ช้างเผือกในป่าอีสาน หลวงตาสมหมาย วัดป่าสันติกาวาส คำสอน/ประสบการณ์/วัตถุมงคล/ (ช่างชิต)

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ช่างชิต, 21 ตุลาคม 2013.

  1. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    .......สวัสดีครับทุกท่าน ยังไงก่อนจะมีเรื่องเล่าที่น่าสนใจแบบอาหารหลัก เอาภาพหลวงตาคืนวันเสาร์ที่ 18 มาให้ชมกันครับ ตอนหลวงตาสาทกราบหลวงตาแล้วขึ้นเทศน์ในเวลา 01.00 น
    หลวงตาก็นั่งกำหนดจิตภาวนา หลวงตาสาทท่านเทศน์ไปจนถึง 04.00 น
    .......ทุกท่านเชื่อไหม!!! ในเวลา 3 ชั่วโมงที่หลวงตาสาทเทศน์ หลวงตานั่งไม่กระดิกตัวเลย (ไม่ใช่นั่งสัปหงกไปมาจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ แบบพระเกจิบางสำนักที่นั่งกันในพิธีพุทธาเสกที่ช่างชิตเคยเห็นมาหลายๆที่นะ) ........หลวงตานั่งตัวตรงแบบที่ช่างชิตที่นั่งอยู่ใกล้ๆนั้น หลับๆตื่นๆ นั่งๆนอนๆ กลิ้งไปกลิ้งมาตลอด 5555 ช่างชิตสังเกตุหลวงตาตลอด ในใจก็คิด
    "หลวงตานั่งเหมือนตอนอธิฐานจิตเลย" ยังนึกเล่นๆว่า "หลวงตาเข้าฌานหรือเปล่า???"
    .......นี้ละครับ คนที่ได้รับการฝึกฝนมาจากบรมครูที่สุดยอด ท่าน ทำจริง ปฏิบัติจริง ก็มักจะเป็น "ของจริง" ที่พิสูจน์ได้ด้วยเช่นกัน....
    .
    *เรื่องเล่าอาหารหลักรอรอบดึก อิอิ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    .....มาตามสัญญารอบดึกครับ ของหลักมาแล้วนะช่างชิตตั้งใจเขียนก็เมตตาอ่านและให้กำลังใจด้วยนะครัช 5555 มาเข้าเรื่องกันดีกว่าเรื่องนี้ช่างชิตให้ชื่อเรื่องว่า
    .
    คืนวันหลวงตาฉลองกุฏิ.....
    .
    ......ในคืนวันเสาร์ที่ 18 วันงานตอนที่ในศาลาครูบาอาจารย์เทศน์อยู่ ช่างชิตได้เดินสำรวจวัดไปเรื่อยๆ ชื่นชมกับญาติโยมที่กำลังจัดของที่มาทำโรงทานกันมากมาย เดินยิ้มไปจนมาถึงเต้นท์ไม่มีหลอดไฟหน้าเมรุที่เผาสรีระหลวงปู่ เห็นมืดๆเป็นเงาพระสามสี่รูปและหน้าจะเป็นผู้ชายจำนวนหนึ่ง
    .........จังหวะเดินเข้าไปใกล้เรื่อยๆ เงาก็ชัดขึ้น....ชัดขึ้น...และบุคคลหนึ่งในนั้นที่ช่างชิตคุ้นตาก็คือ พระอาจารย์นุ๊ย ลูกศิษย์ก้นกุฏิของหลวงตาอีกรูป พร้อมพระติดตาม 3 รูปและโยมผู้ชายอีก 2 คน (พระอาจารย์นุ๊ยหลวงตาได้มอบหมายให้ดูแล วัดป่าเวฬุวัน วัดในอุปถัมภ์หลวงตา ตั้งอยู่ที่ บ้านกอไร่ใหญ่ จังหวัดเลย เวลามีงานที่วัดท่านก็จะยกทีมงานชาวบ้านทางนู้นมาช่วยงานเสมอ ช่างชิตเคยเขียนถึงท่านมาหลายครั้งแล้ว ใครอยากอ่านลองค้นดูในบทความเก่าๆนะครับ)
    ........พอเจอหน้าช่างชิตเท่านั้นละ พระอาจารย์นุ๊ยก็ร้องตะโกนด้วยความดีใจ
    .
    พอน “มาแล้ว ช่างชิต กำลังคิดถึงพอดี เป็นไงบ้าง”
    พระอาจารย์นุ๊ยทักทายช่างชิตด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและรอยยิ้มพิมพ์ใจ
    .
    ชช “สบายดีครับ นมัสการอาจารย์ ทำไมมานั่งในมุมมืดแบบนี้”
    .
    พอน “ได้รับหน้าที่ดูแลการจราจร มีเรื่องจะเล่าให้ฟังนะกำลังฮือฮามากที่กอไร่ใหญ่ พึ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี่เอง ว่าจะโทรหาแล้ว แต่คิดว่าต้องเจอ
    ออยในงานแน่ๆ จึงรอเจอดีกว่า”

    .
    ชช “มีเรื่องดีๆก็จัดเลยครับอาจารย์ เผยแพร่บารมีครูบาอาจารย์ครับ”
    .
    พอน “ออยรู้อยู่ใช่ไหมว่า ผม(ท่านแทนตัวเอง)สร้างกุฏิที่วัด(วัดป่าเวฬุวัน)เพื่อถวายหลวงตาเวลาท่านไปจำวัดที่นั้น”
    .
    ชช “รู้ครับ เป็นไงบ้างครับ แล้วเสร็จยัง” ช่างชิตสอบถามกลับพอแก้เขินเพราะจริงๆคือลืม 555
    .
    พอน “เสร็จแล้วนะสิ หลวงตาไปรับมอบมาแล้ว แต่ถ้าไม่มีอะไรผมคงไม่มาเล่าให้ออยฟังหรอก กุฏิหลังนี้นะมีโยมรับเป็นเจ้าภาพและพวกผมกับพระในวัดก็เร่งสร้างมากว่า 5 เดือนแล้ว ทำด้วยความตั้งใจทั้งคนทั้งพระช่วยกันทำ จนใกล้จะถึงวันที่กราบเรียนนัดหมายหลวงตามาฉลองกุฏิประมาณ2วันก่อนจะถึงกำหนดการ ก็พากันรีบเร่งให้เสร็จ เหลือแต่ขั้นตอนเก็บงานสี ช่างก็พ่นสีย้อมไม้ทั้งหลัง"
    "ปรากฏว่าภายในกุฏิเหม็นตลบอบอวนไปด้วยกลิ่นสีย้อมไม้ จนคนอยู่ไม่ได้ ผมต้องรีบให้โยมไปซื้อเครื่องฟอกอากาศมาตั้งเปิดดูดกลิ่นทั้งวันทั้งคืน เพราะใกล้วันหลวงตาจะมาแล้ว ลองให้พระในวัดเข้าไปอยู่ในกุฏิดู ได้20นาทีก็ต้องออกมาเพราะอยู่ไม่ได้ ผมเข้าไปอยู่เองได้30นาทีก็ต้องหนีออกมา หายใจไม่ออก แน่นอกไปหมด กลิ่นแรงไม่แรงโยมเข้าไปถูกุฏิ วิ่งออกมาอ้วกแตก คิดดู”
    .
    ชช “แล้วทำไงละอาจารย์จะถวายหลวงตาแล้ว??”
    .
    พอน “นั้นละ ผมก็เครียดคิดมาก เพราะตั้งใจถวายให้ท่าน แล้วให้ท่านนอนที่กุฏิฉลอง แต่พอมันเหม็นขนาดนั้น แก้ยังไงก็แก้ไม่ได้ ผมจึงแก้ปัญหาให้คนไปทำความสะอาดห้องเก่าที่ท่านเคยมาพัก พร้อมกับย้ายเครื่องฟอกอากาศไปด้วย"
    "รีบเตรียมงานช่วงนี้ก่อนที่หลวงตาจะมา ก็ประมาณ 12 ชั่วโมงนะ หลังจากนั้นพอหลวงตามาถึงวัด ผมก็กราบเรียนท่านให้ไปจำวัดที่ห้องเดิม หลวงตาก็ทำหน้าสงสัย ท่านบอกไหนจะให้ไปพักกุฏิใหม่ ผมก็กราบเรียนท่านว่าพักไม่ได้เพราะกลิ่นสีแรงมาก หลวงตาท่านได้ยินเช่นนั้น ท่านก็หันหลังเดินไปที่กุฏิใหม่ แล้วขึ้นกุฏิไป"
    "ผมก็กังวลใจกลัวหลวงตาจะเหม็นสีหายใจไม่ออก คนหนุ่มๆยังแย่เลย ซักพักหลวงตาก็พูดออกมา “ไหนกลิ่นสีไม่เห็นมี??” .............
    "ผมกับพระและโยมที่เดินตามไปได้ยินก็ งง ก็เลยขึ้นกุฏิตามท่านไปดู
    เชื่อไหมออย!!! กลิ่นสีที่แรงๆในห้องไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ปรากฏว่าไม่ได้กลิ่นเลยแม้แต่นิดเดียว ผมขนลุกไปหมด”

    .
    ชช “ขนาดนั้นเลยหราอาจารย์”
    .
    พอน “ไม่ต้องเชื่อผม ลองถามดูสิ ไปด้วยกันหมด” พระอาจารย์นุ๊ยพูดด้วยสีหน้าปิติที่จริงจังไร้สายตากลับกรอกแบบคนที่โกหก พร้อมชี้นิ้วไปที่พระและโยมติดตามที่นั่งรอบๆท่าน ทุกๆคนก็ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า “นี่คือเรื่องจริง” แล้วท่านก็กล่าวต่อ
    .
    พอน “พอไม่ได้กลิ่น ท่านจะนอนนี่ ผมก็งานเข้าสิ ต้องพากันรีบย้ายของย้ายเครื่องฟอกอากาศกลับมา แล้วหลวงตาก็จำวัดจนถึงตีสี่ ท่านก็ลงมาทำวัตรเช้าปรกติ ผมดีใจก็ดีใจ น้ำตาจะไหลที่เห็นหลวงตาพักที่กุฏิได้
    แต่ประหลาดใจก็ประหลาดใจ ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง”

