ติดตามสถานะการณ์

อังกฤษประกาศเร่งจัดลงประชามติเร็วขึ้น ชี้ชะตาอยู่หรือ ไปใน “อียู” ภายใน 12 เดือน โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 กรกฎาคม 2558 10:22 น.



รอยเตอร์ / เอเจนซีส์ / ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - สื่อดังเมืองผู้ดี “ดิ อินดีเพนเดนท์” รายงานในวันเสาร์ ( 25 ก.ค.) โดยระบุ สหราชอาณาจักรจะเร่งจัดการลงประชามติ เกี่ยวกับสถานะการเป็น “สมาชิกภาพ”ของสหภาพยุโรป (อียู) ภายในระยะเวลา 12 เดือน หรือ 1 ปีจากนี้
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น ในขณะที่นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอนกำลังทวีความเชื่อมั่นว่า การเร่งจัดลงประชามติในประเด็นดังกล่าวให้เร็วขึ้น น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการคว้าชัยชนะ ซึ่งว่ากันว่า จะช่วยเปิดทางให้เกาะอังกฤษได้ก้าวออกจากแผ่นดินใหญ่ของยุโรป ที่กำลังถูกรุมเร้าจากทั้งปัญหาเศรษฐกิจ การว่างงาน ปัญหาการเมือง ตลอดจน การไหลบ่าเข้ามาของเหล่าผู้อพยพทั้งจากภูมิภาคตะวันออกกลางและจากทวีปแอฟริกา
รายงานจากหนังสือพิมพ์ดิ อินดีเพนเดนท์ระบุว่า นายกรัฐมนตรีจากพรรคอนุรักษ์นิยมอย่างเดวิด คาเมรอน จะประกาศแผนเร่งจัดการลงประชามติดังกล่าวในระหว่างการประชุมใหญ่ของพรรคฯ ในช่วงเดือนตุลาคมนี้
และหากแผนการนี้ได้รับการรับรองจากมติของที่ประชุมพรรคฯ ก็คาดว่าจะสามารถเร่งเดินหน้ากระบวนการจัดลงประชามติ ได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายนปี 2016 เป็นต้นไป
ก่อนหน้านี้เดวิด คาเมรอน เคยประกาศว่า จะการจัดลงประชามติในประเด็นเดียวกันนี้ภายในปี 2017 หลังไม่พอใจกับความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารงาน และนโยบายหลายด้านของอียู โดยเฉพาะนโยบายจัดการปัญหาด้านผู้อพยพ และความล้มเหลวในการรับมือกับวิกฤตหนี้สินของกลุ่มยูโรโซน หรือกลุ่ม 19 ประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรร่วมกัน
เมื่อไม่นานมานี้ มีการเผยแพร่ผลการศึกษาล่าสุดโดยสถาบัน “แบร์เทิลสมันน์ ชติฟทุง” และสถาบันวิจัย “อิโฟ” ในเยอรมนี ซึ่งชี้ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหราชอาณาจักรจะหายไปถึง 14 เปอร์เซ็นต์ หรือคิดเป็นเม็ดเงินสูงถึงกว่า 215,000 ล้านปอนด์ (ราว 10.89 ล้านล้านบาท) หากลาออกจากการเป็น 1 ใน 28 ชาติสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู)
ดร. ไธส์ เพเทอร์เซน ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสของสถาบันแบร์เทิลสมันน์ ชติฟทุง เผยต่อสถานีโทรทัศน์เพรสส์ ทีวีของอิหร่าน เมื่อช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยระบุว่า การตัดสินใจหันหลัง หรือก้าวออกจากการเป็นสมาชิกอียูของรัฐบาลอังกฤษจะส่งผลกระทบต่อสมาชิกอื่นๆ ของอียูด้วย โดยเฉพาะทางด้านการเงินการคลัง
อย่างไรก็ดี ผลกระทบที่สมาชิกอื่นของอียูจะได้รับ หากอังกฤษลาออกไปนั้น จะไม่รุนแรงเท่ากับผลกระทบอันเลวร้าย ที่เศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรจะได้รับ เนื่องจากการพ้นสถานะสมาชิกอียู จะมีผลให้เมืองผู้ดีต้องสูญเสียสิทธิพิเศษด้านการค้าทั้งปวงที่ได้รับจากอียู ตลอดจนข้อตกลงการค้าเสรีต่างๆที่ทำไว้
ด้าน อาร์ท เดอ กอยส์ ประธานและซีอีโอ ของสถาบันแบร์เทิลสมันน์ ชติฟทุง ออกมาระบุว่าหากปรากฏการณ์ “Brexit” ซึ่งหมายถึงการออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ เกิดขึ้นจริง จะถือเป็นเรื่องที่น่าเศร้า และจะเกิดความสูญเสียต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ผลการศึกษาล่าสุดในเยอรมนีถูกเผยแพร่ออกมาหลังจากที่รัฐบาลอังกฤษภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอนประกาศจะทบทวนบทบาทของอังกฤษ และอาจลาออกจากการเป็นสมาชิกหากอียูยังไม่ดำเนินการปฏิรูปในเชิงโครงสร้างแบบขนานใหญ่
http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx…

 

กลุ่มฮามาสเปิด “ค่ายฝึกทหาร” ชาวกาซา 25,000 คน โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 กรกฎาคม 2558 20:35 น.



เอเอฟพี – ฝ่ายการทหารของกลุ่มฮามาสเปิดค่ายฝึกฤดูร้อนในวันนี้ (25) เพื่อฝึกฝนการสู้รบให้กับชาวปาเลสไตน์ 25,000 คนในฉนวนกาซา

ปัจจุบันกลุ่มฮามาส ซึ่งปกครองฉนวนกาซาโดยพฤตินัย กำลังมีส่วนร่วมในการติดต่อทางอ้อมกับอิสราเอลเพื่อพยายามบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระยะยาว แต่หลังจากที่สงคราม 50 วันที่สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงเมื่อฤดูร้อนปีที่แล้วผ่านไปได้ 1 ปี ขบวนการติดอาวุธกลุ่มนี้ยังคงรักษาการเจรจาที่ผลักดันกันมานี้อยู่

“เป้าหมายของค่ายฝึกทหารเหล่านี้คือเพื่อฝึกฝนเหล่าผู้เป็นแนวหน้าสำหรับการปลดแอก ทั้งทางจิตวิญญาณ , ทางปัญญา และทางร่างกาย เพื่อให้พร้อมและสามารถแสดงบทบาทในการปลดแอก” ถ้อยแถลงโดยกองพลน้อยเอสเซดีน อัล-กัสซัม ฝ่ายการทหารของกลุ่มฮามาส ระบุ

ถ้อยแถลงระบุว่า ผู้มีส่วนร่วมซึ่งอายุระหว่าง 16-60 ปีจะใช้เวลา 2 สัปดาห์รับการ “ฝึกฝนกลยุทธทางทหารและการยิงกระสุนจริง” ตลอดจน “เทคนิคการปฐมพยาบาลและช่วยชีวิต”

เช่นเดียวกับกับทุกๆ กิจกรรมของกองพลน้อยกลุ่มนี้ ค่ายฝึกนี้จะถูกดำเนินการนอกการรับรู้ของสาธารณชนและสื่อ
หน่วยบรรเทาทุกข์ต้องมือกับเหยื่อคนท้องถิ่นหลายพันคนในช่วงสงครามระหว่างเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมปี 2014 ซึ่งเป็นสงครามครั้งที่ 3 ในฉนวนกาซาในรอบ 6 ปี

กลุ่มฮามาสจัดค่ายฤดูร้อนในฉนวนกาซามานานแล้ว โดยมีทั้งกิจกรรรมนันทนาการและการศึกษาคัมภีร์อัลกุรอาน แต่เมื่อช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมา กองพลน้อยอัล-กัสซัมได้ริเริ่มจัดค่ายแบบใหม่โดยให้การฝึกฝนทางทหารแก่เยาวชนอายุระหว่าง 15- 20 ปี

บรรดานักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนประณามค่ายใหม่ดังกล่าว่าเป็นการบังคับแปรเสภาพสังคมฉนวนกาซาให้เป็นแบบทหารและเป็นการละเมิดสิทธิเด็ก

กองพลน้อยอัล-กัสซัม ซึ่งหาได้สนใจคำวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวไม่ ยังคงจัดการฝึกฝนดังกล่าวร่วมกับค่ายฤดูร้อนอยู่เรื่อยๆ ในขณะเดียวก็เพิ่มขีดจำกัดอายุผู้เข้าร่วมขึ้นเป็น 60 ปี

http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000084260

 

“โมดี” นายกฯอินเดียหนุนแนวคิด อังกฤษควรจ่าย “เงินชดเชย” ที่มายึดอินเดียเป็นเมืองขึ้น โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 กรกฎาคม 2558 11:32 น.



เอเจนซีส์ / ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี แห่งอินเดียประกาศสนับสนุนข้อเรียกร้องของสมาชิกรัฐสภาฝ่ายค้านของอินเดีย ที่ระบุว่า สหราชอาณาจักรควรจ่าย “เงินชดเชยความเสียหาย” ให้แก่อินเดีย จากความผิดฐานเข้ามายึดครองเอาอินเดียไปเป็นอาณานิคม และยัง “สูบเลือดสูบเนื้อ” ตักตวงเอาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจำนวนมหาศาลไปจากชาวอินเดีย
ท่าทีล่าสุดของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดีมีขึ้นภายหลังจากที่ชาชิ ธารูร์ สมาชิกรัฐสภาฝ่ายค้านของอินเดีย ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเป็นถึงรองเลขาธิการองค์การสหประชาชาติได้ไปขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในเวทีขององค์กรอ๊อกซ์ฟอร์ด ยูเนียน โซไซตี้ ที่ประเทศอังกฤษ
และธารูร์ได้ให้ความเห็นแบบตรงไปตรงมาว่า รัฐบาลของสหราชอาณาจักร สมควรต้องจ่ายเงินชดเชยความเสียหายที่เข้ามายึดครองอินเดีย และสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองด้วยการ“สูบเลือดสูบเนื้อ”ตักตวงเอาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจำนวนมหาศาลไปจากชาวอินเดีย ที่ถือว่า เป็นเจ้าของประเทศตัวจริงเสียงจริง
นายกรัฐมนตรีโมดีกล่าวว่า ถ้อยแถลงของสมาชิกรัฐสภาฝ่ายค้านของอินเดียรายดังกล่าวไม่ถือเป็นสิ่งที่เกินเลยแต่อย่างใด และว่าตัวเขาเห็นด้วยอย่างเต็มที่กับแนวคิดในเรื่องนี้
“ถ้อยแถลงของชาชิ ธารูร์ ไม่ถือเป็นสิ่งเกินเลย และไม่ถือว่า เป็นการแสดงความก้าวร้าวทางการทูตแต่อย่างใด สิ่งที่เขาพูดเป็นเสียงสะท้อนของเหล่าชาวอินเดียที่มีหัวใจรักชาติรักแผ่นดินเกิด และว่าการไปประกาศจุดยืนในเรื่องนี้ ถึงแผ่นดินอังกฤษของชาชิ ธารูร์ ถือเป็นสิ่งที่เหมาะสม ถูกที่-ถูกเวลาแล้ว” โมดี วัย64 ปี ซึ่งก้าวขึ้นครองอำนาจเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้วในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 15 ของอินเดีย กล่าว
รายงานข่าวระบุว่า ในความเป็นจริงแล้ว การเดินทางไปกล่าวสุนทรพจน์ของ ชาชิ ธารูร์ สมาชิกรัฐสภาฝ่ายค้านของอินเดียที่ประเทศอังกฤษ ที่กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในเวลานี้นั้น แท้จริงแล้วเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา แต่เพิ่งมีผู้นำเอาคลิปวิดีโอการกล่าวสุนทรพจน์ความยาว 15 นาทีของเขามาเผยแพร่บนโลกออนไลน์ ซึ่งทำให้มีผู้เข้าชมมากกว่า 1.5 ล้านวิวภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน
http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx…

