๕ก็ดับสนิท สติ-สมาธิก็ดับสนิท)
    แล้วอะไรหล่ะ?ที่รู้นิพพาน สิ่งที่รู้นิพพานก็คือ วิมุตติญาณทัสสนะ หรือ อายตนะนิพพานที่หลวงตาเรียก

    .............

    [อธิบายตามความเข้าใจว่า : พระสูตรนี้ บ่งบอกถึง
    ขณะเกิดวิปัสสนาญาณ เมื่อวิมุตติญาณทัสสนะปรากฏ จะมีสิ่งที่เกิด-สิ่งที่ถูกปรุงได้รอดออกไป
    ไม่ใช่มีอะไรเกิดขึ้นมาใหม่

    เพราะมีวิมุตติญาณทัสสนะ(สิ่งที่ไม่เกิด-มิถูกปรุง) จึงปรากฏมีความรอดออกไปของสิ่งที่เกิด-ที่ถูกปรุง]

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2013
  19. MindSoul1

    MindSoul1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2012
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +496
    [อธิบายตามความเข้าใจว่า : สภาวะข้างล่างนี้คือ สภาวะวิมุตติ]

    ภิกษุ ท.! "สิ่ง" สิ่งนั้นมีอยู่, เป็นสิ่งซึ่งในนั้นไม่มีดิน ไม่มีน้ำ
    ไม่มีไฟ ไม่มีลม, ไม่ใช่อากาสานัญ จายตนะ ไม่ใช่วิญญาณัญจายตนะ
    ไม่ใช่อากิญจัญญายตนะ ไม่ใช่เนวสัญญานาสัญญายตนะ, ไม่ใช่โลกนี้
    ไม่ใช่โลกอื่น, ไม่ใช่ดวงจันทร์ หรือดวงอาทิตย์ทั้งสองอย่าง.

    [อธิบายตามความเข้าใจว่า : สภาวะข้างล่างนี้คือ วิมุตติญาณทัสสนะ]

    ภิกษุ ท.! ในกรณีเกี่ยวกับ "สิ่ง" สิ่งนั้น เราไม่กล่าวว่ามีการมา,
    ไม่กล่าวว่ามีการไป, ไม่กล่าวว่ามีการหยุด, ไม่กล่าวว่ามีการจุติ, ไม่กล่าวว่า
    มีการเกิดขึ้น. สิ่งนั้นมิได้ตั้งอยู่, สิ่งนั้นมิได้เป็นไป และ สิ่งนั้นมิใช่อารมณ์;
    นั่นแหละคือ ที่สุดแห่งทุกข์ ละ.


    - อุ. ขุ. ๒๕/๒๐๖/๑๕๘.

    �Ҥ � : �ç�ѹ���������·ء���ҧ
    อริยสัจฯ ภาคต้น
     
  20. MindSoul1

    MindSoul1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2012
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +496
    “สิ่ง” สิ่งหนึ่งซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง

    “สิ่ง” สิ่งหนึ่งซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์ ไม่มีที่สุด
    มีทางปฏิบัติเข้ามาถึงได้โดยรอบ, นั้นมีอยู่;
    ใน “สิ่ง” นั้นแหละ ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้;
    ใน “สิ่ง” นั้นแหละ ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความ ไม่งาม ไม่หยั่งลงได้;
    ใน “สิ่ง” นั้นแหละ นามรูป ดับสนิทไม่มีเหลือ;
    นามรูป ดับสนิท ใน “สิ่ง” นี้ เพราะการดับสนิทของวิญญาณ; ดังนี้แล.

    สี. ที. ๙/๒๘๙/๓๔๘-๓๕๐.

    ………….

    [วินัยเป็นข้อปฏิบัติให้บรรลุความหลุดพ้นจากกิเลสเป็นที่สุด]

    ก็อีกประการหนึ่ง กุศลธรรมเหล่าใด ซึ่งมีสังวรเป็นมูล อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้ว, บุคคลผู้ทรงวินัยนั่นแล
    ชื่อว่าเป็นทายาทแห่งกุศลธรรมเหล่านั้น เพราะธรรมเหล่านั้น มีวินัยเป็นมูล. สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า

    วินัย ย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่สังวร (ความสำรวม).
    สังวรย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่อวิปปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อน),
    อวิปปฏิสาร ย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่ความปราโมทย์,
    ความปราโมทย์ ย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่ปีติ(ความอิ่มใจ),
    ปีติ ย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่ปัสสัทธิ (ความสงบ),
    ปัสสัทธิย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่ความสุข,
    ความสุข ย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่สมาธิ(ความตั้งใจมั่น)
    สมาธิ ย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้เห็นตามเป็นจริง),
    ยถาภูตญาณทัสสนะ ย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่นิพพิทา(ความเบื่อหน่าย),
    นิพพิทา ย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่วิราคะ (ความสำรอกกิเลส),
    วิราคะ ย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่วิมุตติ (ความหลุดพ้น)
    วิมุตติ ย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่วิมุตติญาณทัสสนะ (ความรู้เห็นความหลุดพ้น),
    วิมุตติญาณทัสสนะ ย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่อนุปาทาปรินิพพาน (ความดับสนิทหาเชื้อมิได้),
    การกล่าว การปรึกษา กิริยานั่งใกล้ความเงี่ยโสตลงสดับ แต่ละอย่างๆ มีอนุปาทาปรินิพพาน คือ ความพ้น
    พิเศษแห่งจิต ไม่ถือมั่น นั่นเป็นผล.

    *เพราะฉะนั้น ควรทำความพยายามโดยเอื้อเฟื้อในการเล่าเรียนพระวินัย ดังนี้แล.

    * วิ. ปริวาร. ๘/๔๐๖.

    �к��ҹ�����ž����ûԮ�
    พระวินัยปิฎก เล่ม ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑ พาหิรนิทานวรรณนา เริ่มเรื่องจตุตถสังคายนา
     

แชร์หน้านี้

Loading...