การทำบุญ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย C_Chatt, 24 สิงหาคม 2015.

  1. C_Chatt

    C_Chatt Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +45
    ผมมีข้อสงสัย การไหว้บรรพบุรุษผู้ล่วงลับตามประเพณี...กับการทำบุญ ใส่บาตรทำสังฆทาน อุทิศบุญให้กับบุรรพบุรุษผู้ล่วงลับ หรือการไหว้เจ้าที่กับการใส่บาตรให้เจ้าที่ เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร รบกวนด้วยครับ อยากรู้
     
  2. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941


    การไหว้บรรพบุรุษผู้ล่วงลับตามประเพณี--นี่เป็นเรื่องของประเพณี ในหมู่ชนที่มีความเชื่อต่างจากพระพุทธศาสนา....เขาไม่ทราบความจริงว่า เมื่อบรรพบุรุษตายแล้ว ย่อมเกิดใหม่ทันทีตามกรรมที่ตนทำไว้แตคิดคาดคะเนเอาเพราะไม่รู้ ว่ามีสิ่งที่เรียกว่าวิญญานของบรรพบุรุษอาศัยอยู่ในสุสานฝังศพ..จึงมีการประชุมลูกหลาน นำอาหารแลเครื่องสักการะต่างๆมาถวาย..ซึ่งในความจริงแล้วบรรพบุรุษก็ไม่ได้รับอาหารหรือเครื่องสักการะเหล่านั้นเลย..

    การทำบุญ ใส่บาตรทำสังฆทาน อุทิศบุญให้กับบุรรพบุรุษผู้ล่วงลับ--นี้เป็นกิจของชาวพุทธที่พึงกระทำ เพื่ออุทิศกุศลให้ญาติผู้เสียชีวิต เป็นช่องทางเดียวที่ผู้ตายอาจมีโอกาสรับได้ หากได้ทราบกิจแห่งบุญนี้แล้วอนุโมทนา เป็นการยังจิตตนให้เกิดบุญ บุญย่อมจัดแจงส่งผลที่น่าปรารถนาให้ผู้ตายได้ และแม้ผู้ตายไม่ได้รับ ผู้ที่ทำบุญก็ย่อมได้บุญนั้นโดยแน่แท้อยู่เองแล้ว..


    การไหว้เจ้าที่กับการใส่บาตรให้เจ้าที่--การไหว้เจ้าที่เป็นเรื่องของการแสดงความเคารพนอบน้อมท่านด้วยเครื่องสักการะโดยตรง
    --ส่วนการใส่บาตรให้เจ้าที่ก็เป็นการเเสดงความนอบน้อมสักการะท่านด้วยการอุทิศบุญให้ ซึ่งวิธีนี้ก็เป็นวิธีที่สามารถส่งบุญให้เจ้าที่ได้ และดีกว่าการไหว้แบบแรก เพราะเจ้าที่ส่วนมากคือเหล่าภุมเทวดาที่อาจอาศัยในบริเวณนั้นหรือใกล้เคียง หากท่านทราบว่าเราอุทิศบุญให้ ท่านอนุโมทนา บุญย่อมเกิดแก่ท่านได้..
     
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ถาม : เราไปไหว้บรรพบุรุษกับทำสังฆทาน..?

    ตอบ : ให้ทำทั้ง ๒ อย่าง เราไปไหว้บรรพบุรุษเพื่อกันบรรพบุรุษด่าเรา โดยเฉพาะพ่อแม่ที่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วเราก็มาถวายสังฆทานอุทิศให้ อย่างแรกเราทำเพื่อรักษาประเพณีและกันคนเป็นด่า จนกว่ารุ่นเราจะเป็นรุ่นที่อาวุโสที่สุด แล้วค่อยเปลี่ยนมาถวายสังฆทานอย่างเดียว แต่ถ้ามีคนใหญ่กว่า อาวุโสกว่าก็ไหว้ไปก่อน

    ผู้ใหญ่เขาทำตามประเพณีมาเรื่อยๆ บางอย่างเขาไม่รู้ว่าทำเพื่ออะไร รู้แต่ว่าต้องทำ ในเมื่อกลายเป็นประเพณีแล้ว ถึงเวลาก็ต้องทำตามเขาไป ที่บ้านอาตมานอกจากพี่ชายคนโตแล้วก็ไม่มีใครไหว้เจ้าแล้ว ที่พี่ชายคนโตยังไหว้เจ้าอยู่เพราะทำมาตั้งแต่เด็ก อายุ ๗๐ กว่าปีแล้วก็ยังทำต่อไปเรื่อยๆ เพราะฝังหัวไปแล้ว ส่วนคนอื่นๆ ก็เข้าวัดทำบุญกัน

    ถ้าเริ่มจากตอนแรกเลย ที่บ้านอาตมานับถือ เจ้าแม่กวนอิม ไหว้เจ้า ไม่กินเนื้อ พออาตมาเริ่มปฏิบัติ ทุ่มเทจริงๆ ก็ช่วงเรียนมัธยมอายุ ๑๐ กว่าปี ช่วงแรกเขาก็ว่าอาตมาบ้ากันทั้งนั้น พอทำไปแล้วเกิดผล เขาก็ค่อยๆ มั่นใจ แล้วก็คล้อยตามมา

    โดยเฉพาะตอนที่ถูกหวยนี่มั่นใจมาก..! พิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่ทำมาใช้ได้จริง ขนาดดูหวยยังถูก อย่างอื่นก็ต้องถูกสิน่า ความจริงเขาเข้าใจผิด การดูหวยถูก แต่การตั้งกำลังใจในการปฏิบัติอาจจะผิด แต่คราวนี้ไปทำให้เขาศรัทธาแล้ว ท้ายสุดพี่น้องลูกหลานก็ตามมาหมด แต่ถึงจะตามมาหมด กำลังใจแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน

    บางคนเข้าวัดก็เพราะว่าอยากได้ หวย บางคนเข้าวัดเพราะอยากได้วัตถุมงคล บางคนเข้าวัดเพราะตามคนอื่นเขาไป บางคนเข้าวัดเพราะอยากจะมาปฏิบัติธรรม บางคนก็อยากเก่งเหมือนหลวงน้าหลวงตาก็ไปกันเรื่อย โดยเฉพาะรุ่นหลังๆ อยากเก่งเหมือนหลวงน้า อยากเก่งเหมือนหลวงตา เอาเข้าจริงๆ ก็มีความอดทนไม่พอ บวชได้คนละไม่กี่วันก็สึกไปกันหมด


    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๕



    ที่มา : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๕ - กระดานสนทนาวัดท่าขนุน
     
  4. โยมแถวหลัง

    โยมแถวหลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +854
    ผมขออนุญาตถามเพิ่มเติมครับ
    หากลักษณะการส่งบุญไปให้บรรพบุรุษเป็นอย่างที่ท่าน ddman กับคุณ saber กล่าว การที่นำของไปถวายกุมารทองหรือเทพต่างๆ ทั้งผลไม้ อาหาร ท่านเหล่านั้นจะได้รับหรือเปล่า และการทำอย่างนั้นมันเป็นประโยชน์จริงเหรอครับ
     
  5. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ถาม : ไปเอากุมารทองมา แล้วเขาตามไปไหนมาไหน ?

    ตอบ : ให้ตั้งใจถามเขาว่า เขามาเพื่ออะไร

    ถาม : ได้มาปีกว่าแล้วค่ะ ต้องทำอะไรบ้างคะ ?

