ปิดกระทู้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เตรียมตัว, 4 สิงหาคม 2015.

  1. เตรียมตัว

    เตรียมตัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +156
    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2017
  2. MindSoul1

    MindSoul1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2012
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +496
    ลองเข้าไปอ่านกระทู้นี้ดูนะคะ อ่านให้จบนะคะ ดูและฟังยูทูปให้จบด้วยนะคะ ท่านอาจจะเข้าใจได้เป็นอย่างดี ขอให้โชคดีค่ะ

    http://palungjit.org/posts/5154072
     
  3. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    ผมแนะนำแบบนี้ง่ายๆดีมั้ย จะเอาอะไรก็เอาสักอย่าง ตั้งใจอธิฐานแบบนี้ถ้าไม่บรรลุธรรมใดธรรมหนึ่งก็จะไม่ลุกจากที่นั่ง
     
  4. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    ก็ท่านรู้ว่ามันเล่นกลก็เอาแบบผมว่าเลย ให้มันรู้เรื่องกันเลยดีมั้ย
     
  5. topnank

    topnank เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,899
    ค่าพลัง:
    +874
    หายใจออกก็ซ่าน เข้าก็ซ่าน ดีครับ ทำให้ต่อเนื่อง และบ่อย ๆ ถ้าได้มาก็รู้เองเห็นเอง พอได้ระดับลึกก็หาครูบาอาจารย์สอน เพราะจะหลงได้ แบบคุณก็ดีอย่างลงมือทำเลย และขยันด้วย แบบนี้ไปได้ดี นะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 สิงหาคม 2015
  6. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    มันแล้วแต่ ความ ตั้งจิตตั้งใจ

    การบริกรรมพุทโธ ต่อ ไม่ให้ขาด พระท่านแจงว่า สิ่งนี้เป็นเรื่องของการ ตั้งจิตพิสูจน์
    เพื่อให้มันสุดจริงๆ .....แต่ สุดยังไงเนี่ยะ หากเจอ หากพบ ต้องไปถาม อาจารย์ ห้าม
    เดาสุ่มเอาเอง

    ส่วน ลม ....ถ้ายังเป็น ลม เห็นว่าเป็น ลม ก็ยังไม่ถูก .....ของจริง ต้องเป็น อาการเห็น
    ตัวสัญญาระลึกได้ถึงการมีขึ้น ก่อตัวขึ้นของลม ซึ่งไม่ได้แปลว่า ต้องหายใจ ...จะหายใจ
    หรือไม่หายใจก็ได้ หากชำนาญ จะหยาบ จะละเอียด สั้น ยาว ไม่เกี่ยวเลย มันจะเห็น
    ตัว สัญญาที่จิตแล่นไประลึกได้ถึงการมีอยู่ของ สังขาร อันเนื่องจากการมี กาย(ลม) ตรง
    นี้ถึงจะเป็น อานาปานสติ

    อานาปานสตินั้น จะเป็น ยอดของกรรมฐาน เพราะ เราเป็นมนุษย์ มนุษย์เนี่ยะ ตัวที่
    เป็นเหตุให้เกิดขึ้นของ อุปทายรูปที่เป็นมนุษย์ ส่วนหนึ่งก็คือ การระลึกได้ของการมีลมเป็นกาย
    [ การมีลมหายใจเข้าออก นั่นแหละ ]

    ทีนี้ ความชอบใจ หรือ อภิชญาในกาลก่อน กับ ธรรมฉันทะ มันจะต้องมีการ สับปิติ[เรียก
    แบบ กรรมฐานแบบลำดับ สังฆราชสุก(ไก่เถือน)] เราจะต้อง สับห้องกรรมฐาน ต้องเปลี่ยน
    อารมณ์ทำกรรมฐานบ้าง ต้องมีกัน สองสามตัว อย่ามีตัวเดียว เพราะมันจะ คุ้นชิน กลายเป็น
    จมอยู่ใน สมถะ โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวได้ มี ความประมาทมากุมจิต ติดว่างๆ ว่างๆ

