คนตาบอดเพ่งกสินได้ไหมครับ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Theerawat2556, 24 มกราคม 2014.

  1. Theerawat2556

    Theerawat2556 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2013
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +9
    คืออยากทราบว่า คนตาบอดเพ่งกสินได้ไหมครับ ถ้าได้ต้องทำยังไงบ้างครับ?
    ขอผู้รู้ช่วยมาตอบด้วยนะครับ ^^ ขอบคุณมากครับ
     
  2. พลังกสิณ

    พลังกสิณ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +94
    กสิณลมน่าจะฝึกได้ โดยกำหนดเอาลมที่พัดมาต้องกายแล้วให้ตั้งสติต่อลมนั้นและนึก
    ในใจว่า วาโยๆ หรือ ลมๆๆ
     
  3. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    คุณNagkit ถามอ้อมไปนะ ผมขอตอบตรงๆละกัน เพราะไม่ชอบอ้อมโลก

    คนตาบอดฝึกอภิญญาได้ 2 วิธี
    1.แบบง่าย ไม่ต้องไปจับภาพกสิณให้เสียเวลา ให้ภาวนา"สัมปจิตฉามิ" ไปเรื่อยๆ ทำใจให้สบายๆ ภาวนาไปเรื่อยๆ ถ้าของเก่ารวมตัว จะสามารถใช้อภิญญาได้

    2.แบบยาก ต้องฝึกทิพย์จักขุญาณก่อน แล้วนำทิพย์จักขุญาณไปฝึกจับดวงกสิณอีกที
    ไล่ไปทีละกองจนครบ ฝึกแบบนี้จะช้า ใช้เวลานาน เหมาะกับผู้ที่มีจริตชอบการปฏิบัติแบบยากๆซึ่งอาจตรงจริตของคุณNagkitก็เป็นได้ จะขออธิบายแบบคร่าวๆ
    เริ่มจาก กสิณดิน น้ำ ลม ไฟ อันใดอันหนึ่ง จากนั้นใช้ร่างกายเข้าไปสัมผัส อาจใช้แค่มือ หรือ ทั้งตัวเลยก็ได้ เช่น ดินแข็งแน่นเป็นปึกแผ่น ไฟทรงพลังร้อนแรง น้ำอ่อนนุ่มเหลวเย็น ลมไม่อยู่นิ่งเบาไร้ลักษณ์ จากนั้นใช้ใจเข้าไปจับความรู้สึกตรงนั้น แล้วใช้ทิพย์จักขุญาณปั้นเป็นภาพดวงกสิณขึ้นมาในใจ หรือ เรียกวิธีการฝึกแบบนี้ว่า การดูดซับดวงธาตุเข้าสู่กายและใจ

    ปล.ผมมีความคิดว่าสักวันหนึ่งอยากจะเปิดโรงเรียนสอนอภิญญา ถ้าไม่ตายซะก่อน แต่ตอนนี้ขอกู้ชาติก่อนล่ะกันครับพี่น้องครับ
     
  4. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946
    แล้วถ้าคนตาบอดนั้น นึกถึงแสงเป็นวงกลมในจิต แล้วเพ่งวงกลมนั้น ถือว่าเพ่งกสิณหรือเปล่า ....?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2014
  5. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ดวงตานั้นบอด แต่อย่างอื่นไม่ได้บอด และที่สำคัญคือ จิตไม่ได้บอด

    คนที่ตาบอด กสินที่ฝึกได้ง่ายคือ กสินสีดำ หรือสีแห่งความมืด ให้ใช้ความมืดเป็นภาพความเพ่งอยู่ในความืด ความืดนี้ หรือสีดำนี้ จะให้อารมณ์ที่สงบนิ่งได้โดยง่าย ทำให้จิตรวมเป็นหนึ่ง ทำให้ตาใน หรือตาที่สาม หรือทิพยจักษุเปิดได้หากฝึกฝนถูกวิธีครับ