 

Kaokala Fc
25 ก.ค. NASA เผยภาพพลูโตล่าสุด ธารน้ำแข็งบนพื้นผิวดาว



นาซา เผยภาพถ่ายพื้นผิวพลูโตล่าสุด แสดงร่องรอยกิจกรรมทางธรณี และน้ำแข็งที่ไหลคล้ายธารน้ำแข็งบนโลก "ที่ผ่านมาเราพบพื้นผิวลักษณะนี้เฉพาะบนโลกและดาวอังคารเท่านั้น"



เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2558 องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ เปิดเผยภาพถ่ายพื้นผิวดาวพลูโตออกมาอีกภาพ เผยให้เห็นลักษณะร่องรอยการไหลของน้ำแข็งที่คล้ายกับธารน้ำแข็งบนโลก ขณะเดียวกันสภาพดาวก็ได้เผยร่องรอยกิจกรรมทางธรณี ซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์ทึ่งไม่น้อย เพราะไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าดาวพลูโตจะมีสภาพดาวที่มีกิจกรรมทางธรณี ไม่ต่างอะไรจากโลกและดาวอังคาร

จอห์น กรุนส์เฟลส์ นักวิทยาศาสตร์นาซา เปิดเผยว่า เรารู้ว่าภารกิจนิว ฮอไรซันส์ ที่เดินทางไปเฉียดดาวพลูโต จะนำเรื่องน่าประหลาดใจบางอย่างมาให้กับวงการวิทยาศาสตร์ แต่ตอนนี้ 10 วัน หลังจากยานนิว ฮอไรซันส์ เฉียดดาวในระยะใกล้ที่สุด นักวิทยาศาสตร์ได้พบสิ่งที่น่าประหลาดใจเกินความคาดหมาย พลูโตมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่นักวิทยาศาสตร์ไม่เคยคิดมาก่อน

จากการวิเคราะห์พื้นผิวดาวพลูโตผ่านภาพที่ยานนิว ฮอไรซันส์ บันทึกมา นักวิทยาศาสตร์พบว่า พลูโตไม่ได้เป็นเพียงก้อนน้ำแข็งไร้ชีวิตชีวาที่โคจรรอบดวงอาทิตย์เท่านั้น แต่พลูโตมีร่องรอยที่แสดงถึงกิจกรรมทางธรณีด้วย นับเป็นการค้นพบที่นักวิทยาศาสตร์ถึงกับเอ่ยปากว่า "เราคิดผิดมาตลอด"

ขณะที่ภาพล่าสุดที่เปิดเผยออกมา แสดงให้เห็นว่าน้ำแข็งบนพื้นผิวดาวพลูโตนั้นมีร่องรอยและทิศทางของการไหล เช่นเดียวกับธารน้ำแข็งบนโลกของเรา

"ที่ผ่านมาเราพบพื้นผิวลักษณะนี้เฉพาะบนโลกและดาวอังคารเท่านั้น" จอห์น สเปนเซอร์ จากโครงการนิว ฮอไรซันส์ เผยความน่าทึ่งจากการค้นพบในครั้งนี้

อย่างไรก็ดี น้ำแข็งที่พบบนพื้นผิวดาวพลูโตนั้น ไม่ได้มาจากน้ำ แต่เป็นน้ำแข็งที่มีส่วนประกอบหลักคือไนโตรเจน ผสมกับคาร์บอนมอนออกไซด์และมีเทน

ทั้งนี้ พลูโตเป็นดาวเคราะห์แคระที่อยู่ห่างดวงอาทิตย์มากกว่าโลกเกือบ 40 เท่า ดังนั้นมันจึงเย็นยะเยือก มีอุณหภูมิดาวประมาณ -234 องศาเซลเซียส ซึ่งอุณหภูมิระดับนี้ สามารถแช่แข็งก๊าซเกือบทุกชนิดที่มนุษย์รู้จักได้เลยทีเดียว

NASA เผยภาพพลูโตล่าสุด ธารน้ำแข็งบนพื้นผิวดาว

 

ความท้าทายระดับจักรวาลการค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก
เวิลด์วาไรตี้ : ความท้าทายระดับจักรวาล การค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก : โดย...วัจน พรหโมบล ต่างประเทศ : ข่าวทั่วไป วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม 2558



นักวิทยาศาสตร์ออสเตรเลียที่เป็นผู้นำในโครงการริเริ่มการฟังก้าวหน้า (Breakthrough Listen Initiative) ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเร็วๆ นี้ โดยได้ทุนสนับสนุน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากเศรษฐีนักธุรกิจชาวรัสเซีย ยูริ มิลเนอร์ เพื่อทำการค้นหาสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาที่อยู่ในโลกอื่นนอกจากโลกกลมๆ สีฟ้า ที่เป็นดาวเคราะห์ดวงที่สามในระบบสุริยจักรวาลดวงนี้ กล่าวเปิดใจถึงความรู้สึกที่ได้ทำโครงการนี้แม้จะมีเสียงปรามาสจากผู้เชี่ยวชาญหลายต่อหลายคนที่มองว่าโครงการนี้จะนำมาซึ่งภัยต่อโลกเท่านั้น

ศ.แมธธิว ไบเลส แห่งมหาวิทยาลัยสวินเบิร์น ในนครเมลเบิร์น ออสเตรเลีย บอกว่า ตนรู้สึกตื่นเต้นที่ได้รู้ว่าจะเป็นผู้ควบคุมส่วนหนึ่งของโครงการค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลกดังกล่าว

แต่เมื่อถามว่า ถ้าเกิดพบสัญญาณจากมนุษย์ต่างดาวส่งกลับมายังโลกแล้วเขาจะทำอย่างไร ศ.ไบเลส ถึงกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนที่จะเรียบเรียงความคิดและตอบออกมาว่า “ผมคิดว่าเราควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนที่เราจะส่งสัญญาณตอบไปยังต้นทางของสัญญาณที่ส่งมาจากอวกาศ”

ทั้งยังอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า สิ่งมีชีวิตทรงปัญญาที่สามารถส่งสัญญาณที่มีพลังมหาศาลที่สามารถเดินทางข้ามอวกาศในระยะทางหลายหมื่นล้านปีแสงมายังโลกได้นั้น จะต้องมีเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำนำหน้ามนุษยชาติมากมายหลายเท่านัก

ศ.ไบเลส รับผิดชอบในส่วนของโครงการที่รัฐบาลออสเตรเลียลงนามกับกองทุนรางวัลก้าวหน้า (ฺBreakthrough Prize Foundation) ในส่วนของการควบคุมกล้องโทรทรรศน์วิทยุ ในเมืองพาร์คส์ ที่อยู่ห่างไปทางตะวันตกของนครซิดนีย์ราว 356 กิโลเมตร

โครงการนี้นับเป็นโครงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดที่มุ่งเน้นการค้นหาสัญญาณของสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาในอวกาศ ที่จะสำรวจพื้นที่อวกาศได้มากกว่าโครงการสำรวจอวกาศเดิมถึง 10 เท่า

มีการติดตั้งคอมพิวเตอร์ทรงพลังที่ใช้ตรวจจับและวิเคราะห์สัญญาณสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวหรือสัญญาณอื่นๆ ที่สถานีกล้องโทรทรรศน์วิทยุในเมืองพาร์คส์ ที่จะใช้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการริเริ่มการฟังก้าวหน้าที่ได้รับการสนับสนุนด้านเทคนิคจากนายสตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง นักจักรวาลศาสตร์ชื่อดังชาวอังกฤษ และเงินทุนจากมหาเศรษฐีชาวรัสเซีย โดยคอมพิวเตอร์ทรงพลังเหล่านี้จะสุ่มค้นหาตัวอย่างสัญญาณที่ซ้ำกันที่อยู่ในอวกาศหลายพันล้านสัญญาณเพื่อค้นหารูปแบบหรือสัญญาณที่ส่งมาจากมนุษย์ต่างดาว

กล้องโทรทรรศน์วิทยุพาร์คส์ นับเป็นหนึ่งในกล้องโทรทรรศน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีประวัติที่น่าชื่นชมในการสำรวจอวกาศ ทั้งยังเป็นกล้องโทรทรรศน์วิทยุแห่งแรกในโลกที่ได้รับสัญญาณจากยานอวกาศอะพอลโล 11 ที่นำ นีล อาร์มสตรอง นักบินอวกาศอเมริกันเหยียบดวงจันทร์เป็นคนแรกของโลกเมื่อปี 2512

ผู้นำโครงการชาวออสเตรเลียคนนี้ยอมรับว่า งานที่ได้รับนั้นเป็นงานที่ยากเย็นแสนเข็ญ เพราะต้องเริ่มต้นจากความไม่รู้ว่าจะมองหาสัญญาณในรูปแบบใด และไม่เคยมีแนวทางหรือหลักฐานที่บ่งชี้มาก่อนว่าลักษณะใดคือสัญญาณของมนุษย์ต่างดาว ระบบคอมพิวเตอร์ต้องแยกสัญญาณต่างๆ เช่น คลื่นวิทยุที่เกิดจากการระเบิดของดวงดาวออกจากสัญญาณที่แท้จริงที่ส่งมาจากสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาในอวกาศ

โครงการนี้ต้องอาศัยกระบวนการทางคณิตศาตร์ในการคำนวณ และสร้างภาพที่ชัดเจนของสัญญาณชนิดต่างๆ ซึ่งต้องอาศัยระบบคอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังและต้องใช้เวลาในการประมวลผลอย่างมาก และนี่ก็เป็นจุดอ่อนของโครงการสำรวจอวกาศในยุคก่อนที่เทคโนโลยียังไม่ก้าวหน้าเช่นปัจจุบันนี้