    .
    ชช “สุดยอดมาก” ยังพูดไม่ทันจบพระอาจารย์นุ๊ยก็พูดสวนมาว่า
    .
    พอน “ยังไม่สุดยอดหรอก มีสุดยอดกว่าอีกเพราะหลังจากที่หลวงตากลับ ออยเอ้ยยยยยยยยย(ลากเสียงยาวแบบ มันเหลือเชื่อมาก) ไม่ถึง 30 นาที กลิ่นสีก็กลับมาเหม็นเหมือนเดิม นี้ละเป็นไง สุดยอดไม่สุดยอด ผมก็เรียนมานะ(ท่านเรียนจบวิศวไฟฟ้า)ผมยังหาคำตอบไม่ได้เลย งง เป็นไก่ตาแตก ออยก็เป็นวิศวกร ลองวิเคราะห์มาซิ ว่ามันเกิดขึ้นได้ไงเหตุการณ์นี้”
    .
    ชช “.........(นึก วิเคราะห์ตาม)...........
    ชช “เดี้ยวขอไปนึกก่อนนะอาจารย์ จะเดินดูวัดไปด้วย ยังไงคุยกันใหม่เด้อพรุ่งนี้”
    .
    ........ช่างชิตก็ลาพระอาจารย์นุ๊ยแล้วเดิน คิด วิเคราะห์ หาเหตุที่จะตอบโจทย์ของเรื่องนี้ แต่ให้ตายเถอะให้คิดให้นึกยังไง ตามประสบการณ์และหลักการวิชาการทางโลกที่พอจะมีอยู่ ก็ไม่มีเหตุและผลอะไรเลยมารองรับว่า
    .
    “กลิ่นสีที่ฉุนและแรงในที่อับอากาศอยู่ดีๆจางหายไปแล้วนึกยังไงอยู่ดีๆก็กลับมา??? มันเป็นไปไม่ได้!!”
    .
    .........นี้ละครับเรื่องที่เหลือเชื่ออีกเรื่องที่เกิดขึ้น สดๆร้อนๆ สำหรับช่างชิตก็คิดว่า คงเป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เล็ง "เห็นความตั้งใจจริงของลูกศิษย์ลูกหาที่ตั้งใจทำงานด้วยใจบริสุทธิ์ถวายครูบาอาจารย์และด้วยบารมีของหลวงตาจึงทำให้เรื่องที่เป็นไปไม่ได้กลายเป็นเรื่องที่เป็นไปได้” นี้คือความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ ใครคิดยังไงก็ลองมาคุยมาแชร์กันดู
    ........นี้เป็นอีกเรื่องที่ช่างชิตได้รับฟังจากปากของผู้ที่หน้าเชื่อถือพร้อมพยานที่ต่างยืนยันว่า “เป็นเรื่องจริงที่เขาสัมผัส” ก็เอามาเล่าสู่พวกทุกคนได้ฟังกัน ก่อนจะบอกว่าเหนื่อยมากขอนอนก่อนนะครับ แล้วเจอกันในวันที่พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกอีกครั้ง ราตรีสวัสครับ
    .......
    รูปหลวงตากับพระอาจารยนุ๊ย ตอนขึ้นภูกระดึง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_3600.JPG
      IMG_3600.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.2 MB
      เปิดดู:
      102
  3. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ............กมโล (ผู้งามดั่งดอกบัว)(21)...........(ต่อจากตอนที่แล้ว)
    .
    พรรษาที่ 22
    (พ.ศ. 2500จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
    .
    วันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2500 หลวงปู่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบลบ้านจีต (ธรรมยุต) ในขณะนั้นวัดธรรมยุตในตำบลบ้านยา ไชยวาน บ้านจีต รวมกันแล้วมีอยู่เพียง 5 วัดเท่านั้น ถึงแม้หลวงปู่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบล ท่านก็ไม่ลืมตัวเพราะหน้าที่ตำแหน่ง ท่านยังคงปฏิบัติองค์ตามแบบฉบับของพระกัมมัฏฐาน ยึดมั่นในพระธรรมวินัย และธุดงควัตรตลอดมา
    .
    พรรษาที่ 23-24
    (พ.ศ. 2501-2502 จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
    .
    เมื่อออกพรรษาปีพ.ศ. 2502 แล้ว ย่างเข้าปี พ.ศ. 2503 หลวงปู่พาญาติโยมขุดลอกหนองท้ม ซึ่งเป็นหนองน้ำธรรมชาติอยู่กลางวัด ให้ลึกลง แล้วสร้างวิหารกลางน้ำทำด้วยไม้ สำหรับเป็นที่ทำสังฆกรรม ลงอุโบสถ และบวชพระภิกษุสามเณร และเป็นที่พำนักอยู่ของหลวงปู่ด้วย
    .
    ไปเที่ยววิเวกที่ดงศรีชมภู
    .
    ในฤดูแล้งพ.ศ.2503 นี้ หลวงปู่ได้ไปวิเวกที่ดงศรีชมภู อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย ออกจากวัดป่าสันติกาวาส ทั้งเดินทั้งอาศัยรถพ่อค้าข้าวไปถึงอำเภอวานรนิวาส พักค้างคืนกับพระอาจารย์แตงอ่อน กลฺยาณธมฺโม ที่วัดป่าวานรนิวาส (ปัจจุบันคือ วัดธรรมนิเวศวนาราม) หลวงปู่เป็นผู้มีนิสัยอ่อนน้อมถ่อมตน เมื่อไปถึงวัดพระอาจารย์แตงอ่อน หลวงปู่ได้เข้าไปกราบนมัสการตามหน้าที่ของอาคันตุกวัตร และขอพักค้างคืนกับท่าน เมื่อกราบเสร็จแล้ว ท่านพระอาจารย์แตงอ่อนจึงถามพรรษา จึงทราบว่าหลวงปู่มีพรรษาแก่กว่าท่าน ท่านพระอาจารย์แตงอ่อนจึงกราบคืน หลวงปู่พักอยู่กับพระอาจารย์แตงอ่อน 1 คืน แล้วก็เดินทางด้วยเท้าต่อไปที่ ดานม้าแล่น บ้านนาคำ อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย (ปัจจุบันเป็นวัดดานศรีสำราญ บ้านนาคำ อำเภอพรเจริญ จังหวัดหนองคาย)
    .
    ที่ดานม้าแล่นนี้เป็นก้อนหินยาวๆบ้าง บางก้อนก็ใหญ่ ข้างบนเรียบ เป็นกลุ่มหินอยู่กลางดงศรีชมภู ครั้งแรกปี พ.ศ. 2501 หลวงปู่คำสิงห์ สุจิตฺโต ผู้เป็นพี่ชายของหลวงปู่ได้เข้าไปจำพรรษาอยู่กับสามเณรสม, สามเณรทูล เมื่อออกพรรษาแล้ว หลวงปู่คำตัน ฐิตธมฺโม จึงได้เข้าไป และท่านก็ได้อยู่แต่บัดนั้นมาจนถึงทุกวันนี้ (หลวงปู่คำตันมรณภาพเมื่อปี พ.ศ. 2540) เมื่อหลวงปู่เข้าไปถึงดานม้าแล่น ในขณะนั้นได้พักอยู่กับหลวงปู่คำตัน และท่านพระอาจารย์บุญยัง ผลญาโณ (มรณภาพแล้ว) หลวงปู่เล่าว่า ในตอนนั้น ที่ดานม้าแล่น ดงศรีชมภู เต็มไปด้วยป่าไม้นานาชนิด และเครือหวายยาวได้ 20-30 เมตร และต้นยาสมุนไพรชนิดต่างๆ ไข้มาลาเรีย และเสือ ช้าง ชุกชุม ตอนกลางคืนเสือ ช้าง ลงกินน้ำวังเวิน เสือโคร่งลายพาดกลอนร้องสนุกสนานตามประสาของพวกมัน แถวใกล้ๆกุฏิที่พักนั้นเอง พวกเก้ง กระจง ก็มีมาก
    .
    ความดื้อรั้นไม่ยอมเชื่อฟังทำให้ได้รับทุกข์
    .
    หลวงปู่เล่าว่า มีผู้ชายสองคนพ่อลูกจากจังหวัดกาฬสินธุ์ มารับจ้างเลื่อยไม้ ขอพักอยู่ที่วัดด้วย วันหนึ่งเดินไปเห็นเขาตัดเหล็กรองครุถังอยู่ จึงถามว่าทำอะไร เขาตอบว่า "ตัดเอาไปทำลูกปืนยิงเก้ง" ท่านจึงบอกว่า "อย่าพากันทำอย่างนั้น ถ้าไม่เชื่ออาตมา เดี๋ยวจะเลื่อยไม้ไม่เสร็จนะ" เขาไม่ยอมฟังพากันไปดักยิงเก้ง อยู่มาไม่กี่วันพากันล้มป่วยลง พวกโยมบ้านนาคำต้องช่วยกันหามออกจากวัดไปบ้านนาคำ ความไม่เชื่อฟังจึงได้รับทุกข์ สุดท้ายไม้ก็เลื่อยไม่เสร็จ
    .
    เที่ยววิเวกจากดานม้าแล่นไปถ้ำจันทน์
    .
    เมื่อพักอยู่ดานม้าแล่นพอสมควรแล้ว จึงเที่ยววิเวกต่อไปที่ถ้ำจันทน์ หลวงปู่ได้พบกับพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ, พระอาจารย์คำบุ และพระอาจารย์สีลา อินฺทวงฺโส ที่ถ้ำจันทน์นี้ สำหรับพระอาจารย์สีลานั้นเป็นคนอำเภอพนมไพรด้วยกัน หลวงปู่เล่าว่าที่ถ้ำจันทน์อากาศดี แต่พอพักอยู่ไม่นานหลวงปู่จับไข้ จึงได้ออกจากถ้ำจันทน์ ทั้งไข้ทั้งเดินมากับโยมพั้ว จนมาถึงทุ่งบ้านหนองตอ จึงมีเหงื่อออก เอามือลูบตามแขนตามตัว เห็นเยื่อบางๆลอกออกเป็นแผ่นๆ จึงรู้ว่าอากาศที่ถ้ำจันทน์ทำให้เกิดเป็นแผ่นปิดขุมขน จึงทำให้เป็นไข้เพราะไม่มีเหงื่อออก หลวงปู่กลับมาพักที่ดานม้าแล่นระยะหนึ่ง ก็เดินทางกลับวัดป่าสันติกาวาส
    ........
    รูป
    .
    เอกสารแต่งตั้งหลวงปู่เป็นเจ้าคณะตำบล
    หลวงปู่คำตัน
    หลวงปู่สีลา
    พระอาจารย์จวน
    .
    *โปรดติดตามตอนต่อไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • jaokana.jpg
      jaokana.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29.7 KB
      เปิดดู:
      69
    • kamtan.jpg
      kamtan.jpg
      ขนาดไฟล์:
      11.5 KB
      เปิดดู:
      52
    • sila.jpg
      sila.jpg
      ขนาดไฟล์:
      11.8 KB
      เปิดดู:
      60
    • juan.jpg
      juan.jpg
      ขนาดไฟล์:
      34.7 KB
      เปิดดู:
      80
  4. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    .....สวัสดีทุกท่านรอบดึกครับ วันนี้ช่างชิตมีเรื่องมาแจ้งทุกท่าน 2 เรื่องคือ
    1....แบบเหรียญรุ่นปัญญาอิทธิฤทธิ์ สรุปเรียบร้อยไม่มีการแก้ไขอีกแล้วและรอขึ้นตอนการชุบเคลือบบล็อกและปั๊มเท่านั้น
    ....ช่างชิตก็จะเร่งงานให้เร็วที่สุด คืนนี้เอาแบบไฟน่อลมาให้ทุกท่านชมกัน
    2......จากที่ช่างชิตไปงานหลวงปู่มาอาทิตย์ที่แล้ว มีลูกศิษย์หลวงปู่และหลวงตารุ่นใหญ่สนใจจะร่วมสร้างด้วย ช่างชิตเองบอกกับเฮียเขาว่า ช่างชิตได้ตั้งใจสร้างไว้แค่นี้คงไม่สามารถทำเพิ่มได้อีกตามอำเภอใจ ให้เฮียไปกราบเรียนหลวงตาลองดูถ้าท่านอนุญาติ ช่างชิตไม่ขัดข้อง
    ....ปรากฏว่าหลวงตาอนุญาติ เฮียเขาเลยขอร่วมสร้าง เพิ่มเติมดังนี้
    *เนื้อนวะเพิ่มอีก 40 เหรียญ
    *เนื้อทองแดงเพิ่มอีก 1000 เหรียญ
    เพื่อถวายให้หลวงตาแจกเป็นที่ระลึกกับผู้ที่มาทำบุญ

    .....ช่างชิตจึงมาแจ้งให้พวกเราทุกคนทราบและอนุโมทนาสาธุกับเฮียเขาด้วยนะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2015
  5. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ......สวัสดีรุ่งอรุณยามเช้าครับ วันนี้ช่างชิตเอา "แหวนหัวเสือมหาอำนาจ 65"
    *(แหวนสร้างประมาณ 2000 วง
    เป็นเนื้อทองคำ ประมาณ 10 วง
    เนื้อเงิน 110 วงนิดๆ
    ที่เหลือเป็นอัลปาก้า ครับ)

    ......ที่หลวงตาท่านแจกวันงานหลวงปู่มาให้ชมกัน แล้วต้องบอกว่าช่างชิตไม่มีแจกนะครับ มีแค่ใส่ (ตัวตาแดงๆนั้นละ)กับมาให้ผู้ฝากร่วมบุญเท่านั้น ไม่มีได้มีมากมายแบบคนอื่นเขาเด้อ 5555
    ......บวกกับมีเรื่องขำๆมาเล่าสู่กันฟัง ตอนเช้าตีห้าวันที่ 19 หลังจากมีการเทศน์ตลอดคืนและทำวัตรเช้าเสร็จ ช่างชิตเข้าไปนวดถวายหลวงตา จังหวะที่กำลังนวดมือท่านในท่าประสานนิ้วและดัดอยู่นั้น หลวงตาก็ร้อง
    "เอ๋อๆ..."
    ช่างชิตก็ถามหลวงตาเป็นไรครับ
    "เสือกัด เสือกัดเจ้าของ"
    หลวงตาตอบพร้อมชี้ไปที่แหวนหัวเสือในนิ้วช่างชิต .............
    อ่อ แหวนหัวเสือหนีบเนื้อนิ้วหลวงตานั้นเอง ได้ฟังก็พากันฮากันครับ 5555
    .
    ถ้าช่างชิตหามาได้เยอะๆมีแล้วจะบอกนะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ช่างชิตเองก็มีใส่แค่เนี่ยละครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. ฌานกร

    ฌานกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,433
    ค่าพลัง:
    +14,651
    <a href="http://www.mx7.com/view2/yumucMg2Q4N5PNb5" target="_blank"><img border="0" src="http://www.mx7.com/i/99a/XwqjgB.jpg" /></a>​

    ขอยืมสองวงนี้ใช้สัก 2 ปีนะครับนายช่าง สวยมากๆ ครับ ​
    :cool::cool::cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2015
  8. ฌานกร

    ฌานกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,433
    ค่าพลัง:
    +14,651
    <a href="http://www.mx7.com/view2/yumuMA6VtMfSGOQj" target="_blank"><img border="0" src="http://www.mx7.com/i/ebe/HrzHRv.jpg" /></a>

    แหวนเนื้อเงินน่าจะประมาณ 107 วงนะครับ (ถ้าจำไม่ผิด)
    ขำจริงครับนายช่าง ..555 หลวงตาพูดเสร็จแล้วก็ขำไปด้วย
    :cool::cool:
     