    จะทราบได้อย่างไรว่า ตาที่สามเปิด คำตอบคือก็ต่อเมื่อการฝึกของท่าน เมื่อที่สุดแห่งความมืด อันสงบนิ่ง จิตเข้าสู่ระดับฌาณ เมื่อนั้นความสว่างก็จะปรากฏ ทำลายความมืด ในขณะนั้น แสงสว่างภายในจิตในสมาธิก็จะปรากฏเป็นแสงสว่างจ้า เมื่อนั้นแหละคือดวงตาที่สามเปิดแล้ว หรือทิพยจักษุเปิดแล้ว เมื่อฝึกต่อไปต่อเนื่องไปอีก ภาพนิมิตแห่งทิพยจักษุก็จะปรากฏอีกมากมายนับไม่ถ้วน สามารถเห็นด้วยตาในได้ดียิ่งกว่า ตานอกของคนเราทั่วๆไปที่ไม่สามารถมองเห็นในสิ่งที่ไกลออกไป แม้อดีต ปัจจุบัน อนาคต ก็สามารถเห็นได้ ซึ่งตานอกของเราๆนั้นเห็นไม่ได้นั่นเองครับ สาธุ
     
  6. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ==================

    ต้องขออธิบายพื้นฐานก่อนให้เข้าใจว่า
    กสิน หมายถึงการเพ่ง มีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้นๆเป็นเอกคตารมณ์หรือเรียกว่าเป็นอารมณ์เดียวเท่านั้น

    การเพ่ง นั้น ปกติอาศัยรูป เพื่อจดจำรูปแล้วนำไปเพ่งเป็นอารมณ์ให้เกิดเป็นอารมณ์เดียวเท่านั้น[อาศัยรูปธรรม ก่อให้เกิดเป็นนามธรรมและรูปธรรมปรากฏแก่จิตในสมาธิ ที่สุดคือจิตสามารถกำหนดรูปและนามเหล่านั้นได้ตามต้องการ]

    แต่ก็ยังหมายรวมถึงการอาศัย เสียง สัมผัส กลิ่น รส จดจำเป็นอารมณ์และนำไปเพ่งในอารมณ์นั้น ให้มีอารมณ์เพียงหนึ่งเดียวเป็นหนึ่งเดียว [อาศัยนาม เพื่อก่อให้เกิดรูปธรรม แล้วจิตเพ่งอารมร์นั้นไว้ ก่อให้เกิดนามธรรม รักษาอารมณ์นั้นไว้ ควบคุมไว้ ทั้งนี้จิตสามารถควบคุมให้เกิดเป็นรูปนามได้ตามที่กำหนด]

    ดังนั้น ในกรณีที่ถามมานั้น แม้ตานอกจะไม่ได้เห็นรูป แต่สัมผัสอื่นๆสามารถจำจำแล้วสร้างเป็นมโนภาพหรือสร้างรับรู้ความเป็นอารมณ์อย่างนั้น แล้วน้อมจิตจดจำและเพ่งอยู่เฉพาะรูปนามเหล่านั้น จนสามารถเกิดเป็นเอกคตารมณ์ หนึ่งเดียวได้ สามารถพัตนาต่อไปจนเกิดเป็นอุคหนิมิต และปฏิภาคนิมิตได้ครับ จึงจัดว่าเป็นการฝึกกสินวิธีหนึ่งครับ สามารถทำได้ครับ สาธุ
     
  7. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946
    แล้วสมาธิที่ได้จากการฝึกกสิณกับฝึกสติปัฎฐานสี่นี่ต่างกันอย่างไร
    แล้วอาณาปาณสติ กับ สติปัฏฐานสี่ เหมือนกันหรือไม่ อย่างไร
     
