ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ร่างกฎหมายความมั่นคงของญี่ปุ่นที่ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของรัฐสภา อนุญาตให้กองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นสามารถออกปฏิบัติการช่วยเหลือพันธมิตรในต่างประเทศ และอาจต้องขนส่งอาวุธนิวเคลียร์ของชาติอื่น

    รมว.กลาโหมญี่ปุ่นถูกวิจารณ์หนักหลังพูดพาดพิงนิวเคลียร์ - VoiceTV
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผมอยากให้ขอให้ทีมงานผู้ดูแลเว็บพลังงานพัฒนาระบบให้ เมื่อใส่ URL ลงไปแล้วเกิดสิ่งนี้ ครับ

    ก่อน กดปุ่มส่งข้อความ จากสมาชิก

    สื่อนอกขนลุก!นายพลไทยบอกรักจีนกลางเวทีประชุมอาเซียน
    พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ได้กล่าวไนงานแถลงข่าวร่วมกับรัฐมนตรีต่างประเทศจีนในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2558 ว่า"ถ้าผมเป็นผู้หญิง ผมคงตกหลุมรักท่านแล้ว"



    หลังจาก กดปุ่มส่งข้อความ จากสมาชิก และไปปรากฎยังหน้าปรกติ

    สื่อนอกขนลุก!นายพลไทยบอกรักจีนกลางเวทีประชุมอาเซียน
    พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ได้กล่าวไนงานแถลงข่าวร่วมกับรัฐมนตรีต่างประเทศจีนในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2558 ว่า"ถ้าผมเป็นผู้หญิง ผมคงตกหลุมรักท่านแล้ว"

    [​IMG]

    และจากกล่องข่าวถ้าเชื่อโยงไปยังเว็บ หน้านั้นได้เลยจะดีมากๆ ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 0.0.jpg
      0.0.jpg
      ขนาดไฟล์:
      63 KB
      เปิดดู:
      1,841
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2015
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช ( https://www.facebook.com/fisont?fref=ts )
    รัสเซียดึง ASEAN เข้าร่วมงานประชุมสัมนาด้านเศรษฐกิจตะวันออกต้นเดือนหน้า

    [​IMG]

    -------------
    ว้าววว! งานนี้ไม่ธรรมดาซะแล้ว มันไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจล้วนๆซะแล้วนะนี่ มันคือการเมืองระหว่างประเทศและการเมืองเชิงภูมิศาสตร์ (ภูมิรัฐศาสตร์) ชัดๆเลย เมื่อวานนี้สำนักข่าวทาสส์ (TASS) ของรัสเซียพาดหัวข่าวว่า "Russia invites ASEAN partners to first Eastern Economic Forum" (รัสเซียเชิญหุ้นส่วนสมาชิก ASEAN เข้าร่วมประชุมฟอรัมเศรษฐกิจตะวันออกเป็นครั้งแรก)
    รายงานข่าวจากฝั่งรัสเซียบอกว่า Sergey Lavrov รมว.ต่างประเทศของรัสเซียได้ยืนยันว่า การประชุมฟอรัมเศรษฐกิจตะวันออก (Eastern Economic Forum) จะจัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่เมือง Vladivostok (ใกล้กับจีนและเกาหลีเหนือติดกับทะเล Sea of Japan) ในวันที่ 3 - 5 กันยายนปีนี้ (เดือนหน้า) ในการประชุมระดับรัฐมนตรีระหว่างรัสเซียกับกลุ่มประเทศอาเซียนเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ข้อความจากการแถลงการณ์ของรมว.ต่างประเทศของรัสเซียได้รับการเผยแพร่ในเว็บไซต์ของก.ต่างประเทศของรัสเซียด้วย
    แถลงการณ์รมว.ต่างประเทศของรัสเซียเกี่ยวกับเรื่องนี้กล่าวว่า "การมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวงของคณะผู้แทนจากประเทศของคุณในการประชุม Eastern Economic Forum ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมือง Vladivostok ระหว่างวันที่ 3-5 กันยายน จะเป็นกลไกที่สำคัญอีกอันหนึ่งในการส่งเสริมความร่วมมือของพวกเราอย่างไม่ต้องสงสัย ทุกๆท่านที่อยู่ในที่นี้ได้รับการเชื้อเชิญให้เข้าร่วมในในฟอรั่มนี้ด้วย รัสเซียกำลังรอคอยการมาเยือนของพวกท่าน..."
    และแล้ว RUSSIA + ASEAN ก็จะไปโลดดดด อะไรก็ฉุดไม่อยู่แล้วงานนี้ ลาก่อนนะจักรวรรดิเฮเก APEC ก็ดีอยู่แล้ว แทนที่จะพัฒนา APEC ให้เข้มแข็งขึ้น เป็นเพราะไม่ชอบรัสเซียกับจีน ดังนั้นพี่แกจึงฉก P4 มาเป็น TPP ของตัวเองและจะเอามาแทน APEC ซะนี่ จีนกับรัสเซียก็เลยบอกว่า งั้นก็เชิญ ASEAN มาจับมือกับจีนและรัสเซียเปิดตลาดใหม่ในรัสเซียด้วยกันซะเลย ก้าวต่อไปก็จะเป็น ASEAN + EEU
    และในเดือนเดียวกันนี้ จีนก็จะจัดงาน The Euro Asia Economic Forum (EAEF) ขึ้นที่ Xi’an ก่อนหน้านี้รัสเซียก็พึ่งจัดงาน economic forum สองแห่งที่เมืองเซ้นต์ปีเตอร์สเบิร์ก และเมื่อเดือนที่แล้วก็พึ่งจะจัดงาน BRICS-SCO summits ที่ Ufa ประเทศรัสเซียไปหยกๆ (July 8-10) โกยเงินจากนักลงทุนต่างชาติไปเป็นจำนวนมาก นี่จะจัดอีกแล้ว จะรวยไปถึงไหนครับท่านปูติน?
    The Eyes
    06/08/2258

    ภาพจาก © AP Photo/Romeo Gacad

    ----------
    TASS: Economy - Russia invites ASEAN partners to first Eastern Economic Forum
    TASS: Economy - Russia to show potential of its economy at Eurasian Economic Forum — China's official
    TASS: Economy - Eastern Economic Forum is expected to bring $580,000 to Far Eastern tourism industry
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช ( https://www.facebook.com/fisont )
    รอยร้าวระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ ฮี่ๆๆ… ชอบบบบบบ

    [​IMG]

    -------------
    ไปแอบส่องมิตรภาพที่แน่นแฟ้นระหว่างสหรัฐฯกับญี่ปุ่นดูบ้างนะครับ แน่นแฟ้นจริงหรือ? เมื่อเร็วๆนี้กลุ่มแฮ็กเกอร์ชื่อดังกระฉ่อนโลก WikiLeaks สัญชาติออสเตรเลีย แต่ค่อนข้างจะโปรรัสเซีย (คริๆ) ออกมาแฉว่าองค์กรเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยระดับชาติของสหรัฐฯ (NSA) แอบล้วงข้อมูลลับของรัฐบาลและนักการเมืองญี่ปุ่นมานานแล้ว พอญี่ปุ่นได้ยินเข้าถึงกับหูผึ่งทันทีเลย เป็นไปได้ไง มหามิตรผู้มีอุปการคุณกับญี่ปุ่นด้วยการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ใส่ญี่ปุ่นตั้ง 2 ลูกสังหารประชาชนชาวญี่ปุ่นไปตั้งหลายแสนคนอย่างสหรัฐฯนี่นะจะทำอย่างนี้กับญี่ปุ่นได้ นายกรัฐมนตรีชินโซะ อาเบะ รีบออกมาเรียกต้องให้สหรัฐฯช่วยอธิบายเรื่องนี้ทันที
    นาย Kazuyuki Hamada สามาชิกรัฐสภาของญี่ปุ่นออกมากล่าวว่า "เรื่องอื้อฉาวนี้ที่แตกออกมาในช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐฯอาจจะทำลายความเชื่อมั่นในรัฐบาลได้"
    นักการเมืองญี่ปุ่นยังกล่าวต่ออีกว่า "พรรคฝ่ายค้านพยายามใช้ประโยชน์จากอารมณ์ของประชาชน (ชาวญี่ปุ่น) หากพรรคฝ่ายค้านสามารถรวมกันได้อย่างเป็นเอกภาพ พวกเขาก็จะมีโอกาสในการเปลี่ยนแปลงนโยบายของประเทศได้"
    นักวิเคราะห์บางคนมองว่า ไม่เป็นไรหรอกมั๊ง เรื่องแค่นี้เอง ขนาดเยอรมันโดนสหรัฐฯล้วงลับจับลึกมายิ่งกว่านั้น ก็ทำเป็นออกมาโวยวายในตอนแรกเท่านั้น สุดท้ายแล้วทั้งสองประเทศก็ยังคบค้าสมาคมกันต่อไป ดูเหมือนว่าเยอรมันจะไม่ติดใจอะไรด้วย แต่ที่ออกมาทำเป็นโวยวายผ่านสื่อฯเป็นบางครั้งนั้นก็เพื่อรักษาหน้าตัวเองเท่านั้น แล้วก็กระซิบบอกสหรัฐฯว่าทีหน้าทีหลังก็ทำให้เนียนๆกว่านี้หน่อยสิ อย่าให้มันโจ๋งครึ่มเกินไป ป้าแมร์ก็อายเป็นนะคุณโอบาม่่า คริๆ
    แต่ในกรณีนี้ประชาชนและนักการเมืองญี่ปุ่นจะคิดเหมือนกับพวกนักการเมืองฝั่งรัฐบาลของเยอรมันนีหรือเปล่านะสิ และแล้วเมื่อวันที่ 4 ส.ค.58 ที่ผ่านมาสำนักข่าว Sputnik news ของรัสเซียก็ลงข่าวว่านายกรัฐมนตรี Shinzo Abe ของญี่ปุ่นกล่าวเมื่อวันอังคารนี้ว่า "กรุงโตเกียวจะดำเนินการเรียกร้องให้สหรัฐฯให้คำอธิบายกรณีที่ WikiLeaks ออกมาแฉข้อมูลเกี่ยวกับ NSA ของสหรัฐฯแอบล้วงข้อมูลทั้งรัฐบาล นักการเมือง และบริษัทธุรกิจต่างๆของญี่ปุ่นต่อไป (จนกว่าจะได้รับคำตอบ) หากข้อมูลดังกล่าวเป็นความจริง ถือว่าเป็นเรื่องน่าเศร้ามากสำหรับสถานะความเป็นพันธมิตรของ [พวกเรา] เราจะเรียกร้องให้มีความชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์นี้"
    แล้วโอบาม่าว่าอย่างไรบ้าง? เงียบสิครับ ทำเป็นไม่รู้ ไม่ชี้ ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น และแล้วการเจรจา TPP ที่ฮาวายระหว่างสหรัฐฯกับหุ้นส่วน 11 ประเทศซึ่งมีญี่ปุ่นรวมอยู่ด้วยก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า...ฮ่าๆๆ
    เมื่อสหรัฐฯไม่ยอมอธิบายกรณีอื้อฉาวนี้ให้รัฐบาลญี่ปุ่นได้หายสงสัย งั้นญี่ปุ่นเดิมเกมกดดันสหรัฐฯต่อหละนะ ยังไง? งานแรกเลย ญี่ปุ่นก็รื้อฟื้นเรื่องสหรัฐฯทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ถล่ม Hiroshima (August 6) และ Nagasaki (August 9) ในปี 1945 สมัยสงครามโลกครั้งที่สองขึ้นมาซะเลย และญี่ปุ่นก็จัดรำลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างเป็นทางการด้วย อีกไม่กี่วันก็จะครบรอบแล้วสินะ
    รัสเซียได้โอกาสก็ออกมาอัดซ้ำลงไปทันทีเลยว่า "สหรัฐฯอาจจะอยากให้ชาวโลกลืมเลือนเหตุการณ์ที่สหรัฐฯได้ทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ใส่เมืองฮิโรชิม่าและนางาซากิของญี่ปุ่น" Sergei Naryshkin โฆษกสภาดูม่าของรัสเซียกล่าวต่ออีกว่า "…แต่แทนที่จะเรียนรู้ประวัติศาสตร์ พวกเขากลับพยายามที่จะเพิกเฉยไม่ให้ความสนใจมันอย่างเต็มที่ - และที่พวกเขาทำอย่างนั้นไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของสันติภาพและความมั่นคง แต่เพื่อรักษาไว้ซึ่งศักดิ์ศรีของชาติ (ของพวกเขา) ต่างหาก"
    Sergei Naryshkin ออกมาตำหนิกรุงวอชิงตันว่า "พยายามที่จะลบความทรงจำเกี่ยวกับฮิโรชิม่าและนางาซากิออกจากการเป็นเป้าประเด็นในการวิพากษ์วิจารณ์ของนานาชาติ แต่ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติอาจจะไม่สมบูรณ์หากปราศจากหน้าที่บอกเล่าถึงโศกนาฎกรรมเหล่านี้"
    วันที่ 5 สิงหาคม 2558 สำนักข่าว RT news ของรัสเซียพาดหัวข่าวว่า "Japan halts construction of US base in Okinawa for ‘concentrated discussions’ with local authorities" (ญี่ปุ่นสั่งหยุดการก่อสร้างฐานทัพของสหรัฐฯในเกาะโอกินาว่า (อ้างว่า) เพื่อการอภิปรายที่เข้มข้นกับรัฐบาลท้องถิ่น) ฮ่าๆๆ เยส!
    รายงานข่าวบอกว่าญี่ปุ่นจะพักการก่อสร้างฐานทัพทหารของสหรัฐฯที่ยังเป็นปัญหาถกเถียงกันอยู่ในปัจจุบันบนเกาะโอกินาว่า เนื่องจากการเจรจากับรัฐบาลท้องถิ่นเริ่มจะส่อเค้ามีความตึงเครียดมากขึ้น ชาวบ้านยังคงคัดค้านการย้ายฐานทัพอากาศของนาวิกโยธินสหรัฐฯจากเมือง Futenma ไปแห่งใหม่บนเกาะโอกินาว่า (อันที่จริงชาวบ้านแถวนั้นเขาไม่ต้องการให้มีฐานทัพของสหรัฐฯไปอยู่บนเกาะนั้นเลยแม้แต่แห่งเดียว ที่ Futenma ก็ไม่เอา เพราะกำลังจะไล่หนีให้ไปอยู่ที่อื่น แต่สหรัฐฯหน้าด้านไม่ยอมไป บอกว่าจะย้ายไปอีกที่หนึี่งที่กว้างกว่าเดิม ชาวบ้านเขาก็ต่อต้านอีก ก็ยังไม่ไป เพราะสหรัฐฯมีโครงกว่าจะเอาฝูงบิน F-35 รุ่นใหม่ของนาวิกโยธินเข้าไปประจำการที่ญี่ปุ่นซึ่งก็คือบนฐานทัพแห่งใหม่ที่กำลังจะสร้างนี้เอง) ดังนั้นรัฐบาลญี่ปุ่นจึงออกมาบอกว่า (ถ้าไม่อธิบายให้รู้แล้วรู้รอด) งั้นก็จะพักโครงการสร้างฐานทัพแห่งใหม่ของสหรัฐฯออกไปอีกหนึ่งเดือน
    รู้สึกว่างานนี้ญี่ปุ่นจะฉุนจัดนะ... วันนี้ (6 ส.ค.58) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าโฆษกรัฐบาลญี่ปุ่นกล่าวว่า นายกฯ Shinzo Abe ได้เรียกร้องให้ Joe Biden รองปธน.ของสหรัฐฯทำการตรวจสอบกรณีอื้อฉาวตามข่าวว่าสหรัฐฯแอบสอดแนมญี่ปุ่น
    เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา WikiLeaks แฉว่ามีนักการเมืองและนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นจำนวนมากว่า 35 คนรวมทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงถูกหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯแอบสอดแนม
    Yoshihide Suga ประธานเลขาฯคณะรัฐมนตรีของญี่ปุ่นกล่าวว่า "นายกฯอาเบะคุยโทรศัพท์กับนายไบเดน รองปธน.ของสหรัฐฯว่า หากเป็นความจริงว่าบุคคลเหล่านี้ตกเป็นเป้าหมาย สิ่งนี้อาจจะสั่นคลอนความสัมพันธ์ในความเชื่อถือในพันธมิตรของพวกเราได้ และผมก็จะแสดงความกังวลใจเป็นอย่างมาก"
    ในวันเดียวกันนี้สำนักข่าว Sputnik news ของรัสเซียก็รายงานอีกว่า "นายกฯของญี่ปุ่นได้ประกาศว่าแผนการของประเทศของเขาก็คือการนำเสนอร่างบทบัญญัติว่าด้วยการลดอาวุธนิวเคลียร์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่กำลังจะมาถึงนี้ ต่อที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ"
    อันนี้คงจะยากหน่อยนะท่านอาเบะ ขนาดรัสเซียและยูเอ็นนำเสนอมาแล้วทุก 5 ปี สหรัฐฯยังคว่ำร่างเหล่านั้นมาแล้วเลย อาเบะจะเอาอะไรไปขู่สหรัฐฯ อยากได้ Mr. Fat Man ลูกใหม่หรือไง?
    The Eyes
    06/08/2258

    ภาพจาก© AFP 2015/ TOSHIFUMI KITAMURA

    ----------
    Japan Prepares New UN Nuclear Disarmament Draft Proposal - Abe / Sputnik International
    US Spying Scandal Might Seriously Undermine Trust In Abe’s Government / Sputnik International
    Japan's Prime Minister Demands US Vice President Investigate NSA Spying / Sputnik International
    Japan Suspends US Base Relocation Work for 1 Month / Sputnik International
    Abe Confirms Tokyo's Demand for Explanations From US About Spying / Sputnik International
    Japan halts construction of US base in Okinawa for ‘concentrated discussions’ with local authorities — RT News
    Hiroshima Remembers US Atomic Bombing / Sputnik International
    American Exceptionalism and the Folly of Hiroshima / Sputnik International
     
  6. Spammer

    Spammer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    976
    ค่าพลัง:
    +3,498
    ก็คบหมีไปเลยสิ หากพวกอินทรีย์ชอบจิกเรานัก

    "มีเพื่อนดีกว่ามีศัตรู กินน้ำพริกปลาทูดีกว่ากินน้ำพริกแมงดา"
     
  7. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    หมีกำลังมาเชิญฮะ
    จริงๆ ทั้งหมีและมังกร
    ก็อยากได้ไทยเป็นลูกค้ารถถัง
    เรือดำน้ำ ทั้งคู่แต่เราจะเอาของมังกร

    เพราะมันดำดี
     
  8. izeberry

    izeberry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2010
    โพสต์:
    340
    ค่าพลัง:
    +1,482
    โลกของเรา น่าสนใจ อะ

    https://www.facebook.com/poletoparis

    https://www.facebook.com/poletoparis/videos/vb.404392423043354/494074094075186/?type=2&theater

    Pole To Paris

    Meet Dan

    “I’m fed up of the term climate change, it doesn’t portray the scale of the problem. This is everything change. Society needs to shed the idea that climate change is a ‘green’ or ‘environmental’ issue. It is an issue that will grow and grow, impacting more and more people for generations, unless we take action now.”
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช ( https://www.facebook.com/fisont?fref=ts )

