ดวงลิขิตหรือจิตพาไป

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 26 ธันวาคม 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD>ดวงลิขิตหรือจิตพาไป</TD></TR><TR><TD>คุณยุวดี เรืองฉาย ( ปู โลกเบี้ยว )</TD></TR><TR><TD>ปรับปรุงครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่1 มกราคม 2549</TD></TR></TBODY></TABLE>



    พิธีกร สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เราจะมาเจาะลึกในเรื่องของคุณปู โลกเบี้ยว ที่เป็นเจ้าของหนังสือเล่มนี้ ถ้าเราแนะนำอย่างนี้โอเคเลยครับ แต่ถ้าเราบอกว่า เธอชื่อยุวดี เรืองฉาย เอ๋ใครหนอ แต่เธอมานั้งอยู่ตรงนี้แล้วครับ ที่จะพูดคุยในรายละเอียดนี้กับเรา สวัสดีครับ คุณปู ขอบคุณครับ ที่ให้เกียรติกับรายการ ปีใหม่แล้ว ตอนนี้งานชุกขึ้นมากเลยซิครับ ถ้าอย่างนี้
    คุณยุวดี ก็พอมีบ้างค่ะ จริงๆคนเราก็มีงานอยู่ทุกวันค่ะ เพียงแต่ใจเราหรือเราคิดไปเองว่ามันไม่มี บางคนชอบบอกว่า ช่วงนี้ทำไมเหมือนไม่ค่อยมีงานเลย ไม่ใช่ บางคนบอกว่าปีนี้ไม่ใช่ปีของเรา อะไรอย่างนี้ มันไม่ใช่ เพียงแต่ว่าเรามีความรู้สึกเบื่อหน่าย เท่านั้นเอง
    พิธีกร มันเป็นอย่างนั้น
    คุณยุวดี เราก็เลยรู้สึกว่าชีวิตไม่ดี จริงๆมันไม่ใช่ มันอยู่ที่ใจ
    พิธีกร ที่เราเรียนท่านผู้ชมว่า คุณปูเขียนหนังสือ
    คุณยุวดี เขียนเองนะคะ
    พิธีกร ไม่ได้มีใครคอยเขียนให้
    คุณยุวดี ไม่มีคะ เขียนเอง คิดเอง ค้นคว้าเองค่ะ นั่งทำเอง พิมพ์เองหมดทุกอย่างเลย
    พิธีกร เพื่อจะถ่ายทอดให้ท่านผู้ชมได้รู้นะครับ ว่าชีวิตของเธอเองตอนนี้ทำไมถึงมาสนใจกับเรื่องของการมาเป็นหมอดู
    คุณยุวดี ตอนแรกก็ไม่รู้สึกอยากจะสนใจหรอกค่ะ เพราะว่าเป็นคนที่ไม่ชอบดู เนื่องจากมีความรู้สึกว่า คนมาดูเขารู้จักเราแล้ว เขาจะต้องมั่วมาแน่เลย ว่าเราเป็นคนยังไง เชื่ออย่างเดียวคือไพ่ยิบซี เพราะเราเป็นคนจับเอง แล้ว ณวันหนึ่ง มีพี่คนหนึ่งเขามาชวนให้ไปเรียนคอมพิวเตอร์ พอไปเรียนปุ๊บเสียเงินไปสองหมื่น ได้โปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบนี้มาค่ะ แล้วมันก็เป็นภาษาดาวอย่างนี้ แต่เสียตางค์แล้วเราต้องเรียนให้จบ ณ ตอนนั้นนะคะ
    พิธีกร เสียดายเงิน
    คุณยุวดี ใช่ เสียดายเงิน เราต้องเรียนให้จบ ก็เลยเรียน พอเรียนแล้วเริ่มสนุก เอาดาวมาผสมกัน พอเจออย่างเนี่ย เจอคุณหมอ เอาพิมพ์เลย เกิดวันอะไร พิมพ์เลย เราจะได้รู้ว่าบุคคลคนนี้เป็นคนยังไง พอเรียนไปเรื่อยๆ มันก็เริ่มไปเรื่อยๆ ก็มีไพ่ยิบซี และอะไรไปเรื่อยๆเลย เรียนไปเรื่อยๆ เป็นโหราศาสตร์ไทย จนกระทั่งถึงโหงวเฮ้ง ไปอบรมอยู่สองวันเหมือนกัน อย่างหูคุณหมอ จอมโปรเจกมากเลย ในสมองคิดอย่างโน่นอย่างนี้ จอมวางแผน
    พิธีกร บอกได้ขนาดนั้น เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวให้ดูแน่ๆเลยครับ อยากถามอีกหลายคำเกี่ยวกับตัวเอง แต่ขอได้ประโยชน์ตรงนี้สักนิดหนึ่งก่อนหลายๆคนเขาบอกว่า ถ้าจะนึกถึงหมอดู ถ้าจะนึกถึงว่าจะต้องไปหาเขา ส่วนใหญ่มักจะมีความทุกข์มาก่อน
    คุณยุวดี ถูกต้องค่ะ
    พิธีกร จุดที่คุณปูก่อนที่จะมาสนใจตรงนี้ ตอนนั้นเคยมีเรื่องอะไรทางจิตใจที่เป็นความทุกข์มาก่อนด้วยหรือไม่ครับ
    คุณยุวดี ไม่ค่ะ ไม่กล้าด้วย คือ ถ้าสมมุติเรามีเรื่องความทุกข์ เราจะไม่กล้าไปบอกใคร เรามีความรู้สึกว่า เราอาย คนที่เราคุยด้วยคือเพื่อน แต่คนอื่นๆตั้งแต่พอมาเรียนโหราศาสตร์ เรารู้แล้วว่า คนอื่นๆเขาไม่ได้คิดเหมือนกันทุกคน คนอื่นๆบางทีมีความทุกข์หนักมาก คุยกับผัวไม่ได้ เมียไม่ได้ ลูกเต้าไม่ได้ พ่อแม่ไม่ได้ เพื่อนก็ไม่ได้ กลัวโดนเม้า ไม่รู้จะไปไหน เขาก็ต้องมาหาหมอดู เนื่องจากว่า ถ้าเขารู้สึกสับสนในชีวิต แล้วเขาไปหาจิตแพทย์ อ้าวหาว่าฉันบ้า ใช่มั้ย เขาก็ต้องคิดว่า คนต้องหาว่าฉันบ้า เขาก็เลยไปคุยกับหมอดู เพราะหมอดูเป็นใครไม่รู้ เม้าไม่ได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นคนที่มาส่วนใหญ่จะทุกข์ค่ะ ตั้งแต่ทำด้านนี้มานะคะ ถ้าไม่ทุกข์ก็มาลองของ มีผู้ที่ไม่รู้จะทำอะไรก็ดูหมอทั้งวัน ทั้งปี ดูไปเรื่อยๆ ดูจนกว่าตัวเองจะดีแล้วจะหยุด คนเรานี่ก็แปลกนะคะ พอดูแล้วมันไม่ดีก็มีความรู้สึกว่าไม่แม่น
    พิธีกร ก็ต้องควานหาคนอื่น
    คุณยุวดี ใช่ค่ะ ดูจนกว่าจะถูกใจตัวเอง
    พิธีกร แสดงว่าสิ่งที่เขาแสวงหา คือ ใครก็ตามแต่ที่จะมาคุย แล้วทำให้ตัวเองสบายใจด้วย
    คุณยุวดี ใช่ค่ะ ถูกต้อง
    พิธีกร นี่คือสิ่งที่เจอ
    คุณยุวดี ปูว่าหมอดูก็คือ จิตแพทย์ของคนไทยนั่นเอง
    พิธีกร ถูกต้อง แต่จะถูกต้องในสายตาของท่านผู้ชมหรือเปล่า เราไปถามคนที่ชอบดูหมอ ทำไมเขาถึงชอบไปดูดวง เราไปถามคนในพื้นที่มาครับ เดี๋ยวไปดูกันว่าเขาให้คำตอบกับเราอย่างไร