    เผลอไปหมายเอาอาการว่าง เป็นนิพพาน

    ดังนั้น กรรมฐานเราก็จะมีกันคนละตัวสองตัว ตัวแรกก็เอาที่เราชอบ ตัวที่สองคืออัตโนมัติ
    ของจิตที่ได้รับการอบรมดีแล้ว ตัวที่สามก็ควรมี ซึ่ง เราจะแนะนำกันและกันให้ไปเล่นพวก
    กสิณสัญญา บ่อกสิณ10 เผื่อว่า มีใครที่เราพอจะอนุเคราะห์ มีวาสนาต้องกัน เราก็จะได้
    มีเครื่องมือไว้ใช้ แต่โดยหลักการ แค่ ธรรมแบบภาษาพูดง่ายๆ ก็ได้แล้ว [ ตรงนี้จะต้อง
    เห็นเข้ามาทุกคน ที่ภาวนาถูก จะทราบชัดว่า พระพุทธองค์ แจกแจงไว้หมดแล้ว สาวกเพียง
    แต่ก๊อปปี้มา ปัญญานิรุตติมีพระองค์เพียงผู้เดียวเป็นผู้ใหกำเหนิด ไม่มีวิชาใหม่ ไม่มีอะไรที่
    พระพุทธองค์ปิดบัง ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 สิงหาคม 2015
  7. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ตรงขนลุก ขนพอง ให้กำหนดว่ามันเป็น ปิติ

    ให้กำหนดว่า มันเป็นเพียง ธาตุ อาการเนื่องกับธาตุ แล้วมัน จะห่างๆออกไป
    โดยที่ ปรากฏอยู่ ( หรือไม่ปรากฏ หรือ อาจจะละเอียด หวาดเสียว เบาบาง
    มากขึ้นแล้วแต่ ) ....แต่ที่ควรเห้นคือ มันห่างออก เพราะมันเป็น ธาตุ

    ถ้าเห็น มุมของจิตที่มันห่างออกจากธาตุ ให้กำหนดเห็น สิ่งที่ไม่เกิดจากธาตุ หากเห็นได้
    ก็นมสิการ ....โน้มจิตไปเลื่อมใสให้บ่อยๆ แรกมันจะผิด อย่างนี้ใช่ อย่างนี้ใช่

    พอนมสิการบ่อยๆเข้า จะค่อยเห็น " อาการเข้าไปหมายๆ " พอเห็น ตัวนี้ก็จะเห็น
    ว่า เอ้าไม่ใช่ หมายๆเมื่อไหร่ ก็ไม่ใช่ ......เห็นไปเรื่อยๆ อุปสัมมานุสติ จะค่อย
    ซักฟอกจนเจอ อสังขตธรรม อมตะธรรมได้ ถ้าไม่ละความเพียร

    กรณีที่ยังไม่เจอ อมตธาตุ ระหว่างนั้น ก็ใช้ ศิลป ผลิกเอา ลหุสัญญา นานัตสัญญา
    ไปเล่นแร่แปรธาตุเอาตามกำลังของสติ ที่จิตมันอ่อนจากอุปกิเลส มีความควรแก่การงาน
    น้อมไปในญาณทัศนะ ฝึกเอาไว้ เผื่อว่าได้อนุเคราะห์ผู้อื่น ทำเท่าที่ทำได้ งานหลัก
    ก็ยังคงเป็น นิพพานลูกเดียว !!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 สิงหาคม 2015
  8. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เวลาฟังธรรม มันเป็น การส่งจิตออกนอก

    หาก คุณแค่อาศัยระลึก เพื่อไปฟังธรรมภายใน มันถึงจะลง

    แต่ แนวโน้มคุณเนียะ ชอบเอะอะ โวยไปไว้ก่อน ซึ่งมัน หมายๆ จะส่งออก ไปข้างนอก

    แล้ว ตัวเมตตาเจตสิก ตัวนั้นก็เป็น ปัญหา หาก จิตคุณทรงอารมณ์เมตตาแล้วพอใจ
    "เมตตาธาตุ" จิตมันจะไม่เข้า อัปปณา มันจะได้แค่ ฌาณ3 [ ว่ากันด้วยองค์ฌาณ หาก
    ใช้วิสุทธิมรรค จะเอา อรูปฌาณ มาฟัดกันแก่งแย่งอวดรู้กัน ]