    จีนเตือน "ญี่ปุ่นควรจดจำสาเหตุของฮิโรชิม่า" - บทบรรณาธิการ Global Times ของจีนกล่าว
    -------------
    พอเล่าข่าวเกี่ยวกับรอยร้าวระหว่างสหรัฐฯกับญี่ปุ่นในโพสต์ก่อนหน้านี้แล้ว ลองไปสำรวจสื่อฯฝั่งจีนบ้างซิว่าจะมีท่าทีอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้่าง อ๊ะ! ไม่ผิดหวังแฮ๊ะ มีจริงๆด้วยอ่ะ งานนี้ บก. Global Times ของจีนเล่นเองเลย โดยตั้งชื่อเรื่องว่า "Japan should recollect cause of Hiroshima" (อูยยยยย... ได้ทีขี่แพะไล่เลยอ่ะ)
    รายงานข่าวบอกว่าวันพฤหัสบดีที่ 6 สิงคหาคม เป็นวันครบรอบ 70ปี ที่สหรัฐฯทิ้งระเบิดปรมาณูใส่ฮิโรชิม่า (ลูกแรก ส่วนลูกที่สองบิ๊กบอมบ์ใส่นางาซากิในวันที่ 9 เดือนเดียวกัน) แม้ว่าจะมีคณะผู้แทนระดับสูงเพียงไม่กี่คนเข้าร่วมงานพิธีประจำปี (the annual ceremony) แต่มีประเทศต่างๆเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นอะไรบางอย่างที่รัฐบาลและสื่อฯญี่ปุ่นภูมิใจมาก
    ญี่ปุ่นเป็นประเทศเดียวเท่านั้น (ที่ได้รับเกียรติอันสูงสุดจากสหรัฐฯ คริๆ) ที่ถูกทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ใส่ในช่วงสงคราม ระเบิดนิวเคลียร์สองลูกที่ระเบิดขึ้นในฮิโรชิม่าและนางาซากิ ในช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งทำให้ญี่ปุ่นยอมจำนนในที่สุด (รายงานทั่วไปบอกว่า จริงๆแล้วญี่ปุ่นยอมแพ้ตั้งแต่โดนบอมบ์ครั้งแรกแล้ว แต่ไม่รู้ว่าสหรัฐฯเป็นบ้าอะไรถึงได้บอมบ์ญี่ปุ่นอีกลูกหนึ่งคงจะมีความสุขกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์มากๆสินะ? บ้างก็มองว่าเพื่อเป็นบทเรียนให้ประเทศอื่นๆดูเป็นตัวอย่างว่าต่อไปอย่าได้หือกับจักรวรรดิเฮเกอีกเป็นอันขาด มิฉะนั้นจะมีชะตาไม่ต่างจากญี่ปุ่นในเวลานั้น จึงไม่แปลกใจที่เห็นพวกนักการเมืองขี้ข้าอเมริกาต่างก็ชื่นชมยินดียกย่องอเมริกายิ่งกว่าเทพเจ้าองค์ไหนๆซะอีก)
    เป็นที่พอจะเข้าใจได้ที่ญี่ปุ่น (จัดงาน) รำลึกเหตุการณ์ดังกล่าว การรำลึกถึงเหตุการณ์สามารถใช้เป็นหนึ่งกลยุทธที่เป็นประโยชน์ต่อการเคลื่อนไหวต่อต้านนิวเคลียร์ (ซึ่งญี่ปุ่นพึ่งจะยกขึ้นมาพูดเมื่อเร็วๆนี้หลังจากที่ เซ็งเมื่อถูกแฮ็กเกอร์แฉว่าถูกสหรัฐฯแอบจับไข่ ที่โกรธนี้ก็คงจะเป็นเพราะว่าไม่พอใจที่สหรัฐฯปล่อยให้ข่าวน่าขายหน้าเช่นนี้หลุดออกมาได้อย่างไรมั๊ง?) แต่ก็จะต้องชี้ชัดออกมาด้วยว่างานพิธีรำลึกดังกล่าวดึงความสนใจของประชาชนไปที่ข้อเท็จจริงเท่านั้น ซึ่งญี่ปุ่นเป็นเหยื่อของระเบิดปรมาณู แต่กลับหลับตาเบือนหน้าไปทางอื่นต่อเหตุผล(/คำถาม)ว่าเพราะอะไร งานพิธีรำลึกนี้ก็เปรียบเสมือนน้ำที่ไหลลงสู่ที่ลุ่มซึ่งเป็นความจริงที่ว่าญี่ปุ่นยังคงเป็นผู้กระทำความผิดในการก่ออาชญากรรมสงคราม (ว้าววว! ชอบสำนวนและสไตล์การเขียนแบบนี้จัง Ceremonies like this water down the fact that Japan was also a perpetrator of war crimes.) สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าญี่ปุ่นเก่งในเรื่องการวางแผนและคำนวณขนาดไหน (อูยส์... สื่อฯจีนหยิกเก่งจริงๆอ่ะ)
    ความสำคัญของโรงละครเอเซียในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง (Asian theater in WWII) ถูกมองข้ามไปอย่างยาวนาน ความโหดร้ายที่ญี่ปุ่นได้ก่อไว้ไม่ได้เป็นที่รับรู้แก่ผู้คนทั่วไปมากเท่าไร (บางครั้งเรียกว่า South-East Asian theatre of World War II เป็นชื่อที่ตั้งให้กับการก่อสงครามแปซิฟิกในพม่า ศรีลังกา อินเดีย ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปรจนกระทั่งจบที่ญี่ปุ่นถูกบอมบ์ด้วยระเบิดปรมาณู) ปีนี้เป็นการครบรอบปีที่ 70 ของการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลของนายกฯซินโซะ อาเบะ ได้มีการเคลื่อนไหวที่น่าประหลาดใจที่จะละเมิดรัฐธรรมนูญที่สันติของประเทศ และการฟื้นฟูสิทธิในการป้องกันตนเองโดยรวม อาเบะต้องการที่จะปรับสถานะของประเทศของตนเอง แต่ปราศจากการเหลียวย้อนหลังไปถึงอาชญากรรมทางสงครามที่ตัวเองได้ก่อไว้ในอดีต
    (ก็คงจะเอาอย่างสหรัฐฯนั่นแหละเพราะใกล้ชิดกับสหรัฐฯมากเกินไปจึงอาจจะติดเชื้อมาจากสหรัฐฯก็เป็นได้ ก็ในเมื่อสหรัฐฯยังประกาศความชอบธรรมให้กับตัวเองจากการเที่ยวเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ไปทั่วโลกได้แม้ว่าจะอ้างว่าเพื่อปราบปรามผู้ก่อการร้าย แต่ก็มีเด็กและสตรีคนชราทั่วไปเป็นจำนวนมากตกเป็นเหยื่อในสงครามที่สหรัฐฯก่อขึ้น สหรัฐฯก็ยังไม่รู้สึกรู้สาอะไร และเที่ยวเล็คเชอร์เรื่องสิทธิมนุษยชนให้กับประเทศอื่นๆอยู่ร่ำไป จะแปลกอะไรที่จะญี่ปุ่นจะเริ่มเรียนรู้วิชาหน้าด้านมาจากสหรัฐฯบ้าง)
    ก่อนหน้านี้สหรัฐฯไม่ได้ส่งเจ้าหน้าระดับสูงจากรัฐบาลไปร่วมงานพิธีรำลึกฯเลย แต่ครั้งนี้ กรุงวอชิงตันได้ส่งรมช.ต่างประเทศไป แม้ว่าจะไม่ชอบใจญี่ปุ่นในประเด็นทางประวัติศาสตร์หลายเรื่องสักเท่าไรนัก แต่การเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งก็พัดปกคลุมความไม่พอใจนั้นได้ (ตราบใดที่ญี่ปุ่นยังเป็นเด็กดีของสหรัฐฯอยู่อย่างนี้)
    ญี่ปุ่นเคยเป็นศัตรูที่น่ารังเกียจมากที่สุดของสหรัฐฯ แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ ญี่ปุ่นได้กลายเป็นพันธมิตรผู้ซื่อสัตย์ภักดีต่อสหรัฐฯมากที่สุด (ว้าว! อาเบะอ่านแล้วจะรู้สึกเจ็บบ้างหรือเปล่านะ แบบนี้ต้องกลืนเลือดที่ช้ำใน อย่าให้ศัตรูรู้ว่าบาดเจ็บบอบช้ำภายในเพราะพลังลมปราณฝ่ามือปราบมังกรของจีนในครั้งนี้ ฮี่ๆๆ) แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าทั้งสองฝ่ายได้ทิ้งความขมขื่นเอาไว้เบื้องหลัง ญี่ปุ่นยังคงถูกสหรัฐฯจำกัดในหลายด้าน ข้อจำกัดเหล่านี้ บางส่วนทำให้ญี่ปุ่นต้องทนแบกรับความคับแค้นใจ (grudge) เอาไว้ พวกเขาก็ถ่ายโอนความรู้สึกที่เลวร้ายนี้ลงมาที่จีนและเกาหลีใต้ในเรื่องปัญหาทางประวัติศาสตร์ ข้อพิพาทต่างๆจะไม่สามารถได้รับการแก้ไขเพียงชั่วข้ามคืน เพราะว่าญี่ปุ่นสามารถที่จะยกระดับของตนและโน้มน้าวผู้อื่นด้วยบทบาทที่เต็มไปด้วยสันติของตนในประชาคมนานาชาติ
    กุญแจสำคัญต่อสถานการณ์อาจจะอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานต่อระเบียบเอเซียแปซิฟิกในปัจจุบัน ปัญหาที่สำคัญทางประวัติศาสตร์อาจจะไม่อยู่เหนือระเบียบใหม่ หากจีนผงาดขึ้นมามีอำนาจเทียบเท่าสหรัฐฯ
    สุดท้ายสื่อฯจีนบอกว่า พวกเราควรจะแสดงความเห็นอกเห็นใจกับญี่ปุ่นต่อกรณีภัยพิบัติเมื่อ 70 ปีที่แล้ว เราไม่จำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากมันเพื่อเป็นการแสดงกำลังข่มในกรณีข้อพิพาทเหนือประเด็นปัญหาทางประวัติศาสตร์ต่างๆ ทั้งหลายทั้งมวลที่พวกเราสามารถกระทำได้ก็คือเป็นกลางและดูว่าการผงาดขึ้นมาของจีนจะสามารถนำไปสู่การแก้ไขปริศนาได้หรือไม่? (All we can do is stay neutral and see if China's rise can lead to a resolution of the conundrum.)
    The Eyes
    07/08/2258
    ----------
    Japan should recollect cause of Hiroshima - Global Times
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    ประวัติศาสตร์ที่ถูกลืมในการซื้ออลาสก้า: เหตุผลว่าทำไมรัสเซียถึงขายจุดยุทธศาสตร์ของตนให้สหรัฐฯ? (ตอนที่1/2)

    [​IMG]

    -------------
    เมื่อสองวันก่อนไปอ่านเจอบทความขนาดยาวในคอลัมน์ Opinion ส่วนการเมืองจากสำนักข่าว Sputnik news ชื่อว่า "Untold Story of Alaska Purchase: Why Did Russia Sell Its Stronghold to US?" เขียนโดย Ekaterina Blinova ซึ่งเป็นการพยายามไขปริศนาการซื้อขาย Alaska ของรัสเซียให้แก่สหรัฐฯ ตอนแรกก็อ่านเล่นๆ พออ่านไปเรื่อยๆ รู้สึกว่าไม่ได้การหละ ขอกาแฟซักแก้วก่อนนะ ชักติดลม มันส์อ่ะ... กำลังหาช่วงเวลาดีๆมาแปลเพื่อแชร์เรื่องราวที่ไม่ค่อยจะมีคนรู้สักเท่าไร และดูเหมือนว่าสหรัฐฯก็ไม่อยากจะพูดถึงซักเท่าไรด้วย ให้แฟนเพจและผู้อ่านได้รับรู้ร่วมกันบ้าง แม้จะไม่เกี่ยวกับไทยเรา แต่อย่างน้อยก็ถือว่าได้ความรู้ทางประวัติศาสตร์ต่างประเทศเพิ่มขึ้น และเพื่อให้รู้ทันความเจ้าเล่ห์ของสหรัฐฯสายเลือดนักล่าตะวันตกด้วย และที่สำคัญรู้ว่ารัสเซียกำลังวางแผนอะไรอยู่และจะเดินเกมการเมืองระหว่างประเทศเพื่อตอบโต้และสั่งสอนจักรวรรดิเฮเกอย่างไรบ้าง น่าสนใจใช่ไหมหละครับ... เริ่มเลยนะ (จริงๆแล้วดูเหมือนว่ารัสเซียพยายามจะปลุกกระแสนี้ขึ้นมาแล้วอย่างน้อยก็ครั้งหนึ่งเมื่อเร็วๆนี้ช่วงที่กำลังเกิดสงครามในยูเครนตะวันออก )
    + รัสเซียได้รับทองคำจากสหรัฐฯค่าขายอลาสก้าจริงหรือ?
    -------------
    ยังมีข้อโต้เถียงกันอยู่หลายประเด็นเกี่ยวกับการที่พระเจ้าจักรพรรดิอะเล็กซานเดอร์ที่สองของรัสเซีย (Russian Emperor Alexander II) ยอมยกอลาสก้าให้กับสหรัฐฯ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนพากันตั้งคำถามเกี่ยวกับสนธิสัญญาดังกล่าว มีการตั้งสมมุติฐานว่า (ท้ายที่สุดแล้วซักวันหนึ่ง) อลาสก้าก็จะกลับมาเป็นของรัสเซียดังเดิม (ว้าวววว พูดให้มีความหวังเล็กๆขึ้นมาอีกแล้ว เหมือนไคร์เมียที่กลับมาเป็นของรัสเซียดังเดิมใช่ป๊ะ? แต่ปัญหาก็คือว่าที่ละลาสก้าแทบจะไม่มีประชากรที่เป็นชาวรัสเซียหลงอยู่แล้วนะสิ ในปี 2014 อลาสก้ามีประชากรทั้งสิ้น 736,732 และจากการสำรวจในปี 2010 พบว่า 66.7% เป็นคนผิวขาว, 14.8% เป็นชาวพื้นเมือง, 5.4% เป็นชาวเอเซีย, 3.3% เป็นคนผิวดำ และอื่นๆ)
    เรื่องราวที่แท้จริงของการยกทรัพย์สินของรัสเซียในอเมริกาเหนือ - Alaska - โดย 'สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิของปวงชนชาวรัสเซีย' อเล็กซานเดอร์ที่สองให้กับประเทศสหรัฐอเมริกานั้นยังคงถูกปกคลุมได้ด้วยความลึกลับ
    สนธิสัญญาการยกอลาสก้า (The Treaty of Cession of Alaska) ได้มีการลงนามกันเมื่อ 148 ปีที่แล้วในวันที่ 30 มีนาคม 1867 โดยผู้มีอำนาจเต็มชาวรัสเซียและชาวอเมริกัน: องคมนตรี Edward de Stoeckl ของรัสเซียและ William H. Seward รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ
    ทรัพย์สินของรัสเซียในอเมริกาเหนือ - ที่มีแผ่นดินเกือบ 586,412 ตารางไมล์ (1,518,800.11 ตารางกิโลเมตร) - ถูกขายไปในราคาเพียง $7,200,000 เหรียญทองคำ (หรือประมาณ $114,000,000 เมื่อคิดเป็นเงินในปัจจุบัน ประมาณ 3,990,000,000 บาท) หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งประมาณ 2 เซ็นต์ต่อ 1 เอเคอร์ (ต่อ 0.00404686 ตารางกิโลเมตร)
    ในตอนแรกนั้นดูเหมือนว่าข้อตกลงก็เป็นเหมือนข้อตกลงทั่วไป: หกสิบปีก่อนหน้านั้นสหรัฐฯได้ซื้อดินแดนมลรัฐหลุยเซียน่า (Louisiana) ซึ่งมีเนื้อที่ 828,000 ตารางไมล์ (2,144,510.16 ตารางกิโลเมตร) ด้วยมูลค่า 68 ล้านฟรังก์ หรือน้อยกว่า 3 เซ็นต์ต่อ 1 เอเคอร์ (ต่อ 0.00404686 ตารางกิโลเมตร)
    อย่างไรก็ตาม สนธิสัญญาการมอบอลาสก้าก็ยังพร้อมที่จะเปิดให้มีการโต้เถียงกันอย่างออกรถออกชาติมีชีวิตชีวาระหว่างผู้เชี่ยวชาญชาวตะวันตกและชาวรัสเซีย นักวิจัยชาวรัสเซียบางคนได้ไปไกลถึงขนาดอ้างว่า อลาสก้าไม่ได้ถูกขายออกไป แต่เป็นการให้เช่าระยะเวลา 99 ปี และนักผู้เชี่ยวชาญบางคนชี้ไปที่ข้อเท็จจริงที่ว่ามูลค่าของข้อตกลงน้อยเกินไป
    ในวงโต้เถียงนั้นยังอยู่ในสถานการณ์ของการซื้อขาย นักวิจัยบางคนได้ชี้ให้เห็นว่ากระทรวงการคลังของรัสเซีย (Russian Treasury) ไม่ได้รับเงินค่าขาย Alaska (ซักแดงเดียวจะบอกว่าขายไปแล้วได้อย่างไร? อัยย๊ะ! เกิดอะไรขึ้นครับพี่น้อง?) นักวิจัยอธิบายว่า Orkney ชื่อเรือที่ขนทองคำอเมริกาไปยังรัสเซีย ได้จมลงในทะเลบอลติก (เออ… มีเหตุผลแฮะ ถ้าเรื่องนี้เป็นความจริงก็แสดงว่ารัสเซียไม่ได้รับเงินหรือทองคำเป็นค่าตอบแทนเลยนะสิ แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าไอ้ที่ขนใส่ในเรือไปนั้นเป็นทองคำจริงๆ ไม่ใช่ก้อนหินหรือลังเปล่า? บางคนอาจจะแย้งว่าก็คณะผู้แทนของรัสเซียที่เดินทางไปรับนั่นไงเป็นผู้ยืนยัน คำถามก็มีตามมาอีกว่า แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าคณะผู้แทนเหล่านั้นจะสามารถมีชีวิตรอดไปขึ้นเรือได้จริงๆ นั่นสิ ถ้าเรือล่มก็แสดงว่าไม่มีผู้ใดมีชีวิตรอดกลับมาถึงรัสเซียได้เลย อันนี้มโนเล่นๆเฉยๆนะครับ ฮ่าๆๆ)
    ยังมีอีก คำถามยังคงเปิดกว้างอีกว่า แล้วทำไมพระเจ้าจักรพรรดิของรัสเซียถึงได้ตัดสินพระทัยขายดินแดนซึ่งรัสเซียได้พัฒนามาตั้ง 126 ปี? (นั่นนะสิ... หาคำตอบได้ไหมครับ?)
    + ตำนานอลาสก้าปริศนาที่ไม่ได้เล่าขานจากฝั่งอเมริกา: กองทัพเรือช่วยหลือสหภาพในสงครามกลางเมืองของอเมริกาได้อย่างไร
    -------------
    บรรทึกทางประวัติศาสตร์บางฉบับบอกว่าข้อตกลงดังกล่าวนั้นเป็นของปลอม (อัยย๊ะ!): การยกอลาสก้าให้ (สหรัฐฯ) เป็นวิธีการการตอบแทนบุญคุณ (/ชดเชย recompense) ให้กับรัสเซียอย่างเป็นทางการในกรณีที่รัสเซียได้ช่วยเหลือสหรัฐฯเอาไว้ในช่วงสงครามกลางเมืองของอเมริการะหว่างปี 1861-1865 สินะ! (อันนี้นักวิเคราะห์ฝั่งรัสเซียเขาประชด ว่ามันเป็นเรื่องตลกฝืด ที่รัสเซียได้ช่วยเหลืออเมริกาในช่วงสงครามกลางเมือง แล้วรัสเซียก็ได้รับการตอบแทนด้วยการยกดินแดนของตัวเองให้สหรัฐฯในภายหลัง ฮ่าๆๆ เถียงไม่ออกเลยอ่ะ แอ็ดมินติดการเหน็บเจ็บๆนิดๆ มาจากสื่อรัสเซียแน่ๆเลยนะนี่ ไม่ธรรมดาจริงๆ อยากรู้ไหมว่ารัสเซียได้เคยช่วยเหลือสหรัฐฯเอาวไว้อย่างไรบ้าง? ตรงนี้แหละที่อเมริกาไม่กล้าเอ่ยถึง ไม่กล้าที่จะสอนลูกหลานของตัวเองว่ารัสเซียก็เคยช่วยเหลืออเมริกาให้ลอดพ้นหายนะมาก่อน คนอเมริการุ่นใหม่คงจะยอมรับความจริงอันนี้ไม่ได้แน่นอน)
    เป็นที่น่าสังเกตว่า เรื่องราวของทหารรัสเซียที่ส่งความช่วยเหลือไปยังสหภาพ (Union) และ Abraham Lincoln ยังคงไม่ได้รับการบอกเล่าเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นความสัมพันธ์ระหว่างประธานาธิบดีลินคอล์นกับพระเจ้าจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่สองของรัสเซีย ซึ่งได้ถล่มแผนยุทธ์ศาสตร์ของสหราชอาณาจักรจนหงอยไม่เป็นท่า และมีส่วนสำคัญในการนำชัยชนะให้มาให้กับฝ่ายเหนือ
    "คู่เจรจาต่อรองที่ยิ่งใหญ่ทั้งสองฝั่งเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศของสหภาพก็คือสหราชอาณาจักรและรัสเซีย และความผันผวนทางการเมืองเชิงภูมิศาสตร์ในศตวรรษที่20 ก็มีแนวโน้มที่จะบิดเบือนการรับรู้ของทั้งสองฝั่ง มีการลดความสำคัญของภัยคุกคามจากอังกฤษและมิตรภาพจากรัสเซีย" Webster Griffin Tarpley นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันและนักเขียนได้เน้นย้ำไว้
    Tarpley บรรยายเอาไว้ว่า สหราชอาณาจักรได้วางแผนในการรุกรานประเทศสหรัฐอเมริกา พิจารณาจากระดมยิงและเผาบอสตันและนิวยอร์กทั้งสองแห่ง คาดว่าอังกฤษ (ต่อมาเข้าร่วมกับฝรั่งเศส) ต้องการที่จะฉกฉวยโอกาสจากความวุ่นวายภายในของอเมริกาเพื่อกลับมาควบคุมอาณานิคมในอดีตของตนเองอีกครั้ง
    เพื่อที่จะทำลายแผนการของฝรั่งเศสกับอังกฤษ (Franco-British) รัสเซียได้ส่งกองทัพเรือไปช่วยปกป้องสหภาพจากการแทรกแซงของต่างประเทศ
    Tarpley ได้เน้นย้ำว่า "ท่าทีที่น่าทึ่งที่สุดในความร่วมมือกันระหว่างจักรวรรดิรัสเซียและสหรัฐฯได้มาถึงในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 1863… วันที่ 24 กันยายน กองทัพเรือประจำทะเลบอลติกของรัสเซียได้เดินทางไปถึงท่าเรือนครนิวยอร์ก วันที่ 12 ตุลาคม กองทัพเรือภาคตะวันออกไกลของรัสเซียได้ไปถึงซานฟานซิสโก้"
    นักประวัติศาสตร์ (ชาวอเมริกัน) ได้เน้นย้ำอีกว่า "เรือรบเหล่านี้ได้เป็นสัญลักษณ์ของกองทัพจากแผ่นดินใหญ่ของรัสเซียด้วย ซึ่งอาจจะยาตราทัพเข้าไปยังแนวหน้าทั้งหลายซึ่งรวมถึงชายแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือของอาณานิคมอินเดียของอังกฤษได้ด้วย อังกฤษรู้ได้ทันทีว่าไม่อาจจะจ่ายในราคาที่สูงลิ่วได้แน่หากว่าอังกฤษตัดสินใจโจมตีสหภาพ"
    ฝ่ายเหนือ (ของอเมริกา) รู้สึกขอบคุณรัสเซียเป็นอย่างมากในความช่วยเหลือทางกองทัพ และการสนับสนุนทางการเมือง Oliver Wendell Holmes นักเขียนชาวอเมริกันผู้โด่งดังได้เขียนยกย่องรัสเซียว่า "ขอให้พระเจ้าอวยพรจักรวรรดิที่รักสหภาพที่ยิ่งใหญ่ให้กับประชาชนของท่านจงเข้มแข็งด้วย!"
    ดังนั้น แล้วอลาสก้าหละ? เนื่องจากว่าแนวความคิดเกี่ยวกับการยกอลาสก้าให้เป็นของสหรัฐเป็นเรื่องเท็จ ไม่มีหลักฐานที่เป็นเอกสารสามารถใช้ยืนยันได้ จึงควรจะมีคำอธิบายอื่นๆสำหรับการดำเนินการที่แปลกๆเช่นนั้น
    … โปรดติดตามตอนต่อไป...
    The Eyes
    07/08/2258
    ----------