    ตอบ : ไม่ต้องทำอะไรจ้ะ ทำบุญอะไรก็อุทิศให้เขาก็แล้วกัน บอกว่ากุศลทั้งหมดที่เราสร้างมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขอให้เธอโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าใด ขอให้เธอได้รับด้วย เสร็จสรรพเรียบร้อยจะ ให้เขาช่วยเรื่องอะไรก็บอกเขาไป ให้เขาช่วยดูแลรักษาเรื่องความปลอดภัยของเราทุกครั้งที่เดินทางอยู่ในบ้าน นอกบ้านก็ว่าไป หรือจะให้เขาช่วยในเรื่องอื่นๆ เช่น ขอให้มีความคล่องตัวในด้านหน้าที่การงานก็ว่าไป

    ถาม : ต้องอุทิศส่วนกุศลไหมคะ ?

    ตอบ : อุทิศส่วนกุศลนั่นถูกเลย ถ้ากำลังบุญเราสูงแค่ไหนเขาไปแค่นั้นเลย แต่คราวนี้ท่านทั้งหลายเหล่านี้ส่วนใหญ่จะกตัญญู รู้ว่าได้อะไรไปจากเรา ถึงเวลาก็พยายามตอบแทน ดังนั้น..ถ้าเราขอไม่เกินวิสัย ท่านก็สงเคราะห์ให้ แต่เราไม่ขอท่านก็สบาย นอนตีพุงรออยู่ข้างบนว่าเมื่อไรจะขอสักที

    ถาม : ทุกวันนี้เหมือนกับเป็นการขังเขาหรือเปล่า ?

    ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ...ถ้าเราอุทิศส่วนกุศลให้เขาอย่างนั้นเขาไปได้เลย

    ถาม : กุมารทองเขาอยู่ในภพภูมิอะไรครับ ?

    ตอบ : ต้องดูว่าเขาเอาอะไรมา ส่วนใหญ่จะเป็น สัมภเวสี แต่ถ้าเราอุทิศส่วนกุศลให้เขา ก็จะมีสภาพเป็นเทวดา

    ถาม : สัมภเวสีคือ ?

    ตอบ : พวกที่ตายแล้วยังไม่หมดอายุของความเป็นมนุษย์ จะไปรับความดีความชั่วก็ไม่ได้ ต้องรออายุความเป็นมนุษย์หมดก่อน สมมุติว่าอายุความเป็นมนุษย์ ๘๐ ปี แล้วตัวเองตายตั้งแต่ ๓๐ ปี ก็ต้องร่อนเร่อยู่ ๕๐ ปี ส่วนใหญ่แล้วเป็นพวกที่ตายก่อนอายุ ที่เขาเรียกว่า ตายโหง

    ถาม : อย่างนี้เขาก็อยู่ชั้นจาตุมหาราช ?

    ตอบ : จะอยู่ในเขตของกึ่งๆ จาตุมหาราช ในบริเวณนั้นจะมีที่ตั้งของตำหนักพญายมอยู่ด้วย เขาไปไหนไม่ได้ก็วนเวียนไปเรื่อย

    ถาม : ไม่ใช่เปรตหรือครับ ?

    ตอบ : ไม่ใช่..เปรตนี่รับโทษไปเลย อสุรกายรับโทษไปเลย แต่สัมภเวสียังเร่ร่อนอยู่ รอเวลาหมดอายุขัยความเป็นคน เขาถึงจะไปรับโทษหรือรับความดีได้ ดัง นั้น..ถ้าเราอุทิศส่วนกุศลไปเท่าไร พวกนี้จะได้รับทั้งหมด แล้วถ้าเขาได้รับ เขาจะมีสภาพเหมือนเทวดา ต่อให้ร่อนเร่อย่างไรก็มีความสุข


    ถาม : กุมารทองมีที่เป็นเทวดาไหมครับ ?

    ตอบ : มี..ของ หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม ที่นครปฐม คนเขาถามหลวงพ่อว่าวิชาพวกนี้ต้องเอาผีมาไม่ใช่หรือ ? หลวงพ่อท่านบอกว่า "ข้าเสกจนเป็นเทวดาหมดแล้ว" แสดงว่าอุทิศส่วนกุศลให้เขาจนเป็นเทวดาไปหมด

    ถาม : กุมารทองปฏิสนธิแบบไหนครับ ?

    ตอบ : การปฏิสนธิของกุมารทองเป็นแบบ โอปปาติกะ คือผุดขึ้นก็เป็นตัวตนเลย

    ถาม : อย่างนี้เรียกว่าเปลี่ยนภพภูมิหรือครับ ?

    ตอบ : เปลี่ยน แล้ว..เพียงแต่อยู่ในสภาพของจิตที่ยังไม่ได้ไปในภพภูมิเฉพาะของตน ต้องเร่ร่อนไปเรื่อยๆ จนกว่าหมดอายุขัยความเป็นมนุษย์ ถึงจะไปภพภูมิเฉพาะตามบุญตามบาปที่ตัวเองทำมา

    ถาม : ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาต้องอยู่แบบนี้อีกนานแค่ไหน ?

    ตอบ : ถ้าไม่ใช่ญาติที่เนื่องกันมาหรือไม่ใช่คนที่ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลเฉพาะแก่เขาทั้งหลายเหล่านี้ เขามีกติกาว่าห้ามไปรบกวน อย่างน้อยๆ ก็ต้องเคยเป็นญาติกันมาเขาถึงมาได้

    ถาม : พอเราทำความดี เขาก็แห่กันมาขอ ?

    ตอบ : เราทำความดีก็สว่าง เขาเองเหมือนกับคนที่อยู่ในที่มืด แสงสว่างตรงไหนมาก เห็นชัด เขาก็ลุยไปตรงนั้นแหละ ถ้าตรงนั้นจุดตะเกียงเจ้าพายุ ส่วนเราจุดเทียน เขาก็วิ่งไปหาตะเกียงเจ้าพายุกันหมด

    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    ณ บ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๖


    ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard...?t=3787&page=6
     
  6. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ถาม : ถ้าเราไหว้เจ้าที่เจ้าทาง เอาเหล้าไปเซ่นไหว้ท่าน จะไม่เป็นไรหรือครับ ?

    ตอบ : ไหว้ไปเถอะ ไม่เป็นไรหรอก เทวดาท่านรู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร แต่ถ้าเจอท่านที่เฮี้ยนมากๆ อย่าง กรมหลวงชุมพร ก็ “เฮ้ย..พอแล้ว ไม่เอาแล้ว” เพราะสมัยก่อนต้องถวายท่านด้วยน้ำตาลเมา ตอนหลังท่านบอกว่าโดนเทวดาผู้ใหญ่ตำหนิมาว่า เป็นเทวดาผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้ว ยังให้เขาเซ่นด้วยน้ำตาลเมาอีก ท่านก็เลยต้องเลิก

    ถาม : กรมหลวงชุมพรท่านเป็นลูกของรัชกาลที่ ๕ หรือคะ ?

    ตอบ : จ้ะ..ตามประวัติว่า เป็น พระโอรสของรัชกาลที่ ๕ กับ เจ้าจอมมารดาโหมด ต้นสกุลอาภากร


    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    ณ บ้านวิริยบารมี ต้นเดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖


    ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard...?t=3897&page=3
     
  7. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
     
  8. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ผมขออนุญาตถามเพิ่มเติมครับ
    หากลักษณะการส่งบุญไปให้บรรพบุรุษ


    ๑. ถวายพระพุทธรูปเป็นของสงฆ์ อานิสงส์ก็คือ ถ้าเป็นเทวดามีรัศมีกายสว่างไสวมาก เพราะว่าเทวดาหรือพรหม เขาไม่ดูกันที่เครื่องแต่งตัว เขาดูแสงสว่างจากกาย
    ๒. ผ้าไตรจีวร หรือผ้าสักผืนหนึ่ง เขาจะได้เครื่องประดับอันเป็นทิพย์ เครื่องแต่งตัวทิพย์
    ๓. อาหารหรือของกิน จะทำให้มีร่างกายเป็นทิพย์"
     
  9. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    เรื่องพวกนี้ ก็ต้องไปถาม ฟังคนที่ รู้จริงเห็นจริง ก็จะเข้าใจเอง แล้วพิจารณาดูได้ด้วยตัวเอง ครับ

