ชีวิตจริงบางครั้งก็ยิ่งกว่านิยาย

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ปมณฑ์, 3 พฤศจิกายน 2007.

  1. ปมณฑ์

    ปมณฑ์ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ดิฉันได้อ่านเรื่องราวมากมายในเรื่องของกฎแห่งกรรม และเรื่องราวมากมายของผู้อื่นที่ได้พบมา จึงทำให้อยากเล่าเรื่องราวของตัวเอง ให้ผู้อื่นฟังบ้าง อาจจะทำให้หลายๆท่านได้เกิดแง่คิด ในบางเรื่อง เรื่องที่ดิฉันจะเล่าให้ทุกท่านฟัง ดิฉันมิได้ตั้งใจ ว่ากล่าวผู้หนึ่ง ผู้หนึ่งผู้ใด มิว่าจะเป็นใครก็ตามในเรื่องราวที่ดิฉันเล่าจะเล่าให้ฟัง ดิฉันเคารพทุกท่านอยู่ในใจเสมอ แค่ให้ทุกท่านเรียนรู้ว่า ทุกอย่างคือ ฟ้าลิขิต และเราเป็นผู้ที่เดินไปตาม เส้นทางที่เราจะเป็นผู้เลือกเอง เราไม่สามาถเลือกเกิดได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะปฎิบัติได้

    ดิฉันเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาอยู่กรุงเทพตั้งแต่ปี 2526 ซึ่งปีนั้น ที่ดิฉันเดินทางมากรุงเทพ เพื่อต้องการมาศึกษาต่อ ทั้งๆที่พ่อดิฉันไม่ได้ส่งเสียดิฉันเลย ความอยากเรียน ทำให้ต้องเดินทางมาจากภาคใต้ สมัยนั้นจำได้ว่า ถือกระเป๋ามา 1 ใบ พร้อมกล่องกระดาษใบใหญ่อีก 1 ใบ ( แหม เหมือนพจมาน ยังไงก็ไม่รู้ ) สมัยต้องเดินทางโดยรถไฟค่ะ ดิฉันเดินทางมาพร้อมชายหนุ่ม 1 คน ซึ่งเขาชอบดิฉันมาตั้งแต่ ม.2 และเป็นผู้ที่จ่ายเงินค่าเทอมให้ดิฉันตลอดมาตั้งแต่ปีนั้น แหม อย่าคิดมากน่ะ สมัยนั้นน่ะ ยังรักนวลสงวนตัวน่ะ เขาชอบที่เราเป็นเด็กดีน่ะ เอาเป็นว่าจะเล่าเรื่องราวที่ไปที่มาตั้งแต่เด็กแล้วกันน่ะค่ะ ว่าเจออะไรมาบ้างค่ะ

    จำได้เลยว่า ดิฉันลำบากมาตั้งแต่เด็กเลยล่ะค่ะ ชีวิตคู่ของหลายครอบครัวในสังคมนี้ มักจะไม่ค่อยมีความสุขนัก นั้นเป็นเรื่องปกติของชีวิตมนุษย์ที่ต้องมาใช้เวร ใช้กรรมกัน สมัยดิฉันเด็กๆ ดิฉัน ยังงงน่ะ ว่า ทำไม สามารถจะเหตุการณ์นั้นได้ ถึงแม้ผ่านมาตั้งหลาย สิบปีแล้ว จำได้ว่า พ่อกับแม่ ชอบทะเลาะกันบ่อยๆ และพวกเรามักไปแอบข้างๆเตียงกัน 4 คนพี่น้อง ดิฉันจะร้องไห้ทุกครั้ง ที่พ่อแม่ ทะเลาะกัน ดิฉันเป็นคนที่แม่รักที่สุดน่ะ ( หรือคิดไปเองหรือปล่าวก็ไม่รู้ ) ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ รู้แต่ว่าเวลา พ่อแม่ทะเลาะกัน เวลาไม่เข้าใจกันน่ะ แม่ก็จะไปอยู่ที่อื่น และดิฉันก็จะเป็นคนที่ติดตามไปอยู่กับแม่ตลอดค่ะ ไม่ว่าแม่จะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม และถ้าแม่ไม่เอา ดิฉันไปด้วย ดิฉันจะนั่งรถเมล์ไปตามสถานที่ ที่แม่เคยไปทุกครั้ง ถึงแม้ต้องรถไปอีกจังหวัดก็ตาม ดิฉันจะไปหาเพื่อนแม่ เพื่อจะตามไปอยู่กับแม่ทุกครั้งไป
    สมัยก่อนน่ะ มีโรงแรมที่มีผู้หญิงหากินเยอะ จำได้ว่าแม่ยังเคยพาดิฉันไปหาพ่อที่โรงแรมอย่างนั้นด้วย ( สมัยนั้นเอดส์ไม่ค่อยมีน่ะ อย่าคิดมากน่ะ เฮ้อเป็นธรรมดาสำหรับผู้ชายน่ะ ) พ่อกับแม่ก็ทะเลาะกันยกใหญ่เลย ดิฉันน่ะ สงสารแม่ดิฉันจริงๆเลยน่ะ บางครั้งที่แม่ดิฉันไปอยู่กับดิฉัน 2 คน บางครั้งต้องไปนั่งขายทุเรียน เพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ บางครั้งแม่ก็ไปตัดเย็บเสื้อผ้า เหตุการณ์ที่ดิฉันเล่าให้ฟังนี้ ประมาณปี 2516-2517 จะเป็นเหตุการณ์ที่ดิฉัน จำได้แม่นที่สุด ซึ่งไม่เข้าใจว่าทำไมเหมือนกัน ยังเด็กอยู่เลยค่ะ
    แม่ดิฉันมีอาชีพตัดเย็บเสื้อผ้าสำหรับเลี้ยงชีพในเวลาที่เราต้องอยู่กันแค่ 2 คน จริงๆแล้วพ่อมีกิจการของตัวเอง เวลาที่เขาอยู่ด้วยกัน จำได้ว่าแม่จะตัดชุดให้ดิฉันทุกปี เวลาถึงวันเด็ก ในปี พ.ศ. 2517 จำได้ว้าวันที่ 11 มกราคม 2517 ปีนั้น แม่กลับมาอยู่กับพ่ออีกครั้ง ( เป็นธรรมดาของชีวิตคู่น่ะ ) วันที่ 12 มกราคมจะเป็นวันเด็กอีก จำได้ว่า แม่กับพ่อ พาลูกๆ ไปหาเสื้อผ้าใหม่ ไว้ใส่ในวันเด็กอีก เราไปดูตั้งหลายร้านก็ยังไม่ได้ จนแม่บอกว่า พรุ่งนี้ค่อยมาดูใหม่น่ะ และพ่อกับแม่ก็พาพวกเราไปดูหนัง เรื่อง " น้ำเซาะทราย " ซึ่งเป็นเรื่องสุดท้าย ที่คุณวันดี ศรีตรัง แสดง และต่อมาเธอก็เสียชีวิต พอดูหนังเสร็จ พวกเราก็กลับบ้านกัน ซึ่งเวลานั้นก็ประมาณ 4 ทุ่มกว่าๆแล้ว พ่อกับแม่ก็คุยกันว่า งั้นไปงานศพต่อกันดีกว่า ซึ่งจะต้องเดินทางไปอีกอำเภอหนึ่ง ประมาณ 30 กว่ากิโล และพวกเราก็ต่างไปนอนกัน เพราะดึกแล้ว พ่อกับแม่ก็ขี่มอเตอร์ไซด์ไปกัน 2 คน จำได้ว่า พ่อกลับมาถึงบ้านประมาณตี 4 กว่าๆ มาปลุกพวกเราให้ตื่น และมาบอกพวกเราว่า " แม่ตายแล้ว " ( ไม่อยากบอกเลยว่าพูดถึงเรื่องนี้ที่ไร น้ำตาไหลทุกที และแน่นในอกทุกครั้ง ถึงแม้จะผ่านไปกี่ปีก็ตาม )
    ดิฉันก็ไม่อยากเชื่อว่า พ่อพูดเรื่องจริง ก็พึ่งไปดูหนังด้วยกันมาแท้ๆ แต่พอเห็นใบหน้าของพ่อ ก็รู้ว่าทุกอย่างคือเรื่องจริง พ่อบอกว่าขากลับจากงานศพ วิ่งมาบนถนนมีขอนไม้ขวางทางอยู่ พ่อก็ขี่มอเตอร์ไซด์ไปชน และร่างของแม่ดิฉันก็กระเด็น หัวไปทิ่มในนา ในเวลานั้นก็มืดแล้ว เรียกรถหลายคัน ก็ไม่ค่อยมีใครรับ อีกอย่างหนึ่ง แม่ดิฉันก็เลือดไหลไม่หยุด และต้องเดินทางกลับมาในจังหวัด เพื่อไปโรงพยาบาล พ่อบอกว่าแม่ดิฉันเสียชีวิตก่อนถึงโรงพยาบาลด้วยซ้ำ ใครจะไปเชื่อล่ะค่ะ ว่าเวลานั้นจะถึงตัวเรา แค่ชั่วข้ามคืน
    จำได้ว่าพวกเราร้องไห้กัน และปีนั้นก็ไม่ได้ไปงานวันเด็กกัน แต่กลับต้องมานั่งร้องไห้ ในงานศพของแม่ตัวเอง ระหว่างที่แม่ดิฉันถูกหุ้มห่อด้วยผ้าขาว จำได้ว่าผ้าม่านสีขาวปลิวขึ้นจนเห็นศพ พ่อบอกว่าให้ดิฉันไปเอาผ้าลง ดิฉันไม่กล้าหรอกค่ะ กลัวผีน่ะ ( ยังเด็กอยู่น่ะ แต่ตอนนี้ไม่กลัวแล้ว ) แต่วันที่จะเผาแม่ เขาเปิดศพดู ดิฉันก็ไปดูน่ะค่ะ ยังคิดว่าแม่ตายจริงหรือ หลังจากนั้น พ่อก็มาบอกว่า ฝันว่า แม่มาชวนดิฉันไปอยู่ด้วย พ่อจึงต้องพาดิฉันไปทำบุญกันยกใหญ่ สงสัย แม่คงยังเป็นห่วงดิฉันอยู่น่ะ ( ดีใจน่ะ ที่แม่ยังอุตส่าห์เป็นห่วงดิฉันเสมอ )

    หลังจากนั้นไม่นาน พ่อของดิฉันก็แต่งงานใหม่กับคนที่ทำงานในบ้านดิฉัน อะไรหลายอย่างก็เปลี่ยนแปลง ทุกคนก็คงรู้น่ะค่ะ แม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยง เป็นอย่างไร เหมือนในนิยายนั่นแหละ และอีกอย่างหนึ่งดิฉันจะมีความผูกพันกับแม่มากกว่าพ่อ มาตลอดเวลา ( นั่นล่ะ ฟ้าลิขิตล่ะค่ะ เดี๋ยวจะบอกน่ะค่ะ ว่า ทำไม อย่าไปโทษใครน่ะ ให้เรายินดีรับในสิ่งที่จะเกิดก็พอค่ะ ) จำได้ว่าตลอดเวลา ความเป็นอยู่ของดิฉันจะลำบากมาก ไม่ได้กิน อยู่อย่างอิ่มหนำ อย่างคนอื่นๆ ต้องหิ้วท้องกลับมากินข้าวบ้านทุกวัน อยากเก็บตังษ์ค่าขนมไว้น่ะ ( คงงกมัง อย่างมีกะตังษ์ ) ความเป็นอยู่ของดิฉัน เป็นอยู่อย่างนั้นจนกระทั่ง ดิฉันได้เรียนถึง ม.ศ.2 ขณะนั้นมี พี่สาวคนโตเรียนอยู่ ม.ศ.5 และมีเพื่อนชายของพี่สาวคนหนึ่งมาที่บ้านบ่อยๆ มาลอกการบ้านน่ะ จนปีนั้น พ่อดิฉันจะต้องจ่ายค่าเทอมให้ดิฉัน ไม่มากหรอก เพราะเป็นโรงเรียนรัฐบาล ประมาณ 2 ร้อยกว่าบาทเอง พ่อก็ไม่ยอมจ่ายให้ซะที จนทางโรงเรียนถามกับทางพี่สาว และพี่สาวก็ไปเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อน เขาฟัง ( คนที่มาลอกการบ้านน่ะ ) ปรากฎว่า เขาน่ะไปเอาเงินเก็บตัวเองมาจ่ายค่าเทอมให้ดิฉัน คงจะสงสารดิฉันมังค่ะ แหมก็เราเป็นเด็กดีนี่น่า ไม่อยากบอก ทำไงล่ะทีนี้ ไอ้เราก็ยังเด็กเลย เฮ้อ กลุ้มจริง หลังจากนั้นเขาก็จะห่วงเราตลอด คิดดูซิยังเด็กอยู่เลย จะมีแฟนนี่ก็กลุ้มน่ะ สมัยนั้น ไอ้เราก็หัวโบราณซะด้วยซิ เขาจะซื้อของโน่น ของนี้ให้ตลอดเลย และจ่ายค่าเทอมให้ทุกปีเลย พ่อของดิฉันเลยสบาย มีคนดูแลลูกแทนตลอดเลย บ้านเขาน่ะ ขายข้างแกง เขารู้ว่าเราน่ะกิน อดๆอยากๆ ก็จะเอากับข้าวมาให้กินทุกวัน
    บอกตรงๆน่ะ อายมากเลย ที่มีหนุ่มๆมาแอบชอบ จริงๆน่ะ มีหนุ่มมาแอบชอบหลายคนน่ะ อิอิ