    ภาพจาก © Flickr/ Teddy Llovet

    Untold Story of Alaska Purchase: Why Did Russia Sell Its Stronghold to US? / Sputnik International
    https://en.wikipedia.org/wiki/Alaska
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อิสราเอลบนศาลอาญาระหว่างประเทศ ความเสี่ยงเผชิญข้อหา หลังก่ออาชญากรรมโจมตีกาซ่า โดย เอบีนิวส์ทูเดย์ - ส.ค. 6, 2015

    [​IMG]
    (ภาพ) นายริอาด มัลกี รัฐมนตรีต่างประเทศของปาเลสไตน์ ยกสนธิสัญญาฉบับก่อตั้งของศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือธรรมนูญกรุงโรม ภายหลังพิธีต้อนรับปาเลสไตน์ในฐานะสมาชิกใหม่ล่าสุดของศาลในกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อ 1 เมษายน 2015 การได้เข้าเป็นสมาชิกของศาลนี้เป็นส่วนหนึ่งของการขยายความพยายามของชาวปาเลสไตน์ที่จะเพิ่มแรงกดดันต่อนานาชาติในเรื่องอิสราเอล และเกิดขึ้นในเวลาที่โอกาสในการรื้อฟื้นการเจรจาเกี่ยวกับความเป็นรัฐของปาเลสไตน์ลดน้อยลงหลังจากที่นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอลได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งและการใช้วาทกรรมที่หนักหน่วง
    กรุงเฮก, เนเธอร์แลนด์ – ขณะที่ชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซ่ายังคงเศร้าโศกกับความสูญเสียจากการโจมตีทางทหารของอิสราเอลเมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว ที่ได้สังหารชาวปาเลสไตน์ในดินแดนที่ถูกปิดล้อมแห่งนี้ไปถึง 2,251 คน เป็นเด็ก 551 คน ในเวลา 51 วัน อิสราเอลเองก็มีความเสี่ยงมากขึ้นว่าจะต้องพบกับผลสะท้อนกลับทางกฎหมายสำหรับการกระทำของตน

    “เป็นที่ชัดเจนว่ามีการก่ออาชญากรรมสงครามระหว่างการจู่โจมกาซ่า เป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่น่าอับอายสำหรับมนุษยชาติ” Ramy Abdu ประธานกลุ่มสังเกตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในแถบยุโรป-เมดิเตอร์เรเนียนบอกกับสำนักข่าว MintPress จากสำนักงานในกาซ่าของกลุ่มนี้ที่มีสำนักงานใหญ่ในกรุงเจนีวา

    หลังจากที่รัฐปาเลสไตน์สมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกของศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ ICC ในกรุงเฮกเมื่อ 1 มกราคม, การได้เข้าเป็นสมาชิกเมื่อ 1 เมษายน และการยื่นคำร้องครั้งแรกต่อ ICC เมื่อ 24 มิถุนายน อิสราเอลก็ต้องเผชิญกับข้อหาที่อาจเป็นไปได้ต่างๆ

    ตามข้อมูลจาก Shawan Jabarin ผู้อำนวยการกลุ่มสิทธิมนุษยชนของปาเลสไตน์ อัล-ฮัก ที่ได้พูดกับ Mondoweiss หลังจากที่เอกสารเหล่านั้นถูกยื่นไปแล้วระบุว่า เนื้อหาของเอกสารเหล่านั้นไม่เพียงแต่ประกอบด้วยคำร้องที่เกิดจากการระดมโจมตีทางอากาศต่อกาซ่าและการก่อสร้างนิคมชาวยิวในเวสต์แบงก์ของอิสราเอลเท่านั้น แต่ยังประกอบด้วยเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับการปฏิบัติต่อนักโทษปาเลสไตน์ รวมไปถึงข้อกล่าวหาเกี่ยวกับอาชญากรรมจากการเหยียดชนชาติตามที่กำหนดไว้ภายใต้ธรรมนูญกรุงโรมของ ICC

    เอกสารนี้ประกอบด้วย 23 เรื่อง Jabarin บอกว่ารวมถึงเรื่องที่เป็นอาชญากรรมสงครามเจ็ดเรื่อง

    ความพยายามอย่างเป็นทางการของปาเลสไตน์ครั้งนี้ได้นำมาสู่การทำงานร่วมกันของ Jabarin และสมาชิกอีก 31 คนในคณะกรรมการแห่งชาติ ที่แต่งตั้งโดยประธานาธิบดีมาห์มูด อับบาส ของคณะปกครองปาเลสไตน์เมื่อ 7 กุมภาพันธ์

    ภัยคุกคามที่ซ้ำซ้อน

    แต่การยื่นฟ้องเป็นเพียงหนึ่งจากภัยคุกคามซ้ำซ้อนที่อิสราเอลกำลังเผชิญหน้าอยู่ที่กรุงเฮกในขณะนี้เท่านั้น

    เมื่อวันที่ 16 มกราคม Fatou Bensouda อัยการของ ICC ได้เริ่มทำงานตรวจสอบเบื้องต้นในเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเวสต์แบงก์และฉนวนกาซ่าตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2014 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ชาวปาเลสไตน์ได้ให้ขอบเขตอำนาจแก่ศาลเมื่อพวกเขาเข้าร่วมเป็นสมาชิกแล้ว

    ผู้สังเกตการณ์หลายคนเห็นพ้องกันว่าการตรวจสอบนี้ดำเนินไปอย่างรวดเร็วกว่าส่วนใหญ่ ถึงแม้คณะผู้แทนของ ICC ที่มีกำหนดจะไปเยือนปาเลสไตน์ปลายเดือนกรกฏาคมนี้จะเลื่อนการเดินทางออกไปจนถึงฤดูใบไม้ร่วง ด้วยเหตุผลทางเทคนิกและขั้นตอน

    ภายในกาซ่า การตรวจสอบของ ICC คาดว่าจะดำเนินไปตามแบบแผนของรายงานของคณะกรรมการไต่สวนอิสระของสหประชาชาติเกี่ยวกับการรุกรานปี 2014 ซึ่งอ้างว่า “อาชญากรรมสงคราม” อาจเกิดขึ้นได้โดยทั้งกองกำลังของอิสราเอลและกลุ่มต้านทานของปาเลสไตน์


    นอกจากนั้น กลุ่มสิทธิมนุษยชนของปาเลสไตน์กำลังรวบรวมคำร้องจากบุคคลและองค์กรต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากปฏิบัติการของอิสราเอลในเวสต์แบงก์และฉนวนกาซ่า

    คำร้องเหล่านั้นมีตั้งแต่ชาวบ้านในฉนวนกาซ่าที่สมาชิกครอบครัวเสียชีวิตจากการโจมตีของอิสราเอลเมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว ไปจนถึงเจ้าของที่ดินในเวสต์แบงก์ที่สูญเสียที่ดินในความครอบครองให้กับการขยายนิคมชาวยิว

    แหล่งข่าวจากกลุ่มต่างๆ ในทั้งสองดินแดนของปาเลสไตน์บอกกับ MintPress ว่า ในขณะที่จำนวนคดีต่างๆ มีมากจนเต็มความสามารถของพวกเขา จำนวนรวมอาจจะถึงหลายหมื่นคดี

    กองเรือเสรีภาพ (Freedom Flotilla)

    อีกคดีหนึ่งที่กำลังดำเนินการกับอิสราเอลเกิดจากการที่ได้โจมตีกองเรือเสรีภาพโครงการที่หนึ่ง ที่พยายามฝ่าฝืนการปิดกั้นฉนวนกาซ่าทางทะเล เมื่อ 31 พฤษภาคม 2010

    การจู่โจมเรือ Mavi Marmara เรือนำขบวนของกองเรือนี้โดยหน่วยคอมมานโดของกองทัพเรือ ได้สังหารนักเคลื่อนไหวชาวตุรกีแปดคน และชาวอเมริกันเชื้อสายตุรกีหนึ่งคน

    ผู้ร่วมขบวนชาวตุรกีอีกคนหนึ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2014 หลังจากอยู่ในอาการโคม่ามาเกือบสี่ปี


    คณะค้นหาข้อเท็จจริงของสหประชาชาติได้กำหนดว่า “บนพื้นฐานจากหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์และอาวุธปืน ผู้เสียชีวิตอย่างน้อยหกคนสามารถระบุลักษณะได้ว่าเป็นการใช้กฎหมายพิเศษ ประหารชีวิตโดยพลการและรวบรัด”

    เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2013 สหภาพคอโมโรสที่ได้ติดธงบนเรือ Mavi Marmara ได้กล่าวถึงคดีที่ส่งให้ ICC โดยอ้างว่า

    “การกระทำของ IDF (กองกำลังป้องกันอิสราเอล) เป็นอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ ซึ่งประกอบด้วยการกระทำที่เป็นการฆาตกรรม, ทรมาน และ ‘การกระทำทารุณกรรมอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันโดยมีเจตนาที่จะก่อให้เกิดความทุกข์ยากใหญ่หลวง หรือการบาดเจ็บสาหัสต่อร่างกาย หรือจิตใจ หรือสุขภาพทางกาย’ ที่ได้ก่อขึ้น ‘เป็นส่วนหนึ่งในการโจมตีอย่างแพร่หลายและเป็นระบบโดยตรงต่อประชากรที่เป็นพลเรือน โดยรับรู้การโจมตีนั้น’”

    รอยร้าวที่เด่นชัด

    เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว Bensouda ได้ยกคำฟ้องร้องเหล่านี้ โดยกล่าวว่า “คดีที่อาจเกิดขึ้นจากการตรวจสอบในเหตุการณ์นี้ไม่น่าจะมีความ ‘รุนแรงเพียงพอ’ ที่จะทำให้ ICC มีความชอบธรรมที่จะดำเนินการต่อไปได้”

    แต่เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ผู้พิพากษาสามคนขององค์คณะตุลาการพิจารณาเบื้องต้นคณะที่ 1 ได้รับคำอุทธรณ์การตัดสินของ Bensouda ที่ยื่นโดยคอโมโรส และได้ตัดสิน 2-1 ว่า เธอได้ “กระทำผิดพลาดทางสาระสำคัญ” และขอให้เธอพิจารณาใหม่

    ในการตรวจสอบ คณะผู้พิพากษาเหล่านี้เขียนว่า

    “องค์คณะไม่สามารถมองข้ามความคลาดเคลื่อนระหว่าง ด้านหนึ่งที่เป็นข้อสรุปของอัยการที่ว่า อาชญากรรมดังกล่าวไม่มีความรุนแรงอย่างเด่นชัดมากพอที่จะทำให้ศาลมีความชอบธรรมในการดำเนินการ ซึ่งความมุ่งหมายเดิมของมันคือเพื่อสอบสวนและดำเนินคดีที่เป็นอาชญากรรมระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับประชาคมระหว่างประเทศ กับอีกด้านหนึ่ง ที่เหตุการณ์เหล่านี้ได้ดึงดูดความสนใจและความกังวลจากหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และยังจะนำไปสู่ความพยายามที่จะค้นหาข้อเท็จจริงในนามของรัฐและสหประชาชาติเพื่อให้เกิดความกระจ่างในเหตุการณ์เหล่านี้”

    หลายวันต่อมา Bensouda ได้ยื่นคำอุทธรณ์ของเธอเองต่อคำตัดสินของคณะผู้พิพากษา เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม โดยขอให้องค์คณะตุลาการอุทธรณ์ของ ICC ยกเลิกคำสั่งนั้น

    วิกฤตความชอบธรรม

    รอยร้าวที่เด่นชัดระหว่าง ICC กับอัยการระดับสูงไม่เพียงแต่อาจจะทำให้เกิดคำถามทางเทคนิคเกี่ยวกับความถูกต้องทางกฎหมายและอำนาจศาลเท่านั้น แต่ยังจะทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความชอบธรรมที่ลดน้อยถอยลงของศาลอีกด้วย

    ตลอดระยะเวลา 13 ปี ศาลได้พิจารณาคดีทั้งหมดไป 22 คดีจากเก้าสถานการณ์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีบุคคล 30 คน แต่ละคนเป็นผู้นำแอฟริกา

    การเพ่งเล็งแคบๆ นี้หนีไม่พ้นการสังเกตเรื่องทวีป ซึ่งมีเสียงเรียกร้องซ้ำๆ ให้รัฐต่างๆ ในทวีปถอนตัวจาก ICC ทั้งคณะ

    ความขัดแย้งนี้มาถึงการประชุมสุดยอดสหภาพแอฟริกันที่แอฟริกาใต้เป็นเจ้าภาพเมื่อกลางเดือนมิถุนายน ซึ่งได้มีนักเคลื่อนไหวมาเรียกร้องให้จับกุมตัวประธานาธิบดีโอมาร์ อัล-บาชิร ของซูดาน ตามหมายของ ICC

    ถึงแม้ว่าศาลในท้องถิ่นจะส่งให้อัล-บาชีรอยู่ภายในประเทศ แต่รัฐบาลแอฟริกาใต้อนุญาตให้เขากลับไปยังซูดานเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน โดยอ้างถึงข้อตกลงหนึ่งที่คุ้มครองผู้เข้าร่วมการประชุมสุดยอด AU จากการจับกุม

    ความแตกต่างเล็กน้อย

    การได้รับการยกเว้นโทษนี้มีความแตกต่างกันเล็กน้อยจากการยกเว้นโทษที่บรรดาผู้นำของอิสราเอล เช่น Tzipi Livni ใช้กันบ่อยๆ เพื่อหลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ที่จะถูกจับกุมในประเทศที่เป็นมิตร เช่น สหราชอาณาจักร ที่อ้างว่าเป็น “เขตอำนาจสากล” ครอบคลุมอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ

    และไม่ได้เป็นข้อตกลงที่อนุมัติโดยธรรมนูญกรุงโรม แตกต่างกันอย่างยิ่งกับ “การเพิกถอนมาตรา 98” ที่สหรัฐฯ ได้ลงนามกับประเทศอื่นๆ 95 ชาติ เพื่อไม่ให้ประเทศเหล่านั้นส่งพลเมืองหรือลูกจ้างของสหรัฐฯ ไปให้ ICC ดำเนินคดี
    แต่การปฏิเสธที่จะเมินเฉยต่อภาระหน้าที่ของมัน ขณะที่เจ้าภาพการประชุมสุดยอดนี้ได้ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อ ICC และผู้สนับสนุน ว่าไม่เคยจัดระดับกับมหาอำนาจที่ไม่ใช่แอฟริกาในการดำเนินการแบบเดียวกันนี้เลย

    การที่สหภาพแอฟริกาไม่สนับสนุนให้ชาติสมาชิกทั้ง 54 ชาติของตนให้ความร่วมมือกับ ICC หลายคนมองว่ากรณีของปาเลสไตน์และคอโมโรสจะเป็นบททดสอบสำคัญของศาลว่าจะมีความเต็มใจที่จะกล่าวถึงการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศของรัฐที่ไม่ใช่แอฟริกาและได้รับการสนับสนุนจากตะวันตกหรือไม่

    แรงกดดันทางการเมือง

    เจ้าหน้าที่คนหนึ่งจากคณะผู้แทนขององค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ (Palestine Liberation Organization) ประจำสหรัฐฯ ได้บอกกับ MintPress ว่า คดีเหล่านี้ไม่ได้เชื่อมโยงตามกฎหมาย

    “ศาลทำการตัดสินด้วยตัวเอง” เขากล่าวถึงการที่องค์คณะตุลาการพิจารณาเบื้องต้นท้าทายการยกฟ้องคดีคอโมโรสของ Bensouda “เราไม่คิดว่าประเด็นเหล่านั้นมีความเกี่ยวข้อง”

    แต่สำหรับการยืนหยัดในอนาคตของ ICC การปฏิบัติต่อสองคดีนี้อาจมีหลายอย่างที่คล้ายกัน

    จากกาซ่า Ramy Abdu จากกลุ่มสังเกตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในแถบยุโรปและเมดิเตอร์เรเนียนกล่าวว่า แรงกดดันทางการเมืองที่มีต่อ ICC เท่านั้นที่จะขัดขวางไม่ให้มันตัดสินความผิดของอิสราเอล

    “เราไม่มีความหวาดกลัว และไม่มีความสงสัยเลยว่าผลของการสอบสวนนี้จะแสดงให้เห็นว่า อิสราเอลได้ก่ออาชญากรรมสงคราม” Abdu กล่าว

