กรรมชั่วที่เราทำ สามารถแก้ได้จริงหรือไม่ ?

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย dreamlnw002, 24 มีนาคม 2012.

  1. dreamlnw002

    dreamlnw002 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +11
    [​IMG]

    คำถาม : กรรมชั่วที่เราทำ สามารถแก้ได้จริงไหม?
    คำตอบ : กรรมชั่วที่ตัวเราก่อเอาไว้ ไม่ว่าจะกระทำกันมากี่ภพกี่ชาติ ก็ต้องมาชดใช้กันอยู่ดี ไม่สามารถจะหนีกรรมที่ตัวเองก่อเอาไว้ได้ เมื่อเราไปกระทำกรรมชั่วกับใครเอาไว้ ไม่ว่าจะคนหรือสัตว์ ทางกายก็ดี ทางใจก็ดี ทางวาจาก็ดี ล้วนเป็นกรรมชั่วที่จะติดตามผู้นั้นไป ทุกภพทุกชาติ จนกว่าผู้นั้นจะได้รับผลตอบแทนกรรมชั่วที่ตัวเองได้ก่อเอาไว้

    ขอยกตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น เรื่องก่อกรรมชั่วที่ก่อให้เกิดเจ้ากรรมนายเวร คำว่า เจ้ากรรม นายเวร แปลความหมายได้ดังนี้

    เจ้ากรรม หมายถึง ผู้ที่เคยไปกระทำกรรมชั่วอะไรกับใครเอาไว้ ให้เขาผูกเจ็บ พญาบาท อาฆาต จองล้าง เป็นต้น

    นายเวร หมายถึง ผู้ที่ถูกกระทำ และมีความฝังใจแค้นที่ไม่ยอมให้อภัย และจะจองล้างตามไปทุกภพทุกชาติ เป็นต้น

    เมื่อ "เจ้ากรรม" ไปกระทำกรรมชั่วกับ "นายเวร" ทำให้ "นายเวร" อาฆาตและจองล้าง "เจ้ากรรม" ว่า จะกระทำทุกอย่างเหมือนกับที่ "เจ้ากรรม" ได้เคยกระทำ กับ "นายเวร" เอาไว้ เช่น มีนักรบ A คนหนึ่ง ไปออกรบ และเห็นข้าศึกคนหนึ่งคือ นักรบ B หมดหนทางสู้ และได้ขอชีวิตต่อ นักรบ A แต่นักรบ A ไม่ฟังคำขอชีวิต จึงใช้ดาบยาว ฟันไปที่ศรีษะ ของนักรบ B ขาดออกจากตัว เมื่อวิญญานนักรบ B ออกจากร่าง ทำให้เกิดความเจ็บแค้น พญาบาท อาฆาต ต่อนักรบ A

    ตอนนี้นักรบ A กลายเป็น "เจ้ากรรม" ไปแล้ว ส่วนนักรบ B กลายเป็น "นายเวร" เมื่อนักรบ A ยังมีชีวิตอยู่ ดวงวิญญาน นักรบ B ก็ติดตามนักรบ A ไปทุกที่ เพื่อรอจังหวะเวลาที่ นักรบ A ดวงตก กรรมชั่วส่งผล ก็จะเล่นงานทันที ถ้าเจอ "นายเวร" ที่ต้องการจะให้ตายทันที เขาก็จะกระทำในรูปแบบต่างๆ ให้เหมือนกับที่เขาโดนตัดศรีษะ แต่สมมติว่า ถ้าตอนที่นักรบ B มีชีวิตอยู่ เขามีลูกเมียต้องเลี้ยง แต่พอตาย ทำให้ลูกเมียเขาลำบาก วิญญาน ของนักรบ B เขาก็ไม่ยอมให้ นักรบ A ตายง่ายๆหรอก เขาก็จะพยายามไปกระทำ ต่อครอบครัว ของ นักรบ A ให้ลำบาก เหมือนกับที่ครอบครัวนักรบ B เป็นอยู่ และจะกระทำให้นักรบ A ปวดหัวปวดคอมากแบบหาสาเหตุไม่เจอ ดวงวิญญานของนักรบ B จะกระทำจองเวร กระทำไปเรื่อยๆ จนกว่านักรบ A จะตาย และเมื่อใดที่นักรบ A ตาย ก็ถือเป็นการชดใช้กัน แต่