    เพราะ นก กับ ปลา คุยกันไม่รู้เรื่อง บางเรื่องตัวเองไม่เคยรู้ ไม่เคยสัมผัส ก็ย่อมไม่เข้าใจได้ เพราะตัวเองไม่เคยครับ

    ^^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 สิงหาคม 2015
  10. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ถ้ายังสงสัยว่า ไม่ใช่คนแล้ว หรือ อยู่ภูมิอื่น ยังต้องอาศัยอาหารหรือไม่

    ถ้าต้องการหลักฐานว่า ไม่ใช่คนแล้ว ยังต้องกินอาหารเหมือนคนอีกหรือไม่ ต้องการอาหารเหมือนคนอีกหรือไม่

    ก็ลองอ่านในพระไตรฏิฏก ดูครับ ว่าจะมีใครค้านอีกไหม ^^

    มีหลักฐานชัดเจน



    เปรตพวกนั้นพากันไปยืนที่นอกฝาเรือนเป็นต้น ด้วยหวังว่า วันนี้ พวกเราคงได้อะไรกันบ้าง. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทำโดยอาการที่เปรตพวกนั้นจะปรากฎแก่พระราชาหมดทุกตน.
    พระราชาถวายน้ำทักษิโณทก ทรงอุทิศว่า ขอทานนี้จงมีแก่พวกญาติของเรา. ทันใดนั้นเอง สระโบกขรณีดารดาษด้วยปทุม ก็บังเกิดแก่เปรตพวกนั้น. เปรตพวกนั้นก็อาบและดื่มในสระโบกขรณีนั้น ระงับความกระวนกระวาย ความลำบากและหิวกระหายได้แล้ว มีผิวพรรณดุจทอง.
    ลำดับนั้น พระราชาถวายข้าวยาคู ของเคี้ยว ของกินเป็นต้น แล้วทรงอุทิศ. ในทันใดนั้นเอง ข้าวยาคูของเคี้ยวและของกินอันเป็นทิพย์ ก็บังเกิดแก่เปรตพวกนั้น. เปรตพวกนั้นก็พากันบริโภคของทิพย์เหล่านั้น มีอินทรีย์เอิบอิ่ม.
    ลำดับนั้น พระราชาถวายผ้าและเสนาสนะเป็นต้น ทรงอุทิศให้เครื่องอลังการต่างๆ มีผ้าทิพย์ ยานทิพย์ ปราสาททิพย์ เครื่องปูลาดและที่นอนเป็นต้น ก็บังเกิดแก่เปรตพวกนั้น. สมบัติแม้นั้นของเปรตพวกนั้น ปรากฏทุกอย่างโดยประการใด พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงอธิษฐาน (ให้พระราชาทรงเห็น) โดยประการนั้น. พระราชาทรงดีพระทัยยิ่ง.
    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=8
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 สิงหาคม 2015
  11. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    วิธีทำบุญอุทิศให้ผี

    ถาม : การถวายสังฆทานที่หลวงพ่อบอกว่า มีพระพุทธปฏิมากร ผ้าไตรจีวร และอาหารหรือของบริวารนั้น มีคนอยากทราบว่า การถวายแบบนี้ มีอานิสงส์อย่างไรครับ ?

    หลวงพ่อ : ความจริงไม่มีแบบ แต่อาตมาเคยโดนผีขอ เวลาแกมาขอ แกขอแบบนี้ทั้งหมด คือ

    ๑. พระพุทธรูป ๑ องค์
    ๒. ผ้าไตรจีวร ถ้ามีสตางค์ไม่มากก็ผ้าสบง ๑ ตัว หรืออังสะ ๑ ตัวก็ได้
    ๓. ของกินของใช้เล็กน้อยพอสมควร

    แกขอมาตามนี้ ทีนี้พอคนหลังๆ เข้ามา แกขอเหมือนกัน เลยถามว่า “ผลที่จะได้แก่พวกเอ็งเป็นยังไง” เขาก็บอกเรียงลำดับว่า

    ๑. ถวายพระพุทธรูปเป็นของสงฆ์ อานิสงส์ก็คือว่า ถ้าเป็นเทวดามีรัศมีกายสว่างไสวมาก เพราะว่า เทวดาหรือพรหม เขาไม่ดูกันที่เครื่องแต่งตัว เขาดูแสงสว่างจากกาย แล้วก็

    ๒. ผ้าไตรจีวรหรือผ้าสักผืนหนึ่ง เขาจะได้เครื่องประดับอันเป็นทิพย์ เครื่องแต่งตัวทิพย์

    ๓. อาหารหรือของกิน จะทำให้ร่างกายเป็นทิพย์

    เขาแจ้งมาอย่างนี้ก็เลยแนะนำไปตามนั้น ตามผีขอ เรียกว่า ถ้าเราจะให้ก็ให้ตามความจำเป็นของผู้รับดีกว่าใช่ไหม

    ทีนี้ในเมื่อผีเขาเป็นผู้ต้องการ เขาต้องการแบบนี้เราก็ให้แบบนี้ กี่ร้อยคนก็ขอแบบเดียวกันหมด ที่ฉันเขียนในหนังสือหลวงพ่อปานก็เขียนตามที่ผีเขาขอไว้ เจอหน้าปั๊บถามจะเอาอะไร เขาบอกแบบนี้เหมือนกัน เจอะทีไรเขาก็ขอแบบนี้หมด

    ถาม : ทีนี้ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้จุติจากเทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี มาเกิดเป็นมนุษย์ อานิสงส์เหล่านี้จะติดตามอีกไหมครับ ?

    หลวงพ่อ : อานิสงส์ตามมาคือ

    ๑. มีรูปร่างหน้าตาสวย เพราะอานิสงส์ถวายพระพุทธรูป แล้วมีปัญญาทรงตัว นี่อำนาจพุทธานุภาพนะ

    ๒. เครื่องประดับเครื่องแต่งตัวดี ไม่อด เพราะอาศัยทาน

    การถวายสังฆทานแม้แต่ครั้งเดียว พระพุทธเจ้าตรัสว่า “การเกิดไปกี่ชาติก็ตาม จะหาคำว่า จน ไม่ได้” และตอนหนึ่งท่านบอกว่า “แม้แต่อำนาจพระพุทธญาณก็ยังไม่เห็นที่สุดของอานิสงส์ของการถวายสังฆทาน”

    คำว่า ไม่เห็นที่สุดนี่หมายความว่า เกิดไปอีกกี่ชาติกี่กัป อานิสงส์นี้ก็ยังไม่หมด พระพุทธเจ้ามองไม่เห็นก็หมายความว่า คนนั้นเข้านิพพานไปแล้ว อานิสงส์สังฆทานก็ยังไม่หมด หาที่สุดไม่ได้

    ถาม : หลวงพ่อคะ เวลาถวายสังฆทานให้กับบุพพการีต้องระบุชื่อไหมคะ

    หลวงพ่อ : เวลาให้ถึงระบุ เวลาอุทิศส่วนกุศลนะ แต่ว่าเวลาถวายสังฆทานไม่ต้องระบุชื่อ

    ถาม : เวลาอุทิศส่วนกุศล ถ้าไม่ระบุชื่อทุกคนจะได้รับหรือเปล่าคะ ?

