งามวิจิตรตรึงใจ ในพุทธศิลป์ถิ่น“แม่ฮ่องสอน”

ในห้อง 'ท่องเที่ยว - อาหารการกิน' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 4 พฤศจิกายน 2009.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>งามวิจิตรตรึงใจ ในพุทธศิลป์ถิ่น“แม่ฮ่องสอน”
    Travel - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>4 พฤศจิกายน 2552 15:43 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>พระธาตุดอยกองมู สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองแม่ฮ่องสอน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> แม้“แม่ฮ่องสอน”จะถูกภาคการปกครองและภาคการท่องเที่ยวกำหนดให้เป็น 1 ในกลุ่ม จังหวัดล้านนา แต่ถ้าหากมาพิจารณาถึงอัตลักษณ์ของเมืองนี้จะพบว่า เมืองสามหมอกแม่ฮ่องสอนมีความแตกต่างจากเมืองล้านนาอื่นๆตรงวิถีแห่งความเป็น“ไทยใหญ่”หรือ“ไต”อันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ สมดังจังหวัดที่มีผู้คน(เชื้อสาย)ไทยใหญ่อาศัยอยู่มากที่สุดในเมืองไทย

    นั่นจึงทำให้แม่ฮ่องสอนอวลไปด้วยมนต์เสน่ห์แห่งไทยใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมิตรจิตใจอันดีงาม วิถีที่ยังแนบแน่นในพระพุทธศาสนา วัฒนธรรมประเพณีอันมีรูปแบบเฉพาะตัว อาหารการกิน รวมไปถึงงานศิลปกรรม สถาปัตยกรรม ที่ปรากฏในงานพุทธศิลป์ต่างๆมากมาย

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ทะเลหมอกยามเช้า ในมุมมองบนพระธาตุดอยกองมู </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ด้วยเหตุนี้เมื่อ“ตะลอนเที่ยว”ได้มีโอกาสขึ้นแอ่วแม่ฮ่องสอนครั้งล่าสุดเมื่อลมหนาวมาเยือน เราจึงถือโอกาสตระเวนเข้าวัดวาในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ไปไหว้พระ ทำบุญ พร้อมไม่ลืมที่จะชื่นชมงานพุทธศิลป์แบบไทยใหญ่อันเป็นเอกอุของเมืองสามหมอกแห่งนี้

    สำหรับวัดแรกที่ไป คือ“วัดพระธาตุดอยกองมู”ที่ตั้งเด่นตระหง่านง้ำบนดอยกองมู(กองมูแปลว่าพระธาตุหรือเจดีย์) วัดแห่งนี้เดิมชื่อวัดปลายดอย มีงานพุทธศิลป์โดยรวมเป็นแบบไทยใหญ่ เป็นสถานที่ประดิษฐาน“พระธาตุดอยกองมู”พระธาตุศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ที่ว่ากันว่าใครไปแอ่วเมืองสามหมอกแล้วไม่ได้ขึ้นไปไหว้พระธาตุดอยกองมูถือว่ายังไปไม่ถึง

    พระธาตุดอยกองมู เป็นพระธาตุคู่สีขาวเด่นเคร่งขรึมขลัง พระธาตุองค์ใหญ่(องค์แรก)สร้างในปี พ.ศ.2403 โดยจองต่องสู่ ใช้เป็นที่บรรจุพระธาตุของพระโมคคัลลานะเถระที่นำมาจากพม่า พระธาตุองค์เล็ก(องค์หลัง)สร้างในปี พ.ศ. 2417 โดยพระยาสิงหนาทราชา เจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนคนแรก ตรงมุมทั้งสี่ของฐานพระธาตุประดับด้วยประติมากรรมรูปสิงห์ปูนปั้น ส่วนที่ฐานประดิษฐานพระพุทธรูปประจำวันเกิดในต่างๆ แต่ละวันจะมีคนขึ้นมาไหว้องค์พระธาตุและพระพุทธรูปประจำวันเกิดไม่ได้ขาด