  9. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ............กมโล (ผู้งามดั่งดอกบัว)(22)...........(ต่อจากตอนที่แล้ว)
    .
    พรรษาที่ 25
    (พ.ศ. 2503จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
    .
    วันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2504 วัดป่าสันติกาวาสได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา กว้าง 40 เมตร ยาว 80 เมตร และมีชื่อในทะเบียนวัดว่า "วัดสันติกาวาส"
    .
    ในปีพ.ศ. 2504 นี้ หลวงปู่ได้ศิษย์สำคัญคนหนึ่ง คือ นายสุจินต์ คำใสย์ เป็นลูกชายของหลวงปู่สอน สงฺจิตโจ และได้เป็นโยมอุปัฏฐากหลวงปู่มาแต่แรกที่มาสร้างวัดป่าสันติกาวาส เมื่อภรรยาถึงแก่กรรมแล้ว นายสุจินต์ได้มีความเศร้าโศกเสียใจอาลัยถึงภรรยา เพราะบุตรที่ยังเล็กอยู่ก็มี
    .
    ในวันหนึ่งได้มาถวายจังหันหลวงปู่ในขณะที่หลวงปู่ฉันอาหารเช้าอยู่ นายสุจินต์ก็ได้นั่งมีอาการเศร้าอยู่ต่อหน้าท่าน เมื่อฉันเสร็จแล้ว หลวงปู่จึงให้ธรรมะว่า "หาของตายมาไว้มันก็ตายนั้นแหละ ถ้าหาใหม่มาไว้อีกมันก็จะตายอีก" นายสุจินต์ได้ฟังธรรมะเพียงเท่านี้ก็ซาบซึ้งถึงใจ จึงได้มอบภาระหน้าที่ทุกอย่าง ให้ลูกคนโตดูแลน้องๆที่ยังเล็กอยู่ แล้วตัวเองได้ออกจากบ้านมาอยู่วัดกับหลวงปู่ ฝึกข้อวัตรปฏิบัติ และท่องคำขานนาคคล่องแคล่วแล้ว จึงได้ไปอุปสมบทที่พัทธิสีมาวัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ โดยมีพระสุธรรมคณาจารย์ (แดง ธมฺมรกฺขิโต) เป็นพระอุปัชฌาย์ และมีนามฉายาว่า "พระสุจินต์ จิตฺตปชฺโชโต" เมื่อบวชแล้ว พ.ศ. 2504 ท่านได้จำพรรษาอยู่วัดอโศการามหนึ่งพรรษา แล้วจึงกลับมาอยู่กัลหลวงปู่ที่วัดป่าสันติกาวาส
    .
    พรรษาที่ 26
    (พ.ศ. 2504จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
    .
    ร่วมงานพระราชทานเพลิงศพพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม
    .
    ปีพ.ศ. 2505 หลวงปู่ไปร่วมงานพระราชทานเพลิงศพพระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม) วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา
    .
    หลวงปู่เดินทางผ่านกรุงเทพฯครั้งแรก
    .
    เมื่อเสร็จงานพระราชทานเพลิงศพพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโมแล้ว ได้ทราบข่าวว่าท่านพระอาจารย์ลี ธมฺมธโร วัดอโศการามได้ถึงแก่มรณภาพ หลวงปู่จึงได้ไปวัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ เพื่อกราบคารวะศพท่านพระอาจารย์ลี ธมฺมธโร
    .
    เดินทางไปจังหวัดจันทบุรีครั้งแรก
    .
    เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2505 เมื่อหลวงปู่กราบคารวะศพท่านพระอาจารย์ลี ธมฺมธโรแล้ว จึงได้เดินทางด้วยรถยนต์โดยสารต่อไปจังหวัดจันทบุรี โดยมีพระลูกศิษย์ติดตามไปด้วยหนึ่งรูป และโยมไวยาวัจจกรหนึ่งคน พอไปถึงจันทบุรี ฝนตกไม่หยุด จึงได้ขออนุญาตจากกำนันพักที่ศาลเจ้า เพื่อเยี่ยมสงเคราะห์โยมลูกศิษย์ ที่เคยอุปัฏฐากหลวงปู่ในคราวที่อยู่จังหวัดร้อยเอ็ด พักอยู่ศาลเจ้า 3 คืน หลวงปู่ได้อบรมลูกศิษย์และโยมที่สนใจฟังธรรม ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เร่งทำคุณงามความดี ด้วยการให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา ตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์ 3 ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก ไปไหนมาไหนอย่าได้ลืมพุทโธ ธัมโม สังโฆ ประจำจิตใจ ได้ชื่อว่าเป็นผู้อยู่ผู้ไปอย่างมีที่พึ่ง
    .
    หลวงปู่ออกจากศาลเจ้าไปพักเยี่ยมท่านพระอาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย ที่วัดเนินดินแดง อำเภอท่าใหม่ (ภายหลังพระอาจารย์สมชายย้ายไปอยู่วัดเขาสุกิมและอยู่เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน) ซึ่งท่านอาจารย์สมชายเคยเป็นสามเณรอยู่กับหลวงปู่ ในคราวที่อยู่จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อปี พ.ศ. 2488 ในขณะที่หลวงปู่พักอยู่วัดเนินดินแดงได้มีญาติโยมชาวอำเภอท่าใหม่เกิดความเลื่อมใส บางคนถึงกับขอเอาฝ่าเท้าถูที่ศีรษะของตัวเอง
    .
    ช่วยชีวิตของเด็ก
    .
    ในวันหนึ่งพวกโยมอำเภอท่าใหม่พาหลวงปู่ไปเที่ยวที่เขามะปิง หลวงปู่เห็นมีต้นคันจ้องขึ้นอยู่เยอะ ท่านจึงถามพวกโยมว่า "นี้เขาเรียกต้นอะไร" พวกโยมตอบว่า "ทางจันทบุรีนี้เขาเรียกต้นนมบิด" ในความที่หลวงปู่ท่านชำนาญทางสมุนไพร ท่านจึงให้โยมพิจารณาเอารากนมบิดให้ อยู่มามีโยมคนหนึ่งมาหาหลวงปู่แล้วพูดว่า "ลูกของผมถ่ายไม่ออกทุรนทุรายอยู่ ไม่รู้จะทำอย่างไร" หลวงปู่จึงเอารากนมบิดนั้นให้ไปฝนให้เด็กกิน เมื่อโยมนั้นนำรากนมบิดไปฝนให้ลูกกิน จึงถ่ายออกและหายกระวนกระวาย วันหลังเขาจึงมาหาหลวงปู่อีก แล้วกราบเรียนว่า "แหม! ลูกผมไม่ตายเพราะท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีท่านอาจารย์ ลูกของผมต้องตายแน่ๆ" แล้วเขาก็ปวารณาตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่
    .
    เดินทางกลับจากจันทบุรี
    .
    หลวงปู่พักอยู่กับท่านอาจารย์สมชายเป็นเวลาพอสมควรแล้ว จึงได้เดินทางกลับวัดป่าสันติกาวาส จังหวัดอุดรธานี
    .
    รูป
    พระอาจารย์สุจิน
    เมรูเก่าที่เผาสรัระพระอาจรย์สิงห์
    ท่านพ่อลี
    .
    *โปรดติดตามตอนต่อไป
    ....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • sujin.jpg
      sujin.jpg
      ขนาดไฟล์:
      12.2 KB
      เปิดดู:
      53
    • meru.jpg
      meru.jpg
      ขนาดไฟล์:
      12.4 KB
      เปิดดู:
      45
    • dhammadharo.jpg
      dhammadharo.jpg
      ขนาดไฟล์:
      13.6 KB
      เปิดดู:
      83
  10. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    .......สวัสดีครับทุกท่าน มารอบดึกอีกครั้ง ช่วงนี้ช่างชิตมาโพสบ่อยๆก็อย่าได้เบื่อกันนะครับ ข้อมูลเยอะถ้าไม่เขียนจะลืม!! 555555++ คืนนี้จะมาเล่าถึงวัตถุมงคลที่ลูกศิษย์หลวงตาสร้างแล้วเอามาให้หลวงตาอธิฐานจิต เป็นอีก 2 รุ่นที่น่าสนใจ และช่างชิตได้ประวัติการสร้างที่ชัดเจนและข้อมูลที่มาตรฐานมาละ นั้นคือ
    .
    1ตะกรุดสัพพะโกภัทร และ 2ล็อกเก็ตผกาพรหม
    ผู้สร้างคือ พี่หน่องหรือเซียนเต่าเขย่าดวงและอาจารย์.....(ขอสงวนนาม)...
    .
    ..........มาคุยกันถึงตะกรุดกันก่อนนะครับ ตะกรุดรุ่นนี้จารอักขระและม้วนโดยอาจารย์ฆราวาส....(ขอสงวนนามไว้ก่อน)... ผู้สืบตำราวิชาอาคมสายสมเด็จลุนแบบลับสุดยอด ท่านเป็นศิษย์หลวงปู่ผาง(คนละหลวงปู่ผาง อุดมคงคานะครับ องค์นี้ท่านเป็น เสือเก่าก่อนมาบวช)และปู่เคนผู้เฒ่าจอมขมังเวทย์ในสมัยก่อน อาจารย์ท่านได้บอกช่างชิตว่าตะกรุดรุ่นนี้จาร ๒ ยันต์ คือ
    .
    ๑.ยันต์สัพพะโกภัทร ตำราท่านว่า กันศัตรูและอาวุธทั้งปวง ใช้ได้ ๑๐๐๐ ประการ ตามแต่จะใช้ ให้เอาไว้ในที่ๆสมควรและสักการะบูชา จะจำเริญสวัสดี ถ้ามีกิจการให้เอาตะกรุดนี้คาดไปด้วยย่อมจำเริญศรีและยศศักดิ์ ถ้าแม้นเข้าณรงค์สงครามอาวุธมาเป็นห่าฝนมิต้องเลย ทั้งกันสารพัดศัตรูและภูติผีปีศาจ ถ้าต้องยาแฝดก็ดี เคราะห์ร้ายก็ดี มึทุกข์ก็ดี ให้เอาตะกรุดนี้แช่น้ำใส่ขันสัมฤทธิ์ให้กิน แล้วประศรีษะเสียหายสิ้น ....
    .
    ๒.ยันต์ในตำราหลวงปู่ผาง สิริสุทโธ ท่านว่ายันต์นี้ลงตะกรุดโทน คงกระพันดีนัก ไม่เชื่อลองดูก็ได้ ......
    .
    ........เวลาจารก็เพ่งจิตสวดคาถาเรียกสูตรเรียกนามเรียกอาการ 32 ตลอดพอจารเสร็จก็เอามาสวดอัดเรียกธาตุทั้งหมด ก่อนจะม้วนให้หลอดเอามาให้หลวงตาอธิฐานจิต
    .......ช่างชิตถามอาจารย์ท่านว่ารู้จักหลวงตาได้ยังไง อาจารย์ท่านบอกกับช่างชิตว่า
    .
    "ผมรู้จักหลวงตาสมหมายตั้งแต่สมัยผมบวชเป็นพระ(20-30 กว่าปีก่อน) ผมบวชกับหลวงปู่มหาบุญมี(ศิษย์หลวงปู่มั่น) สิ้นบุญหลวงปู่มหาบุญมีผมก็ไปรับใช้หลวงปู่ศรี มหาวีโรต่อ ผมบอกเลยหลวงตาไม่ธรรมดามากๆ ผมกราบท่านสนิทใจ ท่านเป็นครูบาอาจารย์ผมองค์นึ่ง"
    .
    "เรื่องวิชาไสยศาลตร์ผมเลิกไปนานหลายสิบปีแล้ว เพราะหลวงปู่ศรีบอกให้เลิก(อาจารย์ว่าช่วงนั้นหลวงปู่กลัวอาจารย์จะหลงกับมัน) แต่สุดท้ายก็มีวาสนาได้กลับมาทำอีก ผมก็ไม่มั่นใจเพราะเป็นคนเชื่ออะไรยากกลัวว่าตัวเองจะทำไม่ขลังไม่ขึ้น ก็ไปปรึกษาหลวงตาสมหมายท่าน"
    .
    "ท่านบอกมันเป็นของเก่าวาสนาเก่า ถ้าทำเพื่อสงเคราะห์โลกเป็นที่พึ่งของคนที่อินทรีย์ยังอ่อนอยู่ ก็ทำไปเถอะ ผมมาพิจารณาครั้งนี้หลวงตาไม่ห้ามเหมือนหลวงปู่ศรี ผมจึงกล้ากลับมาเขียนและเล่นคาถาอาคมอีกครั้ง"
    .
    (*ขอแทรกหน่อย ตรงนี้ช่างชิตวิเคราะห์ว่า คงเพราะ ต่างกรรม ต่างวาระ หลวงตาคงจะเล็งเห็นแล้วว่าอาจารย์ท่านดวงจิตดวงใจเข้มแข็ง จะไม่หลงไปกับสิ่งยั่วเย้าที่จะตามมาในการนี้แล้ว ท่านจึงอนุญาติเพราะเป็นวาสนาของอาจารย์ด้วย ซึ่งอาจารย์ท่านเองก็คิดแบบเดียวกัน)
    .
    ..........ช่างชิตก็มีคำถามกับอาจารย์ท่านว่า ของที่สร้างมาได้เอาไปให้ใครเสกอธิฐานบ้าง
    .
    "ของที่ผมสร้างผมให้หลวงตาอธิฐานองค์เดียวพอ แม้ท่านจะไม่ได้เป็นผู้เจนจบในวิชาอาคม แต่พระปฏิบัติระดับนี้ อานุภาพของจิตพระ.....ประเภท.... มีฤทธิ์ทางใจเป็นที่สุดจับเสกอะไรก็สำเร็จหมด ไม่ต้องนานด้วย"
    .
    *(เป็นความเชื่อของอาจารย์ท่านนะครับ หลวงตาท่านเองก็ไม่ได้มาอวดมาอ้างหรือบอกใคร อาจารย์ท่านมั่นใจว่าหลวงตาท่าน "จบกิจ" เพราะอาจารย์มีข้อมูลเชิงลึกครับ แต่ช่างชิตไม่สามารถมากล่าวในที่นี้ได้)
    .
    .......ตะกรุดชุดนี้อธิฐานพร้อมล็อกเก็ตผกาพรหม ทำขึ้นเพื่อแจกจ่ายในหมู่ผู้สร้างและญาติธรรมลูกศิษย์หลวงตา ไม่มีจำหน่ายหรือบูชาขายแต่อย่างใดและที่สำคัญ ตะกรุดชุดนี้ได้มีประสบการณ์มาแล้วพอสมควรทั้งๆที่ทำไปเมื่อปีที่แล้วเอง เช่น ที่ช่างชิตเคยเขียนลงไว้นในกลุ่มช่วงแรกๆ เอาเป็นว่าย่อๆเรื่อง คือ ไปถางป่ากัน อยู่ใกล้กันเกินไป อีกคนสับมีดพลาด มีดง้าวถางหญ้าคมๆ สับเข้าหน้าแข้ง กางเกงขาดแต่ขาไม่เป็นไรเลย ทำเอาฮือฮากันมาแล้ว นี้ก็เป็นหนึ่งในหลายๆประสบการณ์ของตะกรุดรุ่นนี้
    ......ไม่ต้องขอนะครับ ไม่มี วันนี้ช่างชิตก็เอามาเล่าสู่กันฟัง เดี้ยวพรุ่งนี้มาต่อตอน 2 ล็อกเก็ตผกาพรหมนะครับ เหนื่อยเขียนละ
    .
    *โปรดติดตามต่อพรุ่งนี้นะจ๊ะ ชิตังเมๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,347
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    ขอบคุณที่เขียนตัวโตดีอ่านสบายสําหรับ ส ว ค่ะ สาธุๆๆ
     