    หลวงพ่อ : ก็ไม่แน่ ถ้า กรรมบาง เขาได้ ญาติหรือไม่ใช่ญาติก็ตาม ถ้ากรรมที่เป็นอกุศลส่วนหนึ่งเขามีอยู่ เขามีสิทธิ์รับได้ ถ้าหนาไปนิดเขารับไม่ได้ อย่าไปคอยเอาตอนเป็นผีเลย ก่อนเป็นผีทำไว้ก่อนเถอะ จะกินอะไรบ้างก็เอา ทำทานไว้ก่อน

    พระราชพรหมยานมหาเถระ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    จากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๓๗
    https://www.facebook.com/permalink.php?id=446643188742095&story_fbid=571133506293062
     
  12. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    สัมภเวสี โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    สัมภเวสี
    ท่านผู้ฟังทั้งหลาย วันนี้ตรงกับวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๑๖ การคุยกันนี้คุยกันทุกวันไม่ได้ เพราะว่าภาระมันมีอยู่ เลยหาวันว่างๆที่มันไม่มีภาระมาคุยกันวันละ1ชั่วโมง สำหรับวันนี้ก็เอาเรื่องผีมาคุยกันสักหนึ่งเรื่อง เพราะว่าเรื่องน่ะความจริงมีอยู่มาก แต่ว่าถ้าจะคุยกันมากเกินไปก็เกรงว่าจะเบื่อ จะหาว่าเป็นคนบ้าผีเกินไป ความจริงก็ไม่ใช่บ้าใช่บอเรื่องผีหรอก แต่ทว่าไปพบผีเข้าจริงๆ เรื่องที่เล่าให้ฟังส่วนมากก็เป็นเรื่องที่พบมาเอง วันนี้จะเล่าเรื่องสัมภเวสี คำว่าสัมภเวสีนี่ ที่ชาวบ้านเรียกว่าผีตายโหง สำหรับผีตายโหงนี่จะถือว่าเป็นผีสัมภเวสีเสมอไปก็ไม่ได้ บางรายถึงวาระจะต้องตายแบบนั้นตามกฏของกรรม เมื่อเวลาตายแล้วเขาก็ไปสู่อำนาจตามกฏของกรรม กล่าวคือไปรับสุขและรับทุกข์ อันนี้ไม่เรียกว่าสัมภเวสี เรียกว่าไปเกิดเลย เกิดในนรก เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นอสุรกาย เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นคน เกิดเป็นเทวดาหรือไปนิพพาน
    ใครทำใครได้
    อาการตายไปนิพพานนี่ตายแบบตายโหงก็ถมไป เช่น ในสมัยพระพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่ คนฟังเทศน์จบได้สำเร็จอรหัตผล แต่ทว่าไม่เคยบำเพ็ญทาน เช่นผ้าผ่อนท่อนสไบไว้ในพระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่าเอหิภิกขุ แปลว่าเจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด ผ้าไตรจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ก็ไม่มี เพราะว่าเขาไม่ได้ทำไว้ก่อน สมัยนั้นร้านขายผ้าจีวรไม่มีเหมือนสมัยนี้ เพราะว่าพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นมาใหม่ๆ ไปไหนก็เป็นคนใหม่เสียหมด ร้านเจ็กร้านจีนไม่ค่อยมี นักบวชก็ยังไม่ค่อยมากนัก นักบวชไม่ดื่นดาษเหมือนประเทศไทยในสมัยนี้ ฉะนั้นร้านค้าผ้าสำหรับพระจึงไม่มี พระลำบากในการหาผ้าใช้ ต้องไปเก็บผ้าที่เขาทิ้งมาปุๆปะๆประกอบกันเข้าจากผืนเล็กมาเป็นผืนใหญ่แล้ว นำมาห่มมานุ่ง นี่เป็นระเบียบของพระ
    เมื่อการหาผ้าได้ยาก แล้วเขาไม่ได้เคยทำบุญเรื่องผ้าผ่อนท่อนสไบไว้ก่อน พระพุทธเจ้าก็ไม่กล้าเรียกใช้คำว่าเอหิภิกขุ เพราะว่าถ้าตามธรรมดาพระองค์ตรัสว่า เอหิภิกขุ แปลว่าจงเป็นภิกษุมาเถิด ผ้าที่สำเร็จด้วยฤทธิ์จะลอยมาในอากาศสวมตัวเขาพอดี ทั้งนี้ก็เพราะว่าเขาต้องเคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนาในชาติก่อนๆ แต่ว่า คนก็มีหลายสิบท่านด้วยกันที่ปรากฏว่าฟังเทศน์แล้วเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาแล้วว่าเขาไม่เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนา รู้ ท่านรู้นะ สัพพัญญู แปลว่า รู้ทั้งหมด พระพุทธเจ้าที่ไม่รู้อะไรไม่มี ก็ตรัสว่าเมื่อเจ้าปรารถนาจะบวช จงไปหาไตรจีวรมา ถ้าได้ผ้าไตรจีวรมาแล้วเราจะบวชให้
    ผู้นี้ปรากฏว่าในขณะที่ไปหาผ้าไตรจีวรในขณะที่เป็นฆราวาส คือร่างกายเป็นฆราวาสแต่ใจเป็นพระเต็มเปี่ยมเพราะเป็นพระอรหันต์ ร่างกายที่มีความเลวอยู่มาก ไม่สามารถจพทรงความป็นพระอรหันต์ไว้ได้ก็เลยต้องตาย ทีนี้ถ้าจะป่วยตายมันก็ป่วยไม่ทัน แล้วก็ตายไม่ทัน ในที่สุดก็ตายด้วยอุบัติเหตุ วัวขวิดตายบ้าง มีการกระทบกระทั่งอะไรตายเสียบ้าง อย่างนี้เป็นต้น เรียกว่าทรงความเป็นพระอรหันต์สำหรับฆราวาสไม่มี คนที่เป็นพระอรหันต์แล้ว ถ้ายังไม่ได้บวช อย่างช้าวันรุ่งขึ้นก็ตาย ไม่ใช่ 7 วัน
    คราวนี้ สำหรับผู้ที่ตายไปแล้วด้วยการถูกฆ่าเราเรียกกันว่าสัมภเวสี เฉพาะบางท่านนะ บางท่านก็ไม่ใช่สัมภเวสี อย่างพระอรหันต์ก็กล่าวมาแล้วว่าถูกวัวขวิดตาย หรือตายด้วยอุบัติเหตุ เวลาตายแล้วท่านไปนิพพานเลย อย่างนี้เขาไม่เรียกสัมภเวสี สำหรับพวกที่เรียกกันว่า สัมภเวสี ก็มีอยู่ว่า เวลาตายแล้วด้วยกรณีใดๆก็ตามยังไม่ครบอายุขัย ที่ไปยังเข้าไม่ได้ จะไปนรกก็เข้านรกไม่ได้ จะเป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน หรือเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหม อย่างนี้ไปไม่ได้ เพราะว่ายังไม่ถึงเวลสจะไป
    เลยต้องท่องเที่ยวไป เดินไปเดินมา เดินมาเดินไป ไปหิวโซเซๆ พวกนี้หมอผีชอบเรียกเอาไปเลี้ยง เพราะว่าแกลำบาก เมื่อมีใครนำไปเลี้ยง แกก็ต้องไปกะเขานั่นแหละ เข้าบ้านโน้นก็ไม่ได้ เข้าบ้านนี้ก็ไม่ได้ อาหารที่จะกินก็ไม่มี ถ้ามีใครมาชวนเข้าก็ไป ยังไงๆก็คิดว่าทำงานให้เขาเพียงแค่กินอิ่มก็พอ ผีกับคนนี่มีสภาพเหมือนกันนะ ผีก็เหมือนคนเพราะไอ้ผีนั่นคือจิตใจของคนที่มันเคลื่อนออกจากร่าง สภาพความรู้สึกมันก็เหมือนกัน ไม่แตกต่างกับของเดิม วันนี้จะมาเล่ากันถึงเรื่องสัมภเวสี คือคนตายยังไม่ครบอายุที่จะตาย