อย่างไรก็ดีนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ถ้ามีการตรวจจับสัญญาณจากมนุษย์อวกาศได้จริง ก็จะมีกระบวนการกลั่นกรอง และพิสูจน์สัญญาณดังกล่าวว่าเป็นของจริง ซึ่งผู้นำในโครงการนี้กล่าวย้ำว่า ถ้าเรา “โชคดี” เพียงพอ ก็จะพบสัญญาณดังกล่าวได้

 

Kaokala Fc
24 ก.ค. นาซา ประกาศค้นพบดาวคล้ายโลกมากที่สุด Kepler-452b ชี้เป็นดาวโลก 2.0 คาดน่าจะมีน้ำและอาจมีสิ่งมีชีวิต



วันที่ 24 กรกฎาคม 2558 สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานการค้นพบครั้งสำคัญและน่าตื่นเต้นทางดาราศาสตร์ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ หรือนาซา (NASA) ที่เปิดเผยว่า ค้นพบดาวเคราะห์คล้ายโลกมากที่สุดจนเปรียบเสมือนดาวคู่แฝด โดยตั้งชื่อว่า ดาวเคราะห์ Kepler-452b และชื่อเล่นให้ด้วยว่า "Earth 2.0" จากการใช้กล้องเคปเลอร์ (Kepler) ซึ่งเป็นกล้องโทรทรรศน์มีกำลังขยายสูงที่ถูกส่งออกไปค้นหาดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ



(ชมคลิป..https://www.youtube.com/watch?v=PkPYDxRkSnc)

รายงานระบุว่า ที่ผ่านมานาซาเคยค้นพบดาวคล้ายโลกอยู่หลายครั้ง แต่ Kepler-452b มีความคล้ายคลึงกับโลกของเรามากที่สุด อยู่ในกลุ่มดาวซิกนัส (Cygnus) หรือกลุ่มดาวหงส์ ดาวเคราะห์ดวงนี้มีลักษณะเป็นหินเหมือนโลก แต่มีอายุมากกว่าโลก ขนาดใหญ่กว่าโลกถึงร้อยละ 60 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 1,400 ปีแสง นอกจากนี้ยังโคจรอยู่รอบดาวที่มีลักษณะคล้ายกับดวงอาทิตย์และมีระยะการโคจรเท่า ๆ กับโลก คือ 385 วัน ส่วนโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ 365 วัน



และที่สำคัญนักวิทยาศาสตร์ยังเชื่อว่า บนดาว Kepler-452b น่าจะมีน้ำบนพื้นผิวดาวเคราะห์แบบเดียวกับโลกด้วย ซึ่งนั่นอาจมีสิ่งมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้

ภาพจาก nasa.gov
พบดาวคล้ายโลกมากที่สุด Kepler-452b นาซาชี้เป็นดาวโลก 2.0

 

Kaokala Fc
ถือเป็นการค้นพบทางดาราศาสตร์ครั้งใหญ่ที่สุดของโลกในรอบหลายสิบปี เมื่อนาซาประกาศว่าได้พบดาวเคราะห์ที่เปรียบเหมือนโลก "เวอร์ชั่น2.0" นั่นก็คือดาวเคปเลอร์452บี ซึ่งสำรวจพบโดยกล้องโทรทัศน์เคปเลอร์ ผ่านการเก็บข้อมูลนานหลายปี รวมถึงการวิเคราะห์และศึกษาบนพื้นโลก ในที่สุดก็ได้ข้อมูลมากพอที่จะสรุปได้ว่าดาวดวงนี้มีลักษณะใกล้เคียงโลกมากที่สุดเท่าที่เคยพบ และอาจจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ด้วย .... แสงแดดจากดวงดาวที่เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ของเคปเลอร์ 452บี ยังคล้ายกับแสงแดดบนโลกอย่างมาก จนทำให้พืชสามารถสังเคราะห์แสงได้เหมือนบนโลก และผลิตออกซิเจนสำหรับสิ่งมีชีวิตได้ แม้แต่การอาบแดดให้ผิวเป็นสีแทนก็สามารถทำได้เช่นเดียวกับการอาบแดดบนชายหาดในโลกของเรา

แต่โชคร้ายที่ดาวอันเหมือนบ้านหลังที่สองของมนุษย์โลกดวงนี้ อยู่ไกลเกือบจะเกินเอื้อม ถึง 1,400 ปีแสง ซึ่งหมายความว่าหากใช้ความเร็วเท่ากับที่ยานนิว ฮอไรซันส์ เดินทางไปยังดาวพลูโต ที่ 36,373 ไมล์ต่อชั่วโมง ก็จะต้องใช้เวลาถึง 25.8 ล้านปี กว่าเราจะไปถึงดาวพี่สาวของโลกดวงนี้ได้

<iframe width="640" height="360" frameborder="0" scrolling="no" src="http://www.voicetv.co.th/content/embed?id=236694" ></iframe>

(ชมคลิป..มนุษย์สามารถใช้ชีวิตบนดาว'เคปเลอร์ 452บี' ได้หรือไม่? - VoiceTV)

 

ป.ป.ช.ฟัน ผอ.วิทยาลัยเทคโนฯต่อเรือ-อยุธยา เบิกค่าน้ำมันเติมรถตัวเอง
เขียนวันที่ วันอาทิตย์ ที่ 26 กรกฎาคม 2558 เวลา 09:00 น.เขียนโดยisranews



ป.ป.ช. ฟันวินัยร้ายแรง-อาญา ผอ.วิทยาลัยเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมการต่อเรือ-อยุธยา ปมเบิกค่าเบี้ยงเลี้ยง-ค่าที่พักในการเดินทางราชการเป็นเท็จ เบิกค่าน้ำมันราชการเติมรถตัวเอง


ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดนายทองพูน กิ่งนาค ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมการต่อเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา กรณีเบิกค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าที่พักในการเดินทางไปราชการอันเป็นเท็จ และเบิกจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงของทางราชการเติมใส่รถยนต์ส่วนตัว

ทั้งนี้ นายทองพูน มีมูลความผิดวินัยอย่างร้ายแรง และมีมูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 157 และมาตรา 162 (1), (4) ล่าสุด คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ส่งสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาโทษทางวินัย และได้ส่งสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อดำเนินคดีอาญาแล้ว

http://www.isranews.org/isranews-news/item/40175-nacc_1264_01.html

 

เผยชื่อ 5 โครงการพีอาร์ "สนพ." 64 ล้าน สตง.พบพิรุธจ้างเอกชนไม่โปร่งใส
เขียนวันที่ วันเสาร์ ที่ 25 กรกฎาคม 2558 เวลา 10:00 น.เขียนโดยisranewsหมวดหมู่จัดซื้อจัดจ้าง | เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา |



เปิดชื่อ 5 โครงการพีอาร์ สนพ. ุ64 ล้าน สตง.สอบพบพิรุธ จัดจ้างเอกชนรายเดียวรับงาน พบชื่อ "ทริปเปิล เจ" ได้มากสุด 49 ล้าน

จากกรณี สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ตรวจสอบโครงการประชาสัมพันธ์ด้านพลังงาน ของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน (สนพ.) จำนวน 9 โครงการ รวมวงเงินทั้งสิ้น 96,249,266 บาท พบพิรุธกระบวนการจัดจ้างไม่โปร่งใสไม่ปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ตลอดถึงการเอื้อประโยชน์แก่ผู้ดำเนินงานเพียงรายเดียวเท่านั้น โดยวิธีพิเศษมี 4 โครงการที่ดำเนินการอย่างถูกต้อง

ส่วนอีก 5 โครงการ เจ้าหน้าที่และคณะกรรมการจัดจ้างมีพฤติการณ์การกระทำความผิดลักษณะเดียวกัน คือ กระทำการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กระทำการใด ๆ ที่มุ่งหมายไม่ให้เกิดการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมไม่เปิดเผยไม่โปร่งใส นั้น

(อ่านประกอบ : สตง. สอบพบพิรุธ สนพ.จ้างประชาสัมพันธ์ด้านพลังงาน 4 ใน 9 โครงการ ไม่โปร่งใส)

ล่าสุดสำนักข่าวอิศรา สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบพบว่า โครงการประชาสัมพันธ์ด้านพลังงาน ของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน (สนพ.) จำนวน 9 โครงการ รวมวงเงินทั้งสิ้น 96,249,266 บาท ที่ สตง.ระบุมีรายละเอียดดังนี้

4 โครงการ ที่ถูกระบุว่าดำเนินการอย่างถูกต้อง ได้แก่

1. ทำสื่อประชาสัมพันธ์ผ่านสารคดีโทรทัศน์ เรื่อง การผลิตไฟฟ้าและการกระจายแหล่งเชื้อเพลิงไฟฟ้า ตามสัญญาเลขที่ KO 1/2550 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2549 วงเงิน 963,000 บาท จัดหาโดยการประกวดราคา

2. สนับสนุนการประสานผลักดันนโยบายและแผนพัฒนา พลังงานสู่การปฏิบัติ ตามสัญญาเลขที่ กนช.3/2550 ลงวันที่ 14 ธันวาคม 2549 วงเงิน 11,981,750 บาท จัดหาโดยพิธีพิเศษ

3. กิจกรรมประชาสัมพันธ์เพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน สัญญาแรก เลขที่ กนช.4/2550 ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2550 วงเงิน 14,995,087 บาท จัดหาโดยพิธีพิเศษ

4. กิจกรรมประชาสัมพันธ์เพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน สัญญาสอง เลขที่ กนช.5/2550 ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2550 วงเงิน 3,996,450 บาท จัดหาโดยพิธีพิเศษ

5 โครงการ ที่ถูกตรวจสอบพบว่า เจ้าหน้าที่และคณะกรรมการจัดจ้างมีพฤติการณ์การกระทำความผิดลักษณะเดียวกัน คือ กระทำการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กระทำการใด ๆ ที่มุ่งหมายไม่ให้เกิดการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม ไม่เปิดเผย ไม่โปร่งใส ได้แก่

1. กิจกรรมประชาสัมพันธ์เพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน ตามสัญญาเลขที่ กนช.2/2549 ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2549 วงเงิน 14,999,000 บาท จัดหาโดยพิธีพิเศษ

2. กิจกรรมประชาสัมพันธ์เพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน (เพิ่ม) ตามสัญญาเลขที่ กนช.5/2549 ลงวันที่ 27 กันยายน 2549 วงเงิน 3,920,000 บาท จัดหาโดยพิธีพิเศษ