  12. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    มีอะไรก็แนะนำกันได้ครับผม ขอบพระคุณมากนะครับที่เข้ามาอ่าน ^^
     
  13. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ............กมโล (ผู้งามดั่งดอกบัว)(23)...........(ต่อจากตอนที่แล้ว)
    .
    พรรษาที่ 27
    (พ.ศ. 2505 จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
    .
    ในพรรษานี้ หลวงปู่ได้ให้พระเณรประกอบความพากความเพียร ไม่ให้มีการคลุกคลีตีโมงกัน หลวงปู่ตั้งกติกาให้ตอนเช้าหลังฉันเช้าเสร็จ ให้เดินจงกรมไปจนถึงเที่ยงวันให้เลิก ตอนหัวค่ำ หลังจากทำกิจวัตรข้อวัตรปัดกวาดลานวัดเสร็จ ถูศาลา ตักน้ำใส่ตุ่มน้ำใช้น้ำฉันเสร็จแล้ว ให้รีบสรงน้ำเสร็จแล้วให้เดินจงกรมไปจนถึงเวลา 3 ทุ่ม จึงให้เลิก ตอนใกล้รุ่งเวลาตี 4 ให้ลงเดินจงกรมไปจนสว่าง หลวงปู่คอยเอาใจใส่สอดส่อง พระเณรองค์ไหนไม่ตั้งใจ ท่านก็คอยดุด่าว่ากล่าวตักเตือน องค์ไหนตั้งใจทำอยู่แล้ว ท่านก็ส่งเสริมให้กำลังใจ ครูบาอาจารย์มีเมตตาต่อศิษย์ อยากให้ได้ดิบได้ดีเหมือนอย่างท่าน เพราะท่านได้ทำมาแล้ว เอาเป็นเอาตายสู้ ท่านจึงได้มีธรรมนั้นเป็นที่พึ่งทางใจ ท่านไม่ได้ธรรมนั้นมาด้วยความขี้เกียจขี้คร้าน ท่านได้มาด้วยความขยันหมั่นเพียร เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนลูกศิษย์ให้ขยันหมั่นเพียร
    .
    ในระหว่างการเข้าพรรษา ท่านพยายามตัดความกังวลภายนอกออกให้เหลือแต่เรื่องความพากความเพียร สติกับใจให้จดจ่อกันอยู่ตลอดเวลา บางพรรษาท่านถึงกับให้พวกญาติโยมงดมาวัดในวันธรรมดา ให้มาเฉพาะวันพระ เพื่อให้โยมมาถือศีลอุโบสถฟังธรรมในวันพระเท่านั้น วันธรรมดาให้ญาติโยมมีอาหารอะไรก็ใส่บาตรให้พระเณรแล้วก็แล้วไป พระเณรก็ให้สมาทานธุดงควัตร คือฉันอาหารเฉพาะที่ตกในบาตรเท่านั้น ไม่ให้โยมตามมาถวายอาหารที่วัดอีก เมื่อพระเณรฉันอาหารเช้าเสร็จแล้ว อนุญาตให้โยมคนหนึ่งมารับเอาข้าวอาหารที่เหลือจากพระเณร เข้าไปแจกจ่ายคนที่อดอยากในบ้านเท่านั้น ที่ท่านให้ทำอย่างนั้นก็เพื่อให้พระเณรมีเวลาในการทำความเพียรมาก ไม่ต้องคลุกคลีกันยืดเยื้อ นี้เป็นวิธีการที่หลวงปู่ท่านพาดำเนินมา เพื่อให้ลูกศิษย์ลูกหาเห็นความสำคัญในการทำความพากเพียรทางด้านจิตใจยิ่งกว่าอย่างอื่น
    .
    หลวงตาตกตั่ง
    .
    หลวงปู่เล่าว่า ในพรรษาให้เดินจงกรมแต่หัวค่ำถึงหกทุ่ม พอดีหลวงตาองค์หนึ่งท่านอายุมาก พอเดินจงกรมไปถึง 4-5 ทุ่ม ท่านก็ง่วงนอน ท่านก็นั่งตั่งที่หัวทางเดินจงกรม ท่านนั่งกำหนดภาวนา พอถีนมิทธะ (ความง่วง)เข้าครอบงำเพราะสติไม่กล้า ทำให้ท่านหงายหลังลงจากตั่ง ขาถูกตั่งขูดเป็นแผลจึงรู้สึกตัว ตอนเช้ามาหลวงปู่เห็นแผลที่ขา จึงถามว่า "หลวงตา ขาเป็นอะไร" หลวงตาจึงตอบท่านอ้ำๆอึ้งๆว่า "ไม้ขูด ขอรับ" หลวงปู่จึงพูดขึ้นว่า "ไม่ใช่นั่งหลับตกตั่งที่ทางเดินจงกรมหรือ" หลวงตาหัวเราะหึๆเบาๆ แล้วรับว่า "ครับผม" เรื่องความง่วงเหงาหาวนอนนี้ มันเป็นเครื่องกีดขวางอย่างหนึ่ง เวลาเราจะทำความดี มันชอบเข้าครอบงำ ถ้าเราไม่ฝึกสติให้แก่กล้าแล้ว เอาชนะมันไม่ได้
    .
    หลวงปู่รู้ใจ
    .
    เป็นระยะเวลาช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2506 ในวันนั้นผู้เขียนได้ติดสินใจลาญาติพี่น้องวงศาและมารดา สละบ้านเรือนเพื่อไปถวายตัวเป็นศิษย์อยู่กับหลวงปู่ที่วัด เพื่อจะบวชในพระพุทธศาสนา จึงขอให้มารดาเป็นผู้ไปฝากฝังมอบหมายให้หลวงปู่ด้วย บังเอิญในวันนั้น มีการทำบุญประจำปีที่วัดในหมู่บ้าน ผู้เป็นมารดายังติดธุระที่จะต้องไปถวายกัณฑ์เทศนาพระที่ตนเองจับสลากถูก ว่าจะต้องอุปัฏฐากพระที่มาจากวัดบ้านไหน ผู้เป็นมารดาจึงจัดของมีอาหารหวานคาว ข้าวต้ม ขนมจีน ใส่ตะกร้าให้ แล้วบอกให้หาบไปจังหันหลวงปู่ แล้วก็อยู่วัดกับท่านเลย วันหลังแม่จะไปฝากฝังหลวงปู่ให้ดอก
    .
    เมื่อผู้เขียนได้ยินมารดาบอกอย่างนั้น ก็น้อยใจว่ามารดาไม่ไปฝากฝังให้ จึงร้องไห้แล้วก็ยกหาบของถวายทานใส่บ่าเดินลงบ้าน ทั้งร้องไห้ไปตามทาง ทั้งกลัวว่าจะไม่ทันหลวงปู่จะฉันเสียก่อน เดินบ้าง วิ่งน้อยๆบ้าง จนถึงครึ่งทางจึงหยุดร้องไห้ ระยะทางจากบ้านถึงวัดป่าสันติกาวาสประมาณ 3 กม. ขณะขึ้นไปถึงบนศาลา เราเป็นคนสุดท้าย หลวงปู่กำลังเตรียมจะให้พร ยะถา รีบนำอาหารที่หาบไปเข้าถวายหลวงปู่ เสร็จแล้วก็ก้มกราบท่านสามครั้ง แล้วหลวงปู่ท่านถามว่า "วันนี้จะมาอยู่วัดหรือ" หลวงปู่บอกว่า "ถ้าจะอยู่วัด ฉันเสร็๗แล้วไปให้เณรโกนผมให้" หลวงปู่ท่านล่วงรู้ใจเราก่อนแล้ว เมื่อเสร็จจากพระเณรท่านฉันจังหัน จึงไปให้ครูบาเณรท่านโกนผมให้ แล้วก็อยู่วัดกับหลวงปู่ตั้งแต่วันนั้นมา ขณะนั้นผู้เขียนอายุ 13 ปี หลวงปู่ท่านเรียก "สังกะลี" คือ เด็กที่โกนผมอยู่วัด เพื่อศึกษาเตรียมจะบวช
    .
    หลวงปู่พาไปถวายเพลิงศพพระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ
    .
    ประมาณต้นเดือนมีนาคม พ.ศ. 2506 หลวงปู่จะไปร่วมงานถวายเพลิงศพท่านพระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร ก่อนจะถึงวันเดินทาง 1 วัน หลวงปู่ท่านบอกว่าให้สังกะลีไปด้วย พอได้ยินคำหลวงปู่สั่งให้ไปด้วย ผู้เขียนดีใจเป็นพิเศษ ที่จะได้ติดตามครูบาอาจารย์ไปในงานเช่นนี้ และเดินทางไกลซึ่งยังไม่เคยมีในชีวิต พอถึงตอนเช้าวันเดินทาง ญาติโยมเตรียมอาหารถวายหลวงปู่และพระที่จะเดินทางไปด้วย ให้ฉันแต่เช้า เมื่อฉันเสร็จแล้วต่างก็เตรียมบริขาร เครื่องใช้ลงในบาตร เตรียมเดินทาง
    .
    การเดินทางครั้งนั้นได้อาศัยไปกับรถยนต์ 6 ล้อ ที่บรรทุกขนย้ายครอบครัวของพ่อมูล ทัพพิลา ผู้เป็นน้องชายของหลวงปู่ ซึ่งย้ายครอบครัวจากบ้านหนองตูมไปอยู่บ้านห้วยทราย อ.เมือง จ.สกลนคร พระที่ติดตามไปกับหลวงปู่มี 4 รูป คือ 1.อาจารย์คำไหม 2.หลวงปู่คำตัน ฐิตธมฺโม 3.ครูบาสม 4.ครูบาบุญมา และมีญาติโยมติดตามไปด้วย 5-6 คน พระนั่งข้างหน้ารถบรรทุก พวกโยมนั่งบนข้างของข้างหลัง ออกจากวัดสันติกาวาส 7 โมงเช้า วิ่งไปตามถนนลูกรังสายอุดร-สกลนคร ถึงบ้านห้วยทรายเป็นเวลาเย็น หลวงปู่พร้อมด้วยพระที่ติดตามและผู้เขียนซึ่งเป็นสังกะลี ขออาศัยพักค้างคืนที่ศาลาวัดบ้านห้วยทราย สมภารเจ้าวัดท่านก็ให้การต้อนรับดี ส่วนพวกญาติโยมก็พักกับครอบครัวของพ่อมูลที่เดินทางมาด้วยกัน
    .
    ตอนกลางคืนได้มีพวกญาติโยมบ้านห้วยทรายออกมาวัด กราบไหว้สนทนาปราศรัยกับหลวงปู่พอสมควร แล้วจึงได้เลิกกันพักผ่อน จวนสว่างได้เตรียมน้ำล้างหน้าและไม้สีฟันถวายหลวงปู่ เมื่อได้เวลาภิกขาจาร หลวงปู่พร้อมด้วยพระติดตามบิณฑบาตในหมู่บ้านห้วยทราย แล้วกลับมาฉันที่วัด เมื่อฉันเสร็จผู้เขียนนำบาตรไปล้าง หลวงปู่ท่านสอนให้เอาน้ำเทลงในบาตร ใช้มือกวนน้ำลูบเมล็ดข้าวในบาตร เทออกให้หมดก่อน การเทน้ำล้างบาตร ให้เทเป็นที่ ไม่ใช่สาดไปทั่ว แล้วท่านให้เก็บเอาใบไม้ที่มีอยู่ใกล้ๆ เช่นใบมะม่วง นำมาถูบาตร ถ้าไม่มีที่รองบาตร ให้วางบาตรลงที่หลังเท้าตัวเอง ใช้ใบไม้ถูกบาตรให้สะอาด แล้วล้างด้วยน้ำ สะอาดแล้วให้เช็ดด้วยผ้าสำหรับเช็ดบาตร ซึ่งทั้งใช้นุ่งสรงน้ำด้วย การใช้ผ้าของพระกัมมัฏฐานในยุคนั้นใช้ให้คุ้มค่าทีเดียว เมื่อเช็ดบาตรแห้งดีแล้ว นำเข้าถลก
    .
    ส่วนฝาบาตรก็ให้ล้างให้สะอาด เพราะฝาบาตรท่านใช้สำหรับใส่น้ำไว้ล้างมือเวลาฉันข้าว เมื่อเสร็จแล้ว ต้องล้างด้วยกันกับบาตร ถ้าฝาบาตรมีรอยดำด่าง ท่านให้ขัดด้วยของเปรี้ยว เช่น ใบมะขาม หรือมะนาว เป็นต้น เพราะฝาบาตรในยุคนั้นเป็นทองเหลืองส่วนมาก ท่านห้ามไม่ให้ขัดด้วยทราย เพราะจะทำให้ฝาบาตรเป็นรอยและสึกกร่อนได้เร็ว การรักษาบาตรของพระเณรในยุคนั้น มีความระมัดระวังมากเท่ากับรักษาเด็กอ่อน เมื่อล้างเช็ดฝาบาตรให้แห้งแล้วก็เข้าถลกเหมือนกันกับลูกบาตร เมื่อล้างบาตรเข้าถลกเรียบร้อยแล้ว นำบริขารลงในบาตร นำบาตรเข้าถุงบาตรสำหรับสะพาย ผูกมัดให้ดีเรียบร้อยแล้ว เตรียมตัวเดินทางต่อไป
