กสิณอะไรฝึกง่ายสุดหนอ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย lovepyou, 8 กรกฎาคม 2014.

  1. sensona

    sensona Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +65
    รายงานตัวขอรับเพิ่งเริ่มฝึกใหม่ยังไม่ได้อะไรๆแต่จะพยายามศึกษาและไปไวที่สุดเท่าที่จะทำได้คับๆ :boo:
     
  2. sensona

    sensona Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +65
    เมื่อคืนฝันว่ามีคนมาดึงกสิณให้ดูแต่ในฝันดันคิดว่า เห้ย นี่มันของเขาไม่ใช่ของเรานิ งง :cool:

    สงสัยจะอยากมากไปเลยเก็บไปฝันเยย :'(
     
  3. sensona

    sensona Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +65
    จบแล้วเย่ 56 หน้าหลายวันกว่าจะหมด (หนักช่วงหน้าแรกๆ หลังๆดีหน่อยข้ามมาได้หลายหน้าเลย ถถถถถ (k)) พอจะได้แนวทางฝึกละคับ ขอบพระคุณมาก แต่ก็ยังแอบสงสัยว่ามะคืนหนะใครกันนะ สองคน อิอิ มาเสก ไฟกะดินให้ดู เสียดายดึงของผมไม่ได้เลยเสกของตัวเองให้ดู ขอบพระคุณมากค้าบบบบบบบบบบ :cool:

    ปล. ยินดีให้มาอีกนะคับๆๆๆๆๆ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    เรื่องที่ sensona พูดมามันเป็นเรื่องของระบบภาคทิพย์
    ในมิติที่ ๔ ซึ่งต้องอาศัยระยะเวลาอีกซักพักหนึ่งถึงจะเข้าได้
    และพวกนี้พึงระลึกเอาไว้ว่า มันเป็นเพียงมายาจิตชนิดหนึ่ง
    ในเรื่องนี้..ตอนนี้ให้เฉยๆ ฮาๆไว้ก่อนทุกกรณี...
    และต้องเข้าใจไว้ก่อนว่า การยึดติดในระบบภาคทิพย์นั้น
    ก็จะทำให้เราไม่สามารถหลุดพ้นจากระบบภพภูมิได้นะครับ..
    นี่ต้องเตือนไว้ก่อน..เพราะว่าถ้าไปติดแล้วมันยากที่จะดึงให้กลับมา..
    เพราะมักจะเผลอเข้าใจไปเองแบบลึกๆ..จนคิดว่าเป็นตัวเองในสภาวะ
    ลืมตามปกติ เป็นเหตุที่มาของนิสัย ที่ไม่ดีทั้งหลาย
    อาการเหมือนกับว่า คนขาด้วยฝันว่าตัวเองวิ่งได้ มีขาปกติ
    พอลืมตาขึ้นมาก็จะนึกว่าตัวเองมีขานั่นหละ พอเข้าใจเนาะ
    นิสัยไม่ดีต่างๆเช่น ยกตนข่มท่าน
    คิดว่าตัวเองเก่งกว่าใคร ไม่ว่าคนหรือ เทพเทวดาทั้งหลายด้วย..
    ตรงนี้อาการจะน่าเป็นห่วงมาก...ระบบภาคทิพย์เป็นไปตามสภาวะ
    คุณธรรมและความสามารถทางจิตที่มีของตนเองนั่นหละ...
    เราอาจเคยได้ยินว่า ครูบาร์อาจารย์สายวิปัสสนามีเทพเทวดา
    มาฟังธรรมจากท่านนั่นหละ..ก็เพราะท่านได้รับการยอมรับในเรื่องนี้นั่นเอง
    มนุษย์อย่างเราๆ ต้องไม่ลืมว่า เราเกิดขึ้นมาตัวจิตเรามันไม่ได้มี
    ความเป็นทิพย์ได้เลย ยกเว้นพวกที่เค้าเกิดมาพร้อมญานวิถีซึ่งก็ต้อง
    อาศัยระยะเวลาในการปรับตัว บางกลุ่มปรับตัวไม่ได้ กลายเป็นคน
    วิปลาศไปเลย เพราะว่า อยู่ร่วมกับสังคมได้ยาก เพราะแยกไม่ออกว่า
    อะไรคือโลกความจริง อะไรคือโลกมายาหรือมิติที่ ๔ ต้องมาสร้างสติ
    มาเดินปัญญากว่าจะกลับมาอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างปกติ..
    นี่คือลักษณะของคนนะ...

    แล้วเทพ เทวดา ที่กำเนิดขึ้นมาโดยมีความเป็นทิพย์ในตัวเองเป็นปกตินั้น...
    เราไม่ต้องที่จะคิดไปเปรียบเลยว่า จะมีความชำนาญแค่ไหน.....

    แต่หากว่าเราไปติดในเรื่องความสามารถพิเศษ ยิ่งไปติด ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    ด้วยแล้วนะ...จะสร้างความประหลาดอย่างมากให้ตัวเองได้อย่างหนึ่งว่า
    ตัวเราเองนั้นจะเก่ง กว่าเทพ เทวดาทั้งหลาย คิดว่าประหลาดไหม คิดว่าแปลก
    ไหมหละ ทั้งๆที่เรื่องนี้ใช้ตรรกะธรรมดา ก็น่าจะเข้าใจได้ แต่ว่าก็ยังมีหลายกลุ่ม
    หลายบุคคลที่ ยังคิดว่าตัวเองเก่งกว่า ฝ่ายนามธรรมระดับสูงๆได้
    และมักจะคิดไปว่า ตนเป็นผู้วิเศษ เป็นคนบุคคลสำคัญลงมาเกิด..
    แม้มีความสามารถมากมายอย่างที่เล่าหรือพยายามสื่อให้บุคคลอื่นๆเข้าใจ...
    แต่จะเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง พอให้สอน ให้แนะนำ กลับสอนไม่ได้..
    ยิ่งให้แสดงให้ดูยิ่งไม่ได้....นี่พอเห็นข้อควรระวังหรือยังว่า การไปยึดติด
    ในเรื่องมายาหรือมิติที่ ๔ มันส่งผลเสียต่อตัวจิตอย่างไร....

    แต่เราจะไม่เกิดปัญหาอะไร ถ้ามองว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิด
    มันเป็นเรื่องปกติธรรมดา และสามารถเกิดขึ้นได้ ก็คือ ไม่ยึด
    แม้จะเห็นได้ สัมผัสได้ ด้วยตาเปล่าก็ไม่ควรยึด...
    เพราะมันเป็นเพียงกลจิต เป็นมายาจิตอย่างหนึ่ง
    ยังไม่ใช่ทางหลุดพ้น ไม่งั้นต่อไปถ้าเผลอไปยึดจะ
    กลายเป็นการสะกดจิตตัวเอง....
    นี่เล่าให้ฟังประกอบ..การเดินทาง....
    เพื่อความปลอดภัย ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจของตัวเอง.....