    - เหมือนกับว่าเป็นที่พึ่งทางใจครับ มีส่วนเชื่อบ้างครับ ไม่งั้นก็ไม่มาดูหรอกครับ เราต้องฟังหูไว้หู อะไรที่มันแย่ๆ เราก็ต้องเอามาคิดเหมือนกันครับ
    - ช่วงนี้มีปัญหาอยู่ครับ และคิดว่าน่าจะเป็นที่พึ่งได้ครับ เชื่อมั่งไม่เชื่อมั่งครับ แล้วแต่ มันสามารถเป็นแนวทางให้เราได้ครับ เพราะว่าบางอย่างอาจจะไม่จริงเสมอไปครับ ก็ต้องคิดเองด้วย
    - เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง ก็ต้องรอดูไปก่อน
    - เชื่อนิดหนึ่ง แต่จริงๆแล้วเชื่อตัวเองมากกว่า
    - เรื่องดวง เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง คิดว่าอะไรก็แล้ว มันอยู่ที่ตัวเรามากกว่า ถ้ามีปัญหาเราจะแก้ด้วยตัวเอง
    พิธีกร มีบอกว่าเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง บางคนบอกว่ามีความทุกข์ เป็นลักษณะไม่สบายใจก็เลยไปหา เป็นอย่างนี้เลยใช่มั้ยครับ
    คุณยุวดี ใช่ค่ะ
    พิธีกร เราเคยมีสถิติมาบอกกันในรายการนี้แล้วนะครับ ว่าหลายๆคนที่มีความเครียด วิธีการคลายเครียดส่วนหนึ่ง ของเขามีหลายวิธี แต่วิธีที่นิยมมากที่สุดของผู้หญิงคืออะไรรู้มั้ยครับ
    คุณยุวดี อะไรค่ะ
    พิธีกร นี่แหละครับ ดูดวง
    คุณยุวดี อันนี้ไม่จริง ปูขอเถียง
    พิธีกร คนที่มาดูเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ส่วนใหญ่
    คุณยุวดี ขอโทษ ปูก็เคยคิดว่าผู้หญิงจะชอบเป็นคนที่ดูดวงใช่มั้ย แต่ตั้งแต่เข้ามาเรียนรู้โหราศาสตร์ มีผู้ชายเข้ามาก็เยอะ แล้วทีนี่เวลาปูถามเพื่อนๆ หรือคนอื่น หรือเพื่อนๆหมอดูด้วยกัน ปูก็ถามว่า มีผู้ชายมาดูมั้ย เขาบอกว่าไม่มีหรอก ทำไมผู้ชายเข้ามาหาเรา เพื่อนๆบอกว่าเหมือนกับเขาไว้ใจ คนเราถ้าเขาไว้ใจ เมื่อกี้คุณหมอบอกแล้วว่า อะไรก็ได้ที่ทำให้เขาสุขใจ ถ้าเขาไว้ใจ เขาเข้ามาคุยกับเรา เพราะฉะนั้นปกติแล้ว ผู้ชายจะไว้ใจคนยาก จะเข้ากับใครยาก คือ การที่จะไปคุยกับใครก็ต้องคิดแล้วคิดอีก โดยเฉพาะหน้า เกียรติยศ อะไรอย่างเนี่ย
    พิธีกร เขาเรียกว่ามีฟอร์มหน่อย จะไปปล่อยได้ยังไง
    คุณยุวดี ใช่ค่ะ ถ้าเราเป็นกันเองกับเขา ให้ความไว้วางใจ เขาจะกล้าที่จะมาคุยกับปู ขนาดเดินห้างสรรพสินค้า ผู้ชายเขาก็เดินเข้ามาคุย ถามคุณปูครับ ผมเดือดร้อน ปูก็จะปฐมพยาบาลขั้นแรกให้ก่อนก็คือ จะดูคร่าวๆให้ก่อน ว่าพี่มีเรื่องอะไร ไม่เป็นไรนะคะ พี่ต้องอดทนอีกนิดหนึ่งจะดีแล้ว
    พิธีกร เหรอครับ
    คุณยุวดี ต้องปฐมพยาบาลให้เขาก่อน คนเราชอบให้ยอมากกว่าด่านะคะ
    พิธีกร พูดอย่างนี้ อยากจะรู้เหมือนกันว่า ศาสตร์ของหมอดู เวลาที่เขาจะมาพบมาหา มีวิธีการสอน มีวิธีการบอกยังไงหรือไม่ครับ ว่าเราจะเข้าถึงปัญหาของเขาอย่างไร จะจัดการอย่างไร มันเป็นยังไงครับ
    คุณยุวดี มีค่ะ อย่างดวงดาวกับท้องฟ้าที่ปูเรียนอยู่ มันจะมีดาวไม่ดีอยู่ เราก็จะรู้แล้วว่าเขาคิดอะไรอยู่ เราก็จะรู้ รู้ว่าเขามีปัญหาอะไร เขามาหาเราเพราะอะไร
    พิธีกร ตัวนี้จะบอกได้เลยเหรอ
    คุณยุวดี บ่งบอกได้ค่ะ
    พิธีกร ไม่จำเป็นต้องดูสีหน้าท่าทาง หรือเขาบอกว่าทุกข์มา มีหรือไม่ครับ
    คุณยุวดี ด้วยค่ะ นอกจากจะเรื่องของตรงนี้ เพราะกว่าเราจะมาเปิดคอมดูมันก็เสียเวลา เขาเรียกจับยามสามตา เราต้องดูว่า เขาเกิดวันอะไร
    พิธีกร เอาจากวันเกิดที่จำได้ง่ายๆก่อน
    คุณยุวดี ใช่ค่ะ และบวกกับการวิเคราะห์น้ำเสียง พลังของเสียงที่ออกมา และหน้าตาด้วย คนชอบมาถามปูว่า มีเทพ มีองค์ มีอะไรมั้ย ปูบอกว่าปูไม่มี ปูมีแต่สมองกับการวิเคราะห์ คนเราต้องวิเคราะห์ให้ออกว่า เขามีอะไรเดือดร้อนมั้ย บางคนเขาเก็บลึกมาก เราไม่รู้ เราต้องใช้พวกนี้เป็นสื่อ เพื่อที่จะได้ดูได้ว่าจริงๆข้างในลึกๆ เขาคิดอะไร เขากล้าบอกมั้ย เขากล้าพูดมั้ย อะไรอย่างนี้ค่ะ
    พิธีกร ก็คือหมายถึงว่า เครื่องมือในการที่จะเข้าไปถึงจุดที่เขาต้องการ หมอดูก็ต้องมีด้วยเหมือนกัน
    คุณยุวดี ใช่ค่ะ อย่างของคุณหมอ จริงๆแล้วข้างนอกดูเปิดเผยน่ะ แต่จริงๆข้างในใจ จริงๆไม่ได้อยากจะแบบว่า เปิดเผยเรื่องตัวเองกับใครจะเก็บมากกว่า ไม่สนิทกันจริงก็จะไม่ค่อยคุยกับใคร ไม่มาเล่าเรื่องตัวเองให้คนอื่นฟัง และตอนนี้ถามว่าทุกข์เรื่องอะไร จะวุ่นวายเรื่องงานกับเรื่องที่บ้าน เรื่องของญาติพี่น้อง มันก็จะบ่งบอก
    พิธีกร เลยเหรอ โอ้โฮ บอกได้อย่างนี้เลยเหรอฮะเนี่ย
    คุณยุวดี นี่คือเรามาดูตรงนี้นะคะ แต่ถ้าดูตามหน้าเราก็จะไม่รู้ถูกมั้ย เราก็จะบอกว่าหน้าตาก็สดใสดี ราศรีผ่องใสอะไรอย่างนี้ค่ะ