    .
    เดินทางต่อไปยังวัดดอยธรรมเจดีย์
    .
    หลวงปู่ให้ว่าจ้างรถโดยสารเล็ก ตัวถังทำด้วยไม้ ให้ไปส่งที่วัดดอยธรรมเจดีย์ เมื่อทั้งพระทั้งโยมนั่งรถเรียบร้อยแล้ว พระนั่งด้านหน้า โยมนั่งข้างหลัง สังกะลีนั่งหลังสุด รถออกจากบ้านห้วยทรายวิ่งไปตามถนนลูกรัง ที่ไหนมีคลื่นมากๆรถเต็นกระโดกๆ ผู้นั่งข้างหลังตับโยกตับคลอนไปอย่างนั้นแหละ รถวิ่งผ่านตัวเมืองสกลนครไป มองเห็นเขาภูพานเป็นฉากกั้นอยู่ข้างหน้า ผู้เขียนไม่เคยเห็นภูเขาสักที เกิดความตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก บางขณะจิตก็คิดว่า เออ ทำไมภูเขาจึงมีสีดำสีเขียวทะมึน น่ากลัวจริงๆ บางขณะจิตก็ดีใจว่าบัดนี้เราจะได้ขึ้นภูเขา เกิดความชอบใจ เมื่ออยู่ห่างๆมองเห็นภูเขาสูงตระหง่านอยู่ข้างหน้า
    .
    พอรถวิ่งใกล้เข้าไป ถึงบ้านโคก ตำบลตองโขบ รถเลี้ยงออกจากถนนใหญ่ด้านขวามือ วิ่งไปตามทางเกวียนที่เต็มไปด้วยทราย บางทีก็เหมือนกับรถจะติดทราย ต้องค่อยขึ้นไปอย่างทุลักทุเล เมื่อรถวิ่งใกล้ภูเขาเข้าไปเท่าไร ภูเขาค่อยต่ำลง ต่ำลง พอรถวิ่งเข้าไปถึงตีนเขา ภูเขาที่อยู่สูงตระหง่านกลายเป็นภูเขาเตี้ยลง ในขณะที่รถวิ่งใกล้ภูเขาแต่ยังไม่ถึงตีนเขานั้น จะมองไม่เป็นภูเขาเลย ทำให้เกิดความแปลกประหลาด ว่าภูเขาวิ่งหนีไปไหน พอเราเข้ามาใกล้ทำไมมองไม่เห็น จนรถเข้าไปถึงตีนเขาจึงมองเห็นภูเขา เมื่อรถวิ่งไต่เขาขึ้นไป ก็มองเห็นเป็นเหมือนกับพื้นราบอีก พิจารณาดูแล้วก็เหมือนกับกิเลส ความโลภ โกรธ หลง ที่มีอยู่ในใจของคนเรา เรามองเห็นมันเกิดอยู่ที่ผู้อื่น ดูแล้วเป็นสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา พอมันมาเกิดขึ้นในใจของตัวเองแล้ว มองไม่ค่อยเห็นเลย
    .
    ถึงวัดดอยธรรมเจดีย์
    .
    ถนนจากตีนเขาเข้าไปถึงศาลาวัดดอยธรรมเจดีย์นั้นเป็นก้อนหินขรุขระ รถวิ่งขลุกขลักๆ เข้าไปถึงศาลาการเปรียญซึ่งเป็นที่ตั้งศพของท่านพระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ ทั้งพระทั้งโยมลงจากรถเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่จึงพาขึ้นไปกราบนมัสการศพท่านพระอาจารย์กงมา ซึ่งยังตั้งอยู่บนศาลา ยังไม่เคลื่อนศพไปสู่เมรุ เพราะวันนั้นเป็นวันเริ่มงาน เมื่อกลับลงจากศาลา พระกรรมการแผนกต้อนรับพระนำหลวงปู่ไปพักที่กุฏิพักร่วมกันกับท่านพระอาจารย์แว่น ธนปาโล (วัดถ้ำพระสบาย อ.แม่ทะ จ.ลำปาง ปัจจุบันมรณภาพแล้ว) พระที่ติดตามและสังกะลีพักที่ปะรำต้อนรับพระ ญาติโยมพักตามเพิงหินแถวใกล้ๆศาลา
    .
    บรรยากาศในงานถวายเพลิงศพพระอาจารย์กงมา
    .
    ทั้งพระทั้งโยมได้เดินทางหลั่งไหลเข้ามาสู่วัดดอยธรรมเจดีย์ แม้พระและโยมจะมารวมกันมากๆ แต่บรรยากาศเต็มไปด้วยความสงบ ไม่พลุกพล่าน ไม่วุ่นวาย เหมือนสมัยทุกวันนี้ พระเณรกางกลดพักตามร่มไม้ลานหิน ตามปะรำที่จัดไว้ต้อนรับ กลางคืนแสงเทียนที่จุดไว้ตามที่พักของแต่ละองค์ ตามลานหินตามยอดเขา มองดูแล้วเป็นสิ่งที่ประทับใจไม่มีวันลืม ธรรมชาติช่างมีความเยือกเย็นสวยงามอย่างสงบๆ เวลากลางวันตอนตะวันบ่ายๆ มองไปเห็นครูบาอาจารย์ท่านนั่งสนทนาธรรม ถามข่าวคราวกันตามลานหินใต้ร่มไม้ นานๆจะได้พบกันครั้งหนึ่ง มองดูแล้วทำให้เกิดความเลื่อมใสเยือกเย็นในจิตใจ
    .
    ในครั้งนั้นน้ำกันดาร น้ำอาบน้ำใช้ไม่พอใช้ในวันงาน พระเณรท่านก็ทนเอา บางองค์ก็แค่เอาผ้าเช็ดเอาก็พอ บางองค์ท่านก็ไม่อาบไม่สรง ท่านก็ทนเอา ไม่มีพระเณรโวยวายอย่างนั้นอย่างนี้ การแย่งอาหาร แย่งปัจจัยไทยทาน ไม่มีเหมือนทุกวันนี้ ตอนเย็นทั้งพระทั้งโยมรวมประชุมกันทำวัตรเย็น สวดมนต์ บนศาลาการเปรียญ ตอนเช้าพระเณรออกบิณฑบาตในหมู่บ้านด้วย บิณฑบาตกับญาติโยมแต่ละหมู่บ้านที่มาร่วมงานด้วย พระเณรรวมกันฉันบนศาลา เต็มไปด้วยครูบาอาจารย์และพระเล็กเณรน้อย
    .
    เป็นผู้มีนิสัยในการถ่อมตน
    .
    หลวงปู่ท่านนั่งปะปนอยู่กับพระเล็กเณรน้อย พอท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโรมาพบเข้า จึงพูดว่า "ไม่ได้ๆ ท่านอาจารย์บุญจันทร์มานั่งปนกับพระเล็กเณรน้อย" ท่านจึงย้ายเอาที่นั่งของหลวงปู่ขึ้นไปบนอาสนสงฆ์
    .
    เมื่อถึงวันถวายเพลิงศพท่านพระอาจารย์กงมา คณะศิษย์ได้เคลื่อนศพของท่านจากศาลาการเปรียญไปตั้งที่เมรุ ก่อนถึงพิธีถวายเพลิงศพ ได้มีครูบาอาจารย์พระภิกษุสามเณรขึ้นรวมกันที่ปะรำพิธีจำนวนประมาณ 500 รูป มีท่านหลวงปู่เทสก์ เทสฺรงฺสี เป็นประธานสงฆ์ นายวัน คมนามูล ได้ถวายฉลากสิ่งของที่นำมาถวายพระ ให้พระเณรจับฉลาก องค์ไหนถูกอะไรก็นำของถวาย หลวงปู่จับฉลากถูกย่าม 1 ใบ เสร็จจากการมาติกาบังสุกุลและถวายสิ่งของแก่พระภิกษุสามเณรแล้ว ก็เป็นพิธีถวายเพลิงศพ
    .
    เดินทางกลับมาพักที่บ้านห้วยทรายอีก
    .
    หลวงปู่พาพักที่วัดดอยธรรมเจดีย์ 3 คืน เมื่อเสร็จจากการถวายเพลิงศพท่านพระอาจารย์กงมา ตอนเช้าเก็บอัฐิเรียบร้อยแล้ว ฉันจังหันเช้าเสร็จ รถคันที่ไปส่งก็ได้กลับไปรับ ผู้เขียนได้เก็บเสื่อหมอนจากปะรำที่พระพัก ทั้งของตัวเองและของผู้อื่น มารวมไว้ที่ศาลา เดินขึ้นลงที่เขาพระนอน 3 เที่ยว จนหมดแรง เมื่อเก็บสิ่งของเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่จึงพาเดินทางกลับมาพักที่วัดบ้านห้วยทรายอีก กลับมาถึงบ้านห้วยทรายยังไม่ค่ำ หลวงปู่คำตันจึงนิมนต์ให้หลวงปู่ไปเยี่ยมญาติของท่าน และอบรมธรรมะญาติพี่น้องของท่านด้วย ผู้เขียนได้ติดตามไปด้วย นั่งฟังพวกชาวภูไทพูดไม่รู้เรื่องเลย แต่หลวงปู่ท่านรู้ภาษาภูไท เมื่ออบรมพอสมควรแล้ว ก็กลับมาพักที่วัดบ้านห้วยทราย
    .
    ตอนเช้าโยมแม่สอพ่อจันทร์ได้นิมนต์หลวงปู่พร้อมพระที่ติดตามเข้าไปฉันเช้าที่บ้าน เมื่อฉันเสร็จแล้วหลวงปู่คำตันก็เดินทางกลับไปวัดดานศรีสำราญ ส่วนอาจารย์คำไหม ครูบาสม ครูบาบุญมานั้น หลวงปู่ให้เดินทางกลับวัดป่าสันติกาวาส ไชยวานก่อน ส่วนตัวหลวงปู่และผู้เขียนและโยมพ่อใหญ่พัน ได้พักวิเวกอยู่ที่ป่าไผ่ ริมห้วยทราย ซึ่งเป็นสวนของนายสมศักดิ์ พวกโยมช่วยกันทำร้านถวายหลวงปู่ใต้ร่มไผ่ และทางสำหรับให้ท่านเดินจงกรมด้วย พอตอนเย็นสรงน้ำเสร็จแล้ว ท่านจะเดินจงกรมเสียก่อน พอตอนมืดแล้วมีโยมมาหา ท่านก็สนทนาอบรมธรรมะให้ พอพวกโยมกลับไป ท่านก็เข้าในมุ้งกลดทำสมาธิภาวนาต่อไป ผู้เขียนและพ่อใหญ่พันพักใต้ร่มไผ่ห่างจากท่านไปอีกหน่อย
    .
    ตอนเช้าเตรียมน้ำถวายให้ท่านล้างหน้าชำระฟัน พอได้เวลาบิณฑบาต ท่านไปบิณฑบาตที่บ้านน้อยหัวคู ท่านนุ่งสบงห่มจีวรซ้อนผ้าสังฆาฏิ เดินออกหน้า ผู้เขียนเป็นสังกะลีสะพายบาตรคล้องคอเดินตามหลังท่านไป พอถึงหมู่บ้าน นำบาตรถวายท่าน บิณฑบาตไปตามถนนในหมู่บ้าน พอดีมีโยมผู้หญิงคนหนึ่งนำข้าวมาใส่บาตร พร้อมด้วยปลาแห้งที่ยังไม่ทำให้สุกด้วยไฟ ท่านไม่รับปลาแห้ง เพราะยังเป็นของดิบอยู่ ท่านจึงบอกให้สังกะลีรับ ปกติสังกะลีรักษาศีลแปดไม่รับของต่อมือผู้หญิง ไม่รู้จะทำอย่างไร เก้ๆ กังๆ พอนึกได้จึงเอาผ้าขนหนูที่ห่มไปด้วย กางออกให้เขาวางปลาแห้งลงในผ้า
    .
    พอท่านบิณฑบาตเสร็จกลับออกจากบ้าน รับบาตรท่านแล้วเดินตามหลัง ท่านมาถึงที่พัก นำน้ำมาถวายล้างเท้า เทน้ำใส่แต่หลังเท้า แล้วท่านก็พูดว่า "คนไม่ฉลาดล้างเท้าก็ไม่เป็น เทลงแต่ที่เดิม" คือ ท่านให้เทน้ำใส่ให้ทั่วเท้าแล้วให้เอามือลูบถูด้วย เท้าจึงสะอาด พักอยู่ 3-4 วัน เกิดพายุฝนตกหนักตอนกลางวัน นายสมศักดิ์จึงนิมนต์ให้หลวงปู่ขึ้นไปพักที่บ้านว่างของเขา 1 คืน แล้วหลวงปู่จึงพาเดินทางกลับวัดป่าสันติกาวาส ไชยวาน