    “ถ้าสิ่งต่างๆ เป็นไปตามกฎหมายและไม่มีแรงกดดันทางการเมือง หรือพูดให้ถูกต้องกว่านี้ว่า ถ้าฝ่ายต่างๆ อดทนต่อแรงกดดันทางการเมือง เราก็จะพูดได้ว่า ผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่ออาชญากรรมสงครามเหล่านี้จะถูกจับกุมในเร็วๆ นี้”


    —–
    By Joe Catron
    Source Israel may soon face prosecution at the Hague's International Criminal Court
    แปล/เรียบเรียง กองบก.เอบีนิวส์ทูเดย์


    เอบีนิวส์ทูเดย์
    abnewstoday | เอบีนิวส์ทูเดย์
    เอบีนิวส์ทูเดย์ยินดีเป็นอย่างยิ่งให้นำข่าวและเนื้อหาอื่นๆ ของเราไปเผยแพร่ แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่จะต้องให้เครดิตกับเอบีนิวส์ทูเดย์สำหรับเนื้อหาทุกชิ้นที่นำไปเผยแพร่
    บทความที่

    อิสราเอลบนศาลอาญาระหว่างประเทศ ความเสี่ยงเผชิญข้อหา หลังก่ออาชญากรรมโจมตีกาซ่า | abnewstoday
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ด่วน! เกิดเหตุระเบิดฆ่าตัวตายในซาอุฯ ตาย 17 บาดเจ็บอีก 20 กว่าราย
    โดย เอบีนิวส์ทูเดย์ - ส.ค. 6, 2015

    [​IMG]

    เพรสทีวี – เกิดเหตุก่อการร้ายลอบวางระเบิดในมัสยิด แคว้น อาซียร์ ซาอุดิอาระเบีย เบื้องต้นเสียชีวิตแล้ว 17 บาดเจ็บ 20 กว่าราย

    ตามรายงานสำนักข่าวทางการของซาอุฯ (วาม) เหตุระเบิดครั้งนี้ มีขึ้นในช่วงเที่ยงของวันนี้ (พฤหัสบดี) ตามเวลาท้องถิ่น ณ มัสยิด ของสำนักงานศูนย์กลางรักษาความปลอดภัยพิเศษ เมือง อับฮา

    รายงานระบุว่า เหยื่อเหตุก่อการร้ายครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัยของซาอุดิอาระเบีย
    ขณะที่โฆษกของฝ่ายความมั่นคงของกระทรวงมหาดไทยซาอุดิอาระเบีย เผยว่า เจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัยซาอุดิอาระเบีย 10 คน และ เจ้าหน้าที่ของศูนย์กลางรักษาความปลอดภัยพิเศษ เมือง อับฮา 3 คน เสียชีวิต
    ตามรายงานของโฆษกฝ่ายความมั่นคงของกระทรวงมหาดไทยซาอุดิอาระเบีย เผยว่า พบศพรายหนึ่งที่แหลกเหลว ซึ่งคาดว่า เป็นศพของผู้ก่อเหตุที่เข้ามาระเบิดพลีชีพในมัสยิดแห่งนี้

    กระทรวงมหาดไทยซาอุดิอาระเบีย ย้ำว่า ทางเรากำลังมีการตรวจสอบเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างละเอียด

    เอบีนิวส์ทูเดย์
    abnewstoday | เอบีนิวส์ทูเดย์
    เอบีนิวส์ทูเดย์ยินดีเป็นอย่างยิ่งให้นำข่าวและเนื้อหาอื่นๆ ของเราไปเผยแพร่ แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่จะต้องให้เครดิตกับเอบีนิวส์ทูเดย์สำหรับเนื้อหาทุกชิ้นที่นำไปเผยแพร่

    ด่วน! เกิดเหตุระเบิดฆ่าตัวตายในซาอุฯ ตาย 17 บาดเจ็บอีก 20 กว่าราย | abnewstoday
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช ( https://www.facebook.com/fisont?fref=ts )
    ประวัติศาสตร์ที่ถูกลืมในการซื้ออลาสก้า: เหตุผลว่าทำไมรัสเซียถึงขายจุดยุทธศาสตร์ของตนให้สหรัฐฯ? (ตอนที่2/3)

    [​IMG]

    -------------
    กลับมาอีกครั้งกับ การสืบหาความลับรัสเซียขายอลาสก้าให้อเมริกาจริงหรือ? ตอนที่แล้วได้ความคิดเห็นของชาวรัสเซียฝ่ายที่เรียกร้องจะเอาอลาสก้าคืนจากสหัฐฯ ที่ว่า "…เนื่องจากว่าแนวความคิดเกี่ยวกับการยกอลาสก้าให้เป็นของสหรัฐเป็นเรื่องเท็จ ไม่มีหลักฐานที่เป็นเอกสารสามารถใช้ยืนยันได้ จึงควรจะมีคำอธิบายอื่นๆสำหรับการดำเนินการที่แปลกๆเช่นนั้น" ในตอนที่สองนี้ เราก็จะเจาะลึกลงไปกว่านั้นอีก กระชากหน้ากากของอเมริกาให้เห็นว่างุบงิบอะไรไว้บ้าง ปิดบังอะไรไว้บ้างที่ไม่ต้องการให้ชาวโลกได้รับรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องอลาสก้านี้
    + บริษัทร่วมทุนรัสเซีย-อเมริกันและการสำรวจอลาสก้า
    -------------
    ตามบันทึกโบราณซึ่งเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์สมัยมนุษย์โคมันยองเมื่อ 70 ล้านกว่าปีบอกได้กล่าวเอาไว้ว่า... ฮ่าๆๆ อันนั้นก็เกินป๊ะ อ่ะนิ๊ดดดดนึง เอาจริงหละนะคราวนี้...
    According to an official version… ตาม (ข้อกล่าวอ้าง) ฉบับที่มีการยอมรับกันอย่างเป็นทางการนั้นบอกว่า รัสเซียได้ตัดสินใจขายดินแดนอเมริกาเหนือ (North America) ให้กับสหรัฐฯด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ ก.) จักรวรรดิ (รัสเซีย) ได้ถังแตกเนื่องจากการทำสงครามไคร์เมีย (Crimean War) ระหว่างปี 1853-1856 และไม่สามารถที่จะให้การสนับสนุนอาณานิคมในอเมริกาของตนเองได้ (ช่วงนั้นพวกยุโรปออกล่าอาณานิคมในทวีปอื่น เช่นในเอเซีย และแอฟริกา ส่วนอเมริกาก็เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้และรับศึกจากอังกฤษที่ต้องการจะกลับมาทวงอาณานิคมของตนเองคืนด้วย เนื่องจากอ้างว่าเป็นผู้ลงทุนในการส่งกองเรือเข้าสำรวจทวีปอเมริกาก่อนและส่งกองทัพเข้าไปรุกรานชนพื้นเมืองในทวิปอเมริกาด้วย แต่พออเมริกาเริ่มตั้งตัวได้ก็ประกาศเป็นเอกราชไม่ขึ้นตรงต่ออังกฤษ ทำให้อังกฤษฉุนจัดจึงเกิดสงครามระหว่างอเมริกากับอังกฤษขึ้นภายในอเมริกา มีหลายชาติเข้าร่วมในสงครามแย่งชิงดินแดนแห่งนี้ด้วย เช่นสเปน และฝรั่งเศส ในขณะเดียวกัน จักรวรรดิรัสเซียก็ขยายดินแดนของตนออกไปเช่นกันแต่เป็นดินแดนที่มีชายแดนอยู่ติดกับรัสเซียเป็นส่วนมาก ไม่ได้รุกคืบเข้าไปในทวีปอื่นอย่างตะวันตก)
    ข.) พระเจ้าจักรพรรดิของรัสเซียทรงเกรงว่าอังกฤษอาจจะยึดอลาสก้าด้วยความขัดแย้งบางอย่างในอนาคตก็ได้ (รัสเซียก็รู้จึกนิสัยของพวกตะวันตกนักล่าอาณานิคมดีว่างั้นเถอะ ยังไงซะวันหนึ่งอาจจะมีมือที่มองไม่เห็นก่อความขัดแย้งภายในขึ้นมาในอลาสก้าแล้วก็ถือโอกาสส่งกองทัพเข้าไปยึดเอาดื้อก็ได้)
    ค.) ชาวรัสเซียกลัวว่าชาวอเมริกันอาจจะแทรกซึมเข้าไปในอลาสก้าและจักรวรรดิก็จะสูญเสียดินแดนของตัวเองโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆเลย (ลูกไม้นี้พวกตะวันตกเคยใช้มาบ่อยๆ ที่เห็นได้ชัดก็คือกรณีของข้อพิพาทเหนือหมู่เกาะ Falklands/Malvinas ซึ่งเดิมทีเป็นของอาร์เจนติน่า หลังจากสเปนถอนทัพออกไปอังกฤษก็ยังเข้ายึดแทนโดยส่งกองทัพและประชาชนของตนเองเข้าไปอยู่มากขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาพออาร์เจนติน่าจะทวงคืน อังกฤษก็หัวหมอบอกว่าให้ทำประชามติ ซึ่งแน่นอนว่าอังกฤษชนะเพราะคนของอังกฤษที่อยู่บนเกาะ Falklands/Malvinas มีมากกว่าอาร์เจนติน่า เมื่อเร็วๆนี้ก็มีการสำรวจแหล่งน้ำมันดิบใกล้หมู่เกาะ Falklands/Malvinas จึงไม่มีทางที่อังกฤษจะคืนหมู่เกาะ Falklands/Malvinas ให้อาร์เจนติน่าง่ายๆแน่ แต่อาร์เจนติน่าก็มาขอความช่วยเหลือจากรัสเซีย รู้ว่างานนี้รัสเซียช่วยได้แน่ๆ วันหนึ่งข้างหน้าอาจจะได้เห็นว่าเกาะ Falklands/Malvinas กลับเข้าสู่อ้อมกอดแผ่นดินใหญ่กับอาร์เจนติน่าอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่อังกฤษสูบทรัพยากรไปจนเกลี้ยงแล้ว ซึ่งที่อลาสก้าก็พบว่าปริมาณน้ำมันดิบและแก๊สสำรองที่อยู่ใต้ดินของอลาสก้าได้ลดลงเรื่อยๆ เพราะอเมริกาสืบไปขายมานานจนจะหมดแล้ว)
    อ้อ… ขอพูดถึงสงคราม Crimean War (Eastern War of 1853–1856 (October 1853 – February 1856) ซักหน่อยนะครับ ข้อมูลที่ได้จากวิกิพีเดียวบอกว่า เป็นสงครามหนึ่งในสงครามครั้งประวัติศาสตร์ของรัสเซีย เป็นความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร จักรวรรดิอ็อตโตมัน และ ราชอาณาจักร Sardinia (1848–1861) ปัจจุบันคืออิตาลี งานนี้แย่งกันหลายฝ่ายมาก (ใครๆต่างก็อยากได้ไครเมียมาจากรัสเซียด้วยกันทั้งนั้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สุดท้ายไคร์เมียก็กลับมาสู่อ้อมกอดของแผ่นดินแม่โดยไม่ต้องก่อสงครามในยุคปูติน เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2014)
    สาเหตุของสงครามไคร์เมียในยุคนั้น อ้างว่ามาจากสิทธิ์ในการนับถือศาสนาของชนกลุ่มน้อยในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ (Holy Land) (ลูกไม้เดิมในการหาข้ออ้างขยายอำนาจของพวกตะวันตกเขาหละ) ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของจักรวรรดิอ็อตโตมัน ในสมัยนั้น ฝรั่งเศสสนับสนุนฝั่งคาธอลิก (Catholic Christians) รัสเซียสนับสนุนออร์ธอดอกซ์ (Orthodox Christians) ความขัดแย้งและการต่อสู้กันยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสื่อมอำนาจของจักรวรรดิอ็อตโตมันด้วย ในตอนแรกรัสเซียเข้าครอบครองดินแดนบางส่วนจากจักรวรรดิอ็อตโตมัน ซึ่งอังกฤษและฝรั่งไม่ค่อยจะเต็มใจซักเท่าไรนัก ต่อมาอ็อตโตมันก็ชนะสงครามและครองไคร์เมียอยู่ 20 ปี สงครามครั้งนี้ผู้ที่รุกรานและเข้าไปหาเรื่องกับรัสเซียก่อนก็คืออ็อตโตมัน ตามด้วยอังกฤษและฝรั่งเศส
    พวกนี้รู้ว่าในทะเลดำมีน้ำมันดิบสำรองอยู่เยอะมาก จึงเข้าร่วมสงครามหวังมีส่วนแบ่งในทะเลดำด้วย ศึกนี้ฝ่ายพันธมิตร (อังกฤษกับฝรั่งเศส) ต่างก็ต้องการจะยึด Sevastopol ในแหลมไตร์เมียให้ได้ เพราะรู้ว่าถ้าครอง Sevastopol ได้ก็เท่ากับสามารถครองทะเลดำได้ทั้งหมด แต่สุดท้ายแล้วตกเป็นของรัสเซียจนถึงปี 1954 ซึ่ง Nikita Khrushchev ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ของโซเวียตในสมัยนั้นได้ยกไคร์เมียให้อยู่ในเขตปกครองของยูเครนซึ่งตอนนั้นยูเครนยังเป็นส่วนหนึ่งของโซเวียตอยู่ แต่พอเกิดความขัดแย้งขึ้นมาในยูเครนในปี 2014 ไคร์เมียก็เลยทำประชามติแยกตัวออกจากยูเครนและรวมเข้ากับรัสเซียอีกครั้งโดยประสบผลสำเร็จและอย่างสันติ เล่นเอาสหรัฐฯกับอียูโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จนนำไปสู่สงครามในยูเครนตะวันออกและสงครามแซงชั่นระหว่างสหรัฐฯ+กับอียู กับรัสเซียอย่างที่เห็นอยู่ในทุกวันนี้ (เอ๊ะตกลงจะเล่าเรื่องอลาสก้าหรือว่าไตร์เมียกันแน่นี่? ต้นฉบับเขาแค่ย่อหน้าเดียวสั้นๆเองอ่ะ ทำไมแอ็ดมินถึงแปลได้ตั้ง 3 ย่อหน้าหละนี่ งง… บ่อยครับท่าน ฮ่าๆๆ)
    ต่อนะ... อย่างไรก็ตาม Ivan Mironov นักประวัติศาสตร์และนักประชาสัมพันธ์ชาวรัสเซียได้กล่าวอ้างว่า "ข้อกล่าวอ้างฉบับที่เป็นทางการไม่ได้อยู่บนความสัมพันธ์กับความจริง (แปลว่าไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง แปลอีกทีหนึ่งว่า ไม่จริง เป็นเท็จทั้งเพ) (the official version bears no relation to reality)"
    อันที่จริงแล้ว เหตุการณ์ต่างๆในสงครามกลางเมืองของอเมริกาได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า รัสเซียสามารถที่จะถ่วงดุลอำนาจจากภัยคุกคามของอังกฤษโดยการใช้ฐานที่มั่นในเอเซียกลางเพื่อยับยั้งอาณานิคมอินเดียของอังกฤษ และในขณะเดียวกัน ก็ขวางกองทัพเรือของอังกฤษในมหาสมุทรแปซิฟิกและแอ็ตแลนติกเอาไว้ด้วย
    มีข้อโต้แย้งว่า ที่ว่ารัสเซียกลัวว่าอเมริกาจะแทรกแซงเข้าไปในอลาสก้านั้นดูไม่น่าเชื่อถือ (เพราะอะไร? ก็เพราะว่า) : จักรวรรดิรัสเซียและสหรัฐฯดูจะมีความสุดกับความสัมพันธ์แบบพิเศษ (special relationship) (หมายถึงในสมัยนั้นนะ) และมีผลประโยชน์ร่วมกันทั้งทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจเป็นอย่างมากด้วย (อึ่ม… ก็ฟังดูมีเหตุผล)
    ส่วนสมมุติฐานที่ว่ารัสเซียตัดสินใจยกดินแดนของตนให้อเมริกานั้นก็เพราะว่า รัสเซียตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากเกี่ยวกับฐานะทางการเงินหลังจากสงครามไคร์เมีย และไม่สามารถให้การสนับสนุนอลาสก้าซึ่งกำลังจะล้มอยู่แล้ว
    ในหนังสือ "Alaska Betrayed and Sold: The History of a Palace Conspiracy" (อลาสก้าถูกทรยศและขายทิ้ง: ประวัติศาสตร์ของการสมคบคิดของพระราชวัง) Ivan Mironov (ชาวรัสเซีย) ได้ได้การวิเคราะห์อย่างระมัดระวังเกี่ยวกับจดหมายเหตุของรัสเซียและเปิดเผยว่า รัฐบาลของรัสเซียไม่ได้ใช้เงินซักสตางค์เดียว (100 kopeyka = 1 Ruble) จากงบประมาณของรัฐในดินแดนอเมริกาเหนือ ภาระค่าใช้จ่ายทางการเงินทั้งหมดดำเนินการโดยบริษัทรัสเซีย-อเมริกัน (Russian American Company) การร่วมหุ้นครั้งแรกของประเทศก่อตั้งขึ้นในปี 1799 (จริงเหรอคุณ Ivan Mironov? ผมว่าสำเนียงของคุณเริ่มจะออกไปทางแยงกี้แบบแปร่งๆแล้วนะ อายุแค่ 20 ปีเองทำไมปากเป็นอย่างนี้ไปได้ แน่ใจหรือว่าคุณเขียนขึ้นมาเอง? อ้อ… Dmitry Rogozin รองนายกฯของรัสเซียได้เขียนคำนำให้กับหนังสือเล่มนี้ด้วยนะ)
    พระราชดำรัส (Ukaz ของพระเจ้าจักรพรรดิรัสเซีย) ในปี 1799 ได้อนุญาตให้บริษัท (Russian-American Company) ทำการค้าผูกขาด (monopoly) หว่างรัสเซียกับอเมริกา มากกว่าครึ่งศตวรรษภายใต้ศาลฎีการาชูปถัมภ์ (Supreme Patronage) แห่งจักรวรรดิรัสเซียซึ่งเป็นประเทศที่ทำการสำรวจดินแดน และดำเนินกิจการด้านการค้า ก่อตั้งงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ จัดตั้งความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับชาวพื้นเมืองของอลาสก้า สร้างโรงเรียนและโบสถ์คริสตศาสนานิกายออร์ธอดอกซ์ขึ้นมา (ในอลาสก้า)
    ไหนไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัท Russian-American Company นี้ดูซิว่ามีความเป็นมาอย่างไรบ้าง ทำไมนาย Ivan Mironov ที่เป็นชาวรัสเซียรุ่นใหม่ แต่ดูเหมือนว่าปากของเขาจะมีสำเนียงแยงกี้ โยนอี้ไปให้สถาบันฯของรัสเซียอย่างนั้น จากข้อมูลเบื้องต้นในวิกิฯ บอกว่า Russian-American Company คือบริษัทร่วมทุนระหว่างรัสเซียกับอเมริกา จัดตั้งขึ้นตามคำสั่งศาลฎีกาในพระบรมราชูปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิแห่งรัสเซีย เป็นบริษัทของรัฐที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐทั้งหมด จัดตั้งขึ้นตามบรรทัดฐานของระบบบริษัทของสหรัฐอเมริกา บริษัทฯมีสิทธิพิเศษตามรับสั่งของพระเจ้าซาร์พอลที่หนึ่ง (Tsar Paul I) ตามพระราชกฤษฎีกาในปี 1799 และคาดว่าเพื่อเป็นการจัดตั้งการตั้งถิ่นฐานใหม่ของชาวรัสเซียในอเมริกา และเป็นการขยายโปรแกรมอาณานิคม (ของรัสเซียออกไป) บริษัทแห่งนี้เป็นบริษัทร่วมทุนครั้งแรกระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯ และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีพาณิชย์แห่งจักรวรรดิรัสเซีย (ข้อมูลต้นฉบับยาวมากเอาแค่นี้ก็พอนะ)
    นี่ข้อมูลและความจริงมันก็มีอยู่ตามนี้ และดูเหมือนว่านาย Ivan Mironov จะบิดเบือนข้อเท็จจริงซะแล้วสินี่ พูดได้อย่างไรว่า "รัฐบาลของรัสเซียไม่ได้ใช้เงินซักสตางค์เดียว..." ก็มันเป็นบริษัทที่รัฐเป็นเจ้าของแท้ๆจะบอกว่าไม่ได้ใช้เงินจากรัฐบาลรัสเซียได้อย่างไร? คบกับอเมริกามาก็เป็นอย่างนี้แหละ พวกนี้ฉลาดพูดความจริงบ้างเท็จบ้างปนกันให้คนรุ่นใหม่สับสน บิดเบือนประวัติศาสตร์ มันเป็นงานถนัดของเด็กจักรวรรดิเฮเก งานนี้กลิ่นมันแปลกอยู่นะ ถ้า Ivan Mironov เป็นโปรรัสเซียเขาจะไม่พูดในลักษณะที่เหมือนจะแฝงไว้ด้วยการดิสเครดิตรัฐบาลรัสเซียแบบนี้แน่นอน แต่ในขณะเดียวกัน ภายในรัสเซียเองก็กำลังมีความพยายามปลุกกระแสราชวงค์ขึ้นมาอีกครั้งในช่วงที่ปูตินได้รับความนิยมจากประชาชนชาวรัสเซียเป็นอย่างมาก พวกที่หนุนเหล่าเชื้อพระวงศ์เก่าของรัสเซียก็คือพวกตะวันตกนั่นแหละ การเมืองนี่ช่างซับซ้อนกันจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พออ่านแล้วมีความรู้สึกว่ามีกลิ่นตุๆโชยออกมาจากหนังสือเล่นนั้นอย่างน้อยก็ 2 กลิ่น 1) ปลุกกระแสทวงอลาสก้าคืน 2) โยนความผิดไปให้พระเจ้าจักรพรรดิแทน
    สื่อรัสเซียอาจจะรู้ก็ได้ว่านาย Ivan Mironov มีจุดประสงค์อะไรในการเขียนหนังสือเล่มนั้นออกมา แต่ก็หยิบเอาข้อมูลบางอย่างที่เป็นประโยชน์มาใช้ซะเลย ถ้าโปรอเมริกาใช้ข้อมูลจากหนังสือเล่นนั้นกล่าวอ้าง งั้นรัสเซียก็จะเล่นแบบหนามยอกเอาหนามบ่งบ้าง โดยใช้ข้อมูลจากหนึ่งสือเล่มเดียวกันนี่แหละซัดกลับไปทันที โดยกล่าวว่า "Mironov เน้นย้ำว่า เห็นได้ชัดว่าบริษัทฯไม่เพียงแต่ชดใช้เงินคืนให้กับรัสเซียเท่านั้น แต่ยังนำผลกำไรมหาศาลกลับมาสู่จักรวรรดิรัสเซียได้อีกด้วย และกล่าวเพิ่มเติมว่าบริษัทมีรายได้สะสมเป็นเงินถึง 1 ล้านรูเบิล ยิ่งกว่านั้น บริษัทฯยังได้ให้เงินสนับสนุนในการออกเดินทางรอบโลกของรัสเซียด้วย และสนับสนุนการป้องกันทางทหารอย่างมีประสิทธิภาพให้กับอลาสก้าด้วย"
    สื่อรัสเซียกล่าวต่ออีกว่า "บริษัทร่วมทุนรัสเซียอเมริกาและฐานที่มั่นในอลาสก้าของรัสเซียได้มีบทบาทสำคัญในช่วงเกิดสงครามไคร์เมีย (Crimean War) เมื่อกองทัพเรือของฝรั่งเศสเข้าปิดล้อมฐานทัพในตะวันออกไกลของรัสเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ Petropavlovsk-Kamchatsky บริษัทฯ ได้ส่งกำลังสนับสนุนจากอลาสก้าไปให้กองเรือตะวันออกไกลของรัสเซีย (Russian Far East)" (นี่คือหนึ่งในความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯในสมัยนั้น)
    เป็นการเหมาะสมแล้วที่จะกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัสเซีย เหล่าผู้นำทางความคิด และนักยุทธศาสตร์ทางทหารได้เน้นย้ำความสำคัญทางการเมืองเชิงภูมิศาสตร์ของอลาสก้าอยู่บ่อยครั้งว่า: ฐานที่มั่นในอเมริกาเหนือทำให้รัสเซียสามารถรักษาพื้นที่ในแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือเอาไว้ได้ และเอื้อเป็นประโยชน์ต่อรัสเซียในการพัฒนาด้านการเมืองและเศรษฐกิจมานานหลายทศวรรษ
    อ้าว… เผลอคุยนอกเรื่องด้วยการให้ข้อมูลเสริมมากไปหน่อย หมดพื้นที่ซะแล้ว... เลยแปลไม่จบเลย งั้นขอต่ออีกตอนหนึ่งนะครับจากเดิมทีคิดว่าจะแบ่งเป็น 2 ตอน กลายเป็น 3 ตอนซะแล้ว ขออภัยด้วยขอรับ... โปรดติดตามตอนต่อไป อีกครั้ง คริๆ
    The Eyes
    08/08/2558