    แต่หากกำหนดรู้ เมตตาเจตสิก ก็คือ ธาตุ มีความเบา ความเย็น เป็นผัสสะ กำหนด
    ผัสสาหาร คือ การไพบูลยของจิต ของวิญญาณ แล้ว แลอยู่ อันนี้ มันจะผลิกไปอีก
    ด้าน ห่างออกจากธาตุ ตรงนั้นถึง จะแยกธาตุคว่ำพรหมโลกราบเป็นหน้ากลอง ไม่เอา
    แม้นภพพรหม ก็จะ สุดโลกอยู่อย่างนั้น.....

    จะยังเหลือ การนมสิการ อสังขตธาตุ ซึ่งจะต้อง ใช้ปัญญาอันยิ่งพิจารณาเอาเอง

    ไม่ใช่แสง ไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่เมือง ไม่มีใกล้ ไม่มีไกล ไม่มีไป ไม่มีมา ปราศจากสัตว์ไปปรากฏในนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 สิงหาคม 2015
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    คุณ เตรียมตัว ครับหายใจให้ลึกถึงท้องแต่ไม่ต้องไปตามลมนะครับ
    คือหายใจเข้าท้องพอง หายใจออกท้องยุบ ...
    และให้ทำความรู้สึกรับรู้ว่ามีลมเข้าและออกที่หยุดที่ปลายจมูก
    อาการที่เป็นอยู่ก็จะหายครับ...
    ไม่งั้นถ้าเป็นแบบเดิม ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะครับ แต่ไม่ควรให้เกิดในขณะที่เราฝึกครับ
    เพราะมันจะสร้างความกังวลให้เกิดขึ้นกับตัวจิตเรา ทำให้จิตเราเกิดเนื่องจาก
    ตัวจิตมันพอมีต้นทุนในการทำทาน ในการช่วยเหลือสงเคราะห์คนอื่นๆ
    และความเห็นอกเห็นใจคนอื่นๆแบบว่าไม่หวังผลตอบแทนมาก่อนเป็นทุนครับ..

    และถ้าเป็นแบบเดิมหมายถึงเผลอไปกำหนด
    มันจะดึงความคิดพวกนี้ขึ้นให้ขึ้นมาได้
    ในขณะที่เราฝึกสมาธิครับ
    และการที่เราไม่สนใจตัวเองบ้าง แล้วไปเห็นอกเห็นคนอื่นๆ
    ก็เพราะว่าตอนนี้ตัวจิตคุณ มันมีตัวกระแสที่เชื่อม
    กับครูบาร์อาจารย์ข้างบนด้วยครับ
    ซึ่งมักจะทำให้เรามีจิตใจเห็นอกเห็นใจคนอื่นๆได้
    โดยที่ไม่สนใจตัวเองถือว่าปกติครับ
    ..
    จริงๆเรื่องการรับรู้ทางด้านนามธรรมคุณก็มีนะครับ
    และก็อยู่ภายใต้การควบคุมจากข้างบนด้วยครับ
    โดยส่วนตัวถือว่าดีครับ แค่สร้างสติทางธรรม
    จากการทำความรู้สึกรับรู้ที่ปลายจมูก
    กับปรับลมหายใจให้ลึกให้ละเอียดขึ้นเพื่อสร้าง
    กำลังสมาธิสะสมเพิ่มเติมอีกหน่อย ก็จะดีขึ้นแล้วครับ
    ปล.ปรับระบบหายใจอย่างที่แนะนำดูนะครับ.
    ลองดูเป็นเซท ซัก ๒๐ ครั้งต่อเซทแล้วสังเกตุผล
    ได้ด้วยตัวเองครับ
     
  10. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    เขียน ๒๑.๕๑

    ไชโย้!!! ในที่สุดท่านเอกก็พูดภาษาคนได้แล้ว ยินดีด้วยคร้าบ ๕๕๕

    และขอเชิญท่านโชว์กิ๋นแบบที่เราไม่มี ให้เต็มที่

    แต่ให้ระวัง อย่าไปซี๊ซั๊วเจ๊าะแจ๊ะกะใครมั่วซั่วอีกนะครับ
    ต้องระมัดระวังอีกระยะนึง ให้แน่ใจว่าโรคหายขาดก่อน หึหึหึ


    หมอมือเปล่า / ดร.ดิเรก ผัวประภาพี่ประไพ

    .
     