    .
    ถือฉันหนเดียวเป็นวัตร
    .
    ระหว่างที่นั่งรถโดยสารมาถึงตลาดพังโคน ขณะนั้นยังไม่ถึงเวลาเที่ยง มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งเกิดเลื่อมใสในหลวงปู่ จึงซื้อน้ำมะพร้าวอ่อนถวายหลวงปู่ หลวงปู่บอกว่า "อาตมาถือฉันหนเดียว ขออนุโมทนาด้วย น้ำมะพร้าวเป็นประเภทอาหาร" ท่านสอนธรรมะแก่ลูกศิษย์ไปในตัว ด้วยการทำให้ดูเป็นตัวอย่าง หลวงปู่ท่านสอนลูกศิษย์นั้นส่วนมากท่านจะทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ไม่เพียงแต่พูดให้ฟัง ท่านพิถีพิถันมากในการปฏิบัติธุดงควัตร ไม่เพียงแต่ไปเดินธุดงค์ เที่ยวธุดงค์เฉยๆ สิ่งสำคัญคือการปฏิบัติในธุดงควัตร คือ ธุตธรรม ธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ แล้วปฏิบัติเพื่อเป็นการกำจัดกิเลสเครื่องโลเลในใจให้เบาบางไป ที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญมีอยู่ 13 ข้อ ขอให้ดูในเรื่องธุดงควัตรเถิด เมื่อรถโดยสารวิ่งมาถึงปากทางแยกไชยวาน บอกให้คนขับรถหยุดรถ หลวงปู่พาลงจากรถแล้ว พ่อใหญ่พันสะพายบาตร ผู้เขียนถือกลดและกาน้ำ หลวงปู่สะพายย่าม เดินจากทางแยกจนถึงวัดป่าสันติกาวาส
    .
    ขอหลวงปู่บวชเป็นชีผ้าขาว
    .
    กลับจากบ้านห้วยทรายอยู่มาถึงวัน 15 ค่ำ เป็นวันพระ ผู้เขียนจึงกราบเรียนขอโอกาสต่อหลวงปู่บวชเป็นชีผ้าขาว หลวงปู่ถามว่า "มีเหตุผลอย่างไรจึงอยากจะบวชเป็นชีผ้าขาว" ผู้เขียนจึงกราบเรียนหลวงปู่ว่า "เป็นสังกะลีเฉยๆ รักษาศีล 8 โยมผู้หญิงเขาไม่รู้ว่าเรารักษาศีล 8 บางทีเขาก็เอามือมาตบหลัง บางทีเขาก็มาจับแขนเอา ทำให้ไม่สบายใจ ถ้าบวชนุ่งห่มผ้าขาวแล้ว เขาคงจะเข้าใจว่าเป็นผู้รักษาศีล แล้วจะไม่ทำอย่างนั้นอีก" หลวงปู่ตกลงให้บวชนุ่งขาวห่มขาว แล้วสมาทานศีล 8 หลวงปู่ท่านเป็นผู้ละเอียดในเหตุผล จะทำอะไรท่านต้องให้มีเหตุผลไม่ให้ทำสุ่มสี่สุ่มห้า เมื่อบวชเป็นผ้าขาวแล้ว หลวงปู่สอนให้ท่องสวดมนต์ไหว้พระให้ได้ และสอนให้ทำกิจวัตร ข้อวัตร อาจาริยวัตร ให้มีความเคารพในพระภิกษุสามเณร
    .
    ข้อวัตรยามเช้า
    .
    ตอนเช้าท่านให้ตื่นแต่ตี 3 ล้างหน้า แล้วไหว้พระทำวัตรเช้า นั่งภาวนาแล้วให้ลงเดินจงกรม ตีห้าให้ลงศาลา กวาดถูเสร็จแล้ว ปูลาดอาสนะ ตั้งกระโถน การวางกระโถนนี้ท่านสอนให้วางไม่ให้มีเสียงดัง ท่านสอนว่าเวลาวางลงให้เอานิ้วมือของเรารองลงไปก่อน แล้วค่อยเอามือออก จะไม่มีเสียงของก้นกระโถนกระทบพื้น ถ้าใครวางโป้ง โป้ง จากศาลาได้ยินไปถึงกุฏิท่าน (เพราะมันเงียบสงัด) เวลาจะฉันข้าว ท่านจะเทศน์สอนอย่างหนักเลย "ตามีไม่ดู หูมีไม่ฟัง ใจมีไม่คิด หาสติสตังไม่ได้ อยู่อย่างไรอยู่กับครูบาอาจารย์ อยู่ให้ท่านหนักอกหนักใจ อยู่แล้วไม่ฝึกไม่หัด สติปัญญาไปไหนหมด" เวลาลงสุดท้ายท่านก็จะเหน็บว่า "สอนแล้วไม่ตั้งใจ ไม่ฝึกตน ไม่เอาใจใส่ ไม่ระมัดระวัง ไม่มีสติสตัง หนีไหนก็ไป อย่ามาอยู่ที่นี้ ถ้าไม่เชื่อครูบาอาจารย์" เป็นคำที่ท่านเหน็บสุดท้าย เพื่อให้บรรดาลูกศิษย์มีความเข็ดหลาบระมัดระวัง
    .
    พอสว่างแล้วก็ไปคอยปฏิบัติ รับบาตร รับกาน้ำของท่านลงมาศาลา สามเณรผ้าขาวคนไหนมีหน้าที่ปฏิบัติพระองค์ใด ก็ให้คอยปฏิบัติองค์นั้นประจำเป็นกิจวัตร สำหรับองค์หลวงปู่นั้น ผู้เขียนมีหน้าที่ปฏิบัติท่านกับครูบาสม เมื่อลงไปถึงกุฏิท่านแล้ว ท่านสอนให้นั่งภาวนาคอยอยู่ที่ประตูกฏิท่าน เวลาเดินไปกุฏิท่านก็ไม่ให้มีเสียงเดิน ต้องระวังขนาดนั้นแหละ นั่งคอยจนกว่าท่านจะเปิดประตูแล้วก็รับกระโถนท่านไปล้าง ครูบาสมก็นำกาน้ำและยาสีฟันถวายน้ำล้างหน้า เสร็จแล้วกวาดถูกฏิท่านเสร็จแล้วครูบาก็นำบาตรและย่ามของท่านลงศาลาที่ฉัน ผู้เขียนนำกาน้ำไปกรองน้ำใส่
    .
    การกรองน้ำใส่กา ท่านก็สอนให้มีประมาณด้วย ว่าเคยเอาใส่ขนาดไหนต้องให้ขนาดนั้น ถ้าวันไหนเราเผลอสติใส่ไปเกินขนาด ท่านจะรู้ทันที ท่านจะถามว่า "วันนี้ใครทำ" เรารับว่า "เกล้ากระผม" แล้วท่านจะขึ้นว่า "หาสติสตังไม่ได้" ท่านจะสอนสั้นๆแค่นี้ แต่เราเจ็บเข้าไปถึงขั้วหัวใจเลยทีเดียว เมื่อครูบานำบาตร ย่าม และผ้าสังฆาฏิมาถึงศาลา ปูผ้านิสีทนะบนอาสนะนั่งของท่าน แล้ววางย่ามให้ถูกที่เดิม รับประเคนกาน้ำ ตั้งให้ถูกที่เดิม และเอาจีวรของท่านซ้อนสังฆาฏิไว้ หลวงปู่ลงจากกุฏิแล้วท่านจะเดินรอบวัด ดูตามกุฏิพระเณร แล้วกลับเข้าศาลา ท่านกราบพระประธาน แล้วก็ลุกคลุมจีวรที่ซ้อนสังฆาฏิไว้ ผู้เขียนเป็นผ้าขาวรีบเข้าไปจับเอาเสื่อที่เตรียมไว้ ปูรองผ้าที่ท่านกำลังคลุมอยู่ ไม่ให้ถูกพื้น แล้วกลัดลูกดุมรังดุมของจีวรและสังฆาฏิถวายท่าน พอท่านคลุมผ้าเสร็จก็เก็บเสื่อม้วนๆไว้ที่เดิม รีบสะพายบาตรของท่านคล้องคอแล้วเดินตามท่านไปส่งบาตร
    .
    หลวงปู่ท่านเดินเร็ว ระยะทางจากวัดถึงหมู่บ้านไชยวาน 2 กม. ถนนเต็มไปด้วยทราย เป็นทางล้อเกวียน บางทีเดินไม่ทันท่าน ต้องวิ่งเหยาะๆ พอถึงหมู่บ้านนำบาตรถวายท่าน แล้วท่านก็เข้าบิณฑบาตในหมู่บ้านไชยวาน ท่านเดินในหมู่บ้านอีกประมาณ 2 กม. เมื่อท่านออกจากหมู่บ้าน หมดคนใส่บาตรแล้ว เข้ารับบาตรจากท่าน แล้วต้องรีบเดินก่อน ให้ถึงวัดก่อนท่าน วางบาตรถอดถลกบาตร แล้วเตรียมน้ำคอยล้างเท้า เช็ดเท้าท่าน เมื่อท่านมาถึง พระเณรลูกศิษย์ต้องคอยล้างเท้าเช็ดเท้าถวาย แล้วรับผ้าสังฆาฏิ ถ้าเหงื่อชุ่มก็ผึ่งก่อนค่อยเก็บพับให้เรียบร้อย
    .
    จากนั้นก็เป็นการเตรียมฉันอาหาร มีอาหารอะไรก็เตรียมแจกอาหารลงในบาตร พระเณรลูกศิษย์องค์ไหนบิณฑบาตได้ของที่ดีๆ เช่น กล้วยน้ำว้าสุก หรือน้ำอ้อยก้อน หรือลูกกระจอนต้ม ซึ่งหลวงปู่ชอบฉันกับน้ำพริก ใครได้ของอะไรแปลกๆ ก็นำมาใส่บาตรถวายหลวงปู่ บางทีท่านก็บอกว่า "ทำไมไม่ฉันเอง" แต่ลูกศิษย์ลูกหามีความเคารพ เมื่อได้ใส่บาตรถวายท่านทำให้เกิดปีติเอิบอิ่มใจเป็นอันมาก
    .
    เมื่อแจกอาหารลงในบาตรเสร็จแล้ว ท่านก็สอนให้พิจารณาอาหารปัจจเวกขณ์ คือพิจารณาเสียก่อนจึงฉัน บางทีเราส่งจิตไปกระทบท่าน เวลาพิจารณาอาหารอยู่ เราไปนึกว่า "เมื่อไหร่จะพาฉัน" อย่างนี้ ท่านจะพูดขึ้นเลยว่า "ให้พิจารณาอาหาร ยังส่งจิตไปคิดอย่างอื่น ดูซิอะไรมันพาอยากอยู่นั้น เมื่อไรจะฉัน เมื่อไรจะฉันอยู่นั้น ดูซิฉันแล้วมันไปเป็นอะไร ตัวที่มันเซ็นเอาเซ็นเอาอยู่นั้นมันคืออะไร" เมื่อท่านสอนให้พิจารณาเสร็จแล้วจึงพาลงมือฉัน
    .
    กิเลสไม่รู้จักอาย
    .
    มีอยู่วันหนึ่งขณะที่หลวงปู่ท่านสอนให้พิจารณาอาหารอยู่ มีพระองค์หนึ่งทนความอยากไม่ได้ เพราะส่งจิตออกตามความอยาก พระองค์นั้นจึงพูดขึ้นตรงๆว่า "อยากเด" (อยากมาก) หลวงปู่จึงพูดขึ้นว่า "อยากกะฉันถะแม้" (อยากก็กินเสีย) แล้วท่านก็เทศน์สอนไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมงจึงพาฉัน แต่พระองค์นั้นพอพูดขึ้นแล้วท่านก็ฉันไปเลย นี้เรื่องกิเลส ถ้ามันได้กดหัวใจใครแล้วไม่มีความอาย
    .
    ข้อวัตรเมื่อฉันเสร็จ
    .
    เมื่อฉันเสร็จแล้ว เวลานำบาตรไปล้างในที่ล้างบาตรและกระโถน ท่านไม่ให้คุยกันเวลาล้างบาตรเช็ดบาตร ต่างให้ตั้งสติทำด้วยความสงบ ไม่ให้โลเล ล้างบาตรเสร็จเก็บกวาดที่ฉัน เก็บบริขารของครูบาอาจารย์ไปสั่งกุฏิของท่าน แล้วเก็บของตัวเอง จากนั้นก็เข้าสู่ทางเดินจงกรม เป็นกิจวัตรที่ท่านให้ปฏิบัติอยู่ตลอดมา
    .
    ไปวิเวกที่ดงหนองควาย
    .