    ตรงนี้เรามาดูกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อ นักรบ A ตาย และออกจากร่างมาเจอนักรบ B

    เมื่อนักรบ A ตายจากความเป็นคน วิญญานก็ออกจากร่างไปเจอวิญญานนักรบ B เรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมานักรบ A ทราบด้วยจิตว่า หลังจากที่ตัดศรีษะนักรบ B ก็ถูกวิญญานนักรบ B จองเวร กลั่นแกล้งมาตลอดจนตาย ทำให้นักรบ A เกิดความอาฆาตแค้นและขอจองเวร ต่อนักรบ B กลับ ทำให้นักรบ A กลายเป็น "นายเวร" ไปซะแล้ว ส่วนนักรบ B กลายเป็น "เจ้ากรรม" ไปโดยปริยาย ทั้งๆที่ในความเป็นจริง ทั้งคู่ ใช้กรรมซึ่งกันและกันไปแล้ว ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายจองเวรกันต่ออีก

    ถ้าอยู่ในโลกวิญญาน คงจะฆ่ากันไม่ได้ เพราะต้องแยกกันไปใช้กรรมดี กรรมชั่ว ตามมีตามเกิด ถ้าทำเพื่อปกป้องชาติ ก็ไปเสวยสุขที่สวรรค์ก่อน แต่อย่างไรการฆ่าคนก็บาป เมื่อหมดบุญก็ตกสวรรค์เพื่อไปใช้กรรมที่ฆ่าคนในนรกต่อ แล้วจึงค่อยไปเกิดตามแรงบุญ แรงกรรม

    แต่เมื่อใดที่มาเกิดเป็นคนหรือสัตว์ ทั้ง 2 ฝ่ายยังไม่อโหสิกรรมให้กันและกัน มันก็จะจองล้างกันไปไม่หยุด ทำลายกันไปกันมาไม่มีหยุดหย่อน บางทีจองล้างกันแบบนี้หลายล้านชาติก็ไม่จบ บ้างก็มาเกิดเป็นพี่น้องกันเพื่อมาทำลายกัน บ้างก็เป็นเพื่อนกัน เป็นแฟนกัน มาอยู่ใกล้ๆกัน เพื่อจะได้กระทำกัน บ้างก็อยู่กันไกลคนละซีกโลก แต่สุดท้าย แรงกรรม ก็ต้องส่งให้มาเจอกันอยู่ดี

    เพราะดวงตายังไม่เห็นธรรม แต่เมื่อใดที่ดวงตา เห็นธรรม ทั้งคู่ต่างอโหสิกรรมให้กันและกัน คำว่า เจ้ากรรม นายเวร คู่นี้ก็สิ้นสุดลง ต่างคนต่างไปตามมีตามเกิด

    แต่ในบางกรณีที่ฝ่ายหนึ่งยังมีชีวิตอยู่ แต่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นวิญญานนายเวร ถ้าโดนวิญญานนายเวรกระทำมาตลอด ให้ทุกข์อยู่ตลอดเวลา บางทีเราก็จำเป็นต้องหาผู้ที่สามารถสื่อจิต มาสอบถามให้แน่ชัดว่า วิญญานต้องการอะไร ต้องทำอย่างไรถึงจะอโหสิกรรมให้ เรื่องนี้ก็จำเป็นเหมือนกัน ไม่เช่นนั้นก็จะจองล้างแบบนี้ไปจนหมดกรรม บางทีผู้ที่สื่อจิต ก็สามารถช่วยแก้ปัญหาทั้งสองฝ่ายให้เป็นไปได้ด้วยดีก็มีมาก ส่วนตัวผมเคยเจอเยอะ เวลาผมไปสื่อจิตกับเจ้ากรรมนายเวร บางทีเขาก็ยอมอโหสิกรรมให้ บางทีก็เป็นวิญญานที่อาฆาตแรง ก็ต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป

    ถ้าถามว่าแก้กรรมได้ไหม?

