ฆ่าตัวอัตตาตาย.....ได้ไปนิพพาน^^

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย COME&Z, 20 มกราคม 2012.

  1. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    รู้จัก พระโคธิกะ กันมั้ยคะ...?

    อยากทราบว่าชาวพลังจิตคิดยังไง...

    กับการเชือดคอตัวเองแล้วได้ไปนิพพาน...

    "ความไม่ห่วงใยในชีวิตคือรากนิพพาน"

    "ขันธ์๕ไม่ใช่เรา เราไม่มีในขันธ์๕"

    "สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ"

    ^-^^-^^-^^-^^-^^-^^-^^-^^-^^-^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2012
  2. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    ทั้งๆที่การฆ่าตัวตายมันบาปมากไม่ใช่เหรอ....

    อะไรคือเคล็ดวิชาฝ่าด่านอรหันต์สูตรเร่งลัดแบบท่านโคธิกะ

    อ่านกันอย่างเดียวไม่เม้นเลย แสดงความคิดเห็นกันหน่อยค่ะ ไม่มีผิดไม่มีถูก อิอิ
     
  3. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    รบกวนใครก็ได้เอาเรื่องท่านโคธิกะมาแปะให้หน่อยได้ป่าว เป็นธรรมทาน เราเล่นจากมือถือก๊อบมาแปะไม่ได้ค่ะ
     
  4. บัวมรกต

    บัวมรกต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    812
    ค่าพลัง:
    +1,071
    โคธิกสูตรที่ ๓

    ว่าด้วยพระโคธิกะทำอัตตวินิบาตปรินิพพาน

    [๔๘๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อ

    แก่กระแต เขตกรุงราชคฤห์ ฯ ก็สมัยนั้นแล ท่านโคธิกะ อยู่ที่กาลศิลาข้างภูเขาอิสิคิลิ ฯ

    [๔๘๙] ครั้งนั้นแล ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตมั่นคงอยู่ ได้บรรลุ

    เจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์ ภายหลังท่านโคธิกะได้เสื่อมจากเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์นั้น แม้ครั้ง

    ที่ ๒ ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตมั่นคงอยู่ ได้บรรลุเจโตวิมุติอันเป็น

    โลกีย์แม้ในครั้งที่ ๒ ก็ได้เสื่อมจาก เจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์นั้น แม้ครั้งที่ ๓ ท่านโคธิกะเป็นผู้

    ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตมั่นคงอยู่ ได้บรรลุเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์ แม้ในครั้งที่ ๓ ก็ได้

    เสื่อมจากเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์นั้น แม้ครั้งที่ ๔ ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร

    มีจิตมั่นคงอยู่ ได้บรรลุเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์ แม้ในครั้งที่ ๔ ก็ได้เสื่อม จากเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์นั้น แม้ครั้งที่ ๕ ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตมั่นคงอยู่

    ได้บรรลุเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์ แม้ในครั้งที่ ๕ ก็ได้เสื่อม จากเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์นั้น แม้ครั้งที่ ๖ ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตมั่นคงอยู่

    ได้บรรลุเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์ แม้ในครั้งที่ ๖ ก็ได้เสื่อม จากเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์นั้น แม้ครั้งที่ ๗ ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท

    มีความเพียรมีจิตมั่นคงอยู่ ก็ได้บรรลุเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์อีก ฯ ครั้งนั้นแล ท่านโคธิกะได้เกิดความคิดอย่างนี้ว่า เราได้เสื่อมจากเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์ถึง ๖ ครั้งแล้ว

    ถ้ากระไรเราพึงนำศัสตรามา ฯ

    [๔๙๐] ลำดับนั้นแล มารผู้มีบาปทราบความปริวิตกแห่งจิตของท่าน โคธิกะด้วยจิตแล้วจึง

    เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่าข้าแต่พระองค์ผู้มีจักษุ มีเพียรใหญ่ มีปัญญามาก

    รุ่งเรืองด้วยฤทธิ์และยศ ก้าวล่วงเวรและภัยทั้งปวง ข้าพระองค์ขอถวายบังคมพระบาททั้งคู่ข้าแต่พระองค์ผู้มีเพียรใหญ่ สาวกของพระองค์อันมรณะครอบงำแล้ว

    ย่อมคิดจำนงหวังความตาย ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงไว้ซึ่งความรุ่งเรือง ขอพระองค์จงห้ามสาวกของพระองค์นั้นเสียเถิด ฯข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้ปรากฏในหมู่ชน

    สาวกของพระองค์ยินดีในพระศาสนา ยังไม่ได้บรรลุพระอรหันต์อันตัดเสียซึ่งมานะ ยังเป็นพระเสขะอยู่ ไฉนจะพึงกระทำกาลเสียเล่า ฯก็เวลานั้น ท่านโคธิกะได้นำศัสตรามาแล้ว ฯ

    [๔๙๑] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า ผู้นี้เป็นมารผู้มีบาป จึง ได้ตรัสกะมารผู้มีบาปด้วยพระคาถาว่า

    ปราชญ์ทั้งหลายย่อมทำอย่างนี้แล ย่อมไม่ห่วงใยชีวิต โคธิกะภิกษุ ถอนตัณหาพร้อมด้วยราก นิพพานแล้ว ฯ

    [๔๙๒] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัส ว่า ภิกษุทั้งหลายเรามาไปสู่กาลศิลา ข้างภูเขาอิสิคิลิ อันเป็นที่โคธิกกุลบุตร นำศัสตรามาแล้ว ฯ

    ภิกษุเหล่านั้น กราบทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ

    ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุหลายรูปได้เข้าไปยังกาลศิลาข้างภูเขาอิสิคิลิ ฯพระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็นโคธิกะมีคออันพลิกแล้ว นอนอยู่ บนเตียงที่ไกลเทียว ก็เวลานั้นแล

    ควันหรือหมอกพลุ่งไปสู่ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และอนุทิศ ฯ

    [๔๙๓] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเห็นไหม ควันหรือหมอกนั้นพลุ่งไปสู่ทิศตะวันออก ทิศ ตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และอนุทิศ

    เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลรับพระดำรัสแล้วจึงตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นั่นมารผู้มีบาปเที่ยวแสวงหาวิญญาณของโคธิกกุลบุตร ด้วยคิดว่า วิญญาณของโคธิกกุลบุตรตั้ง อยู่ ณ ที่ไหน

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย โคธิกกุลบุตร มีวิญญาณอันไม่ตั้งอยู่แล้วปรินิพพานแล้ว ฯ

    [๔๙๔] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปถือพิณมีสีเหลืองเหมือนมะตูมสุก เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า

    ข้าพระองค์ได้ค้นหาวิญญาณของโคธิกกุลบุตร ทั้งในทิศเบื้องบน ทั้งทิศเบื้องต่ำ ทั้งทางขวาง ทั้งทิศใหญ่ ทิศน้อยทั่วแล้ว มิได้ประสบโคธิกะนั้นไป ณ ที่ไหน ฯ

    [๔๙๕] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่านักปราชญ์ผู้ใดสมบูรณ์ด้วยธิติ มีปรกติเพ่งพินิจ ยินดีแล้วในฌานทุกเมื่อ พากเพียรอยู่ตลอดวันและคืน ไม่มีความอาลัยในชีวิต ชนะเสนาของมัจจุราชแล้ว ไม่กลับมาสู่ภพใหม่

    นักปราชญ์นั้นคือโคธิกกุลบุตรได้ถอนตัณหาพร้อมด้วยราก ปรินิพพานแล้ว ฯ

    พิณได้พลัดตกจากรักแร้ของมารผู้มีความเศร้าโศก ในลำดับนั้น ยักษ์ นั้นมีความโทมนัสหายไปในที่นั้นนั่นเอง ฯ



    ที่มา : พระสุตตันตปิฏก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค

    คำถามทิ้งทวน

    1. การฆ่าตัวตายผิดหรือไม่สำหรับบุคคลทั่วไป???

    2. เหตุใดการฆ่าตัวตายของพระโคธิกะจึงไม่ตกนรก???

    3. การฆ่าใดที่ประเสริฐที่สุด???

    4. การฆ่าใดที่ทำให้บุคคลเข้าถึงซึ่งนิพพาน???

    พระโคธิกะทำอัตตวินิบาต(ฆ่าตัวตาย) - DMC Forum
     
  5. ธัมมนัตา

    ธัมมนัตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,515
    ค่าพลัง:
    +9,765
    ต้องมีองค์ประกอบของการกระทำ
    เพียงแค่เป็นกิริยา ไม่ยึดมั่นใดๆ

    [๔๙๕] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่านักปราชญ์ผู้ใดสมบูรณ์ด้วยธิติ มีปรกติเพ่งพินิจ ยินดีแล้วในฌานทุกเมื่อ พากเพียรอยู่ตลอดวันและคืน ไม่มีความอาลัยในชีวิต ชนะเสนาของมัจจุราชแล้ว ไม่กลับมาสู่ภพใหม่

    คนทั่วไปที่ยังไม่ได้ปฏิบัติมาก่อนอย่างต่อเนื่องมีความเสี่ยงสูงในการระวังรักษาจิตของตนก่อนตาย
     
  6. ศักยิ์กมล

    ศักยิ์กมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    824
    ค่าพลัง:
    +1,316
    ขอโมทนากับผู้ตั้งกระทู้ และท่านที่ตอบกระทู้ครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  7. songkyunkwan

    songkyunkwan สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +7
    กรรมใครกรรมมัน
    วิถีทางใคร วิถีทางมัน
    บุญบารมีสร้างมาต่างกัน


    ใช่ว่าจะเลียนแบบแล้วเหมือนกันได้
     
  8. 2499

    2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    450
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,033
    ตอบโดยคุณ นักเรียนอนุบาล หัดฝัน


    ตอบ

    1. ต้องดูที่เจตนาครับ ถ้าเจตนาบูชาคุณพระพุทธเจ้าด้วยชีวิต เช่น พระโพธิสัตว์กระโดดจากเหวให้แม่เสือกินแทนที่มันจะกินลูกตัวเองด้วยความหิว
    กระต่ายโพธิสัตว์กระโดดเข้ากองไฟ เพื่ออุทิศตนเองให้เป็นทาน แก่พรามหณ์ (แต่ไม่ตายจริง เพราะพรามหณ์คือพระอินทร์แปลงมาลองใจ) หรือ พระสุมังคลพุทธเจ้า สมัยเป็นพระโพธิสัตว์ เอาตัวเองเป็นไส้เทียนจุดไฟทั่วตัว แล้วเดินบูชาคุณพระพุทธเจ้าในอดีตทั้งคืน (แต่ไม่ตาย) ซึ่งจะเห็นว่า คนเหล่านี้มีสิ่งที่เหมือนกัน และต่างจากคนที่ผิดหวังแล้วฆ่าตัวตายคือ ทุกท่านล้วนรักชีวิต แต่ยอมสละชีวิตเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า คือ ธรรม ต่างจากผู้ฆ่าตัวตาย เพราะผิดหวังจนไม่รักชีวิตน่ะครับ

    ที่นี่ เรื่องราวที่คุณเจ้าของกระทู้ยกมา ก็คล้ายๆ ผิดหวังที่ปฏิบัติธรรมไม่สำเร็จ จึงไม่รักชีวิต แล้วฆ่าตัวตาย แล้วจะดีได้อย่างไร ก็จะขอยกเรื่องราวของการฆ่าตัวตายแล้วเป็นพระอรหันต์อีกเรื่องหนึ่งมาเทียบนะครับ คือ พระสัปทาส (ไม่แน่ใจคำสะกด)

