การแสดงความเห็นที่อาจเป็นกรรมได้แบบไม่รู้ตัว

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย สุทธินันท์, 31 พฤษภาคม 2014.

  1. สุทธินันท์

    สุทธินันท์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +362
    คนเราส่วนใหญ่จะคุ้นหู กับคำว่า อนุโมทนาบุญด้วยนะ เมื่อเห็นใครทำความดีก็ยินดีกับเขา ว่ากันว่า อานิสงฆ์ก็จะสูงเกือบเท่าๆ กับคนที่ทำบุญนั้น (ขึ้นอยู่กับความจริงใจว่ามากขนาดไหน) ในทางกลับกัน หากเราเห็นใครทำสิ่งที่ไม่ดี แต่เราก็ยังสนับสนุน นั่นเท่ากับว่าเรากำลัง อนุโมทนาบาป กับสิ่งที่เขากำลังทำอยู่

    ในสถานะการณ์ที่บ้านเมืองมีความสับสนวุ่นวาย ยากแก่การที่จะรู้ว่าใครผิดใครถูก ก่อนที่จะให้การสนับสนุน หรือแสดงความคิดเห็นอยากให้พิจารณาและไตร่ตรองให้ดีครับ กรรมที่เกิดขึ้น เป็นกรรมกับประเทศชาติ เจ้ากรรมนายเวรก็คือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ดีที่สุดคือมีสติครับ รู้อย่างเดียว อย่าใส่อารมณ์กับสิ่งที่กระทบ

    อันนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม และบุญรักษาครับ
     
  2. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    สาธุ เห็นด้วยค่ะ เราควรมีสติและพยายามทำแต่ความดี ให้ทาน รักษาศีล สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิและแผ่เมตตาให้กับทุกๆคนค่ะ เพราะทุกๆอย่างที่เราเห็น เราคิด ข้อมูลที่เรารับรู้รับฟังมันยากที่จะแยกแยะถูกผิด เนื่องจากเป็นการต่อสู้กันทางการเมือง ดังนั้นทั้ง 2 ฝั่งก็มีคนดีๆและคนไม่ดีอยู่ด้วยกันทั้งนั้นค่ะ และสิ่งที่สำคัญก็คือ การได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นเป็นของยาก...ทั้งตัวเราเองและคนอื่นๆค่ะ


    ดีใจที่เห็นกระทู้นี้ เพราะช่วยเตือนสติให้รู้จักใช้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น มาเป็นประโยชน์ในการทำบุญบารมีค่ะ สาธุ /\
     
  3. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ก็ประมาณนั้นครับ ผมหลงไปกับสิ่งเหล่านี้นานมาก ชอบมากที่ว่า
    ฝั่งโน้น นั้นดีถูกต้อง ฝั่งโน้น นั้นไม่ดีไม่ถูกต้อง
    คนโน้น นั้นดีถูกต้อง คนโน้น นั้นไม่ดีไม่ถูกต้อง (ชอบ)
    แต่บางครั้งไม่ได้ดั่งตั้งใจ ก็จะคิดจินตนาการ ลบ ล้าง ทำลาย
    เพื่อให้ได้มาซึ่งความถูกต้อง เป็นจริง ยุติธรรม เพราะว่าทางออก
    คือ ฆ่าทำลาย เพื่อความ สุข สงบ เพื่อเป็นความยุติธรรมให้เกิด
    มีอยู่ นั่นเป็นบุญ บารมี แต่สิ่งสุดท้ายที่คิดได้คือ เราไม่มีกำลัง หรือ
    ไม่ควร เพราะทุกชีวิต ย่อมมีสิทธิเสรีภาพ ที่เท่าเทียม เขาควรยังต้อง
    มีชีวิตอยู่ ที่เป็นโอกาศเป็นสิทธิ ของเขา เพราะสิ่งที่เราไปหลง ความมีตัวตน
    ตามกระแสในทางโลก เอาจิตของตนส่งออกนอก ไปสนใจ ตัดสิน สัตว์-บุคคล
    นั้นมากเกินไป ไม่มองมาที่จิตของตนเอง มองความเป็น มี อยู่ ของตนเอง ไม่ละ
    ลด เลิก ให้มีความเป็นไปโดยธรรมชาติ ปล่อยวาง มันยากจริงๆที่จะทำให้ทุกคน
    นั้นคิดได้แบบนี้ ผมว่ามันต้อง เชื่อมั่น ศรัทธา วิริยะ กระทำอย่างต่อ เนื่อง ยาวนาน
    จริงๆ เห็นอย่างนี้แล้ว ท่านคิดว่า ท่านจะยังประโยชน์แก่เขาเหล่านั้นด้วยวิธีใดบ้างหนอ
     