    ถ้าทั้งสองฝ่ายอโหสิกรรมให้กันและกัน กรรมที่อาฆาต พยาบาท จองเวร ของทั้งสองฝ่ายก็จบกันในปัจจุบัน แต่กรรมชั่วที่ทำเอาไว้มันไม่จบ มันคงยังดำเนินต่อไป เพียงแต่แค่หนักอาจจะเป็นเบา แต่อย่างไรก็ต้องโดนอยู่ดี หนีไม่พ้น วิธีแก้ให้หนักเป็นเบาก็ง่ายๆ เจริญสมาธิวิปัสนา สามารถช่วยเรื่องการแก้กรรม ให้หนักเป็นเบา เบาเป็นพักได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเรื่องการแก้กรรม มีจริงไหม ก็ขอตอบว่ามีจริง แต่เป็นการแก้ให้หนักกลับกลายมาเป็นเบา เบามาเป็นพัก

    (ที่พัก เพราะผลบุญมาช่วยให้ พัก ไว้ก่อนนะ แต่อย่างไรก็ยังต้องรับผลของกรรมอยู่ดี แต่จะเป็นเมื่อไร ก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้นั้นเอง ถ้าปฎิบัติธรรม ความดี มาตลอด ก็อาจจะยังไม่ส่งผล แต่ถ้าวันใดทำไม่ดี กรรมชั่วตามทัน ก็ต้องรับผลของกรรมนั้นทันที)

    ปัจจุบันก็เห็นมีผู้ทรงศีลหลายท่านที่แก้กรรมให้ผู้ทุกข์ แต่มีบางท่านไม่เข้าใจ บอกว่าการแก้กรรมไม่มีจริง คุณอาจจะยังไม่เข้าใจ คำว่า "แก้กรรม" อย่างแท้จริง การที่ผู้ทรงศีลแก้กรรม ให้ หมายถึง ท่านช่วยเจรจา แผ่เมตตา ให้เจ้ากรรมนายเวรคุณ วิญญานคู่กรณีคุณ และชี้แนะให้คุณสร้างกุศลผลบุญ สร้างบุญ เจริญวิปัสนา กรรมฐาน เพื่อให้ กรรมจากหนักเป็นเบา หรือ อุทิศไปให้เจ้ากรรมนายเวร เพื่อให้เขาให้อภัยและอโหสิกรรมให้ แต่ท่านไม่ได้หมายถึง แก้กรรม ปุ๊บ กรรมหายปั๊บ อยากจะให้เข้าใจความหมายด้วยครับ ไม่เช่นนั้น เกิดไม่รู้จริง ไปนินทาผู้ทรงศีล ยิ่งจะทำให้คุณไม่ดีไปกันใหญ่

    ส่วนท่านอื่น ที่บอกแก้กรรม ได้ปุ๊บ กรรมหายปั๊บ ผมก็คิดว่า ดวงจิตเขาคงยังไม่ไปถึงไหนหรอกครับ คงยังวนเวียนอยู่ในนรกอยู่

    สุดท้ายนี้ผมอยากจะฝากบอกว่า ถ้าชาตินี้คุณไปก่อกรรมอะไรใครเอาไว้ ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ก็ควรจะไปขอให้เขา อโหสิกรรมให้ จะดีกว่า เพราะคนเราไม่อาจจะรู้ได้เลยว่า ชาติหน้าจะได้ไปเกิดเป็นคนอีกหรือเปล่า ถ้าเกิดเป็นสัตว์ สัตว์เดรัจฉาน เขาอโหสิกรรมไม่เป็นนะบอกก่อน เพราะสัตว์ไม่รู้จักพระพุทธศาสนา ไม่รู้จักคำสอน เรื่องการอโหสิกรรมนะ เมื่อไม่รู้จักคำว่า อโหสิกรรม มันก็จะต้องจองล้างกันไปไม่มีหยุดไม่มีหย่อน เกิดๆตายๆ ตายๆเกิดๆ กี่ทีก็ไปจองล้างกัน