  8. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ต้องบอกว่าเป็นสองจังหวะ


    จังหวะที่ฝึกกสิณ สมาธิที่ได้จะเป็น สมถะ เป็นไปในทางอิทธิฤทธิ์

    สามารถน้อมไปอภิญญาห้าได้ง่าย

    ทีนี้ จังหวะที่สอง
    หากทำสมาธิจากกสิณได้ วกมาเดินสติปัฏฐาน ก็ทำได้เช่นกัน
    เรียกว่า ทำฐานสมาธิด้วยกสิณ แล้วหันมาเดินควบสติปัฏฐาน

    หากถามว่า เพ่งกสิณ แล้วมาเดินสติปัฏฐานอย่างไร
    ทำได้ง่ายมากเช่น

    สมมุติ ว่า ฝึกกสิณไฟจากเทียน

    เราเพ่งไฟจากเทียน จนปฏิภาคนิมิตเกิด
    ลักษณะ ปฏิภาคนิมิต กสิณไฟ จะต้องลอยอยู่ ตรงหน้า
    เหมือนมองไปที่ ตอนหลับตา แล้วเรามองเห็น
    มันจะรู้สึกว่า ปฏิภาคนิมิตนั้น ลอยอยู่ตรงหน้าใกล้ๆ
    ยังกะลืมตามอง เพียงแต่ มองทะลุเปลือกตาไปเห็น
    มันจะชัดเจนเหมือนลืมตาเห็น

    ทีนี้ หากเราสามารถเห็นอย่างชัดเจนแบบนั้น
    จนสามารถ เคลื่อนย้าย ย่อ ขยาย รูปนิมิตปฏิภาคนั้น
    ที่เห็นได้ตามชอบใจแล้ว เราจะสามารถทำอิทธิฤทธิ์ ได้อย่างง่ายๆ
    วิธีทดสอบคือ เพ่งให้เทียนดับ ถ้ายังดับเทียนไม่ได้
    แสดงว่า พลังจิตยังไม่มากพอ อันนี้ เป็นฐานที่ได้จากกสิณไฟ
    หรือจะเรียกว่า เป็น สมาธิจากกสิณไฟ

    หากจะนับเข้าสติปัฏฐาน ก็เรียกว่า ยัง
    แต่ เป็นแต่เพียงพลังจิตในเบื้องต้น

    ทีนี้ เมื่อจะวกเข้า สติปัฏฐาน จะวกเข้าด้วยการทำอย่างนี้ เช่น

    เมื่อเราเพ่งเทียน จนปฏิภาคนิมิตเกิด หลังจากที่เรา หยุด
    หรือ ออกจากสมาธิของกสิณไฟ จิตที่มีพลังในการเพ่งไฟนั้น

    พอออกมากระทบโลก มันจะเหมือนว่า มีความโกรธ
    หรือ มีโทษะ เกิดขึ้นไดง่าย
    ในกรณีนี้ไม่ใช่ว่า ฝึกกสิณไฟแล้วจะเป็นคนโกรธ
    หรือมีโทษะแรง หรือมีโทษะง่าย

    แต่เกิดจาก จิตที่มีการเพ่งในดวงกสิณ มันจะมีลักษณะในการเพ่ง
    พอมีอะไรมากระทบ แล้วเกิดขึ้น จิตจะสัมผัสได้เร็ว
    ทำให้ดูเหมือน เห็นความโกรธ ได้เร็ว เลยดูเหมือนว่า เป็นคนโกรธได้เร็วขึ้น
    แต่ ความจริง จิตสามารถ ตามรู้ความโกรธ หรือ รู้ตามโทษะที่เกิดได้ไวขึ้น

    ทีนี้ หาก ผู้ฝึก เมื่อรู้ตามความโกรธได้ไวขึ้น และพยายามประครอง
    ให้จิตเป็นผู้รู้ตามความโกรธ หรือโทษะอันนั้น อย่างเป็นผู้เฝ้าดู ดูความโกรธห่างๆ
    ยิ่งหากทำได้ต่อเนื่อง จะทำให้สติ มีความแก่กล้า รู้เท่าทันโทษะได้ในที่สุด