    ผีนายเสนอ
    ผีตนนี้มีนามว่าเจ้าเสนอ นายเสนอนะ นามสกุลว่าอะไรจำไม่ได้ เป็นคนจังหวัดสุพรรณบุรี นายเสนอคนนี้ตามปกติเป็นคนดีมาก เรียกว่าคนทั้งตำบลหรือหลายๆตำบลใกล้เคียงชอบใจนายเสนอ รักใคร่นายเสนอ เพราะเป็นคนดี ไม่เกกมะเหรกเกเร ไม่ใช่เป็นคนอันธพาล ดีในด้านสงเคราะห์ช่วยเหลือ จัดว่าเป็นสังคหวัตถุ นิยมในการสงเคราะห์ ใครเขาจะมีการมีงานที่ไหน พ่อเสนอก็ไปที่นั่น เจ้าของงานก็ดีใจ เพราะแกทำงานทุกอย่าง ทุกอย่างถ้าไม่เกินความสามารถ แล้วพูดจาก็ดี เป็นที่รักของคนทั่วไป
    แต่ทีนี้เรื่องที่เจ้าเสนอจะถูกฆ่าตาย ถูกตำรวจยิงตาย เรื่องก็มีว่า วันหนึ่งที่วัดสาลี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี เขามีงานกัน ดูเหมือนว่าจะมีงานประจำปี ทีนี้ในงานนั้น พวกนักเลงการพนันก็ไปเล่นพนันในวัด ไอ้นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นประเพณีเสียๆมามาก บางวัดเป็นวัดของเจ้าคณะจังหวัดเองในเมือง เคยเห็นเวลาเขามีงานศพกันก็ต้องไปตั้งวงพนันกันบนศาลา เอาศาลาเป็นบ่อนการพนัน อย่างนี้รู้สึกว่าแย่มาก
    จะไปโทษพระท่านเลยทีเดียวก็ยาก เพราะคนที่ไปเล่นบางทีก็มีศักดิ์ศรีใหญ่ เพราะเกรงใจไม่กล้าพูด ถ้าไปพูดกันเข้าพวกศักดิ์ศรีใหญ่พวกนี้ ความจริงไม่ใช่ศรีดี เป็นสีดำ ไม่ใช่สีขาว พวกสีดำนี้เข้าที่ไหนแย่ที่นั่น แต่ความจริงบ่าเหลือง แน่ะ!บ่าเหลืองแต่สีของใจดำ ไม่ได้รู้หรอกว่าอะไรเป็นอะไร อะไรควรอะไรไม่ควร ยกตัวว่าเป็นผู้เลิศเป็นผู้ประเสริฐ ฉันมียศชั้นนั้น มียศชั้นนี้ ฉันมีศักดิ์ศรีชั้นนั้นยังงี้ แต่ว่าจิตใจทรามมาก น่าเสียดายยศ น่าเสียดายตำแหน่ง ที่พระมหากษัตริ์ทรงมอบหมายให้ นี่พวกนี้ล่ะเป็นพวกสำคัญนัก มีวัดที่ไหนละก็ตั้งบ่อนที่นั่น ถ้าไปว่าเข้าละก็บอกพวกคนนั้นคนนี้เขาเป็นหัวหน้า แต่ว่าอาตมาไม่เคยนะ สำหรับที่อาตมาอยู่เองไม่เคย
    เพราะว่าก็ไม่เคยให้อภัยใครเหมือนกัน ไม่ได้ด่าเขาหรอก ถ้าใครเขาเล่นกันจริงๆ ก็เอาภาพเอากล้องไปถ่ายภาพไว้ เขาถามว่าถ่ายทำไม ตอบว่าถ่ายเพื่อเก็บหน้าคนดีไว้ดู แล้วบางทีก็เมื่ออัดฟิลม์เสร็จ ทำรูปเรียบร้อยแล้วก็ส่งไปให้ผู้บังคับบัญชาเขาพร้อมทั้งคำชมเชย เขียนจดหมายติดไปด้วย ชมเชยความดีของลูกน้องที่มาคุมงาน อย่างนี้ผู้บังคับบัญชาเห็นว่าลูกน้องทำดีมากก็มีหลายรายเหมือนกันให้รางวัล เป็นพิเศษ เรียกว่าปล่อยไปอยู่บ้านก็กินลำบาก นอนลำบาก เลยเข้ากรงไป อย่างนี้ไม่ได้แกล้ง แต่ว่าเขาทำไม่ถูก ก็เลยทำตามระเบียบให้เขารู้ระเบียบเข้าไว้ ว่าการปฏิบัติแบบนั้นมันมีความดีมาก ไม่เปลืองเงินเปลืองทองมาก ไม่ต้องอยู่เวรอยู่ยาม
    คราวนี้สำหรับเจ้าเสนอก็เหมือนกัน เมื่อชาวบ้านเขาไปตั้งบ่อนการพนันกันคราวนี้ ในบ่อนการพนันก็มีเรื่อง เจ้าเสนอก็วิ่งเข้าไป วิ่งเข้าไปแล้วก็ยกมือไหว้คนนั้นที ยกมือไหว้คนนี้ทีเรียกว่าพี่ป้าน้าอาว่าขอโทษเถอะมันเป็นงานวัด อย่าให้มีเรื่องเอะอะโวยวายเลย ท่านจะเล่นก็เล่นไป ถ้าหากไม่พอใจจะเล่นจะเลิกก็ตามใจไม่ได้ว่าอะไร ก็พูดดีๆ พอเข้าไปแล้วก็ปรากฏว่าคนคุมบ่อนเป็นตำรวจ เอาพานท้ายปืนตีหน้า ลงมานอนอยู่ เขาโกรธนะ บ่อนของเขา เขาคุมบ่อนของเขาอยู่นี่ไปตักเตือนคนในบ่อนของเขา เขาก็เอาพานท้ายปืนยาวกระแทกหน้าเข้าให้ เจ้าเสนอนอนหงายผลึ่งเกือบจะชัก
    พอดีเขาลุกขึ้นมาได้ ไอ้คนเรานี่เป็นคนธรรมดาก็มีโทสะก็เลยชักมีดแทงตำรวจเข้าให้ ตำรวจก็ยิงอีกนัดหนึ่ง เลยต่างคนต่างตาย เมื่อต่างคนต่างตายแล้ว ปรากฏว่าศพเจ้าเสนอถูกประคับประคองอย่างดี ชาวบ้านทั้งตำบลและตำบลใกล้เคียง ต่างคนต่างจัดงานศพอย่างหรูหรา แต่ศพตำรวจไม่มีใครสนใจ ปล่อยทิ้งไว้ตรงนั้นจนเน่าหึ่ง นานหลายวันกว่าทางการจะมาเชิญเอาไป เพราะชาวบ้านไม่มีใครแยแส ปล่อยให้เหี้ยบ้างตะกวดบ้างสุนัขบ้าง ทึ้งกันตามอัธยาศัย เครื่องแบบก็ไม่มีใครถอดให้ นี่เป็นการประกาศผลความดี ชาวบ้านบูชาความดีเกรงความดีจะเสื่อม แม้แต่เครื่องแบบก็ไม่มีใครแตะต้อง
    เข้าสิงเด็กสาว
    คราวนี้มาว่ากันถึงเจ้าเสนอต่อไป เมื่อมันตายแล้วคนรู้จักมาก มันก็เคยทำความดีกับคนไว้มาก ทีนี้มันก็แสดงตัว ในฐานะที่เป็นสัมภเวสี นี่ก็แสดงตัวให้ปรากฏบ่อยๆ มีคนหลายคนรายงานให้ทราบ ว่าผีเจ้าเสนอนี่มันดุจริงๆ เขาไม่เรียกเสนอหรอก เขาเรียกเหนอเฉยๆ ว่าผีเจ้าเหนอมันดุจริงๆ ลูกหลานไปทำการทำงานหลังบ้านเจ้าเหนอมันหลอกอยู่เสมอ แต่ว่าอาตมาได้ฟังก็ไม่สนใจเพราะเป็นเรื่องธรรมดาของผี
    วันหนึ่งมีโอกาสเข้าไปในจังหวัดสุพรรณบุรี ไปที่ตำบลสาลี ก็ไปคุยกับเจ้าของบ้านคนหนึ่ง แล้วเด็กสาวๆอายุ ๑๕-๑๖ปี คนหนึ่ง อยู่บ้านติดกัน ดูเหมือนว่าจะออกไปเก็บผักมาทำอาหารหลังบ้าน ประเดี๋ยวเดียวก็วิ่งเข้าบ้าน ปรากฏว่ามานอนร้องครวญครางอยู่ ร้องครางแล้วใครมาถามว่าเป็นอะไรมันก็ไม่ตอบ ร้องดังมาก เอามือกุมที่หน้าอก อีตรงที่กุมที่หน้าอกนะ เป็นตรงที่เจ้าเสนอถูกยิงพอดี มันถูกยิงตรงนั้น ตามธรรมดาผีที่ตายที่จะมาเข้าใคร ถ้าเป็นโรคอะไร เขาจะแสดงอย่างนั้น
    หมายความว่าเวลาเขาตาย ทุกขเวทนามันครอบงำมากอย่างไหนเขาจะแสดงให้ปรากฏ ปวดท้องตาย เวลามาเข้าใครก็แสดงอาการปวดท้อง คนขาหักตายเวลามาเข้าคนก็แสดงอาการขาหัก แต่ความจริงสมัยเป็นผีขาไม่หัก ไม่ต้องรักษาผี แต่เวลานี้ดูเหมือนว่าโรงพยาบาลผีมีมาก พากันรักษาผี นี่เป็นของแปลก เห็นจะเป็นพวกที่ไม่เคยเห็นผีจริงๆ ท่านจะเดาเอา เห็นว่าผีมีเวลามาเข้าคน ผีขาเป๋เวลาตายก็มาทำขาเป๋ ก่อนจะตายแขนคอก มาเดินทำท่าแขนคอก ก็เลยนึกว่าผีเป็นอย่างนั้น นี่เป็นเรื่องของคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ รู้เสียจริงๆมันก็หมดเรื่อง