    (เรื่องที่ผมกล่าวมาจริงๆมีมากกว่านี้ และละเอียดมากกว่านี้ แต่ขอย่อใจความสั้นๆมา บางข้อมูลอาจตกหล่นไป ก็สามารถเมลล์มาถามได้นะครับ เพราะบางประโยคผมอยากจะอธิบายมากกว่านี้)

    http://www.chansamabut.com/index.php?mo=3&art=127524
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มีนาคม 2012
  2. Fabreguz

    Fabreguz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +1,911
    เกลือ ใส่ลงในแก้วที่มีน้ำน้อย.. ย่อมมีรสเค็มมาก เกลือน้อยที่อยู่ในน้ำมากๆ เช่น เกลือ 1 ช้อน ใส่ลงในแม่น้ำคงคา ความเค็มก็ไม่ปรากฏ เปรียบเสมือนเราทำกรรมชั่วเล็กน้อย แต่ถ้าเราสำนึกผิด และทำกรรมดีใหญ่ๆอย่างไม่ขาดสายเปรียบเสมือนเติมน้ำสะอาดไม่หยุด เช่นเราเผลอฆ่ามด ยุง เผลอนินทาคน แต่เราทำหนังสือธรรมะแจก บริจาคเงินช่วยการกุศล ทำบุญกับพระอริยเจ้า อย่างต่อเนื่อง.. ชวนคนปฏิบัติธรรม.. เป็นต้น กรรมแก้ไม่ได้ แต่เปรียบเสมือน น้ำที่บริสุทธิ์ไม่มีรสชาด แต่อาจจะมีรสเค็มเจือปน แต่น้อยมากๆจนเราไม่รู้สึก.. น้ำก็มีหลายรสชาด น้ำหวาน น้ำเค็ม น้ำขม น้ำอร่อย น้ำไม่อร่อย น้ำบริสุทธิ์ไม่มีอะไรเจือปน.. เช่นกัน กรรมดี. กรรมชั่ว. ถ้าไม่มีกรรม ก็เหมือนแยกธาตุจาก น้ำ คือ H 2 O ออกจากกัน น้ำก็ไม่มีอยู่จริง รสชาดไม่มีอยู่จริง มีแต่ ไฮโดรเจน กับ ออกซิเจน มารวมกัน มันจึงเป็นน้ำ แต่ถ้าแยกธาตุออกจากกัน น้ำก็ไม่มีอยู่จริง.. ดังนั้น เราจะปฏิบัติธรรม โดย กาย เวทนา จิต ธรรม ซึ่ง เป็นการมุ่ง แยก รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือ ขั้นธ์ 5 ที่ประชุมกันรวมกันเป็นร่างกายเราที่มีจิตใจเราอาศัยอยู่นั่นแหละ.. พอเราแยกได้ กรรมก็ไม่ปรากฏ เหมือนเรา แยก H 2 O ออกจากกัน.. น้ำก็ไม่มีอยู่จริง รสชาดก็ไม่มีอยู่จริง.. ^^ เช่นกัน ไฮโรเจน หรือ อ๊อกซิเจน เมื่อเราแยกธาตุในตัวมันก็เป็น โปรตอน นิวตรอน อิเล็กตรอนต่างๆมารวมกัน แยกไปก็เป็น อะตอมต่างๆมารวมกัน เป็นธาตุ ไฮโดรเจน อ๊อกซิเจน เมื่อแยกไปเรื่อยๆ เล็กไปสุดๆๆ จะพบว่าไม่มีอะไรเลย หรือความว่างเปล่า... สรุปลงที่ว่า ทุกสิ่งที่ตาเรามองเห็น กายสัมผัส จิตนึกนั้น มันเป็นเพียงมายา หรือสิ่งลวงตา เราสมมติกันไปเอง ทุกอย่างไม่มีจริงมีแต่ความว่างเปล่า แต่เราไปยึดมั่นถือมั่นไว้นั่นเอง รูป หรือกายเรา ก็แยกมาจากธาตุดิน น้ำ ลมไฟ มาประชุมรวมกัน ทำให้มี ความร้อนระบบเผาผลาญพลังงานย่อยอาหาร ลมคือลมหายใจ แก๊ซ ดินคือ เนื้อหนังกระดูก น้ำคือ เลือดน้ำหนองปัสสาวะ.. จิต ก็คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มารวมกัน เมื่อแยกไปสุดๆ ก็คือ ไม่มีอะไรอยู่จริงเลย เป็นสิ่งที่มาประชุมรวมกัน.. กรรมก็ไม่มีจริง แต่เพราะเราไปยึดถือมันไว้ จึงทำให้มันมีเป็นตัวเป็นตน เหมือนเรานี่ไง.. สรุปลงที่ การปล่อยวาง และการไม่ยึดติด .. ไม่เนื่องด้วยกรรม นิพพานแน่นอน.. ดังเช่นการปฏิบัติธรรม ความสุข เราก็แค่รู้ ความทุกข์เราก็แค่รู้ เฉยๆเราก็แค่รู้.. รู้จนรู้ทัน.. ชาติ ภพ ก็ไม่เกิด..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2012
  3. LungKO