    ภาพจาก © Flickr/ Teddy Llovet

    ----------
    Untold Story of Alaska Purchase: Why Did Russia Sell Its Stronghold to US? / Sputnik International
    https://en.wikipedia.org/wiki/Alaska
    https://en.wikipedia.org/wiki/Crimean_War
    https://en.wikipedia.org/wiki/Kingdom_of_Sardinia
    https://en.wikipedia.org/wiki/Russian-American_Company
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช ( https://www.facebook.com/fisont?fref=ts )
    ประวัติศาสตร์ที่ถูกลืมในการซื้ออลาสก้า: เหตุผลว่าทำไมรัสเซียถึงขายจุดยุทธศาสตร์ของตนให้สหรัฐฯ? (ตอนที่3/3)

    [​IMG]


    -------------
    ตอนที่สามทำใจยากมากกว่าจะแปลได้ (อย่าใส่อารมณ์ของผู้แปลเข้าไปด้วยสิแอ็ดมิน "facts" ท่องไว้ จะแน่ใจได้อย่างไรว่าเป็น facts ล้วนๆ เพียวๆ ไม่มีการบิดเบือน? นั่นสิ...) ไหนๆก็ไหนๆแล้ว กัดฟันแปลให้จบไปเลย ดูซิว่าหมอนั่นจะพูดอย่างไรบ้าง ตอนที่แล้วมีนักประวัติศาสตร์หน้าละอ่อนวัย 20 ปีเขียนหนังสือเกี่ยวกับอลาสก้าชื่อว่า "Alaska Betrayed and Sold: The History of a Palace Conspiracy" ซึ่งฟังดูเหมือนมีกลิ่นตุๆบางอย่างโชยออกมาตามที่ได้กล่าวไว้ในช่วงสุดท้ายของตอนที่สอง มาดูซิว่าไอ้เจ้า "การสมคบคิดภายในพระราชวัง" (Palace Conspiracy) ของรัสเซียในสมัยนั้นเกี่ยวกับการขายอลาสก้าให้สหรัฐฯจะมีอะไรที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนอย่างไรบ้าง คำว่า "Conspiracy" แปลว่า "การสมรู้ร่วมคิด การสมคบคิด การกบฎ" สมัยนี้เรามักจะได้ยินคำว่า "ทฤษฎีสมคบคิด" กันอยู่บ่อยๆ ถ้าทำคนเดียว คิดคนเดียว เขาจะไม่เรียกว่าสมคบคิดเด็ดขาด ดังนั้นการที่นาย Ivan Mironov เลือกที่จะใช้คำว่า "conspiracy" จะต้องหมายถึงว่ามีการคบคิดกันในการขายอลาสก้าให้สหรัฐฯตั้งแต่สองคนขึ้นไป ถึงจะเรียกว่า "สมคบคิด" ได้ คำถามก็มีอยู่ว่า แล้วใครสมคบคิดกับใคร? ชื่อหนังสือเขาแง้มไว้ครึ่งหนึ่งแล้วว่า "พระราชวัง" ของรัสเซียในสมัยนั้น อ๊ะ! เป็นไปได้หรือ? แล้วคนๆนั้นเป็นใครกันหละ? และจริงหรือเปล่า? มาลองหาคำตอบกันดูนะครับ แล้วเราค่อยเม้าท์ตบท้ายกันอีกที
    + การยกมอบอลาสก้า: ประวัติศาสตร์ของการทรยศและการสมคบคิดในพระราชวัง (Alaska's Cession: History of Betrayal and Palace Conspiracy)
    -------------
    ดังนั้น แล้วอะไรคือรากลึกของสาเหตุการตัดสินใจที่ไม่สามารถอธิบายได้ในการขายอลาสก้า? นักประวัติศาสตร์ (นาย Ivan Mironov?) ลงความเห็นว่ามันก็คือ "ความละโมบโลภมากและการทุจริตคอรัปชั่น" อย่างไรเล่า (จริงดิ? นายกล้าฟันธงได้ขนาดนั้นเลยหรือ?)
    (ในหนังสือของ Ivan Mironov กล่าวเอาไว้ว่า...) "ในปี 1857 Grand Duke Konstantin พระอนุชาพระองค์ที่สองของพระเจ้าจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่สอง (ของรัสเซีย) ได้เริ่มแผนการมุ่งเป้าไปที่การมอบอลาสก้าให้กับสหรัฐฯ เนื่องจากเห็นว่าบริษัทร่วมทุนรัสเซียกับอเมริกาเป็นอุปสรรคใหญ่ขวางกั้นแผนการดังกล่าว Grand Duke Konstantin ได้มีความพยายามที่จะทำลายบริษัทนี้ให้ได้ ใช้มาตรการที่หลากหลายวิธีซึ่งรวมถึงสิ่งที่พวกเราในปัจจุบันนี้เรียกว่า 'สงครามข่าวสารข้อมูล' (information war) หลังจากได้รับแรงกดดันมาเป็นเวลาหลายปี บริษัทก็ได้เห็นถึงความสูญเสียทางการเงินที่ชัดเจน และบรรดาผู้ถือหุ้นทั้งหลายได้ถูกตัดสิทธิ์ออกจากการบริหารบริษัท" (จริงหรือ?)
    Ivan Mironov เน้นย้ำว่า มีเพียงแค่ 6 ในรัฐบาลรัสเซียที่รับรู้ถึง (/มีส่วนร่วมใน) แผนการของ Konstantin แผนการนี้ได้บีบให้พระเจ้าจักรพรรดิขายอลาสก้าออกไป โดยอ้างถึงการล้มละลายของบริษัทร่วมทุนระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯ และภาระอันหนักอึ้งของค่าใช้จ่ายที่จักรวรรดิใช้ในการสนับสนุนสินทรัพย์ในอเมริกาเหนือ
    การมอบโอนอลาสก้าถูกปิดบังและเต็มไปด้วยความลับ และข้อความในสนธิสัญญาไม่ได้รับการตีพิมพ์อยู่นาน Mironov ได้เปิดเผยปริศนาลึกลับว่า ทองคำของอเมริกาจมอยู่ที่ไหนซักแห่งในทะเลบอลติก โดยอ้างถึงเอกสารในจดหมายเหตุ Mironov กล่าวอ้างว่า เพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลง จึงได้มีการโอนเงินไปยังธนาคารหลายแห่งของชาวยุโรป และหลังจากนั้นก็รวมกับบริษัทต่างๆของ Grand Duke Konstantin ในที่สุดกระทรวงการคลังของรัสเซียก็แทบจะไม่ได้รับอะไรจาก (การขาย) อลาสก้าเลย นาย Mironov เน้นย้ำ (มีแต่คำกล่าวอ้างแต่ไม่มีหลักฐานใดๆบ่งชี้ว่ามีการโอนเงินไปยังธนาคารของ/ในยุโรป และหากมีเงินเหล่านั้นเป็นมูลค่าของการขายอลาสก้าหรือว่าเป็นเงินที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจทั่วไปของบริษัทร่วมทุนรัสเซียกับอเมริกา หากไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนก็ยากที่จะเชื่อถือในทฤษฎีนี้ได้)
    นาย Ivan Mironov กล่าวต่ออีกว่า บรรดาผู้ถือหุ้นเอกชนในบริษัท Russian American Company ซึ่งได้ลงทุนในอลาสก้ามาเป็นระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษ ถูกทิ้งไว้ในความหนวเย็น (ที่อลาสก้า) สินทรัพย์ของพวกเขาถูกส่งต่อให้กับสหรัฐฯ ในขณะที่บริษัทไม่ได้รับค่าชดเชยใดๆเลย (ก็ไหนบอกว่าล้มละลายไง แล้วจะเรียกค่าชดเชยได้อย่างไร? "การลงทุนย่อมมีความเสี่ยงเสมอ อยู่ที่การตัดสินใจของท่านเอง" ก็เหมือนกับนักเล่นหุ้น ถ้าได้ก็ชอบใจ ถ้าเสียแล้วจะไปโวยวายเอากับตลาดหลักทรัพย์หรือรัฐบาลของประเทศนั้นๆได้รึ? นาย Ivan Mironov นี่พูดเป็นลิเกไปได้)
    นาย Ivan Mironov (สื่อฯรัสเซียพยายามให้เครดิตเขาด้วยการเรียกเขาว่านักประวัติศาสตร์ แต่ผู้แปลอ่านดูแล้วยังไม่คิดว่างานเขียนของเขาจะใสสะอาดอย่างแท้จริงสักเท่าไร จึงขอเรียกชื่อเขาแทนคำว่านักประวัติศาสตร์ก็พอ) ได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า "มีข้อบกพร่องที่แปลกประหลาดอยู่อย่างหนึ่งในสนธิสัญญา: ข้อตกลงในการโอนมอบ (อลาสก้า) ไม่ได้เป็นไปในลักษณะตามรูปแบบดั้งเดิมของรัสเซีย 'จากตรงนี้ตลอดนิรันดร์' (from here to eternity) ซึ่งอาจจะอ้างถึงข้อเท็จจริงที่ว่า อลาสก้าได้ถูกโอนให้กับสหรัฐฯ 'ตลอดไป' (forever) นั่นหมายความว่าวันหนึ่งอลาสก้าอาจจะกลับมาเป็นของรัสเซียอีกครั้ง" (แม้เริ่มต้นจะไม่ค่อยสวยเท่าไร แต่ตอนสุดท้ายนี้ก็ยังช่วยรักษาหน้ารัสเซียเอาไว้ได้)
    + วิเคราะห์
    -------------
    ในมุมมองของนาย Ivan Mironov เขาพยายามหาเหตุผลสนับสนุนการขายอลาสก้าให้สหรัฐฯว่ามีสาเหตุมาจาก Grand Duke Konstantin ซึ่งเป็นพระอนุชาของสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่สองสมคบคิดกับนัการเมือง 6 คน ในรัฐบาลรัสเซียในสมัยนั้นยุให้พระเจ้าซาร์ขายให้สหรัฐฯ ซึ่งข้อมูลนี้คิดว่าเป็นข้อมูลใหม่เหมือนแต่งขึ้นมาใหม่เพื่อหาแพะรับบาปหรือเปล่า? เพราะว่าตอนนี้สถาบันกษัตริย์ของรัสเซียไม่มีแล้ว ไม่มีใครที่พอจะออกมาแก้ต่างให้ได้ บวกกับมีความพยายามในการปลุกกระแสนำสถาบันกษัตริย์ของรัสเซียที่ยังมีเชื้อพระวงศ์หลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน (สองสาย เคยเล่าให้ฟังแล้ว) กลับมาอีกครั้ง อาจจะเป็นความพยายามของรัสเซียเพื่อตัดกระแสนี้ภายในรัสเซียเองก็ได้ จึงโยนเรื่องนี้ไปที่สถาบันฯซะเลย แต่ก็ไม่ได้เหมาหมดว่าเป็นความคิดของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่สอง
    ข้อสังเกตก็มีอยู่ว่า ก็เมื่อรัสเซียได้ผลประโยชน์มากมายจากอลาสก้าแม้ตอนท้ายเศรษฐกิจไม่ดี เพราะนำรายได้บางส่วนไปใช้ในสงครามไคร์เมียในสมัยนั้นด้วย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ารัสเซียจะนำรายได้แต่เฉพาะจากอลาสก้าไปถมสงครามไคร์เมียซะเมื่อไหร่ ต้องใช้งบประมาณทั้งประเทศอยู่แล้ว การล้มละลายของบริษัทฯร่วมทุนไม่น่าจะมีสาเหตุมาจากเรื่องของสงครามไคร์เมียเพียงอย่างเดียว และที่สำคัญเมื่อขายไปแล้วตอนแรกบอกว่าขายด้วยทองคำ แต่เรือขนทองคำที่เดินทางกลับมายังรัสเซียกลับล่มในทะเลบอลติกรัสเซียจึงไม่ได้รับค่าขายที่ดิน แต่ Ivan Mironov ก็บอกอีกว่า Grand Duke Konstantin ได้รับเงินจากการขายอลาสก้าซึ่งสหรัฐฯยอมจ่ายให้อีกครั้งด้วยการโอนเงินไปยังธนาคารในยุโรป แล้วก็กลับมารวมกันที่บัญชีบริษัทของ Grand Duke Konstantin อีกที ทางการของรัสเซียในสมัยนั้นจะไม่สามารถตรวจสอบได้เลยหรือว่ามีความผิดปรกติบางอย่างหากเป็นเช่นที่นาย Ivan Mironov ว่ามา?
    Grand Duke Konstantin มีตำแหน่งเป็นถึงผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพเรือรัสเซียในสมัยนั้น (admiral of the Russian fleet) ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิรูปกองทัพเรือของรัสเซียให้ทันสมัยก็ว่าได้ เป็นบุคคลที่มีความโดดเด่นในการปลดปล่อยข้าแผ่นดิน (Serfs เหมือนระบบทาสของพวกผู้มีฐานะเจ้าของที่ดินทั้งหลาย) เนื่องจากแนวความคิดในการเลิกทาสของรัสเซียในสมัยนั้นทำให้พระเจ้าจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่สองถูกลอบปลงพระชนม์ และ Grand Duke Konstantin ก็ถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีอย่างหนัก เพราะอเล็กซานเดอร์ที่สาม (ซาร์องค์ใหม่ของรัสเซียลูกชายของอเล็กซานเดอร์ที่สอง) มีความเห็นขัดแย้งกับ Grand Duke Konstantin ในเรื่องเลิกทาส จึงมีการปลด Grand Duke Konstantin ออกจากตำแหน่งทางการเมืองทั้งหมด อ่านดูประวัติแล้วไม่น่าจะใช่บุคคลที่ทรยศชาติอย่างที่นาย Ivan Mironov พยายามกล่าวหาเลย
    ที่อลาสก้านั้นรัสเซียแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงไปดูแลกิจการของบริษัทร่วมทุนระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯ ทั้งหมดถึง 14 คนตั้งแต่ปี 1747 - 1867 มีการสำรวจทรัพยากรต่างๆ มีการทำการค้าได้กำไรมากมาย แน่นอนว่าย่อมต้องพบบ่อน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติด้วย ข้อมูลเพิ่มเติมจาก akhistorycourse.org บอกว่าหลังจากที่รัสเซียปกครอง Alaska มาเป็นเวลาถึง 125 ปีรัสเซียไม่ได้ทำการสำรวจปิโตเลี่ยมและพัฒนาเลย ต่อมาหลังจากที่สหรัฐฯซื้ออลาสก้าจากรัสเซียในปี 1867 แล้ว 23 ปีต่อมา (1890s) สหรัฐฯก็อ้างว่าได้ค้นพบแหล่งน้ำมันดิบบน Iniskin Peninsula ทางชายฝั่งตะวันตกของ Cook Inlet ขึ้นเป็นครั้งแรก และได้ทำการขุดเจาะสูบน้ำมันดิบขึ้นมาขายในปี 1898
    เป็นไปได้ไหมว่าสหรัฐฯรู้ว่าใต้ดินและใต้น้ำทะเลของอลาสก้ามีทองคำสีดำซุกซ่อนอยู่เป็นจำนวนมาก แทนที่จะแบ่งกับรัสเซียก็หาทางกินรวบแต่ผู้เดียวไม่ดีกว่าหรือ? จากนั้นก็หาทางบีบ Grand Duke Konstantin ที่รู้ความลับเรื่องนี้ให้หลุดจากตำแหน่งซะ จะได้ไม่มีอิทธิพลทางการเมืองในรัสเซียและเป็นก้างขวางคอของสหรัฐฯในอลาสก้าอีกต่อไป
    และที่สำคัญอีกสาเหตุหนึ่งที่สหรัฐฯต้องการจะได้อลาสก้าก็เพราะว่าเพื่อกันรัสเซียออกไปจากแผนดินทวีปอเมริกาให้มากที่สุดด้วย ถ้ามีกองทัพของมหาอำนาจประเทศใดๆ อยู่ใกล้อเมริกาย่อมไม่รู้สึกปลอดภัยแน่ เมื่ออเมริกาได้อลาสก้าแล้วก็ง่ายที่จะกันไม่ให้รัสเซียแผ่ขยายอำนาจกลับมายังทวีปอเมริกาได้อีก และเป็นการประกบแคนาดาเอาไว้ทั้งด้านเหนือและด้านใต้ด้วย อีกเหตุผลหนึ่งก็คือเพื่อเปิดทางให้กองทัพเรือของสหรัฐฯสามารถเดินทางไปยังมหาสมุทรอาร์ติกทางขั้วโลกเหนือได้โดยสดวกด้วย ถ้าอลาสก้ายังเป็นของรัสเซีย อเมริกาจะไม่มีทางขยายอำนาจไปยังขั้วโลกเหนือได้โดยง่ายแน่ หากอ้อมไปอีกทางคือทางมหาสมุทรแอ็ดแลนติกเหนือผ่านกรีนแลนด์และอ่าว Baffin Bay ก็จะใช้เวลาในการเดินทางที่นานและไกลมากผ่านทะเล Berring Sea ไปยังทะเล Chukchi Sea ที่กั้นระหว่างรัสเซียกับอลาสก้าทั้งสองด้าน นี่ถือว่าเป็นอีกหนึ่่งจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของฝ่ายที่ครอบครองอลาสก้าเลยก็ว่าได้
    จะเกิดอะไรขึ้นหากรัสเซียสามารถทวงอลาสก้าคืนจากสหรัฐฯได้? นั่นหมายความว่าข้าวหลามยักษ์ทั้งหลายก็จะถูกนำเข้าไปติดตั้งในอลาสก้าจ่อคอหอยอันธพาลโลกทันที แคนดาที่ซ่ามากๆตามลูกพี่ก็จะหงอยเป็นไก่ป่วยตามไปด้วย ไหนจะเรือดำน้ำติดหัวรบนิวเคลียร์ที่จะเข้าไปประจำการในน่านน้ำอลาสก้าอีกเล่า
    อ้อ… มีข่าวไม่ใช่เฉพาะอลาสก้าเท่านั้นนะที่รัสเซียต้องการจะเอาคืนจากสหรัฐฯ ต่อไปอาจจะรวมไปถึง Fort Ross ที่ California ด้วยก็ได้ ซึ่งเคยเป็นอาณานิคมของรัสเซียมาก่อนจนถึงปี 1821 ก่อนที่จะตกเป็นของอเมริกาในภายหลัง ด้วยการส่งคนของตัวเอง (อเมริกาและอังกฤษ) เข้าไปอยู่ให้มากๆ จากนั้นก็ปลุกกระแสแบ่งแยกดินแดนจากเม็กซิโก ประกาศเป็นรัฐอิสระ แล้วก็มารวมเข้ากับสหรัฐฯในภายหลัง (นิสัย) Fort Ross ก่อตั้งขึ้นในปี 1808 คำสั่งของ Alexander Baranov ซึ่งเป็นผู้นำ (ประธาน) บริษัท Russian-American Company และเป็นผู้ว่าฯ ของ Alaska ในสมัยนั้น แต่การทวง Fort Ross นี่คิดว่าคงจะยากซักหน่อย รัสเซียคงจะขู่ไว้อย่างนั้นแหละ และเพื่อให้อเมริกันชนรุ่นหลังได้รู้ว่า พื้นที่ตรงนี้เคยเป็นของรัสเซียมาก่อนที่จะตกอยู่ในมือของอเมริกาในทุกวันนี้ รัสเซียคงจะรอให้อเมริกาแตกแยกภายในซะก่อน จากนั้นค่อยว่ากันอีกทีหนึ่ง
    - จบ -
    The Eyes
    08/08/2258