    ทีนี้เจ้าเด็กคนนั้นมันร้องครวญคราง มีท่านผู้ใหญ่ท่านก็สงสัย ท่านก็ร้องนิมนต์บอกท่านมหานิมนต์มานี่หน่อยสิอีหนูมันเป็นอะไร ถามมันก็ไม่พูด มันร้องใหญ่ ร้องท่าเดียว ก็เลยเดินไป ไปนั่งข้างๆเด็กสาวคนนั้น ถามอีหนูเป็นอะไรมันก็ไม่ตอบ มองหน้าเฉยๆแล้วก็ร้อง ก็เลยนึกสงสัยกลับใจเสียนิดหนึ่ง เอาหน้าใจไว้ข้างหลัง เอาข้างหลังไว้ข้างหน้า นี่พูดตามภาษาชาวบ้านนะ ถ้าพูดภาษาพระก็ปลดอารมณ์นิวรณ์ทิ้งลงไป
    ไอ้ข้างหน้าของใจส่วนมากเป็นนิวรณ์ นิวรณ์มันปะหน้าใจ ก็เลยปลดนิวรณ์ไปไว้ข้างหลัง นิวรณ์นี่ทิ้งมันเลยไม่ได้หรอกต้องเก็บไว้เป็นเพื่อน แต่ว่าเวลาเราจะใช้ใจโดยเฉพาะที่ไม่เกี่ยวข้องกับนิวรณ์ เราก็เอามันไปไว้เสียข้างหลัง พอเอานิวรณไปไว้ข้างหลัง เอาหลังเป็นหน้าเอาหน้าเป็นหลังกันแล้วก็เห็น เห็นเจ้าเสนอ เห็นเจ้าเสนอมันนั่งข้างๆเด็กคนนั้น แล้วเอานิ้วจี้ที่เด็กบอกว่าปวด>>
    ก็เลยพูดดังๆว่า “เหนอ....ไปทำอะไรหลานล่ะน้อง ไปมีเรื่องอะไรไปคุยกับพี่ที่บ้านโน้น อย่ามายุ่งกับเด็กมันเลย ไปด้วยกัน ไปเดี๋ยวนี้นะ ปล่อยมือจากหลาน” เขาก็ปล่อย ไอ้เด็กคนนั้นก็หายปวด แล้วบอกไปบ้านโน้นไปคุยกัน ชาวบ้านก็มองหน้าเลิ่กลั่กๆ
    ขอความช่วยเหลือ
    แล้วอาตมาก็เดินลงจากบ้านหลังนั้นมาขึ้นหลังที่พัก เพราะเป็นหลังใหญ่ นั่งสบาย พวกนั้นเขาบอกว่าตั้งแต่ตอนนั้นเด็กคนนั้นก็หายปวดแล้วก็ลุกขึ้นมาทำงานเป็น ปกติ เขาถามว่าเป็นอะไร มันก็บอกว่าไม่รู้ มันเจ็บ เจ็บทะลุหลัง เพราะเจ้าเสนอมันถูกยิงทะลุหลัง ก็เลยถามมันว่า เอ็งไปทรมานหลานทำไม มันก็เลยบอกว่า ไม่ได้ทรมานหรอกขอรับหลวงพี่ ผมแสดงแบบนี้ที่ใครเขาลือกัน มีคนไปฟ้องหลวงพี่หลายคนแล้วผมก็รู้ เขาหาว่าผมนี่ดุร้ายมาก เที่ยวได้หลอกคนนั้นหลอกคนนี้ ความจริงผมไม่ได้ตั้งใจจะหลอกคน คนทุกคนที่ผมแสดงให้ปรากฏ มันเป็นคนที่ชอบกันอยู่ก่อนทั้งนั้น รักกันมากเคยช่วยการช่วยงานเขา เขาเคยปวารนา ตัวพ่อเสนอมีอะไรให้ช่วยเหลือละก็บอกเถอะเขาจะทำเต็มที่ แต่ทว่าเวลานี้ผมต้องการความช่วยเหลือขอรับ
    ถามว่า”ทำไมล่ะ เออ...เอ็งตายแล้วเอ็งไปไหน เอ็งไปนรก หรือไปสวรรค์”
    มันก็บอกว่า “ไม่ได้ไปนรก ไม่ได้ไปสวรรค์หรอกขอรับหลวงพี่ เวลาเหลืออีก ๔๓ ปีจึงจะไปได้ นับปีมนุษย์ระยะเวลา ๔๓ ปีนี่ผมลำบากมาก เดินไปเดินมาเดินมาเดินไป ผลบุญใดๆที่ทำไว้ก็ยังไม่ปรากฏ ยังกินไม่ได้ ยังไม่ถึงเวลาจะได้รับ ไอ้ผลบาปที่ทำไว้ก็ยังไม่ให้ผล เวลานี้ผมต้องเป็นผีเดินไปเดินมา เข้าไปทุกบ้านหวังจะให้เขาสงเคราะหืช่วยเหลือ เขาก็หาว่าผมไปหลอกเขา เขาก็หลอกเอาบ้าง สาปแช่งเอาบ้าง แหม...ความรู้สึกของคนนี่ไม่เหมือนกัน เวลาที่ผมยังไม่ตายเขาก็รักแรงแข็งขอบผมดีทุกบ้าน ทุกคนปวารนาตัว ผมทำงานทุกอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย แต่ว่าเวลาผมตายเข้าแล้วจริงๆนี่ ไม่มีใครสนใจกับผมเลย”
    ก็เลยถามว่า
    “ก็เอ็งเป็นผีนี่ เขาก็กลัว นี่เอ็งไปแสดงตัวให้ปรากฏน่ะเอ็งทำยังไงบ้าง”>>
    ตอบว่า “ส่วนใหญ่ไม่ได้หลอกขอรับ ผีไม่มีเวลาจะหลอกคน เขามีความลำบากอยู่แล้ว ผมมาแสดงตัวให้ปรากฏเป็นเงาบ้าง เป็นเสียงบ้าง บางคนก็เห็นชัดหน่อย บางคนก็เห็นไม่ชัด ผมก็ประกาศตัวผม ว่านี่นะคือนายเสนอ บอกได้เท่านั้น ทุกคนพอฟังแล้วก็วิ่ง ถ้าอยู่ในบ้านก็นอนคลุมโปงกัน แล้วบางบ้านก็บอกว่าขอให้ไปที่ชอบที่ชอบเถอะ บางบ้านก็แช่งชักหักกระดูกเลย นี่ผมก็เสียใจครับหลวงพี่ ไม่มีใครจะช่วยผมจริงๆ”
    เมื่อฟังแล้วก็เห็นใจ เพราะทราบแล้วจากพระพุทธเจ้าว่าผีไม่มีไร่ไม่มีนา ไม่มีการค้าขาย ไม่มีอาชีพใดๆ ถ้าบุญเก่าไม่ส่งผล ก็ต้องอาศัยบุญใหม่ที่คนอยู่ส่งไปให้ แล้วก็ต้องส่งเป็น ถ้าส่งไม่เป็นส่งเท่าไหร่ก็ไม่มีผล
    ก็เลยถามต่อไปว่า
    “เออ...ไอ้น้องชาย เอ็งต้องการอะไรล่ะ”
    มันก็รายงานว่า “เวลานี้ผมลำบากขอรับหลวงพี่ หนาวก็หนาว หิวก็หิว กำลังก็ไม่มี สิ่งที่ผมต้องการนั่นก็คือ หนึ่ง พระพุทธรูปสักองค์หนึ่งใหญ่สัก ๕ นิ้วก็พอ หน้าตัก ๕ นิ้วนะ ผ้าไตรจีวรไตรหนึ่ง แล้วก็อาหารอีกชุดหนึ่ง อะไรก็ได้ไม่จำกัด”
    ถามว่า “จะให้ทำยังไง”
    เขาบอกว่า “นิมนต์พระมาแล้วถวายสังฆทาน”
    ก็เลยถามว่า “เออ...ถ้าทำได้อย่างนี้ล่ะ ผลจะพึงมีกับเอ็งยังไง ไหนลองเล่าให้ฟังสิ”
    เขาบอกว่า “สำหรับพระพุทธรูป ถ้าผมโมทนาแล้วกำลังจะดีมาก ถ้าเป็นเทวดาก็มีศักดิ์ศรีใหญ่ มีรัศมีใหญ่ สำหรับสบงจีวรนี้ ถ้าโมทนาแล้วจะมีเครื่องประดับเป็นทิพย์ สำหรับอาหารข้าวและน้ำนี้ เมื่อโมทนาแล้วจะมีกำลัง ร่างกายจะมีแรงมากและมีความเบายิ่งขึ้น
    การอุทิศส่วนกุศลเจาะจง
    ถามว่า “เวลาให้เขาทำบุญน่ะจะให้ทำแบบไหน ไหนลองบอกให้ฟังซิ ฉันน่ะตั้งใจจะช่วยอยู่แล้ว”
    เขาก็บอกว่า “นิมนต์พระมาถวายสังฆทาน พระรับสังฆทานเสร็จ เวลาอุทิศส่วนกุศล ขอให้คนที่ทำบุญนี่ ส่งผลเฉพาะให้ผมคนเดียว อย่าเผื่อแผ่คนอื่น เพราะพวกสัมภเวสีนี่มีความลำบากอยู่มาก มีกรรมหนักอยู่ คือเป็นกรรมในระหว่างที่ต้องถูกทรมาน ถ้าเฉลี่ยให้คนอื่นละก็พวกสัมภเวสีไม่ได้รับ ถ้าหากไม่เฉลี่ยให้คนอื่นแล้ว พวกสัมภเวสีจะได้รับสมบูรณ์บริบูรณ์ โดยการกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลนี่ต้องว่ากันเฉพาะภาษาไทยตรงๆ”