    และอย่าลืมว่า พุทธศาสนาเน้นทางด้าน ปัญญา
    เพื่อลด ละ คลาย กิเลส ต่างๆ รวมทั้ง
    ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ....
    เราจะดูว่า เราเป็นธรรมะหรืออธรรม...
    ก็ให้ดูว่า กิเลสต่างๆ การยึดติด เรื่องลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    เราเป็นอย่างไรนั่นหละ..ไม่ต้องไม่ถามใครก็ได้
    เรื่องแบบนี้ควรจะต้อง มีสติที่จะรู้ตัวเองได้
    และตัวเราเองจะรู้ตัวเองได้ดีที่สุดนั่นหละ...
    ปล.ประมาณนี้....เทคนิคในการฝึกนะเรื่องรอง..
    ผลพลอยได้ที่เกิดขึ้นในระหว่างทางเป็นเรื่อง
    ไร้สาระที่จะมาขวางให้เราเข้าถึงความสำเร็จได้ช้า...
    ความสามารถในการทำอะไรได้หลังจากเข้าถึงได้แล้ว...
    ก็ต้องดูด้วยว่า เราเน้นเพื่อประโยชน์แห่งตน หรือเพื่อประโยชน์ท่าน
    ซึ่งมันจะเกี่ยวข้องสัมผัส กับ กิเลสต่างๆ และ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    ที่มีในใจเรา..
    เรื่องที่สำคัญกว่าคือความเข้าว่าพุทธศาสนาสอนอะไร
    เน้นอะไรที่สำคัญกว่า..ในระหว่างช่วงที่เรากำลังเดินทาง
    ตามวาระแห่งตน..
    และที่สำคัญ ไม่ว่าฝึกรรมฐานอะไร..
    จิตเราควรจะคลายตัวได้ ของมันเอง ในเวลา
    ใช้ชีวิตลืมตาปกติทั่วๆไป โดยที่ไม่ต้องบังคับ
    โดยวิธีการใดๆ มันจะคลายจากอะไร ก็คลายจาก
    ปัญญาทางธรรมของเรานั่นหละ.ที่จะทำให้จิตเราไม่ยึด
    เรื่องต่างๆ...เริ่มต้นจากวินาทีให้ได้ก่อน
    ในเวลาลืมตาปกตินะ แล้วค่อยๆพัฒนาขึ้นไปตามวาระแห่งตน
    สุดท้าย ''ที่ไม่ใช่ว่าว่าง และไม่ว่าง นั่นหละว่าง''....
     
  5. sensona

    sensona Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +65
    อยากคุยกับคุณนพกาลเป็นการส่วนตัวจิงๆนะคับไม่ทราบว่าพอจะได้รับความกรุณาหรือไม่
    เรื่องบางเรื่องผมก็ไม่อยากจะพิมพ์ออกสื่อและคาดว่าคุณนพกาลคงจะทราบก่อนผมแล้ว


    ขอบพระคุณมากคับ (kiss)
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ใจเย็นๆ ค่อยๆเป็นไปตามวาระ...เล่าให้ฟังเชิงเปรียบเหมือน
    คล้ายๆการที่เราไปดูภาพถ่ายต่างๆมานั่นหละ...
    แรกๆเรามองดูเราก็แค่ดูว่าภาพมันสวยดีนะ..
    เห็นแล้วเราก็ขอบนะ..
    แต่เราก็ไม่ค่อยรู้หรอกว่า เค้าเรียกภาพแบบนี้ว่า
    เป็นการถ่ายแนวๆไหน เป็น แลนด์สเคป เป็นพอร์เทตร์ ฯลฯ
    ต่อมาพอเรามีต้นทุน ไม่ว่าจะจากอะไรก็ตาม...
    เราก็ไปหาซื้อกล้องมาไว้หนึ่งตัว..ตามแต่ต้นทุนที่เรามี..
    ที่นี้เราก็เริ่มศึกษา และรู้แล้วว่า ภาพถ่ายอย่างนี้เรียกว่าอะไร...
    จะถ่ายภาพนี้ควรใช้เลนส์อะไร ช่วงเลนส์เท่าไรดี..
    ถึงจะได้ภาพถ่ายแบบนี้และออกมาสวยงามเหมือนที่เราเคยเห็น...

    เราก็ลงทุนต่อด้วยการเพิ่มต้นทุนเพื่อไปเลือกซื้อเลนส์
    ที่มันเหมาะสมกับกล้องที่เราในครั้งแรกที่เราได้มา...
    ที่นี้เมื่อเรามีทั้งกล้องทั้งเลนส์ที่จะภาพแนวนั้น เราก็จะเริ่มข้อมูลเพิ่มเติมขึ้นมาอีกว่า
    การที่จะถ่ายภาพนั้นให้สวย ควรจะต้องตั้งค่าที่กล้องอย่างไร..
    เช่น เปิดรู้รับแสงเท่าไร ใช้ค่า iso เท่าไรดี ตั้งความเร็วสปิดซัทเตอร์
    เท่าไรดีน้อ ภาพถึงจะออกมาได้อย่างที่เราเคยเห็นมาก่อน...
    และเราก็จะไปลองถ่าย..จนได้ภาพออกมาอย่างที่เราต้องการ...
    แต่ปัญหาก็ยังไม่จบแค่นี้ เพราะว่าช่วงของการถ่ายภาพมันไม่ได้
    มีช่วงเดียวนะซิ มันมีทั้งช่วงมุมกว้าง ช่วงธรรมดา และช่วงยาว...
    ที่นี้เราก็หาต้นทุนต่อ เพื่อที่จะมาเลือกช่วงเลนส์ที่เราต้องการอีก...
    ลำดับมันก็จะคล้ายๆที่เล่าไปในตอนแรกคือ ไปดูภาพช่วงนั้นๆก่อน..
    และดูว่าเค้าใช้เลนส์อะไร และตั้งค่าที่กล้องอย่างไร..ซึ่งเราก็จะเป็น
    อย่างนี้หละในเกือบๆทุกช่วงของเลนส์...