    ลักษณะนี้ เป็นการฝึกกสิณไฟ แล้ว เดินเข้าสติปัฏฐาน

    หากจะบอกว่า สมาธิที่ได้จากกสิณ
    ต่างจาก สมาธิที่ได้จากสติปัฏฐานอย่างไร
    ตอบว่า สมาธิจากกสิณ เป็นพื้นฐานของสมถะ
    อันเป็นไปเพื่อหรือนำไปใช้เพื่ออิทธิฤทธิ์ก็ได้

    และ ก็นำมาฝึกเพื่อปัญญาก็ได้
    ซึ่งตรงนี้ จะทำได้เฉพาะผู้ที่ได้ผ่านการเรียนรู้
    วิธีการของสติปัฏฐาน จึงจะนำมาใช้ได้
    แต่ถ้า ไม่ผ่านการเรียนสติปัฏฐาน
    จะไม่สามารถเอาสมาธิ จากกสิณมาเดินปัญญาได้
    จะเป็นไปแต่ เพื่ออิทธิฤทธิ์ และเพื่อความสงบแต่อย่างเดียว

    แต่สมาธิ ที่เดินเข้าสติปัฏฐาน
    จะทำหน้าที่ ในการละอาสวะกิเลสแต่ถ่ายเดียวเมื่อสัมปยุตกันขึ้น
    เรียกว่า เป็นการกระเทาะกิเลสออกทีละนิด จนหมดไป
    ไม่ใช่การกดทับแบบหินทับหญ้า

    ส่วน อานาปานะสติ กับ สติปัฏฐาน

    ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่าง
    หากฝึก อานาปานะสติ ก็เหมือนกับการฝึกสติปัฏฐานโดยตรง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 มกราคม 2014
  9. ฅนคอน2517

    ฅนคอน2517 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2010
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +190
    ผมว่าน่าจะฝึก อาณาปาณสติดีกว่าครับ
    น่าจะเหมาะกว่า ตามความเห็นส่วนตัวนะครับ
    ขออนุโมทนา...สาธุครับ
     
  10. mumoon

    mumoon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2011
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +82
    การเพ่ง(เป็นการที่ใจจดจ่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่นจ้องจะจับผิดคนอื่นก็เรียกว่าเพ่งโทษคนอื่น)กสิณที่รู้ มีแสงสว่าง ดิน น้ำ ลม ไฟ ส่วนกสิณสีมี แดง เหลือง เขียว ขาว (แต่กสิณสีดำไม่เคยได้ยินนะ) ถ้าตาบอดน่าจะเหมาะกับการเพ่งลมหายใจเข้าออกมากกว่า(พุท โธ หรือกสิณลม (อันนี้ไม่รู้ว่าได้หรือเปล่า)
     
  11. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946
    การเพ่งลมหายใจ กับการตามรู้ดูลมหายใจเหมือนกันไหมคะ?
     
  12. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    เป็นสมถะ เหมือนกัน ถ้าอยากได้วิปัสสนาขอเชิญไปเพ่งในห้องส้วมครับ

    แต่รู้สึกชักจะออกทะเลแล้วนาครับ หุหุ
     
  13. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946
    ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ออกทะเล หมายถึง การตอบโดยเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่นๆ ทำให้คนตอบต่อๆ มาเริ่มหลงประเด็น สุดท้ายกระทู้นั้นก็จะไม่ได้รับการสนใจต่อเนื้อหาและประเด็นที่เจ้าของกระทู้ได้ตั้งไว้แม้แต่นิดเดียว