    หลังจากที่เขาเรียนจบ ม.ศ. 6 เขาก็ต้องย้ายไปเรียนที่อื่น แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขาจะดูแลเสมอต้น เสมอปลาย เป็นผู้จ่ายค่าเทอมให้ดิฉันตลอด และแอบเอาเงินใส่ในสมุดทุกครั้งที่มาเยียมเยียนดิฉัน ( ช่างโชคดีเนอะ ทีมีคนแบบนี้ในโลกด้วย ก็ต้องขอขอบคุณเขาน่ะ ) เขาเป็นคนที่หางานพิเศษทำตลอดในช่วงที่เรียนหนังสือ และดิฉันเองก็หาเงินพิเศษเหมือนกัน เราทั้งคู่หาเงินด้วยการรับจ้าง ถ่ายรูป ในโรงเรียน ทำให้มีเงินเก็บบ้างไม่เดือดร้อน เขาก็ซื้อของจะเป็นให้ดิฉันตลอด เขาไปเรียนอีกจังหวัดหนึ่ง ดิฉันก็ไปเรียนในสายอาชีพ และเขาก็จะเป็นผู้จ่ายค่าเทอมให้ดิฉันตลอด

    จำได้ว่า มีอยู่ปีหนึ่งดิฉันเรียน ปวช.ปี 2 เขาทำ surprise ดิฉันโดยการซื้อทอง 2 สลึงให้ดิฉันในวันเกิด แหม ใครจะไปนึกน่ะ ว่าเขาจะทำให้เราได้ขนาดนั้น ไอ้เรายังไม่รู้ประสีประสาเลย ไม่คิดว่าจะมีทองใส่น่ะ จริงๆน่ะไม่ได้โม้ แต่ใส่ได้ไม่นานก็เกิดเรื่องอีก ( เรื่องเยอะจัง เฮ้อ ! อย่าเพิ่งเบื่อน่ะค่ะ ) ลืมบอกไปค่ะ ว่า ดิฉันเป็นคนสุขภาพไม่ดีตั้งแต่เด็ก ตาเกือบบอดแน่ะ ตั้งแต่เด็ก ตอนแม่อยุ่น่ะ หาหมอตาตลอดเลย แถมเป็นโรคหอบหืดอีก แต่หลังแม่ตาย แปลกค่ะ โรคต่างๆ เป็นน้อยลง แต่ในปีนั้น อยู่ๆดิฉัน ก็มีปัญหาสุขภาพอีก แบบรวดเร็วเลยล่ะ จำได้ว่า เป็นไข้ไม่สบาย และเกิดอาการแทรกซ้อน วันนั้นพ่อขึ้นมาดูดิฉัน และบอกว่า เป็นอะไรล่ะ พ่อน่ะ ไม่มีเงินซื้อยา ขอทองดิฉันไปจำนำก่อนน่ะ ไอ้เราก็ถอดให้ซิ ก็พ่อนี่น่า และหลังจากพ่อเอาทองไปจำนำ ก็ไปซื้อยาให้ดิฉัน ปรากฎว่า หลังจากนั้น 2-3 วัน ดิฉันก็ยิ่งแย่ลงไป เชื่อมั๊ยค่ะ ชายหนุ่มที่เขาชอบดิฉันอยู่ เขามาเยี่ยมเยียนดิฉัน พอเห็นดิฉัน เขาพาดิฉันไปโรงพยาบาลเลยล่ะ ( คนอะไรก็ไม่รู้ ดีจริงๆเลย ) เขาส่งดิฉันไปโรงพยาบาลเอกชนเลยล่ะ สมัยนั้นน่ะ รู้มั๊ยค่ะ ขณะที่ดิฉันนอนโรงพยาบาล พ่อไม่เคยไปเยี่ยมดิฉันเลยค่ะ สงสัยกลัวจ่ายตังษ์น่ะ ( บางครั้งน่ะ ก็คิดน้อยใจพ่อตลอดน่ะ ว่าพ่อไม่รักน่ะ ) และก็มีแต่ชายหนุ่มคนนี้แหละ ที่มาเฝ้าดูอาการตลอด และเขาก็เป็นคนจ่ายเงินทั้งหมดเลย ประมาณ พันกว่าบาทน่ะ
    ตลอดเวลาที่รู้จักเขาน่ะ เขาให้อะไรดิฉันตั้งมากมายค่ะ ซื้อจักรเย็บผ้าให้บ้าง เงินสดน่ะค่ะ และเคยจะซื้อแหวนเพชรให้ แต่บอกไม่เอาไม่รู้ว่าจะใส่ทำไม บอกแล้วว่าเป็นเด็กโง่ๆ อีกอย่างหนึ่งสงสารเขาด้วย เขาให้เรามากไปน่ะ แต่อะไรรู้มั๊ยค่ะ เขาน่ะเป็นลูกคนจีน และเป็นลูกคนโต พอพ่อแม่เขารู้เรื่องเราน่ะ เขาไปสืบถึงพ่อแม่ดิฉัน ทำให้เขาเกิดปัญหากับพ่อแม่เขา เพราะ พ่อแม่เขาหวังกับเขามาก เขายอมถึงขนาดบอกดิฉันว่า เขาจะไม่เอาพ่อแม่ แต่เมื่อเขาเรียน เขายินดีที่จะดูแลดิฉันเอง แต่ไอ้เราน่ะ ก็บอกเขาว่า แฟนน่ะมีกี่คนก็ได้ แต่พ่อแม่น่ะ มีได้แค่คนเดียวน่ะ ขอให้คิดดูดีๆน่ะ ( พูดไปน่ะ บางทีก็เศร้าน่ะ )
     
  2. ปมณฑ์

    ปมณฑ์ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    อย่าเพิ่งเบื่อน่ะค่ะ มีต่อค่ะ และจะมีอะไรบอกในตอนจบของเรื่องค่ะ ขอให้อ่านด้วยใจเป็นกลางน่ะค่ะ จะได้รู้ว่าชีวิตคือการต่อสู้จริงๆค่ะ

    ความรักน่ะ ย่อมมีอุปสรรคเสมอค่ะ ยิ่งเป็นความรักในวัยรุ่นด้วยค่ะ หลังจากดิฉันเรียนจบ ปวช. ก็มีเขานี่แหละ ที่คอยส่งเสียดิฉันตลอด ดิฉันมาเรียนกรุงเทพ เขาก็ยังส่งเสียตลอด เชื่อมั๊ยค่ะ พ่อดิฉันไม่ได้มาส่งดิฉันที่สถานีรถไฟ และไม่ได้ให้เงินดิฉัน แม้แต่บาทเดียว ( อยากร้องไห้จริงๆน่ะ ) ดิฉันมาเรียนกรุงเทพ และมาอยู่รวมกับเพื่อนๆหลายคน แชร์กันออกค่าเช่าบ้าน ผู้ชายก็อยู่กับผู้ชาย ผู้หญิงก็อยู่กับผู้หญิง และมีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่ดิฉันเรียนอยู่ ปวส.ปีหนึ่ง พี่ชายดิฉันโทรมาหาดิฉัน แฟนดิฉัน เขาถามว่า ใครโทรมาหา ดิฉันก็บอกว่า พี่ชายดิฉันโทรมาหา เขาไม่เชื่อค่ะ ทะเลาะกับดิฉันใหญ่เลย หาว่าไม่รักเขา เขาตบหน้าดิฉันทีหนึ่งค่ะ ดิฉันเสียใจมาก ไม่นึกว่าเขาจะกล้าทำกับดืฉัน เราคบกันมา6-7 ปี ไม่เคยเห็นเขาทำอย่างนั้นกับดิฉัน จำได้ว่าดิฉันโกรธ เขามาก พอเขาไม่อยู่ ดิฉันก็เก็บเสื้อผ้า และหนีไปอยู่กับเพื่อนอีกที่หนึ่งทันที ก็อายนี่น่า เพื่อนเรา และเพื่อนเขาเห็นเหตุการณ์นี่ ดิฉันก็อายซิ ก็แค่เป็นแฟนกันนี่น่า หลังจากนั้น เขาตามหาดืฉันตลอด ดิฉันก็พยายามหนีตลอดเลย และสมัยนั้น มหาวิทยาลัยที่ดิฉันเรียนอยู่ ก็เป็นโรงเรียนผู้หญิง ขนาดเสื้อนี่ ยังต้องใส่ซับในเลย กระโปรงนี่ต้องใส่ตามที่เขากำหนด อาหารก็ต้องกินเป็นหลุมๆ ทานในมหาวิทยาลัยเลย ดิฉันก็หลบหน้าหนีเขาตลอด รู้แต่เพื่อนบอกว่า เขาเสียใจและร้องไห้ตลอด หลังจากที่ดิฉันหนีเขามา ทำให้ต้องหาเงินเอง เพื่อจะเรียนหนังสือเอง ดิฉันต้องไปรับจ้างเย็บเสื้อผ้าในร้าน แม่ของเพื่อน และต้องไปอาศัยพักกับเขา หลังจากเลิกเรียน ต้องไปทำงาน สมัยก่อนหางานยากกว่าสมัยนี้น่ะค่ะ ดิฉันต้องลำบากเลย เพราะ ค่าใช้จ่ายเยอะ ไหนต้องทำงานไป เรียนไป หลังจากไม่มีเขา ก็ไม่มีใครช่วยเหลือ พ่อก็ไม่เคยส่งเงินให้ใช้เลย แม้แต่บาทเดียว เหมือนเคย ไม่เคยถาม ไม่เคยห่วงว่าดิฉันอยู่อย่างไร ดิฉันก็ไม่กล้าโทรไปหา กลัวตัวเองจะร้องไห้ เวลาพ่อตอบปฎิเสธ อ้อ ! มีอยู่ครั้งหนึ่ง จำได้ว่า มีผู้ชายคนหนึ่ง เข้ามาในชีวิต คำหนึ่งที่เขาพูดกับเรา เขาบอกเลยว่า ถ้าดิฉันไปนนอนกับเขานี่ เขายินดีจะให้เงินดิฉัน แต่ดิฉันไมสนใจ ก็ไม่ได้เกิดมาเพื่อขายศักดิ์ศรีตัวเองนี่น่า จนในที่สุด ภาระที่รับอยู่หนักมาก จนไม่สามารถเรียนจบได้ หลังจากนั้นก็เริ่มหางานทำ ( เขาเรียกว่าอยู่ดีๆไม่ชอบ ) หลังจากได้งานทำ ก็ต้องเลี้ยงดูตัวเอง ไม่ค่อยได้ติดต่อกับทางบ้าน เหมือนอยู่คนเดียวน่ะ หลังจากทำงานได้หนึ่งปี น้องชายที่ต่อกับดิฉัน ก็เข้ามากรุงเทพ และมาอยู่กับดิฉัน คนนี้น่ะ พ่อดิฉันส่งเสียตลอด อย่างว่า แหละ เชื้อจีนน่ะ ย่อมรักลูกชายเป็นเรื่องธรรมดาเลยล่ะ พอเขามาอยู่กับดิฉัน ดิฉันก็ส่งเสียเขาบ้างตามอัตภาพ หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ย้ายไปอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยที่เขาเรียน ดิฉันก็ให้เงินเขาบ้าง ตามที่พี่สาวคนหนึ่งจะช่วยน้องได้
    มีอยู่วันหนึ่ง จำได้ว่าดิฉันนั่งรถเมล์สาย 27 ที่อนุสาวรีย์ชัย อะไรทราบมั๊ยค่ะ ดิฉันไปเจอชายหนุ่มคนนั้น บนรถเมล์หลังจากที่เราหายไปเกือบปี โลกกลมจริงๆเลย เขาก็ยังง้อดิฉัน เหมือนเดิม ( บางครั้งดิฉันยังคิดเลยว่า เรานี่ใจร้ายมากไปหรือปล่าว แต่พอมาคิดถึงเรื่องพ่อแม่เขา ทำให้ตัวเองต้องคิดหนักมากเลย ) ดิฉันไม่ยอมพูดกับเขาเลย แต่ใจน่ะสงสารเขาน่ะ รู้แต่ว่าหลังจากนั้น เขาหนีหน้าเพื่อนๆเขา ไปอยู่ระนอง และไปเจอผู้หญิงคนใหม่ที่นั่น และกลับไปอยู่บ้านเดิม และปัจจุบันเป็นแก่ไปแล้วล่ะ และพ่อแม่เขาก็ยอมรับภรรยาเขาด้วย สงสัยเราน่ะ ไม่ใช่เนื้อคู่กันน่ะ