    ที่นี้ต่อมาเราก็ไม่รู้จะไปยังไงต่อ เมื่อเราได้ช่วงเลนส์ครบทุกช่วงแล้ว...
    เราก็จะไปหาดูว่า เลนส์ในแต่ละช่วงนั้น ตัวไหนมันเหมาะมันดีที่สุด
    และเราชอบที่สุด และเหมาะสมกับต้นทุนที่เรามี...เราก็อาจจะเปลี่ยน
    ไปใช้เลนส์ตัวนั้นๆที่ดูไปเอาไว้แทน...ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ล้วนแล้ว
    แต่ต้องมีการลงทุน....ที่นี้อยู่มาวันหนึ่ง..เราจึงเกิดคำถามว่า....
    เรามีไว้เพื่ออะไร เราไม่มีได้ไหม..บางคนก็นึกขึ้นได้ ยังไงเรามีเลนส์แล้ว..
    เราก็สร้างโปรไฟล์ของเราเอาไว้ เพื่อสำหรับอนาคตในการสร้างรายได้
    สร้างชื่อเสียงให้ตัวเราเองดีกว่า....บางคนก็นึกไปในทำนองว่า..
    เราไม่มีก็ไม่เห็นเป็นอะไร เอาไปขายเพื่อนำเอาต้นทุนที่ได้จากการขาย
    มาเก็บไว้ก่อนดีกว่า...บางคนก็เก็บไว้เลือกเอาไว้ถ่ายตามความเหมาะสม
    เช่นจะไปเที่ยวป่าก็เอาเลนส์มุมกว้างไป จะไปถ่ายคนก็ใช้เลนส์ช่วงธรรมดา
    อยากถ่ายคนพิเศษก็เอาเลนส์เฉพาะที่มันถ่ายออกมาแล้วสวยไปดีกว่า...
    บางคนก็มองอีกแบบอยากเห็นว่าตัวเองถ่ายเก่งแค่ไหน อยากพัฒนาตัวเอง
    เพื่อชื่อเสียง เพื่อรายได้ในอนาคตของตัวเอง ก็มีการส่งเข้าประกวดชิงรางวัล...
    แต่ก็มีบางคนเช่นกัน ที่อยากรู้ฝีมือตัวเองเฉยๆไม่ได้สนใจเรื่องรายได้ เรื่องชื่อเสียง
    ก็มีก็ส่งเข้าประกวดไปงั้นๆ....ที่นี้หละในแต่ละช่วงเลนส์ ก็จะมีบุคคลที่
    มีความชำนาญ ในแต่ละช่วงๆเกิดขึ้น..ซึ่งในความเป็นจริงแล้วจะหาคนที่
    ถ่ายภาพได้ดีที่สุดในทุกช่วงคงเป็นไปได้ยากไม่ว่าใครก็ตาม...
    และมันก็นำมาใช้เป็นเกณฑ์ตัดสินได้ยากว่า คนไหนคือคนที่ถ่ายภาพ
    ได้ดีที่สุด เพราะภาพถ่ายไปได้มีแค่แนวดี เลนส์ที่ใช้ก็ไม่ได้มีแค่ช่วงเดียว
    กล้องที่ใช้ก็ไม่ได้มีแค่ยี่ห้อเดียว....
    แต่ก็จะมีบุคคลอีกกลุ่มเช่นกัน..ที่พอมีพื้นฐานต่างๆจากที่เล่าให้ฟังมาก่อน
    หน้าทีมาทั้งหมด..และเลือกที่สื่อเรื่องราวต่างๆออกผ่านออกมาทางภาพถ่าย..
    ในแต่ละแนวที่เรียกชนิดของการถ่ายภาพ..และ
    ภาพเพียงภาพเดียวอาจให้ความหมายได้เป็นพันๆคำ.
    ตั้งแต่ตัวผู้ถ่าย อะไรก็ตามที่อยู่ในภาพถ่าย..อะไรก็ตามที่
    ถูกตัดออกจากภาพถ่าย และการวางองค์ประกอบต่างๆ
    ที่จะสือออกมาในด้านใด...เช่น การถ่ายภาพบุคคลก็มี
    ทั้งที่แต่ที่แต่งตัวปกติทั่วไป กับแบบพวกที่ไม่ค่อยมีเสื้อผ้าที่จะส่วมใส่
    ทั้งแบบที่น่าเห็นใจ..และแบบที่ไม่น่าเห็นใจ...การถ่ายภาพวิวทั้งแบบ
    ที่มีความอุดมสมบูรณ์ และไม่อุดมสมบูรณ์ การถ่ายสัตว์ ถ่ายดอกไม้
    พันธ์ไม้ต่างๆ ทั้งแบบที่สมบูรณ์และไม่สมบูรณ์.....


    เราต้องตั้งคำถามไว้ในใจว่า ภาพที่สมบูรณ์นั้นเพื่อสื่ออะไร...
    และภาพที่ไม่สมบูรณ์นั้นต้องการสื่ออะไร...ภาพที่ไม่สมบูรณ์
    ใครๆก็อยากถ่าย ไม่ว่าจะภาพอะไร..แต่ภาพที่ไม่สมบูรณ์
    ใครๆก็ถ่ายได้เช่นกัน...แต่ถ่ายออกมาแล้วเพื่ออะไรต่างๆหากหละ...
    ถ่ายออกมาเพื่อให้รู้ว่ามันไม่สมบูรณ์นะ เพื่อเอาไปเปรียบเทียบหรือเปล่า...
    หรือถ่ายออกมาแล้วเพื่อเอาไปฟ้องใคร ถ่ายออกมาแล้วเพื่อให้รู้แต่ว่า
    ก็แค่รู้ว่ามันไม่สมบูรณ์แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร..หรือถ่ายออกมาแล้วเพื่อที่
    จะหาทางให้สิ่งที่อยู่ในภาพนั้นมันกลับมาสมบูรณ์ได้เหมือนเดิม..
    ถ้าเราจะเป็นนักปฏิบัติที่ดีเราควรมองให้เห็นในประเด็นสุดท้ายนี้ไว้....
    เพราะไม่ใช่ว่าเจตนาอย่างเดียวเราจะกลายเป็นช่างภาพที่ใครๆ
    เค้าต้องการได้..เราก็ต้องเตรียมต้นทุนเราเอาไว้ก่อนให้พร้อม
    ตลอดจนเทคนิคต่างๆที่จะทำให้ภาพเราดีขึ้น..และเราก็ควรรู้ว่า
    ภาพถ่ายต่างๆนั้นมันเรียกว่าแนวอะไร..กล้องที่เหมาะกับเราเป็นอย่างไร
    ตลอดจนช่วงเลนส์ที่เหมาะสมกับตัวเราที่จะใช้เลือกแนวในการ
    ถ่ายภาพให้เรา..ก่อนที่จะมาถึงเจตนาที่ดีอย่างเดียวของเราแต่ฝ่ายเดียว...
    ถ้าเราขาดช่วงใดช่วงหนึ่งไป ปัญหาจะตกมาอยู่ที่เราทันที...
    แต่ที่เจตนาที่ดีตั้งต้นที่เรามีอยู่แล้ว เราจะเดินไปเพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้
    นั้น มันกลายเป็นว่า การที่เราพลาดในเรื่องการเตรียมต้นทุน พลาดเรื่อง
    เทคนิคต่างๆ ตลอดจนความรู้ต่างๆ ที่เราจะต้องศึกษาค้นคว้ามานั้น
    ทำให้เราพลาดโอกาสในการใช้เจตนาที่ดีของเราที่จะสือภาพออกมา
    ให้เป็นไปตามเจตนาของเราไปอย่างน่าเสียดาย.....
    และแน่นอนว่า เมื่อเราถือทั้งกล้องทั้งเลนส์อยู่นั้น เราก็จะถูกว่าแตกต่างๆ
    กับบุคคลที่เดินๆอยู่ทั่วไป..ซึ่งแล้วแต่ว่าเค้าจะมองอย่างไร...
    และเราก็อาจจะถูกมองจากบุคคลที่เค้ามีกล้องมีเลนส์เช่นกัน..
    ซึ่งเค้าอาจจะเปรียบเทียบ ไม่สนใจเรา อวดว่าเค้ามีกล้องดีกว่า
    เลนส์ดีกว่าเรา โดยที่ไม่ดูฝึกมือในการถ่ายภาพ และไม่ดูเจตนา
    ในการถ่ายภาพของเรา..และบางคนเค้าก็จะมองว่า พวกนี้
    มันจะถือกล้องถือเลนส์ไปเพื่ออะไรก็มี....