    พิธีกร จริงๆแล้วศาสตร์ทั้งหลาย มันเอามาผสมผสานรวมกัน เพื่อที่จะไปบอกกับบุคคลที่เดินเข้ามาหาเรา เพื่ออะไรครับ เพื่อบอกว่าแม่นไม่แม่น หรือว่าเพื่อไปแก้ปัญหาในใจของเขา
    คุณยุวดี ไม่ใช่ค่ะ คำว่า แม่น ไม่แม่น ปูอยากจะบอกว่า ไม่ได้อยู่ที่หมอดู อยู่ที่คนมาดู สมมุติว่าคนมาดู เราดูอะไรไป เราพูดอะไรไป แล้วตรงกับใจเขา เขาจะบอกว่าแม่นมาก แต่ถ้าไม่ตรง เขาจะบอกว่าไม่แม่น ถามว่าวัดยังไง หมอดูที่เก่งมากอะไรอย่างเนี่ย พูดไปเนี่ยคนนี้ก็บอกว่าไม่เห็นเหมือนที่เพื่อนดูเลย ก็เพราะว่าตัวเองคิดไม่เหมือนคนอื่น คนเราถ้าเกิดว่าเขารู้สึกสบายใจ ก็เข้าแบบเดิมคือ ถ้าเขารู้สึกสบายใจ เขาดี เขาจะรู้สึกศรัทธาคนนั้นเลย คนนั้นพูดอะไรเขาก็เชื่อ ถูกมั้ยค่ะ มันมีความสำคัญมาก
    พิธีกร แสดงว่าพอเราเห็นสีหน้าเขาทุกข์มา หน้าหงิกมา หน้าอะไรทั้งหลายมา อันนี้เป็นสะพานอย่างหนึ่งที่จะเชื่อมโยงเขากับเราให้มาใกล้ชิดกัน การทายว่าถูกไม่ถูกทั้งหลายจะสามารถยึดจิตใจเขากับเราได้แล้วใช่มั้ยครับ
    คุณยุวดี ถูกต้องค่ะ ปูว่าสถิติที่คนโบราณทำมา คนโบราณเก่งมากเลย เปรียบเทียบอะไรเอาไว้ ทำสถิติเอาไว้เก่งมาก เรามาเรียนรู้ต่อจากคนโบราณอีกที อย่างบางคน อย่างปูเนี่ยนก็จะมาเพิ่มพูนประสบการณ์อีกที เช่น ปูเอาหลายๆด้านมารวมกัน อย่างเนี่ย ปูเห็นหูคุณหมอ เห็นดาวคุณหมอ เห็นมือคุณหมอ ปูฟันธงเลยว่า คุณหมอจอมวางแผน เห็นลายมือเมื่อกี้นี้ พูดๆ ปูมองเห็น
    พิธีกร เห็นเลยเหรอ วางแผนตรงไหนมันบอก
    คุณยุวดี เส้นลายมือ
    พิธีกร บอกได้เลย เอามาประกอบกัน
    คุณยุวดี ใช่ อย่างคุณหมอจริงๆแล้วเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวมาก เป็นคนที่ถ้าหากทำงานกับใคร ไม่ชอบทำงานกับใคร คือ ชอบทำงานคนเดียว ไม่ชอบรำคาญ คือ ถ้าทำคนเดียวมันจะคล่องกว่า อย่างเนี่ยก็เห็นอ่ะ ต้องหูไว ตาไว
    พิธีกร เร็วนะเนี่ย มิน่าถ้าโดนเนี่ยไปถึงในใจเขาได้เลย
    คุณยุวดี แล้วโดนมั้ยค่ะ แล้วคุณหมอก็จะรู้สึกดี รู้สึกศรัทธา เวลาเราพูดอะไรเนี่ย โอ้โฮ
    พิธีกร โดยส่วนใหญ่ ถ้าอย่างเนี่ยเขาบอกว่า อีกส่วนหนึ่งที่หลายๆคนเขานึกไว้ หมอดูคู่กับหมอเดา ผมขออนุญาตนะครับ
    คุณยุวดี ถูกต้องค่ะ
    พิธีกร บางคนบอกว่า พูดมามันก็ 50-50 ใช่สถิติ
    คุณยุวดี ใช่ค่ะ เขาพูดถูกแล้วค่ะ คุณหมอขา เพราะดาวดวงหนึ่ง มันทายได้ 50 เรื่อง ปูถึงบอกว่า มีสมองกับการวิเคราะห์ เราต้องวิเคราะห์ให้ถูกว่า เขาเนี่ยอะไรตรงไหน ถูกมั้ยค่ะ คือ เราต้องดูให้ออกว่า ตอนนี้เขามีเรื่องอะไร ต้องวิเคราะห์ให้ออกว่า ดาวดวงนี้มีตั้ง 50 เรื่อง
    พิธีกร ส่วนใหญ่แล้วคนที่มาหาหมอดู โดยเฉพาะคุณปูเอง เขาบอกมั้ยครับว่า ส่วนใหญ่เขาทุกข์ทางใจมาทั้งนั้น หรือว่าเป็นเพราะว่าว่างๆก็เลยมาดูกัน
    คุณยุวดี มีทั้งสองอย่าง ที่ปูบอกว่ามีทั้งทุกข์และลองของค่ะ หรือพวกไม่มีอะไรจะทำ แต่ทุกข์มากกว่า
    พิธีกร ทุกข์จะเยอะกว่า
    คุณยุวดี ค่ะ เพราะว่าคนเราถ้าไม่ทุกข์ ใครจะไปหาหมอดู ใครจะอยากเอาเรื่อง เขาเรียสาวไส้ให้กากิน ถูกมั้ยค่ะ ใครจะอยากไปเสียตางค์โดยใช่เหตุ ปูว่าเขาคงทุกข์มา
    พิธีกร นั่นคือสิ่งหนึ่ง
    คุณยุวดี พอตอนหลังๆเนี่ย ปูมาเรียนเนี่ย อาจารย์สอนว่า ถ้าเราอยากที่จะช่วยเขา เราจะเรียนรู้ได้เร็วมาก ปูก็รู้สึกว่า ถ้าสมมุติว่าการปฐมพยาบาลที่ปูบอกขั้นต้น แล้วเราทำให้เขารู้สึกสบายใจเนี่ย อย่างน้อยเนี่ยหนึ่ง เราได้ประสบการณ์ในการดูหมอ สองเขาสบายใจ ความสบายใจมันทำให้เรารู้สึกดี เหมือนกับเราได้ช่วยคน เหมือนเวลาเราแค่คิดว่าเราจะช่วยหมาอยู่ข้างถนน อย่าข้ามมานะ อะไรอย่างเนี่ย แล้วพอมันไม่ข้าม ราจะรู้สึกโล่งว่า มันไม่ตายแน่แล้ว ความรู้สึกนั้นมันจะขึ้นมานั่นคือสิ่งที่เราได้บุญแล้ว นี่แค่นิดเดียว แค่คิด แต่ถ้าเราลงมือทำหรือช่วยเขา นี่ขนาดแค่ทำกับคน คนพอเขามีกำลังใจ เขาประสบความสำเร็จ เขาทำอะไรๆให้กับครอบครัว มันได้ไปอีก เหมือนการบริจาคเลือดถูกมั้ยค่ะ สมมุติเราบริจาคเลือดให้คนคนหนึ่ง สมมุติเขามีชีวิต เขามีชีวิตเพื่อไปเลี้ยงครอบครัวอีกไม่รู้กี่ร้อยกี่สิบคน บุญมันกลับมาเต็มเลยอย่างเนี่ย
    พิธีกร ใช่แล้วครับ นี่จะใช่หรือไม่ จริงๆแล้วในเรื่องของตรงนี้ เราก็ไปสัมภาษณ์กับทางจิตแพทย์มานะครับ ว่าโดยทั่วไปถ้าจิตวิเคราะห์กับคนที่มีความทุกข์ จนกระทั่งต้องไปหาหมอดูทั้งหลาย โดยส่วนใหญ่เป็นคนที่มีความทุกข์หรือไม่ ศาสตราจารย์นงพงา ลิ้มสุวรรณ เป็นจิตแพทย์ จะมาบอกกับเราครับ