    ก็เลยบอกว่า “ตกลงๆ วันพรุ่งนี้ค่อยมารับนะ”
    เขาเลยบอกว่า “ขอรับ”
    “แล้วหลวงพี่จะบอกใครเขาทันล่ะ ข้าไม่บอกใครหรอก จะบอกเหมือนกันแต่เขาจะทำบุญกะข้าหรือไม่ก็ตามแต่ แต่ว่าบุญนี่ข้าจะทำเอง ข้าไม่ต้องการไปยุ่งกับคนอื่นหรอก แต่จะบอกเขาเหมือนกัน เขาจะให้หรือไม่ให้ก็ช่างเขา “>>
    “นี่ ! ประเดี๋ยวเอ็งไปเข้าเด็กคนนั้นอีกนะ แต่ทว่าอย่าไปทำให้เขาเจ็บร้องครวญครางนะ ชาวบ้านเขาสงสารเด็กเขาจะด่าเอา ไปเข้าเฉยๆนา แล้วก็แสดงตัวให้ปรากฏว่าเป็นเอ็ง อีเด็กสาวนั่นมันร้องลิเกเป็นไหม”
    มันตอบว่า “ไม่เป็นขอรับ”
    “เออ....ถ้ายังงั้นดีแล้วเอ็งเป็นลิเกอยู่ก่อน เป็นลิเกตัวดี ตัวมีชื่อเสียงมาก ไปเข้ามันก็แสดงท่าเป็นเอ็งนะ แล้วก็ร้องลิเก แล้วก็บอกบทไปด้วย ทำตัวร้องไปด้วยว่าเอ็งชื่อเจ้าเสนอ จะว่ายังไงก็ว่าไป ทำให้ชาวบ้านเห็นเป็นสนุกมันจะได้ดี” มันก็รับคำ
    มันถามว่า “เมื่อไหร่”
    บอก “เดี๋ยวนี้แหละ ไปๆเดี๋ยวนี้แหละ แล้วจะได้พูดกันให้มันรู้เรื่อง ชาวบ้านเขาจะได้รู้”มันก็ไป ไปแสดงตามนั้น
    ต่อมาเมื่อชาวบ้านรู้ว่าเจ้าเสนอมาเข้า แล้วมันก็ร้องลิเก ในทำนองร้องก็บอกไปทุกอย่างว่าตายเพราะอะไร เวลานี้มีความทุกข์เป็นประการใด เวลาไปหาใครบ้าง ใครเขาแช่งด่าบ้างก็บอกชื่อหมด ร้องเป็นทำนองเพราะเสียด้วย ชาวบ้านฟังแล้วก็ชอบใจ เป็นอันว่ารู้เรื่อง ในที่สุดเขาก็เรียกอาตมาไป บอกว่า เจ้าเสนอมาเข้าอีเด็กอีกแล้ว ตอบว่ารู้แล้วให้มันเข้าไป เลยบอกเสนอ บอกเขาว่าเราต้องการอะไร เขาอธิบายตามที่พูดมาแล้วเมื่อกี้ ก็เลยพูดว่า เอายังงี้นะ พรุ่งนี้หลวงพี่จะถวายสังฆทานให้ตอนในเพล เอ็งมาโมทนานะ แล้วถ้าโมทนาแล้วถ้าได้บุญจริงๆละก็ ทุกคนที่เขาช่วยร่วมบุญกุศลในวันพรุ่งนี้ เวลากลางคืนเอ็งไปที่บ้านเขาทุกคน ส่งกลิ่นหอมให้ปรากฏ ให้ปรากฏทั้งบ้าน มันก็รับคำ
    พอรุ่งเช้า ก็บอกบุญกันว่าใครจะร่วมบ้าง ร่วมเท่าไหร่ก็ได้ หรือใครไม่ร่วม ฉันทำคนเดียว เพราะว่าเจ้าเสนอมีความดีกับฉันมาก สงเคราะห์ฉันไว้มาก กิจการงานทุกอย่างที่ฉันต้องทำ เมื่อบอกมันแล้ว มันไม่เคยรังเกียจ ทุ่มแรงงานแรงกายแรงใจจริงๆ ไม่เคยท้อถอย ในที่สุดชาวบ้านก็มารวมตัวกันคิดว่าจะต้องจ่ายมาก ที่ไหนได้ เหลือ
    เป็นอันว่าผ้าไตรที่จะพึงได้ บอกเขาชั่วระยะเวลาบ่ายเท่านั้นนะ ตอนเช้าผ้าไตรกลายเป็น ๕ ไตร พระพุทธรูป ๕ องค์ อาหารเต็มบ้านไปหมด ตั้งใจจะนิมนต์พระมาถวายสังฆทานสักองค์เดียว เป็นผู้แทนสงฆ์ แต่ก็ทำกันในเพล จะได้ไม่คร่อมกับงานอื่นเขา เมื่อเห็นตอนสายๆอาหารมาเต็มบ้านแบบนั้นก้เลยนิมนต์พระมาหมดวัด พระมี ๒๒ หรือ ๒๓ องค์ไม่ทราบ เป็นสังฆทานเต็มที่ ไม่มีใครเหลือละวัดนั้น
    เมื่อถวายสังฆทานเต็มที่แล้ว อีตอนนิมนต์พระมาผ้าไตรมันไม่พอ เลยให้คนเขาไปซื้อสบงกับผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว มาให้พอกับพระที่เหลือ สำหรับผ้าไตร ๕ ไตรให้พระจับสลากกัน องค์ที่เหลือจับไม่ได้ไตรก็ถวายสบงกับผ้าเช็ดตัวทั้งหมดเท่ากัน เมื่อถวายผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นำอุทิศส่วนกุศล
    ก็บอกว่า “ผลบุญที่ทำแล้วในวันนี้ (พูดย่อๆนะ ) มีการบูชาผ้ารัตนตรัยก็ดี สมาทานศีลก็ดี ถวายพระพุทธรูปเป็นของสงฆ์ก็ดี ถวายผ้าไตรจีวรแก่คณะสงฆ์ก็ดี ถวายภัตตาหารก็ดี ผลบุญทั้งหลายนี้ข้าพเจ้าจะพึงมีเพียงใด ข้าพเจ้าทั้งหลายขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่นายเสนอ ขอนายเสนอจงมาโมทนา และได้รับส่วนกุศลผลความดีเช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ บัดนี้เถิด” เท่านั้นแหละ
    เวลาทำก็เห็นมันมาช่วยงานนี่ เจ้าเสนอมันก็วุ่นไปหมด เวลาเขาจะกวาดที่จะปัดที่จะปูเสื่อ จะวางหมอน ก็เห็นมันช่วยเขาวุ่นไป แต่ไม่มีใครรู้ เมื่อโมทนาเสร็จเรียบร้อย พระยถาแล้วจะกลับวัด มันเลยพูดมาเฉยๆ มันยังไม่ไป เมื่อพระกลับวัดไปแล้วนะ เห็นเจ้าเสนอมันนั่งยิ้มหน้าตามันสวย
    “เสนอ เอ็งมารับหรือเปล่า ถ้ามารับนะ แสดงอาการให้ปรากฏ ส่งกลิ่นให้ปรากฏ แต่ไม่ใช่กลิ่นผีนะ เป็นกลิ่นปกติสมัยนี้ของเอ็งเท่านั้นแหละ”
    ทุกคนบอกว่าหอมฟุ้ง หอมโดยไม่ต้องสูดนะ มันหอมจริงๆ หอมแบบสบายๆ ส่งกลิ่นฟุ้งไปหมด หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านประมาณ ๑๐ หลังคาเรือน ไกลออกไปกระทั่งหลังบ้านยังได้กลิ่น ทุกคนก็ดีใจ คราวนี้ทุกคนก็อยากเห็นพ่อเสนอ เขาก็พูดกัน ชักใจกล้าละชาวบ้าน รูปร่างหน้าตาเวลานี้เป็นยังไง แล้วกลางคืนไปเข้าฝันให้เห็นด้วยนะ ก็เลยมองไปดูมัน ทำได้ไหม มันบอกว่าให้ทุกคนเวลาจะนอนภาวนาว่า พุทโธ ใจสบาย เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วก็เห็นง่าย คือให้เห็นในฝันง่าย ก็เลยสั่งชาวบ้าน ชาวบ้านก็ตั้งใจกัน ทุกคนอยากเห็นเจ้าเสนอ>>
    พอรุ่งขึ้นเช้าทุกคนมาพูดพร้อมกัน มาพูดไม่พร้อมกันหรอก พูดเหมือนกัน มากันคนละคราว ว่าเมื่อคืนนี้เจ้าเสนอมันมาหา มันไปคุยด้วย แหม....รูปร่างหน้าตามันสวยจริงๆ มันไม่เหมือนเก่าหรอก เครื่องประดับประดาสวยสดงดงาม แสดงว่าเจ้าเสนอเป็นผีกึ่งเทวดาเข้าให้แล้ว แล้วก็พร้อมที่จะเคลื่อนไปสู่วิมานใดวิมานหนึ่งอันเป็นสมบัติของมัน เพราะมันเคยช่วยสร้างโบสถ์ช่วยสร้างศาลา
    นี่แหละท่านผุ้ฟัง เล่ามาเสียเวลาตั้ง ๓๐ นาที เรื่องอย่างนี้เราเรียกว่าสัมภเวสี เป็นอันว่ามีจริงก็แล้วกันนะ ท่านผู้ฟังจะเชื่อหรือไม่เชื่อก้เป้นเรื่องของท่าน ตามใจ เรื่องนี้ก็จบกันตรงนี้.