    ซึ่งประเด็นที่เจ้าของกระทู้ถาม คือ คนตาบอดสามารถฝึกกสิณได้ไหม ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าหลายคำตอบก็ได้แจกแจงไว้สมบูรณ์แล้ว เช่นคำตอบของท่าน tjs เป็นต้น และเรื่องที่ข้าพเจ้าถามก็เป็นเรื่องที่เกีียวกับการฝึกสมาธิเช่นกัน ไม่น่าจะทำความเสียหายให้กระทู้ถึงขนาดทำให้ผู้ตอบหลงประเด็น และเนื่องจากประเด็นที่ข้าพเจ้าถาม เป็นประเด็นเล็กๆ เกี่ยวกับข้อสงสัยของข้าพเจ้าเองในการปฏิบัิต ดูแล้วก็ไม่น่าจะต้องตั้งกระทู้ให้เปลืองพื้นที่เว็บ จึงได้อาศัยพื้นที่กระทู้นี้ในการตั้งคำถาม แต่หากคำถามของข้าพเจ้าสร้างความรำคาญหรือความเสียหายให้แก่กระทู้ข้าพเจ้าก็ต้องขออภัยเจ้าของกระทู้ ท่าน ghosthead และเพื่อนสมาชิกท่านอื่นๆ ไว้ ณ ที่นี้ ด้วย

    ส่วนเรื่องการวิปัสนานั้น ตามที่อ่านมาบ้างนั้น เข้าใจว่าสามารถกระทำได้ทุกที่ ทุกเวลา ไม่ทราบว่าท่าน ghosthead รู้สึกสนุกและสะใจมากใช่มั๊ยที่ได้ใช้วาจาและกิริยาเช่นนี้ กับเพือนสมาชิก เพราะข้าพเจ้าพิจารณาดูแล้วคำตอบแบบนี้ไม่ได้สร้างสรรค์และเกิดประโยชน์กับตัวข้าพเจ้าหรือเพื่อนสมาชิกท่านใดเลย หรือนี้เป็นมุขตลกสไตล์ท่าน headghost ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2014
  14. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ===============

    เป็นกสิน ที่อาศัยนิมิต กำหนดเป็นรูป แล้วอาศัยรูปหรือนิมิตนั้น เป็นอารมณ์หนึ่งเดียว อาศัย นิมิต ที่เรียกว่า อุคหนิมิต สร้าง ปฏิภาคนิมิต ให้เกิดต่อเนื่อง เป็นนิมิตที่ละเอียดขึ้นตามลำดับ
     
  15. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    แล้วสมาธิที่ได้จากการฝึกกสิณกับฝึกสติปัฎฐานสี่นี่ต่างกันอย่างไร
    =============
    ต่างกันตรงที่ กสินอาศัยการเพ่ง รูปนามหนึ่งสิ่ง เป็นการควบคุมบังคับให้จิตเสวยหรือจดจ่ออยู่กับรูปนามเหล่านั้น ส่วนสติปัฏฐาน4 เป็นการเจริญสติ เป็นการอาศัยความแน่วแน่ในการตามรู้ สภาวะในกาย เวทนา จิต ธรรม ไม่ได้บังคับให้จิตรู้หรือคิด แต่อาศัยสมาธิในการตามรู้ ตามดูสภาพความเป็นจริงที่ปรากฏจาก กาย เวทนา จิต ธรรมารมณ์
    สรุปคือ กสินอาศัยการฝึกการควบคุมบังคับให้จิตจดจ่อเพ่งอยู่ในรูปนามสิ่งนั้น ส่วนสติปัฏฐาน4เป็นสมาธิแบบปล่อยวางแค่อาศัยความแน่วแน่ในการตามดูตามรู้สภาวะต่างๆของกาย และจิต นั่นเองครับ