    เรื่องของท่านก็คล้ายๆ พระโคธิกะ ท่านปฏิบัติธรรมไม่สำเร็จจึงคิดฆ่าตัวตาย โดยเอามือไปแหย่ในหม้องูพิษ แต่งูพิษไม่กัด (เพราะเป็นอดีตทาสที่ซื่อสัตย์ของท่านมาก่อน) ต่อมาท่านหาวิธีใหม่ โดยไปยืนจ่อคอหอยไว้กับปลายไม้โกน กะว่าถ้าหมดแรง คอท่านก็จะล้มไปถูกปลายมีดโกนตาย แต่ระหว่างนั้นเอง ใจท่านสงบได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ก่อนเลยไม่ตาย และเลิกคิดฆ่าตัวตาย

    แต่เรื่องพระโคธิกะ ผมคิดว่า ก็คล้ายๆ กัน ต่างกันน่าจะเป็นตรงที่ว่า จังหวะในการฆ่าตัวตายของท่านกับจังหวะที่บรรลุธรรม น่าจะพร้อมๆ กันพอดี (ต่างจากพระสัปทาสบรรลุก่อน) จึงทำให้ท่านเป็นพระอรหันต์พร้อมกันกับตายพอดี

    ส่วนที่ต้องเป็นเช่นนี้ น่าจะเป็นวิบากกรรมที่ท่านเคยไปบีบคั้นให้คนฆ่าตัวตาย หรือ เคยฆ่าตัวตายเองมา เพราะชาตินี้ ท่านมีบุญที่จะได้บรรลุธรรม แต่กรรมนั้นก็บีบคั้นให้ท่านต้องคิดเช่นนี้ และฆ่าตัวตาย

    ส่วนพระสัปทาส ก็คงทำนองเดียวกัน คือ ในอดีตไปบีบคั้นคนอื่นให้ฆ่าตัวตาย แต่เขาอาจเปลี่ยนใจไม่ฆ่าตัวเอง หรือ ท่านเองคิดฆ่าตัวตายแต่เปลี่ยนใจ จึงทำให้ท่านบรรลุก่อนโดยไม่ฆ่าตัวตายครับ

    2. น่าจะเป็นเพราะบรรลุธรรมพอดี กับการตายพอดี จึงไม่ตกนรกครับ

    3. การฆ่าใดที่ประเสริฐที่สุด ก็คือ การฆ่ากิเลสในใจตนครับ ประเสริฐที่สุด

    4. ก็การฆ่ากิเลสในใจตนนั่นแหละครับ ที่ทำให้ถึงพระนิพพาน เพียงแต่เรื่องนี้อาจจะซ่อน 2 เงื่อน คือ ฆ่าตัวเอง กับฆ่ากิเลส เสร็จในเวลาพร้อมๆ กัน จึงอาจทำให้ดูแล้วไม่เข้าตากรรมการ (คนดู) ได้

    ตรงนี้ ถือเป็นความเสี่ยงเหมือนกัน ถ้าท่านฆ่าตัวตายได้ก่อนบรรลุ กรรมนั้นสำเร็จผล ก็อาจต้องไปรับกรรม และเลื่อนเวลาบรรลุไปอีกยาวนานเหมือนกันครับ ดังนั้น อย่าทำบาปแหละครับดีที่สุด จะได้ไม่ต้องมานิพพานโดยเงื่อนไขพิสดาร เช่น นิพพานในปากเสือ นิพพานโดยฆ่าตัวตาย เป็นต้น


    [​IMG] 7/1/2006 17:11


     
  9. 2499

    2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    450
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,033
    กลวงพ่อ เล่าเรื่อง พระโคธิกะ


    [​IMG]



    วิธีโยนกายทิ้งไปอย่างง่ายๆ ก็ดูัตัวอย่างท่านโคธิกะ ความดับของรูป ดับง่ายๆ แต่ว่าใช้อารมณ์อย่างท่านโคธิกะ ใช้ปฏิปทาอย่างท่านโคธิกะ ท่านโคธิกะบวชในสมัยพระพุทธเจ้า แล้วก็อยู่ในสำนักของพระพุทธเจ้าโดยตรง ปรากฏว่าเมื่อบวชแล้ว ท่านได้ฌานโลกีย์ แต่ว่าเพื่อนของท่านเป็นพระอรหันต์กันไปบ้าง เป็นพระโสดาและสกิทาคา พระอนาคา กันไปเยอะแยะ เป็นพระอริยเจ้า ท่านเองได้ฌานโลกีย์ แล้วก็ปรากฏว่าท่านโคธิกะป่วยเป็นโรคบวมทั้งตัวลุกไม่ขึ้น ในเมื่อโรคภัยไข้เจ็บมันเบียดเบียน กำลังใจก็ไม่มี ไม่สามารถจะปลดเปลื้องกิเลสได้

    ต่อมาท่านบังเกิดความเบื่อในร่างกาย ถือว่านี่เป็นมาร คำว่ามารนี่เขาแปลว่าเป็นผู้ฆ่า ก็คิดว่านี่เราบวชในสำนักของพระพุทธเจ้าแท้ๆ แล้วเราก็อยู่กับพระพุทธเจ้าด้วย เราศึกษาจากพระพุทธเจ้าได้แค่ฌานโลกีย์ เวลานี้เพื่อนของเราเป็นพระอริยเจ้านับไม่ถ้วน เราก็แหงแก๋อยู่แค่ฌานโลกีย์อย่างนี้ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าร่างกายเป็นตัวสำคัญ เป็นตัวร้าย เพราะว่าร่างกายมีแต่ความป่วยไข้ไม่สบายเป็นปกติ นี่ถ้าร่างกายของเราไม่ป่วยไข้ไม่สบายอย่างนี้ เราก็คงเป็นพระอริยเจ้าได้อย่างเพื่อนๆ นี่ท่านคิดแบบนี้ ต่อมาท่านก็เลยคิดไปว่าร่างกายนี้เป็นมาร ถ้าร่างกายนี้ไม่ป่วยไข้ไม่สบายเราต้องเป็นพระอริยเจ้าแล้ว