    หลังจากหลวงปู่กลับจากบ้านห้วยทรายมาพักอยู่ที่วัด พอถึงต้นเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน พวกญาติโยมชาวบ้านห้วยทรายได้ตามมานิมนต์หลวงปู่ ให้ไปพักวิเวกที่ดงหนองควาย ซึ่งอยู่ใกล้ตีนเขาภูพาน พวกโยมได้กราบเรียนหลวงปู่ว่า ที่ดงหนองควายนี้ผีมันดุ ใครไปทำอะไร ถางไร่ ทำนาใกล้ที่นั้นไม่ได้ ต้องมีอันเป็นไป จึงอยากนิมนต์ให้ท่านอาจารย์ไปโปรดสักระยะหนึ่งด้วย หลวงปู่รับนิมนต์ จึงให้หลวงพ่อคำสิงห์ผู้เป็นพี่ชายท่าน และผ้าขาวเสนติดตามไปด้วย พอไปถึงพวกญาติโยมได้ช่วยกันทำร้าน กระท่อมมุงหญ้าคา แอ้มฝาใบตอง 3 ที่ ถวายให้พักอยู่ห่างๆกัน
    .
    ในดงหนองควายนี้มีพื้นที่เป็นป่าดงดิบ อยู่ประมาณ 200 ไร่ เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ และต้นมะแวงมะไฟ ในระยะนั้นมะไฟสุกเต็มต้นเหลืองอร่าม ต้นไหนลูกหวาน พวกลิงพากันกิน ถ้าต้นไหนลูกเปรี้ยว ลิงไม่กิน ของป่าธรรมชาติมีอยู่เต็ม หัวกลอย หัวมันเหลืองมันดำมีอยู่เต็มในบริเวณนั้น และมีหนองน้ำธรรมชาติอยู่ในป่านั้น พวกควายป่าชอบมากินน้ำ นอนแช่น้ำที่นั้น เขาจึงเรียก ดงหนองควาย
    .
    หลวงปู่ไปพักอยู่ได้ประมาณครึ่งเดือน ครูบาสมและผู้เขียนจึงได้ตามไปพักวิเวกอยู่กับหลวงปู่ด้วย พวกโยมได้ทำกระท่อมให้ครูบาสมอีก 1 หลัง ผู้เขียนขณะนั้นบวชเป็นชีผ้าขาวแล้ว ได้พักอยู่ที่ผาม (เพิงหมาแหงน) ใหญ่ ที่สำหรับเป็นที่รวมฉันอาหารเช้า หลังฉันจังหันเช้าเสร็จแล้ว หลวงปู่ก็พูดธรรมอบรมญาติโยมที่ไปถวายอาหารเช้า เมื่อโยมกลับไปแล้ว ท่านก็เดินจงกรมไปถึงเที่ยงวัน ท่านจึงพักผ่อนตอนบ่าย ผู้เขียนและโยมผู้ชายหาเก็บมะไฟ ต้นไหนหวานที่มีรอยพวกลิงเก็บกิน ก็ขึ้นเก็บเอามาทำน้ำปานะถวายหลวงปู่ หลวงพ่อคำสิงห์ และครูบาสมด้วย
    .
    สิ่งน่าอัศจรรย์ได้เกิดขึ้น
    .
    อยู่มาวันหนึ่ง แม่ออกสอมาถวายจังหันเช้าเสร็จแล้ว ได้กราบเรียนหลวงปู่ว่า "ที่ไร่ข้าน้อย (ที่ไร่ดิฉัน) ปลูกถั่วดิน (ถั่วลิสง) และมะเขือไว้ มีแมลงผักโหมมาลงกินใบถั่วดินและใบมะเขือเต็มไปหมดไม่รู้จะทำอย่างไร" หลวงปู่จึงบอกว่า "วันนี้ให้ตักน้ำไปไว้ในไร่หลายๆหาบ ตอนบ่ายจะออกไปสรงน้ำให้" เมื่อโยมแม่สอได้ฟังแล้วก็ดีใจ รีบกลับออกไปที่ไร่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากดงหนองควาย เอาครุกระแป๋งตักน้ำมาตั้งไว้ที่กลางไร่หลายหาบ พอถึงตอนบ่าย หลวงปู่สั่งให้ครูบาสมและผู้เขียนถือเอาผ้าอาบน้ำและผ้าเช็ดตัวของท่าน แล้วท่านพาเดินออกไปที่ไร่โยมแม่สอ
    .
    พอไปถึง มองดูแมลงผักโหมเต็มไปหมด ตามต้นถั่วดินต้นมะเขือ มันกัดกินใบ ท่านพาไปหยุดที่ครุน้ำที่ตั้งอยู่กลางไร่ ผู้เขียนนำผ้าอาบน้ำเปลี่ยนผ้าถวายท่าน เสร็จแล้วท่านก็สรงน้ำ ครูบาสมกับผู้เขียนก็ถูหลังถวายท่าน เมื่อสรงน้ำเสร็จก็นำผ้าเปลี่ยนถวายท่าน รับเอาผ้าอาบน้ำมาบิด เรียบร้อยแล้วท่านก็พาเดินกลับที่พักในดงหนองควาย วันรุ่งขึ้น แม่สอมารายงานว่า แมลงผักโหมได้หนีออกจากไร่หมดไม่เหลือเลย เป็นสิ่งน่าอัศจรรย์
    .
    นายพรานแอบยิงไก่ป่า
    .
    ในขณะที่หลวงปู่พักวิเวกอยู่ที่ดงหนองควายนั้น มีโยมคนหนึ่งพูดให้ท่านฟังว่า ที่หลังเขาภูพานมีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่งเป็นถ้ำใหญ่ หลวงปู่จึงอยากขึ้นไปเที่ยวดู มีนายพรานป่าคนหนึ่งอยู่ที่บ้านพานทอง แกเป็นคนรู้จักทางไปที่ถ้ำนั้น จึงนัดหมายให้แกพาไป พอฉันเช้าเสร็จ ก็ออกเดินทางจากที่พักขึ้นหลังเขาภูพาน หลวงปู่ให้ผู้เขียนติดตามไปด้วย และก็มีโยมไปด้วยหลายคน เดินไปตามป่าตามเขานั้น มีนายพรานป่าเป็นคนเดินน้ำหน้า
    .
    พอไปถึงกลางป่าที่ห่างผู้คน ก็ได้ยินเสียงไก่ป่าขันประชันกันตามประสาของมันที่อยู่ตามป่าพนาไพร นายพรานที่เป็นคนนำทางแกสะพายปืนเพลิงไปด้วยตามประสาของพรานป่า เมื่อแกได้ยินเสียงไก่ป่าขันประชันกันเจื้อยแจ้ว แกก็ทำทีเป็นปวดท้องถ่าย แกจึงให้หลวงปู่และโยมที่ไปด้วยเดินไปก่อน ส่วนตัวแกทำทีเดินหลีกไปถ่าย แต่ที่จริงแกเดินไปหาเสียงไก่ป่าที่ขันอยู่ แกไปดักยิงไก่ป่า ยิงอย่างไรสับอย่างไรปืนก็ไม่แตก พยายามเล็งกระบอกปืนไปที่ตัวไก่ สับไกปืนอย่างไรก็ไม่แตกำ สุดท้ายแกจึงหยุด แล้วกลับมาหาหลวงปู่และหมู่ที่เดินคอยแกอยู่ เมื่อแกกลับมาถึงหลวงปู่แล้ว แกจึงสารภาพว่า แกไปดักยิงไก่ป่า ทำอย่างไรๆ ปืนก็ไม่แตก หลวงปู่ท่านยิ้มๆ แล้วพูดว่า "ไปยิงเขาทำไม เขาก็รักชีวิตเขาเหมือนกัน มันเป็นบาป อย่าไปทำอย่างนั้น"
    .
    ไปถึงถ้ำตะวันบ่ายแล้ว เป็นถ้ำที่ไม่ใหญ่เท่าไร แต่ก็หลบฝนได้ ฝนตกไม่เปียก เขาเรียกชื่อถ้ำนี้ว่า "ถ้ำกระดอ" หลวงปู่บอกว่า "มันอยู่ไกลหมู่บ้านคนมาก ถ้ามาอยู่ก็ไม่มีที่บิณฑบาต" เมื่อดูถ้ำแล้วจึงได้เดินเลียบภูเขากลับมาเรื่อยๆ หลวงปู่ท่านเก่งทางสมุนไพร ต้นนั้นเป็นยานั้น ต้นนี้เป็นยานี้ ท่านก็ให้ถากเอาเปลือกบ้าง ขุดเอารากบ้าง มาไว้ทำยา กลับมาถึงที่พักก็ค่ำพอดี
    .
    หลวงปู่พักวิเวกอยู่ดงหนองควายจนถึงต้นเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2506 ใกล้วันจะพระราชทานเพลิงศพท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี หลวงปู่จึงลาญาติโยมที่อุปถัมภ์ พวกญาติโยมพากันอ้อนวอน อยากให้หลวงปู่สร้างเป็นวัดที่ดงหนองควาย โดยเฉพาะผู้เป็นหัวหน้านายชลประทานที่บ้านประชาสุขสันต์ ในขณะนั้น มีอยู่เฉพาะพวกที่ทำงานชลประทาน เพราะกำลังก่อสร้างชลประทานบ้านประชาสุขสันต์อยู่ เขาอยากให้หลวงปู่อยู่เป็นที่พึ่งทางจิตใจ ถ้าหลวงปู่อยู่ด้วย หัวหน้าชลประทานเขารับจะจัดการเรื่องที่ดินตั้งวัดให้ ในจำนวนสองร้อยไร่นี้ หลวงปู่ท่านปฏิเสธไม่รับ เพราะนิสัยของท่านไม่ชอบสร้างวัดหลายวัด ในชีวิตของท่านที่บวชมาในพุทธศาสนานี้ ท่านสร้างวัดป่าสันติกาวาสวัดเดียว แล้วท่านก็อยู่จนมรณภาพ
    .
    ในขณะที่ท่านพักอยู่วิเวกดงหนองควายนั้น พวกผีภูมิที่อาศัยอยู่ที่หนองควายนั้นเขาอยู่ไม่ได้ ไปเข้าฝันพวกชาวบ้านว่า "พระธรรมมาอยู่ดงหนองควาย พวกเราอยู่ไม่ได้แล้ว กลัวท่าน จะอพยพหนีขึ้นไปอยู่บนภูพาน" แล้วก็หอบลูกจูงหลานพากันหนีขึ้นภูพานไป พวกโยมเขามาเล่าให้หลวงปู่ฟัง หลวงปู่ว่า "พวกผีนี้ก็เพราะไม่มีบุญกุศลคุณงามความดี ศีลธรรมไม่มีในใจ จึงไปเกิดเป็นผี เมื่อพระมาอยู่ใกล้ก็กลัวแล้วก็หนีไป เหมือนกับคนเราเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ไม่ยินดีในศีลธรรมบุญกุศล หมู่ชวนไปหาพระก็ไม่ไป เพราะกลัวเห็นพระเดินมาจะสวนทางก็แอบหลบเข้าข้างทาง นี้มันเป็นอย่างนี้เรื่องผีกลัวพระแต่เป็นคนอยู่ก็กลัวเมื่อตายเป็นผีแล้วก็ยังกลัวอีก"
    .
    กลับจากวิเวกที่ดงหนองควาย
    .
    เมื่อหลวงปู่ลาญาติโยมที่ให้การอุปัฏฐาก และคืนเสนาสนะและเครื่องใช้สอยให้แก่ญาติโยมแล้ว จึงได้เดินทางจากดงหนองควาย กลับวัดป่าสันติกาวาส พอวันที่ 2 มิถุนายน เป็นวันงานพระราชทานเพลิงศพท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) ที่วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี หลวงปู่และบรรดาพระกัมมัฏฐานได้ออกจากป่ามาร่วมงานท่านเป็นจำนวนมาก หลวงปู่อยู่ร่วมงานจนเสร็จจึงได้กลับวัด
    .
    ช่วงก่อนเข้าพรรษา วันหนึ่ง พระอาจารย์ศรี มหาวีโร (ปัจจุบันท่านอยู่วัดป่ากุง จ.ร้อยเอ็ด) และพระอาจารย์สรวง สิริปุญโญ พร้อมด้วยพระอีก 1 องค์ และผ้าขาว 1 คน ได้เที่ยววิเวกมาจากทาง จ.นครพนม ได้มาพักค้างคืนกับหลวงปู่ที่วัดป่าสันติกาวาส 1 คืน วันรุ่งขึ้นจึงเดินทางต่อไปทาง จ. อุดรธานี
    ..........
    รูป
    หลวงปู่กงมา
    วัดดอยธรรมเจดีย์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. อาณัติ

    อาณัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2006
    โพสต์:
    6,073
    ค่าพลัง:
    +22,241
    ติดตามอ่านมาตลอด เรื่องเล่าที่น่าชื่นชม

    แต่ นายช่างพูดดักคอไว้หมด........จะขออะไร เอ่ยไม่ได้เลย

    งั้นก็พิจารณาตะกรุดอีกดอกหนึ่ง ที่นายช่างบอกว่าเป็นของ..หลวงพ่อกวย ได้มะ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2015
  15. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    งั้นเดียวผมจะหาตะกรุดชุดนี้มาให้นะครับ 5555++
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,347
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    ทําให้รู้อายุเลย อ่อนกว่าพี่สามปี อิอิ
     
  17. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ??? รู้แบบไหนครับ บอกผมหน่อย 555
     
  18. อนาคินร์

    อนาคินร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    271
    ค่าพลัง:
    +1,437
    อุ้ยอุ้ย!! มีแจกตะกรุดด้วยอะ ฝนตกไม่ทั่วฟ้าเทวดาลำเอียงงงงงง:':)':)'(
     
  19. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    .....สวัสดีครับทุกท่าน เช้าไปตักบาตรเกือบโดนรถชนตาย นึกว่าจะไม่ได้มาเขียนอะไรให้ทุกๆท่านได้อ่านละ 5555 ชีวิตประมาทไม่ได้เลยจริงๆ พระพุทธเจ้าถึงสอนให้ระลึกถึงความตายทุกลมหายใจและสอนให้ไม่ประมาทในทุกๆเรื่อง เฮ้ออออ นี่ละนะชีวิต
    ......มาต่อตอน 2 เรื่องการสร้างล็อกเก็ตผกาพรหมดีกว่าครับ เรื่องที่ช่างชิตจะเขียนนี้ ชางชิตได้รับฟังจากปากของเซียนเต่าด้วยตัวเองก็จำมาเรียบเรียงไว้อาจไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็จับใจความไว้ ดั่งนี้
    .....ปฐมเหตุการสร้างเกิดขึ้นเมื่อ 3-4 ปีก่อน พี่หน่องหรือเซียนเต่าผู้เจนจบในศาสตร์หมอดู ฮวงจุ้ย โหวงเฮ้งและเป็นเจ้าพิธีการดูฤกษ์ยามอย่างเอกอุ ที่สำคัญเคยมาบวชกับหลวงตาเราด้วย (ในที่นี้ช่างชิตจะขอเรียกว่า เซียนเต่านะครับ)
    .....หลังจากที่สึกจากการบวชเป็นพระแล้วก็ยังถือศีล 8 ครองตัวเป็นชีปะขาวอยู่ ด้วยความที่อยากหาความรู้เพิ่มเติมจากศาสตร์ที่ตัวเองมีอยู่แล้ว เซียนเต่าก็ตระเวนหาครูบาอาจารย์ทั่วประเทศและประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงเพื่อขอเรียนวิชาอาคม
    ......แต่ไปในแต่ละที่เจ้าสำนักต่างๆก็ต่างหวงแหนวิชาของเขาเป็นที่สุด 2-3ปีแทบไม่มีอะไรรุดหน้า ทำให้เซียนเต่านึกถ้อใจว่า ตัวเองจะมีวาสนาจะได้เรียน ศาสตร์แห่งวิชาอาคมของแท้ที่มีอยู่จริงไหม วันหนึ่งนั่งภาวนาก่อนนอนจึงอธิฐานว่า "หากข้าพเจ้าจะมีวาสนาจะได้เรียนไสยเวทย์วิชาอาคมเพื่อมาโปรดช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ขอให้ข้าพเจ้าได้เจอ ครูบาอาจารย์ที่ดี วิชาของแท้ ตำราของจริง ด้วยในเร็ววันเทอญ"
    .......แล้วคืนนั้นก็เกิดเหตุการประหลาดทันที คืนนั้นเซียนเต่าก็ฝันว่าได้ไปอยู่บ้านหลังหนึ่งเป็นบ้านของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่รู้จักกันดี ในฝันก็ งง ว่ามาทำไม แล้วทันใดนั้นก็มีบุรุษร่างใหญ่ปรากกฏตัวขึ้นมา เซียนเต่าเล่าว่า
    .
    "ผมเห็นเขาสูงประมาณตึก 3 ชั้น แล้วเขาก็ชี้นิ้วไปที่ในบ้านอาจารย์...(ขอสงวนนามข้าราชการเจ้าของบ้านแต่เซียนเต่าจะเรียกอาจารย์มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว)...."แล้วบอกผมว่า นั้นละของจริง วิชาของเราอยู่ที่นี้หมด" ผมก็ถามว่าแล้วท่าน(คนที่บอก)เป็นใคร บุรุษร่างใหญ่ก็แปลงกลายเป็นพรหมนั่งบนหลังวัวและพูดด้วยเสียงดังกังวานว่า เราคือ ท้าวผกาพรหม"
    .
    เมื่อตื่นขึ้นมาตอนแรกเซียนเต่าก็ไม่ได้อะไรมากเพราะคิดว่าฝันธรรมดา
    แต่ที่มันไม่ธรรมดาเพราะเซียนเต่าฝันแบบนี้ถึง 3 วันติด.!!
    ......จนในที่สุดเซียนเต่าตัดสินใจขับรถจากกรุงเทพไปบ้านอาจารย์ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ท่านนี้ที่มหาสารคามทันที พอไปถึงความที่รู้จักกันมาก่อนอยู่แล้ว(รู้จักกันมากกว่า 20 ปี) เซียนเต่ากับข้าราชการผู้ใหญ่ก็ทักทายกันปรกติ โดยที่เจ้าของบ้านก็เข้าใจว่าเซียนเต่านั้นมาทำธุระและแวะมาเยี่ยมเฉยๆ
    .......แต่พอเซียนเต่าได้เล่าถึงสาเหตุที่มาหา(ขอเรียนวิชาไสยเวทย์) ทำให้อาจารย์(ช่างชิตขอแทนข้าราชการผู้ใหญ่ว่า อาจารย์ ช นะครับจะได้จำง่าย)ต้องพิศวงพร้อมกับบอกกับเซียนเต่าว่า
    .
    "รู้ได้ยังไงว่าผมครอบครูและเรียนวิชาอาคมมาก่อนเพราะผมไม่เคยบอกใครเลยมา 30 ปี แม้ภรรยาผมก็ยังไม่รู้"
    .
    ......เซียนเต่าจึงเล่าความฝันให้ฟัง เมื่อท่านอาจารย์ ช ได้ฟังแล้ว เซียนเต่าจึงขอฝากตัวเป็นศิษย์กับอาจารย์ ช ทันที อาจารย์ ช ตอนนั้นก็ยัง งงๆ อยู่ เพราะเลิกด้านนี้มานานไม่รู้ตัวเองจะกลับมาเล่นมาเป็นอีกได้หรือเปล่า
    ......จึงขอเก็บเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาหลวงตา (รายละเอียดในตอนแรกนะครับไม่ขอเขียนอีก) เมื่อหลวงตาไม่ขัดข้อง ท่านว่าคร่าวๆดังนี้
    .
    "ทำเพื่อสงเคราะห์คนอินทรย์ซีอ่อนที่มีอยู่มาก ไม่ได้ทำเพื่อการพานิชย์ ทำให้เขาแล้วเขาปิติช่วยเขาได้ตามบุญตามกรรม เราก็ได้บุญ มันเป็นวาสนาเก่าของเก่าที่มีอยู่ด้วย"
    .
    อาจารย์ ช จึงยอมรื้อฟื้นอีกครั้ง และได้ทำการครอบครูมอบตำราให้เซียนเต่ารับเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ
    ..... ด้วยเหตุนี้เมื่อปีที่แล้ว เซียนเต่าจึงได้สร้างล็อกเก็ตท้าวผกาพรหมเพื่อเป็นการระลึกถึงและสร้างตะกรุด(รายละเอียดตอนแรก)ในการนี้ด้วย
    .......ล็อกเก็ตรุ่นนี้มีการบวงสรวงทำพิธีอัญเชิญเทพเทวา เทวดาอารักษ์พร้อมทั้งท้าวผกาพรหมผู้มีฤทธิ์ยิ่งใหญ่ในสามโลกธาตุให้ลงมาประสิทธิประสาทพลังอย่างถูกต้องตามตำราโดยมี อาจารย์ ช เป็นประธานและเซียนเต่าเป็นเจ้าพิธี
    ......เมื่อเสร็จพิธีทุกอย่างก็นำล็อกเก็ตและตะกรุดมาให้หลวงตาอธิฐานอำนาจจิตแห่งพลังปฏิบัติภาวนาอานุภาพบารมีพระพุทธเจ้าพระอรหันต์เจ้าพ่อแม่ครูบาอาจารย์ครอบลงไปอีกครั้งเป็นการเสร็จเรียบร้อย
    ......รายละเอียดล็อกเก็ตมี 3 ขนาด เล็ก กลาง ใหญ่ ด้านในบรรจุสีผึ้งเคี้ยวว่าน 108 อุดด้วยรูปหล่อพระพิศเนศวร ด้านนอกมีคาถามหาอุดตามตำราโบราณ ล็อกเก็ตมีทั้งแบบล้อมเพชรและไม่ล้อมเพชร แบบอุดมวลสารและไม่อุดมวลสาร แต่ก็เข้าพิธีและอธิฐานจิตจากหลวงตาทั้งหมด
    ......สร้างมาเพื่อเป็นของมงคลแจกเพื่อให้ผูู้ที่ได้ครอบครองอารธนาคุ้มครองชีวิต เจริญหน้าที่การงานและมีโชคลาภแคล้วคลาดปลอดภัย เมตตาค้าขายเป็นที่สุด นี้คือคำที่เซียนเต่าบอกช่างชิต
    .....เขียนมาตั้งยาวใครที่อ่านติดตามมาโดยตลอด อาจจะอยากบอกช่างชิตว่า "แกมันเลว มาเขียนให้อยากแต่กับไม่หาของมาให้กันบ้าง 5555"
    ใจเย็นๆครับ ใครติดตามช่างชิตมาตลอด ช่างชิตไม่ใจร้ายขนาดนั้น เอาเป็นว่าถ้าได้พบเจอเซียนเต่าในเร็ววัน อาจจะมีข่าวดีกับพวกเราทุกๆคนเร็วๆนี้นะครับ
    ......ยังไง เรื่องราวอาจารย์ ช ยังมีความน่าสนใจอีกมาก ทั้งที่มาของการเรียนวิชา สายวิชาของท่าน การได้พบครูบาอาจารย์ที่เข้มขลัง จนได้ฉายากับเพื่อนๆในสมัยนั้นว่า "หมอผี" เมื่อ 40 ปีก่อน
    .......ที่ช่างชิตนำมาเขียนมาให้พวกเราได้อ่านกัน เพราะว่าเวลาอาจารย์ ช ท่านทำวัตถุมงคลเพื่อสงเคราะห์ผู้คน ทุกครั้งท่านก็จะขออนุญาติและเอามาให้หลวงตาเราเมตตาอธิฐานจิตให้ด้วยตลอด อนาคตทุกท่านอาจมีโอกาสได้ครอบครองวัตถุมงคลที่อาจารย์ ช สร้างก็ได้ จะได้รู้ที่มาที่ไปของผู้สร้างและเป็นการอ่านประสบการณ์ชีวิตของคนที่ชื่นชอบด้านนี้อีกมุมหนึ่งเป็นความรู้เพิ่มเติมอีกด้วยครับ นี้คือจุดประสงค์ที่เขียน
    .....ใครตามตลอดช่างชิตไม่ลืมบอกแค่นี้ สุดท้ายก่อนจากมีวลีของอาจารย์ ช ที่บอกกับช่างชิตไว้ว่า
    .
    "จริงๆผมมั่นใจกับวิชาตำราครูบาอาจารย์ผมมากนะ ถ้าทำขั้นตอนตามตำราไม่ต้องเสกก็ขลัง แต่ผมลงใจหลวงตามากให้หลวงตาอธิฐานครอบให้อีก ผมเชื่อว่าสิ่งนั้นๆจะเป็นของขลังที่เป็นสิริมงคลเป็นที่สุด"
    .............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กรกฎาคม 2015
  20. วิชญ์24

    วิชญ์24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +6,273
    หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ฝนคงตกทั่วถึง ชลบุรี ด้วยนะช่างชิต
     

แชร์หน้านี้

Loading...