    ศ.พญ.นงพงา เวลาคนเรามีความทุกข์ มันก็เดือดร้อนใจใช่มั้ยค่ะ ก็มีความทุกข์ทรมาน ก็อยากจะออกจากทุกข์นั้น ก็พยายามช่วยตัวเอง คราวนี้จะช่วยวิธีไหน มันก็แล้วแต่พื้นฐาน หรือวัฒนธรรม หรือสิ่งที่เป็นความรู้ ว่าจะไปทำยังไง วัฒนธรรมของเรามันก็มีมากเรื่องของดูหมอ เรื่องของดูดวง หลักๆก็คือ เขาอยากจะพ้นจากความทุกข์นั้นนะคะ เพราะเวลาไปหาอย่างนี้ เขาก็อยากจะรู้ว่า ควาทุกข์นั้นมันจะจบเมื่อไหร่ ถ้ายังไม่จบ มันจะมีวิธีผ่อนหนักให้เป็นเบาได้มั้ย ส่วนใหญ่พวกดูดวงหรือหมอดู เขาจะมักมีวิธีแนะแก้ ทำให้เกิดกำลังใจ
    พิธีกร นั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับจิตใจของคนครับ เรื่องของความทุกข์ การมาพบกับจิตแพทย์ บางทีบางครั้งอย่างที่คุณปูว่า บ้าหรือเปล่า แต่พอไปพบกับหมอดู รู้สึกว่าเรื่องอย่างนี้ดูจะเบาๆกว่านะครับ
    คุณยุวดี ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องเดียวกัน
    พิธีกร ใกล้ตัวกว่าด้วยนะครับ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ แต่ยังไงก็ตามแต่ครับ เราต้องมาคุยกันต่อว่า คุณปูไม่ได้แค่ดูทางด้านนี้ ต้องใช้ไฮเทคอย่างนี้ด้วย ผมก็มีนะครับเนี่ย เดี๋ยวต้องโชว์หน่อย
    คุณยุวดี ไปโหลดที่ไหนมาค่ะ
    พิธีกร ฉบับพกพาครับ
    คุณยุวดี แล้วคุณหมอดูเป็นมั้ยค่ะ
    พิธีกร ไม่เป็นครับ
    คุณยุวดี แล้วไปโหลดที่ไหนมาค่ะเนี่ย
    พิธีกร พอดีใช้ปาล์มอยู่ แล้วเขาบอกว่ามี เลยเอามาลองดูหน่อย จริงๆเราก็สนอกสนใจเหมือนกัน นั่นเป็นศาสตร์อย่างหนึ่งนี่น่า ปรากฏว่า ศาสตร์อย่างนี้ แสดงว่ามันเป็นคณิตศาสตร์หรืออะไรครับ มันถึงคำนวณได้อย่างนี้
    คุณยุวดี ถูกต้องค่ะ ดาวก็เป็นคณิตศาสตร์ ทุกอย่างเป็นคณิตศาสตร์หมดค่ะ
    พิธีกร อันนี้คือ โหราศาสตร์ไทย อันนี้เราก็คุ้นเคยนะครับ เป็นตารางๆ ผมเห็นบางคนเอาไปสักยันต์ด้วยซ้ำ แต่ของคุณปูเป็นเหมือนกับในอวกาศยังไงชอบกล มันมีอะไรบ้างครับ ตรงนี้
    คุณยุวดี ใช่ค่ะ เป็นดวงดาวบนท้องฟ้าค่ะ เขาคำนวณมา นี่ชาวเยอรมันเป็นคนคิด เอาดาราศาสตร์มาผสมกับโหราศาสตร์ ค่อนข้างจะเป็นวิทยาศาสตร์ อันนี้แหละที่ทำให้ปูนึกอยากจะเรียน เพราะปูมีความรู้สึกว่า อันอื่นมันหลอก ตั้งแต่แรกแล้วมีความรู้สึกเองว่า โดนหลอก แต่อันนี้เหมือนกับว่า เราได้ดูดวงดาวบนท้องฟ้าว่ามีอิทธิพลอะไรกับชีวิตมนุษย์ เช่น พระอาทิตย์มีอิทธิพลกับมนุษย์มากๆ ถูกมั้ยค่ะ เพราะเขาดูแลเรา ให้ชีวิตเราเติบโต
    พิธีกร ส่องแสงสว่างมา
    คุณยุวดี ถูกต้องค่ะ พระจันทร์ก็มีอิทธิพลกับชีวิต น้ำขึ้น น้ำลง อารมณ์ของคน เพราะฉะนั้นดวงดาวตัวอื่นก็มีอิทธิพลเช่นกัน ก็เลยเอามากระทบว่า ณ วันที่เราเกิด ดวงดาวในท้องฟ้ามีอะไรบ้าง ณ วันที่เราเกิด อยู่ทิศซ้าย ทิศขวา ทิศตะวันออก ตก ใต้ เหนือ อะไรอย่างเนี่ยค่ะ แล้ว ณ วันนี้ดวงดาวอะไรอยู่ตรงไหน แล้วมากระทบกับสิ่ง หรือมากระทบกับดาวที่เป็นพื้นดวงของเรายังไงบ้าง
    พิธีกร ถ้าอย่างนั้นแสดงว่า แล้วพวกนี้จะมีลักษณะของแต่ละคนๆ ตามดวงดาวนั้น
    คุณยุวดี ถูกต้องค่ะ
    พิธีกร คุณปูต้องนั่งจำซิครับ ว่าแบบนี้คืออะไร
    คุณยุวดี ใช่ค่ะ
    พิธีกร ไม่มีอะไรเลยนะครับเนี่ย ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ผมก็โหลดมา ผมก็แปลไม่ออกครับ เลขไทยเต็มไปหมด ราศีเมถุน เจ้าเรือนเป็นอะไร อะไรทั้งหลายเนี่ย
    คุณยุวดี อันนี้เขาก็บอกไว้ แต่ว่าเฉพาะอันที่เรียน
    พิธีกร ต้องมาแปลอีกทีหนึ่ง
    คุณยุวดี เราถึงจะเข้าใจค่ะ ปูว่าคนที่มาเรียนตรงนี้ ต้องค่อนข้างจะต้องมีสมองนิดหนึ่ง เพราะว่าไม่อย่างนั้นจำไม่ได้ก็แย่เลยถูกมั้ย
    พิธีกร นี่ด้วย เดี๋ยวให้ดูอีกรอบหนึ่ง อะไรครับ ของคนจีนเป็นยังไง
    คุณยุวดี อันนี้ปฏิทินของจีนค่ะ เขาจะมาดูว่า อย่างวันที่ 1 อะไรชงกับอะไร คำว่า ชง คนจะถามว่า ชง แปลว่าอะไร ชง แปลว่า การปะทะกัน ชนกัน อันนี้คือ ขาลไม่ถูกกับวอก เพราะฉะนั้นคนที่ปีขาลกับปีวอก จริงๆแล้วไม่ได้มีอะไรกันนะคะ เขาห้ามทำธุรกิจร่วมกัน วันนี้ถ้าไม่ต้องคุยเรื่องเงินจะดีมาก เดี๋ยวจะทะเลาะกัน แต่คุยเรื่องอื่นได้ เพราะว่าลิงชอบแบบว่ายั่วยวนกวนโทสะ เสือเขาจะอยู่นิ่งๆ เพราะฉะนั้นเสือเขาจะรำคาญลิงค่ะ อย่างนี้เป็นต้น ในนี้เขาจะมีบอกไว้เลย วันนี้ให้ทำอะไร ฤกษ์ดียามดี สีอะไรเป็นมงคล เขาจะบอกเอาไว้เลย สมัยนี้นะคะ จริงๆแล้วคนที่มาเรียนโหราศาสตร์ปูว่าโง่ ก็เขาบอกแล้ว เขาทำนายมาแล้วไง คือ สมัยก่อนเขาต้องมาคิดเอง เหมือนจานเหลืองๆ เคยเห็นมั้ยค่ะ ที่พระชอบหมุนๆ อันนั้นแหละ เขาต้องมาคิดองศา คิดอะไร แต่สมัยนี้ทำโปรแกรมมาให้ สมัยนี้เขาเขียนมาให้แล้ว
    พิธีกร นี่แค่ไปซื้อปฏิทินจีนมาก็ได้ทั้งปีเลยนะครับ จะทำอะไรก็ได้ เดี๋ยวดูนะ เขามีวันธงไชยด้วย แดงๆอย่างเนี่ย
    คุณยุวดี ใช่ค่ะ
    พิธีกร เอาไว้ทำอะไรก็ได้ใช่มั้ยครับ