    ที่ไม่ได้เพราะว่าร่างกายเป็นผู้ทำลายความดีของเรา ในเมื่อร่างกายเป็นศัตรูของเรา เราก็จะไม่เลี้ยงมันไว้ จัดการกับมันเสียเถอะท่านก็หยิบมีดโกนมาเชือดคอ เชือดคอตายเสียก็หมดเรื่อง ขึ้นชื่อว่าร่างกายอย่างนี้เราไม่ต้องการมันอีก นับแต่วันนี้เป็นต้นไป หมายความว่า ชาตินี้ต่อไปชาติอื่นจะไม่มีอีก เราก็ไม่ต้องการร่างกายที่ประกอบด้วยธาตุ ๔ มีขันธ์ ๕ นี่เราอยู่กับพระพุทธเจ้าแท้ๆ มันยังขัดคอเราได้นี่เกลียดมาก เลยจะเชือดคอ

    ก็ปรากฏว่าพระองค์สำคัญ ๔ ท่านคือ พระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร พระอนุรุทธ พระอานนท์ พระสี่ท่านนี่สำคัญมาก โดย ๒ ท่านแล้วก็เป็นพระอัครสาวก ทิพยจักขุญาณท่านว่องไวมาก มาพระอนุรุทธนี่ก็เป็นเลิศทางด้านทิพยจักขุญาณ พระอานนท์ก็เป็นพระโสดาบัน เป็นพระที่มีความฉลาดมาก ท่านเป็นเพื่อนพอรู้ข่าวว่าโคธิกะจะเชือดคอตาย จะทำอัตวินิบาตกรรม เกรงว่าจะเป็นโทษก็เข้าไปห้ามโคธิกะ

    ห้ามอย่างไรก็ตามท่านโคธิกะท่านไม่ยอม ท่านบอกว่า ฉันไม่ยอมให้เพราะร่างกายมันเลอะ ฉันไม่ต้องการมัน นี่มันเป็นศัตรูร้าย ชาตินี้ฉันเกิดพบพระพุทธเจ้า ถ้าฉันตายไปจากชาตินี้อีกเท่าไหร่ล่ะฉันถึงจะเกิดพบพระพุทธเจ้า การพบหรืออยู่ในเขตที่เป็นอุดมมงคลเช่นนี้อาจไม่มีสำหรับฉันอีก หรือว่าถ้าจะมีก็ไปกำหนดเวลาไม่ได้ นี่ฉันอยู่กับพระพุทธเจ้า ยังหาความดีไม่ได้ ก็เพราะร่างกายมันเลว ฉันจะฆ่ามันเสีย

    เมื่อห้ามปรามก็ไม่ยอมฟัง ท่านทั้ง ๔ องค์ก็ลุกไปจากพระโคธิกะ ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกัน ๔ องค์ ความจริงท่านทั้ง ๔ องค์ องค์หนึ่งองค์ใดจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อกราบเรียนให้ทรงทราบ ไปเฝ้าองค์เดียวอีก ๓ องค์อยู่ ท่านพระโคธิกะก็สู้ไม่ได้ ไม่สามารถจะเชือดคอตายได้ แต่นี่ท่านย่องไปทั้ง ๔ องค์ แหมถ้าคนอื่นเขามาเล่าให้ฟังว่าทั้ง ๔ องค์เป็นพระอริยเจ้าองค์สำคัญนี่ผมเกือบไม่เชื่อ ก็บอกว่าพระอริยเจ้าทำไมโง่แบบนั้น

    แต่ความจริงท่านไม่โง่ ท่านจะโง่หรือไม่โง่ก็ไม่ทราบ แต่กรรมที่เป็นกุศลใหญ่จะช่วยท่านพระโคธิกะ เพราะว่าพระโคธิกะมีปัจจัยที่จะเข้าพระนิพพานเพราะเหตุนั้น เรื่องกรรมฐานที่เป็นกุศลให้ผลก็มี กรรมที่เป็นอกุศลให้ผลก็มี ฉะนั้นห้ามไม่ได้อย่าไปดิ้นอย่าไปรนห้ามปรามมันเลย เราไม่มีทางสู้กฎของกรรม พระพุทธเจ้าถึงได้ให้ยอมรับนับถือกฎของกรรมของเราเสีย จะได้สบายใจ

    ความไม่สบายกายไม่สบายใจเกิดก็รู้ว่านี่เมื่อก่อนเราทำความชั่วไว้ ความชั่วมันมาตาม ถ้าเรามีความสบายกายสบายใจปรากฏ ก็นี่เมื่อก่อนเราเคยทำความดี ความดีให้ผล เราจะทำความดีต่อไป ผลของความชั่วเราคิดว่าความชั่วให้ผลแล้วในชาติก่อน ฉะนั้นต่อไปนี้เราจะไม่ทำความชั่ว ความไม่ดีอย่างนี้จะได้ไม่มายุ่งกับเราอีก นี่กฎของกรรม ท่านโคธิกะ ท่านไปนิพพานด้วยกรรมแบบนั้น เป็นเหตุให้ท่านทั้ง ๔ ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ในเมื่อท่านทั้ง ๔ ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พอลับหลังพระโคธิกะก็เชือดคอตาย

    ท่านทั้ง ๔ ไม่ทราบ ก็กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าได้โปรดกรุณาไปห้ามพระโคธิกะ เวลานี้พระโคธิกะจะเชือดคอตาย พระพุทธเจ้าตอบว่าอย่างไร บอกว่า กิจในการห้ามพระโคธิกะไม่มี ท่านทั้ง ๔ จึงทูลถามว่าเป็นเพราะอะไรพระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าตอบว่า เธอหันหลังมาแล้วพระโคธิกะเชือดคอตายแล้ว ท่านทั้ง ๔ จึงถามพระพุทธเจ้าว่าท่านรู้รึ พระพุทธเจ้าบอกว่ารู้ ถามว่าท่านรู้แล้วทำไมไม่ห้ามพระโคธิกะ

    ท่านก็เลยบอกว่า นี่ฉันสอนคนให้พ้นทุกข์นะ ฉันสอนคนนี่ฉันบำเพ็ญบารมีมา ๔ อสงไขยกำไรแสนกัป ทนทรมานความทุกข์ ความยากมาแล้วก็มานั่งทรมานตัวสอนคนอยู่เวลานี้ เพราะต้องการอย่างเดียว ให้คนพ้นทุกข์จนเข้าพระนิพพาน ก็ในเมื่อคนเขาจะนิพพานแบบนั้น แล้วฉันจะไปห้ามเขาทำไม เป็นอันว่าพระโคธิกะเชือดคอตายคราวนั้น ท่านไปนิพพาน