    หลังจากนั้น ดิฉันก็มีชายหนุ่มเข้ามาในชีวิตอีก และมีสามีแบบสายฟ้าแลบเลยล่ะ เรื่องมีอยู่ว่า ดิฉันไปอยู่กับพี่คนหนึ่ง ซึ่งเขาน่ะ มีสามีแล้ว และดิฉันก็ช่วยงานเขา เวลาที่ดิฉันว่างจากงานตัวเอง เขาน่ะ รับจ้างรีดผ้าค่ะ และดิฉันก็จะช่วยเขารีดผ้าค่ะ ดิฉันอยู่ที่นั่น ประมาณ เกือบปี มีอยู่วันหนึ่งสามีเขาน่ะ แอบเอาเงินมาให้ดิฉัน 1 พันบาท และบอกว่า เป็นอั่งเปา เอาล่ะซิ ความซวย เริ่มมาถามหาแล้ว เขาบอกว่าไม่ต้องบอกเมียน่ะ ไอ้เราก็รู้ทันที สงสัยมาแอบชอบดิฉันแน่ๆเลย ดิฉันก็ไม่รับเงิน รู้แต่ว่าไม่สบายใจเลยที่เป็นแบบนั้น มาแอบชอบเราตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะเนี่ย จนดิฉันไปคุยให้ชายหนุ่มคนนั้นฟัง เขาก็ชวนดิฉันไปอยู่ด้วยเพื่อตัดปัญหา เชื่อมั๊ยค่ะ ดิฉันน่ะเก็บเสื้อผ้า ไปอยู่กับชายหนุ่มคืนนั้นเลย จะไม่ให้ไปได้อย่างไรล่ะค่ะ พี่สาวเขาน่ะ ต่อว่าดิฉันน่ะ ไปให้ท่าเขา ( ไม่เคยคิดเลยน่ะ มันบาปน่ะ ) ชายหนุ่มคนที่เขาชวนดิฉันน่ะ ดิฉันเพิ่งรู้จักเขาน่ะค่ะ รู้ด้วยว่า เขาน่ะ โกหกดิฉันเรื่องผู้หญิงอื่นด้วย แต่ต้องตัดสินใจทำ เพื่อตัดปัญหา เป็นอันว่า ไปมีสามีแบบฟ้าแลบเลยค่ะ

    ดิฉันตั้งปฎิธานเลยน่ะค่ะว่า จะรักษา ชีวิตคู่ของตนเองให้มากที่สุด เท่าที่ดิฉันจะทำได้ สงสัยยังหัวโบราณอยู่มาก บางทียังคิดว่า ดิฉันอยู่โบ มากไปหรือปล่าว เคยแม้กระทั่งกราบเท้าสามีเวลาเขาหลับเลย ( อายจัง แอบเอาความลับมาเล่าให้ฟังน่ะ ) รอเขากินข้าวจนตี 3 ในขณะที่เขาไปนั่งเล่นไพ่ เฮ้อ โง่ปล่าวเนี่ย ชีวิตคู่ของดิฉันก็ลุ่มๆดอนๆน่ะ แหละ เป็นธรรมดา ก็ไม่ค่อยมีเงินน่ะ จนดิฉันตั้งท้อง ก็ไม่ได้ทำงาน เขาต้องหาเงินคนเดียว มีกินบ้าง อิ่มบ้าง แต่เชื่อมั๊ยค่ะ ดิฉันต้องมาเจอเหตุการณ์ร้ายๆอีกแล้ว ตอนที่ดิฉันตั้งท้องน่ะ รายได้ไม่ค่อยดีค่ะ ต้องอดๆ อยากๆ อีกแล้ว กินก็ไม่อิ่ม ต้องประหยัดเลยล่ะค่ะ แถมต้องทะเลาะกับสามีบ่อยๆ โดนซ้อมบ้างค่ะ บางครั้ง ( คราวนี้น่ะ เจอกับตัวเองแล้วล่ะ ) อ้อ ! ลืมบอกไปว่า ดิฉันน่ะ ไม่ได้แต่งงานน่ะค่ะ อยู่กับสามีเฉยๆ พ่อก็ไม่ถามหาเลย เหมือนอยู่คนเดียวเลย แง แง พอท้องได้สัก 6-7 เดือน เริ่มไม่ไหวค่ะ เงินก็ไม่มี ท้องด้วย ต้องกลับไปบ้าน เพื่อหวังว่า จะประหยัดเงิน กลับไปอยู่บ้านก็มีแต่เรื่องเสียใจ โดน ใครว่าแดกดันตลอดว่า ไม่มีปัญญา ไปไหนบ้างล่ะ อะไรบ้างล่ะ คงต้องเก็บความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ ต้องทนให้ได้ และพอดิฉันท้องได้ สัก 7 เดือน เท้าดิฉันเกิดอาการบวม พ่อดิฉันก็ตามหมอนวดมาโกยท้อง หรืออะไรนี่แหละ รู้มั๊ยค่ะ รุ่งเช้าน่ะ ดิฉันเกืดอาการปวดท้อง ต้องไปโรงพยาบาลเลยค่ะ ปวดท้องเหมือนจะคลอด เดินเดินมา ในห้องคลอด หมอบอกว่า ปากมดลูก ยังไม่เปิด ดิฉันก็ยังปวดท้องอยู่ยังงั้น จนต้องเข้าไปห้องน้ำบ่อยๆ จนสุดท้ายต้องเดินไปบอกหมดว่า ไม่ไหวแล้วค่ะ พอเข้าห้องคลอดไม่ถึง 10 นาที ก็คลอดค่ะ แต่ตอนแรกลูกดิฉันไม่ร้องเลยค่ะ ดิฉันเห็นหมอต้องตบๆ เด็กถึงจะร้อง อ้อ ตอนนั้นน่ะ ดิฉันท้องประมาณ 8 เดือนค่ะ หลังจากที่ดิฉันกลับไปพักฟื้นที่ห้องสัก 2 ชั่วโมง ก็มีพยาบาลเดินมาบอกว่า " ลูกดิฉัน ตายแล้ว " นี่เป็นครั้งที 2 ที่ได้ยินเรื่องแบบนี้ ได้ยินแต่หมอบอกว่า พยาบาลไม่ยอมให้ดิฉันคลอด ตอนที่บอกว่า ปวดท้อง ทำให้ เด็กขาดอากาศหายใจนานไป จะโทษใครล่ะค่ะ ไม่น่าเชื่อว่า เหตุการณือย่างนี้ จะเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่ 2 ตอนนั้นทางโรงพยาบาล ถามว่า จะทำยังไง ดิฉันก็เหมือนไม่มีใครที่จะคอยให้คำปรึกษา สามีก็อยู่ที่กรุงเทพ คนที่บ้านดิฉัน ก็ไม่ค่อยมีใครใส่ใจดิฉัน ก็เลยต้องบอกว่า ให้ทางโรงพยาบาล ทำให้แล้วกันค่ะ ๙งดิฉันไม่รู้เลยว่า เขาจพทำอย่างไร ทุกวันนี้ ยังเสียใจว่า เขาทำอย่างไร กับลูกเราน่ะ ( อยากมี ไทม์ แมชชีน กลับไปดูจังค่ะ ) และอีกอย่างหนึ่งดิฉันรู้ว่า ขณะที่ท้อง ดิฉัน กิน อยู่ไม่ค่อยดีนัก แถมเคยโดนสามีซ้อมมาบ้าง คงเป็นเวรเป็นกรรมน่ะ

    หลังจาก พักฟื้นไม่นาน ดิฉันก็กลับมากรุงเทพ และหางานทำต่อไป หลังจากนั้นไม่นาน ก็ตั้งท้องอีกแล้วค่ะ ท้องนี้รู้สึก ความเป็นอยู่ดีขึ้นบ้าง พยายามกินดีขึ้นบ้างตามฐานะ และบอกตัวเอง ว่าจะไม่กลับไปที่บ้านอีกแล้ว ไม่อยากให้ใครเดินมาบอกอีกเป็นครั้งที่ 3 แล้วน่ะ ปรากฎว่า ท้องนี้คลอดปกติ แถมคลอดง่ายอีกต่างหาก จำได้ว่า พอสามีส่งถึงโรงพยาบาล และหมอบอกให้ลงไปเอา ประวัติดิฉันที่ข้างล่าง พอเขากลับขึ้นไป หมอบอกว่า คลอดแล้ว เป็นผู้ชายค่ะ เขายังบอกว่าคลอดง่ายจัง อ้อ ลืมบอกไปค่ะ ตอนนั้นน่ะ น้ำหนักขึ้น แค่ 3 กิโล ครึ่งเองค่ะ แต่โชคดีค่ะ ลูกออกมา ตั้ง 3.2 กิโลแน่ะ

    หลังจากนั้น อีก 1 ปี ดิฉันก็ท้องอีกค่ะ คนนี้ก็คลอดง่ายค่ะ ไปถึงโรงพยาบาลปุ๊บ ก็บอกหมอว่า ปวดท้องแล้ว หมอก็ช่างน้ำหนักอีก คนนี้ น้ำหนักขึ้นแค่ 2 กิโลครึ่งเอง พอชั่งน้ำหนักเสร็จ หมอบอกว่า น้ำหนักขึ้นน้อยจัง พอเข้าห้องคลอดปุ๊บ ก็คลอดเลยค่ะ ออกมา 2 กิโลแปด ค่ะ หลังจากนั้น ก็ปิดอู่เลย ไม่ไหวค่ะ กลัวไม่มีปัญญาเลี้ยงแล้ว ตัดสินใจทำเองเลยค่ะ

    ( อย่าเพิ่งเบื่อน่ะค่ะ มีต่อค่ะ ยังมีอะไรร้ายๆในชีวิตอีกเยอะค่ะ ขอบอก )
    บอกแล้วค่ะ ชีวิตจริงน่ะ ยิ่งกว่าน้ำเน่าค่ะ แต่สิ่งต่างที่ผ่านมาในชีวิต จะเป็นประบการณ์ ที่ทำให้เรามีความเข้มแข็งมากขึ้นค่ะ
     
  3. ปมณฑ์

    ปมณฑ์ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    หลังจากที่ดิฉันมีลูก 2 คน ก็ไม่ได้ทำงาน มีหน้าที่เลี้ยงลูกอย่างเดียวค่ะ ลูกก็กินนมแม่อย่างดียวค่ะ ก็ไม่มีเงินซื้อนมผงนี่น่า โชคดีน่ะ ที่มีน้ำนมให้ลูกกิน เลยประหยัดไปเยอะ ตั้งใจเลยว่า จะทำหน้าที่ แม่ให้ดีที่สุด นึกถึงความรักที่ แม่ให้ดิฉันทีไร ก็อดเสียใจ ว่า ตัวเราช่างไม่มีวาสนา ที่ได้ตอบแทนบุญคุณ ต่อแม่เลย เพราะฉะนั้น ทุกท่าน ที่ได้อ่านเรื่องราว ของดิฉันแล้ว กรุณา กลับไปมองตัวเองน่ะค่ะ ว่า ท่านได้ดูแล และตอบแทน บุพการี ของท่านแล้วหรือยัง ท่าน เป็นพระในบ้านที่เราควรดูแล ในเวลาที่ท่านมีโอกาส ท่านก็ควรจะให้สิ่งดีๆ ต่อท่าน เวลาที่ท่านจากเราไปแล้ว เราไปเคาะฝาโลง เรียกท่าน ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ขอให้ทุกท่าน จงใช้เวลาที่เหลือ ให้มากที่สุดน่ะค่ะ ไม่มีใครรู้เลยว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับท่าน จงทำวันนี้ ให้ดีที่สุดน่ะค่ะ

    อ้อ ! ลืมเล่าไปเรื่องหนึ่งค่ะ ระหว่างที่ลูกคนโตของดิฉัน ยังทานนมดิฉันอยู่ มีอยู่วันหนึ่ง อยู่ๆ เต้านม ดิฉัน มันโตขึ้นมาข้างหนึ่ง เหมือนลูกมะกรูด ตอนนั้นรู้ว่าสามีร้องไห้เลย มันขรุขระเหมือนลูกมะกรูดเลย ตอนนั้นลูกน่าจะสัก 7-8 เดือน ดิฉันต้องไปหาหมอ และหมอบอกว่า เต้านมอักเสบอีก ( เฮ้อ ! ชาติที่แล้ว คงทำเวรกรรมไว้เยอะเนอะ ) ดิฉันต้องรักษาเต้านมอยู่ครึ่งปี และยังต้องให้นมลูกต่อไป และหมอบอกว่า เด็กกินนมไป ไม่อันตราย เพราะเด็กจะถ่ายออกมาเอง ซึ่งกว่าจะได้ผ่าตัด ก็กินเวลาไปครึ่งปี หมอบอกว่าเป็น
    ซีส ทิ้งไว้อาจจะเป็นมะเร็ง มิหนำซ้ำ ก่อนผ่าตัดนี่ หมอมาฉีดยาให้ก่อนเข้าห้องผ่าตัด ดันเกิออาการแพ้ยาอย่างรุนแรงอีก ในชีวิตก็ไม่เคยรู้จักอาการแพ้ยา เลยค่ะ คันทั้งตัว และเริ่มเกิด อาการแดงทั้งตัว ต้องเข้าห้องผ่าตัดทันที ดูซิค่ะ ก่อนจะผ่าตัดน่ะ ยังมีเหตุการณ์ ให้ตื่นเต้นตลอดเวลาเลย หลังจากผ่าตัด เหตุการณ์ปกติค่ะ