  4. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743

    สาธุค่ะคุณโซที่คุณใช้การมองจิตของตนเองและพิจารณาให้เห็นถึงความเป็นจริงนะคะ


    ส่วนตัวก็เคยผ่านการเป็นผู้ที่ยึดติดกับทั้ง 2 ฝ่ายอย่างสุดโต่งเลยเหมือนกัน(คือมีความคิด ความเชื่ออย่างสุดโต่งในทั้งสองฝั่ง) ทั้งนี้สาเหตุคงเป็นเพราะต้องทำบารมีในทางพุทธภูมิเลยต้องผ่านการเรียนรู้อ่ะคะ ซึ่งการเมืองถือเป็นเรื่องที่อยู่ในพื้นที่อ่อนไหว(Sensitive Area) เช่นเดียวกับเรื่องของศาสนา ทำให้เราสลัดหลุดจากความเชื่อที่ครอบงำและหันมามองอย่างมีสติปัญญาแยกแยะให้เห็นตามความเป็นจริงได้ยากค่ะ


    แต่เมื่อผ่านบทเรียนดังกล่าวมาพอสมควรแล้ว ส่วนตัวมองว่า เราไม่สามารถรู้ได้จริงๆว่าใครถูกหรือผิด จนกว่าเราจะสามารถพิสูจน์ได้โดยอาศัยหลักฐานและประจักษ์พยานต่างๆ ดังนั้นสิ่งที่เรารับรู้รับฟังมานั้น ก็เลยเป็นแต่เพียง"เขาเล่าว่า"เท่านั้น แต่วิธีการเล่าของเขาทำให้เรารู้สึกคล้อยตามและเชื่อโดยไม่รู้ตัว จนในที่สุดก็สามารถทำให้เราปักใจและมองว่าบุคคลต่างๆที่ถูกกล่าวถึงนั้นเป็นคนที่ไม่ดี จนส่งผลให้เรามีการกระทำ(กรรม)ทางใจ วาจา และกายที่เป็นอกุศล ซึ่งนับเป็นความขาดทุนของการสร้างบุญบารมีอย่างแท้จริง


    และโดยธรรมชาติความเป็นจริงแล้ว ถ้าหากว่าเราเป็นผู้ที่ฝึกจิตมาพอสมควร ย่อมจะรู้ว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้นไม่มีใครที่จะดีได้ทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ ยกเว้นท่านที่เป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ที่ท่านมีความมั่นคงในทาน ศีล และภาวนา(ตัดสังโยชน์ 3 ประการได้)แล้วนั่นเอง และเมื่อกลับมามองที่ใจของเรา เราก็ย่อมรู้ว่าใจของเราในแต่ละวันนั้นก็ไม่ได้ถือว่าเป็นคนดีเท่าใดนัก เพราะจิตของมนุษย์ล้วนคลุกคลีอยู่กับนิวรณ์ 5 ประการอยู่เป็นประจำ ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้จิตเราเศร้าหมอง และเสี่ยงต่อการตกอบายภูมิได้อยู่เสมอๆนั่นเอง


    เมื่อมองอย่างนี้แล้ว ส่วนตัวจึงพยายามฝึกฝนตนเองให้อยู่ในพรหมวิหารธรรม ๔ ประการ ตามที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานแห่งวัดท่าซุงท่านได้สอนไว้ ด้วยการพิจารณาให้เห็นถึงความเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย เฉกเช่นเดียวกันกับเรา และมองให้เห็นความเป็นธรรมดาของกฎแห่งกรรมที่กำลังเกิดขึ้น และพยายามทำบุญ รักษาศีล ทำสมาธิ แล้วอุทิศส่วนกุศลและแผ่เมตตาให้กับทุกคนทุกฝ่าย และทุกๆท่านที่อยู่ในภพภูมิต่างๆค่ะ และถ้าหากมีโอกาส เราก็จะค่อยๆชักชวนเพื่อนๆในทางธรรมให้เห็นความจริงที่เกิดขึ้น และหันมารักษาจิตเพื่อสั่งสมบุญบารมีให้ยิ่งๆขึ้นไปค่ะ อย่างน้อยๆจะได้เป็นน้ำเย็นที่ช่วยกันดับไฟความเร่าร้อนที่เกิดขึ้นนั่นเอง


    สุดท้ายนี้ ส่วนตัวมองว่า ถ้าเราอยากจะทราบว่าคนดีนั้นเป็นอย่างไร ให้มองจากตรงนี้ค่ะ (สามารถปรับใช้กับบุคคลอื่นๆที่ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนาได้นะคะ)


    "การเข้าถึงความดีในทางพระพุทธศาสนา" โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)


    *** ถ้าบุคคลใดไม่สนใจในจริยาของบุคคลอื่น ไม่เพ่งเล็งบุคคลอื่น ไม่ยกตนข่มท่าน ไม่มีความ
    ประมาท มีจริยาดี มีความสงบ ใคร่ครวญเฉพาะความประพฤติของตัว อย่างนี้ชื่อว่าเข้าถึง
    สะเก็ดความดีที่ตถาคตสอน


    *** แล้วบุคคลใดไม่ทำลาย ศีล ในตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้บุคคลอื่นทำลาย ศีล ไม่ยินดีเมื่อ
    บุคคลอื่นทำลาย ศีล แล้วสามารถระงับ นิวรณ์ ๕ ได้ตามต้องการ จิตทรงฌาน มีอารมณ์ทรง
    พรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ ชื่อว่าเป็นผู้ทรงฌานโลกีย์ อย่างนี้ถือว่าเข้าถึงเปลือกความดีที่
    พระองค์ทรงสั่งสอน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2014

แชร์หน้านี้

Loading...