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>วัดก้ำก่อ </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> นอกจากความเป็นวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองแล้ว บนวัดพระธาตุดอยกองมูยังเป็นจุดชมวิวชั้นดี ที่เมื่อมองลงไปจะเห็นตัวเมืองแม่ฮ่องสอนตั้งอยู่อย่างสงบงามท่ามกลางขุนเขาที่โอบล้อม ฝั่งหนึ่งมองเห็นหนองจองคำ-วัดจองคำ-วัดจองกลาง อีกฝั่งหนึ่งมองเห็นสนามบินที่หากใครไปถูกจังหวะเวลาก็เห็นเครื่องบิน บินขึ้น-ลง เป็นของแถมชั้นเลิศ

    ส่วนช่วงหน้าหนาวถ้าใครขึ้นวัดนี้ตั้งแต่เช้าตรู่ มีโอกาสกว่า 80 % ที่จะเห็นทะเลหมอกอันสวยงามลอยอ้อยอิ่งปกคลุมตัวเมืองและขุนเขาที่เห็นยอดแพลมอยู่ไกลๆ ดูประหนึ่งราวกับว่าวัดพระธาตุกองมูตั้งอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้าที่มีเมฆลอยพลิ้วลิ่วละเรี่ย สมดังคำขึ้นต้นคำขวัญจังหวัดว่า“กองมูสูงเสียดฟ้า”อันลือลั่น

    ลงจากพระธาตุดอยกองมู “ตะลอนเที่ยว”แวะบริเวณเชิงดอย(ทางขึ้นพระธาตุ) เพื่อไหว้พระติดกัน 3 วัดรวดที่อยู่ในละแวกเดียวกัน

    วัดแรกคือ “วัดก้ำก่อ” (ก้ำก่อภาษาไทยใหญ่แปลว่า "ดอกบุนนาค")หนึ่งในวัดเก่าแก่คู่เมืองสามหมอก สร้างเมื่อ พ.ศ. 2433 ด้านหน้าวัดโดดเด่นด้วยสิงห์คู่ศิลปะไทยใหญ่ 2 ตัวยืนขนาบซ้ายขวา ถัดไปฟากถนนเป็นเจดีย์สมส่วนขนาดย่อม ส่วนอีกฟากหนึ่งเป็นทางเดินหลังคาคลุม มีซุ้มประตูหลังคาซ้อนชั้นตกแต่งลวดลายฉลุสังกะสีอย่างวิจิตรบรรจง ทางเดินสายนี้นำเข้าสู่ศาลาอันขรึมขลัง ข้างในมีพระพุทธรูปศิลปะไทยใหญ่-พม่า อันสวยงามให้สักการะบูชา

    ด้านข้างทางเดินเป็นศาลสมเด็จพระนเรศวรฯ มีภาพแกะสลักไม้ลงสีสวยงาม เรื่องราวส่วนใหญ่เกี่ยวกับพุทธประวัติที่ทางวัดบอกว่าได้มาจากร้านขายของเก่า หางดง เชียงใหม่

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>พระนอนวัดพระนอน </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ตรงข้ามกับวัดก้ำก่อเป็น“วัดพระนอน” จุดหมายลำดับต่อไป วัดแห่งนี้ประดิษฐานพระนอนยาว 12 เมตร สร้างด้วยศิลปะไทยใหญ่ มีพุทธลักษณะงดงามมาก พระพักตร์หวาน ดูอิ่มบุญ จีวรพลิ้วดูสบายตา ตามประวัติเล่าว่าสร้างโดยพระนาง เมี๊ยะ ภริยาของพระยาสิงหนาทราชา

    ข้างๆองค์พระนอน(ฝั่งพระพักตร์)มีพระพุทธรูปศิลปะไทยใหญ่ จีวรประดับกระจกสวยงามประดิษฐานอยู่ เขยิบถัดไปอีกหน่อยเป็นพิพิธภัณฑ์ของทางวัด ข้างในมีโบราณวัตถุน่าสนใจอยู่หลากหลาย โดยเฉพาะพระพุทธรูปไทยใหญ่ พม่า และพระพุทธรูปบัวเข็มที่พบมากตามวัดในแม่ฮ่องสอน เพราะชาวไทยใหญ่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์มาก

