คำสอนเรื่อง ขัณฑ์ 5 กับ หลวงปู่ทองดี อนีโฆ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย dearestguardian, 3 ตุลาคม 2007.

  1. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    ชีวิตของคนเราในปัจจุบันนี้ สังคมเรานี้มักวุ่นวาย เพราะมักแก่งแย่งชิงดีกันอยู่เสมอ ทุกคนหวังที่จะเป็นใหญ่เป็นโต โดยไม่คำนึงถึงความจริงว่า จะถูกจะผิดในศีลธรรม หรือไม่มักขวนขวายหาประโยชน์เข้าหาแต่ตัวเองกันเป็นส่วนมาก หลวงปู่ท่านเคยพูดเปรียบเทียบให้ฟังว่า คนเหล่านี้ถ้าเปรียบเป็นนิ้วแล้ว หลวงปู่ยกนิ้วโป้งขึ้นมาว่า ไอ้นิ้วโป้งนี่ก็บอกข้านี่แน่ที่สุด ไอ้นิ้วชี้มันก็บอกหยุดก่อนไอ้นิ้วโป้ง กูนี่สามารถชี้นิ้วสั่งคนให้ทำโน่นทำนี่ได้ ทำโน่นทำนี่ขึ้นอยู่กับกู ฝ่ายไอ้นิ้วกลางมันก็บอกหยุดก่อนไอ้นิ้วชี้ กูซิแน่ที่สุดเพราะในบรรดา ๕ นิ้วนี้กูสูงที่สุด ฝ่ายไอ้นิ้วนางมันก็บอกว่าหยุดก่อนมึงทั้ง ๓ นิ้วกูซิแน่กว่าพวกมึง กูซิแน่กว่าพวกมึง อย่างพวกมึงรึเคยได้ใส่แหวนทอง เคยได้ใส่แหวนเพชรกันบ้างรึเปล่า พวกมึงอย่างดีก็แค่แหวนพระ ฝ่ายไอ้นิ้วก้อยมันก็บอกว่ามึงทั้ง ๔ นิ้วหยุดก่อน กูซิแน่ที่สุด เพราะเวลาไหว้พระ กราบพระกูนั่งหน้าสุด เปรียบเหมือนคนเราทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในโลกพื้นแผ่นดินเดียวกัน ยังมาแข่งกันดีแข่งกันเด่นในทางที่ชั่ว แข่งกันชั่ว โดยลืมไปว่าอยู่ที่พื้นแผ่นดินเดียวกัน นี่แหละลูกเอ๊ยหลานเอ๊ย

    ลูกเอ๊ยหลานเอย บางสิ่งบางอย่างนะลูก คนเราเกิดมามีชีวิต มีความคิด มีความรู้ แต่บางคนนะลูกยังไม่เข้าใจและยังไม่รู้จักว่า

    ขันธ์ 5 คืออะไร
    ขันธ์ 5 เป็นทุกข์ได้อย่างไร
    ขันธ์ 5 ประกอบด้วยอะไร

    ขันธ์ 5 นั้นประกอบไปด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

    รูป คือ ร่างกายที่เรายึดว่าเป็นตัวเป็นตนของเรา หรือจะพูดให้เข้าใจว่า รูปคือ สิ่งที่มองเห็น สัมผัสได้ เมื่อมันเกิดขึ้น มันก็ต้องแปรเปลี่ยน แล้วก็ดับไป นี่แหละร่างกายเราคือมหาภูติใหญ่ คือรูป อันรูปนี้ที่มันตั้งอยู่นั้น ที่ประกอบไปด้วยขันธ์ทั้ง 5 เมื่อเรารู้ว่ารูปคือร่างกายแล้ว เราจะไปรู้ได้อีก 4 อย่าง คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เราจะรู้ได้อย่างไร รูปที่มันก่อให้เกิดเวทนา

    เวทนา คือ ความรู้สึกสุข ทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์ เมื่อมันเกิดอาการเจ็บปวดมันรู้ในสิ่งเหล่านั้น ที่มันอยู่ในกายเรียกว่าเวทนา