    และสุดท้ายเราก็ต้องไม่ลืมว่า ไม่มีใครสามารถถือกล้อง ถือเลนส์
    ติดตัวไปได้เลยแม้แต่คนเดียว..แม้แต่ภาพถ่ายที่มาจากเจตนาที่ดีของเรา
    เราก็ยังถือไปด้วยไม่ได้เวลาเราตาย...เพียงแต่ว่ามันจะบอกว่า
    เราได้ทิ้งอะไรเอาไว้ก่อนที่เราจะตาย..บอกว่าเราเกิดมามีกล้องมีเลนส์
    แล้วก็ตายไปเฉยๆแล้วคนก็ลืม หรือจะบอกว่าเราได้ทิ้งภาพอะไรเอาไว้
    แล้วภาพนี้มันสร้างประโยชน์ไว้อย่างไร..เมื่อนั้นคนก็จะเริ่มมาสนใจว่า
    เราใช้กล้องอะไร เลนส์อะไร เรามีเทคนิคอะไร เรามีวิธีคิดและเจตนาที่ตั้ง
    ไว้ที่ทิ้งเอาไว้ให้ คนที่จะเข้ามาสนใจกล้องและเลนส์ไว้อย่างไร...

    ปล.เขียนให้อ่านเล่นๆ เพื่อจะได้มุมมองอื่นๆเพิ่มเติมขึ้นมาบ้าง...





     
  7. sensona

    sensona Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +65
    คุณนพกาลขอรับไอ้เรื่องกล้องกะเลนส์เนี่ยทำไงให้มันเห็นแจ่มๆไกลๆแบบตามใจเราคิดหละคับ ถถถถถถถถถถ :cool:


    ปล.กสิณน้ำก็ทำให้มีกล้องได้หรอคับเนี่ย :boo:
     
  8. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    ได้ทุกกสิณ ค่ะ
     
  9. sensona

    sensona Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +65
    ชอบเรื่องเที่ยวเมืองบังบดลับแลมากเลยคับ ถ้าฝึกถึงจะขอลองไปเที่ยวบ้างนะคับ :cool:

    ปล. อย่าคิดว่าผมได้ไรนะคับ กำลังเริ่มฝึกเองคับๆ:boo:
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ๕๕๕ เมื่อกล้องพร้อม เลนส์พร้อม การที่สายตาเรามองผ่านช่องมองภาพออกไปภายนอกนั้นจะชัดหรือไม่ชัด ขึ้นอยู่วัตถุที่เราต้องการจะเห็นด้วย
    ว่าเราต้องการที่จะโพกัสที่จุดไหน กับช่วงระยะความห่างของวัตถุ
    ที่เราไปโพกัส..


    มันจะประมาณนี้ สำหรับทั่วไปนะ...
    ถ้าหากว่าเราโพกัสมากไปก็จะวัตถุเห็นไม่ชัดหรือมองไม่เห็นเลย.
    และหากว่าใกล้ไปก็ไม่เห็นไม่ชัดเชนกัน...
    ต่อมา
    เมื่อเราโพกัสได้พอดีกับวัตถุหรือสิ่งที่เราต้องเห็นได้แล้วนั้น


    และเรานั่งหรือยืนที่เดิมไม่ได้มีการขยับไปไหนแล้ว...
    และลูกตาของเราเป็นปกติไม่ได้ใหญ่ขึ้นหรือเล็กลงแล้วพูด


    ง่ายๆก็คือองศาในการมองภาพนั่นเอง
    ขนาดของภาพที่เราเห็นก็จะขึ้นอยู่กับช่วงความยาวของเลนส์เราด้วย...
    ถ้าช่วงเลนส์เรายาวเราก็จะเห็นภาพนั้นได้ใหญ่


    ส่วนองศาในการมองภาพเราจะน้อย
    แต่ถ้าช่วงเลนส์เราสั้นเราอาจจะ
    เห็นภาพได้หลายภาพมากกว่าแต่ว่าภาพที่เห็นมันจะเล็ก
    แต่องค์ศาในการมองภาพเราจะมากขึ้น
    และเวลาที่เราเปลี่ยนช่วงความยาวเลนส์


    ในขณะที่เราอยู่ที่เดิมนั้น ภาพก็จะเริ่มมองเห็นไม่ชัด
    เราก็ต้องค่อยๆมาปรับโฟกัส ในแต่ละความยาวช่วงเลนส์
    ภาพก็จะกลับมาชัดได้เหมือนเดิม


    ที่นี้การที่เราจะมองภาพนั้นได้นานแค่ไหน


    ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถมองและถือกล้องได้นานแค่ไหนนั่นเองครับ...
    ที่กล่าวมาแล้วสำหรับบุคคลทั่วๆไป ซึ่งมันก็สามารถที่จะปรับ
    ความยาวช่วงเลนส์ได้ ๒ ระบบคือ ระบบอโต้และระบบแมนนวล


    แต่สำหรับบุคคลอีกแบบ ที่มีเลนส์ระบบออโต้รุ่นใหม่นั้น
    กล้องตัวเดียวกันเลนส์ตัวเดียวกันนี้ เวลาส่องผ่านช่องมองภาพนั้น
    ไม่ว่าความยาวช่วงเลนส์เท่าไรก็จะเห็นภาพที่อยู่ภาพในชัดเจน
    ตลอดช่วงความยาวเลนส์ทุกช่วง. เพียงแต่ว่าต้องเห็นต้องการเห็น
    ภาพใหญ่เน้นเฉพาะจุดหรือเห็นหลายๆอย่างในภาพเดียว
    ก็เพียงปรับช่วงความความยาวของเลนส์เอา. และข้อดีในขณะ


    ปรับความยาวเลนส์ภาพต่างๆนอกจากจุดที่โพกัส
    มันก็จะยังมองเห็นได้อยู่ ส่วนจะเห็นได้นานหรือไม่
    ก็ขึ้นอยู่กับว่าสามารถถือกล้องและเลนส์ได้นานแค่ไหนเช่นกัน.....