    คุณยุวดี อาจจะหมายถึงวันนี้ เป็นวันของคนมะโรง คนมะโรงทำอะไรก็ดี ยกเว้นทำกับจอ เพราะว่างูชอบพันแข้งพันขาหมา หมารำคาญอะไรอย่างเนี่ย มีเหตุผลค่ะ แต่ว่าคนเราปัจจุบันนี้ไม่ได้เรียนเหตุผลแล้วไง ก็บอกแล้วโหราศาสตร์ปัจจุบันนี้ อาจจะโง่กว่าคนสมัยก่อน เพราะเดี๋ยวนี้เขาทำมาแบบทันสมัยไปหมดเลย
    พิธีกร ผมว่าอย่างนี้ได้มั้ยครับ คิดแบบจิตแพทย์นะครับ ถ้ามามองถึงว่า เขาเขียนมาอย่างนี้ อย่างน้อยมีหลักในการคำนวณบ้าง ใครที่ไม่รู้เรื่องนี้นะครับ เขาบอกไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่
    คุณยุวดี ถูกต้อง
    พิธีกร ก็ดึงเอาไปใช้ก็เกิดกำลังใจ เวลาตัวเองจะไปเปิดห้างร้าน หรือสร้างกิจการใหม่ พอเห็นอันนี้รู้สึกภาคภูมิใจ รู้สึกมั่นใจ
    คุณยุวดี ใช่แล้ว ปูถึงบอกว่ามันอยู่ที่จิตใจ ที่บางคนบอกว่า ทำไมตอนนี้งานน้อย ไม่ได้น้อยเลย แต่เราคิดไปเองเท่านั้นเอง เรารู้สึกเบื่อหน่าย คนเรามีช่วงจังหวะชีวิต คนโบราณชอบบอกว่า ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน เพราะว่าคนเรามีช่วงจังหวะชีวิตที่มีขึ้นแล้วก็ต้องมีลง เพราะฉะนั้นพอถึงเวลาที่เราขึ้น เราได้รับอะไรๆตลอดเวลา เราจะรู้สึกว่าเราดวงดี แต่พอถึงช่วงชีวิตตก ทำไมดวงเราไม่ดีเลย ไม่เห็นเหมือนคนนั้นคนนี้เลย เพราะว่าเราอาจจะเคยมีดีมาแล้ว เราก็ต้องลงบ้าง ตาคนอื่นขึ้นบ้าง มันก็ต้องสลับกัน
    พิธีกร มันจะดีตลอดทั้งชาติอย่างนั้นก็เกินไปนะครับ
    คุณยุวดี ไม่ได้ค่ะ เพราะว่าบุคคลคนหนึ่ง ก็ไม่มีใครหรอกที่จะดีทั้งหมด ถูกมั้ยค่ะ
    พิธีกร แสดงว่าตรงนี้กลับมามันก็เป็นเรื่องกฏแห่งกรรมหรือธรรมชาติที่มันเกิดขึ้นอย่างนี้จริงๆด้วยหรือเปล่า
    คุณยุวดี ใช่ค่ะ ปูอยากจะบอกว่าศาสตร์ทุกศาสตร์ แม่นหมดทุกศาสตร์นะคะ เพราะว่าเขาทำสถิติมาแล้ว แม่นหมดทุกศาสตร์ แต่มันอยู่ที่การประพฤติประปฏิบัติตนของคนที่มาดูหมอ สมมุติหมอดูบอกไปแล้ว และเขาไปปฏิบัติตนไม่ดี บวกกับกฎแห่งกรรมเขามันก็ไม่ดี เหมือนเราไปหาหมอ เป็นแผล เราเจ็บ เราไปหาหมอ หมอเย็บแผลให้ แต่กลับไป ไม่ดูแล แผลเน่า
    พิธีกร แล้วจะมาโทษได้ยังไง
    คุณยุวดี ถูกมั้ยค่ะ เพราะตัวเองไม่ดูแลเอง แต่สภาพที่เนื้อมันติดกันก็เพราะว่าธรรมชาติหรือกฎแห่งกรรมมันทำให้ติดกัน นั่นคือทุกอย่างต้องบวกกัน จะมาคิดว่าหมอดูบอกแล้ว ไม่เห็นเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ มันอยู่ที่การปฏิบัติตนของเขาด้วย
    พิธีกร นี่คือหลักการกว้างๆนะครับ ที่เราได้คุยกันแล้วว่า มันเป็นสิ่งที่หลายๆคนคงต้องใช้วิจารณญาณ หลายๆคนบอกว่า ถ้ามีรายการอย่างนี้ ต้องขึ้นด้านล่างเลยนะ โปรดใช้วิจารณญาณในการชมนะครับ เพราะว่าจริงๆแล้วเป็นความเชื่อของบุคคล ซึ่งแน่นอนครับ คนที่ศึกษาทางด้านนี้ คนที่มีศาสตร์ทางด้านนี้อยู่กับตัว ก็จะมีความเชื่อด้านนี้อยู่ แต่ก็หลายๆคนนะครับ อันนี้สังคมไทยเราเรียกว่าฝังกันอยู่ในความรู้สึก ในความรู้ตรงนี้ เราก็อยู่จนเคยชินไปแล้ว แล้วเรื่องพวกนี้ก็มีอิทธิพลต่อชีวิต รวมถึงทางด้านการเมืองด้วยใช่มั้ยครับ
    คุณยุวดี ใช่ค่ะ
    พิธีกร เดี๋ยวนี้ เรียกว่า สว.บางคนพูดถึงการเมือง ดวงเมือง มันจะอะไรขนาดนั้น บุคคลดูกันยังพอมีเหตุมีผล ดวงเมืองมันไปผูกกันยังไง
    คุณยุวดี ปูว่ามันมีประโยชน์นะคะ อย่างดวงของท่านทักษิณอย่างเนี่ย ที่ท่านไม่ค่อยพูด ปูว่าดีแล้วล่ะ เพราะว่าถ้าพูดอาจจะแรง เพราะท่านเป็นคนตรงมาก และที่นี้ในดาว คือ ดวงพุธกับดาวเสาร์มันตรงกัน ขอโทษไม่ได้ว่าใครนะคะ ถ้าดาวพุธกับดาวเสาร์มารวมกันเมื่อไหร่ก็ปากหมา เพราะฉะนั้นท่านถึงได้รู้ว่าไม่ควรพูด
    พิธีกร อันนี้เราไม่ได้วิจารณ์ตัวท่านนะครับ เรากำลังจะโยงไปถึงว่า คำว่าดวงเมือง เช่น ถ้าเป็นอย่างนี้มันเป็นเรื่องของสถานที่ตั้งกรุงเทพ
    คุณยุวดี อันนี้แหละปูงงมากเลย ดวงเมือง คนมาให้ปูดู ปูบอกว่าปูดูไม่เป็น เพราะอาจารย์คนหนึ่งบอกว่า ต้องเอาวันที่เอาเสาหลักเมืองลง แต่อีกอาจารย์บอกว่า วันที่ตั้งกรุงรัตนโกสิน ก็เลยตกลงไม่รู้ว่าวันไหนแน่ เพราะเวลาปูคำนวณ ปูจะคำนวณวันเวลาของวันเกิด
    พิธีกร บางคนเรียกว่าวันตกฟาก
    คุณยุวดี วันที่เริ่มต้นชีวิตอะไรอย่างเนี่ยค่ะ
    พิธีกร ผมกำลังจะโยงมาที่บอกว่า มีศาสตร์หนึ่งที่เรียกว่า ฮวงจุ้ย อันนี้มาจากคนจีนด้วยเหมือนกัน เขาบอกว่าอะไรกัน คนก็คนแต่จะเอาไปโยงกับที่ตั้งของบ้าน เป็นที่ตั้งของบรรพบุรุษ เป็นที่ตั้งของศพเสียด้วยซ้ำ อันนี้คุณปูพอจะมีความรู้เรื่องนี้บ้างมั้ยครับ