    และระหว่างที่ดิฉันต้องเลี้ยงลูกคนเดียว ทั้ง 2 คน สามีก็ทำงานต่างจังหวัดบ่อยๆ เพราะฉะนั้น ดิฉันเองต้องรับผิดชอบทุดเรื่อง ลุกของดิฉัน ก็เป็นโรคภูมิแพ้ทั้งคู่ สลับกันเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ลูกคนเล็ก ต้องเข้าโรงพยาบาล เพราะต้องให้ออกซิเจน ตอนนั้นน่ะ คนเล็กคงจะประมาณ 8-9 เดือน ส่วนคนโตน่ะ ประมาณ 2 ขวบ ดิฉันจะทำอย่างไรล่ะค่ะ คนเล็กนอนอยู่โรงพยาบาลก็ห่วง ดิฉันต้องทิ้งคนโตให้นอนที่บ้านตามลำพัง ดิฉันออกจากบ้านตอนตี 4 เพื่อไปดูคนเล็กที่โรงพยาบาล อธิษฐานว่าขออย่าให้คนโตตื่น ก่อนดิฉันกลับเถอะ พอไปถึงโรงพยาบาล เห็นลูกคนเล็ก กำลังกินอึตัวเองอยู่ค่ะ เห็นแล้วสงสารลูกตัวเองจัง พยาบาลก็ไม่สนใจ คงไม่คิดว่า เราจะดอดไปตอนตี 4 สงสัยลูกดิฉันจะฉลาดน่ะ อิอิ หลังจากที่อาบน้ำลูกคนเล็ก ดิฉันก็กลับบ้านไปดูคนโต โชคดีที่เขายังไม่ตื่น ยังคิดเลยว่า ตอนนั้น ถ้าลูกตื่นมาแล้วไม่เจอใคร จะเป็นอย่างไร หลังจากนั้น ดิฉันก็ไปเยี่ยมลูกที่โรงพยาบาลอีกค่ะ
    เรื่องราวที่ดิฉันเล่าให้ทุกท่านฟังอย่างละเอียดนั้น ดิฉันอยากบอกว่า บางครั้งเป็นเรื่องของเวรกรรม ที่เราต้องเจอ แต่เราเองต่างหาก ที่จะเป็นผู้ทำให้เหตุการณ์นั้นๆผ่านไปได้อย่างไร ขอเล่าต่ออีกน่ะค่ะ

    หลังจากนั้นให้หลังอีกสัก 4-5 ปี ก็มีเหตุการณ์อีกแล้วค่ะ
    สามีดิฉันยังคงต้องเดินทางไปต่างจังหวัดบ่อยๆ ดิฉันไม่ทราบหรอกค่ะ ว่า เขาไปทำอะไรไว้บ้าง ก็มัวแต่ก้มหน้า ก้มตาเลี้ยงลูกอย่างเดียวเลย มีอยู่วันหนึ่งสามีดิฉันบอกว่า จะไปซ่อมรถ ซึ่งออกไปแต่เช้า ดิฉันก็นึกอย่างไรไม่ทราบค่ะ พาลูก 2 คนไป หาสามีที่รถ ไปถึงเพื่อนเขาบอกว่า เขากลับไปนานแล้ว ปรากฎว่า วันนั้นดิฉันต้องพาลูกกลับบ้าน และเขาเองก็ไม่กลับบ้านค่ะ พอรุ่งเช้าถึงเขาถึงกลับบ้าน และบอกว่าไปเล่นไพ่มา ดิฉันก็ถามว่า เล่นที่ไหนล่ะ ขอเบอร์โทรหน่อยซิ อยากรู้ ดิฉันไม่เคยซักไซ้ เขาเลย เชื่อมั๊ยค่ะ เขาไม่ตอบ เราทะเลาะกัน 2 วันเต็มๆ อยู่ๆ เขาบอกว่า เขาไปนอนกับผู้หญิงมา ถามเขา เขาบอกว่า เขาโทรคุยกับผู้หญิง และผู้หญิงก็ให้เขาบอกดิฉัน เขาไปมีอะไรกันมาครึ่งปีแล้ว ( เฮ้อ เราโง่ไปหรือปล่าวเนี่ย ) ดิฉันก็ถามว่า แล้วเธออยู่ที่ไหน เขาก็บอกว่า เธออยู่นครปฐม ดิฉันพาลูก 2 คนไปถึงนครปฐมเลยค่ะ และรู้ปล่าวค่ะ ผู้หญิงก็นั่งรถมาหาดิฉันเหมือนกัน เป็นอันว่า เราไม่เจอกันค่ะ ในวันนั้น เป็นอันว่า ดิฉันต้องบอกสามีดิฉันว่า นัดให้เธอมาหาดิฉันที่บ้านหน่อยซิ อยากเจอน่ะ อยากคุยด้วย ปรากฎว่า เธอมาจริงๆ ฝ่ายสามีดิฉัน ก็เก็บมีด เก็บของมีคมในบ้านหมดเลย ( คงกลัวน่ะ ว่าดิฉันมาไม่ไหน ลองทายดูซิ ) พอเธอมาถึงบ้าน ดิฉันก็หาน้ำให้ทาน และถามเขาว่า จะเอายังไง เธอก็บอกว่า ตกลงเธอจะพยายามเลิกกับสามีดิฉัน รู้มั๊ยค่ะ เธอ ย้ายมาจากระนอง มาอยู่นครปฐม เพื่อสามีดิฉันเลยล่ะ หลังจากคุยเสร็จ ดิฉันก็เดินไปส่งเธอขึ้นแท็กซี่ โดยมีสามีดิฉันเดินตามไปด้วย คงกลัวดิฉันไปตบตีกันน่ะ หลังจากนั้น ดิฉันกับเธอ ก็คุยกันบ่อยๆ เธอน่ะเป็นนักร้องน่ะ ย่อมสวยเป็นธรรมดาค่ะ ดิฉันน่ะ เคยวางแผน เพื่ออยากรู้ว่าสามีดิฉันและเธอ ยังโกหกดิฉันอีกหรือปล่าว ดิฉันบอกสามีว่า จะไปต่างจังหวัด เพื่อเยี่ยมพ่อแม่ ดิฉันน่ะ นั่งรถไฟจริงค่ะ แต่ลงแค่นครปฐม และดักอยู่บ้านผู้หญิง เชื่อมั๊ยค่ะ หลังจากนั้นไม่นาน สามีดิฉันก็ไปที่นั่นจริง ก่อนที่สามีดิฉันจะไป ก็ได้อ่านจดหมายที่สามีดิฉันเขียนให้ผู้หญิงว่า อยู่กับดิฉันเพราะลูก และอะไรอีกมากมาย ในข้อความ ที่ทำให้เกิดอาการเศร้า เห็นสามีเราซื้อดอกไม้ให้ผู้หญิงพร้อมการ์ด อ่านแล้วเกิดอาการปลงจริงๆเลย พอสามีดิฉันเปิดประตูเข้ามา ถึงกับตกใจที่เจอดิฉัน ดิฉันก็เฉยๆดูว่า เขาจะทำอย่างไร จนในที่สุด ดิฉันก็ขอตัวกลับ และดูว่า เขาจะกลับด้วยหรือปล่าว ปรากฎว่า เขาขอดิฉันอยู่กับผู้หญิง ในขณะที่ดิฉันต้องพาลูก 2 คนกลับบ้าน จนดิฉันต้องบอกว่า จะวิ่งไปให้รถชนต่อหน้าเขา ดูซิ ว่าเขาจะยอมมั๊ย จนเขายินยอมกลับพร้อมดิฉัน หลังจากนั้นดิฉันก็ไม่ได้ทะเลาะกับเขา ได้แต่นิ่ง ถามเขา เขาก็บอกว่า ขอเวลา โอเค ดิฉันก็ให้เวลา หลังจากนั้น เขาก็ขอดิฉันไปนอนกับผู้หญิงอีก เขาบอกว่า เป็นวันเกิดผู้หญิง ดิฉันก็ยินดีให้ไปค่ะ ไปนอนค้างคืนที่บ้านผู้หญิง ( ดีไป หรือ โง่ไปค่ะเนี่ย ) หลังจากนั้น ผู้หญิงก็ฏทรมาหาดิฉันว่า อยากเลี้ยงดิฉัน ดิฉันก็ไปหาเธอที่นั่นค่ะ และเธอก็เปิดโรงแรม และ มานอนคุยกับดิฉันทั้งคืน เธอบอกว่า เธอ จะเลิกกับสามีดิฉันจริงๆ ดิฉันก็รับฟัง เธอก็โทรมาคุยกับดิฉันบ่อยๆ มีอยู่วันหนึ่ง ดิฉันรู้ว่าสามีดิฉันต้องเดินทางไปชะอำ และ เธออาจจะตามสามีดิฉันไปชะอำด้วย ก็เลยโทรหาเอว่า จะไปหาที่นครปฐม เธอก็โทรบอกว่า วันนี้เธอไปอยู่ เพราะพ่อเธอจะมารับไปเลนไพ่ค่ะ ดิฉันก็รับฟังค่ะ จนสามีดิฉัน กลับมา ดิฉันก็ถามว่า เป็นไงล่ะ เธอไปหาที่ชะอำหรือปล่าวล่ะ เขาบอกว่ารู้ได้ไงล่ะ ดิฉันก็แกล้งอำว่า ก็เด็กเธอ โทรมาบอก ความก็แตก ว่า ไอ้ที่บอกว่า เลิกน่ะ มันไม่จริง ดิฉันก็เฉยๆ และบอกเขาว่า เอายังงี้น่ะ งั้นเลิกกับฉันไปซะ มันอาจจะง่ายกว่า และดิฉันก็เดินออกไปข้างนอก เขาก็อุ้มลูกเดินตามดิฉัน และบอกว่า ฉันสาบานว่า ฉันจะเลิกกับเขาจริงๆ จะจุดธูปสาบานเลย ดิฉันก็บอกว่า ไม่จำเป็นหรอก เชื่อมั๊ยค่ะ หลังจากตืนนั้น เขาเลิกกับผู้หญิงจริงๆ ผู้หญิงโทรมาก็ไม่รับสาย(บทจะง่ายมันง่ายจริงๆน่ะ ) เป็นอันว่า ความเดือดร้อนก็มาถึงดิฉัน ผู้หญิงก็โทรมาบอกดิฉันว่า เขาท้องบ้าง อะไรบ้าง ดิฉันก็ไปเล่าให้สามีฟัง ว่า ให้เขาไปจัดการกันเอง หลังจากที่ผู้หญิงตื้อ หนักๆ เขา เธอคงรู้ว่า สามีดิฉันคงจะเลิกจริง เรื่องต่างๆก็เลยจางไป อ้อ ! ลืมบอกไปค่ะ ว่า ดิฉันน่ะ เคยถ่ายรูปกับเธอคนนั้น สามีดิฉันน่ะ เห็นแล้ว ต้องฉีกรูปเลยล่ะ เขาบอกเขารู้สึกอาย ที่ดิฉันไปถ่ายรูปกับผู้หญิง แถมไปนอนคุยกับเธอในโรงแรม และยังเคยอนุญาติให้เขาไปนอนกับเธออีก ( อิอิ เขาบอกว่า ไม่เคยนึกว่า ดิฉันจะทำยังงั้น )

    เห็นมั๊ยค่ะ ชีวิตแต่ละเรื่องที่เจอน่ะ ไม่รู้ว่าจะอธิบายได้อย่างไร ว่า เกิดขึ้นได้เพราะอะไร

    มีอะไรมาเล่าต่อน่ะค่ะ อย่าเพิ่งเบื่อน่ะค่ะ มีเหตุผลของชีวิตหลายเรื่องค่ะ อาจจะต้องพูดว่า กว่าจะมีวันนี้ ค่ะ และขอให้กำลังใจกับทุกๆคนน่ะค่ะ ที่จะต่อสู้กับโลกใบนี้ต่อไปค่ะ
     
  4. ComeFromSaturn

    ComeFromSaturn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2007
    โพสต์:
    277
    ค่าพลัง:
    +330
    ^-^ชอบที่พี่เป็นคนใจเย็นมากเลยค่ะ ที่คุยกะผู้หญิงคนนั้นดีๆได้ ขอให้ชีวิตจากนี้ไปมีความสุขนะคะ
     