    ส่วนใครจะเห็นภาพได้เร็วกว่ากันก็ขึ้นอยู่กับการเตรียมตัว
    ทั่วไปก็คือค่อยใส่ถ่านกล้องติดเลนส์. แม้จะใช้ระบบโอโต้โฟกัส
    แต่ก็ช้าถ้าหากว่าวัตถุนั้นมีการเปลี่ยนแปลง....


    สำหรับบุคคลอีกแบบก็เปรียบเหมือนกล้องพร้อมเลนส์พร้อม..
    ก็มีโอากาสได้ภาพมากว่าหากวัตถุมีการเปลี่ยนแปลง. ...


    ส่วนวัตถุที่อยู่คงที่ก็จะได้ความเร็วมากกว่าในการเห็นภาพ


    การที่เรามีกกล้องและเลนส์ที่พร้อมและถือออกไปนอนบ้านแล้วนั้น
    เราไม่สามารถคาดการณ์สภาพแวดล้อมและสามารถคาดสถานะการณ์ได้
    ไม่ว่าจะสภาพอากาศ. ระดับของแสง. ลม. ฟ้า. ฝน.ผู้คนต่างๆ
    เพราะมีผลต่อภาพที่เราจะได้ทั้งนั้น และบางภาพเค้าก็ไม่อนุญาติให้ถ่าย
    ต้องขออนุญาตก่อนก็มี. การถ่ายภาพวิวที่ดีคือได้องค์ประกอบที่ต้องการครบ
    การถ่ายภาพคนที่ดีคือ ได้ภาพตอนที่เจ้าตัวไม่รู้รู้ว่าเรากำลังจะถ่าย
    เพราะเค้าจะดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด
    ส่วนภาพจะสว่างแค่ไหนเมื่อเห็นภาพได้แล้วนั้น
    ก็ขึ้นความสว่างของช่องช่องมองภาพนั่นเอง






    ปล..กล้องและเลนส์คืออุปกรณ์เปรียบได้ยกับต้นทุนที่เราต้องสร้าง
    เปรียบได้กับ. ทาน. บุญ. ศีล ภาวนา. สติ. ปัญญา
    เมตตา. เห็นอกเห็นใจคนอื่นๆ. ฯลฯ
    ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับวิธีการที่จะได้มา บางคนพร้อมก็ซื้อได้เลย
    บางคนยังไม่พร้อมก็เก็บหอมรอมริบ


    สำหรับทั่วไปช่วงความความยาวเปรียบได้กับการวางอารมย์
    ซึ่งต้องมีการปรับที่เลนส์เช่นกันแม้ว่าจะเป็นระบบโอโต้โพกัส
    หรือแมนนวลก็ตาม. และสภาพแวดลล้อมที่เห็นภาพและระยะเวลา
    ในการเห็นก็ตามที่พูดไปก่อนหน้านี้




    ส่วนวิธีที่จะได้ภาพมาก็ขึ้นอยู่กับว่าเรา
    เป็นแบบทั่วไปหรือบุคคลอีกแบบ
    เปรียบได้กับคล่องตัวหรือไม่คล่องตัวในการใช้งาน


    ส่วนความสว่างของภาพนั้นขึ้นอยู่กับว่า
    อารมย์ของเรา. ณ. เวลานั้นนั่นหละ
    ถ้าหากว่าอามย์เราดี. และปรารถจาก
    การไปยึดเกาะสิ่งต่างๆเข้ามายึดแล้วไซร์


    เราอยากมองภาพเวลาไหน. นอกจากจะเร็วแล้ว


    ก็ยังจะเห็นภาพได้ชัดเจน. ไม่ว่าสภาพแวดล้อม


    จะเปลี่ยนไปเช่นไรก็ตามนั่นแล........




    และจำไว้อาไว้ว่าไม่มีใครเค้าเอากล้องไว้ที่ตา
    อยู่ตอลดเวลานะ อย่างนี้เค้าเรียกว่าติดกล้อง
    เราจะสนใจอยู่แต่กับการมองภาพอยู่ตลอดเวลา
    หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าตนเป็นช่างภาพที่ดี
    ต้องเอากล้องส่องกล้องไว้ที่ตาตลอด.
    วันๆเราก็จะไม่ได้ทำอะไรจิตใจจะ
    สนใจอยู่แต่การมองภาพอย่างเดียวนะครับ
    จะส่งผลต่องร่างกายต่างๆนาๆ. ไหนจะหนื่อย
    เมื่อแขน. ปวดตา. จิตใจจะตั้งท่าเพื่อให้ได้ภาพ
    กลายเป็นความเครียดแทน....
    พอเข้าใจเนาะ


    และก็เพราะมันจะจ้องแต่ถ่ายภาพอย่างเดียวนั่นเอง
    สมาธิก็เช่นกัน. พร้อมที่จะถ่ายภาพพร้อมที่จะใช้งาน
    เมื่อไรค่อยหยิบมันขึ้นมาใช้ก็พอแต่อย่าไปติดมัน
    เพราะชีวิตเราไม่ใช่ว่าจะต้องถ่ายภาพอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
    เราต้องกิน ต้องนอน ต้องทำมาหากิน รับผิดตนตามวาระแห่งตน
    และทำโน้นนี่นั้นอีกมากมาย ฯลฯ


    และที่เหมือนก็คือ เวลาตายไม่มีใครแบกกล้องและเลนส์ไปด้วยได้หรอก
    แต่ถ้าติดกล้องติดเลนส์ ความยึดติดมันจะตามเราไปได้
    แม้กระทั่งเวลาที่เราตายไปแล้วนั่นหละ....
    ถ้าเราไม่เข้าใจในหลักการณ์ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น....






    จบแระ เรื่องระหว่างกล้องกับกสิณ


    ๕๕๕

















































     
  11. sensona

    sensona Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +65
    ขอเก็บตังค์ซื้อกล้องกะเลนส์ดีๆก่อนๆๆๆ


    ปล. ดีว่าคุณนพกาลเคยแนะนำไว้ ช่วงนี้ ใยแมงมุมเอย มดแดงตัวใหญ่เอย ไฟช้อต มั่งหละ เหอๆๆๆ สนุกแท้ๆ
     
  12. tidjerd

    tidjerd ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรม

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +69
    เข้ามาซึมซับพลังงานคุณนพ ผ่านเส้นสายตัวอักษรด้วยคนครับ เรื่องปั้นกสิณกสิณให้เป็นดวงนี่ไม่กระดิกเลยครับ แต่ชอบอ่านมาก เรื่องเกี่ยวกับฤทธิ์เกี่ยวกับพลังงานลึกลับ
    แต่ถ้าปั้นความฝันนี่ยอมรับเลยหาตัวจับยากคนหนึ่งเหมือนกัน..อิอิ:boo:
    ว่าแล้วก็ฝันให้อ่านเป็นกลอนแปดเลยละกันคับ
    เรือน้อยลอยลำ กลางทะ ฝ่าคลื่นลมโหมกระหน่ำ
    เรือน้อยลอยลำ แบกความหวังมุ่งหาฝั่ง
    เห็นแผ่นดิน เอ๊ะนั่นเกาะหนูเกาะแมว กลางทะเลคลั่ง
    เรือน้อยหยุดยั้งเลาะฝั่ง เดินลัดเลาะเจอหลวงปู่ช่างลึกลับ
    ตั้งสำนักกลางเกาะ รอญาติโยม..
     