    LungKO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    590
    ค่าพลัง:
    +925
    เราต้องศึกษาเพิ่มเติม ในลัทธิของครูทั้งหก มีอชิตะ เกสะกัมพล เป็นต้น เจ้าลัทธิเหล่านั้น เป็นมิจฉาทิฏฐิ คือมีหลักการ หรือความเห็นผิด ๆ อันตรายมาก นะครับ ฯ

    อย่าพลาดแม้แต่นิดเดียว
    เหยียบไฟ แม้จะนิดเดียวก็ให้ความร้อนได้
    ยิ่งเหยียบแบบไม่รู้ยิ่งร้อนมาก
    คนที่รู้ว่าไฟ ย่อมหาวิธีหนีความร้อน เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายจากไฟที่ร้อน ที่ตนไม่ต้องการ
    การทำบาป เหมือนเกลือในน้ำ น้ำแห้งเกลือก็ออกฤทธิ์ จะมากหรือน้อยก็ยังมีเชื้อเกลืออยู่
    ส่งผลคือเค็มตามปริมาณ หรือคุณภาพของเกลือ พิสูจน์ได้จากแกง หนึ่งหม้อครั้งแรกไม่เค็มมากนัก หรือกำลังดี กำลังอร่อย
    แต่พออุ่นหลายครั้งเข้า น้ำเริ่มแห้ง แกงก็เริ่มเค็ม เห็นชัด ๆ เลย และในที่สุดน้ำแห้งก็ออกฤทธิ์เค็มเต็มที่เลย
    ต้องเติมน้ำไว้เรื่อย อย่าให้ขาดน้ำ คือสติสัมปชัญญะ ถ้าขาดเมื่อไรก็เป็นเรื่องเมื่อนั้น ฯ

    ศีล สมาธิ ปัญญา (มรรค8 และนิพพาน) ในพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่ช่วยได้อย่างเด็ดขาด
    นอกนั้นยังไม่พ้นสวรรค์ ยังไม่พ้นนรก
    ก็ยังไม่พ้นเงื้อมมือกรรม
    จงรักษาความดี ดุจเกลือรักษาความเค็ม ฉะนั้น เทอญ ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 มีนาคม 2012
  4. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,572
    ค่าพลัง:
    +4,560
    อ่านทั้งหมด..ทุกคน...แล้วก็ดีใจ...
    ..ที่มีแนวคิดที่ดี...น่าจะถูกต้อง...แม้ไม่ทั้งหมด...แต่ถือว่าเดินทางมาถูกต้องในเส้นทางแล้ว....คือมีความรู้ ความเข้าใจที่น่าจะตรงทางพุทธเถรวาท...
    ..แต่ก็เสียดายที่อีกหลายๆชีวิต...เดินทางหรือ คิด หรือ เข้าใจ...สวนทาง ผิดทางไปมากมาย...เกี่ยวกับพุทธศาสนาเถรวาทนี้
     
  5. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    แก้ได้อย่างแท้จริงต้องเข้านิพพาน กรรมที่มีมาเป็นอโหสิกรรมหมดทั้งบุญบาป
     

แชร์หน้านี้

Loading...