  5. kobporn

    kobporn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    279
    ค่าพลัง:
    +782
    คุณเป็นคนที่อดทนมากเลยค่ะ เอาความสงบเข้าข่มใจ ขอให้ฟ้าแจ่มใสนะคะ
     
  6. ปมณฑ์

    ปมณฑ์ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆ ที่มอบให้น่ะค่ะ พรอันใดที่ก็ตามที่ให้ดิฉันมา ขอพรนั้นจงกลับไปสู่คุณและครอบครัวเช่นกันค่ะ สิ่งที่ดี สำหรับเรา ในบางครั้งคือ การที่มีกัลยา ณ มิตรที่ดี และมีคนคอยยืนเคียงข้างเรา เสมอ เมื่อเรามีปัญหาค่ะ

    ดิฉันขอเล่าต่อน่ะค่ะ หวังว่า คงไม่เบื่อกันน่ะค่ะ
    ดิฉันลืม บอกไปว่า ในระหว่างที่ดิฉันเข้ามา กรุงเทพ ปีแรก นั้น เวลาที่ดิฉันรู้สึก ย่ำแย่ ในจิตใจ ดิฉันไม่มีทางออก ไม่รู้จะไปหาใคร ไม่รู้จะปรึกษาใครได้ นั่นเป็นครั้งแรก ที่ทำให้ ดิฉันได้รู้จักการให้อย่างหนึ่ง เป็นความคิดในครั้งแรก ว่า แล้ว เราจะปลดทุกข์ และ ปัญหาของเราได้ อย่างไร ในวิกฤต ที่ต้องต่อสู้คนเดียว ในเวลานั้น ดิฉันจึงนึกถึง การบริจาคเลือด และได้ไป ที่สภากาชาด เป็นครั้งแรกในชีวิต มีความรู้สึกว่า มันอาจจะทำให้ สิ่งดีๆ กลับเข้ามา และขอให้ ความทุกข์ เหล่านั้น จางหายไปบ้าง ระหว่างที่บริจาคเลือด ดิฉันก็อธิษฐานจิตไปเรื่อยๆ และมีความรู้สึก หลังจากได้บริจาคเลือดไปแล้ว ความทุกข์ได้จางหายไปบ้างจากจิตใจ ถึงจะน้อยก็ตาม แต่มีความสุข ในใจ ที่ได้ให้เป็นครั้งแรก ขณะนั้น ดิฉัน น่าจะอายุ ประมาณ 20 น่ะค่ะ

    เอาล่ะค่ะ ดิฉันขอเล่าต่อน่ะค่ะ หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไป ชีวิตก็ดีขึ้นบ้าง และหลังจากนั้นอีกปี ก็มีเหตุการณ์ที่ดิฉัน คิดว่า ดิฉันจะเสียของรักอีก แต่โชคดี และมีปาฎิหาร์ย ที่ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงอย่างที่คิด มีอยู่วันหนึ่งดิฉันออกไปซื้อผลไม้ที่หน้าหอพัก และลูก 2 คน ก็ตามดิฉันไปด้วย คนเล็ก ดิฉันก็อุ้มไป ส่วนคนโต น่าจะสัก 5-6 ขวบ เขาก็ยืนอยู่ข้างรถ สักพักหนึ่งเด็กๆรุ่นเดียวกับเขาก็เรียกชื่อเขา ความเป็นเด็ก เขาก็เลยวิ่งไปหา สักพักหนึ่งดิฉันได้ยินเสียงดังปัง ดิฉันหันไปตกใจมาก เมื่อไม่เห็นลูกชายตัวเอง ถึงได้รู้ว่า เสียงนั้นคือเสียงรถแท็กซี่ ที่ชนลูกชายดิฉันเอง เห็นลูกตัวเองกระเด็นไป ประมาณ 500 เมตร ขาดิฉันสั่นมาก ไม่กล้าไปดูลูกตัวเอง กลัวลูกเป็นอะไรไป จนกระทั่งได้ยินเสียงลูก ร้องเรียก แม่ ถึงได้มีสติ เดินไปดูลูกได้ แท็กซี่ที่ชนลูกดิฉัน ก็ลงมาดู ด้วย พอดิฉันเดินไป เห็นลูกไม่มีเลือดเลย ก็ใจชื้นบ้าง และบอกแท็กซี่ให้ไปส่งลูกที่โรงพยาบาล กลัวเขาตกเลือดข้างใน ระหว่างทางแท็กซี่ก็บอกตลอดว่าไม่ค่อยมีเงิน ดิฉันก็ไม่ค่อยมีเหมือนกัน ก็เลยบอกเขาว่างั้นขับไปโรงพยาบาลรัฐบาลก็แล้วกันค่ะ พอไปถึงโรงพยาบาล หมอเช็คอาการดู ก็บอกว่าไม่เป็นอะไรมาก เป็นอันว่า ค่ารักษาในวันนั้นดิฉัน ยังต้องช่วยเขาออกอีก( สงสัยตัวเอง จะเป็นแม่พระ ในไม่ช้าแล้วล่ะ ) ดิฉันยังคิดเสมอว่า เขาโชคดี ที่มีแม่ซื้อ คงรับไว้ให้ค่ะ คิดไปเองหรือปล่าวไม่รู้ค่ะ แต่ตั้งจิตขอขอบคุณ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในวันนั้น หลังจากวันนั้น ชีวิต ของครอบครัว ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ดิฉันก็ไม่เคยใส่ใจเรื่องของสามีสักเท่าไหร่ แต่เรา ก็ยังคงทะเลาะกันบ่อยๆ โดนสามีซ้อมบ้าง จนตาเขียวก็หลายครั้ง ( คงเป็นเวรเป็นกรรม อธิษฐานว่า ขอใช้หนี้เวรกรรมกันให้หมดในชาตินี้ค่ะ ) และมีอีกครั้งหนึ่ง เราก็ทะเลาะกันอีก แต่ตอนนั้นลูกเริ่มเข้าโรงเรียน ดิฉันก็เริ่มทำงานได้แล้วด้วย หาเงินเองได้ซะที วันนั้นดูเหมือนว่า เขาจะลงมือกับดิฉันอีก ดิฉันก็เริ่มรู้สึกว่า เราควรจะต้องเริ่มต่อสู้บ้างแล้ว จึงถีอมีดคัตเตอร์ป้องกันตัวเอง เขาก็ไม่กล้า เข้ามาทำร้ายดิฉัน ก็ได้แต่แย่งมีดจากมือดิฉัน เขาเองก็กลัวเหมือนกันน่ะ รู้มั๊ยค่ะ แย่งไปแย่งมา มีดบาดมือดิฉันค่ะ ดิฉันเห็นเลือดไหลก็เลยออกจากห้อง ส่วนสามีเห็นเลือดไหลก็ไม่สนใจอะไร แต่ดิฉันซิค่ะ ต้องนั่งรถไปโรงพยาบาลคนเดียว เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้วด้วยค่ะ ศักดิ์ศรี คงมีมากไปหน่อย ก็เลยไม่อยากง้อค่ะ ระหว่างทางเลือก็ไหลไม่หยุดค่ะ วันนั้นต้องไปโรงพยาบาลเอกชนค่ะ ปรากฎว่า หมอถามว่าไปโดนอะไรมา ก็ต้องโกหกหมอว่า ทำงานกะดึก และมีอุบัติเหตุค่ะ รู้มั๊ยค่ะ วันนั้นน่ะ มีดบาดที่นิ้วชี้ดิฉันครึ่งนิ้วเลยค่ะ หมอบอกรู้มั๊ยว่านิ้วน่ะเกือบขาดเลยน่ะ ต้องเย็บไป 10 กว่า เลยค่ะ ส่วนสามีดิฉันก็นอนอยู่บ้าน สบายใจซะงั้นแหละ นั่นล่ะ คือเหตุผลที่มักถามตัวเองเสมอว่า ทำไม ตัวเราต้องเป็นอย่างนั้น ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ หลังจากนั้น พอเห็นหมอดูที่ไร ก็ทำให้อยากรู้ทุกที มีหมอดูราคาถูกๆ ก็ชอบไปดูอยู่เรื่อยไป เพราะ เรี่องที่เจอแต่ละเรื่อง รันทดซะเหลือเกิน อ้อ ! ตอนท้องคนแรกน่ะ เรียกได้เลยว่า รู้เลยน่ะค่ะ ไอ้คำว่าไม่มีจะกินน่ะ เป็นอย่างไร คำว่า กินข้าวต้มกับเกลือน่ะ ก็เจอมาแล้วค่ะ และคำว่า ยามไม่มีจะกินน่ะ หมูหมาก็ไม่มอง ก็เจอมาแล้วเช่นกันค่ะ

    หลังจากเหตุการณ์ต่างๆผ่านไป ดิฉันก็ย้ายบ้านหลายครั้ง ชีวิตก็ดีขึ้น และมีปาฎิหาร์ยหลายครั้ง เหตุการณ์ที่บางครั้งไม่มีเงินก็เกิดขึ้นอีก แต่มีเหตุให้มีเงินเข้ามาแก้จนก็หลายครั้ง วันนั้นไม่มีเงินเลยค่ะ ดิฉันเองก็เคยซื้อสลากออมสินไว้ 5 ใบ ไม่เคยตรวจเลย วันนั้นไม่มีเงินเลย ก็นึกได้เอามาตรวจรางวัล ปรากฎว่า ถูกเลขท้าย ได้เงิน 400 บาท พอแก้จน บางครั้งตัวเองไปกินข้าว เห็นคนแก่เป็นลมต่อหน้า ก็ถามเขา เขาบอกว่า เขาน่ะ ต้องเดินจากบางกะปิ เพื่อมาตามหนี้ที่ดินอดง แต่ก็ไม่เจอลุงต้องเดินทางกลับไปบางกะปิ ไม่กล้าขึ้นรถเมล์เพราะไม่มีเงิน วันนั้นดิฉันเองก็ไม่มีเงิน ก็เลยบอกว่าลุงคอยหนู อยู่นี่น่ะ เดี๋ยวหนูเอาไปเอาเงินที่บ้านให้ลุงน่ะ ลุงจะได้ไม่ต้องเดินไป เพราะวันนั้นน่ะ ลุงเป็นลมอยู่หลังหมอชิตค่ะ ดิฉันก็ปั่นจักรยานกลับบ้าน ซึ่งตัวเองก็เหลือเงิน แค่ร้อยกว่าบาทเอง แต่รู้ว่าวันนั้นสามีจะกลับแล้ว เดี๋ยวเขาคงเอาเงินมาให้ พอกลับไปอีกทีลุงแก ก็หายไปแล้ว ยังไงก็รู้ว่า ลุงไม่ได้เป็นคนหลอกลวง ดิฉันต้องปั่นจักรยานตามหาลุง จนเจอค่ะ แกก็เดินไปเรื่อยๆ เพราะไม่อยากรบกวนดิฉัน และดิฉันก็ได้ให้เงินลุงไป 100 บาท และส่งลุงแกขึ้นรถกลับบ้าน ทุกครั้งที่ดิฉันได้ช่วยเหลือใครก็ตาม ดิฉันก็รู้สึก อิ่มใจในสิ่งที่ตัวเองทำไป ความลำบากของตัวเอง สอนให้ดิฉันรู้จักรสชาดของมัน คิดเสมอว่า เวลาที่เรากำลังที่เราลำบาก และมีมือของใครสักคน เข้ามาจับเราไว้ หรือเข้ามาหยิบยื่น โอกาสให้เรา แม้แต่น้อยนิด นั่นล่ะคือ ปาฎิหาร์ยเลยล่ะ ดิฉันเอง ก็อยากแค่เป็นส่วนหนึ่ง ที่มอบสิ่งดีๆ และหยิบยื่นให้คนอื่นบ้าง ตามกำลัง