    คุณยุวดี อันนี้ปูไม่ได้เรียนมา แต่ปูก็พอรู้บ้างว่า จริงๆแล้วฮวงจุ้ยก็คือ ธรรมชาติ คนจีนเขาเก่งมากเลยเรื่องพวกนี้ เช่น คนจะชอบบอกว่า ห้ามเอาประตูห้องน้ำตรงกับห้องนอน ก็เพราะว่าห้องน้ำมีสิ่งสกปรก เชื้อโรค ถ้าเรานอนอยู่ แล้วเราสูดแต่สิ่งสกปรกหรือเชื้อโรคเข้าไป เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ถูกต้อง นี่คือสิ่งที่บอกว่าเป็นธรรมชาติ หรือฮวงจุ้ยที่ดีต้องมีลมผ่านได้ตลอด ก็คือมีการหมุนเวียนของอากาศ เพราะฉะนั้นจริงๆแล้ว คุณหมอลองคิดดู ถ้าเป็นทาวเฮ้าส์มันจะขยับหันไปทางไหน
    พิธีกร นั่นน่ะซิ ผมคิดว่าเป็นไปได้มั้ยครับ อันนี้พูดทางวิทยาศาสตร์ เช่นเดียวกันกับเรื่องของการดูดวง เพื่อให้สบายใจ การดูฮวงจุ้ย คือ เราก็ต้องอยู่ในสถานที่อย่างนั้น งั้นเขาบอกว่าปรับทิศทางลมให้มีช่องหน้าต่าง อย่าเอาอะไรมาบังหน้าบ้าน เหมือนกับให้ลมมันโกรก คนอยู่ก็สบายอกสบายใจ เพราะลมก็ผ่านดี สุขภาพดี พอสุขภาพร่างกายดี จิตใจก็ดี แล้วความมั่นใจก็จะตามมา
    คุณยุวดี ใช่ค่ะ สรุปแล้วทุกอย่างอยู่ที่ใจเห็นมั้ยค่ะ
    พิธีกร ใช่หรือเปล่า นี่ผมกำลังจะโยงว่าเป็นเรื่องเดียวกันหรือเปล่าก็ไม่รู้
    คุณยุวดี เรื่องเดียวกัน ทุกอย่างอยู่ที่ใจ เหมือนที่ปูบอกว่า ถ้าเราปฐมพยาบาลเขาขั้นต้น แล้วเขาจิตใจสบาย เขาก็มั่นใจที่จะทำ ดูปฏิทินวันนี้ดีสำหรับเรา เราก็รู้สึกว่าทำอะไรก็มั่นใจ มันก็ประสบความสำเร็จค่ะ
    พิธีกร นี่ครับ เราก็โยงนำมาให้เห็นนะครับ เขาผูกเรื่องจนกระทั่งเป็นหนังเลยคุณปู มีเรื่องของฮวงจุ้ย เป็นหนังไทยขึ้นมาเลยครับ วันนี้เราตัดต่อเฉพาะบางฉากของฮวงจุ้ยมาให้ดูว่า ความเชื่อตรงนั้น ทำให้คนเป็นอย่างไร เขาทำเป็นหนังน่าดูทีเดียวครับ ไปดูกันครับ
    พิธีกร ระหว่างเบรคผมนั่งถามคุณปูหลายๆอย่าง ตรงหมด โดยเฉพาะด้านดีๆ ด้านไม่ดีไม่เอา
    คุณยุวดี เขาบอกว่าเราลายมือเยอะๆ เป็นเพราะชอบเก็บอดีต เก็บโน่นเก็บนี่มาคิดมาก เคยเห็นคนขายไข่ปิ้ง เขามีอยู่สามเส้นเอง วันๆเขาไม่คิดอะไรหรอก
    พิธีกร เดี๋ยวเอายางลบๆออก
    คุณยุวดี ไม่ได้หรอก ยิ่งรวยก็ยิ่งคิดมาก ไม่อยากเชื่อเลยนะ ว่าเป็นคนที่ชอบมีอะไรเข้ามาทีละสองให้หนักใจ ต้องให้เลือก ต้องลำบากใจ
    พิธีกร ผมถามตรงนี้ต่อก่อนนะครับ จริงๆแล้วพูดถึงความทุกข์ของคนที่เวลามาเจอกับหมอดู วันนี้เราจะโยงให้ท่านผู้ชมได้เห็นว่า ทุกข์ทางด้านจิตใจ ยังไงๆ จิตแพทย์นี่เอาไว้หลังๆ ตามกำหนดที่เราไปทำวิจัยกันมานะครับ เรื่องของคนผ่อนคลายทางจิตใจ หาวิธีก่อนคือไปเที่ยว ทำก่อนเลย แล้วลำดับถัดๆมาคือ ไปหาหมอดู แล้วก็นู่นครับ จิตแพทย์อยู่ในสามอันดับสุดท้ายของการวิจัยเลย คราวนี้เวลามาหาหมอดูแล้ว คนปูเองเท่าที่เคยเห็นทุกข์แบบมากๆ เคยมีตัวอย่างบ้างหรือไม่ครับ
    คุณยุวดี ทุกข์มากมีเยอะมากเลยนะคะ ปูขอยกตัวอย่าง ทุกข์ฮิทๆ คือ ผัวไปมีเมียน้อย ระแวงไม่เท่าไหร่ จริงๆเขาเป็นคนที่ขี้ระแวง มาถึงเขาจะบอกว่า ผัวเขามีเมียน้อย เมียน้อยทำเส่นห์แน่ๆ ยืนยันอย่างเนี่ยแหละ ปูก็ดูแล้วว่า คือ ปูเรื่องไสยศาสตร์มนต์ดำปูไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก แต่เราดูจากเขา เราบอกว่าไม่น่าจะใช่ ไม่ได้ไปเข้าข้างเมียน้อยนะคะ แต่ดูแล้วตัวเขาน่ะล่ะ ทำให้ผัวเขาไปมีเมียน้อย เพราะเขาเป็นคนที่ชอบประชดประชัน แดกดัน ด่าตลอด ใจร้อนตลอด ใครเขาจะอยู่ เขาก็ต้องหนีร้อนไปพึ่งเย็น
    พิธีกร เห็นชัดๆอยู่แล้ว
    คุณยุวดี ใช่ค่ะ พอเรามาดูสามีเขา สามีเขาค่อนข้างที่ต้องการคนเอาอกเอาใจ ไม่ใช่ไปเอาใจคนอื่น แต่ต้องการที่จะให้คนเอาอกเอาใจ เพราะฉะนั้น พอมาดูเมียน้อยเขา ปรากฎเมียน้อยอ่อนหวาน ฉลาดในการชั่งเจรจา ไม่ได้มีเส่นห์อะไร เขาก็ไม่ฟัง ไม่เชื่อ เชื่อมั่นว่าต้องโดนเส่นห์ ผัวโดนทำของ เพราะฉะนั้นต้องไปแก้ของ แล้วตัวเองก็ไปหาหมอพวกไสย์มนต์ดำ
    พิธีกร เปลี่ยนจากหมอดู ไปหาหมอทางด้านเครื่องรางของขลัง
    คุณยุวดี ใช่ค่ะ เพื่อที่จะทำเส่นห์บ้าง ให้ผัวกลับมารักมาหลง แต่ปูจะเน้นว่า คนเราต้องรู้จักตัวเองก่อน ถ้าเราไม่รู้จักตัวเอง คนอื่นก็จะไม่รู้จักเรา คำว่ารู้จักตัวเอง คือ ปูจะบอกนิสัยสันดานว่า จริงๆคุณเป็นคนยังไง แต่ปูไม่สามารถจะเปลี่ยนนิสัยสันดานคุณได้ เพราะว่าคนเรา บางทีเรารู้ว่าเราใจร้อนขี้หงุดหงิดมากเลย แต่วัยมันจะทำเราเบาลง ตอนวัยรุ่นยังไงก็ร้อน วัยรุ่นทุกคนใจร้อน เพราะว่าคิดไม่เป็น
    พิธีกร เหมือนม้าคึกคะนอง เหมือนม้าพยศ
    คุณยุวดี เด็กๆไม่รู้หรอกว่า คลานไปแล้วตกไปจะเจ็บ วัยรุ่นก็เหมือนกัน แต่พอเราโตแล้ว เรารู้ว่าตกไปเจ็บแน่ ถ้าใจร้อนเราก็เจ็บ เราก็จะเบาเองค่ะ
    พิธีกร หรือจะตายซะด้วยซ้ำ
    คุณยุวดี วัยจะสอนตัวเอง แต่นิสัยก็ยังคงเดิม ถูกมั้ยค่ะ ที่นี้บางคนบอกไปธรรมะ ไปนั่งสมาธิ ปูให้ทำอยู่แป๊บเดียว เชื่อมั้ยก็ต้องกลับมาเหมือนเดิม
    พิธีกร เพราะว่า