3. ประชาสัมพันธ์ด้านพลังงานทดแทน "ไบโอดีเซล" ตามสัญญาเลขที่ กอ.55/2549 ลงวันที่ 29 กันยายน 2549 วงเงิน 11,995,235 บาท จัดหาโดยวิธีพิเศษ

4. จ้างที่ปรึกษาวางแผนกลยุทธ์สื่อสารและประชาสัมพันธ์การกระจายชนิดเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า ตามสัญญาเลขที่ 13/2550 ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2550 วงเงิน 14,857,670 บาท จัดหาโดยคัดเลือก

5. สนับสนุนการประสานผลักดันนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานสู่การปฏิรูป ตามสัญญาเลขที่ กนช.7/2550 ลงวันที่ 27 มิถุนายน 2550 วงเงิน 18,539,034 บาท จัดหาโดยวิธีพิเศษ

รวมวงเงินทั้งสิ้น 64,310,939 บาท

จากการตรวจสอบพบว่า ในจำนวน 5 โครงการ ที่ถูกตรวจสอบพบว่า มีปัญหาในขั้นตอนการดำเนินงาน ปรากฎชื่อ เอกชน 2 ราย เข้ามาเกี่ยวข้อง

โดย บริษัท ดาวฤกษ์ คอมมูนิเคชั่นส์ จำกัด มี 1 โครงการ คือ จ้างที่ปรึกษาวางแผนกลยุทธ์สื่อสารและประชาสัมพันธ์การกระจายชนิดเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า ตามสัญญาเลขที่ 13/2550 ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2550 วงเงิน 14,857,670 บาท

ส่วนที่เหลืออีก 4 โครงการ ปรากฎชื่อ บริษัท ทริปเปิล เจ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด เป็นผู้รับงานทั้งหมด รวมวงเงินกว่า 49 ล้านบาท

(กดคลิกติดตามข่าวสาร ได้ใน แฟนเพจ "I love isranews ")



http://www.isranews.org/isranews-news/item/40161-ืnews01_40161.html

 

สตง. สอบพบพิรุธ สนพ.จ้างประชาสัมพันธ์ด้านพลังงาน 4 ใน 9 โครงการ ไม่โปร่งใส เขียนวันที่ วันศุกร์ ที่ 24 กรกฎาคม 2558 เวลา 13:28 น.เขียนโดยisranews



สตง. ตรวจสอบโครงการประชาสัมพันธ์ด้านพลังงาน สนพ. 9 โครงการ รวมวงเงิน 96 ล้าน พบพิรุธกระบวนการจัดจ้างไม่โปร่งใส ไม่ปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ตลอดถึงการเอื้อประโยชน์แก่ผู้ดำเนินงานเพียงรายเดียว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ตรวจสอบโครงการประชาสัมพันธ์ด้านพลังงาน ของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน (สนพ.) จำนวน 9 โครงการ รวมวงเงินทั้งสิ้น 96,249,266 บาท พบพิรุธกระบวนการจัดจ้างไม่โปร่งใสไม่ปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ตลอดถึงการเอื้อประโยชน์แก่ผู้ดำเนินงานเพียงรายเดียวเท่านั้น โดยวิธีพิเศษมี 4 โครงการที่ดำเนินการอย่างถูกต้อง ส่วนอีก 5 โครงการ เจ้าหน้าที่และคณะกรรมการจัดจ้างมีพฤติการณ์การกระทำความผิดลักษณะเดียวกัน คือ กระทำการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กระทำการใด ๆ ที่มุ่งหมายไม่ให้เกิดการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม ไม่เปิดเผย ไม่โปร่งใส

จากผลการตรวจสอบของ สตง. ปรากฏว่า

1. ระบุในสัญญาจัดจ้างบริษัทเพียงรายเดียวเท่านั้น โดยให้เหตุผลว่า บริษัทนี้มีความรู้ความชำนาญเป็นพิเศษ ซึ่งข้อเท็จจริงการจัดจ้างในลักษณะที่มีวงเงินงบประมาณสูง จำเป็นต้องคำนึงถึงคุณสมบัติ ความสามารถของผู้เสนอราคาให้เหมาะสมกับวงเงินงบประมาณ และ สนพ.สามารถดำเนินจัดจ้างด้วยวิธีประกวดราคาได้ หากใช้วิธีประกวดราคา จะทำให้เกิดการแข่งขันด้านเทคนิค และเกิดราคาเหมาะสมที่สุดจะเป็นประโยชน์ต่อทางราชการ

2. การจ้างเพิ่มเติม หรือ Repeat Order เมื่อแต่งตั้งให้มีคณะกรรมการจัดจ้างแล้ว ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 24(5) ได้กำหนดให้ คณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษมีหน้าที่ต้องเจรจากับผู้รับจ้างรายเดิมตามสัญญาที่ยังไม่สิ้นระยะเวลาส่งมอบ เพื่อให้มีการจ้างตามรายละเอียดและราคาที่ต่ำกว่าหรือราคาเดิม ในข้อเท็จจริง สนพ.มีการทำสัญญาใหม่เกิดขึ้นรายละเอียดแตกต่างไปจากสัญญาเดิมมิได้แสดงให้เห็นว่า คณะกรรมการ ฯ ได้เจราจากับบริษัทสัญญาเดิมเพื่อขอให้มีการจ้างตามรายละเอียดและราคาที่ต่ำกว่า จึงไม่ใช่เป็นกรณีการจ้างเพิ่มเติม ( Repeat Order ) แต่เป็นการจ้างทำกิจกรรมประชาสัมพันธ์โดยมีสัญญาใหม่และไม่รายงานต่อผู้บังคับบัญชา เป็นเหตุให้น่าเชื่อว่า เป็นการกระทำเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ มีจุดมุ่งหมายไม่ให้เกิดการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม และเอื้อประโยชน์ให้ผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานรัฐเพียงรายเดียว

3. สนพ. ไม่ปฏิบัติตามรายละเอียดและข้อกำหนด TOR และไม่มีระเบียบของทางราชการรองรับที่กำหนดให้เปิดซองได้เฉพาะบริษัทรายที่ผ่านการพิจารณาคัดเลือก เรื่องรายละเอียดแผนการดำเนินงานโดยรวมคะแนนไม่น้อยกว่า ร้อยละ 80 โดยให้บริษัทที่เสนอราคาทั้ง 2 ราย ยื่นข้อเสนอทางเทคนิคเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ข้อเสนอที่ดี โดยไม่มีการเปิดซองราคาของทั้งสองบริษัทว่าผ่านเกณฑ์หรือไม่ และได้ทำสัญญากับผู้รับจ้างรายเดิมที่เป็นคู่สัญญากับ สนพ.ในทุกโครงการ การกระทำเช่นนี้เป็นการดำเนินการที่นอกเหนือจาก TOR และเป็นการทำให้ราชการเสียประโยชน์จากการแข่งขันทางด้านราคาและไม่มีระเบียบของราชการรองรับ จึงเป็นการทุจริต

4. ดำเนินการจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีคัดเลือก คณะกรรมการดำเนินการจ้างได้คัดเลือกและลงนามทำหนังสือเชิญบริษัทให้มายื่นข้อเสนอทั้งที่บริษัทแห่งนี้ ไม่มีคุณสมบัติที่ถูกต้องและเหมาะสม ด้วยเหตุที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่ปรึกษาด้านประชาสัมพันธ์กับศูนย์ข้อมูลที่ปรึกษากระทรวงการคลัง จึงถือได้ว่าการมีหนังสือถึงบริษัทแห่งนี้เป็นการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า การกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบและคณะกรรมการจัดจ้างส่วนใหญ่เกิดขึ้นในขั้นตอนกระบวนการจัดจ้าง ให้เป็นความผิดดังนี้

1. เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใดผู้หนึ่ง หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา

2. มีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าเป็นการกระทำโดยมุ่งหมายมิให้เกิดการแข่งขันกันอย่างเป็นธรรมเพื่อเอื้ออำนวยแก่ผู้เข้าทำการเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542

3. เป็นการกระทำความผิดที่ไม่เปิดเผย โปร่งใส และเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรมตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

ถือเป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับของทางราชการ ดังนั้น สตง. จึงดำเนินการ ตามมาตรา 44 มาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542 และความผิดวินัยทางงบประมาณและการคลังกับผู้กระทำความผิด โดยเสนอเรื่องดังกล่าวให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป

http://www.isranews.org/isranews-news/item/40146-962407581.html

 

ป.ป.ช.จ่อขึ้น“แบล็คลิสต์”คู่สัญญารัฐไม่แสดงบัญชีรับจ่ายต่อกรมสรรพากร
เขียนวันที่ วันพุธ ที่ 22 กรกฎาคม 2558 เวลา 10:48 น.เขียนโดยisranewsหมวดหมู่ข่าว



ป.ป.ช. จ่อขึ้น “แบล็คลิสต์” คู่สัญญารัฐที่ไม่แสดงบัญชีรายรับ-จ่ายต่อกรมสรรพากร อึ้ง! มีกว่าพันราย เผยเป็นเอกชนที่เพิ่งเปิดกิจการ เตรียมประกาศรายชื่อ 28 ก.ค.นี้


ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2558 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จัดงานสัมมนาเรื่องแนวทางปฏิบัติของคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐตามหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำและแสดงบัญชีรายการรับจ่ายของโครงการส่วนกลาง

โดยนายภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวบรรยายพิเศษเรื่องมาตรการเสริมด้านการป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐตอนหนึ่งว่า เงินที่ประเทศใช้จ่ายงบลงทุนปีละ 6-7 แสนล้านบาทในการจัดซื้อจัดจ้าง แต่ในจำนวนนี้เกิดความสูญเปล่าไม่น้อยกว่า 20-30 เปอร์เซ็นต์ ที่หายไปในการทุจริต แทนที่จะนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศแต่กลับถูกนำไปเป็นประโยชน์ของคนส่วนน้อย อย่างไรก็ดีขณะนี้มีมาตรการที่จะดำเนินการอย่างเฉียบขาดขึ้น ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2558 มาตรา 103/7 ที่กำหนดให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการจัดทำข้อมูลรายละเอียดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง โดยเฉพาะราคากลาง และการคำนวณราคากลางไว้ในระบบข้อมูลอิเลคทรอนิกส์ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าตรวจได้

นายภักดี กล่าวอีกว่า ในกรณีที่มีการทำสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับบุคคลที่เป็นคู่สัญญาของรัฐ ที่มีมูลค่าตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไปมีหน้าที่แสดงบัญชีรายการรับจ่ายของโครงการต่อกรมสรรพากร ซึ่งหากคู่สัญญาของรัฐไม่ดำเนินการ จะถูกขึ้นบัญชีประกาศไว้ในฐานข้อมูล ซึ่งคู่สัญญารายนั้นจะถือว่าขาดคุณสมบัติในการรับงานของหน่วยงานรัฐ ที่จะไม่สามารถรับงานของรัฐได้อีกต่อไปไม่ว่ากรณีใด ๆ โดยในเร็ว ๆ นี้ ป.ป.ช. จะประกาศรายชื่อผู้ถูกขึ้นบัญชี