  11. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ทำไม ไม่ปรับเป็น ลมหายใจเข้า ว่า "พุท" ลมหายใจออก ว่า "โธ" สะล่ะครับ ลมเข้า พุท ลมออกว่า โธ พุท-โธ พร้อมกับลมหายใจ เข้า-ออก
     
  12. ชมทรัพย์

    ชมทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2015
    โพสต์:
    551
    ค่าพลัง:
    +248
    บริกรรมรัวๆๆ ก็เพื่อให้ ตัวรู้ก็เด่นแยกออกมาจากกาย มีสติกับตัวรู้ ใช่ปะ
    อานา ถ้าตัวรู้เด่นแล้ว สติมีกำลังตั้งมั่นได้ก็เป็นสติปัฏฐาน ก็ดูลมเดินเข้าออกตั้งจิตไว้ที่ฐานที่ถนัดตั้งตัวรู้เด่นอยู่เฉยๆได้ ไม่เป็นไปกับลม
    หรือจะกำหนดตัวรู้ไปตั้งไว้ส่วนใดในกายก็ได้ ไม่ได้เป็นกาย แค่รู้กายอยู่เฉยๆ ถ้าจิตรวมเลยก็เหลือแค่สติกับตัวรู้แยกออกจากกาย ใช่ปะ

    ประเด็นการภาวนาเพื่อให้มีความเห็นว่า กายไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่กายนี้ พวกเอ็งว่าใช่ป่าววะ ข้าก็ยังงงงง บอกข้ามั่งดิ
     
  13. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ลองดูนะ

    หากกำหนดรู้ เมตตา ก็คือ ธาตุอย่างหนึ่ง เอาเข้าไปจับ วัตถุ ไหน

    อาการร่ำไห้ พิไร รำพัน มันก็ เกิดขึ้นได้กับ วัตถุนั้นได้หมด

    ธาตุมันไปหยังลงตรงไหน บัญญัติว่าด้วยอาการแห่ง ความงาม นานาชนิดมันก็ ฝุ้งขึ้น

    หากนักภาวนาไม่ได้กำหนดรู้ การบังเกิดขึ้นของอุปทาน ตัณหา ภพ ชาติ ชรา มรณะ
    ก็ ร้องไห้ได้กับทุกเรื่อง ขนขนะเข้าบ้าน ไม่มีมี่จะไม่ร้องไห้ ไม่มีที่จะหนีมันพ้น !!!
     
  14. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    586
    ค่าพลัง:
    +3,152
    ข้าพเจ้าขออนุโมทนาในธรรมของทุกท่านครับ

    หลายท่านแนะนำไว้ดีแล้ว

    จะกำหนดพุทโธพร้อมลมด้วยหรือจะกำหนดรู้เพียงลมก็สุดแท้แต่ แต่ถ้ากำหนดคำบริกรรมพุทโธพร้อมลมหายใจ ค่อยๆทำไป ทำให้เป็นหนึ่งเดียว สังเกตได้เมื่อเข้าที่เข้าทางมันจะไปด้วยกันไม่มีอะไรขัดกัน เหมือนเป็นหนึ่งเดียวกัน

    เมื่อมีปิติสุขเกิดจากลมสังเกตดู มันยึดติดในลม เมื่อลมเบาสบายใจก็เป็นสุข ค่อยๆทำค่อยๆดู มันเป็นอุปทานในกองลม มันยินดีในลมที่ละเอียดแสนสบายจึงเกิดปิติสุข ถ้าเห็นตรงนี้จะเห็นเรื่องของอุปทาน และเราจะเห็นในอุปทานอื่นๆอีก ไม่พูดมากล่ะนะ