    แล้วอาณาปาณสติ กับ สติปัฏฐานสี่ เหมือนกันหรือไม่ อย่างไร
    ==================
    อาณาปานสติ เป็นการฝึกสติอาศัยการกำหนดรู้ อาศัยสติเป็นเครื่องกำกับควบคุมสามารถใช้เป็นบาทฐานของสติปัฏฐาน4
    ส่วนสติปัฏฐาน4อย่างที่กล่าวมาครับคือเป็นการฝึกสมาธิ อาศัยสติ เป็นเครื่องเข้าไประลึกรู้หรือเห็นในสภาพธรรมชาติความจริงของกาย เวทนา จิต ธรรมารมณ์ ครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2014
  16. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ==============

    ต่างกัน การเพ่งก็ชัดเจนอยู่แล้วคือ จดจ่ออยู่กับลมหายใจ รู้เฉพาะลมหายใจว่าเข้าคือเข้า ออกคืออกเท่านั้น จิตจะไม่ส่ายไปรู้อย่างอื่น

    ส่วนการตามรู้ จะมีอาการคือ รู้ว่าตอนนี้ลมหายใจเข้า รู้ว่าลมหายใจออก รู้ว่ากำลังหายใจออกยาวและสั้น มีความสามารถเข้าไปรู้สภาวะความจริงได้มากมาย ของการหายใจเข้าและออก เป็นส่วนที่ก่อให้เกิดปัญญารู้แจ้งในสัจธรรมมากมายครับ
     
  17. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ==============

    กสิน พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้มากมาย อย่างกสิน สีดำ กระผมไม่ได้กำหนดขึ้นมาเอง กระผมก็ได้รับคำสอนจากครูอาจารย์ กสินสีดำ ท่านใช้สำหรับ ต้องการให้เกิดความมืดทำให้เกิดเป็นเมฆสีดำในสถานที่นั้นๆ ทำให้บริเวณนั้นมืดสนิทแบบกลางคืน ในอดีตก็มีการใช้กสินเช่นนี้ในสงคราม ก็มี
    ดังนั้น กสินสี นั้น สามารถใช้สีได้ทุกสี เป็นกสินได้ทั้งสิ้นครับ

    ส่วนคนตาบอด จะฝึกด้วยกสินลมก็เหมาะเช่นกันเพราะง่ายต่อการรับรู้อารมณ์แล้วนำมาเป็นบาทฐานของการฝึกครับ ก็ได้เช่นกันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2014
  18. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ============

    เมื่อเห็นแล้ว ดูแล้ว ซึมซับไว้มากแล้ว ต้องทำให้เกิดปัญญาจริงๆ ให้จิตมันยอมรับ ด้วยนะครับ อย่าสักแต่ว่าเพ่ง มองไปอย่างนั้น ต้องให้จิตมันยอมรับ ในความสกปรก ในกากหรือของเหลวที่ย่อยแล้วขับออกมานะครับ แล้วพิจารณาในกายเรา ดูให้ทั่วว่ามันเป็นอย่างไร แท้จริงมันคืออะไร แล้วกายเรามันต้องเสพปัจจัย4อะไรอย่างไร ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น แล้วการสืบพันธ์มันเป็นเรื่องของกายอย่างไร ที่มันเป็นของมันอย่างนั้น

    พระพุทธองค์สอนว่า การพิจารณากายแค่ตัวเดียว ก็สามารถถอนกิเลสได้มากมายนัก สามารถหลุดพ้นทุกข์ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกได้ครับ สาธุ
     
  19. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ถ้าผมไม่ได้อ่านชื่อ ผมคิดว่ากำลังคุยกะคุณดัซเชส ซะอีกนะเนี่ย

    แล้วคุณน่ะไปตอบไปรู้แทนเจ้าของกระทู้ได้ยังไงว่าเค้าเข้าใจแล้ว ทั้งๆที่เจ้าของกระทู้ยังไม่ได้เข้ามาตอบด้วยซ้ำ แบบนี้มันเข้าข่ายทุจริต เสียบบัตรแทนกัน ชัดๆ