    ถ้าบุญเก่าไม่ส่งผล ก็ต้องอาศัยบุญใหม่ที่คนอยู่ส่งไปให้ แล้วก็ต้องส่งเป็น ถ้าส่งไม่เป็นส่งเท่าไหร่ก็ไม่มีผล
    ก็เลยถามต่อไปว่า
    “เออ...ไอ้น้องชาย เอ็งต้องการอะไรล่ะ”
    มันก็รายงานว่า “เวลานี้ผมลำบากขอรับหลวงพี่ หนาวก็หนาว หิวก็หิว กำลังก็ไม่มี สิ่งที่ผมต้องการนั่นก็คือ หนึ่ง พระพุทธรูปสักองค์หนึ่งใหญ่สัก ๕ นิ้วก็พอ หน้าตัก ๕ นิ้วนะ ผ้าไตรจีวรไตรหนึ่ง แล้วก็อาหารอีกชุดหนึ่ง อะไรก็ได้ไม่จำกัด”
    ถามว่า “จะให้ทำยังไง”
    เขาบอกว่า “นิมนต์พระมาแล้วถวายสังฆทาน”
    ก็เลยถามว่า “เออ...ถ้าทำได้อย่างนี้ล่ะ ผลจะพึงมีกับเอ็งยังไง ไหนลองเล่าให้ฟังสิ”
    เขาบอกว่า “สำหรับพระพุทธรูป ถ้าผมโมทนาแล้วกำลังจะดีมาก ถ้าเป็นเทวดาก็มีศักดิ์ศรีใหญ่ มีรัศมีใหญ่ สำหรับสบงจีวรนี้ ถ้าโมทนาแล้วจะมีเครื่องประดับเป็นทิพย์ สำหรับอาหารข้าวและน้ำนี้ เมื่อโมทนาแล้วจะมีกำลัง ร่างกายจะมีแรงมากและมีความเบายิ่งขึ้น
     
  13. โยมแถวหลัง

    โยมแถวหลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +854
    อู้ย....ขอบคุณทุกความเห็นเลยครับ แต่ของคุณ ddman นี่ถึงจิตได้ดีจริงๆ ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...