    ภาพจาก © Flickr/ Teddy Llovet

    ----------
    Untold Story of Alaska Purchase: Why Did Russia Sell Its Stronghold to US? / Sputnik International
    https://en.wikipedia.org/wiki/Alaska
    https://en.wikipedia.org/wiki/Crimean_War
    https://en.wikipedia.org/wiki/Kingdom_of_Sardinia
    https://en.wikipedia.org/wiki/Russian-American_Company
    http://www.akhistorycourse.org/articles/article.php…
    http://todiscoverrussia.com/russian-mark-on-american-soil-…/
    https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_Russian_rulers
    https://en.wikipedia.org/wiki/Alexander_II_of_Russia
    https://en.wikipedia.org/wiki/Fort_Ross,_California
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช ( https://www.facebook.com/fisont?fref=ts )
    เรื่องนี้ต้องขยาย... 12:0! นักบินรบอินเดียขับ Su-30MKI Flanker ของรัสเซียทำ dogfight ชนะเครื่องบินรบ Eurofighter Typhoon ของอังกฤษในการซ้อมรบร่วมกัน เฮ้อ… เสียใจด้วยนะโปรตะวันตก คริๆ
    -------------
    ว่าจะพักแล้วนะนี่ พอตระเวนข่าวเล่นๆ ไปสะดุดตาข่าวนี้เข้าให้ จึงลองอ่านเล่นๆไป อื้ยยยย! ไม่ธรรมดาซะแล้ว แบบนี้ต้องเล่า ต้องขยาย จึงเก็บมาฝากแฟนเพจให้ร่่วมสะใจด้วยกันอีกซักครั้งนะครับ
    ข่าวมีอยู่ว่า... กองทัพอากาศอังกฤษ (Royal Air Force - RAF) ท้าดวลกับกองทัพอากาศอินเดีย (Indian Air Force - IAF) โดยอังกฤษส่งเครื่องบินรบ Eurofighter Typhoon FGR4 ขึ้นท้าประลองจำนวน 3 ลำ ฝ่ายอินเดียบอว่าขอใช้ Su-30MKI Flanker ที่ซื้อมาจากรัสเซียในการดวลกันครั้งนี้แค่ 4 ลำ 2 ฝูงบินก็พอ นักบินรบอังกฤษมองหน้านักบินรบอินเดียพร้อมด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก กระหยิ่มอยู่ในใจว่าเสร็จแน่อดีตเมืองขึ้นของอังกฤษเอ๋ย กล้าดียังไงมาทาบอังกฤษนักปล้นเพชรอินเดียที่เอาถวายพระราชินีอังกฤษแล้วบอกว่าเป็นเครื่องบรรณาการจากอินเดีย อินเดียพยายามทวงคืนก็ไม่ยอมคืน แล้วเอ่ยถามไปยังนักบินของอินเดียว่า "แน่ใจหรือน้อง?" ฝ่ายอินเดียที่ฝึกเทคนิคชั้นเลิศชั้นครูมาจากรัสเซียพูดแบบถ่อมตนว่า "ไม่ค่อยไม่ใจเท่าไรนะเซอร์! (ว่าพี่อังกฤษจะเอาชนะอินเดียได้หรือไม่ ฮี่ๆๆ อันนี้อินเดียนึกในใน) แต่ลองซักตั้งก็ดีนะเซอร์! อินเดียไม่ขัดศัทธาอยู่แล้วเซอร์!" (เมื่ออังกฤษร้องขอมา อินเดียก็ไม่ปฏิเสธ แล้วเป็นยังไงบ้าง? ต้องอ่านครับท่าน)
    เมื่อวานนี้ (7 ส.ค.58) สำนักข่าว Sputnik news ของรัสเซียพาดหัวข่าวว่า "War of Words Breaks Out Over India and UK Air Battles" (สงครามน้ำลายระเบิดออกมาเหนือสนามรบระหว่างกองทัพอากาศอินเดียกับอังกฤษ)
    ส่วน RT news ของรัสเซียเช่นกันพาดหัวข่าวว่า "Red-faced RAF ‘outgunned’ by Indian pilots flying Russian SU-30MKI Flanker jets in joint exercise" (กองทัพอากาศแห่งราชอาณาจักรอังกฤษหน้าแดงเผือด (หมายถึงอับอาย) หลังโดนนักบินรบอินเดียเอาชนะด้วยการขับเครื่องบินรบ SU-30MKI Flanker ของรัสเซียในปฏิบัติการซ้อมรบร่วมกัน) (เอ่อ… พยามหาข่าวนี้จากบีบีซีกับซีเอ็นเอ็น ไม่เจอนะครับ ไม่ได้หมายความว่าที่หาไม่เจออาจจะเป็นเพราะว่าเขาไม่ลงข่าวเพราะไม่เป็นความจริงนะ แต่ไม่ลงเพราะอับอายยยยย มั๊ง? คริๆ)
    Sputnik news เกริ่นนำว่า "สงครามคำพูดได้แตกออกมาเหนือชุดเกมสงครามกระชับมิตรภาพ ระหว่างกองทัพอากาศอังกฤษกับกองทัพอากาศอินเดียซึ่งขับเครื่องบินรบที่ผลิตโดยรัสเซีย รายงานข่าวบอกว่าอินเดียชนะขาด 12-nil ในการต่อสู้จำลอง (ที่ไหนครับคุณนักข่าวรัสเซีย?) เหนือน่านฟ้าอังกฤษ (ครับ)" (อุแม่จ้าวววว! ทีมเยือนชนะเจ้าถิ่น! แล้วนากยกฯคาเมรอนจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนหละนี่? อ้อ… สงสัยว่าตอนนี้คงจะไม่ว่างดูการซ้อมรบทางอากาศระหว่างอังกฤษกับอินเดีย คงจะเอาหน้าไปซุกอยู่ในอุโมงค์ยูโรคอยจับตาดูพวกผู้อพยพผิดกฎหมายจากชาวแอฟริกันจากฝรั่งเศสเข้าไปในอังกฤษอยู่หละมั๊ง? คริๆ)
    รายงานข่าวอ้างคำพูดของ RAF (อังกฤษ) ว่า "ปฏิบัติการซ้อมรบสองสัปดาห์พบว่าเครื่องบินรบ Su-30MKI Flanker fighters จำนวน 4 ลำจาก 2 ฝูงบินของ IAF ออกบินจากตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียไปยังฐานทัพอากาศ RAF Coningsby ของอังกฤษทางตะวันตกเฉียงเหนือ Boston, Lincolnshire เพื่อเข้าร่วมฝึกกับเครื่องบินรบ Typhoon FGR4 ของอังกฤษจำนวน 3 ฝูงบิน (ไม่ได้บอกจำนวน)" ปฏิบัติการซ้อมรบระหว่างอินเดียกับอังกฤษในครั้งนี้ (Indo-UK exercise) มีชื่อว่า "Operation Indradhanush"
    RAF ของอังกฤษออกแถลงการณ์ว่า "การซ้อมรบได้เปิดโอกาสที่หาได้ยากสำหรับนักบิน RAF เพื่อทดสอบตนเองกับเครื่องบินรบรุ่นที่ 4 ที่สร้างโดยรัสเซีย (fourth generation)" (12-0 นี่นะ? คราวนี้รู้หรือยังว่า made in Russia เป็นอย่างไร?)
    รายงานข่าวบอกว่า หลังจากการฝึกซ้อมแล้ว IAF ได้ออกแถลงการณ์โดยกล่าวว่า " 'หลังจากที่ได้สัมผัสท้องฟ้าอันทรงเกียรติ' (Touching the Sky With Glory) เพื่อให้สอดคล้องกับคติประจำใจของกองทัพอากาศอินเดียที่ว่า 'Nabhah Sparsham Deeptam' บัดนี้เหล่านักรบอากาศของ IAF ได้เตรียมพร้อมที่จะเดินทางกลับบ้าน หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกซ้อมทางอากาศระหว่าง Indo-UK อย่างสมบูรณ์ (successful completion) Indradhanush" (ในศาสนาฮิดูเขาเรียกสายรุ้งว่า Indradhanush หมายถึงคันธนูของพระอินทร์ซึ่งเชื่อว่าเป็นเทพเจ้าแห่งแสง สายฟ้า และฝน ส่วนอีกตำนานหนึ่งกล่าวว่ารุ้งกินน้ำคือคันธนูของพระราม ซึ่งเป็นอวตารของพระพระนารายณ์หรือบางครั้งเรียกว่าพระวิษณุ - Vishnu)
    อย่างไรก็ตามการรายงานจากสื่อฯก็เริ่มต้นด้วยการเล่นข่าวซ้ำและแต่งแต้มด้วยภาพที่แสดงออกถึงความร่าเริงเบิกบานใจ (เหมือนจะบอกอะไรบางอย่างกับอังกฤษหนะ เป็นธรรมดาของกองเชียร์ ฮ่าๆๆ) สำนักข่าวโทรทัศน์ NDTV ของอินเดียรายงานว่า "ในบางช่วงของการซ้อมรบทางอากาศที่ดุเดือดระดับนานาชาติเท่าที่กองทัพอากาศอินเดียเคยมีมา นักบินรบ IAF ซึ่งบินด้วยเครื่องบินรบ Sukhoi Su-30 MKI ได้คะแนน 12-0 ที่ดังกึกก้อง (a resounding 12-0 scoreline) ที่สามารถเอาชนะเครื่องบินรบ Typhoon ของกองทัพอากาศแห่งราชอาณาจักรอังกฤษมาได้ ในปฏิบัติการต่อสู้ระยะประชิดในระดับสายตา (Within Visual Range (WVR) dogfighting operations)" (อังกฤษได้ยินเข้าก็นั่งกัดฟันกรอดๆๆ... ฮึ่มมมมม เอาเชียะ)
    แหม… งานนี้สื่อฯรัสเซียไม่ยอมพลาดเด็ดขาด เข้าใจเล่นซะด้วย สำนักข่าว NDTV ยังกล่าวอีกว่า "หลังจากซ้อมรบทางกองทัพขนาดใหญ่ (Large Force Exercises - LFE) ซึ่งให้ความสำคัญไปที่การจัดขบวนร่วมระหว่าง Eurofighter Typhoon กับ Su-30 นั้น เครื่องบินรบของกองทัพอากาศอินเดียเป็นอะไรที่ไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จสักเท่าไรนัก ที่อยู่เหนือระดับของเครื่องบินรบ Typhoon ได้อย่างต่อเนื่อง" (โอ้โห... เจ็บอ่ะ อินเดียบอกว่า 12-0 ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จเป็นที่พอใจสักเท่าไร อังกฤษได้ยินป๊ะ? เขาตั้งเป้าเอาไว้เท่าไหร่หละนี่?)
    สื่อฯอินเดียก็ไปสัมภาษณ์กัปตัน Ashu Srivastav หัวหน้ากลุ่ม ซึ่งเป็นผู้ควบคุมฝูงบิน (Contingent Commander) ในการซ้อมรบในครั้งนี้ได้กล่าวว่า "ในการซ้อมรบทำ dog fighting ทั้งหมดนั้น เครื่องบินรบ Sukhois ของกองทัพอากาศอินเดียสามารถตีโค้งเข้าไปหาเครื่องบินรบ Typhoon ที่ปราดเปรียวมากๆซึ่งใช้เครื่องยนต์ thrust-vectored engines ของพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว เพื่อทำให้เครื่องบินรบของ RAF ล็อกอยู่ในสายตาของนักบินอินเดีย" (กัปตันอินเดียกำลังจะบอกว่าใช้เทคนิคอะไรบ้างถึงเอาชนะอังกฤษได้)
    รายงานข่าวบอกว่า "Su-30 มีระบบค้นหาด้วยอินฟราเรดชั้นสูงและระบบติดตาม ( Infrared Search and Track System - IRST) ซึ่งเป็นเซ็นเซอร์แบบแพสซีฟ (passive sensor) ที่ไม่สามารถค้นหาติดตามได้ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์อย่างแท้จริงสำหรับนักบินรบของกองทัพอากาศอินเดีย ในการประลองยุทธ์ต่อสู้กันในระยะประชิด"
    สื่อรัสเซียนี่ก็แสบใช่ย่อยนะ Sputnik news กล่าวว่า "อย่างไรก็ตาม การคุยโม้โอ้อวดนี้ก็ได้พบกับความงงงวยเข้าจนได้ สำนักข่าว Forces TV (ของอังกฤษ) ได้อ้างคำพูดของโฆษกกองทัพอากาศอังกฤษที่นำเสนอการตอบโต้อย่างสุภาพจากฝั่งอังกฤษต่อคำกล่าวอ้างของฝั่งอินเดียว่า: การวิเคราะห์ของพวกเราไม่ตรงกันกับสิ่งที่ได้รายงานออกไป นักบิน RAF และเครื่องบินรบ Typhoon ได้มีปฏิบัติการที่ดีตลอดการฝึกซ้อม ทั้งร่วมกันและต่อสู้กันกับกองทัพอากาศของอินเดีย"
    คุณโฆษกกองทัพอากาศของอังกฤษกล่าวต่ออีกว่า "ทั้งสองประเทศได้เรียนรู้การปฏิบัติที่ยอดเยี่ยมจากการซ้อมรบและ RAF รอยคอยโอกาส (แก้มือล้างอาย คริๆ) ครั้งหน้าในการฝึกร่วมกันกับ IAF อีกครั้ง" (ฮิ้ววววว! ช่างกล้าพูดน้อว่า "การวิเคราะห์ของเราไม่ตรงกับรายงานของอินเดีย" แต่อังกฤษก็ไม่ได้บอกว่าแพ้ไปเท่าไร จริงๆแล้วอาจจะเป็น 24-0 ก็ได้ ฮี่ๆๆ อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าตรงใช่ป๊ะ? อินเดียเขาก็ไม่ได้บอกว่านักบินทั้งสองฝ่ายไม่ได้ปฏิบัติอะไรที่ไม่ดีต่อกันซะที่ไหนเล่า เขาบอกแค่ว่า 12-0 เท่านั้นเอง และก็ยังชมอังกฤษด้วยประมาณว่าบินได้เก่งนะ แต่อ่อนกว่าอินเดียอ่ะ นั่นแหละที่อยากจะบอก มันเป็นธรรมดาของพวกตะวันตกที่ชอบเบ่ง พอเสียหน้าก็ต้องรีบออกมาแก้ตัว นี่ถ้าอังกฤษเป็นฝ่ายชนะบ้างจะเป็นอย่างไรหละนี่ สื่อฯกระแสหลักคงจะลงข่าวกันทุกช่องแน่ๆ?)
    สื่อฯรัสเซียรายงานว่า สุดท้าย Forces TV ของอังกฤษก็ลงนาม (ยอมรับ) โดยอ้างคำพูดของกัปตันกลุ่ม Srivastav ที่ให้สัมภาษณ์กับ NDTV ของอินเดียว่า "นักบินของอินเดียทำผลงานได้ 'ค่อนข้างดี' (fairly well) แม้ว่าผลของการทดสอบ (quantifying) จะยากก็ตาม"
    เว็บไซต์ของ IAF กล่าวว่า "ความมีน้ำใจอันดี (bonhomie) ระหว่างบุคคลากรของทั้งสองฝั่งเป็นสิ่งพิเศษและในสปิริตที่แท้จริงของการฝึกซ้อมร่วมกันระดับทวิภาคี" (อินเดียเขาก็ไม่ได้เยาะเย้ยนะ ดูสุภาพออก แต่สื่อฯเอาความจริงไปประกาศก้องเอง ก็เลยทำให้ฝั่งอังกฤษไม่ค่อยจะปลื้มสักเท่าไรนัก เอาน่า... สุดท้ายอินเดียก็ออกมาพูดปลอบใจให้นักบินอังกฤษแล้วนะ)
    ส่วนสื่อฯรัสเซียก็หยิกต่ออีกนิดว่า "ที่ว่าน้ำใจอันดีนั้นหนะ มีอยู่เท่าไรหรือ? หลังจากการออกมากล่าวข่มและกล่าวตอบโต้กันยังคงปรากฎให้เห็นอยู่ทนโท่อย่างนี้" (เอากะสื่อฯรัสเซียดิ รับมุกกันดีจริงๆ อ่ะ)
    พอหละ เอาแค่พอหอมปากหอมคอก็พอนะครับ แอ็ดมินเก็บมาฝากแฟนเพจที่น่ารักทุกท่าน อภินันทนาการจากคุณอาย ฮ่าๆๆ
    โปรตะวันตกกับโปรอเมริกาอย่าคิดมากนะ แค่ 12:0 เอง (ฮี่ๆๆ) ส่วนแฟนคลับปูตินก็เก็บอาการหน่อยครับ (กรี๊ดดดด... ให้สนั่นไปเลย)
    ป.ล. ฝรั่งเศสเริ่มเหงื่อตกแหละ ไม่รู้ว่าจะขายเครื่องบินรบ Rafale ออกหรือเปล่า คงจะกำลังภาวนาอยู่ว่าขออย่าให้อินเดียยกเลิกการสั่งซื้อ เครื่องบินรบ Rafale ทั้งหมดเลย หลังจากตอนแรกสั่งซื้อไปทั้งหมด 126 ลำ ต่อมาลดเหลือ 36 ลำ ฝรั่งเศสบอกว่ามีส่วนลดให้อีก 25% เอ้า ช่วยซื้อให้หน่อยนะ แต่ไม่แน่ใจนะว่าจะเป็นเหมือนกรณีของเรือ Mistral ของรัสเซียหรือเปล่า?
    The Eyes
    08/08/2558
    ----------
    Red-faced RAF ‘outgunned’ by Indian pilots flying Russian SU-30MKI Flanker jets in joint exercise — RT UK
    War of Words Breaks Out Over India and UK Air Battles / Sputnik International
    http://www.independent.co.uk/…/indian-air-force-beats-raf-1…
    http://www.ndtv.com/…/indian-air-forces-top-guns-score-wins…
    http://www.ibtimes.co.uk/reports-indian-air-force-pilots-be…
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผู้นำยิวอิหร่านเรียกเนทันยาฮูว่า “หลงผิด” ในเรื่องข้อตกลงอิหร่าน
    ชุมชนชาวยิวในอิหร่านยังคงแสดงออกอย่างเปิดเผยถึงความจงรักภักดีต่อสาธารณะรัฐอิสลาม และการต่อต้านอิสราเอลที่ทำการยึดครองปาเลสไตน์อย่างผิดกฎหมายและก่ออาชญากรรมสงครามอย่างต่อเนื่อง โดย เอบีนิวส์ทูเดย์ - ส.ค. 7, 2015