    คนที่รู้เพราะจำได้ กับคนที่รู้เพราะทำได้มันต่างกัน
    ทั้งที่สมองก็จำได้ว่าวิปัสสนาทำได้ทุกที่ทุกเวลา แต่ปากกลับวิปัสสด่า คือด่าได้ทุกที่และทุกเวลา

    สิ่งที่ผมยกมา ผมยกมาให้สงสัย และถ้าไมเข้าใจให้ถาม
    ถ้าเป็นคนใฝ่ธรรม เข้าจะต้องถามต่อว่าเหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้ เช่นนั้น ว่าต้องเป็นสถานที่นี้ ที่นั้น ซึ่งผมก็จะได้อธิบายธรรมในขั้นต่อไป

    แต่นี่ไม่ได้เจริญปัญญาเลย มีแต่จับจ้องในทุกตัวอักษรของผมว่าจะแย้งมันยังไง มันผิดตรงไหน จะต้องแก้แค้น จะต้องเอาคืน ซึ่งมันเต็มไปด้วย ทิฏฐิ มานะ โทสะ โมหะ ทั้งนั้น ถ้าผมฝืนอธิบายธรรมต่อไปมันก็ไร้ประโยชน์ เพราะอารมณ์ของคุณมันไม่ได้อยู่ในช่วงที่จะได้มรรคได้ผลจากการฟังธรรมใดๆ

    --------------------------------------------------------------

    การเข้าห้องน้ำ-ห้องส้วม เราเข้าไปเพื่ออะไร เพื่อปลดทุกข์ใช่ไหม
    ถ้าเราปวดอุจจาระ เราก็ต้องเข้าส้วมมาถ่ายอุจจาระใช่ไหม
    พอเราถ่ายออกมา ลองดมดูซิ มันหอมหรือเหม็น และก้อนอุจจาระนั้นมันสวยงามหรือน่าเกลียด
    ถ้าเรามัวนั่งดมอยู่อย่างนั้น เพ่งมันมองมันอยู่อย่างนั้น มันจะหายเหม็นมั้ยล่ะ
    มันจะสวยงามขึ้นมั้ยล่ะ
    แล้วทำอย่างไรมันจึงจะหายเหม็น
    ก็แค่กดชักโครก หรือ ราดน้ำใช่มั้ยล่ะ ลองดมอีกทีซิ หายเหม็นรึยัง

    ----------------------------------------------------------------

    ไหนลองเจริญปัญญาซิ ว่า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค คืออะไร
    ขี้อยู่ทุกวัน ดมอยู่ทุกวัน กดชักโครกอยู่ทุกวัน เคยวิปัสสนา บ้างมั้ย

    ขันธ์5 ก็ทุกข์มากพออยู่แล้ว ยังจะสร้างขันธ์6 ขันธ์7 ขันธ์8 ขึ้นมาอีกทำไม
    จิตน่ะมันมีดวงเดียว ต่อให้สร้างมาอีกเป็นร้อยขันธ์ มันก็หนีทุกข์ไม่ได้หรอก มีแต่จะเพิ่มจะสะสมความทุกข์เข้ามาเก็บไว้ในดวงจิตอันเดียวนี้ ดูซิขันธ์6 โดนแบน ขันธ์7 โดนแบน มันทุกข์มั้ย พอมาขันธ์8 ดันลืมว่ายังไม่โดนแบน แต่ดันทุกข์เพราะอะไร เพราะความทุกข์มันเก็บสะสมมาไง

    ----------------------------------------------------------------

    แสดงธรรมตามมีตามเกิด
    ใครเข้าใจก็สาธุ ใครไม่เข้าใจก็ชั่งเผือก อิอิอิ
     
  20. ความตาย-1

    ความตาย-1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +44
    จขกท.เค้ายังไม่สนใจเลย แค่ตั้งคำถามแล้วก็หาย
    แล้วคุณๆมาเถียงกันทำไมให้เมื่อย
     

แชร์หน้านี้

Loading...