    คุณยุวดี เพราะนิสัยสันดานคนเราก็ต้องเหมือนเดิม เพียงแต่มันจะเบาหรือหนักกว่าเดิมเท่านั้นเอง
    พิธีกร อย่างนี้มีส่วนมั้ย คนที่จะเป็นหมอดูประสบความสำเร็จได้ดีๆ ส่วนหนึ่งต้องมีจิตวิทยาอยู่ในใจด้วย เพื่อที่จะได้วิเคราะห์เขาถูกต้อง
    คุณยุวดี ใช่ค่ะ
    พิธีกร ของคุณปูศึกษาทางด้านนี้ด้วยมั้ย
    คุณยุวดี จริงๆแล้วปูอยากไปเรียนจิตวิทยา โอ้โฮ ภาษาอะไรก็ไม่รู้ งงไปหมด ปูคิดว่าปูจะรอดมั้ยถ้าเรียน จะไปสอนเขารู้เรื่องมั้ย เพราะตัวเองยังไม่รู้เรื่องเลย ไม่เข้าใจ มันต้องแปลจากภาษาที่เราเรียนให้เป็นภาษาพูด ถูกเปล่า มานั่งคิดอีกที ไม่เอาแล้วเปลี่ยนใจ จิตวิทยาของคนธรรมดา มนุษย์สามัญก็คือ ธรรมะ พระพุทธเจ้าเก่งมาก แอบสอนเอาไว้ เป็นจิตวิทยาอยู่ในธรรมะเพียบ จากนั้นมาปูก็เลยต้องอ่านหนังสือ เมื่อก่อนไม่อ่านหนังสือธรรมะ ฟังเทศน์มากขึ้น แล้วเราก็ใช้คำของเขาค่ะ เอามา เช่น การดูฤกษ์ดูยาม คนเขาจะถามวันนี้ออกรถดีมั้ย อย่างโน่นอย่างนี้ ก็ต้องไปเอาธรรมะมาพูดว่า หลวงปู่ หลวงตา สอนไว้ว่า ฤกษ์สะดวกดีที่สุด ฤกษ์สะดวกบวกกับฤกษ์ที่ดี ที่ตรงกับดวงของเราสะดวกที่สุด ถ้าสมมุติปูบอกว่า คุณหมอวันนี้ออกรถดี แต่ตีสอง ใครที่ไหนเขาจะให้ออกรถ หรือว่า ปูบอกว่าออกรถดี แต่คุณหมอบอกว่ามีธุระต้องทำ ทำยังไงดี เอาอย่างนี้ ไปออกรถก่อนแล้วไปธุระ ก็ไม่ได้ตรวจรถก่อน เพราะว่าไม่มีเวลา เริ่มไม่สะดวกแล้ว เอาแต่ฤกษ์ดี แต่ฤกษ์ไม่สะดวก ที่นี้ก็ต้องไปทุบรถกันซิ เพราะว่าไม่ได้ตรวจก่อน
    พิธีกร เดี๋ยวล้อมีหรือเปล่าก็ไม่รู้ เบรคเป็นยังไง เราก็ไม่รู้
    คุณยุวดี แต่ถ้าเราสะดวกทั้งวัน อยู่กับรถตรวจให้เต็มที่ ขอของแถมด้วย อะไรด้วย ออกมามันก็ดี นี่คือสิ่งที่ธรรมะสอนไว้ว่า ถ้าฤกษ์ดี หมายถึงสิ่งที่เราสามารถทำอะไรได้ประสบความสำเร็จและดี นั่นแหละไม่ต้องไปหาหมอดู แต่คนไทยยังไงก็ต้องขอพึ่งฤกษ์งามยามดีอยู่ดี
    พิธีกร ก็เอาไว้เป็นหลักในการจับ แต่จริงๆแล้วที่คุณปูกำลังพูดว่า ธรรมะเป็นหลักที่ดีที่สุดใช่มั้ยครับ
    คุณยุวดี ถูกต้องค่ะ
    พิธีกร เหมือนกันหรือเปล่า เดี๋ยวไปดูกันครับ เพราะจิตแพทย์ก็วิเคราะห์ด้านนี้เหมือนกัน เรื่องของหมอดู หลักการเข้าใช้อะไร ยังไง จิตวิทยาที่ว่าเนี่ยดึงมาแล้วมีประโยชน์บ้างมั้ย จริงๆแล้วเราคุยเรื่องนี้กันบ่อยเหมือนกันครับ ไปดูกันครับว่า อาจารย์นงพงา ว่าอย่างไร
    ศ.พญ.นงพงา ถ้าทุกข์มันไม่หนักหนา การไปดูดวง ดูหมอดู ถ้าบังเอิญไปเจอหมอดูที่เขาค่อนข้างจะดูไปทางบวก เขาก็มักจะให้กำลังใจหรือบอกวิธีแก้ มันก็ดีไป แต่ถ้าบังเอิญไปเจอหมอดูหรือนักดูดวงที่ ดูแล้วมันแย่กว่าเดิม ก็อาจจะทำให้บันทอนจิตใจได้ เพราะฉะนั้นวิธีที่ดีอื่นๆก็มีอีกนะคะ เช่น ไปพบจิตแพทย์ พบนักจิตบำบัด หรือที่จริงในสังคมบ้านเรา ศาสนาจะเป็นอะไรที่ดีที่สุดนะคะ ถ้ามีอะไร ศึกษาทางธรรมะ โดยเฉพาะศาสนาพุทธ ศาสนาอื่นก็คงมีบ้าง แต่ศาสนาพุทธ หลักโดยตรงของศาสนาพุทธเลยก็คือ พระพุทธเจ้าค้นพบหนทางแห่งการพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง เพราะฉะนั้นในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ ถ้าเราศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าดีๆ เราจะพ้นทุกข์อยู่แล้ว และพ้นทุกข์อย่างถาวรซะด้วย คือ ไม่ต้องทุกข์ซ้ำทุกข์ซาก ทุกข์ที่ไปดูหมอที ทุกข์ทีไปหาจิตแพทย์ที ทุกข์ทีไปแก้ดวงที อะไรอย่างเนี่ย ถ้าศึกษาวิชาของพระพุทธเจ้า จะพ้นทุกข์อย่างถาวร
    พิธีกร ใช่มั้ยครับ
    คุณยุวดี เห็นมั้ยค่ะ
    พิธีกร ศึกษาจากพระพุทธเจ้า
    คุณยุวดี ใช่ค่ะ แต่เวลาเราไปอ่านหนังสือธรรมะ บางคนก็งงไม่เข้าใจ เพราะตอนแรกปูก็ไม่เข้าใจ เราต้องแปลจากหนังสือธรรมะให้มาเป็นคำพูดในการเล่า เหมือนเพื่อนคุยกัน แล้วเขาจะเข้าใจ เหมือนที่ปูเล่าเรื่องเมื่อกี้ ถ้าเราเอาคำธรรมะมา ไม่จะเอาฤกษ์ แต่ถ้าเราอธิบายให้เขาฟังถึงเหตุถึงผล เขาก็จะเข้าใจ อย่างเนี่ยค่ะ
    พิธีกร มาถึงก็จะขอฤกษ์อย่างเดียว แนะนำยังไงไปก็ไม่ได้ ก็ต้องให้ไป
    คุณยุวดี ใช่ค่ะ
    พิธีกร แล้วบวกกับเรามีทางเลือกให้เขาด้วย
    คุณยุวดี ถูกต้อง เขาสบายใจ ได้ฤกษ์ด้วย และตัวเขาสะดวกด้วย มันก็เลยดี
    พิธีกร อย่างที่บอกกันนะครับ ในสังคมคงมีหลากหลาย บางคนก็คนดี บางคนก็คนไม่ดี มีบ้างมั้ยครับ คนที่ไปหาหมอดูคนโน้นคนนี้แล้ว อย่างที่บอกว่าไม่ไหวเลย ไปเสร็จแล้วแทนที่จะสบายใจ หนักใจมา เป็นประเภทที่ทำให้หนักขึ้นอ่ะ