    สัญญา คือ ความจำ ที่เราคิดว่าอะไรหนอเดี๋ยวทำไมจำได้ เดี๋ยวหลงๆลืมๆ เดี๋ยวก็จำได้ อันนั้นเขาเรียกว่าสัญญา คือความจำ

    สังขาร คือ การปรุงแต่งของจิต การปรุงแต่งของจิตนั้น สังขารปรุงแต่งเกิดขึ้นเพราะอะไร เพราะวิญญาณ

    วิญญาณ คือ ตัวรู้หรือตัวรับอารมณ์ในสิ่งต่าง ๆ

    อย่างเช่นตามันมองเห็น มันก็เกิดรู้ เมื่อรู้แล้วสังขารก็ปรุงแต่ง เมื่อสังขารปรุงแต่ง สัญญา คือจำได้ว่าภาพที่เห็นสวยหรือไม่สวย เวทนา ก็รู้สึกชอบไม่ชอบ ส่วนกายนั้นตั้งอยู่ เพียงแต่ว่าทำหน้าที่รับ คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้เกิดไปตาม 4 สิ่งเหล่านี้ที่รูปตั้งอยู่คือ ร่างกาย ซึ่งบางคนนั้นอาจจะเข้าใจขันธ์ 5 แต่บางคนก็อาจจะยังไม่เข้าใจเรื่องขันธ์ 5 ว่าขันธ์ 5 คืออะไร

    ให้เราพิจารณาว่าสิ่งที่หลวงปู่พูดให้ฟังเมื่อสักครู่นี้ มันคืออะไรกันแน่ แล้วมันมีจริงมั๊ยในร่างกายเรานี้ ถ้าเราทำความรู้พร้อมให้เกิดขึ้น โดยใช้ใจพิจารณาดูรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เราก็จะรู้ว่า อ๋อ! ในร่างกายเรานี้ขันธ์ทั้ง 5 ที่คนเขาเรียกกันว่า ขันธ์ 5 บางทีเรายังไม่รู้ว่าขันธ์ 5 รู้แต่ว่าตามหนังสือ ตามบาลีที่เขาแปล แต่บางครั้งเรายังไม่เข้าใจ

    เราต้องทำความเข้าใจ คือ ศึกษา ที่ว่าศึกษานั้นก็คือ การใช้ใจพิจารณาขันธ์ 5 ให้มันรู้ด้วยใจ ด้วยสติ ด้วยจิตของตัวเอง เมื่อรู้ด้วยจิตแล้วก็พิจารณาให้สิ่งเหล่านั้นมันดับ พอทุกสิ่งทุกอย่างดับหมดแล้วมันก็เป็นอนัตตา เพราะหาตัวตนไม่ได้ มันมีเพียงใจดวงเดียวเท่านั้น บางคนกลัว เพราะบางคนปฏิบัติแล้วนั้น จะรู้สึกว่าร่างกายหาย เหมือนไม่มีร่างไม่มีกายตั้งอยู่ หรือบางคนรู้สึกว่าไม่หายใจเข้า ไม่หายใจออก เลยเกิดความกลัวขึ้นมา แต่พอดูไปเรื่อย ๆ แล้วนี่ สิ่งเหล่านั้นเมื่อมันดับ มันก็จะมีเพียงจิต คือตัวเราแท้ ๆ ตั้งอยู่ โดยไม่มีกายนี้ตั้งอยู่ เพราะฉะนั้นแล้วลูกเอ๊ยหลานเอย จงพิจารณาในขันธ์ 5 เหล่านี้ว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป คืออะไร ลองคิดเอาเองนะลูก นั่งดูไปเรื่อย ๆ พิจารณาดูไปเรื่อย ๆ แล้วก็ดับให้ได้นะลูก