นายภักดี กล่าวเพิ่มเติมกรณีนี้ว่า สำหรับผู้ถูกขึ้นบัญชีนั้นมีจำนวนกว่า 1,000 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นเอกชนที่เพิ่งเปิดกิจการขึ้นมาใหม่ ซึ่งอาจจะยังไม่ทราบหลักเกณฑ์ตรงนี้จึงยังไม่มีการแสดงบัญชีรายรับจ่ายมาอย่างครบถ้วนจึงทำให้ตรวจพบว่ามีจำนวนมากพอสมควร แต่เมื่อมีการแสดงบัญชีรายรับจ่ายมาก็จะได้รับการปลดออกจากการขึ้นบัญชีดังกล่าวไปไม่เหมือนกับผู้ทิ้งงานที่จะเสียสถานะไปทันที ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่อย่างไรก็ตามจะมีการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์ในการประกาศรายชื่อผู้ถูกขึ้นบัญชีในวันที่ 28 ก.ค. 2558

http://www.isranews.org/isranews-news/item/40086-nacc_1261.html

ป.ป.ช.บี้เอกชนคู่สัญญารัฐหลายแห่งยื่นแสดงบัญชีรับ-จ่ายต่อสรรพากร
เขียนวันที่ วันจันทร์ ที่ 26 มกราคม 2558 เวลา 15:13 น.เขียนโดยisranews

ป.ป.ช. แพร่ข่าวบี้บุคคล-นิติบุคคลคู่สัญญารัฐหลายแห่ง ยื่นแสดงบัญชีรายรับรายจ่ายต่อกรมสรรพากร ป้องขาดคุณสมบัติการเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานรัฐ เหตุปี 2555-56 มีหลายแห่งยังไม่ยื่น

ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เผยแพร่ข่าวแจ้งให้บุคคลหรือนิติบุคคลซึ่งเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐที่ยังไม่ได้ยื่นแบบแสดงบัญชีรายรับรายจ่ายของโครงการ (บช.1) ของรอบระยะเวลาบัญชีหรือปีภาษี 2555 และ 2556 เร่งดำเนินการจัดทำและยื่นต่อกรมสรรพากรโดยเร็ว เพื่อมิให้ขาดคุณสมบัติการเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานรัฐ

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ออกประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำและแสดงบัญชีรายการรับจ่ายของโครงการที่บุคคลหรือนิติบุคคล เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2554 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกำหนดให้บุคคลหรือ นิติบุคคลซึ่งเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 เป็นต้นมา ในสัญญาที่เกี่ยวกับการจัดหาพัสดุ หรือการพัสดุ สัญญาสัมปทาน สัญญาให้ทุนสนับสนุนเพื่อการวิจัย และสัญญาให้ทุนสนับสนุนเพื่อดำเนินกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง และสัญญานั้นมีมูลค่าตั้งแต่สองล้านขึ้นไป

โดยบุคคลหรือนิติบุคคลซึ่งเป็นคู่สัญญา ในสัญญาดังกล่าว มีหน้าที่ต้องจัดทำบัญชีแสดงรายรับรายจ่ายที่เกิดขึ้นในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีหรือรอบปีภาษีและยื่นต่อกรมสรรพากรเป็นรายปีจนกว่าจะสิ้นสุดภาระผูกพันตามสัญญา หรือสิ้นสุดระยะเวลาการประกันผลงานพร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลแล้วแต่กรณี

จากการตรวจสอบปรากฏว่าในรอบระยะเวลาบัญชีหรือปีภาษี 2555 และ 2556 ยังมีบุคคลหรือนิติบุคคลซึ่งเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐในสัญญาดังกล่าวบางรายยังมิได้ยื่นแบบบัญชีแสดงรายการรับจ่ายของโครงการ (บช.1) หรือยื่นยังไม่ถูกต้องครบถ้วนตามจำนวนของสัญญา

จึงขอให้บุคคลหรือนิติบุคคลดังกล่าวดำเนินการให้ถูกต้องครบถ้วนโดยเร็ว ซึ่งหากยังมิได้ดำเนินการอาจเป็นเหตุให้ขาดคุณสมบัติการเป็นคู่สัญญา กับหน่วยงานของรัฐได้



หมายเหตุ : ภาพประกอบสำนักงาน ป.ป.ช. จาก springnews

http://www.isranews.org/component/content/article/72-isranews/i

 

ปธ.สร.กฟผ.ชี้พื้นที่ภาคใต้ผลิตไฟฟ้าได้ถึง2,500 เมกกะวัตต์
เขียนวันที่ วันพุธ ที่ 22 กรกฎาคม 2558 เวลา 16:46 น.เขียนโดยthaireformหมวดหมู่Thaireform |



ประธานสหภาพแรงงานกฟผ.เผยโรงไฟฟ้าในภาคใต้ผลิตไฟฟ้าได้ 2,500 เมกกะวัตต์ ระบุหากต้องการเสริมความมั่นคงของระบบจำเป็นต้องสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่ม ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานระบุปัญหาไม่ใช่การสร้างแต่อยู่ที่พลังงานที่รัฐบาลเลือกใช้

การเคลื่อนไหวในการคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินที่กระบี่ยังคงมีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่าอยากให้กลุ่มที่คัดค้านและมองภาพรวมเนื่องจากในภาคใต้มีการใช้ไฟฟ้ามากกว่า 3,000 เมกกะวัตต์ ขณะที่ปริมาณไฟฟ้ามีเพียง 800 เมกกะวัตต์ จะทำให้ไฟฟ้าไม่เพียงพอและต้องจ่ายค่าไฟแพงขึ้น

นายศิริชัย ไม้งาม ประธานสหภาพแรงงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(สร.กฟผ.) กล่าวกับสำนักข่าวอิศราถึงปริมาณการใช้ไฟฟ้าของภาคใต้ในปัจจุบันอยู่ที่ 3,100 เมกกะวัตต์ ขณะที่การผลิตไฟฟ้าสามารถผลิตได้ประมาณ 2,500 เมกกะวัตต์ ส่วนที่เหลือเป็นการนำส่งมาจากภาคกลางอีก 600 เมกกะวัตต์ เนื่องจากกฟผ.มีระบบเชื่อมทั้งระบบ ฉะนั้นไฟฟ้าจึงเพียงพอ แต่หากต้องการความมั่นคงจำเป็นที่จะต้องมีโรงไฟฟ้าประจำ เพราะพื้นที่ภาคใต้โรงไฟฟ้าทั้งหมดที่มีตอนนี้หากโรงไฟฟ้าเดินกำลังเต็มที่ผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 2,000 ดังนั้นเพื่อเสริมความมั่นคงของระบบไฟฟ้าจำเป็นที่จะต้องมีโรงไฟฟ้าเพิ่ม และจากสถิติที่ผ่านมาคือภาคใต้มีสถิติการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตลอด

ด้านศ.ดร.พลายพล คุ้มทรัพย์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงสถานการณ์หรือกำลังการผลิตไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้พอหรือไม่สำหรับวันนี้ ความจริงก็พอ แม้จะมีดึงมาจากโรงไฟฟ้าในพื้นที่ภาคกลางบ้าง แต่ในอนาคตปริมาณความต้องการเรื่องการใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น ซึ่งปกติเพิ่มขึ้นทุกปีอาจจะอยู่ราวๆ 400-600 เมกกะวัตต์ ดังนั้นการสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มจึงเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์เพื่อให้ไฟฟ้าเพียงพอสำหรับในอนาคต

“ถ้าถามว่าไม่สร้างโรงไฟฟ้าที่กระบี่เพิ่มจะเป็นอย่างไร ปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้กับความต้องการใช้ก็จะปริ่มๆ และหากในอนาคตธุรกิจการท่องเที่ยวบูมความต้องการใช้ไฟฟ้าก็จะยิ่งมากขึ้น ดังนั้นการมีโรงไฟฟ้าเพิ่มเพื่อมารองรับความต้องการในอนาคต แต่ที่เป็นปัญหาขณะนี้คงเป็นเรื่องของพลังงานที่นำมาใช้ในการผลิตมากกว่า”

ขณะที่ผศ.ประสาท มีแต้ม ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน กล่าวว่า ปริมาณการผลิตไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้มีจำนวนมาก เหลือประมาณ 52% ซึ่งมาตรฐานค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 5% เท่านั้น แต่ที่ออกมาบอกว่าผลิตได้แค่นี้ไม่พอต้องดึงมาจากที่อื่นไม่เป็นความจริง นั่นคือการไม่นับข้อมูลโรงไฟฟ้าจริงๆ มีการเอาโรงไฟฟ้าไปซ่อน บอกข้อมูลไม่ครบ นี่คือปัญหา

ส่วนปริมาณการใช้ไฟฟ้านั้นเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ผศ.ประสาท กล่าวว่า ปี 2557 อยู่ที่ 2,683 เมกกะวัตต์ สำหรับปีนี้ไม่แน่ใจว่าเท่าไหร่ บางแห่งที่ผลิตไฟฟ้าแล้วส่งมาในพื้นที่กฟผ.ไม่นับ การส่งจากมาเลเซียก็ไม่คิด ผลเลยออกมาว่าผลิตไฟฟ้าไม่พอเป็นข้อมูลที่บิดเบือน อย่างกรณีของกรุงเทพฯเองก็ไม่มีโรงไฟฟ้าเป็นของตัวเองเป็นการนำส่งมาจากแหล่งผลิตอื่นเช่นเดียวกัน

“ปัญหาการสร้างโรงไฟฟ้าไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ปัญหาใหญ่คือถ้าจะสร้างทำไมต้องเป็นถ่านหิน อ้างว่าเพราะความมั่นคงทั้งๆที่เราไม่ได้ผลิตถ่านหินเอง แค่อยากจะถามรัฐบาลว่าทำไมถึงไม่ใช่ทรัพยากรที่เรามีมาทำโรงไฟฟ้า หรือต้องการตอบสนองนักธุรกิจที่ขายถ่านหินเมื่อไม่มีคำตอบที่ชัดเจนก็มองเหตุผลอื่นไม่ได้ เพราะวันนี้ต่างประเทศถอนทุนออกจากธุรกิจถ่านหินเกือบหมดแล้ว และบริษัทในประเทศไทยเองก็ปิดไปแล้ว 2 แห่ง”

http://www.isranews.org/isranews-news/item/40099-light_40099.html

 