    ความจริงอัตวินิบาตกรรม เราคิดกันอย่างโลกคร่าวๆ คิดว่าเป็นอารมณ์ชั่วทำตัวให้ตกนรก ทีนี้อารมณ์ของพระโคธิกะ พวกท่านลองคิดดูเวลานั้นท่านโคธิกะไม่ต้องการร่างกาย ท่านโคธิกะเกลียดร่างกายเป็นที่สุด เพราะเห็นร่างกายนี้เป็นภัย เป็นศัตรูร้ายที่เรียกกันว่ามาร มารแปลว่าผู้ฆ่า ผู้ทำลาย

    โคธิกะเห็นว่าร่างกายเป็นศัตรู จึงมีสิทธิจะไม่ต้องการร่างกายต่อไปอีก ความคิดว่าถ้าความเกิดใดจะพึงมีในภายภาคเบื้องหน้าต่อไปก็ตามที หรือคิดว่าร่างกายประกอบไปด้วยธาตุ ๔ และบริบูรณ์ไปด้วยขันธ์ ๕ อย่างนี้จะไม่มีสำหรับเรา นี่ตัดญาติขาดมิตรกันเลย คิดว่าร่างกายนี้เราไม่ต้องการอีก แค่นี้เองไปนิพพาน


    ที่มา http://www.geocities.com/4465/samadhi/maha442.htm
     
  10. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,448
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,023
    ค่าพลัง:
    +70,066
    ล่อแหลมเหมือนกัน ถ้าใครมาอ่านตามหัวข้อกระทู้ แล้วไม่เข้าใจที่มาที่ไป

    เดี๋ยวก็อ้างว่า ฉันก็เกลียดร่างกายเหมือนกัน ฉันจะฆ่าตัวตายบ้าง
    มีวิธีทำใจ ยังไงบ้าง เผื่อจะได้นิพพาน

    ลักษณะความไม่ต้องการร่างกายหรือเกลียดร่างกายตามที่ครูบาอาจารย์ที่ท่านกล่าวนั้น คนละอย่างกับ ความเกลียด หรือความไม่ต้องการของปุถุชน

    เป็นลักษณะความเห็นโทษภัยของผู้เจริญฌาณและปัญญามาจนเกือบเต็มขีดขั้น
    ของสมถะวิปัสสนา แต่ ยังไม่สามารถผ่านอารมณ์บางตัว จึงตัดขันธ์ห้าได้ไม่ขาด

    ยังแพ้ต่ออำนาจของเวทนาทางกายที่ไม่อาจข้ามพ้น จึงทำให้อารมณ์ฌาณเสื่อม




    ทีนี้ พอท่านเชือดคอ แต่ยังไม่ตาย ( คนที่มีบุญบารมีพร้อมที่จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ จะไม่ตายก่อนเวลาที่จะได้มรรคผล ) จิตของท่านไม่ได้จับที่สังขารทีเจ็บป่วย ไม่ได้จับกับความเสียดายในฌาณที่เสื่อมเพราะกายเวทนา

    แต่จิตของท่าน พิจารณาด้วยสมถวิปัสสนาที่ถึงพร้อมรวมตัว เห็น ไตรลักษณ์ในเวทนา ( ซึ่งเป็นส่วนที่ท่านติดอยู่ )

    ทีนี้ พอจี้ถูกจุด จิตก็ตัดขันธ์ห้าได้ขาดเป็นสมุทเฉทประหารเลย


    -----------


    ดูจากสภาพภายนอก พระสาวกทั่วไปไม่ทราบว่าพระโคธิกะ ได้ได้อรหันต์ผลหลุดพ้นก่อนร่างกายตาย มีแต่พระพุทธองค์ที่กล่าวยืนยันและชี้ให้เห็นว่า
    มารกำลังตามหาวิญญาณหรือจิตของพระโคธิกะที่เชือดคอตนเอง
    แต่ตามไม่พบ เพราะ พระโคธิกะ เป็นผู้พ้น ไม่เกิดไม่ตาย ไม่อยุ่ในวัฏฏะสงสาร
    ให้มารตามเจอแล้ว

    ( อันนี้ ไปค้นในพระไตรปิฎกเอง จำไม่ได้ว่าเล่มไหน หน้าไหน )


    ******************************************


    การที่พระสาวก หรือ ผู้ได้มรรคผลแต่ละท่าน มีจังหวะการตรัสรุ้ธรรมต่างกัน
    เพราะ บุญ กรรม วาสนา วิบากที่ทำมานั้นต่างกัน

    ที่เห็นได้ชัด .มีเพียงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงพระปรีชาญาณที่สุด ที่จะรู้วิธี
    ทำให้จิตพระสาวกได้มรรคผล หลังจากช่วงเสี้ยวจังหวะ ที่จิตท่านเหล่านั้นได้ใช้วิบากกรรมที่กีดขวางบางตัวแล้ว ......มีสภาวะเหมาะที่จะตรัสรู้ตอนไหน

    ก็แสดงธรรมโดยวิธีต่างๆ เข้าไปโปรดทันที.........