    อ้อ ! ลืมบอกอีกเรื่องน่ะค่ะ สามีดิฉันน่ะ ถึงจะเจ้าชู้น่ะค่ะ บ้าระห่ำบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่เขาปฎิบัติดีมาตลอดเลยคือ เวลาที่เขามีรายได้ที่ดีขึ้น เขาไม่เคยบกพร่องเรื่องเงินน่ะค่ะ ถึงจับไม่ได้ไงค่ะ เรื่องผู้หญิง คนเราน่ะ ย่อมต้องมีความดีอยู่บ้าง ถึงทนกันไปได้น่ะค่ะ ไม่ใครสมบูรณ์ไปทุกอย่าง แม้แต่ตัวดิฉันเองค่ะ
    มีบางครั้ง ทำให้ดิฉันย้อนกลับไปคิดถึงสิ่งต่างๆที่เข้ามาในชีวิต ทำให้มีคำถามเสมอ เพราะอะไร และคิดว่า วันหนึ่ง หากมีโอกาส อยากจะศึกษาวิชาโหราศาสตร์ และศาสตร์อื่นๆ หมอดูนี่ เขาอ่านได้จริงหรือ จากดวงชะตา และเหตุบังเอิญหรืออย่างไร ไม่ทราบ เห็นป้าย ติดประกาศว่า สอนโหราศาสตร์ ฟรีเป็นวิทยาทาน แม้เหตุบังเอิญ จริงๆค่ะ ดิฉันถึงได้ไปสมัครเรียน กับ อาจารย์ท่านนั้น ได้ถามท่าน ท่านบอกว่า ปีนี้ ดวงท่านตกไม่ดี ถึงต้องมาสอนฟรี เป็นวิทยาทาน แต่เดี๋ยวนี้ ท่านสอนเป็นหมื่น แล้วค่ะ ดิฉันเป็นลูกศิษย์ท่าน ถึง 2-3 ปี จนเป็นลูกศิษย์รุ่นแรกของท่าน หลังจากที่ดิฉันได้ศึกษา ในศาสตร์ของท่าน จึงทำให้เรียนร฿อะไรมากขึ้น คำถาม ที่อยู่ในใจ ก็ค่อยๆกระจ่าง ว่า ดวงชะตา ฟ้าลิขิตเรา บางส่วนจริงๆ ทำไมโชคชะตา ของแต่ละคนแตกต่างกัน อย่างดวงดิฉันเองเนี่น เรื่องอุบัติเหตุ เลือดตกยางออกเนี่ย เป็นเรื่องธรรมดาเลยล่ะ เพราะเป็นดวงจริงๆค่ะ

    ( ขอโทษน่ะค่ะ ลืมเล่าอุบัติเหตุอีกเรื่องหนึ่งค่ะ เฉียดตายจริงๆค่ะ ตอนนั้นน่ะ เป็นช่วง ปิดเทอม ดิฉันส่งลูกไปอยู่กับพ่อดิฉันที่ต่างจังหวัดค่ะ พอดีน้องชายเขาชวนดิฉันไปรับลูกดิฉัน และ เขาก็ถือโอกาสไปเยี่ยมพ่อด้วย ระหว่างทางที่ขับรถถึงชุมพร น้องดิฉันน่ะ เขาขับรถ หลับใน ส่วนดิฉันน่ะ หลับอยู่ด้สนหลัง รู้ตัวตอนที่รู้ว่ารถกำลังหมุนอยู่กลางถนน และเป็นเวลาประมาณตี 3 รถหมุนอยู่หลายตลบ เวลาที่ดิฉันรู้สึกตัว ดิฉันถามตัวเองเลยว่า เราจะตายมั๊ย แล้วลูกเราล่ะ จุดจบล่ะเป็นอย่างไร รู้ตัวอีกที ก็ตอนที่ได้ยินเสียงรถดังโครม อีกแล้ว หลังจากที่ตั้งสติได้ ก็ปีนป่าออกมาจากรถ แต่ออกมาทางไหนก็จำไม่ได้ค่ะ พอออกจากรถได้ถึงรู้ว่า รถของเรา ข้ามจากฝั่งหนึ่ง และไปชนต้นไม้ล้มไปอีกฝั่งหนึ่งแล้ว และดูอีกทีตรงนั้นเป็นหัวโค้ง ใครๆ เขาบอกว่า เป็นโค้งมรณะกัน วันนั้น ถ้ามีรถอีกฝั่งหนึ่งวิ่งมาล่ะ เราจะไปอยู่ตรงไหนกันล่ะ เชื่อมั๊ยค่ะ วันนั้นน่ะ ไม่มีใครเป็นอะไรเลย เราเดินทางกัน ผู้ใหญ่ 3 คน เด็ก 2 คน แต่มีเลือดออกเล็กๆน้อยๆ แค่ 2 คน สภาพรถน่ะ เอียงไปข้างหนึ่งเลย กระจกแตกหมด ต้องให้ช่างมาดู และดูว่า ทำไง ให้พอรถวิ่งได้ เพิ่อที่จะพอวิ่งไปบ้านดิฉันได้ เราต้องเสียเวลา หนึ่งวัน เพื่อให้ช่างมาดู และพอวิ่งไปเรื่อยๆ ในสภาพที่ไม่มีกระจก ใครจะเชื่อล่ะค่ะ ว่า นั่นเป็นปาฎิหาร์ยหรือปล่าว )
    หลังจากที่ดิฉันได้ศึกษา โหราศาสตร์มากขึ้น ทำให้ดิฉันต้องไปบริจาคเลือดบ่อยๆ เพื่อเป็นการแก้กรรม ของตัวเอง ดิฉันน่ะ มีเรื่องอุบัติเหตุตลอดเลยค่ะ แต่หลังจากที่ดิฉัน บริจาคเลือดบ่อยๆ อุบัติเหตุก็น้อยลงไป เพราะทุกครั้งที่ดิฉันได้บริจาคเลือด ดิฉันก็ถีอว่านั่นเป็นการเสียเลือด และเป็นการเสียเลือด เพื่อให้ใครอีกคน ได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ยังได้เป็นการทำบุญ ไปในด้วย หลังจากที่ดิฉันได้พบหลายเรื่อง ทำให้ดิฉันบริจาค ตัวเองทีละอย่าง หลังจากบริจาคเลือดไม่นาน ดิฉันก็แจ้งบริจาคดวงตา และบริจาค อวัยวะต่างๆที่สามารถ ปลูกถ่ายให้คนอื่นได้ หลังจากที่เราได้ตายไป แต่สิ่งที่เราได้ไปแล้ว อวัยวะของดิฉันก็ยังสามารถ ให้คนอื่นได้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ดิฉันได้บอกทาง พ่อ ดิฉันถึงเรื่องนี้ ท่านก็บอกว่า ทำไปทำไม ดิฉันก็บอกว่า อยากทำ และดิฉันก็ได้บอกลูกดิฉันว่า เมื่อแม่ตายไปแล้ว ให้ลูกโทรไปสภากาชาดไทย ลูกอาจไม่ต้องทำงานศพให้แม่ด้วยซ้ำไป เป็นความรู้สึกลึกๆ และภาคภูมิใจ กับสิ่งที่ตัวเองได้ทำไป หลังจากวันนั้น ก็รู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นเรื่อยๆ

    หลังจากที่ดิฉันศึกษาโหราศาสตร์ไทย ดิฉันก็เริ่มศึกษาในศาสตร์อื่นๆ ว่า จะอ่านเหมือนกันมั๊ย และแตกต่างกันอย่างไร ( ชอบเป็นคนตั้งคำถามจัง แล้วใครจะตอบเราล่ะ ถ้าไม่หาคำตอบเองเนี่ย ) ดิฉันก็หันไปศึกษาเรื่องของลายมือ โหวงเฮ้ง โหราศาสตร์จีน ไพ่ยิปซี แหม แต่อันอื่นน่ะ ดูยากจัง แต่สิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้ก็ชื่อ ในแต่ละศาสตร์ ก็จะมีความหมายใกล้เคียงกัน เพราะอจ.แต่ละท่าน ก็จะต้องอ่านดวงของเราทุกคน ซึ่งก็จะมีความหมายใกล้เคียงกัน ดวงดิฉันน่ะ มี พฤหัส ตัวเดียว ซึ่งเป็นเกษตร มีอจ.ท่านใดให้คำตอบได้ ก็ช่วยกันวิเคราะห์ได้น่ะค่ะ ไม่ว่ากันค่ะ โหราศาสตร์ พฤหัสดี พอเป็นลายมือ เนินพฤหัสก็ดี ซึ่งก็มีความหมายที่ใกล้เคียงกัน ค่ะ

    เมื่อเรารู้มากขึ้น ก็ทำให้เรารู้จักให้อภัยมากขึ้น ให้โอกาสมากขึ้น ปลงมากขึ้น ทำใจและมองโลกได้ดีขึ้น แต่ดิฉันก็ยังเป็นมนุษย์น่ะค่ะ ก็ยังมีผิดบ้างเป็นธรรมดาค่ะ มีอยู่ปีหนึ่ง ดิฉันได้เรียนไพ่ยิปซี และดูว่า ปีนั้นจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น แม้กำลังว่า ดวงดาวจะหมดกำลังอยู่แล้ว คิดว่า บุญที่ทำไปอาจทำให้แคล้วคลาดได้ แต่ที่ไหนได้ค่ะ มีลางสังหรณ์ค่ะ ในเวลาอันสั้น ปกติดิฉันจะเป็นคนแขวนโทรศัพท์ ไว้ที่คอค่ะ วันนั้นน่ะ ไปหาเพื่อน และกำลังจะกลับบ้าน ตอนนั้นน่ะ 5 ทุ่มเห็นจะได้ ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร เอาโทรศัพท์ออกจากคอ และใส่ลงไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์ เอาเงินออกจากกระเป๋วมาใส่ในกางเกง ยังสงสัยว่า ทำไปทำไมเนี่ย หลังจากนั้นสัก 10 นาที ก็มีคนมากระชากกระเป๋า ดิฉันก็แย่งคืนค่ะ รู้มั๊ยค่ะ เขาน่ะชกดิฉัน เข้าตรงเบ้าตาอย่างแรก แล้วเขาก็วิ่งหนีไปค่ะ รู้มั๊ยค่ะ ตรงนั้นน่ะ มีฌรงพยาบาล ห่างไปไม่ถึง 500 เมตร สิ่งแรกที่ดิฉันถามหมอเลยค่ะ ว่า หมอขาหนูจะตาบอกมั๊ยค่ะ เพราะตอนนั้นรู้ตัวเองเลยว่า ตาน่ะมองไม่เห็นไปข้างหนึ่ง หมอน่ะ ต้องเย็บที่คิ้วดิฉันไป 7 เข็มเลยค่ะ หลังจากที่ทำแผลเสร็จ ดิฉันก็กลับถึงบ้านประมาณตี 3 ค่ะ ในสภาพสะบักสะบอมเลยค่ะ ถึงบ้านเนี่ย อาเจียนออกมาหมดเลย เชื่อมั๊ยค่ะ ดิฉันน่ะต้องรักษาดวงตาถึงครึ่งเลยค่ะ เพราะดูเหมือนว่า ตัวหนังสือจะซ้อนกัน ดิฉันต้องใส่แว่นตาดำตลอด ใครเขานึกว่าโดนสามีซ้อมมาแน่ๆเลย ดูซิค่ะว่าดูดวงตัวเอง และลางสังหรณ์แม่นแค่ไหน แต่หลังจากเหตุการณ์นั้น ก็ทำให้ดิฉันได้มีบ้านของตนเองเลยค่ะ

    ดิฉันเคยตั้งใจเลยน่ะค่ะ ว่า อยากมีบ้านของตัวเองให้ได้ ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นคนมีรายได้แน่นอน แตเรารู้ตัวเองว่า เราน่ะ โชคดี มักจะได้ลาภจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีอยู่คืนหนึ่ง ฝันเห็นผู้หญิงนุ่งชุดไทยมาหา เหมือนบอกว่าให้ไปดูบ้าน หลังนี้อีกครั้ง ซึ่งครั้งแรกดิฉันไปดูมาแล้วก็เฉยๆ พอดีเป็นบ้าน bank ที่จะประมูลค่ะ ดิฉันเคยไปดูโครงการนี้สมัยที่ขึ้นใหม่ๆ ไอ้เราน่ะคงไม่มีปัญญาซื้อหรอกค่ะ แต่เป็นชอบไปดูน่ะ แต่หลังจากที่ฝัน ก็เลยตัดสินใจไปดูอีกครั้งหนึ่ง วันที่เขาไปมีความรู้สึกว่า ต้องมีอะไรตายในบ้าน ปรากฎว่า มีแมวตายใน บ้านข้างบน 1 ตัว ข้างล่าง 1 ตัว และมีความรู้สึกว่าบ้านนี่น่ะ เขาอยากให้เรามาอยู่ ดิฉันน่ะไม่มีเงินเลยน่ะค่ะ ขอบอก แหม คิดสูงเชียวทั้งๆที่ไม่มีเงิน เชื่อมั๊ย ค่ะ เป็นเรื่องบังเอิญ ที่อยู่ๆ bank มาให้บัตรเครดิต ทั้งๆที่เคยปฎิเสธมา ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ดิฉันสามารถ นำเงินเข้าไปประมูลได้เหมือนกัน เชื่อมั๊ยค่ะ ว่าเป็นหมุ่บ้านที่ดี ไม่น่าเชื่อว่า ไม่มีคนเข้าประมูลแข่งขันด้วย ดิฉันยังเชื่อว่าบ้านนี้ต้องเป็นของดิฉัน แน่นอน ดิฉันน่ะเข้าประมุลบ้าน ในขณะที่ต้องสวมแว่นตาดำตลอดน่ะค่ะ