    ชื่อผู้ส่ง: ลูกหล้าหลานแก้ว

    พระพุทธเจ้าของพวกเราทั้งหลาย พระองค์ทรงตรัสสอนว่าศีลเป็นคุณสมบัติของคน ของมนุษย์ที่สมบูรณ์เมื่อเกิดมาเป็นคนเป็นมนุษย์ แล้ว ลูกเอ๊ยหลานเอย โอกาสที่จะสะสมสร้างบารมีนั้นมีมากกว่าการไปเกิดในภพภูมิไหน หรือภพภูมิใดก็แล้วแต่ทั้งหมดทั้งสิ้น อย่างที่พระพุทธองค์ของเราทรงตรัสสอนพระนางมัลลิกาเทวีว่า หนึ่งที่ชอบทานที่ชอบทำทาน จะเป็นผู้มั่งคั่งร่ำรวย ผู้ใดไม่ทำทานจะเป็นผู้ขัดสนยากจน สอง ผู้ไม่โกรธจะมีรูปเรือนร่างหน้าตาผิวพรรณดี ผู้ที่โกรธจะมีผิวพรรณไม่ผุดผ่อง ไม่สด ไม่ใส สาม ผู้ไม่มีจิตร้าย หรือไม่มีจิตริษยา จะมีศักดิ์ใหญ่โตมโหฐาน เกียรติสูง ผู้มีจิตริษยา จะมีศักดิ์น้อยและไม่มีเกียรติยศ โดยพระพุทธองค์ยังทรงสอนไว้อีกว่าทางไปสวรรค์นั้น ได้แก่การทำบุญและให้ทาน ซึ่งทานในที่นี้พระองค์ทรงแบ่งดังมีที่ หนึ่ง ทานวัตถุ 10 อย่าง ทานวัตถุ 10 อย่าง มีให้ข้าว ให้น้ำ 2 อย่างนี้เรียกว่าให้อาหาร จะทำให้มีความอุดมสมบูรณ์ในอาหาร ให้เสื้อผ้าจะมีความอบอุ่น และมีเครื่องแต่งกายอันสวยงาม ให้ความสะดวก จะมีรถเรือใช้ และมีความคล่องตัว ความสะดวกอื่น ๆ เกิดขึ้น ให้ยารักษาโรคจะทำให้ไม่เจ็บไข้ และมีร่างกายแข็งแรง สุขภาพดี ให้ของหอม ให้ที่นอน ให้ผ้าห่ม ให้ดอกไม้ธูปเทียน คือการได้บูชาพระ ให้ที่อยู่ที่อาศัย ให้โคมไฟ ให้แสงสว่าง ให้วิทยาทาน ให้วิชาความรู้จะเป็นผู้เฉลียวฉลาด รอบรู้มีปัญญา จะมีความรู้สูง มีอาชีพที่ดี ที่งาม ธรรมทานจะเป็นผู้ตั้งอยู่ในทำนองคลองธรรม ครอบครัว ลูกหลาน จะไม่เป็นคนเกเร เกะกะ จะมีกุศลสูง มีโอกาสได้มรรคได้ผลเมื่อได้เข้าปฏิบัติ สี่ อภัยทาน อภัยทานจะไม่มีศัตรู มีแต่คนรักใคร่ชอบพอ ซึ่งทานทุกชนิดที่หลวงปู่พูดมาแล้วนั้น แม้จะได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็จะได้เป็นมนุษย์ที่ดี มีบุญวาสนา