ศาลปค. สั่งกฟผ.คืนเงินค้ำประกัน 22 ล้านแก่บ.ไฟฟ้าชีวมวล
เขียนวันที่ วันศุกร์ ที่ 24 กรกฎาคม 2558 เวลา 19:31 น.เขียนโดยisranewsหมวดหมู่ข่าว |



ศาลปค.กลาง พิพากษาให้กฟผ.คืนเงินค้ำประกัน 22 ล้านแก่บ.ไฟฟ้าชีวมวล หลังประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ผิดสัญญา กรณีแจ้งยกเลิกการซื้อขายไฟฟ้า

วันที่ 24 กรกฎาคม ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4) คืนหลักค้ำประกันการยื่นคำร้องและข้อเสนอขายไฟฟ้าตามหนังสือค้ำประกันของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นเงินจำนวน 22,500,000 บาทให้แก่บริษัท ไฟฟ้าชีวมวล จำกัด ให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด ในคดีหมายเลขดำที่ 1194/2556 คดีหมายเลขแดงที่ 1762/2558 ระหว่าง บริษัท ไฟฟ้าชีวมวล จำกัด (ผู้ฟ้องคดี) กับ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่ 1 กับพวกรวม 4 คน (ผู้ถูกฟ้องคดี) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย , คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง (คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีฟ้องขอให้เพิกถอนมติและประกาศของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่ผิดสัญญา กรณีแจ้งยกเลิกการซื้อขายไฟฟ้า)

ส่วนกรณีที่ผู้ฟ้องคดีมีคำขอให้ กฟผ.ชำระค่าเสียหายในส่วนของค่าธรรมเนียนหนังสือค้ำประกัน รวมเป็นเงิน 5,850,000 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของเงินต้นดังกล่าว นับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จนั้น เห็นว่า ค่าธรรมเนียมหนังสือค้ำประกันถือเป็นค่าใช้จ่ายอันเนื่องจากการที่ผู้ฟ้องคดีขอให้ธนาคารกรุงไทย ออกหนังสือค้ำประกันให้แก่ผู้ฟ้องเพื่อนำไปวางไว้ กับกฟผ. ซึ่งเป็นผลประโยชน์เชิงพาณิชน์ กฟผ.จึงไม่จำเป็นต้องรับผิดชำระค่าเสียหายในส่วนของค่าธรรมเนียมหนังสือค้ำประกันดังกล่าว

http://www.isranews.org/isranews-news/item/40151-22240758.html

 

จีนส่งดาวเทียมใหม่ 2 ดวงเพื่อสร้างระบบนำทางด้วยดาวเทียมแข่งกับระบบจีพีเอส Written by: กอง บก.ข่าวต่างประเทศ2015/07/26 12:13 PM



ปักกิ่ง 26 ก.ค. – จีนส่งดาวเทียมใหม่ 2 ดวงขึ้นสู่วงโคจรในอวกาศเมื่อวานนี้ เพื่อสร้างระบบนำทางด้วยดาวเทียมแข่งกับระบบบอกตำแหน่งบนพื้นโลก Global Positioning System หรือ จีพีเอสของสหรัฐ

สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงานว่า จรวดที่บรรทุกดาวเทียม 2 ดวงถูกส่งจากศูนย์ปล่อยดาวเทียมซีชางในมณฑลเสฉวนทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนเมื่อเวลา 20.29 น. วานนี้ตามเวลาท้องถิ่น หรือตรงกับ 19.29 น.ตามเวลาในประเทศไทย ดาวเทียมดังกล่าวเป็นดวงที่ 18 และ 19 ที่จีนส่งเข้าสู่วงโคจรในอวกาศเพื่อพัฒนาระบบนำทางที่จีนสร้างขึ้นเองที่เรียกว่า เป่ยโต หรือ เข็มทิศ ระบบเป่ยโตในขณะนี้ครอบคลุมพื้นที่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกแต่คาดหมายจะให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วโลกภายในปี 2563

ระบบเป่ยโตเริ่มเปิดตัวเมื่อ 2555 เป็นหนึ่งในระบบนำทางเช่นเดียวกับ จีพีเอสของสหรัฐ โกลนาสส์ของรัสเซียและกาลิเลโอของสหภาพยุโรป โดยในขณะนี้หลายประเทศในเอเชียเริ่มนำระบบเป่ยโตนี้ไปใช้แล้ว รวมทั้ง ลาว ปากีสถาน และประเทศไทย.-สำนักข่าวไทย

http://www.tnamcot.com/content/243091

 

จีนประสบผลสำเร็จปล่อยดาวเทียม 2 ดวงรวด Written by: newmedia2015/07/26 11:52 AM



จีน 26 ก.ค. – จีนประสบความสำเร็จในการปล่อยดาวเทียม 18 และ 19 ของระบบดาวเทียมนำร่องไป่ตู๋ ซึ่งจีนพัฒนาขึ้นเอง เพื่อใช้งานในระบบนำร่องและระบุพิกัด การปล่อยดาวเทียมทั้ง2 ดวง มีขึ้นที่ศูนย์ปล่อยดาวเทียมซีฉางในมณฑลเสฉวนเมื่อเวลา 20.29 น. ของค่ำวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยดาวเทียมทั้ง 2 ดวงนี้จะทำงานร่วมกับดาวเทียมหมายเลข 17 ที่ถูกปล่อยขึ้นไปเมื่อเดือนมีนาคม เพื่อทำการทดสอบการส่งสัญญาณนำร่องชนิดใหม่และการส่งสัญญาณระหว่างดาวเทียมด้วยกัน. -สำนักข่าวไทย

จีนประสบผลสำเร็จปล่อยดาวเทียม 2 ดวงรวด | เว็บไซต์สำนักข่าวไทย

 

อิหร่านขอให้เคารพอธิปไตยภายหลังตุรกีทิ้งระเบิดกลุ่มไอเอส
Written by: กอง บก.ข่าวต่างประเทศ2015/07/26 9:24 AM



เตหะราน 26 ก.ค. – ทางการอิหร่านซึ่งเป็นพันธมิตรกับประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดแห่งซีเรียแถลงตอบโต้กลับ จากกรณีที่ตุรกีทิ้งระเบิดโจมตียังเป้าหมายกลุ่มรัฐอิสลาม(ไอเอส)ในซีเรีย ว่าขอให้เคารพอำนาจอธิปไตยของแต่ละประเทศในการปราบปรามการก่อการร้าย

กองกำลังตุรกีระดมโจมตีทางอากาศและยิงปืนใหญ่ใส่กลุ่มไอเอสในซีเรียและกลุ่มติดอาวุธชาวเคิร์ดในอิรักตลอดช่วง 2 วันที่ผ่านมา ทำให้โฆษกกระทรวงต่างประเทศอิหร่าน กล่าวว่า การปราบปรามการก่อการร้ายใดๆ ควรกระทำด้วยความเคารพต่อหลักอธิปไตยและตามกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งการกระทำใดก็ตามที่จะนำไปสู่ความอ่อนแอของรัฐบาลประเทศนั้น ยิ่งทำให้กลุ่มก่อการร้ายมีความเข้มแข็งและบรรลุเป้าหมายในการก่ออาชญากรรมมากขึ้น ถ้อยแถลงดังกล่าวมีนัยถึงตุรกีซึ่งให้การสนับสนุนกลุ่มกบฏเพื่อโค่นล้มประธานาธิบดีอัสซาดแห่งซีเรียมาตลอด และอ้างว่าทิ้งระเบิดโจมตีกลุ่มติดอาวุธในซีเรีย โดยที่ไม่ได้ประสานกับรัฐบาลซีเรีย .-สำนักข่าวไทย

http://www.tnamcot.com/content/242967

 

ชาวออสเตรเลียที่เกี่ยวพันกับไอเอสถูกตั้งข้อหาสนับสนุนลัทธิก่อการร้าย
Written by: กอง บก.ข่าวต่างประเทศ2015/07/26 12:09 PM



ซิดนีย์ 26 ก.ค. – บุรุษพยาบาลชาวออสเตรเลียถูกตั้งข้อหาในวันนี้ว่า กระทำความผิดเกี่ยวกับลัทธิก่อการร้ายด้วยการสนับสนุนกลุ่มรัฐอิสลาม หรือ ไอเอสในซีเรีย หลังจากเขาเดินทางจากซีเรียกลับออสเตรเลียด้วยความสมัครใจ

ตำรวจรัฐบาลกลางออสเตรเลียกล่าววันนี้ว่า คุณพ่อลูก 5 ชาวเมลเบิร์นวัย 39 ปี ซึ่งสื่อท้องถิ่นออสเตรเลียระบุชื่อว่า อดัม บรู้คแมน ที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม ไปขึ้นศาลที่นครเมลเบิร์นในวันนี้ หลังจากเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ในตุรกีเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา บรู้คแมนซึ่งเดินทางกลับมาถึงออสเตรเลียเมื่อคืนวันศุกร์ ถูกตั้งข้อหาว่า ให้การสนับสนุนองค์กรก่อการร้ายไอเอส ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 25 ปี เขายังอาจจะโดนลงโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ในข้อหาที่ 2 ว่าให้บริการโดยมีเจตนาช่วยเหลือสนับสนุนบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำอันเป็นปรปักษ์ต่อรัฐบาลต่างประเทศ นายบรู้คแมนไม่ได้ขอประกันตัวและถูกจับตัวไว้เพื่อรอขึ้นศาลเพื่อไต่สวนพิจารณาคดีในวันจันทร์

นายบรู้คแมนให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนก่อนหน้านี้ว่า เขาไปทำงานด้านให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมในซีเรียและถูกบังคับให้เข้าร่วมกับกลุ่มไอเอสหลังจากได้รับบาดเจ็บและถูกส่งไปยังดินแดนที่ไอเอสควบคุมอยู่ หลังจากนั้นเขาได้หนีออกมาและไปหลบซ่อนอยู่ในตุรกีและต้องการจะกลับบ้าน.-สำนักข่าวไทย

ชาวออสเตรเลียที่เกี่ยวพันกับไอเอสถูกตั้งข้อหาสนับสนุนลัทธิก่อการร้าย | เว็บไซต์สำนักข

 

Bank of Thailand Scholarship Students



(Jul 24) รีดรายได้อืดรัฐแบกหนี้อุ้มเศรษฐกิจ: การเก็บรายได้รัฐบาลปีงบประมาณ 2558 ผ่านมาแล้ว 9 เดือน ถือว่าอาการอยู่ในภาวะย่ำแย่ เก็บรายได้ทั้งหมดได้ 1.63 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 6.55 หมื่นล้านบาท