    เรื่องราวต่างๆที่ดิฉันได้เล่าให้ฟัง เป็นเหตุการณืที่เกิดขึ้นกับตัวเองจริง ดิฉันเคยถามถึงตัวดิฉัน กับพ่อดิฉันว่า ทำไท เขาก็บอกว่า เราน่ะ มีวาสนา แค่เขาให้เรากำเนิดเท่านั้น ดวงอยู่กับพี่น้องก็ไม่ได้ ดิฉันไม่ได้โกรธพ่อของดิฉันหรอกน่ะค่ะ เพราะถ้าดิฉันไม่มี พ่อ ก็คงไม่มีดิฉันในวันนี้ อย่างไรก็ตาม ดิฉันก็ยังคิดจะตอบแทนและรำลึกบุญคุณของท่านเสมอ

    จากเหตุการณ์หลายๆอย่าง ทำให้ดิฉัน ตั้งใจดูหมอ ฟรี เป็นวิทยาทาน ทุกๆวันพฤหัส ตลอดชีวิต บุญกุศล ต่างๆดิฉัน ก็ขอยกให้แก่ครูบาอาจารย์ เจ้ากรรมนายเวร ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย สรรพสัตว์ทั้งหลาย
    ดิฉันน่ะ มีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่เล่า แต่กลัวทุกท่านจะเบื่อค่ะ

    เคยมีคนบอกดิฉันว่า ดิฉันเกิดมา ชาตินี้ เพื่อเป็นผู้ให้ ดิฉัน่ะยังเคยบอกท่านเลยว่า บางครั้งน่ะ รู้สึกเหนื่อย หน้าที่ของคำว่า " แม่ " น่ะ ใกล้หมดลงแล้ว ดิฉันน่ะ อยากนอน และหลับไปเลย ไม่อยากตื่น แล้ว ขอหลับยาวๆไปเลย แต่ มีคนบอกว่า หน้าที่ ของการให้ น่ะ ยังไม่หมด ยังต้อง ทำเช่นนี้อีกต่อไป ( ฟังดูเหนื่อยจังเลยค่ะ ) อ้อ ลืม บอกไปค่ะ ดิฉันน่ะ กับสามีน่ะ เลิกกันไปหลายปีแล้ว เขาน่ะ ก็ยังมีกิ๊ก เด็กๆ อายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกชาย แต่ตอเขาเจออุบัติเหตุ เกือบตาย ก็ไม่พ้นเราอีก ต้องไปดูแล แถมยังต้องให้เขามาอยู่ที่บ้านอีก ( เฮ้อ ! เราน่ะดีไปหรือปล่าวน่ะ ) ไม่ใช่อะไรค่ะ เคยมีคนทักน่ะ ว่า เขาจะอยู่อีกไม่นาน เลยทำให้ดิฉันต้องปลง ในเมื่อ เขาเคยดูแลเรา จะผิดอะไรล่ะ ที่เรา จะดูแลเขาบ้าง แต่แค่ฐานะเพื่อนน่ะค่ะ

    ดิฉันน่ะ ยังเคยแอบไปดูหมอที่อื่นน่ะค่ะ เขายังบอกว่า เขาน่ะ อยากให้ดิฉันเป็นโสดไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้ ถ้ามีเวลาก็จะไปวัด ทุกอาทิตย์ เนี่ยยังคิดจะไปทำบุญกับเวปพลังจิตที่วัดท่าซุง เลย ยังไง ดิฉันจะไปทักทายทีมงาน ที่นั่นน่ะค่ะ มีอะไรที่ดิฉันช่วยได้ ดิฉันน่ะ ยินดีเสมอน่ะค่ะ

    หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เรื่องจริงต่างๆที่ ดิฉันเล่าให้ฟัง คงทำให้ทุกท่านได้แง่คิดบ้าง ไม่มากก็น้อยน่ะค่ะ

    จงภูมิใจที่เกิดเป็นคนไทย ดิฉันเองได้ตั้ง ปณิธานเลยค่ะ ว่า บั้นปลายของชีวิต จะทำประโยชน์ ให้กับผู้อื่น เท่าที่ทำได้ ขอเป็นส่วนเล็กๆ และตั้งใจเดินตามแนวทางของพ่อหลวง ของเรา ด้วยหัวใจที่มุ่งมั่น

    และจงศรัทธาในความดี อย่าท้อแท้ ในความดีที่ท่านทำ ถึงแม้จะตอบแทน กลับมาช้าก็ตาม หากดิฉัน จะสามารถ ช่วยท่านได้บ้าง ดิฉันยินดีเสมอน่ะค่ะ
    ขอขอบคุณอีกครั้ง สำหรับท่านที่พยามยาม อ่านเรื่องราวของดิฉันจนจบ

    คำอวยพรใดก็ตาม ที่ทุกท่านให้ดิฉันมาในกระทู้ ดิฉันก็ขอให้คำอวยพร กลับไปสู่ท่านและครอบครัวเช่นกันค่ะ
     
  7. Jazz99

    Jazz99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +225
    ขอสลับกับคำว่ากายกระทบ ใจไม่กระเทือนเป็นกายไม่กระทบแต่กระเทือนไปทั้งใจจะดีกว่ามั๊ย อ่านแล้วเศร้าจัง สู้ สู้ น๊ะเป็นกำลังใจให้คุณ ปณมฑ์ สู้สู้ ชีวิตยังอีกยาวไกลอย่าเพิ่งยอมแพ้
     
  8. ปมณฑ์

    ปมณฑ์ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    เชื่อว่า ทุกคนเคยแพ้
    เชื่อว่า ทุกคนเคยล้มเหลว
    แต่คนแพ้ ไม่ใช่ คนที่ล้มเหลว
    คนที่ล้มเหลว คือ คนที่ล้มเลิก ต่างหาก
    จงมองไปข้างหน้า เพื่อก่อ ความหวัง
    จงมองไปข้างหลัง เพื่อแก้ ความผิด
    ถ้าไม่มีความหวัง ก็เหมือน คนสิ้นคิด
    ถ้าไม่มีความผิด ก็เหมือน ไม่ใช่คน


    คำว่า " เพื่อน " มีความหมายมากมายนัก
    แปลว่า รัก ภักดีมีใจให้
    แปลว่า คอย ห่วงหาและอาลัย
    แปลว่า มี น้ำใจให้แก่กัน

    ยินดีเสมอ ที่จะเป็นผู้ให้ ค่ะ และยินดี ที่จะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ และขอให้กำลังใจ กับทุกๆท่าน เช่นกัน น่ะค่ะ

    ดูหมอ ฟรี เป็นวิทยาทาน ทุกวัน พฤหัส น่ะค่ะ ถามได้จนคุณพอใจ แค่ พฤหัส ละ 5 คน เท่านั้นน่ะค่ะ

    และยินดี บริจาค เลือด กรุ๊ป AB ตลอดเวลาค่ะ แต่ดิฉันต้องให้ได้ ในเวลานั้นด้วยน่ะค่ะ อย่างตอนนี้ ดิฉัน เพิ่งบริจาค ไปได้ ประมาณ 2 เดือนเองน่ะค่ะ

    08-3189-5150 , 08-6908-0849 ค่ะ

    email pamonbkk@hotmail.com

    เมื่อมีโอกาส ดิฉันจะสอนไพ่ยิปซี และโหราศาสตร์ เป็นวิทยาทาน เช่นกันค่ะ และจะแจ้งให้ทราบ อีกครั้ง

    และขอขอบคุณ อีกครั้งสำหรับคำอวยพรน่ะค่ะ ขอให้คำอวยพรเหล่านั้น กลับไปสู่ทุกคน และครอบครัว เช่นกันค่ะ
     
  9. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงาม....ขอให้คุณมีความสุขมากๆนะจ้ะ จริงๆเมื่อมีความทุกโหมกระหน่ำเขามา มันก็ต้องท้อเป็นธรรมดา แต่ชีวิตก็ต้องสู้ต่อไป ชีวิตเป็นสิ่งที่มีค่ามาก จำได้ว่าตอนที่โตฝื้นจากความตายหลังจากที่ถูกรถ10ล้อทับ ถึงได้รู้ว่ามีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังไม่ได้ทำ และได้รู้ว่าชีวิตและลมหายใจมีค่ามากจริงๆ....ขอบคุณฟ้าที่ยังประทานลมหายใจให้เราอยู่เพื่อทำสิ่งดีๆอีกมากมายที่ยังไม่ได้ทำ....สาธุ
     
  10. thank you

    thank you เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +1,747
    บอกได้ประโยคเดียวว่า "คุณเป็นคนเก่งที่ใจบุญ" คะ
     
  11. วังพญา

    วังพญา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +373
    ขอขอบคุณ ที่ได้นำเรื่องราวประสบการณ์ชีวิต ที่แฝงไปด้วยข้อคิดดีดี ให้ได้อ่านกัน

    ได้อ่านเรื่องราวของคุณแล้ว รู้ว่าเรื่องที่ตัวเองเจอ กลายเป็นเรื่องขี้ประติ๋วไปเลยค่ะ

    ขอเป็นกำลังใจให้สู้ต่อไปค่ะ
     
  12. userx

    userx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2007
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +1,061
    เดี๋ยวส่งเรื่องนี้ไปให้เจ๊แดงที่ช่อง7 ทำเป็นละครหลังข่าว ให้นุ่น วรนุช เล่นเป็นนางเอก ให้ ปาน ธนพร หรือมาช่าทำเพลงประกอบละคร คาดว่าคุณ จขกท.จะได้ลาภก้อนใหญ่เร็วๆนี้ สาธุ.
     
