ควรทำหรือไม่.....หลวงปู่ดู่พรหมปัญโญ ครั้งหนึ่ง มีลูกศิษย์หลวงพ่อผู้สนใจธรรมปฏิบัติกำลังนั่งภาวนาเงียบอยู่ ไม่ห่างจากท่านเท่าใดนัก บังเอิญมีแขกมาหาศิษย์ผู้นั้นแต่ไม่เห็น ก็มีศิษย์อีกท่านหนึ่งเดินเรียกชื่อท่านผู้กำลังนั่งภาวนาอยู่ด้วยเสียงอัน ดัง และเมื่อเดินมาเห็นศิษย์ผู้นั้นกำลังภาวนาอยู่ก็จับแขนดึงขึ้นมาทั้งที่ กำลังนั่งภาวนา เมื่อผู้นั้นห่างไปแล้ว หลวงพ่อท่านจึงเปรยขึ้นมาว่า.... "ในพุทธกาลครั้งก่อน มีพระอรหันต์องหนึ่งกำลังเข้านิโรธสมาบัติ ได้มีนกแสกตัวหนึ่งบินโฉบผ่านหน้าท่านพร้อมกับร้อง "แซก" ท่านว่านกแสกตัวนั้นเมื่อตายแล้วได้ไปอยู่ในนรก... แม้กัปนี้พระพุทธเจ้าผ่านไปองค์ที่สี่แล้ว นกแสกตัวนั้นยังไม่ได้ขึ้นมาจากนรกเลย" สวัสดีตอนเช้าครับ ....^___^.....
แก้ไขตรงไหนก่อน .....หลวงปู่ดู่พรหมปัญโญ เวลามีสิ่งมากระทบให้ต้องเกิดความขุ่นมัว ไม่ว่าเรื่องงานหรือเรื่องใดๆก็ตาม มีข้อระวังซึ่งต้องคอยเตือนตัวเองว่า อย่ารีบร้อนไปแก้ไขเหตุการณ์ให้เป็นไปตามปรารถนา หากแต่ ต้องหยุดสักครู่ เพื่อหันกลับมาแก้ไขใจที่ขุ่นมัวนั้นเสียก่อน ไม่อย่างนั้นการแก้ภายนอกก็ทำบนพื้นฐานใจที่มีอคติ ไม่เป็นกลาง ไม่ตั้งอยู่บนความปรารถนาดี ไม่ตั้งอยู่บนความเห็นชอบของการยอมรับในความจริง ของกระบวนการแห่งเหตุปัจจัย ดังนั้นหลวงปู่เน้นย้ำว่า.....ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต...... สวัสดีครับ ....^___^..
หลวงปู่ดู่ไม่ให้กราบพระจนลืมพ่อแม่..หลวงปู่ดู่พรหมปัญโญ หลวงปู่จะเมตตาสั่งสอนหลาย ๆ คนที่มากราบท่านในวันแรกว่า พวกแกอย่าเอาแต่เที่ยวกราบพระที่นั่นที่นี่จนลืมพระที่บ้านนะ ทำบุญกับพ่อแม่ก็เหมือนกับทำบุญกับพระอรหันต์ หลวงปู่มีเรื่องเล่ามากมายที่ยืนยันว่าคุณของพ่อแม่คุ้มครองเราได้จริง ๆ เรื่องนี้เป็นเครื่องเตือนใจที่สำคัญมาก ไม่ให้เรามองข้ามพระที่อยู่ใกล้เราที่สุด ไม่พูด ไม่ทำ ในทางที่จะทำให้ท่านไม่สบายใจ ให้ความสำคัญกับท่านเป็นลำดับต้น ๆ แน่นอนว่าท่านอาจไม่ใช่พระอรหันต์ (ผู้หมดกิเลส) แต่หลวงปู่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็ยืนยันว่าการทำบุญกับท่านจะได้อานิสงส์ เหมือนทำกับพระอรหันต์ การ ปฏิบัติดีต่อพ่อแม่ของเราจึงเป็นตัววัดการปฏิบัติธรรมที่ดีอีกตัวหนึ่ง ว่าเราก้าวหน้าขึ้นไหม มิใช่วัดจากการไปกราบพระมาได้มากน้อยแค่ไหน .......สวัสดีตอนหัวค่ำครับ...^___^......