ถึงตอนนี้กระทรวงการคลังมีการประมาณการภายในว่า การเก็บรายได้รัฐบาลทั้งปีงบประมาณ 2558 จะต่ำกว่าเป้าหมายถึง 1.6 แสนล้านบาท แต่จะมีการเรียกเก็บเงินจากรัฐวิสาหกิจ กองทุนนอกงบประมาณ และภาษีการพนันจากกระทรวงมหาดไทย นำส่งให้กระทรวงการคลังเพิ่มรวมกันเป็นเงินกว่า 1 แสนล้านบาท ทำให้การเก็บรายได้คาดว่าจะต่ำกว่าเป้าเหลือ 5-6 หมื่นล้านบาท

การดำเนินการดังกล่าวเป็นเพียงการทำตัวเลขทางบัญชีให้ดูดีขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ยังเป็นการป้องกันไม่ให้การเบิกจ่ายของประเทศมีปัญหามีรายได้ไม่พอรายจ่ายอีกทางหนึ่ง ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจมีปัญหาเพิ่มขึ้น

สถานการณ์เก็บรายได้ขณะนี้จึงต้องถือว่ายิ่งนับวันก็ยิ่งแย่ ตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวรุนแรง และเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจต่างๆ ยังมีปัญหาไม่สามารถ ขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

หากดูในรอบการเก็บรายได้ 9 เดือนของปีงบประมาณ 2558 พบว่า การเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลต่ำกว่าเป้าถึง 6.05 หมื่นล้านบาท แสดงให้เห็นว่ารายได้กำไรของบริษัทห้างร้านหายไปมากจากภาวะเศรษฐกิจตกสะเก็ด

ขณะที่การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ซึ่งเป็นรายได้ก้อนใหญ่ของประเทศ ยอดจัดเก็บต่ำกว่าเป้า 4.22 หมื่นล้านบาท ส่วนสำคัญมาจากภาษีแวตที่เก็บจากการนำเข้าต่ำกว่าเป้าหมายมาก เนื่องจากราคาน้ำมันต่ำลง และอีกส่วนมาจากการนำเข้าที่ประมาณการว่าปีงบประมาณ 2558 จะขยายตัวได้ 6% แต่ผ่านไปถึงตอนนี้การนำเข้าติดลบไปถึง 6%

ด้านภาษีสรรพสามิตรถยนต์ก็ยังต่ำกว่าเป้าหมาย 1.77 หมื่นล้านบาท แสดงให้เห็นว่า การบริโภคสินค้าคงทนยังไม่ฟื้นตัว ส่วนหนึ่งจากมาตรการรถคันแรกของรัฐบาลที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนไม่ต้องการซื้อรถใหม่ อีกส่วนหนึ่งมาจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ปัญหาภัยแล้งทำให้รายได้เกษตรกรหดหาย กำลังซื้อเหือดแห้งตาม

แนวโน้มการเก็บรายได้ดังกล่าว ทำให้ประเมินการเก็บรายได้ครึ่งปีหลัง 2558 ซึ่งเป็นรอยต่อไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ 2558 และไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2559 ย่ำแย่หนักหนาสาหัส

เมื่อไปดูการประเมินการเก็บรายได้ปี 2558 ที่จัดทำในปี 2557 พบว่า ตอนเริ่มต้นคาดว่าเศรษฐกิจปีนี้จะโต 3-4% แต่เอาเข้าจริงเศรษฐกิจปี 2557 ขยายตัวได้ 0.7% ส่วนปี 2558 ตอนนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ไม่ถึง 3% ส่งผลให้การเก็บรายได้ของรัฐบาลอยู่ภาวะต่ำกว่าเป้าจำนวนมาก

ยิ่ง สมหมาย ภาษี รมว.คลัง ออกมา บอกว่า เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังจะขยายตัวได้น้อยกว่าครึ่งปีแรก โดยครึ่งปีหลังจะขยายตัวได้ 2.6% ยิ่งส่งผลกระทบการเก็บรายได้ครึ่งปีหลังให้แย่กว่าครึ่งปีแรกตามไปด้วย

นอกจากนี้ การที่เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจยังเร่งไม่ขึ้น ทั้งการลงทุน ที่ภาคเอกชนไม่ลงทุนเพิ่ม การส่งออกที่ติดลบ ทำให้ผู้ประกอบการทั้งรายเล็กรายใหญ่มีผลประกอบการไม่ดี การเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล และการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในช่วงครึ่งปีหลังจึงอยู่ในภาวะที่หวังไม่ได้

ขณะที่การเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ก็มีความเสี่ยงที่จะย่ำแย่ตาม จากรายได้คนทำงานไม่เพิ่ม และแรงงานจำนวนไม่น้อยมีรายได้ลดลง เพราะผู้ประกอบการรัดเข็มขัด ไม่จ้างงานเพิ่ม ลดเงินค่าจ้างล่วงเวลา เป็นต้น ล้วนแล้วแต่กระทบรายได้ของผู้เสียภาษีบุคคลธรรมดาทั้งนั้น

ดังนั้น การเก็บรายได้ของประเทศในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มจะฝืดเคืองอย่างหนัก ขณะที่กรมภาษีทั้งสามกรม คือ สรรพากร สรรพสามิต และศุลกากร ต่างเพิ่มประสิทธิภาพกันแทบจะถึงขีดสุด แต่การเก็บรายได้ของประเทศขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจเป็นสำคัญ ในภาวะที่เศรษฐกิจยิ่งวันยิ่งถอยอย่างที่เป็นอยู่ การเก็บรายได้ของรัฐก็อยู่ในภาวะเข็นไม่ขึ้น

วิกฤตรายได้ของประเทศถือว่าส่งสัญญาณมานาน เนื่องจากรายได้ไม่พอกับรายจ่าย ต้องมีการทำงบประมาณแบบขาดดุลต่อเนื่องมานานนับ 10 ปี

แต่ทว่าภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนและชะลอตัวลงค่อนข้างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้การเก็บรายได้ของประเทศทรุดหนัก ส่งผลให้การกู้เงินเพื่อทำงบประมาณขาดดุลกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว

ในปีงบประมาณ 2558 มีการทำงบประมาณขาดดุล 2.5 แสนล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ปีงบประมาณ 2559 มีการตั้งงบประมาณแบบขาดดุลเพิ่มเป็น 3.9 แสนล้านบาท เนื่องจากรายได้ของประเทศแทบจะไม่ขยายตัวจากปีก่อน แต่การใช้จ่ายเงินงบประมาณกลับยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งรายจ่ายประจำ รายจ่ายจากการใช้หนี้ที่กู้ไปทำโครงการประชานิยม และรายจ่ายจากการขยายการลงทุนของประเทศ

สำหรับงบประมาณ 2560 สมหมายได้ส่งสัญญาณว่า อาจจะต้องทำงบประมาณแบบขาดดุลเพิ่มขึ้นอีกเป็น 4 แสนล้านบาท เนื่องจากการเก็บรายได้ของประเทศยังได้น้อย เพราะการปฏิรูปภาษียังติดขัด ประกอบกับเศรษฐกิจโลกผันผวน เศรษฐกิจไทยอ่อนแอ มีความจำเป็นต้องใช้เงินงบประมาณจำนวนมากอุ้มเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและขยายตัวได้สูงในลำดับต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในภาวะที่ดอกเบี้ยในประเทศอยู่ระดับต่ำ การกู้เงินจำนวนมากๆ เพื่ออุ้มเศรษฐกิจก็ถือเป็นโอกาสที่ดี แต่การกู้เงินจำนวนมากก็ต้องคำนึงถึงการก่อหนี้ภาพรวมของประเทศ ถึงแม้สัดส่วนหนี้สาธารณะของไทยจะอยู่ที่ 42% ของจีดีพี แต่การกู้เงินมาโปะรายได้ของประเทศต่อไปเรื่อยๆ จะทำให้หนี้ของประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ การขยายตัวของเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับต่ำ จะเป็นอีกตัวที่ทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะของประเทศเร่งตัวขึ้น จนถึงเกินกรอบความยั่งยืนทางการคลังที่กำหนดไว้ไม่เกิน 60% ของจีดีพี

ทั้งนี้ การอุ้มเศรษฐกิจด้วยการก่อหนี้ เป็นหนทางที่พึ่งได้ชั่วคราวเท่านั้น การบริหารเศรษฐกิจให้ยั่งยืนหนีไม่พ้นต้องปรับโครงสร้างการหารายได้ของประเทศครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างภาษี เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประเทศให้มีเพียงพอกับรายจ่าย

แต่การทำงานที่ผ่านมากว่า 1 ปี ของรัฐบาลต้องยอมรับว่าการปฏิรูปภาษีไม่เข้าเป้า การเก็บภาษีมรดก ออกกฎหมายก็ไม่สามารถเก็บได้จริง การออกกฎหมายเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างยังถูกดอง การเก็บภาษีแวตยังต้องคงไว้อัตราเดิม 7% ไปอีก 1 ปี ไม่สามารถเพิ่มขึ้นเป็น 10% ได้ ทำให้แผนการขยายรายได้ของประเทศผิดเป้า

รัฐบาลปัจจุบันรู้ดีว่า การปฏิรูปภาษีเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประเทศเป็นเรื่องยาก เป็นของแสลงของบรรดานักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง

แต่ก็น่าคิดว่า รัฐบาลชุดนี้ที่มีอำนาจเต็มที่ยังกล้าๆ กลัวๆ ที่จะเดินหน้าเรื่องการปฏิรูปภาษี ปฏิรูปการหารายได้อย่างจริงจัง รายได้ของประเทศก็มีโอกาสตกอยู่ในวิบากกรรม ยิ่งนับวันยิ่งอ่อนแอ ส่งผลให้การบริหารเศรษฐกิจของประเทศมีปัญหา ไม่มีกระสุนขับเคลื่อน ไม่ต่างอะไรกับรถยนต์ที่น้ำมันใกล้จะหมด แต่ไม่มีเงินจะเติมน้ำมันเพิ่ม จนต้องจอดนิ่งอยู่เฉยๆ

โดย เกียรติศักดิ์ ผิวเกลี้ยง

Source: Posttoday

 

สุนัขกอดกันเตรียมถูกการุณยฆาต แต่นั่นสร้างปาฏิหาริย์ครั้งใหญ่



ภาพสุดสะเทือนใจ สุนัขกอดกันขณะเตรียมถูกการุณยฆาต และไม่น่าเชื่อว่ากอดนี้จะสร้างปาฏิหาริย์ ให้ชีวิตของมันพ้นจากการถูกการุณยฆาตได้

เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2558 เว็บไซต์ Bored Panda เผยภาพสุดสะเทือนใจของเจ้าคาล่าและคีร่า น้องหมาสองตัวที่อาศัยอยู่ในสถานรับเลี้ยงสัตว์ในสหรัฐอเมริกา แต่พวกมันกำลังจะถูกการุณยฆาตในอีกไม่กี่ชั่วโมง เพราะไม่มีใครต้องการมันแล้ว โดยมันกอดกันราวกับไม่อยากทิ้งกันไปไหน เหมือนรู้ว่าอีกไม่นานจะจากกันไป ซึ่งเมื่อภาพดังกล่าวถูกนำมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์ ก็สร้างความสะเทือนใจให้กับบรรดาคนรักสัตว์มาก