    อีกอย่าง สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ไม่เน้นการทำเร็ว หรือท่องเร็วๆแบบนั้น ข้าพเจ้าจะทำช้าๆค่อยๆปรับให้ละเอียดเข้าไป

    สำรวมอินทรีย์ไว้เถิด

    สุดท้ายนี้ขออย่าได้เชื่อถือหรือยึดมั่นในสิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปเลย

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  15. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ถ้าแยกจิตกับกาย จนไปปรารภ ปลงใจได้ว่า จิตไม่ใช่กาย กายไม่ใช่จิต
    ตรงนี้ จะเรียกว่า อธิจิต

    จะต้องเอา จิตที่ ทรงตัวเห็นได้แบบนี้ มาพิจารณาตลบอีกทีว่า จิตรู้ได้แบบนี้
    เดี๋ยวก็แปรปรวนไป ตั้งอยู่ไม่ได้


    ลองตรองดูดีๆนะ พอจิตคุณ แยกออกไปได้ ...เสร็จแล้ว มันจะ เหมือนว่า ยังขาด
    การเห็นอะไรสักอย่าง

    พอขาดการเห็นอะไรสักอย่าง แล้ว กำหนดรู้ไม่ทัน จิตมันจะลากไปคิด คิดหา
    วิธีหานิพพาน ...นี่ตรงนี้ จะเสียท่าสัญญาขันธ์ จิตอิ่มสมาธิไม่พอ(ในแง่ของ
    คนบริกรรมจนอิ่ม)

    แต่ถ้า เราเห็นจิตมันแยกออก เกิด อธิจิต เสร็จแล้ว เดี๋ยวจิตมันจะต้องคิด เดี๋ยว
    จิตจะต้องหิวอารมณ์ หาอะไรมาเสวย อธิจิตจะต้องดับเป็นธรรมดา

    เนี่ยะ จิตไหลไปคิดแล้วรู้ จิตไหลไปในเวทนาสุข ทุกข์ อุเบกขาก็รู้

    หัดรู้แบบนี้ จะเห็น จิตแสดงความไม่เที่ยง อนิจจัง อนัตตา

    ก็จะ อ๋อ ตรงนี้คือ อธิปัญญา ไม่ใช่ภาษาพูด ภาษาบัญญัติอะไรทั้งนั้น
    แล้วก็จะ อ๋อ ก็ตรงนี้แหละ ที่จิตมันอิ่ม จิตเป็นพุทโธ

    หลังจากเห็นตรงนี้ จะไม่ต้องบริกรรมอีก จะ เข้ามาเห็นได้ตลอดเวลา
    ไม่ต้องตั้งท่า หาอุบายอะไรอีก มันจะเห็น ความสงบ สงัดจากกามแท้ๆแล้ว

    ภาวนาไปบ่อยๆ จนองค์ฌาณมันห้อมล้อมจิต จะรู้สึกเบา ในฐานะวิบาก
    ของการภาวนา ไม่ใช่ เบา สบาย เพราะอยากได้ หรือสำคัญว่ามันคือนิพพาน(นิรามิสสุข)

    พอเห็นแบบนี้ ถึงจะเป็น การตามเห็นการสลัดคืนไม่เหลือ เนืองๆ ฝึกไปเรื่อย
    จน อ๋อ ที่แท้ จิตมันขาดการเห็น อริยสัจจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 สิงหาคม 2015
  16. ชมทรัพย์

    ชมทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2015
    โพสต์:
    551
    ค่าพลัง:
    +248

    เห้ย ข้าถามประเด็นเฉยๆ ไม่ใช่ว่าข้าทำได้
     
  17. ชมทรัพย์

    ชมทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2015
    โพสต์:
    551
    ค่าพลัง:
    +248
    ไอห้าข้าสอนตัวเองยังไม่ได้ บร๊ะแล่ว
     