ไม่ต้องมาก..หลวงปู่ดู่พรหมปัญโญ ตลอดระยะเวลาหลายปีที่มีโอกาสได้ไปกราบนมัสการและฟังธรรมจากหลวงปู่ สิ่งที่ได้เรียนรู้อย่างหนึ่งก็คือ ท่านมิได้มุ่งหวังให้ศิษย์ของท่านไปศึกษาเล่าเรียนอะไรมาก ๆ ยิ่งไปกว่าภาคปฏิบัติ ทำนองว่า.. รู้น้อยแต่ทำให้ได้ผล ดีกว่ารู้มาก แต่ล้วนเป็นความรู้จำทั้งหมด จะหาความรู้จริงก็แทบไม่มีเลย อย่างนี้ท่านไม่ยกย่อง อุปมาเหมือนที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่า จงทำตัวเหมือนอย่างเจ้าของโคที่มีสิทธิจะดื่มกินน้ำนมโคของตน จงอย่าเป็นดั่งคนงานเลี้ยงโค ที่ไม่มีสิทธิจะดื่มน้ำนมโคที่ตนเลี้ยง ...เราปฏิบัติธรรม แม้ไม่มาก แต่หากได้ลิ้มรสผลแห่งธรรมนั้น ก็ได้ชื่อว่าสำเร็จประโยชน์แล้วไม่มากก็น้อย สวัสดียามค่ำคืนครับ แวะมาทักทายครับผม ^___^
ขยันก็ทำ ขี้เกียจก็ฝืนทำ.....หลวงปู่ดู่พรหมปัญโญ โดยทั่วไปครูบาอาจารย์จะไม่สรรเสริญผู้ปฎิบัติธรรมที่รีบเร่งปฎิบัติเกินพอ ดี บทจะขยันก็ขยันเสียเหลือเิกิน บทจะขี้เกียจก็ทิ้งเลย ท่านว่าเหมือนไฟไหม้ฟาง ที่ถูกต้องนั้นควรปฎิบัติแบบเคร่ง แต่ไม่เครียด แล้วก็ทำอย่างสม่ำเสมอ ขยันก็ทำขี้เกียจก็ฝืนทำ ทำให้เป็นกิจวัตร ให้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ขาดเสียมิได้ ดังที่หลวงปู่กล่าวเตือนว่า "ขยันก็ทำ ขี้เกียจก็ทำ" สวัสดีตอนเย็นครับบัว ^___^
เทวทูต 4...หลวงปู่ดู่พรหมปัญโญ ธรรมะที่หลวงพ่อยกมาสั่งสอนศิษย์เป็นประจำ มีอยู่เรื่องหนึ่ง คือ เทวทูต ๔ ที่เจ้าชายสิทธัตถะพบก่อนบรรพชา คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ความหมายของคำว่าเทวทูต ๔ หลวงพ่อท่านหมายถึง ผู้มาเตือน เพื่อให้ระลึกถึงความไม่ประมาท ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรคิด แต่คนส่วนใหญ่มักมองข้าม หลวงพ่อปรารภอยู่เสมอว่า แก่ เจ็บ ตาย เน้อ..หมั่นทำเข้าไว้ มีความหมายโดยนัยว่า เมื่อเราเกิดมาแล้ว เราก็ย่อมก้าวเข้าสู่ความชราความแก่เฒ่าอยู่ตลอดเวลา มีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดาและเราจักต้องตายเหมือนกันทุกคน การเห็นสมณะหรือนักบวช จึงเป็นนิมิตหมายที่ดีที่จะชักจูงให้เราก้าวล่วงความพ้นทุกข์ได้ในที่สุด โดย "ผู้มาเตือน" ทั้ง ๔ นี่เอง สวัสดีตอนเย็นครับบัว ขอบคุณมากๆครับ ^___^