    [​IMG]

    (ภาพ) ชาวยิวอิหร่านสวดเป็นภาษาฮิบรูระหว่างการรวมตัวกันของชุมชนชาวยิวในอิหร่าน ชาวอิหร่านหลายร้อยคนที่ประกอบด้วยนักศึกษามหาวิทยาลัยและสมาชิกชุมชนชาวยิวได้ชุมนุมกันเพื่อสนับสนุนโครงการนิวเคลียร์ของสาธารณรัฐอิสลามในกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน เมื่อ 19 พฤศจิกายน 2013
    เตหะราน – เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ยังคงรณรงค์เพื่อส่งเสริมการทำสงครามกับอิหร่านต่อไปถึงแม้จะมีข้อตกลงนิวเคลียร์ครั้งประวัติศาสตร์ไปแล้ว แต่เสียงวิจารณ์ที่สำคัญครั้งล่าสุดต่อการวาทะศิลป์ของเขามาจากกลุ่มศาสนาของเขาเอง

    ฮารูน ยาชายาอี ผู้นำชุมชนชาวยิวในอิหร่าน ได้ใช้สื่อในท้องถิ่นเพื่อวิจารณ์ผู้นำอิสราเอลอย่างรุนแรง และแสดงการสนับสนุนข้อตกลงอิหร่าน

    บทความแสดงความคิดเห็นเรื่อง “Your Time Is Over, Mr.Netanyahu” พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ Shargh Daily ของอิหร่าน หลังจากที่ข้อตกลงนิวเคลียร์ถูกประกาศไม่นาน และถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษเผยแพร่ทางเว็บไซต์ IranReview.org เมื่อวันพฤหัสบดี ยาชายาอีซึ่งเป็นประธานของคณะกรรมการยิวเตหะรานแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับเนทันยาฮู

    “เขารีบรุดไปยังวอชิงตันเพื่อเข้าร่วมในการประชุมของสภาคองเกรสของสหรัฐฯ เพื่อขัดขวางข้อตกลงระหว่างอิหร่านกับกลุ่ม P5+1 และเพื่อโฆษณาชวนเชื่อเรื่องโกหกทั้งหมดของเขาเกี่ยวกับชาติอิหร่านและสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน เพื่อให้ตัวแทนล้อบบี้ชาวยิวที่ร่ำรวยในสหรัฐฯ ปรบมือให้เขาและชื่นชมเขา อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีบารัก โอบาม่าไม่ได้พบกับเขา และอีกครั้งหนึ่งที่คนทั้งโลกได้ยินว่า ถึงแม้เนทันยาฮูจะพยายามทำสิ่งต่างๆ ทั้งหมด และถึงแม้จะมีข้อตกลงทางการเงินและทางการเมือง แต่เวลาของเขาหมดไปนานแล้ว ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ระหว่างการเจรจาของอิหร่านกับกลุ่ม P5+1 เกี่ยวกับการยกเลิกการคว่ำบาตรต่อชาติอิหร่านได้มาถึงข้อสรุป นโยบายปัจจุบันของอิสราเอลก็อยู่ในความสับสน

    ไม่มีข้อสงสัยเลยว่า นายกรัฐมนตรีอิสราเอลเป็นคนหลงตัวเองอย่างมาก จนกระทั่งการพัฒนาต่างๆ เหล่านี้ก็ไม่สามารถหันเหเขาจากการติดตามเป้าหมายที่หลงผิดของเขาได้เลย”

    ยาชายาอียังได้กล่าวถึงประเด็น แถลงการณ์เมื่อ 12 กรกฎาคมของนายกรัฐมนตรีต่อคณะรัฐมนตรีอิสราเอล ซึ่งเนทันยาฮูได้กล่าวหาอิหร่านว่ากระทำการ “ก้าวร้าวอย่างรุนแรง” ต่ออเมริกา โดยไม่ใส่ใจต่อการโจมตีอย่างรุนแรงเมื่อเร็วๆ นี้ของอิสราเอลต่อกาซ่า ยาชายาอีตอบโต้ว่า

    “มันน่าประหลาดใจยิ่งนัก ที่รัฐบาลหนึ่งซึ่งยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของแผ่นดินปาเลสไตน์มาตั้งแต่ปี 1967 ที่ไม่เคยปฏิบัติตามมติใดๆ จากสมัชชาใหญ่หรือคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเลย และยังปฏิเสธการระงับการสร้างที่ตั้งถิ่นฐานบนดินแดนยึดครองเพื่อเริ่มต้นการเจรจากับตัวแทนของประชาชนชาวปาเลสไตน์ มายอมให้ตัวเองเรียกประชาชนและรัฐบาลอิหร่านว่าเป็นนักล่าอาณานิคมเพราะพวกเขาปกป้องสิทธิ์ของประชาชนชาวปาเลสไตน์”

    รายงานข่าวจากสื่อของอิสราเอลพยายามปกป้องนายรัฐมนตรีของตนด้วยการอ้างว่า ยาชายาอีอาจจะตีพิมพ์เผยแพร่แถลงการนั้นภายใต้การข่มขู่บังคับ “การแสดงความคิดเห็นของยาชายาอีที่โจมตีอิสราเอลเป็นเรื่องที่แกล้งทำเพื่อเป็นการปกป้องชุมชนชาวยิว ด้วยแสดงตนว่ามีความจงรักภักดี” แอเรียล เบ็น โซโลมอน เขียนใน Jerusalem Post

    ในความเป็นจริง ชนกลุ่มน้อยชาวยิวในอิหร่านได้รับการคุ้มครองอย่างดีตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญของประเทศ และพวกเขาเป็นสมาชิกที่มีความกระตือร้นในสังคมอิหร่าน ตามภาพรวมครั้งประวัติศาสตร์ใน My Jewish Learning :

    “ปัจจุบัน ชาวยิวมีส่วนร่วมในชีวิตทางสังคมและการเมืองของอิหร่าน ชาวยิวหลายคนเข้าร่วมการชุมนุมใหญ่ของชาวอิหร่านเพื่อประท้วงรัฐอิสราเอลใน “วันกุดส์” (วันเยรูซาเล็ม) ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี และระหว่างสงครามอิหร่าน-อิรัก (1980-1988) ชาวยิวอิหร่านสนับสนุนการต่อสู้ในสงครามครั้งนั้นด้วยการบริจาครถพยาบาลและสินค้าอื่นๆ รวมทั้งไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล เยาวชนชาวยิวบางคนยังได้เข้าร่วมในการต่อสู้ และได้รับบาดเจ็บในสนามรบ”

    ตามข้อมูลในบทความที่ตีพิมพ์ใน Washington Post ปี 2013 ยังมีชาวยิวเหลืออยู่ในอิหร่านน้อยกว่า 30,000 คน ลดลงจากจำนวนสูงสุดในประวัติศาสตร์ 100,000 คนก่อนการปฏิวัติอิสลามในปี 1979 โดยรวมแล้ว Json Rezaian จาก the Post รายงานว่า พวกเขาระบุว่าเป็นมาตุภูมิ และภูมิใจในประเทศบ้านเกิดของพวกเขา ดูตัวอย่างได้จาก Ciamak Morsadegh สมาชิกชาวยิวเพียงคนเดียวในรัฐสภาอิหร่าน เขาบอก Rezaian ว่า “เราไม่ใช่ผู้อาศัยในประเทศนี้ เราเป็นชาวอิหร่าน และเราเป็นมา 30 ศตวรรษแล้ว”


    แปลจาก Leader Of Iran’s Jewish Community Calls Netanyahu ‘Delusional’ Over Iran Deal


    เอบีนิวส์ทูเดย์
    abnewstoday | เอบีนิวส์ทูเดย์
    เอบีนิวส์ทูเดย์ยินดีเป็นอย่างยิ่งให้นำข่าวและเนื้อหาอื่นๆ ของเราไปเผยแพร่ แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่จะต้องให้เครดิตกับเอบีนิวส์ทูเดย์สำหรับเนื้อหาทุกชิ้นที่นำไปเผยแพร่

    ผู้นำยิวอิหร่านเรียกเนทันยาฮูว่า “หลงผิด” ในเรื่องข้อตกลงอิหร่าน | abnewstoday
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Nibiru Facts/Elenin Facts/2012/NWO/FEMA/Earth Quakes/T Cyclones etc


    พวกสวัสดี ~~~>>> hi guys,

    โพสต์ต่อไปของฉันทั้งหมดเกี่ยวกับการมาในพลังงานและอะไรที่จะคาดหวังเมื่อ คลื่นกาแลคซี / คลื่น X ได้รับที่โลกนี่ ในวันที่ 28 กันยายน .....
    my next posts are ALL about the in-coming enerGies and the WHAT TO EXPECT WHEN THE "GALACTIC WAVE/WAVE X gets here on the 28th September......
    .
    มั่นใจได้ว่าทุกคนจะได้รับผลกระทบจากคลื่นของพลังงานนี้ จะไม่มีใครสามารถที่จะซ่อนตัวจากมัน นั้นจึง Illuminati / พันธมิตรจึงมีความกลัว "มัน" และต้องการใช้เซิร์นที่จะดูดมัน หรือเบี่ยงเบน "มัน" ไปยังอีก มิติ b4 แมื่อคลื่นที่มีมนต์ขลังมาถึง ........ อีโมติคอนพริบอีโมติคอนหัวใจฮ่าทราบจะเปลี่ยนพวกเรามากเร็วกว่าที่คุณคิดอีโมติคอนพริบ 1 อีโมติคอน หัวใจทุกอีโมติคอนรอยยิ้ม
    be assured that EVERYONE WILL BE AFFECTED BY THIS WAVE of ENERgY, no one will be able to hide from it, hence the illuminati/cabal are afraid of "it" and want to use CERN to suck it in or divert "it" to another dimension b4 this maGical Wave arrives........ อีโมติคอน wink อีโมติคอน heart ha ha, be aware, CHANGE will be upon us muCh sooner than yOu tHink อีโมติคอน wink 1 อีโมติคอน heart to all อีโมติคอน smile

    ........ อ่านข้อมูลก็จะตื่นขึ้น yOu อีโมติคอนยิ้ม
    ........ read the info, it will awaken yOu อีโมติคอน smile
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช ( https://www.facebook.com/fisont?fref=ts )
    โดนเข้าจนได้บทเรียนของสื่อฯบิดเบือนข่าว... รัฐบาลเวเนซูเอล่าไต่สวน CNNE ข้อหารายงานข่าวด้วยข้อมูลเท็จ

    [​IMG]

    ------------
    วันนี้ (8 ส.ค.58) สำนักข่าว Sputnik news พาดหัวข่าวว่า "Venezuela Opens Probe Into CNN Reporting Over False Information" แปลว่า "เวเนซูเอล่าเปิดการไต่สวนรายงานของสำนักข่าว CNN กรณีให้ข้อมูลเท็จ" (Thank you Venezuela!)
    รายงานข่าวบอกว่า คณะกรรมการควบคุมดูแลกิจการโทรคมนาคมของเวเนซูเอล่า (CONATEL telecommunications regulator) ได้กล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า "(รัฐบาลเวเนซูเอล่า) จริงจังกับการให้ข้อมูลเหล่านี้ [รายงานทรัพย์สินอันเป็นเท็จ] และผลกระทบของสื่อฯต่อความคิดเห็นของสาธารณชน คณะกรรมาธิการด้านโทรคมนาคมแห่งชาติของเวเนซูเอล่า ได้เริ่มกระบวนการด้านการบริหารจัดการเชิงลงโทษกับสำนักข่าว CNNE ต่อกรณีการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จ (dissemination of false information) ในดินแดนของประเทศเวเนซูเอล่า" (ว้าววว! รัฐบาลเวเนฯ กลัวอเมริกาซะที่ไหนหละนี่ สื่อฯกระแสหลักของรัฐบาลจักรวรรดิเฮเกอย่าง CNN ที่เข้าไปทำมาหากินในประเทศอื่นแต่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมจึงโดนสั่งสอนกลับบ้าง)
    เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา CNNE (CNN en Español) ของสหรัฐฯในเวเนซูเอล่าได้ออกแถลงการณ์ตระหนักถึงความผิดพลาด (โดยเจตนา?) ของตนและการขออภัยต่อสิ่งที่อ้างว่าเป็นความบกพร่อง (error) ในข้อความที่ปรากฎบนหน้าจอในขณะที่มีการรายงานข่าวเกี่ยวกับการขาดแคลนอาหาร (food scarcity) ในเมือง Maracay และ Valencia ของเวเนซูเอล่าซึ่งเผยแพร่ทางโทรทัศน์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
    รายงานข่าวบอกว่าร้านค้าหลายแห่งในเวเนซูเอล่ามักจะถูกปล้นบ่อยๆ (อ้างว่า) ขาดแคลนอาหารซึ่งมีสาเหตุมาจากวิกฤตเศรษฐกิจภายในประเทศ (หรือว่าสร้างสถานการณ์?)
    รายงานข่าวยังกล่าวอีกว่า "มีการประท้วงหลายครั้งที่มีการใช้ความรุนแรงในระดับสูง อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นและการขาดแคลนสินค้าพื้นฐานเกิดขึ้นทั่วไปในเวเนซูเอล่าระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมิถุนายนเมื่อปีที่แล้ว รัฐบาลเวเนซูเอล่าถือว่าการประท้วงหลายครั้งเป็นความพยายามปฏิวัติและได้จับกุมผู้นำฝ่ายค้านจำนวนมาก (ซึ่งเป็นโปรอเมริกา)"
    (ช่วงนั้นนายโอบาม่าออกประกาศว่าเวเนซูเอล่าเป็นภัยคุกคามของสหรัฐฯ หวังจะล้มรัฐบาลชุดปัจจุบันของเวเนซูเอล่าให้ได้ เนื่องจากต้องการจะเข้าไปฮุบกิจการน้ำมันของเวเนซูเอล่า จึงหาข้ออ้างสารพัดที่จะเข้าไปแทรกแซงเวเนซูเอล่า แต่เวเนซูเอล่าก็ไม่ยอมให้จักรวรรดิเฮเกกดหัวอีกต่อไป จึงรวมพลังกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาต่อต้านจักรวรรดิเฮเก แล้วก็เข้าขอความช่วยเหลือจากปูตินและจีน มันได้ผล จักรวรรดิเฮเกก็เลยหงอย มุกแป๊ก แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม โอบาม่ารีบบินด่วนเข้าขอเจรจากับผู้นำกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา เนื่องจากไม่สามารถทำลายความสามัคคีของลาตินอเมริกาได้ง่ายๆ จึงเบนเข็มไปทางเอธิโอเปียแทน จักรวรรดิเฮเกกำลังจะเอาประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนสไตล์อเมริกาไปแจกแล้ว โชคดีนะเอธิโอเปีย เตรียมตัวรองรับสถานการณ์แบบยูเครนได้เลย)
    The Eyes
    08/08/2558

    ภาพจาก © AP Photo/ Ric Feld,File

    ----------
    Venezuela Opens Probe Into CNN Reporting Over False Information / Sputnik International
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช

    "ชาวอเมริกันจะต่อสู้กันบนแผ่นดินแม่ของตัวเอง หากสหรัฐฯเริ่มทำสงครามกับรัสเซีย" - ผู้เชี่ยวชาญชาวอเมริกันกล่าว

    [​IMG]