    ( ลองศึกษาเรื่อง พระวักกลิ พระองคุลิมาล ฯลฯ )



    *************************************************


    ข้าพเจ้าขอขมาต่อพระรัตนตรัย หากกล่าวหรือโพสสิ่งที่ไม่สมควรหรือไม่ถูกต้องประการใด
    แล้วมีส่วนต่อการปรามาสพระรัตนตรัยโดยไม่เจตนา ขอจงอดโทษ งดโทษ
    เพื่อการสำรวมระวัง ในกาลต่อไป เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อทุกชีวิตที่ควรได้รับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 มกราคม 2012
  11. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,448
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,023
    ค่าพลัง:
    +70,066
    มีเรื่องพิสดารมากมาย เกี่ยวกับพระสาวกที่ได้ธรรมะ มรรคผล โดยวิธีที่ไม่ปกติ

    หากศึกษาโดยไม่กระจ่างเป็นสัมมาทิฐิ ก็จะทำให้ตนและชีวิตอื่นที่เข้าใจแบบเดียวกัน

    เสียประโยชน์ที่ควรได้ไปนานแสนนาน จึงพึงมีโยนิโสมนสิการ และสอบถามจากเหล่า
    ครูอาจารย์ที่มั่นใจว่าท่านเป็นบัณฑิต เป็นผู้ได้มรรคผลนิพพานตามส่วนแล้วจริง
     
  12. undeath13

    undeath13 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +1,830
    เอ่อ เชือดคอนี่ครั้งเดียวมันไม่ตายทันทีนะครับ เจ็บปวดทรมารเป็น10นาทีกว่าจะตาย แล้วช่วง10นาทีที่ทรมารนั้นระยะมันช่างนานเหมือน 10ปี แล้วท่านจะทรงอารมณ์ไหวหรือครับ ถ้าท่านพลาดไปนิดเดียวได้เป็นผีเฝ้าที่แน่ มีให้เลือกสองทางคือไปนิพพาน,พรหม หรือ เป็นผีเฝ้าที่=_=
     
  13. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,448
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,023
    ค่าพลัง:
    +70,066
    <CENTER><BIG>อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปุปผวรรคที่ ๔</BIG> <CENTER class=D></CENTER></CENTER>
    หน้าต่างที่ ๑๑ / ๑๒.

    <CENTER>๑๑. เรื่องปรินิพพานของพระโคธิกเถระ [๔๓]

    ข้อความเบื้องต้น </CENTER>พระศาสดา เมื่อเสด็จเข้าไปอาศัยกรุงราชคฤห์ ประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภการปรินิพพานของพระโคธิกเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "เตสํ สมฺปนฺนสีลานํ" เป็นต้น. <CENTER>
    พระเถระคิดฆ่าตนเพราะเสื่อมจากฌาน </CENTER>ความพิสดารว่า ท่านผู้มีอายุนั้น อยู่ใกล้ถ้ำกาฬสิลาข้างภูเขาอิสิคิลิ เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้ว ถูกต้องเจโตวิมุตติ อันเกิดขึ้นในสมัย (เกิดเป็นครั้งคราว) เสื่อมจากเจโตวิมุตตินั้น ด้วยอำนาจแห่งโรคชนิดหนึ่งอันเรื้อรัง. ท่านยัง<WBR>ฌาน<WBR>ที่ ๒ บ้าง ที่ ๓ บ้าง ให้เกิดขึ้นถึง ๖ ครั้ง แล้วก็เสื่อม



    ในวาระที่ ๗ ให้เกิดขึ้นแล้ว คิดว่า "เราเสื่อมจากฌานถึง ๖ ครั้งแล้ว, ก็คติของผู้มีฌานเสื่อมแล้วแล ไม่แน่นอน, คราวนี้แล เราจักนำศัสตรามา" ดังนี้แล้ว จึงถือมีดสำหรับ<WBR>ปลง<WBR>ผม นอนบนเตียงน้อย เพื่อจะตัดก้านคอแล้ว. <CENTER>
    มารทูลให้พระศาสดาทรงทราบ </CENTER>มารรู้จิตของท่านแล้วคิดว่า "ภิกษุนี้ใคร่จะนำศัสตรามา; ก็แล ภิกษุทั้งหลายเมื่อนำศัสตรามา ย่อมเป็นผู้หมดความอาลัยในชีวิต, ภิกษุเหล่านั้นเริ่มตั้งวิปัสสนาแล้ว ย่อมบรรลุพระอรหัตได้, ถ้าเราจักห้ามภิกษุนั้น; เธอจักไม่ทำตามคำของเรา, เราจักทูลให้พระศาสดาห้าม"

    ดังนี้แล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ด้วยเพศที่คนอื่นไม่รู้จัก กราบทูลอย่างนี้ว่า<SUP>๑-</SUP> :-

    "ข้าแต่พระมหาวีระ ผู้มีบุญมาก รุ่งเรืองด้วย
    ฤทธิ์ ด้วยยศ ล่วงเสียได้ซึ่งเวรและภัยทั้งปวง ผู้มีจักษุ
    ข้าพระองค์ขอถวายบังคมพระบาททั้งสอง.
    ข้าแต่พระมหาวีระ สาวกของพระองค์ อันความ
    ตายครอบงำ ย่อมจำนง คิดถึงความตาย, ข้าแต่พระองค์
    ผู้ทรงไว้ซึ่งความรุ่งเรือง ขอพระองค์จงทรงห้ามพระสาวก
    นั้น, ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ปรากฏในหมู่ชน สาวก
    ของพระองค์ยินดีแล้วในศาสนา (แต่) มีธรรม มีในใจยัง
    มิได้บรรลุ ยังเป็นผู้จะต้องศึกษา จะพึงทำกาละเสียอย่าง
    ไรเล่า?"
    ____________________________

    <SUP>๑-</SUP> สํ. ส. เล่ม ๑๕/ข้อ ๔๙๐. <CENTER>
    มารแสวงหาวิญญาณของพระโคธิกะ </CENTER>ในขณะนั้น พระเถระนำศัสตรามาแล้ว.
    พระศาสดาทรงทราบว่า "ผู้นี้เป็นมาร" จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
    ปราชญ์ทั้งหลายย่อมทำอย่างนั้นแล ย่อมไม่จำนงชีวิต,
    โคธิกะ ถอนตัณหาขึ้นพร้อมทั้งราก ปรินิพพานแล้ว.


    ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จไปสู่ที่พระเถระนำศัสตรามา นอนอยู่แล้ว พร้อมด้วยภิกษุเป็นอันมาก. ขณะนั้น มารผู้ลามกคิดว่า "ปฏิสนธิวิญญาณของพระโคธิกะนี้ ตั้งอยู่แล้วในที่ไหนหนอแล?" ดังนี้แล้ว เป็นดุจกลุ่มควันและก้อนเมฆ แสวงหาวิญญาณของพระเถระในทิศทั้งปวง.
    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความที่มารนั้น เป็นควันและก้อนเมฆนั้น แก่ภิกษุทั้งหลายแล้ว ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย มารผู้ลามกนั่นแลแสวงหาวิญญาณของกุลบุตรชื่อโคธิกะอยู่ ด้วยคิดว่า ‘วิญญาณของกุลบุตรชื่อโคธิกะตั้งอยู่แล้ว ณ ที่ไหน?’ ภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรชื่อโคธิกะมีวิญญาณไม่ตั้งอยู่เลย ปรินิพพานแล้ว."
    แม้มาร เมื่อไม่อาจเห็นที่ตั้งวิญญาณของพระโคธิกะนั้นได้ จึงแปลงเพศเป็นกุมาร ถือพิณมีสีเหลืองดุจผลมะตูม เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทูลถามว่า :-
    ข้าพระองค์เที่ยวแสวงหาอยู่ ในทิศเบื้องบน
    เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ทิศใหญ่ ทิศน้อย ก็มิได้
    ประสบ, พระโคธิกะนั้นไปแล้ว ณ ที่ไหน?"
    ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสกะมารนั้นว่า :-
    ภิกษุชื่อโคธิกะ เป็นปราชญ์ สมบูรณ์ด้วยปัญญา
    เครื่องทรงจำ มีฌาน ขึ้นดีแล้วในฌาน ในกาล
    ทุกเมื่อ ประกอบความเพียรทั้งกลางวันกลางคืน
    ไม่ไยดีชีวิต ชนะเสนาแห่งมัจจุได้แล้ว ไม่มาสู่
    ภพอีก ถอนตัณหาพร้อมทั้งราก ปรินิพพานแล้ว.
    เมื่อพระศาสดาตรัสอย่างนั้นแล้ว พิณได้พลัดตกจากรักแร้ของมารนั้นผู้อันความโศกครอบงำ. ลำดับนั้น ยักษ์นั้นเสียใจได้หายไปในที่นั้นนั่นเองด้วยประการฉะนี้.
    แม้พระศาสดาตรัสว่า "มารผู้ลามก เจ้าต้องการอะไรด้วยสถานที่กุลบุตรชื่อโคธิกะเกิดแล้ว, เพราะคนอย่างเจ้าตั้งร้อยตั้งพัน ก็ไม่อาจจะเห็นที่ที่โคธิกะนั้นเกิด"
    ดังนี้แล้ว ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า :-

    <TABLE class=D cellSpacing=0 border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD>๑๑. <TD>เตส สมฺปนฺนสีลานํ <TD>อุปฺปมาทวิหารินํ <TR vAlign=top><TD><TD>สมฺมทญฺญา วิมุตฺตานํ <TD>มาโร มคฺคํ เน วินฺทติ. <TR vAlign=top><TD><TD colSpan=2>มาร ย่อมไม่ประสบทางของท่านผู้มีศีลถึงพร้อมแล้ว <TR vAlign=top><TD><TD colSpan=2>มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท พ้นวิเศษแล้ว เพราะ <TR vAlign=top><TD><TD colSpan=2>รู้ชอบ เหล่านั้น.</TD></TR></TBODY></TABLE><CENTER>
    แก้อรรถ </CENTER>บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เตสํ คือ แห่งท่านที่ปรินิพพานเหมือนอย่างกุลบุตรชื่อโคธิกะ มีวิญญาณไม่ตั้งอยู่ ปรินิพพานแล้วฉะนั้น.
    บทว่า สมฺปนฺนสีลานํ คือ ผู้มีศีลบริบูรณ์แล้ว.
    บทว่า อปฺปมาทวิหารินํ คือ ผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาท กล่าวคือความไม่อยู่ปราศจากสติ.
    บาทพระคาถาว่า สมฺมทญฺญา วิมุตฺตานํ ความว่า ผู้พ้นวิเศษแล้ว ด้วยวิมุตติ ๕ เหล่านี้ คือ "ตทังควิมุตติ วิกขัมภนวิมุตติ สมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ นิสสรณวิมุตติ" เพราะรู้โดยเหตุ คือโดยนัย โดยการณ์.
    บาทพระคาถาว่า มาโร มคฺคํ น วินฺทติ ความว่า มาร แม้แสวงหาอยู่ โดยเต็มกำลัง ย่อมไม่ประสบ คือย่อมไม่ได้เฉพาะ ได้แก่ย่อมไม่เห็นทางแห่งพระมหาขีณาสพทั้งหลาย ผู้เห็นปานนี้ ไปแล้ว.

    ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้นแล้ว. เทศนามีประโยชน์แก่มหาชน ดังนี้แล. <CENTER>
    เรื่องปรินิพพานของพระโคธิกเถระ จบ.

    *********************************


    จากอ้างอิง ด้านบนที่ข้าพเจ้ายกมา


    จะเห็นว่า มารเริ่มเห็นว่า พระโคธิกะจะเริ่มตั้งวิปัสสนาแล้ว ท่านจะได้ความพ้นทุกข์แน่แล้ว

    เดิมนั้นพระโคธิกะ ท่านเจริญฌาณ ทำจิตให้พ้นชั่วคราวได้ด้วยเจโตวิมุตติ ( น่าจะเป็นตทังควิมุตติ หรือวิขัมภนวิมุตติ อันเป็นการดับข่มกิเลสได้ชั่วคราว)

    แต่ฌาณเสื่อมเพราะโรคอันนำมาซึ่งเวทนาทางกาย


    คราวนี้ พอท่านไม่อาลัยต่อกายแล้ว เห็นว่ากายคือเหตุแห่งความเสื่อมของฌาณจึงตั้งจิตจะทำลายกาย ( เพื่อจะทรงอารมณ์ฌาณอันเจโตวิมุตติ คงไม่มีเจตนาเจริญเวทนานุปัสสนากรรมฐาน)
    มารก็หยั่งทราบด้วยเช่นกันว่าด้วยบารมีที่บำเพ็ญมาระดับพระอสีติสาวก เมื่อเจริญวิปัสสนาแม้เพียงนิด รวมกำลังเป็นสมถวิปัสสนา
    ย่อมกระทำความหลุดพ้นเป็นสมุทเฉทประหาร ขาดสะบั้นจากวัฏฏะสงสารได้แน่นอน