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>เจดีย์วัดม่วยต่อ </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> จากวัดพระนอนเราไปแวะ“วัดม่วยต่อ” เพื่อไหว้พระ และชมเจดีย์ทรงเครื่องแบบมอญสีขาวเด่น บนเนินด้านหลังวัด อันเป็นจุดชวนชมสำคัญของวัด

    ออกจากวัดม่วยต่อ “ตะลอนเที่ยว”เดินทางไปยังหนองจองคำ เพื่อเที่ยวชมวัดจองกลางและวัดจองคำ 2 วัดที่อยู่ติดกันแบบไม่มีกำแพงขวางกั้น จนหลายๆคนยกให้เป็นดังวัดคู่แฝดแห่งเมืองแม่ฮ่องสอน

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>วัดจองกลางกับเจดีย์อันโดดเด่นเป็นสง่า</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> สำหรับวัดจองกลางนั้น มีจุดเด่นอันเป็นความต่างจากวัดจองคำคือ มีเจดีย์องค์ใหญ่ฐานสีขาว ยอดสีทอง อันสวยงามสมส่วนตั้งอยู่ทางส่วนหน้าของวัด เจดีย์องค์นี้ตามประวัติของวัดระบุว่า เริ่มสร้างเมื่อพ.ศ.2456 แล้วเสร็จใน พ.ศ.2458 จากศรัทธาของขุนเพียร (พ่อเลี้ยงจองนุ) พิรุญกิจและแม่จองเฮือนคหบดี โดยช่างชาวไทยใหญ่ เป็นรูปทรงจุฬามณี มีฐานเป็นสี่เหลี่ยมมีมุข 4 ด้าน มีสิงห์ด้านละ 1 ตัว ภายในเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่มานมัสการ

    นอกจากองเจดีย์อันโดดเด่นแล้ว ในวิหารวัดจองกลางยังมีพระพุทธสิหิงค์จำลองให้ผู้คนได้สักการะบูชา ส่วนด้านข้างทางวัดจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงศิลปวัตถุอันหลากหลาย ที่เด่นๆก็มี บุษบก พระไม้ ไม้แกะสลักเป็นเทวทูตทั้ง 4 (เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย) ตุ๊กตาแกะสลักต่างๆ ภาพวาดบนแผ่นกระจก และข้าวของเก่าแก่อีกหลายชิ้น

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>วัดจองกลาง-จองคำ ในมุมมองผ่านหนองจองคำ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ออกจากวัดจองกลางเดินไปอีกนิดก็จะเป็น“วัดจองคำ”ที่มีข้อมูลระบุว่าชื่อวัดมาจากการที่เสาวัดประดับไปด้วยทองคำเปลว

    วัดจองคำ สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2370 เป็นวัดแห่งแรกในเมืองแม่ฮ่องสอน มีความโดดเด่นตรงหลังคาวัดเป็นรูปปราสาทซ้อน 9 ชั้น พร้อมองค์ประกอบเป็นงานฉลุสังกะสีประดับประดาอย่างสวยงาม ตามความเชื่อที่ว่าปราสาทเป็นของสูง ผู้ประทับในปราสาทจึงควรจะเป็นพระมหากษัตริย์หรือตัวแทนพระศาสนาเท่านั้น

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>หลวงพ่อโต วัดจองคำ </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> วัดแห่งนี้มีสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ“หลวงพ่อโต”พระพุทธรูปองค์โต สร้างเมื่อ พ.ศ.2477 มีพุทธลักษณะงดงาม พระพักตร์หวานอมยิ้มเล็กน้อย ขนาดหน้าตักกว้าง 4.85 เมตร ประดิษฐานอยู่ในวิหารหลวงพ่อโต ซึ่งมีลักษณะแปลกไปจากวิหารพระทั่วไปในแม่ฮ่องสอน เพราะมีตัวอาคารเป็นศิลปะตะวันตก