  18. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ถ้ายังงั้น เพิ่มคำที่ใช้บริกรรมอีก ตย. เช่น พุท หนอ โธ หนอ

    เทียบ ตย. พอง-หนอ (หนอสุดพอง) ยุบ-หนอ (หนอสุดยุบ) พอง-หนอ ยุบ- หนอ

    ถ้าชำนาญ (ลมหายใจละเอียด) ให้เพิ่ม พอง-หนอ นั่งหนอ ยุบหนอนั่งหนอ (กำหนดรูปนั่งด้วย พอง-ยุบ-นั่ง)

    ชำนาญขึ้นไปอีก พอง-หนอ นั่ง-หนอ ถูกหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ
    (กำหนดพอง-ยุบ-นั่ง-ถูกคือจุดกระทบพื้น (ก้นกบ))

    วิธีปฏิบัติยืดหยุ่นปรับได้
     
  19. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385

    จขกท.ใช้การจดจ่อของจิตให้อยู่ในอารมณ์ โดยการภาวนาพุทโธเร็วๆ
    พอจิตมันจดจ่อได้นานผลก็คือ จะเกิดสมาธิ
    คราวนี้จะด้วยเคยคุ้นของ จขกท. ที่เคยกำหนดลมหายใจมาก่อน หรือเหตุใดๆก็ตาม

    จิตมันก็เลยกระโดดออกไป กำหนดลมหายใจ ทั้งๆที่อยากให้มันอยู่กะพุทโธ
    ตรงนี้ถ้า จขกท.เอ๊ะใจก็จะเห็นความไม่มีตัวตน บังคับตามใจเราไม่ได้
    ก็จะเกิดปัญญาขึ้นมาได้ แต่ถ้าไม่เห็นตรงนี้ก็ข้ามไป

    การที่ จขกท. เอาจิตมาอยู่กับพุทโธ ก็จนเกิดสมาธิระดับนึง
    ถ้า จขกท. สังเกตดูว่าเมื่อไหร่ที่จิตละจากพุทโธ เกิดไปกำหนดลมหายใจ
    ก็จะข้ามไปที่ความสงบอีกระดับนึง
    ที่เห็นสภาวะอื่นๆชัดกว่าการจดจ่ออยู่ที่พุทโธ เรียกว่าจิตตั้งมั่นมากขึ้น
    เพราะจิตละออกจากวิตก วิจาร จนเกิดเป็นปิติ
    ทำให้ จขกท. ขนลุกขนพอง อะไรก็ว่าไป
    แม้จขกท. จะชอบภาวนาพุทโธยังไง ถ้าอยากก้าวหน้าในที่สุดก็ต้องทิ้ง พุทโธ

    พุทโธ อาศัยให้ จขกท.ละนิวรณ์ในช่วงแรก
    มันเป็นอุบายธรรมให้ทิ้งความคิดแล้วมาจดจ่อกับสิ่งนี้แทน

    การอยู่กับพุทโธ สามารถทำให้เห็นธรรมได้
    โดยอาศัยจิตที่ปักใจลงในพุทโธ แล้วสังเกตุดูว่า แม้มันจดจ่อที่พุทโธแค่ไหนก็ตาม
    มันก็ไม่สามารถอยู่กับพุทโธได้อย่างใจเรา
    ตรงนี้เห็นธรรมได้

    แต่มันยาก ยากตรงที่ความตั้งมั่นของจิตไม่พอ
    เหตุที่ยากเพราะ ขณะที่ภาวนาพุทโธ
    จิตมักไหลไปพุทโธ ยังมีตัวตน คน สัตว์ เป็นผู้ภาวนา
    การจะเห็นความจริง หรือ เห็นธรรมนั้นจึงยาก

    คราวนี้กลับมาที่จขกท. จะทำอย่างไร
    จขกท.ก็อาศัยภาวนาพุทโธ ให้จิตเป็นสมาธิ ให้เป็นเครื่องละนิวรณ์ในช่วงแรก
    แล้วทิ้งพุทโธ มาตามดูลมหายว่าเข้าหรือออก
    สังเกตุว่าจิตตอนนี้จะตั้งมั่นมากขึ้น ตามรู้ลมหายใจดีขึ้นกว่าตอนแรก