  13. ปมณฑ์

    ปมณฑ์ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ดิฉันคิดว่า ยังมีเรื่องราวอีกมากมาย ในโลกใบนี้ ที่รันทด มากกว่าเรื่องราวของดิฉัน เพียงแต่ เขาเหล่านั้น ไม่ได้มาเล่าให้ผู้อื่นฟังก็เท่านั้น
    หลังจากที่ดิฉัน ได้มาศึกษาด้านโหราศาสตร์ ทำให้ได้ทราบปัญหาของแต่ละชีวิตมากขึ้น เรื่องของโหราศาสตร์ ถ้าเราทายทักเรื่องของเขา ได้ถูกต้องบ้าง เขาเองก็จะเล่า ปัญหาบางส่วน ของเขาให้ดิฉันฟัง บางคนดูภายนอก เขาออกจะร่ำรวย แต่เรื่องราวจริงๆ เขาเหล่านั้น มีชีวิต ย่ำแย กว่าเรา หลายเท่า
    เมื่อ 2-3 ปี ที่แล้ว ดิฉันได้มีโอกาส เข้าไปทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับองค์กรหนึ่ง ซึ่งมีแต่คนร่ำรวย แต่ดิฉัน จะมองว่า ดิฉันเป็นคนธรรมดา คนหนึ่ง วันหนึ่ง ถ้าดิฉัน ต้องไปเป็นแม่ค้า แล้วเขาเหล่านั้น เห็นดิฉัน เขาจะทักทาย ดิฉัน หรือไม่ ดิฉัน ก็ไม่สนใจ ดิฉันหากินสุจริต ขณะนั้น ตำแหน่งที่ดิฉันได้รับ บางคน ต้องเรียก ดิฉันว่า " ท่าน " ในบางโอกาส ( อายมากเลย เพราะ เราคิดว่า เราเป็นคนธรรมดามากๆเลย )
    ดิฉํนเข้าไปทำงาน ตำแหน่งนั้น หนึ่งปี และได้ช่วยเหลือ และทำงานในหน้าที่ดีที่สุด เท่าที่ คนธรรมดา คนหนึ่ง จะสามารถสร้างได้ ในชีวิตดิฉันคิดจะสร้างพระประธานสัก หนึ่งองค์ เพราะ เคยอ่าน ว่า เป็นการทำบุญ ที่ทำให้ลูก ที่ตายไป ได้ไปเกิด ในภพที่ดี ดิฉันก็ได้ร่วมรวบเงิน และ ทำกิจกรรมนั้น จนสำเร็จ ดิฉันสามารถ รวบรวมเงิน จากหลายๆ คน จนดิฉัน ได้สร้างพระประธาน 59 นิ้ว จนสำเร็จ และดิฉัน ยังได้รวบรวม คนในองค์กร ไปร่วม สร้างงาน สร้างอาชีพ ให้แก่ชาวบ้าน ในวันนั้นด้วย
    หนึ่งปี ตรงนั้น ทำให้เรียนรู้ คนมากมายหลายอาชีพ มากขึ้น ดิฉันไม่เคยอายที่ดิฉันมีความรู้น้อย ดิฉันเป็นคนพูดตรงๆ ทั้งๆที่รู้ว่า บางครั้ง การพูดตรงไป ก็ไม่ได้ แต่ก็ช่างเถอะ ดิฉันก็พูด ในเรื่องของดิฉัน ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน 4-5 เดือน ก่อนที่ดิฉัน จะลาออกจากองค์กรนั้น ( ตอนที่เข้าไปรับตำแหน่งนั้นน่ะ ไม่ได้ตั้งใจหรอกค่ะ ส้มหล่นน่ะ เพราะไม่มีใครเป็นน่ะ มีแต่คนบอกว่า ต้องใช้เงินเยอะ ถ้ารับตำแหน่งน่ะ ) ดิฉันมีโอกาส เข้าไปหา อจ. ท่านหนึ่ง ที่สอนวิชา 7ตัว 9 ฐาน ท่านพูด คำเดียว ว่า ดิฉันเป็น คนซื่อสัตย์ น่ะ แต่ปีนี้ให้ระวังคนใส่ร้าย น่ะ แค่คนใส่ร้าย น่ะ ดิฉันน่ะ เจอมากหนักกว่านี้อีก
    แล้วเรื่องใส่ร้าย ก็เกิดจริงๆ คนที่ เขามารับต่อจากดิฉัน เขาเป็นสถาปนิก จบมาจาก มหาวิทยาลัย ดังๆ มาค่ะ ดิฉัน รู้จักเขาโดยบังเอิญ เนื่องจากเขาเกิดปัญหาขึ้นในครอบครัว ดิฉันก็ได้ดูดวง เขาและให้เขาเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมตนเอง แต่เชื่อมั๊ย ค่ะ เขาบอกแล้ว ว่า คนที่จิตใจ ไม่ดี ต่อให้เราช่วยเขาอย่างไรก็ตาม ก็ไม่สามารถ เปลี่ยนแปลงใจเขาได้ เขาเข้ามาในองค์กรนี้ เพื่อหวังผลประโยชน์ หน้าตาขี้เหร่ แต่ปากหวาน สามารถ ไปหลอกลวงข้าราชการสาวคนหนึ่ง ได้เงินมาเพื่อ ไปออกรถ เชอรากี ได้ และยังไป หลอกลวง ผู้หญิงอีกหลายคน ในองค์กร และยังเอาดิฉันไปใส่ร้าย อีก
    วันที่ดิฉันจะพ้นตำแหน่ง ดิฉันตัดสินใจที่จะพูดทุกเรื่องในวันนั้น ถึงแม้ว่า เขาคนนั้น จะใส่ร้ายดิฉัน ถึงขั้นเขาคิดว่า ดิฉันจะได้รับความอับอาย ต่อหน้าผู้คนมากมาย และดิฉันก็ได้พูดในที่ประชุมว่า หลังจากที่ดิฉันพูดจบ ดิฉันก็ขอลาออกจากองค์กร นี้ และไม่ขอยุ่งเกียวอีก เพระดิฉันถีอว่า คุณมิได้มองคนที่ " จิตใจ " แต่กลับมองกันแค่ "วัตถุภายนอก" เขาผู้นั้นน่ะ นึกว่า เขาจะต้องเป็นผู้ชนะ เขายังพาคนอื่นๆมาอีก เพื่อให้รู้ว่าดิฉันจะต้องพ่ายแพ้ ก่อนที่จะเข้าประชุม 3-4 วัน เป็นเหตุบังเอิญมากที่ภรรยาเก่าของเขาโทรมาหาดิฉัน ดิฉันจึงนำเรื่องราวของเขาให้ภรรยาเก่า เขาฟัง ตอนแรกภรรยาเขา เคยต่อว่าดิฉัน ว่า ไปให้ท่าสามีเขา แต่วันที่โทรหาดิฉัน เธอกลับโทรมาขอโทษดิฉัน หลังจากฟังจบ ดิฉันก็บอกเธอว่า วันที่ดิฉันเข้าไปชี้แจงในห้องประชุม ดิฉันจะโทรหาเธอ เพื่อให้เธอพูดว่า ผู้ชายคนนี้ แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร ในสังคมและในองค์กร เช่นนี้ เขาจะยึดถือ หน้าตาและความร่ำรวยเป็นสำคัญ
    ตลอดระยะเวลาที่ประชุม ในห้องประชุมมองเรื่องราวต่างๆว่า เป็นเรื่องชู้สาว เขากล่าวหาดิฉันว่า หึงหวงเขา ( เฮ้อ ผู้ชายชอบหลงตัวเองจังเนอะ ) รู้ๆอยู่แล้วว่า ขนาดคุยกับผู้หญิงของสามี ยังเฉยๆเลย แล้วเขาเป็นใคร ดิฉันฟังเรื่องราวที่เขากล่าวหา ดิฉัน ดิฉันก็ได้แต่นั่งยิ้มในใจ และบอกตัวเองว่า มนุษย์หนอมนุษย์ ในครั้งแรก ทั้งประธานและหลายคน ก็สรุปว่า ดิฉันเป็นคนไม่ดี จนดิฉัน บอกว่า ดิฉันขออนุญาต ที่จะโทรศัพท์หาใครคนหนึ่ง และให้ทุกคนได้รับฟังก่อน ( วันนั้นต้องลงทุนไปยืมโทรศัพท์เพื่อนที่ เปิด speaker phone ได้ค่ะ ) ทางที่ประชุมก็ตกลง หลังจากที่ดิฉันโทรหาภรรยาเขา เธอก็แนะนำตัวเอง ว่าเป็นใคร เป็นลูกของคนมีชื่อเสียงพอสมควร ทุกคนถึงยอมฟังค่ะ ดิฉันก็ปล่อยให้เธอพูด เรื่องกลายเป็น ผู้ชายคนั้นต้องทะเลาะกับภรรยาตัวเองทางโทรศัพท์ จนถึงเรื่องหนึ่งที่ดิฉัน ต้องเดินออกจากห้อง เพราะ คำพูดของผู้ชายคนนั้น ไม่คิดเลยว่า คนๆนี้จะพูดได้ขนาดนี้ เรื่องคือว่า ภรรยาของเขาเล่าให้ทุกคน ฟังว่า ผู้ชายคนนี้ แบล็คเมล์ เธอ เพื่อหวังเงิน แถมเขายังพูดว่า ถ้าไม่เชื่อ ก็ไปหาหมอสูตินารีเวช เช็คดูซิว่า ใช่หรือปล่าว คำๆนี้ ทำให้ดิฉันต้องเดินออกจากห้อง ไม่นึกเลยว่า จะมีคนแบบนี้ ในโลกนี้ด้วย
    หลังจากทุกคนในห้องฟังจบ ก็เงียบไปหมด คงอึ้งในคำพูดน่ะค่ะ ดิฉัน ก็ยังยิ้มในใจว่า นั่นล่ะ คือสิ่งที่เป็น หลังจากเลิกประชุม ก็มีคนโทรหาดิฉันหลายสาย โทรมาหาดิฉันเพื่อขอโทษบ้าง และผู้หธิงคนที่เขาพาไปด้วย ก็โทรหาดิฉัน และเธอก็ถามเรื่องภรรยาของเขา เขาก็ยอมรับว่า ทำจริง เธอคนนั้น พูดกับดิฉันว่า ก็เขาเป็น สถาปนิก และมีรถ เชอรากี ขับ แต่ดิฉัน น่ะ บางทีก็ยังนั่งรถเมล์ไปประชุม ในโรงแรมหรูๆ ผิดตรงไหนล่ะค่ะ ก็ดิฉัน ภูมิใจ ในสิ่งที่ดิฉันเป็น นี่ค่ะ

    แง่คิดที่ดิฉัน เล่าให้ฟังนี่ ก็อยากจะบอกว่า
    " อย่ามองคนที่เปลือกนอก " และให้เรา ใช้ความนิ่ง และ
    ความสงบ ดิฉัน เชื่อว่า เมื่อเรา มีสติ เราก็จะสามารถ แก้ไข ปัญหาต่างๆ ไปได้ด้วยดีค่ะ
    อย่ายึดติด จงอยู่ในสายกลาง ตามหลักของพระพุทธศาสนา เมื่อนั้นแหละ ทุกคนจะมีความสุขมากขึ้น อย่างน้อย ก็ทำให้จิตใจสบาย
    ปัญหาและอุปสรรค อีกมากมาย ที่เราจะต้องแก้ไข น่ะค่ะ
    ขอบคุณ อีกครั้ง ค่ะ และ ขออภัย มา ณ โอกาส นี้ด้วย หากดิฉันใช้วาจา คำใด ไม่เหมาะสม ในกระทู้ ขอบคุณค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 พฤศจิกายน 2007
  14. benyapa

    benyapa ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,088
    ค่าพลัง:
    +5,431
    ขอเป็นกำลังใจให้ด้วยคนนะคะ

    บุญรักษาค่ะ
    เบญญาภา
     
  15. peaceful

    peaceful เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +175
    ขออนุโมทนาบุญกับพี่ด้วยค่ะ ชอบฟังเรื่องที่พี่เล่ามากเลย อยากให้เล่าอีก พอจะเป็นไปได้มั้ยคะ อ่านแล้วมีกำลังใจขึ้นมากค่ะ ขอให้ชีวิตของพีมีแต่ดีขึ้นๆและพบอิสรภาพทางปัญญาและทางการเงินโดยเร็วค่ะ
     
  16. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    เป็นคนสู้ชีวิตมากเลยนะครับ ผมขออนุโมทนาบุญด้วยครับ เวลาพี่ทำบุญลองอธิษฐานจิตขอให้ชีวิตได้พบเจอแต่สิ่งที่ดีๆ ไม่มีอุปสรรคใดๆ มีชีวิตที่ราบรื่นเรียบง่าย บ่อยๆดูสิครับ ^ ^
     
  17. BirdSoul

    BirdSoul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2007
    โพสต์:
    4,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +12,020
    ขอบคุณค่ะสำหรับเรื่องราวชีวิตของพี่ทีได้นำมาเล่า
    อ่านเพลินเลยค่ะ พี่เป็นคนที่สู้ชีวิตจริงๆ ขนาดผ่านเรื่อง
    ราวร้ายๆมามากมาย ก็ยังมีจิตใจที่เข้มแข็ง และยังยึดมั่น
    ในความดีมาตลอด โมทนาสาธุกับกุศลที่พี่ได้ทำ และขอ
    ให้ชีวิตได้เจอแต่สิ่งดีๆนะคะ
     
  18. Forest_Sa

    Forest_Sa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    723
    ค่าพลัง:
    +1,444
    นี่ล่ะคับ คนเราแต่ละคนย่อมประสบพบเจออะไรที่เป็นสุขหรือทุกข์ในระดับที่แตกต่างกัน 100 คน ก็ 100 รูปแบบ เป็นไปตามกรรมของผู้นั้นเอง

    ฟังดูแล้วเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆฮะ แต่มันเป็นเรื่องจริง
    ถึงแม้พี่จะเจอเรื่องราวที่ไม่สู้ดี(เอามากๆ) แต่พี่ก็ยังผ่านมาได้ ยอดมากเลย
    เรื่องที่พี่ไปประสบมากับตัวเองนั้นให้ข้อคิดกับพี่และคนที่มาอ่านได้เยอะเลย
    ขอเป็นอีกหนึ่งแรงใจให้ครับ สู้ๆๆๆ
     
  19. Rattanaporn

    Rattanaporn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +13,348
    ชีวิตของมนุษย์เรานั้น...เป็นทุกข์ที่สุด...ไม่เคยมีใครที่มีความสุขที่แท้จริงเลย...แม้แต่คนที่ร่ำรวยก็ตามที.....หาความสุขที่เที่ยงแท้ไม่ได้เลยสักนาทีเดียว....ยึดหลักคำสอนขององค์พระฯ...ท่านค่ะว่า..."อนิจจัง...ทุกขัง...อนัตตา"......มนุษย์ทุกผู้ทุกนามมีความทุกข์อันแตกต่างกันไป....

    หลวงพ่อปานกล่าวว่า..."ให้ดีใจที่ได้ใช้หนี้เค้าไปในชาตินี้"....จบสิ้นกันเสียที

    แม้ความเกิดก็เป็นทุกข์...แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์...แม้ความตายก็เป็นทุกข์
    "เราทั้งหลายชื่อว่าเป็นผู้มีความทุกข์ครอบงำแล้ว มีความทุกข์นำหน้าแล้ว"

    คุณเก่งจังค่ะ...ที่ใช้สติประคับประคองชีวิตมาได้จนถึงทุกวันนี้...บางทีนะคะ...บางคนอาจจะสติแตกไปแล้วก็ได้ค่ะ...หรือไม่ก็ถึงขนาดเลือดตกยางออกกันไปข้างหนึ่งแล้ว...นับว่าคุณเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์คนหนึ่งค่ะ....(หรืออาจจะมีกุศลกรรมดีบางอย่างที่คุณเคยทำมาช่วยไว้ก็ได้ค่ะ...และอกุศลกรรมที่เราทำไว้ในอดีตจึงไม่สามารถทำร้ายเราได้อย่างเต็มที่...).....
     
  20. put_arch

    put_arch สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2007
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +17
    พีครับไม่ทราบว่าสร้างพระประทานนี้ต้องใช้ปัจจัยประมาณเท่าไรครับ
    ผมอยากจะชวนเพื่อนๆทีเรียนมาด้วยกันทำบุญนะครับขอข้อมูลหน่อยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...