  13. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    ต่อๆ รอฟัง คุ้นๆจัง
     
  14. tidjerd

    tidjerd ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรม

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +69
    หนึ่ง มานพรูปงาม ดุจรามเทพ ก้าวสเตบย่างเท้าเข้าไปหา
    มีจ่อยน้อย และหมู่เพื่อน รวมหก ตามหลังมา
    กราบสามครา พ่อแม่ครู ผู้ทรงธรรม

    พ่อแม่ครู นั่งสงบ แล้วทักถาม..
    เมื่อไรกันจะตาม มาครองผ้ากาสาฯหรือ
    จ่อยน้อยตอบยังไม่พร้อม ครอบครัวมีครับหลวงตา
    พ่อแม่ครู เมินหน้า ระอาใจ

    แล้วหันไปซักไซ้ หนุ่มรูปงาม นามกระเดื่อง
    ถามไถ่เรื่องล้วนแผ่วเบา ชวนฉงน
    ก่อนกราบลา หลวงตาท่านเมตตา อวยพรให้กลับดีๆ อย่าเฉไฉ อย่าไปหลง..

    กลับเข้าฝั่งอย่างปลอดภัย ทั่วทุกคน
    สามมานพ สามอนงค์ ล้วงห่อข้าว
    เหนื่อยหนักเบาเดินทาง
    ข้ามแต่น้ำ ลุยภูเขา
    ได้เวลากลับแล้ว ไปกันเรา
    กลับด้วยรถ ลงจากเขา เข้าเมืองเอยฯลฯ

    คุณjarujun อย่าเอาไปตีเป็นหวยนะคับ มันผ่านมาหลายงวดแล้วนะเออ ขอบอก:boo:
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    เด่วอนาคต มีโอกาสส่วนตัวจะไป สำนักปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง
    ที่ คุณ จารุ ก็พอทราบดี..แต่ยังไม่ใช่ในเร็วๆนี้เพราะช่วงนี้
    ส่วนตัวติดภาระกิจทางโลกที่ต้องรับผิดชอบตัวเองอยู่ครับ...
    เอาไว้มีโอกาสไปเจอตัวกันเป็นๆที่นั้นนะครับ...
    ถ้ามีวาระต่อกันนะครับ...

    แล้วจะได้ทราบด้วยตัวเองว่าที่พูดๆมันรับรู้
    มันสัมผัสได้ มันใช้งาน มันเรียกขึ้นมาได้
    แม้ว่าไม่เคยฝึกมาก่อน มันเป็นอย่างไร..
    มันนำไปใช้อย่างไร มันมีประโยชน์อย่างไร..
    อรูปฌาน วิญญานธาตุ ในโหมดใช้งานเป็นอย่างไร..
    การเห็นด้วยทิพย์จักขุเป็นอย่างไร การเข้าถึงระดับพระพุทธฯ
    พระสงฆ์ หรือแหล่งพลังงานต่างๆมันเป็นอย่างไร...
    แบบไหนที่เรียกว่าใช้งานคล่องตัว.แต่บอกไว้ก่อนว่า
    พวกนี้ยังไม่ใช่ทางนะครับ สำคัญสุดคือการเดินปัญญา....
    และที่สำคัญอีกอย่าง จะใช้งานได้หรือไม่ได้นั่น
    ขึ้นอยู่กับบุคคลนั้นๆนะครับ...
    เพราะฉนั้นก็เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้
    ถ้าหากว่ามีวาระต่อกันนะครับ
    อะไรที่บอกว่า อย่าไปยึด ก็คืออย่า
    อะไรที่เน้นก็ให้ ทำอย่างนั้น...
    อย่าพยายามทำอะไร ที่ได้ๆนอกเหนือจากที่เตือนไปแล้ว
    มันจะทำให้ตัวเราเข้าถึงความสำเร็จได้ช้าครับ...
    เพราะที่เตือนๆนั้น ได้ผ่านมาหมดแล้ว ถึงได้เอามาเตือน..
    ทริคบางอย่าง ข้างบนท่านก็มาแนะให้ ลองปฏิบัติแล้ว
    ทำแล้วได้ผลถึงค่อยเอามาแนะมาสอน...
    เพราะฉนั้นควรเข้าใจตรงนี้ไว้ด้วยครับ...
    และที่มาแนะมาสอนก็ไม่ได้มีท่านเดียว...
    หากจะสามารถถึงขั้นใช้งานได้ดี ใช้ได้ผล
    ควรทำตัวอย่างไร ก็แนะนำไว้แล้ว...
    เพราะฉนั้นอ่านดีๆ..ว่าแนะอะไรไปบ้าง...


    บางทีแม้ว่าจะสอนจะแนะไปแล้ว
    ตลอดจนแทรกทริคไปแล้ว
    แต่ว่ามันก็ต้องอาศัยการปฏิบัติให้เข้าถึงให้ได้ก่อนถึงจะพอเข้าใจได้บ้างครับ...
    ส่วนตัวมองว่า ทำให้ดูเลยดีกว่า แสดงให้ดูเลยดีกว่าง่ายไปอีกแบบ..
    มันดีกว่าการมาพูดเป็นร้อยเป็นพันคำแล้วก็ยังงงๆไม่เข้าใจที่พูดอยู่ดีครับ..
    จะได้รู้นะว่าอ่อๆ พลังงานกสิณแต่ละกองมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
    มันต่างจาก พลังงานร้อนและพลังงานเย็นหรือพลังงานจักรวาล
    ที่ได้จากการฝึกจักระและมักจะทำให้หลงตัวเองและเพี้ยนๆ
    นึกว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษและเก่งกว่าบุคคลอื่นๆ
    อย่างคาดไม่ถึงตรงไหน

    โหมดวิญญานธาตุเป็นอย่างไร
    อาวุธอะไรที่พูดๆนะมันมีจริงไหม มันจับต้องได้ไหมฯลฯ
    และถ้าใครพอทำได้ในวันนั้น ถ้าข้างบนท่านอนุญาต
    หรือคุณมีวาระทางด้านที่จะต้องช่วยคน..
    จะแนะทริคและวิธีในการช่วยคนต่างๆ ตลอดจน
    การช่วยในกรณีบุคคลที่ผ่านตำหนักทรง การรับขันธ์ให้
    หรือช่วยคนที่โดนผีเข้า หรือโดยพวกภูมิอสูรกายแทรก..
    และวิธีการป้องกันตัว ตลอดจนวิธีไปรู้
    ว่าบุคคลไหนๆคือพวกที่โดนแทรก
    หรือเพี้ยนๆทั้งหลายแหล่
    ที่มักจะผ่านพลังงานจักรวาลมาแบบมีความสามารถ
    ขึ้นมาเลยแบบไม่เคยสนใจเรื่องสติและปัญญาทางธรรม
    เอาไว้เพื่ออนาคตจะมีโอกาสได้สงเคราะห์บางคนตามวาระครับ..
    ที่พูดๆมานี้ จะทำให้ดูแต่มันไม่สนุกเท่ากับ
    ตอนที่พาให้ท่านทำได้ด้วยตัวท่านเองหรอกครับ...
    ต้องถามกลุ่มรุ่นแรกที่เคยผ่านมาว่าเป็นอย่างไรจะเข้าใจอารมย์ได้ดี...