    หลังไหว้หลวงพ่อโตองค์งามแล้ว เราไปต่ออารมณ์ไหว้พระงามกัน ณ วัดสุดท้ายของทริป ที่ “วัดหัวเวียง” (วัดกลางเวียง,วัดกลางเมือง) ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองใกล้ๆกับตลาดเช้า

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>งานประดับสังกะสีฉลุที่วัดจองคำ </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> วัดแห่งนี้ สร้างใน พ.ศ. 2406 เมื่อเข้าไปแล้วภาพของความงดงามในงานศิลปกรรมไทยใหญ่ก็พุ่งจับหมับเข้าดวงใจทันที ทั้งเจดีย์สีขาวยอดสีทองอันสมส่วน วิหารใหญ่หลังคาซ้อนหลายชั้น ในนั้นมีพระพุทธรูปหลายองค์ด้วยกัน มีทั้งงานฝีมือช่างพื้นบ้านและงานฝีมือช่างชั้นครูที่สร้างพระพุทธรูปได้อย่างปราณีตขรึมขลัง

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=298 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=298>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>พระเจ้าพาราละแข่ง สุดยอดพระพุทธรูปทรงเครื่องแบบพม่า</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ส่วนสิ่งที่ถือเป็นไฮไลท์ของวัดหัวเวียง ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติแวะเวียนมาเที่ยวชมก็คือ “พระเจ้าพาราละแข่ง”พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองสามหมอก ที่ประดิษฐานอยู่ในวิหารพระเจ้าพาราละแข่ง ซึ่งมีการบูรณะซ่อมแซมไปในปี พ.ศ. 2536 มีลักษณะเป็นงานศิลปกรรมรูปทรงออกแนวไทยใหญ่ประยุกต์ หลังคามุงกระเบื้องไม้ซ้อนชั้นไล่ขนาดกันขึ้นไป

    สำหรับองค์“พระเจ้าพาราละแข่ง”นั้น ปัจจุบันทางวัดสร้างประตูเหล็กกั้นรอบองค์พระอีกที ตามประวัติเล่าว่า จำลองมาจาก“พระมหามุนี” เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า โดยลุงจองโพหย่า เดินทางไปนิมนต์มา แล้วสร้างเป็นท่อนๆ รวม 9 ท่อน ล่องแม่น้ำมา ก่อนนำมาประดิษฐานที่วัดหัวเวียง

    พระเจ้าพาราละแข่ง เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องแบบพม่าที่ได้รับการยกย่องว่ามีพุทธลักษณะงดงามมากที่สุดในเมืองไทย พระวรกายเพรียวงาม พระพักตร์อิ่มเอิบ ส่วนเครื่องทรงองค์ประกอบอื่นๆช่างสมัยโบราณก็สร้างอย่างสุดวิจิตรบรรจง

    นับเป็นความงามในพลังแห่งศรัทธาปิดท้ายทริปไหว้พระในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ที่จะว่าไปบรรยากาศในตัวเมืองให้อารมณ์ทางการท่องเที่ยวค่อนข้างแตกต่างไปจากเมืองปายโดยสิ้นเชิง ยังไงๆเราก็ขอให้ชาวแม่ฮ่องสอนเก็บวิถีอันงดงามแบบนี้ให้อยู่คู่เมืองสามหมอกไปอีกตราบนานเท่านาน

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> *****************************************
    สอบถามข้อมูล เส้นทางเที่ยววัดในตัวเมืองและสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในแม่ฮ่องสอนเพิ่มเติมได้ที่ ททท.แม่ฮ่องสอน โทร. 0-5361-2982-3
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    [​IMG]
    "ฮับหุมจุมต้อน"
    ก็ยินดีต้อนรับในภาษาไทยใหญ่​