    คุณยุวดี เมื่อกี้ปูบอกแล้วว่าศาสตร์ทุกศาสตร์แม่น อยู่ที่การปฏิบัติตนของคนที่มาดูถูกมั้ยค่ะ แล้วคนชอบถามว่า แก้กรรมได้มั้ย ตามที่ปูเรียนมาเนี่ย ปูไม่รู้ว่าคนอื่นคิดยังไง แต่ตามที่ปูเรียนมา คำว่า กรรมหรือเคราะห์กรรม แก้ไม่ได้ เพียงแต่ว่า พอเราไปดูหมอ หรือเรารู้สึกไม่สบายใจ เราไปทำบุญ ปูเล่าตั้งแต่แรกที่บอกว่าช่วยหมา แค่เราเห็นหมา เรารู้สึกโล่งใจที่หมามันไม่ข้ามถนน เรารู้สึกดีถูกมั้ยค่ะ นั่นคือสิ่งที่เราคิดดี พอเราไปทำบุญ ความปิติมันจะขึ้นมา ทำให้เรารู้สึกสบายใจ เราก็พร้อมที่จะรับกรรม กรรมมันมาเท่าเดิมแหละ แต่เรารู้สึกมันเบา เพราะเราเตรียมพร้อม เหมือนเรารู้ก่อนว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราเตรียมพร้อมแล้ว พอเราเตรียมพร้อม เวลาอะไรเข้ามามันก็สบายแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่บอกว่า มีการสะเดาะเคราะห์แก้อะไรอย่างเนี่ย มันไม่ได้ช่วยหรอก แต่ถ้าคุณมีจิตใจที่ดี คิดดี ทำดี ทำบุญ มันจะทำให้จิตใจพร้อมที่จะรับสิ่งที่เข้ามาค่ะ
    พิธีกร มันเป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง
    คุณยุวดี คนที่เขาโดนใช่มั้ย
    พิธีกร แล้วเขาจะเชื่อมั้ย ต้องเสียเงินเป็นค่าขึ้นครู 999 บาท
    คุณยุวดี ปล่อยเขาเถอะค่ะ 1. คนที่เขาทำอาชีพของเขา ทุกคนต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด อาชีพของเขาปล่อยเขา 2.ในเมื่อคุณยินดีที่จะไปจ่าย ถือว่าสะเดาะเคราะห์ในการเสียตางค์อยู่แล้ว จะให้ทำยังไงล่ะ ก็เสียไปแล้วอ่ะ
    พิธีกร จะได้สบายใจ จะมาบอกว่าถูกหลอก เดี๋ยวจะยิ่งเจ็บใจเข้าไปอีก
    คุณยุวดี ถูกต้องค่ะ เพราะฉะนั้นปูว่าน่ะ ถ้าเราพร้อม ไม่จำเป็นต้องไปทำบุญก็ได้ แต่ถ้าเราพร้อมที่จะรับ แล้วรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา
    พิธีกร เขามีสถาบันรับรองคนที่เป็นหมอดูบ้างหรือไม่ครับ เช่น อยู่ใต้ต้นมะขามกับสถาบันที่อยู่ในโรงแรมแตกต่างกันบ้างหรือไม่
    คุณยุวดี ขอโทษๆ นี่ประกาศนียบัตรของดิฉัน
    พิธีกร กำลังจะถามอยู่ตรงเนี่ย บางทีไปหาหมอเวชกรรมชั้นหนึ่ง ยังพอมีบอกได้ อันนี้เป็นกายภาพบำบัด อันนี้เป็นเภสัช เขาเรียกว่ามีลำดับทั้งหลาย
    คุณยุวดี มีค่ะ นี่ไงค่ะ มีประกาศนียบัตรค่ะ
    พิธีกร แล้วไปถามคนที่อยู่ใต้ต้นมะขาม ถามอย่างนี้ได้มั้ย
    คุณยุวดี ไม่ได้ เพราะเขาไม่มีหรอก แต่ที่เราเรียนมันเหมือนหลักสูตรที่เราไปเรียนโรงเรียนหรือมหาวิทยลัย เราก็จบมาถูกมั้ยค่ะ กับเรียนที่บ้านหรือครูพักลักจำ เหมือนกันที่ไหนอ่ะ ก็ไม่เหมือนกัน ท้งหมดทั้งปวง ถ้าจะทำให้คนสบายใจได้ ขึ้นอยู่ที่ประสบการณ์ ที่เหมือนกับที่คุณหมอบอกว่า ถ้าพูดดี ให้กำลังใจ คนนั้นเขาก็จะชีวิตที่ดีค่ะ แต่ถ้าไปเจอคนที่เขาจะเอาแต่ใจ เอาแต่ได้ เขาก็พูดให้ไม่ดี เราก็ต้องไปสะเดาะเคราะห์หนักกว่าเดิม
    พิธีกร มีมั้ยครับ ว่าคนหลายคนชีวิตเปลี่ยนไป เพราะการไปเชื่อหมอดู
    คุณยุวดี มีเยอะแยะค่ะ
    พิธีกร ในทางที่ดีหรือไม่ดีครับ
    คุณยุวดี ทางที่ดีและไม่ดี ก็เหมือนที่คุณหมอบอกว่า ถ้าให้กำลังใจเขาก็จะดี เหมือนที่ปูบอกว่า ถ้าปูช่วยหนึ่งคน เขามีกำลังใจทำงาน ก็เท่ากับว่าเขามีกำลังใจไปเลี้ยงครอบครัว ครอบครัวเขาก็ดีด้วย แต่ถ้าเราไปช่วยแล้ว เราเอาแต่ได้ เห็นแก่เงิน เขาก็ไม่มำกำลังใจทำงาน ครอบครัวเขาก็จะแย่ ตีกัน สังคมก็ไม่ดี จริงๆแล้วอยู่ที่ปากหมอดูนะคะ กับอยู่ที่จิตใจเขาคิดยังไง ให้เขาหรือเปล่า
    พิธีกร สำคัญมากครับ นี่ก็คล้ายๆกับบทสรุปอย่างหนึ่งครับ ว่าจริงๆแล้วการที่มีดวง การเชื่อดวงเป็นเรื่องที่ดี
    คุณยุวดี คุณหมอจะสรุปใช่มั้ยค่ะ
    พิธีกร ครับ
    คุณยุวดี หนูขอบอกว่า หมอดูขอเป็นแนวทาง ในการดำเนินชีวิต อย่าไปเชื่อมั่นเกินเหตุ หมอบอกว่าเดินตรง แล้วคุณคิดว่าเดินตรงดี คุณมั่นใจ คุณไปเลย ไม่ใช่ไม่มั่นใจไปหาอีกหมอหนึ่ง หมอหนึ่งบอกเลี้ยวซ้าย อีกหมอหนึ่งบอกเลี้ยวขวา ตกลงคุณสับสน เพราะฉะนั้นขอให้เป็นแนวทางชีวิตว่า มันเป็นอย่างนี้ อย่าไปงมงายเชื่อค่ะ
    พิธีกร จริงๆแล้วตัวเองนั่นแหละเป็นที่พึ่งของตัวเอง
    คุณยุวดี ถูกต้องค่ะ
    พิธีกร นี่คือสิ่งหนึ่งครับ ซึ่งเราวิเคราะห์ เรารู้กันอยู่แล้วนะครับว่า จิตเป็นเรื่องสำคัญ แต่ดวงจะลิขิตท่านหรือไม่ ทั้งสองอย่างต้องเกื้อหนุนไปพร้อมๆกัน ถ้าจิตใจท่านเข้มแข็ง แล้วก็มีสิ่งนำพา เป็นวิทยาศาสตร์ด้านหนึ่ง ที่มาเสริมทางด้านจิตใจให้มีความเชื่อมั่น แล้วก็กระทำดีอยู่ตลอดเวลา สิ่งนั่นแหละครับ ที่จะยืนหยัดอยู่กับเราไปตลอด ดวงลิขิตหรือจิตพาไป ตรงนี้เป็นคำตอบที่ท่านผู้ชมคงจะได้เองนะครับ กับการดูรายการนี้ทั้งรายการ ต้องขอขอบคุณวิทยากรรับเชิญ ที่ให้เกียรติกับรายการของเราในวันนี้ครับ ขอบคุณมากครับ แล้วกลับมาพบกับรายการสายด่วนสุขภาพจิตได้ใหม่ในวันอาทิตย์หน้าครับ


    http://www.thaimental.com/
     

แชร์หน้านี้

Loading...