    มารทราบดังนี้.จึงพยายามไปทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ห้ามการเชือดคอ( ซึ่งจะเป็นเหตุแห่งการเจริญเวทนานุปัสสนากรรมฐาน) ของพระโคธิกะ หวังว่าพระโคธิกะจะไม่ต้องหลุดพ้น


    </CENTER>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 มกราคม 2012
  14. VikingsX

    VikingsX ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    699
    ค่าพลัง:
    +4,668
    ก็ถ้าได้ อรหัต แล้ว ก็ต้องไปนิพาน ยังไงยังไง ก็ต้องนิพาน จริงมัยครับ...
     
  15. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,448
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,023
    ค่าพลัง:
    +70,066
    การเข้าถึงอัปปนาจิต

    สามารถเข้าถึงได้สองทางใหญ่

    คือ ทางสมถกรรมฐาน และ ทางวิปัสสนากรรมฐาน

    เข้าทางสมถะคือจับอารมณ์สมมุติอารมณ์เดียว ไม่ว่าจะเป็นสิ่งนอกกาย หรือ สิ่งในกายจนได้ฌาณ แล้วทำจิตให้ได้อัปปนาจิต โดยสามารถทราบและไต่ตามองค์ฌาณได้

    เข้าทางวิปัสสนา คือ จับอารมณ์ปัจจุบันตามความเป็นจริง ไม่ว่าอาศัยกาย เวทนา จิต ธรรม ที่เกิดกับกายตน เป็นอารมณ์ จนเห็นไตรลักษณ์อย่างต่อเนื่อง
    เห็นการเกิดขึ้น การตั้งอยู่ การดับไป เป็นปัจจุบันขณะ ตามจริง ไม่ได้มาจากสัญญาความทรงจำใดๆ อย่างต่อเนื่อง

    จนสติเต็มรอบ ก็สามารถเข้าสู่อัปนาจิต แบบนี้ ไม่มีองค์ฌาณ( วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคตา)
    เพราะจิตเห็นไตรลักษณ์แล้วแยกตัวออกจากสังขาร เป็นอิสระตั้งมั่นได้นานตามกำลังของแต่ละคน




    พอได้อัปปนาจิตแล้ว ความสะอาดบริสุทธิ์ของจิตจะเพียงพอ เป็นสัมมาสมาธิในอริยมรรคมีองค์แปด กระทำมรรคผลให้เกิดขึ้นได้ ตามวาสนาบารมี


    แต่ละคน มีวิถีต่างกัน ตามวาสนา การอบรม ตามวิบากที่ทำมา

    ทางไหนคือทางของตน ถ้าไม่รู้จักตน ก็เนิ่นช้า
    ถ้าโชคดีพบยอดกัลยาณมิตรคือ พระบรมศาสดา ก็ยิ่งพบทางเร็ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 มกราคม 2012
  16. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,448
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,023
    ค่าพลัง:
    +70,066
    สังเกตุให้ดีจะพบว่า ก่อนเชือดท่านยังไม่เป็นอรหันต์คือมารยังสามารถหยั่งทราบจิตท่านได้ และ มารกลัวท่านบรรลุ ด้วยเห็นว่าท่านเริ่มตั้งวิปัสสนา

    พอท่านเชือดแล้ว จึงพิจารณาจนสำเร็จสมถวิปัสสนาจนได้มรรคผลนิพพานแล้ว กายดับแล้ว

    มารก็ตามหาวิญญาณท่าน แต่ตามหาท่านไม่พบ

    เพราะ จิตท่านเข้าพระนิพพานแล้วหลังกายแตกดับนั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 มกราคม 2012
  17. ศุภกร_ไชยนา

    ศุภกร_ไชยนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    627
    ค่าพลัง:
    +1,122


    เห็นด้วยคับ

    จิตเวลาตาย ท่านจะทรงอารมณ์ก่อนตายได้ไหม

    ถ้าเกิดปวดเจ็บ เศร้า เสียใจ คิดถึงกรรมที่ทำมา จบเลย
     
  18. paura

    paura เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    126
    ค่าพลัง:
    +251
    ขอความเมตตาครั้งสุดท้ายหน่อยครับ

    ถ้าจะตาย อย่างน้อยร่างก็ยังดีๆอยู่
    ไปบริจาคเลือด และอวัยวะให้หมดก่อนก็ดีนะครับ
    ผมพูดจริงนะ
     
  19. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,448
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,023
    ค่าพลัง:
    +70,066
    ด่านกายเวทนา เป็นด่านที่ผ่านยาก สำหรับปุถุชนทั่วไปที่ตบะอ่อน

    พระโคธิกะ ท่านมีฌาณเป็นพื้นมาแล้ว แต่เสื่อมก่อนที่สมถะและวิปัสสนาจะรวมตัว
    จึงยังไม่ได้มรรคผลอันสูงสุด

    พอท่านเชือดคอ จนกายเริ่มขาดจากเวทนา แต่ยังไม่ขาดใจ หรือ ท่านเห็นแจ้งในเวทนานุปัสสนา
    อย่างใดอย่างหนึ่ง


    ก็เป็นช่องที่ท่านพ้นจากกรงขังของพญามารไปได้<!-- google_ad_section_end -->


    ปุถุชนทั่วไป โดยเฉพาะคนยุคนี้ ยากแสนยากที่จะทำได้
     
  20. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,448
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,023
    ค่าพลัง:
    +70,066

    ไม่ได้มีพระโคธิกะ องค์เดียวครับ

    โปรดพิจารณาต่อยอด และ เพิ่มเติมในอรรถ และธรรม ได้

    ตามลิ๊งค์ต่อไปนี้


    http://palungjit.org/posts/5603855
     

แชร์หน้านี้

Loading...