แต่ปาฏิหาริย์มีจริง.. ไม่น่าเชื่อว่าการกอดกันของเจ้าตูบสองตัวนี้ จะทำให้ชะตาชีวิตของพวกมันเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เพราะหลังจากที่ภาพดังกล่าวถูกแชร์ออกไปอย่างรวดเร็ว ผ่านทางเฟซบุ๊ก Angels Among Us Pet Rescue เพียง 2 ชั่วโมงให้หลัง ก็มีหนุ่มใจดีมาแสดงตัวขอรับอุปการะสุนัขทั้ง 2 ตัว ทำให้พวกมันรอดพ้นจากการถูกการุณยฆาตในที่สุด

***หมายเหตุ : อัพเดทข้อมูลล่าสุดเมื่อเวลา 20.20 น. วันที่ 22 กรกฎาคม 2558





@ภาพจาก Angels Rescue


สุนัขกอดกันเตรียมถูกการุณยฆาต แต่นั่นสร้างปาฏิหาริย์ครั้งใหญ่

 

Fongsanan Chamornchan



เสาร์นี้ท่านใดจะไปฟังดวงเมืองครึ่งปีหลังฟรีตามที่โพสต์ไว้เมื่อ17กค.โทร.ไปจองได้แล้วที่เคเค.เทรด
แม่หมอสมัครเล่นตอนที่81 โดยฟองสนาน จามรจันทร์..(กำลังศึกษาเพิ่มเรื่องนี้เองอย่างหนักค่ะ)
ลุ้นฟ้ารั่วกลางเดือนสิงหาคม2558
ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากผวาเพราะน้ำท่วมใหญ่จนเป็นมหาภัยภิบัติที่สร้างความสูญเสียเป็นลำดับที่สี่ของโลกเมื่อปี2554แล้ว มาปีนี้คนไทยต้องเจอเข้ากับภัยแล้งชนิดบางพื้นที่ไม่มีน้ำดิบทำน้ำประชา มิพักต้องพูดถึงการทำนาปีที่ต้องลุ้นรอฝนจนหลายพื้นที่ต้องแห่นางแมวขอฝนเลยทีเดียว
และหลังจากเป็นโหรสมัครเล่นมาหลายปี ก็เพิ่งคราวนี้แหละที่ผู้เขียนถูกถามเรื่องภัยแล้ง เล่นเอาไปไม่ถูกต้องพลิกตำราโหราศาสตร์ว่าด้วยดินฟ้าอากาศเพื่อหาคำตอบแทบไม่ทัน โดยเมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่เกิดในอดีตแล้วแม้ไม่แน่ใจว่าจะได้คำตอบที่ถูกต้องทั้งหมดแต่ก็พอได้แนวทางบ้างดังนี้
1.ภาพรวมโดยกว้างๆตั้งแต่26พฤศจิกายน 2557 มาแล้วที่พระเสาร์เทพเจ้าแห่งความระทม ซึ่งหนึ่งในความหมายคือการจำกัดปริมาณ การปันส่วน เดินเข้าราศีพิจิก ซึ่งเป็นราศีธาตุน้ำ ผลคือฝนน้อยตามอาการของพระเสาร์มาตั้งแต่ปลายปี2557ที่จำไม่ผิดประเทศไทยแทบไม่มีพายุเข้าเลย ขนาดมีเกณฑ์อื่นที่บ่งบอกว่าปลายปีฝนจะตกจนน้ำท่วมพระนครแล้วผู้เขียนเองก็ทำนายเปรี้ยงให้คนอกสั่นขวัญแขวน
ผลที่ออกมาน้ำก็ท่วมพระนครตามตำราจริงๆ คือ เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2557 เวลาประมาณบ่ายสองโมงเกิดฝนตกหนักน้ำท่วมบริเวณพระบรมมหาราชวัง- วัดพระแก้ว และบริเวณใกล้เคียง ซึ่งเป็นเมืองรัตนโกสินทร์จริงๆ แต่ไม่ได้ท่วมบริวณอื่นๆด้วย
พระเสาร์จรจะอยู่ราศีพิจิกไปจนถึงวันที่ 24 มีนาคม 2560
อย่างไรก็ตามผู้เขียนยังเชื่อว่าพระเสาร์จรที่ราศีพิจิกนี้จะไม่ทำให้ฝนน้อยชนิดสาหัสจนต้องขอดน้ำกิน เพราะอย่างน้อยก็ทำมุมที่ดีคือร่วมธาตุกับพระศุกร์(๖) และพระพุธ(๔)ดวงเดิมดวงเมืองที่เป็นตัวตัวแทนดาวธาตุน้ำที่สถิตราศีมีน จนทำให้เกณฑ์อื่นๆที่ฝนจะตกปีนี้มากขึ้น
2.ตามคำภีร์อรรถสาลินี บอกไว้เป็นคำกลอนถึงผลการเดินผิดปกติของพระพุธจร พระศุกร์จรซึ่งเป็นดาวธาตุน้ำที่จะส่งให้ฝนแล้งคือ
พระพุธมณฑ์(เดินช้าผิดปกติ)ว่าฝนนั้นจะน้อย ข้าวกล้าตายฝอยดินจะแห้งผง
พระศุกร์มณฑ์(เดินช้าผิดปกติ)ทายว่าฝนแห้งแล้ง ข้าวจะแพงเพราะฝนแล้งข้าวกล้าตาย
แต่เป็นเพราะทั้งพระพุธและพระศุกร์นี้จะเดินผิดปกติทุกปีและปีละหลายครั้ง บางปีแทนที่ฝนจะแล้งน้ำกลับท่วม แถมท่วมหนัก แต่กระนั้นผู้เขียนที่เคยพิสูจน์ความแม่นยำจากคำทำนายผลจากการที่ดาวจรดวงอื่นๆเดินผิดปกติตามตำรานี้มาหลายครั้งแล้วพบว่าเป็นจริงอย่างแทบไม่น่าเชื่อจึงยังไม่ไม่สามารถปฏิเสธผลของฝอยคำทำนายของคำภีร์นี้ได้เต็มปาก คิดออกแต่เพียงว่าหากมีเกณฑ์อื่นๆรออยู่ (เช่นพระเสาร์ที่ราศีพิจิก)หากพระพุธกับพระศุกร์เดินช้าผิดปกติช่วงนั้นฝนอาจจะน้อย
เมื่อไปตรวจดูแล้ว ตั้งแต่บัดนี้ไปถึงสิ้นปีพระพุธเดินช้าผิดปกติ วันที่ 21 สิงหาคม และ30 พฤศจิกายน ส่วนพระศุกร์เดินช้าผิดปกติวันที่22 กันยายน 2558 ซึ่งผู้เขียนก็จะคอยสังเกตุบันทึกเป็นปูมโหรว่าผลจะเป็นเป็นอย่างไร เพราะอยู่ในช่วงฤดูฝนแท้ๆ
3.หลักโหรที่พิสูจน์ความแม่นยำมาแล้ว คือหากพระพุธและพระศุกร์และพระอาทิตย์จรร่วมราศี ร่วมธาตุ หรือเดินเข้าใกล้กันได้องศาแล้วฝนจะตกและ
หากพระอังคารและพระราหูซึ่งเป็นดาวธาตุลมจรร่วมราศีหรือถึงกันแล้วจะเกิดพายุ ยิ่งมีพระอาทิตย์จรมาร่วม หรือถึงกันแล้วละก็จะเกิดพายุขนาดใหญ่ระดับเกย์ที่ถล่มชุมพรหรือแฮเรียตที่ถล่มแหลมตะลุมพุกเลยที่เดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดถึงกันในราศีทวารคือเมษ กรกฏ ตุลย์ และมังกร
ด้วยหลักโหรตามข้อสามนี้เมื่อตรวจการโคจรของดาวทั้งหลายที่ทำมุมกับดวงเมืองแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าใกล้เคียง(ไม่ทั้งหมด)กับที่กรมอุตุนิยมวิทยาและดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยาผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ(จิสด้า)ให้ข้อมูลไว้สำหรับปีนี้คือ
3.1แม้จะน้อยแต่ฝนเริ่มจะตกประมาณ วันที่ 11 กรกฎาคม 2558 เป็นต้นมา
3.2ประมาณระหว่าง 16 -30 กรกฎาคม 2558ฝนจะเริ่มหนาแน่นขึ้น และทางโหรมีแนวโน้มว่าร่องมรสุมกำลังแรงมาก หรืออาจจะมีน้องๆพายุเฉียดมาไทยบ้าง
3.3 ประมาณ 1 สิงหาคม 2558 ฝนจะตกถี่มากขึ้น และเป็นโอกาสอันดีที่พายุคล้ายๆดีเพรสชั่นจะเข้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งเหนือ อีสาน และตะวันตกฉียงใต้และ ประมาณ 18 สิงหาคม 2558เป็นต้นไป ฝนจะตกชนิดฟ้ารั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอีสาน เฉียดๆเหนือด้วย
3.4ประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน2558 อาจมีพายุทางตะวันตกเฉียงใต้หรือภาคใต้
สรุปคือดูแล้วยังพอมีหวังว่าร่องฝนใหญ่ๆ หรือไม่ก็ดีเปรสชั่น หรือไม่ก็พายุจะเข้าประเทศไทยบ้างปีนี้พอให้มีน้ำไหลเข้าเขื่อน พอที่จะคานอำนาจพระเสาร์จอมจำกัดปริมาณได้ ซึ่งก็เป็นไปตามที่กรมอุตุฯคาดหมายว่าพายุอาจเข้าหรือเฉียดไทยสักลูกหรือสองลูก
คำทำนายทั้งหมดนี้ผู้เขียนว่าไปตามตำรา แต่ประสบการณ์และภูมิปัญญาเกี่ยวกับเรื่องฟ้าฝนช่างน้อยนิด โดยส่วนตัวจึงเชื่อและไว้วางใจกรมอุตุนิยมวิทยาและนักวิชาการอย่างดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ฯลฯ มากกว่า
ฟองสนาน จามรจันทร์
17 กรกฎาคม 2558
ดวงเมืองและดาวจรประมาณ 18สิงหาคม 2558
พระอาทิตย์จร(1)พระพุธจร(4)และพระศุกร์จร(6)ชุมนุมที่ราศีสิงห์โน้มนำให้เกิดฝนตกหนัก
พระราหูจร(8)ร่วมธาตุพระอังคารดวงเดิม(๓)และพระอังคารจร(3)ร่วมธาตุพระราหูดวงเดิม(๘)โน้มนำให้เกิดพายุ