    ปล.ฝึกกรรมฐานอะไรต้องสนุกครับ
    อยู่คนเดียวก็สนุก อยู่หลายคนก็ยิ่งสนุกครับ..
    ช่วงนี้ส่วนตัวว่า เน้นฮาๆจะดีกว่าครับ...
    เพราะกระทู้นี้ ส่วนตัวแนะตั้งแต่พื้นฐาน
    ไปจนถึงระดับใช้งานได้หมดแล้ว
    และก็แนะไปหลายรอบแล้วด้วยครับ..
    ดังนั้นหากสนใจสามารถย้อนไปอ่านได้ครับ..
    มีตัวอย่างให้ดู ทั้งที่ดี และไม่ดี ให้พิจารณา
    ร่วมด้วยประกอบการพิจารณาเพื่อสร้างสติ
    และปัญญาของเราด้วยครับ
     
  16. sensona

    sensona Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +65
    สนใจมาทางวัดที่ผมมาปฎิบัติธรรมบ้างไหมคับๆๆๆๆๆๆ ผมปักหลักยุตงนี้ตลอดละคับ :'(
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    เท่าที่พอจะสัมผัสได้ ณ ปัจจุบัน
    ในช่วง ๒ ถึง ๓ เดือนที่ผ่านมานี้นะครับ..
    ส่วนตัวพบว่า...หลายๆคนที่มีความสนใจ..
    ที่พยายามติดต่อเข้ามา หรือพึ่งได้มาพบ
    มาอ่าน มาเจอบทความกัน..ค่อนข้างจะมีต้นทุน
    ที่ดีอยู่แล้วเป็นทุนเดิมครับ..เพราะฉนั้นเรื่อง
    การที่จะฝึกจึงไม่ใช่เรื่องที่เข้าถึงได้ยากอีกต่อไปครับ....
    เพียงแต่ว่า ที่ยังติดๆ ขัดๆ งงๆ บางทีก็เหมือนขาดๆ
    บางทีก็เหมือนเกินๆ เหมือนจะเข้าได้แต่ก็ยังไม่เข้าใจ..
    เหมือนจะยังเข้าใจแต่ก็อธิบายไม่ถูกกันอยู่ซึ่งถือว่าเป็น
    เรื่องปกติครับ...
    ส่วนตัวจะขอแนะนำอย่างนี้นะครับ..สำหรับบุคคลที่
    กำลังเดินทางไปถึงขั้นการใช้งานได้นั้น ให้ปรับระบบ
    หายใจเข้าออก และการสร้างสติทางธรรมด้วยการระลึก
    รู้ที่ปลายจมูกไม่ว่าจะหายใจเข้า และหายใจออกไปก่อน
    จนกระทั่ง ระบบหายใจแบบนี้ มาแทนระบบหายใจปกติ
    ของเราให้ได้นะครับ ...ซึ่งมันต้องใช้ระยะเวลาซักพักหนึ่ง
    ถ้าจะให้ชัวจริงๆ ก็ประมาณ ๒ เดือนครับ
    แล้ววาระมาถึง ค่อยไปเจอตัวกันเป็นๆ
    ตัวท่านเอง ถึงจะมีโอกาสที่จะนำไปใช้งาน
    ให้เกิดผลต่อตัวท่านและผู้อื่นๆได้จริงๆครับ....

    และก็จะมีอีกบางท่าน ที่สามารถใช้งานได้บ้างแล้วนั้น
    แต่ว่าไม่อยากจะเปิดเผยตัวตนซึ่งเป็นวิสัยปกติ....
    ขออนุญาติแนะนำท่านที่พอใช้งานได้แล้วดังนี้ครับ...
    ในสภาวะปกติ ถ้าท่านระลึกได้ คิดขึ้นได้ นึกขึ้นได้
    ให้กำหนดคำว่า อโหสิ ให้ออกจากกลางลิ้นปี่ของท่าน
    อย่างน้อย ๓ ครั้ง โดยให้ลากเสียงสิ ยาวๆ ให้ทำใน
    ใจคิดในใจก่อนนะครับ...จากนั้นให้กำหนดอุทิศส่วนกุศลซ้ำ
    ออกจากกลางจิตของท่านอีกทีหนึ่ง ให้ขยายให้ได้กว้าง
    มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ...
    แรกๆท่านจะพบว่ามันจะได้ผล แต่ท่านต้องไม่ลืมว่า
    เมื่อท่านใช้งานได้แล้ว ท่านจะสามารถสัมผัสกระแสอะไรต่างๆ
    ได้ดีกว่าปกติ แต่ว่า การคลายตัวของจิตนั้น อาจจะไม่ดี
    เพราะถือว่าเป็นปกติครับ เพราะกระแสวิบาก(กระแสจร
    หรือกระแสที่เวียนมาเรื่อยๆ) เราจะไม่สามารถประมาณได้ว่า
    มาจากอดีต มาจากอะไรบ้าง..หน้าที่เราก็ต้องพยายาม
    คลายตัวจิตเราให้ได้ เพื่อไม่ให้กระแสพวกนี้มันเข้ายึดเกาะ
    กับตัวจิตครับ. ซึ่งถ้าท่านสังเกตุจะพบว่า ที่บริเวณหน่อง
    และแขนท่าน จะเหมือนมีอะไร ปิ๊บๆ หรือมีอะไรหมุนๆได้
    ตลอดจนร่างกายท่านจะรู้สึกร้อนมากกว่าปกติ
    ที่พอไปตรวจวัดร่างกาย กลับพบอุณหภูมิ
    ร่างกายกลับปกติ เรียกว่า หมอบอกว่าปกติ
    แต่ว่า ความดันของท่านจะสูงกว่าระดับปกติ
    ไปอยู่ในกลางๆ แต่ก็จะไม่เป็นอะไร...
    ที่เล่าให้ฟังนี้ ถือว่า เป็นกิริยาที่ท่านจะต้องเจอ
    เป็นปกตินะครับ สำหรับบุคคลที่ใช้งานได้แล้วนะครับ..