    กะเหรี่ยงคอยาว หรือที่เรียกว่า "ปาดอง"
    เดิมอาศัยอยู่ที่รัฐคะยาในเมียนม่าร์
    จากนั้นราวๆ ปี 2530 ก็เริ่มมีการอพยพย้ายเข้ามาทาง บ้านน้ำเพียงดิน
    และบางส่วนก็ย้ายขึ้นไปทางบ้านห้วยเสือเฒ่า
    ที่อพยพหนีสงครามการปราบปรามกะเหรี่ยงเข้ามาในไทย
    จนเมื่อทหารกะเหรี่ยงสูญเสียกำลังที่จะสู้กับเมียนม่าร์
    ชาวปาดองเหล่านีเลยไม่สามารถย้ายกลับเมียนม่าร์ได้อีก ​


    [​IMG]
    ( ห้วยปูแกง ) ​


    ปาดอง ทั้งในห้วยปูแกง และห้วยเสือเฒ่า
    จะมีความเป็นอยู่คล้ายๆ กัน
    อาศัยอยู่ในบ้านไม้ยกพื้นสูงหลังคามุงตองตึง
    ผู้ชายออกทำไร่และทุกวันนี้ก็ขับเรือทำท่องเที่ยวกันหมดแล้ว
    เหลือแต่ผู้หญิงปาดองให้อยู่ในหมู่บ้าน​


    [​IMG]
    ( ปาดอง กะเหรี่ยงคอยาว ) ​


    อันที่จริงๆ คำว่า "ปาดอง" เป็นคำที่กะเหรี่ยงเผ่าอื่นเรียนชนเผ่านี้
    เพราะคำว่า "ปาดอง" แปลว่า .. ผู้สวมห่วงคอ
    ส่วนชาวปาดองจะเรียกตัวเองว่า "แลเคอ"
    ชาวปาดองเชื่อกันว่า ห่วงทองเหลืองที่คอจะช่วยกันภูติผีปีศาจ
    กันวิญญาณร้าย และเสือที่จะมากัดคอผู้หญิงชาวปาดอง
    และยังมีความเชื่อว่า ชาวปาดองสืบเชื้อสายมาจากมังกรและหงส์
    เวลาใส่ห่วงทองเหลืองแล้วคอจะได้ยาวงามเหมือนคอหงส์นั่นแหละ ​


    [​IMG]


    ทุกวันนี้เด็กสาวรุ่นใหม่เริ่มต้องเข้าโรงเรียน
    เริ่มเรียนรู้สังคมสมัยใหม่ๆ
    ทำให้ไม่มีใครอยากใส่ห่วงทองเหลืองสวมคอ
    ไม่มีใครอยากเข้ามานั่งรอต้อนรับนักท่องเที่ยวในหมู่บ้านอย่างเดียว​

    [​IMG]
    วัดดอยกองมู ​


    เดิมชื่อ วัดปลายดอย ต่อมาถึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น วัดพระธาตุดอยกองมู
    ตามชื่อขององค์พระธาตุ นับว่าเป็นวัดที่สร้างขึ้นแห่งแรกของเมืองแม่ฮ่องสอนเลยก็ว่าได้ ​


    [​IMG]
    ( ตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ) จากยอดดอยกองมู ​


    จะมีบันไดสิงห์ด้านหน้าพระธาตุ
    ที่มองลงไปจะเห็นตัวเมืองแม่ฮ่องสอนได้ทั้งเมือง
    ทางซ้ายจะเป็นแนวรันเวย์ของสนามบิน ส่วนตัวเมืองจะอยู่ทางขวา
    ดู ๆ ไปเหมือนสิงห์ทั้งสองตัว นอกจากจะเฝ้าองค์พระธาตุแล้ว
    ก็ยังเฝ้าดูความเป็นไปของชาวเมืองแม่ฮ่องสอนอีกด้วย ​


    [​IMG]