    ตามที่หลวงปู่พูดให้ลูกหลานทั้งหลายได้ฟัง ลูกเอ๋ย ให้เข้าใจนะลูก ว่ากุศลทั้งหลาย บุญทั้งหลายอะไรเป็นอะไร ให้เราน้อมจิตคิดพิจารณาเอาเอง ว่าด้วยปัญญาอันชอบธรรมนะลูก และหวังว่าคงพอเข้าใจนะลูก ทำอะไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าเราจะปลูกต้นไม้สักต้นหนึ่ง หรือเราจะปลูกดอกไม้สักต้นหนึ่ง เราก็ต้องรอระยะ รอเวลา เหมือนเราทำดีนะลูก ไม่ใช่เราทำดีวันนี้ ดีจะส่งผลวันนี้ เราต้องหมั่นสร้าง ยืดมั่น ถือมั่น ในความดีเอาไว้ มันต้องมีสักวันหนึ่งที่ความดีเหล่านั้นจะคืนสนอง หรือตอบสนองให้แก่ตัวเราเอง ลูกเอ๊ยหลานเอย เมื่อเราเกิดมาเป็นคน คนทุกคนในโลกนี้ต้องตกอยู่ในกฎแห่งพระไตรลักษณ์ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตน เราจะรู้ได้อย่างไรว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทุกข์ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ตัวตน ไม่ต้องไปดูคนอื่นหรอกลูกเอ๊ย ดูตัวเราเองนี่แหละลูก เราเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เกิดจนทุกวันนี้ เรามีแต่ความทุกข์ สุขก็ไม่จีรัง ทุกข์ก็ไม่ยั่งยืน เพราะฉะนั้น แล้ว ลูกเอ๊ยหลานเอย เราเกิดมาเป็นคนยังมีทุกข์บ้างสุขบ้าง แต่เราไปอบายภูมิจะมีแต่ความทุกข์อย่างเดียวนะลูก หมั่นสร้างเอาไว้ในกุศลคุณงามความดีทั้งหลาย ใครจะว่าอย่างไร ใครจะบ่นอย่างไร นั้นเรื่องของเขาไม่ใช่เรื่องของเรา เรื่องของเรานั้นเราต้องการพระนิพพาน เราไม่ต้องการกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้อีกต่อไป เพราะเรามองเห็นโทษแล้ว ว่าในการเกิดเป็นคนนั้นมีแต่โทษมีแต่ทุกข์ หาความสุขไม่ได้เราจึงพยายามละ และก็ขวนขวายสิ่งที่เป็นกุศลให้แก่จิต ให้แก่ใจ ให้แก่ตัวเราเอง และเมื่อเรามีความรู้แล้วเราก็พยายามบอกธรรมทานที่เราได้รู้แล้วแก่คนทั่วไป ให้เราใช้ปัญญาพิจารณาไปเรื่อย ๆ นะลูกว่า เราเกิดขึ้นที่ไหน ก็ต้องดับที่นั่น เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเป็นของธรรมดา ให้เรามีสติรู้ตัวตลอดเวลา รู้ตัวเพื่ออะไรเล่าลูกเอ๋ย รู้ตัวเพื่อที่จะได้กำจัดอารมณ์โลภ โกรธ หลง ตัณหาทั้งหลาย กามตันหา ภวตัณหา วิภวตัณหาทั้งหลาย มานะทิฏฐิ ไม่ให้มันเกิดขึ้นกับจิตกับใจของตัวเราเองนะลูก

    จงใคร่ครวญแล้วก็บำเพ็ญเร่งศึกษาปฏิบัติตัวให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตามพระพุทธเจ้าของเรานะลูก พระพุทธเจ้าท่านยืนรอเราอยู่ เราจงเร่งขวนขวายแล้วเราก็จะพบความสุข พบกับพระพุทธเจ้าของเรา เราจะได้ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด มาจมอยู่ในกองทุกข์นี้อีกต่อไป จงใคร่พยายามเมื่อมีความโลภขึ้นมา เราก็ละแล้วซึ่งให้ทาน เมื่อมีความตระหนี่ถี่เหนียว เราก็ละแล้วซึ่งการให้ทาน ซึ่งเราเรียกว่าเราตัดอารมณ์โลภ เมื่อโกรธเข้ามาเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ เราต้องมีเมตตานะลูก ต้องดับด้วยเมตตา เมื่อมีตัวหลงเข้ามาต้องดับด้วยตัวปัญญา ให้ปัญญามองให้ทะลุปรุโปร่งถึงหลักแห่งความเป็นจริง หลักของปัญญาคือตัวรู้ ขอให้พิจารณาดังที่กล่าวมาแล้ว เพื่อเป็นเครื่องร้อยรัด เป็นเครื่องเตือนสติ เป็นกำลังใจในการที่จะทำดีในการที่จะสร้างกุศลกรรม หรือการที่คิดดี แล้วเราก็ปฏิบัติดี ขอให้ลูกหลานจงมีแต่ความสุข จงมีแต่ความเจริญ พ้นจากความทุกข์ด้วยเทอญ

    จาก

    http://www.sawangburi.com/modules.php?name=News&file=article&sid=70
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2007

แชร์หน้านี้

Loading...