    ------------
    ไหนๆก็พูดเล่าข่าวเกี่ยวกับจักรวรรดิเฮเก้แล้วขอต่ออีกซักข่าวนะครับ เมื่อวานนี้อ่านเจอบทวิจารณ์เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องสงครามและสหรัฐฯ เห็นว่าน่าจะสอดคล้องกับเรื่องรัสเซียเตรียมทางคืนอลาสก้าจากสหรัฐฯที่ได้เล่าไปแล้ว 3 ตอนก่อนหน้านี้ ดังนั้นจึงหยิบมาแปลให้ผู้อ่านได้รับทราบเพิ่มเติม เมื่อวานนี้ (7 ส.ค.58) สำนักข่าว Sputnik news พาดหัวข่าวเรื่องหนึ่งว่า "Americans Will Fight on Home Soil if US Starts War With Russia – US Expert" อ่านแล้วต้องอุทานออกมาว่า "Wowww! โอมเพี้ยงๆๆๆ ฮ่าๆๆ" (อุ๊ย ทำไมแอ็ดมินเป็นคนงี้อ่ะ เก็บอาการหน่อยครับ คริๆ)
    Sputnik news เกริ่นนำว่า "ความสัมพันธ์ในปัจจุบันระหว่างสหรัฐฯกับรัสเซียอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเย็น รัสเซียยุคใหม่ไม่ใช่สหภาพโซเวียต นั่นคือเหตุผลว่าทำไมกรุงวอชิงตันควรจะลดวาทกรรมก้าวร้าวของตนที่มีต่อรัสเซียลงซะ" (ฟังดูดีใช้ป๊ะ?)
    "หากสหรัฐฯยังคงดำเนินนโยบายที่ไม่เป็นมิตร (hostile policy) ต่อรัสเซีย กรุงวอชิงตันอาจจะเผชิญหน้าการทำสงครามกับรัสเซีย เวลานี้ มันจะไม่ใช่สงครามตัวแทน (proxy war) อีกแห่งหนึ่งในดินแดนของประเทศอื่นเท่านั้น แต่จะกลายเป็นสงครามอย่างเต็มรูปแบบบนแผ่นดินของอเมริกาเลยหละ (a full-scale war on American soil)" Jack Hanick นักข่าวของสหรัฐฯเขียนในฐานะผู้สังเกตการณ์ (ที่ว่าไม่ใช่สงครามตัวแทนอีกต่อไปหากสหรัฐฯกับรัสเซียประกาศทำสงครามกันจริงๆ นั่นก็ถูก แต่ที่สงสัยก็คือสงครามเต็มรูปแบบบนแผ่นดินอเมริกานี่สิ มันคือยังไง? มีอะไรให้นักข่าวชาวอเมริกันคนนี้มองอย่างนั้น? น่าสนใจใช่ไหมหละ?)
    Hanick กล่าวว่า "นี่ถือว่าเป็นความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ สหรัฐฯจะต้องจ่ายในราคาที่แสนแพงในการทำสงครามและสำหรับการไม่ให้ความเคารพต่อรัสเซีย" (ว้าววว คำพูดตอนหลังนี่แรงอ่ะ)
    Hanick กล่าวต่ออีกว่า "ถ้าสงครามครั้งใหม่เกิดขึ้น รัสเซียจะไม่ปล่อยให้เป็นสงครามตัวแทน ซึ่งสหรัฐฯสนับสนุนด้านอาวุธและที่ปรึกษาไปให้และปล่อยให้ประเทศอื่นๆส่งกองทัพเข้าไปสู้รบในภาคพื้นแทน (lets others do the ‘boots on the ground' combat)"
    นักวิจารณ์ชาวอเมริกันกล่าวต่ออีกว่า "ชาวรัสเซียเข้าใจว่าสหรัฐฯอาจจะไม่เปิดสงครามเต็มรูปแบบบนแผ่นดินของตัวเอง เพราะว่าครั้งสุดท้ายชาวอเมริกันได้ต่อสู้บนสนามหญ้าหน้าบ้านของตัวเองมาแล้วในสมัยสงครามกลางเมือง (Civil War)"
    Hanick ว่าจารณ์ว่า "สื่อฯสหรัฐล้มเหลวในการนำเสนอการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับรัสเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากมุมมองของรัสเซีย การรายงานข่าวที่ครอบคลุมอีกด้านหนึ่งด้วย จะช่วยปกป้องชาวอเมริกันจาการมองและอาจจะเข้าใจข้อโต้แย้งของรัสเซียจากอีกด้านหนึ่ง"
    "ชาวอเมริกันเชื่อว่าชาวรัสเซียได้รับการหล่อเลี้ยงโดยโฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองโดยสื่อฯที่ควบคุมโดยรัฐ... คำกล่าวหานี้ไม่เป็นเช่นนั้น ในกรุงมอสโคว์มีสถานีโทรทัศน์มากกว่า 300 ช่อง มีเพียง 6 ช่องเท่านั้นที่อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของรัฐ ความจริงก็คือว่า ชาวรัสเซียต้องการที่จะรับฟังข่าวจากรัฐมากว่าทางอินเตอร์เน็ทหรือแหล่งข่าวอื่นๆ" Hanick
    "ภาพลักษณ์ของรัสเซียในปัจจุบันนี้ตามสื่อฯต่างๆนำไปสู่ท่าทีที่ก้าวร้าวจากกรุงวอชิงตัน (เขาเห็นกันทั่วโลกนั่นแหละ แต่น้อยคนนักที่จะพูดออกมา จะมีเสียงดังบ้างก็เฉพาะสื่อฯของรัสเซียและจีนเท่านั้น ส่วนสื่อฯตะวันตกก็อยู่ภายใต้อิทธิพลของจักรวรรดิเฮเก้หมดแล้ว) ทั้งพรรครีพับลิกันและดีโมแครทต่างก็พูดจาแข็งกร้าว และมีความเห็นร่วมกันกับนโยบายที่ก้าวร้าวต่อกรุงมอสโคว์" นักวิจารณ์ชาวอเมริกันกล่าว
    (ในขณะเดียวกันสื่อฯกระแสหลักของสหรัฐฯและตะวันตกก็จะชิงใช้คำพูดว่ารัสเซียเป็นผู้ก้าวร้าวแทนในการดำเนินนโยบายต่อต้านรัสเซียที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ แต่รัฐบาลของจักรวรรดิเฮเกกลับมองไม่เห็นความก้าวร้าวของตัวเอง ซึ่งไม่มีประเทศใดในโลกนี้เทียบได้แม้แต่น้อย - ส่วนอันนี้นักวิจารณ์ชาวไทยกล่าว ฮ่าๆๆ)
    Hanick วิจารณ์นโยบายต่างประเทศที่ก้าวร้าวของสหรัฐฯต่ออีกว่า "ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวกล้าที่จะพูดถึงนโยบายทางเลือกอื่นๆ เมื่อ (มีใคร) พูดออกมา คนเหล่านั้นก็จะถูกมองว่าในทันทีทันใดเลยว่าอ่อนแอและ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ด้วยการปลอบโยน โยงไปถึง นโยบายต่างประเทศของอังกฤษในยุค 1930s ที่มีต่อนาซีเยอรมันซึ่งล้มเหลาวในที่สุด"
    นักข่าวสหรัฐฯกล่าวว่า"กรุงวอชิงตันจะต้องไม่ดำเนินตามยุทธศาสตร์สมัยสงครามเย็นแบบเก่าในการต่อต้านกรุงมอสโคว์ รัสเซียสมัยใหม่ไม่ได้เป็นสหภาพโซเวียต ไม่เหมือนกับรัสเซียสมัยก่อน รัสเซียไม่ต้องการจะเอาชนะและครอบครองโลกทั้งหมด รัสเซียไม่แม้แต่จะเรียกร้องการเป็นมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ (supperpower อย่างอเมริกา) ทั้งหมดทั้งมวลที่รัสเซียต้องการก็คือดำรงค์ไว้ซึ่งอัตลักษณ์ประจำชาติของรัสเซียเอง และได้พูดอย่างเป็นธรรมเสมอภาคในการเมืองในภูมิภาค"
    สุดท้าย Jack Hanick นักข่าวสหรัฐฯก็ไม่กล้าที่จะบอกไว้อย่างชัดเจนว่า full-scale war บนแผ่นดินอเมริกานั้นจะเป็นสงครามกลางเมืองอีกรอบที่ชาวอเมริกันจะก่อสงครามเข่นฆ่ากันเอง หรือว่าเป็นสงครามที่รัสเซียจะบุกไปถล่มแผ่นดินแม่ของสหรัฐฯ แต่เขามองว่าหากเกิดสงครามระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯ มันอาจจะเกิดขึ้นบนแผ่นดินของสหรัฐฯเอง แทนที่จะเป็นที่รัสเซีย ซวยหละสิ! นี่คงจะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้จักวรรดิเฮเก้ลดความบ้าคลั่งสงครามลงมาได้ หากเขาแพ้สงคราม ซึ่งก็ยากที่จะเป็นเช่นนั้นเพราะว่าหากเกิดขึ้นจริง มันจะไม่เหลืออะไรบนโลกนี้อีกต่อไป
    สหรัฐฯก็รู้ว่าไม่คุ้มแน่ๆที่จะเล่นสงครามนิวเคลียร์ใส่กัน เพราะถ้าเกิดแล้วก็ไม่รู้จะเอาอาวุธไปขายให้ใคร ระบบการเงินและธนาคาร ระบบเศรษฐกิจทั่วโลกพังย่อยยับหมด สิ่งมีชีวิตบนโลกนี้จะถูกทำลายไปถึง 80-90% แล้วเขาจะสร้างจะพัฒนาระบบเศรษฐกิจขึ้นมากันทำไมหากสุดท้ายแล้วเขาต้องการที่จะทำลายทิ้งทั้งหมดแบบนั้น ที่เขาเปิดสงครามตัวแทนกันอยู่ในทุกวันนี้ก็เพื่อผลประโยชน์จากทรัพยากรต่างๆที่สามารถวัดเป็นตัวเงินได้ทั้งนั้น เช่นอาวุธ น้ำมัน แก๊ส ถ้าทำลายล้างทั้งหมดแล้วเขาจะได้อะไร และจะแน่ใจได้อย่างไรว่ากลุ่มคนที่สั่งให้กดปุ่มนิวเคลียร์จะรอดพ้นไปจากหายนะนั้นด้วย และหากเกิดขึ้น มันก็จะไม่ใช่เฉพาะระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯเท่านั้นนะสิ เพราะไม่มีทางที่สหรัฐฯจะไม่ดึงนาโต้เข้าร่วมด้วย ส่วนฝั่งรัสเซียก็ยังมีจีนและพันธมิตรของตนด้วยเช่นกัน ซึ่งต่างก็ไม่มีใครยอมใครด้วยกันทั้งนั้น สุดท้ายก็จะถึงคราวอวสานของโลกนี้
    แต่ท่าทีของรัสเซียและจีนไม่ใช่แบบก้าวร้าวอย่างจักรวรรดิเฮเกนี่นา เพราะรัสเซียในยุคนี้เน้นการคลี่คลายปัญหาด้วยการทูตและการเมือง ดูอย่างกรณีของอิหร่านเป็นต้น ด้วยความช่วยเหลือจากรัสเซียแลจีน สุดท้ายอิหร่านก็ลอดพ้นจากการถูกบีบให้ก่อสงคราม ต่อไปก็จะถึงคราวเกาหลีเหนือที่เมื่อเร็วๆนี้รัสเซียพึ่งจะออกมาบอกว่าจะทำให้แหลมเกาหลีปราศจากนิวเคลียร์ (อาวุธนิวเคลียร์) นั่นหมายถึงว่ารัสเซียกำลังส่งสัญญาณไปว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องปลดปล่อยเกาหลีเหนือออกมาสู่ประชาคมโลกหลังจากที่ถูกสหรัฐฯใช้อำนาจบีบให้ประเทศต่่างๆคว่ำบาตรอยู่นาน
    The Eyes
    08/08/2558

    ภาพจาก © Flickr/ Anthony Quintano

    ----------
    Americans Will Fight on Home Soil if US Starts War With Russia – US Expert / Sputnik International
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    อียูรับศึกผู้อพยพ: กลุ่มผู้อพยพลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายรวมตัวกันประท้วงคาเลส์ฝรั่งเศสเรียกร้องอังกฤษเปิดพรมแดน

    [​IMG]

    ------------
    + กลุ่มผู้อพยพลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายรวมตัวกันประท้วงคาเลส์ฝรั่งเศสเรียกร้องอังกฤษเปิดพรมแดน
    ------------
    รายงานข่าวต่างประเทศจากสำนักข่าว Channel 4 News ของอังกฤษบอกว่าเมื่อวันเสาร์ (8 ส.ค.58) ที่ผ่านมากลุ่มผู้ประท้วงขนาดเล็ก (300 คนนี่นะเล็ก?) ได้รวมตัวกันใกล้อุโมงค์ Eurotunnel ชูสัญลักษณ์ว่า "open the border" (เปิดพรมแดน) และตะโกนสโลแกนว่า "we are not animals" (พวกเราไม่ใช่สัตว์)
    ผู้สื่อข่าวจากบีบีซีของอังกฤษคาดว่ากลุ่มผู้ประท้วง ที่เจ้าหล่อนกล่าวอ้างว่าเป็นการจัดฉากเพื่อมุ่งไปที่การเสียชีวิตระหว่างที่ผู้อพยพพยายามข้ามอุโมง Channel Tunnel (จากฝรั่งเศสไปยังอังกฤษ) มีจำนวนประมาณ 300 คน (300 คนจริงดิ?)
    รายงานข่าวบอกว่ามีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 10 รายและจราจรส่วนใหญ่หยุดชะงัก ตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมาเนื่องจากมีผู้อพยพจำนวนหลายพันคนพยายามลอดอุโมงค์ข้ามยังอังกฤษ (รายงานข่าวไม่ได้บอกว่าผู้อพยพหลายพันคนเหล่านั้นข้ามไปได้สำเร็จทั้งหมดหรือไม่)
    ขณะนี้ทางการของอังกฤษกำลังพิจารณาที่จะปิดการใช้อุโมงในช่วงเวลากลางคืน เพื่อป้องกันไม่ให้มีการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้อพยพ โดยทาง Eurotunnel ขู่ว่า (ถ้าปิด) ก็จะฟ้องร้องดำเนินคดีเรียกร้องค่าเสียหาย 300 ล้านเหรียญสหหรัฐฯจากอังกฤษ (ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตนั้น สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งรายงานว่าเกิดจากถูกรถชนทั้งรถบรรทุก และรถไฟความเร็วสูง งานนี้ดูเหมือนว่าฝรั่งเศสจงใจไฟเขียวให้กลุ่มผู้อพยพเหล่านั้นเข้าไปในอังกฤษ โดยบอกว่าที่โน่นค่าแรง ค่าครองชีพ สวัสดิการต่างๆ ดีกว่าที่ฝรั่งเศสเยอะเลย ไปเลย ไปทำมาหากินกันที่อังกฤษโน่นเลย เพื่อสั่งสอนนายคารอนที่ต้องการจะแยกตัวออกจากอียู ถ้าอังกฤษบอกว่าล้มแผน Brexit ซะปัญหานี้อาจจะมีทางออกที่ดีร่วมกันก็ได้ คริๆ)
    + กลุ่มผู้อพยพชาวโปแลนด์หลายพันคนรวมตัวกันประท้วงที่อังกฤษ
    ------------
    ส่วนอีกเหตุการณ์หนึ่ง สำนักข่าว Sputnik news รายงานว่าแรงงานต่างแดนชาวโปแลนด์ที่ทำงานอยู่ในสหราชอาณาจักรกำลังวางแผนเพื่อรวมตัวกันประท้วงโดยแรงต่างชาติขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศในวันที่ 20 สิงหาคมที่จะถึงนี้ (อ้างรายงานข่าวจากสำนักข่าว The Independent ของอังกฤษ)
    กลุ่มผู้ประท้วงชาวโปแลนด์บอกว่า ตอนนี้กำลังปรึกษาหารือกันในอินเตอร์เน็ทเนื่องจากมีหลายคนออกมากล่าวโทษผู้อพยพ (แรงงานต่างด้าว) ว่าเป็นสาเหตุของปัญหาทางเศรษฐกิจของอังกฤษ (ฮ่าๆๆ เอาเข้าไปอียูเอ๋ย)
    Tomasz Kowalski บก.ของหนังสือพิมพ์ Polish Express กล่าวว่า "นี่เป็นเพียงวิธีที่ต้องการแสดงออกให้ประชาชนในอังกฤษรับรู้ว่า ผู้อพยพ (immigrants เขาหมายถึงแรงงานต่างชาติ) เป็นส่วนสำคัญของอังกฤษ พวกเราต้องการที่จะชี้ให้เห็นว่าพวกเราอยู่ที่นี่และว่ารู้สึกขอบคุณ" (ด้วยการประท้วงนี่นะ? ฮ่าๆๆ นั่นแหละสไตล์ยุโรปเขาหละ) ข้อมูลจากรัฐบาลอังกฤษบอกว่ามีชาวโปลส์ทำงานอยู่ในอังกฤษมากกว่าครึ่งล้านคน
    + เยอรมันนีเตรียมสั่งห้ามผู้ขอลี้ภัยจากกลุ่มประเทศในแหลมบัลข่านจำนวน 94,000 เข้าไปในประเทศ
    ------------
    สำนักข่าว Sputnik news ของรัสเซียรายงานเมื่อวันเสาร์นี้ว่า สำนักงานผู้อพยพและผู้ลี้ภัยสหพันธรัฐเยอรมัน (German Federal Office for Migration and Refugees - BAMF) สามารถห้ามผู้ขอลี้ภัยจำนวนประมาณ 94,000 คนจากกลุ่มประเทศในแหลม Balkans ไม่ให้เข้าไปในประเทศเยอรมันนีได้ Manfred Schmidt ประธาน BAMF กล่าวเมื่อเสาร์ที่ผ่านมา [กลุ่มประเทศบัลข่านประกอบด้วย Albanians, Bulgarians, Bosniaks, Croats, Gorani, Greeks, Macedonians, Montenegrins, Serbs, Slovenes, Romanians, Aromanians, Turks (ตุรกีส่วนที่อยู่ฝั่งยุโรป)]
    Manfred Schmidt ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ Die Welt ว่า "ปัจจุบันนี้เรามีผู้ยื่นแบบฟอร์มจากบัลข่านจำนวน 94,000 คน เกือบทั้งหมดของเอกสารเหล่านี้ยื่นมาเพื่อขอลี้ภัย จะได้รับการแจ้งเตือนให้ทราบถึงการห้ามไม่ให้กลับเข้ามา และห้ามอยู่อาศัยร่วมกันกับกลุ่มที่มีลักษณะไปในทางลบ"
    แหม… ทีกับประเทศไทยหละบีบจะให้รับพวกโรฮิงญาและชาวอุยกรูที่ลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย โดยอ้างสิทธิมนุษยชน และกฎหมายระหว่างประเทศ แต่พอตัวเองเจอสถานการเดียวกันเข้าให้กลับบอกว่า สามารถออกคำสั่งห้ามเข้าประเทศของตนเองได้ นี่แหละนิสัยความกะล่อนของพวกตะวันตกหละ แล้วก็ไม่เห็นมีสำนักข่าวไหนหรือองค์ไหนออกมาบอกว่ารับพวกเขาไว้เถอะ สงสารพวกเขาจังเลย ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดีอยู่กลางทะเลอย่างไรบ้างนะ...
    + ยอดตัวเลขผู้อพยพในกรีซเพิ่มขึ้น 750%
    ------------
    อันนี้สิเจ๋งข่าว เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา Sputnik news พาดหัวข่าวว่า "Wow! 750% Increase in Refugee Arrival Numbers in Greece in 2015" (ว้าว! จำนวนตัวเลขผู้ลี้ภัยในกรีซปี 2015 เพิ่มขึ้น 750%) (แหล่มไหมหละ?) UNHCR ภายใต้การบังคับบัญชาของจักรวรรดิเฮเกออกแถลงการณ์ว่า จำนวนผู้ลี้ภัยที่เดินทางไปอยู่ในกรีซในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ ได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 750% เมื่อเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันกับปีที่แล้ว (แล้วยังไงครับคุณ UNHCR? คุณคิดว่ากรีซยังรับผู้อพยพต่างถิ่นแล้ว UNHCR ก็ให้สถานะผู้ลี้ภัยให้กับพวกเขานี้ยังน้อยไปใช่ไหม?)
    แถลงการณ์จากสำนักงาน UNHCR บอกว่าผู้ลี้ภัยและผู้อพยพที่เดินทางมาถึงเกาะ Lesvos, Chios, Kos, Samos และ Leros ทางทะเลในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2015 มีจำนวนประมาณ 124,000 คน ในจำนวนนี้มีผู้ลี้ภัยจากซีเรียเพิ่มขึ้นร้อยละ 70 ในเดือนกรกฎาคม และคิดเป็น 63% จากจำนวนทั้งหมดในปัจจุบันนี้ UNHCR บอกว่า "ความฉุกเฉินด้านมนุษยธรรมที่กำลังเกิดขึ้นในยุโรปและต้องการให้กรีซและยุโรปตอบสนองอย่างเร่งด่วน"
    เป็นไงเล่าลูกเล่นของ UNHCR? พวกนี้ชอบวิธีการแก้ไขปัญหาด้วยการสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาโดยไม่รู้จักจบสิ้น เพราะมันจะเป็นห่วงโซ่ของปัญหาที่ไม่รู้จักจบสิ้น แทนที่จะมองไปที่ต้นเหตุผลปัญหา ถ้าสหรัฐฯและอียูไม่ไปก่อสงครามในซีเรียอย่างในทุกวันนี้ พวกนั้นเขาจะหนีตายทะลักเข้าไปในอียูทำไม? และที่สำคัญ ทำไม UNHCR ไม่ออกรายงานว่ามีขบวนการค้ามนุษย์เกี่ยวข้องด้วย และ UNHCR ได้ไปหัวละเท่าไร?
    นอกจากกรีซจะรับมือกับปัญหาวิกฤตหนี้สินและเศรษฐกิจในประเทศของตนเองแล้ว ยังจะต้องกู้หนี้มาช่วยเลี้ยงดูบรรดาผู้ลี้ภัยของ UNHCR และผู้อพยพผิดกฎหมายเหล่านี้เป็นหลักแสนคนอีก กรรม!
    The Eyes
    08/08/2558

    ภาพจาก © REUTERS/ Juan Medina

    ----------
    'We Are Not Animals'! Calais Protesters Demand Opening of UK-France Border / Sputnik International
    Eurotunnel Threatens to Sue UK Govt for $300Mln If Night Services Shut Down / Sputnik International
    Migrant Uprising: Thousands of Poles Set to Stage Protest in Britain / Sputnik International
    Germany to Ban 94,000 Balkan Asylum Seekers From Re-Entering Country / Sputnik International
    Wow! 750% Increase in Refugee Arrival Numbers in Greece in 2015 / Sputnik International
     

แชร์หน้านี้

Loading...