    ดังนั้นเพื่อให้ตัวจิต ต่อไปมันใช้งานได้อัตโนมัติขึ้น
    ไม่ตะกุกตะกักต่อไปในอนาคตนั้น...นอกจากวิธีการ
    ข้างบนที่ได้แนะนำไปแล้ว ให้ท่านทำร่วมกับการกรวดน้ำลงดิน
    ร่วมด้วยครับ..เพื่อที่จะให้น้ำเป็นเสมือนในการถ่ายเทพลังงาน
    ต่างๆที่ตกค้างจากการที่ไม่คลายตัวเองได้ในสภาวะปกติ
    ไหลลงพื้นดินครับ...ร่างกายท่านถึงจะโปร่ง จิตใจถึงเริ่มคลายได้ครับ...
    ในสภาวะปกติครับ ให้ทำบ่อยๆด้วยนะครับ กรวดน้ำร่วมด้วย
    เอาจนกว่าร่างกายจะโปร่ง ณ ช่วงเวลานั้น...
    แรกๆอาจจะต้องทำอย่างนี้ก่อนครับ...
    เด่วต่อไป ถ้าเราใช้งานทางจิตอะไรแล้ว...
    เรารู้จัก ใช้แล้วก็แล้วไป ไม่อะไรอะไรกับมัน
    ใช้เฉพาะที่มีประโยชน์ จะใช้งานค่อยดำริขึ้นมาใช้งาน
    ระยะที่ตัวจิตจะคลายตัวเองได้ในเวลาลืมตาปกติ
    ในชีวิตประจำวันของท่าน ก็จะค่อยๆมากขึ้นได้เองตาม
    ลำดับครับ จะพัฒนาจากวินาที ไปนาทีก่อนนะครับ
    ตามลำดับ...

    ปล.หวังว่าถ้าเข้ามาอ่านเจอจะเข้าที่ผมพูดนะครับ..
    ช่วงนี้ส่วนตัว ติดภาระกิจทางโลกอยู่ไม่สดวกจริงๆครับ..
    ไว้วาระมาถึงเมื่อไร ค่อยเจอตัวกันเป็นๆครับ...
    ความเข้าใจอะไรต่างๆมันจะง่าย และเห็นชัดเจนกว่า
    ตลอดจนการอธิบายอะไรต่างๆก็จะทำได้เลย
    สามารถใช้กำลังจิตในการช่วยแก้ไขกันได้เลย
    ณ เวลานั้นถือว่าไม่ใช่เรื่องยากอะไรครับ...

    และท่านต้องเข้าใจว่าข้าพเจ้าไม่ใช่คนพิเศษ
    เป็นเพียงมนุษย์เดินดินธรรมดา เป็นเพียงคนปกติคนหนึ่ง...
    ที่ก็ยังจะต้องเน้นเรื่องปัญญาในการตัดกิเลสอยู่เช่นกันและ
    ออกแนวจะฮาๆซะด้วยซ้ำถ้าได้เจอตัวจริงนะครับ..
    และจะเข้มขึ้นมาทันที หากว่าพูดย้ำอะไรไป
    แล้วหลายๆรอบแล้วท่านไม่รู้เรื่อง
    เพราะไม่ได้ทำตามคำแนะนำ..ให้เข้าใจไว้ด้วยนะครับ..


    เพียงแต่ว่ากรรมฐานที่ฝึกมา จากครูบาร์อาจารย์
    ข้างบนหลายๆท่านที่ผ่านมานั้น
    เข้าใจเอาไว้ด้วยนะครับ ว่าส่วนตัวไม่ได้เก่งนะครับ..
    ที่เก่งๆคือ ท่านทั้งหลายที่มาสอนนะครับ...
    ทำให้พอมีความสามารถในการดึงความสามารถเดิมที่มีอยู่แล้ว
    ในตัวจิตของท่านเองให้ขึ้นมาสัมผัสได้และ
    มีโอกาสนำมาใช้งานได้เท่านั้นเองนะครับ...
    ย้ำว่า ความสามารถเดิมของท่านเองนะครับ
    ที่มันเคยมีมาในอดีตนะครับ..
    ตามระดับกำลังของข้าพเจ้าเอง
    ที่ได้จากการฝึกมา
    ที่พอจะทำได้ ณ ปัจจุบันนี้...


    ซึ่งความเป็นจริงในปัจจุบันนี้ท่านก็สามารถ
    ที่จะฝึกเองได้ เพียงแต่ว่าอาจจะต้องใช้เวลา
    ที่มากหน่อยเท่านั้นเองครับ...
    เพราะมันต้องผ่านการทดสอบอะไรอีกมากมาย
    อย่างที่ท่านอาจจะคาดไม่ถึง...
    ดังนั้นสิ่งที่ได้แนะนำไป ทั้งระบบหายใจและ
    การสร้างสติทางธรรมนั้น เป็นพื้นฐานที่สำคัญมากๆ
    ย้ำว่า สำคัญมากเพื่อการรองรับ
    สิ่งต่างๆในอนาคตครับ..เพื่อป้องกันผลกระทบ
    ต่อร่างกายและจิตใจของท่านเองนั่นหละครับ...
    ส่วนตัวถึงได้ย้ำหนัก ย้ำหนา บอกแล้วก็บอกอีกนั้นหละครับ

    อะไรที่เราที่เริ่มต้นง่ายๆ ต่อไปมันจะยากครับ...
    ถ้าเราเริ่มต้นที่มันดูเหมือนยากๆ ต่อไปเราจะฝึก
    จะทำอะไรมันจะเป็นเรื่องง่ายครับ....
    และต้องไม่ลืมว่า พุทธศาสนาเน้นเรื่องอะไรด้วยนะครับ


    สุดท้ายนี้ หวังว่าจะเข้าใจเจนตาที่เล่าให้ฟังครับ..
     
  18. sensona

    sensona Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +65
    รอต่อปัย ฝึกลมหายใจเข้าออก หยุดยุที่จมูก พร้อมกะภาวนา โสตัตตะภิญญา นะมะพะทะ สัมปจิตฉามิ เพื่อรอวาระ




    ปล.อีกนานมั้ยนะ :mad:
     
  19. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +2,077
    ก่อนหน้านี้เห็นคุณนพการได้ทักข้าพเจ้าว่าตัวกะโหลกส่วนหน้าเชื่อมกับข้างบนเป็นปกติ แต่ไหงกลับทำสมาธิไม่ดีเลย คุณนพช่วยเคลียหน่อย
     
  20. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +2,077
    ภาวนามาได้10เดือนแล้วแค่ปฐมฌานยังไม่ได้กินเลย สงสัยว่าข้างบนเขาไม่ช่วยเลยเหรอ หรือว่าข้าพเจ้าทำไม่ถูก หรือว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะได้ คุณนพช่วยคลายหน่อย
     

แชร์หน้านี้

Loading...