    พระธาตุดอยกองมู เป็นพระเจดีย์ปูนทรงแปดเหลี่ยมศิลปะมอญ
    สร้างขึ้นตั้งแต่ ปี 2403 และยังมีพระเจดีย์องค์ย่อมลงมาหน่อยอีกองค์หนึ่ง
    ซึ่งพญาสิงหนาถราชาเจ้าผู้ครองนครองค์แรกของแม่ฮ่องสอน
    สร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระอัฐิของพระโมคัลลานะเถระ ที่อัญเชิญมาจากพม่า ​


    [​IMG]
    ( พระธาตุดอยกองมู และ สถูปพระโมคคัลลานะ ) ​


    ถ้าสังเกตุจะเห็นว่า วัดหลัก ๆ ของเมืองจะสร้างขึ้นช่วงปี 2400 เศษๆ
    นั่นก็เพราะว่า ช่วงนั้น (ร.3 - ร.4) พม่ามีการสู้รบกับชาวไทใหญ่ในรัฐฉาน
    ทำให้ชาวไทใหญ่กลุ่มหนึ่งอพยพลงมาอยู่แถบแม่ฮ่องสอน ปาย และขุนยวม
    สมัยนั้น รัฐฉาน ยังเป็นประเทศในฐานะ เมืองประเทศราชของพม่า
    มีเมืองตองยีเป็นเมืองหลวง มีเมืองเชียงตุงเป็นเมืองหลักทางตะวันออก
    เป็นประเทศของชาว "ไต" หรือ "ไทใหญ่" มีเจ้าฟ้าไทใหญ่เป็นเจ้าผู้ครองนคร​


    [​IMG]
    ( พระธาตุดอยกองมู ) ​


    จนต่อมาในปี 2417 เจ้าอินทวิชยานนท์ ผู้ครองนครเชียงใหม่
    ได้สถาปนา "พญาสิงหนาทราชา" ขึ้นเป็นเจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนคนแรก
    ซึ่งชาวเมืองก็นับถือเป็น เจ้าฟ้าไทใหญ่ เหมือนเจ้าฟ้าผู้ครองเมืองในรัฐฉาน ​


    [​IMG]


    จนเมื่ออังกฤษขยายอาณาเขตการล่าอาณานิคม
    เจ้าอินทวิชยานนท์ แห่งนครเชียงใหม่ ยอมถวายแผ่นดินเข้ารวมกับสยามประเทศ
    แต่ รัฐฉาน ในฐานะเมืองประเทศราชของพม่า ก็ต้องตกไปเป็นของอังกฤษ
    ปี 2433 อังกฤษ ก็ได้ประกาศว่า "อังกฤษได้ยึดเอาเมืองไตไว้ได้หมดแล้ว" ​


    [​IMG]


    อังกฤษจับกุมราชวงศ์พม่าไว้หมด
    แต่กลับสนับสนุนเจ้าฟ้าไทใหญ่ให้ปกครองตนเอง
    ในฐานะรัฐฉานขึ้นตรงต่อสหราชอาณาจักร
    ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศพม่า
    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษ คืนเอกราชให้ พม่า และ ฉาน
    โดยรัฐฉานจะต้องเป็นประเทศเอกราชของชาวไต
    แต่พม่ากลับยึดครองรัฐฉานเป็นส่วนหนึ่งของพม่ามาจนทุกวันนี้ ​


    [​IMG]


    ทุกวันนี้ถึงแม้จะไม่มีรัฐฉาน
    ไม่มีเขมรัฐนครเชียงตุง
    ไม่มีประเทศของไตใหญ่
    แต่ที่นี่ยังมี "ประเทศไทย"
    ของคนไทย
    "ประเทศไทย รวมเลือดเนื้อ...ชาติเชื้อไทย"
    แผ่นดินผืนสุดท้ายสำหรับคนชาติเชื้อไทย​

    ไม่มีใครจะยึดแผ่นดินไทยไปจากคนไทยได้อีก




    [​IMG]

     
  3. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,837
    งามจัง เมืองไทยเที่ยวไม่หมดจริงๆ ....
     

แชร์หน้านี้

Loading...