    อาจมีคำถามว่าทำไมต้องตามดูลมหายใจ?
    เพราะการตามดูลมหายใจ เราจะไม่ไหลไปรวมกับความสงบนั้น
    ไม่ใช่ความสงบไม่ดี แต่เราทิ้งตรงนี้ เราไปเอาสิ่งที่เหนือกว่านั้น

    ถ้าลองปฏิบัติดูจะเห็นความแยบคายของพระพุทธองค์
    ในการที่เราตามสังเกตุลมหายใจ เมื่อถึงระดับนึงจิตจะไหลไปรวมกับลมกายใจ
    แต่พระพุทธองค์ให้สังเกตุ ถึงความสั้นยาวของลมนั้น
    สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ความมีสติ สัปัญชัญญะ คอยเป็นผู้ดูอยู่
    จิตจะแยก เป็นสิ่งหนึ่งที่เป็นผู้ดู กับสิ่งที่ถูกดู
    แยกความเป็นตัวกู แบบแยบคาย

    อาจมีคำถามว่าจะต้องแยกทำไม?
    เพราะตราบใดที่จิตมีความรู้สึกว่าเป็นตัวกูอยู่ จิตจะไม่เป็นกลาง
    ยังดูอะไรก็จะเข้าข้างไปตามกิเลส ไม่อาจตั้งมั่นพอที่จะเห็นความจริงได้

    ซึ่งหลังจากตรงนี้ไปจิตจะคอยสแตนบายคอยดูอยู่
    สภาวะภายในจะเห็นชัดขึ้นไปตามกำลังของสมาธิ
    สมาธิในที่นี้ ที่เกิดจากการตามลมหายใจ
    เป็นสมาธิที่เป็น สัมมาสมาธิ จริงๆ

    มันความเป็นกลาง ตั้งมั่น และจะเห็นสภาวะชัดเจนขึ้นตามลำดับ
    เมื่อไหร่ความตั้งมั่น เป็นกลางตรงนี้เกิด
    ความจริงทั้งหลายที่เราไม่เคยมองเห็น
    จะด้วยความหลงลืมสติ หรืออะไรก็ตาม
    ก็จะเห็น

    เห็นอะไร?
    เห็นสิ่งที่มีสภาพทุกข์ เป็นของเกิดดับ เป็นของไม่เที่ยง อยู่เหนือการควบคุม
    อันนี้แหละธรรม

    เมื่อไหร่เห็นขันธ์ได้ตามความเป็นจริง เมื่อนั้นจะปล่อยวางของในโลกได้อย่างง่ายๆ

    ถ้าจะเอาธรรม ธรรมที่พระพุทธองค์สรรเสริญ
    ก็ต้องมองให้ออกว่ากรรมฐานทุกอย่าง คือ อุบายให้จิตมาถึงจุดนี้แค่นั้น
    จุดที่จิตตั้งมั่น เป็นกลาง พร้อมเห็นความจริง
    ความจริงที่แสดงตัวอยู่ตลอดเวลา แต่เพราะอวิชชา เลยพาให้หลงไปแค่นั้นครับ
     
  20. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ มาจากดิน อ่านข้อความ
    ผมว่าทำแบบนี้แหละดีแล้ว ได้ไซเคิลในการหายใจ รอบการหายใจจะเป็นจังหวะ ทำให้เรากำหนดการภาวนาได้ดีขึ้น และจิตจะสงบลงเร็ว แล้วค่อยกำหนดลงไปในความสงบนั้นแหละ


    จิตมันจะสงบลงไป พุทโธ ที่กำหนด บางทีก้ดูเหมือนหายไป พุทโธหายนี่ ถ้าระดับนี้ก้ถือว่าใช้ได้แล้ว มันจะนิ่งสักพักแล้วเราจะกลับมารู้สึกคือรู้ลมหายใจอีก
     

แชร์หน้านี้

Loading...