ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทางการซาอุดีอาระเบียจับกุม 431 ผู้ต้องสงสัยมีเอี่ยว “กลุ่มไอเอส” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 กรกฎาคม 2558 23:33 น. (แก้ไขล่าสุด 19 กรกฎาคม 2558 10:53 น.)

    [​IMG]

    รอยเตอร์ / เอเจนซีส์ / ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - ทางการซาอุดีอาระเบียจับกุมผู้ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับกลุ่มนักรบรัฐอิสลาม (ไอเอส) จำนวน 431 ราย ทั้งนี้ เป็นการเปิดเผยของกระทรวงมหาดไทยของราชอาณาจักรกลางทะเลทรายแห่งนี้ในวันเสาร์ (18 ก.ค.)

    การประกาศข่าวการจับกุมดังกล่าวมีขึ้นหลังเกิดเหตุโจมตีด้วยระเบิดคาร์บอมบ์ บริเวณจุดตรวจแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเรือนจำความมั่นคงสูงสุดของซาอุดีอาระเบียเมื่อวันพฤหัสบดี (16 ก.ค.) ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้คนขับรถขนระเบิดเสียชีวิตและเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของทางการซาอุฯ ได้รับบาดเจ็บไป 2 นาย จากการโจมตีหนนี้ซึ่งทางกลุ่มไอเอสออกมาอ้างความรับผิดชอบ

    รายงานข่าวระบุว่า ในจำนวนผู้ที่ถูกจับกุม 431 ราย ที่เชื่อว่ามีความเชื่อมโยงกับกลุ่มไอเอสในคราวนี้นั้น ส่วนใหญ่เป็นพลเมืองของซาอุฯเอง และทางกระทรวงมหาดไทยของรัฐบาลริยาด อ้างว่า การบุกจับกุมผู้เกี่ยวข้องกับกลุ่มไอเอส หนนี้ สามารถช่วยให้ทางการซาอุฯล้มแผนก่อเหตุโจมตีภายในประเทศของตนได้หลายครั้ง ทั้งการวางแผนโจมตีที่มีเป้าหมายเป็นพวกนักการทูต เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง และสถานที่ทำการของรัฐบาลหลายแห่ง ในพื้นที่ของจังหวัดชารูเราะห์ทางภาคตะวันออกของประเทศ

    ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนพฤษภาคม กลุ่มไอเอสได้ออกโรงเรียกร้องให้บรรดาผู้สนับสนุนของตน ลงมือก่อเหตุโจมตีจนมีผู้เสียชีวิตไป 25 ราย จากเหตุระเบิดฆ่าตัวตาย 2 ครั้ง ที่มัสยิดแห่งหนึ่งของพวกมุสลิมนิกายชีอะห์ ทางภาคตะวันออกของซาอุดีอาระเบีย

    ขณะที่เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุโจมตีโดยมือระเบิดฆ่าตัวตายสัญชาติซาอุฯรายหนึ่ง ที่มัสยิดของพวกมุสลิมนิกายชีอะห์แห่งหนึ่ง เป็นเหตุให้มีผู้ที่เดินทางมาประกอบศาสนกิจในมัสยิดดังกล่าวเสียชีวิตไปอย่างน้อย 27 ราย

    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000081434
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ‘หน่วยงานกำกับของจีน’ปราบปรามการซื้อขายหุ้นแบบผิดกฎหมาย โดย เอเชียอันเฮดจ์ 16 กรกฎาคม 2558 02:30 น. (เก็บความจากเอเชียไทมส์ Asia Times)

    Chinese regulators turning up heat on illegal stock trades
    By Asia Unhedged
    13/07/2015

    ภายหลังตลาดหุ้นตกฮวบฮาบถึง 30% ในช่วงเวลาเพียงแค่ 3 สัปดาห์ คณะกรรมการจัดระเบียบหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับตรวจสอบของจีน ได้ออกมาคุมเข้มการซื้อขายหุ้นแบบไม่ถูกกฎหมาย เป็นต้นว่า นักลงทุนคนเดียวแต่คุมบัญชีซื้อขายหลายบัญชี เพื่อปั่นราคาหุ้นขึ้นลงตามต้องการ เรื่องนี้สื่อตะวันตกรายงานเป็นข่าวด้วยทัศนะมุมมองแบบที่ไม่ค่อยจะชอบใจนัก

    ในสายตาของตะวันตกแล้ว หน่วยงานผู้คุมกฎด้านการซื้อขายหลักทรัพย์ของจีน กระทำเลวเหลือเกิน เมื่อพยายามเข้ากำกับตรวจสอบตลาดหลักทรัพย์ แต่ลองว่าถ้าไม่เข้าไปดูแล ก็คงไม่แคล้วถูกประณามว่าเลวเหมือนกัน

    หน่วยงานผู้คุมกฎดังกล่าวนี้ ซึ่งมีชื่อเป็นทางการว่า คณะกรรมการจัดระเบียบหลักทรัพย์แห่งประเทศจีน (China Securities Regulatory Commission หรือ CSRC) เมื่อวันอาทิตย์ (12 ก.ค.) ที่ผ่านมา ได้บอกให้พวกบริษัทหลักทรัพย์ทั้งหลาย ทำการตรวจสอบทบทวนการซื้อขาย และต้องเข้มงวดทำตามระเบียบกฎเกณฑ์ในเรื่องการให้นักลงทุนใช้ชื่อจริงและเลขประจำตัวประชาชนจริงๆ

    “ทางการผู้รับผิดชอบของจีนเข้าควบคุมการซื้อขายหลักทรัพย์อย่างเข้มงวดด้วยความตื่นตูมลนลาน เวลาเดียวกันนั้นเองก็กำลังประณามกล่าวโทษพฤติกรรมผิดกฎหมายต่างๆ ว่ามีส่วนทำให้หุ้นดำดิ่งลงไป 30% จนมูลค่าราคาตลาดเสียหายไปเป็นหลักล้านล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาเพียงแค่ 3 สัปดาห์” สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเอาไว้เช่นนี้ “คำเตือนล่าสุดของ CSRC นี้ หมายถึงให้คุมเข้มลูกไม้กลเม็ดการเล่นหุ้นซึ่งนักลงทุนคนเดียวแต่มีบัญชีซื้อขายอยู่ในมือหลายๆ บัญชี (บ่อยครั้งทีเดียวที่บัญชีเหล่านี้จะจดทำทะเบียนโดยใช้เลขประจำตัวประชาชนของผู้อื่น) เพื่อสร้างราคาทำให้หุ้นขึ้นหรือลงตามที่ตนเองต้องการ” (ดูรายละเอียดรายงานนี้ได้ที่ China regulator orders brokerages to review trades following stock rout | Reuters)

    รอยเตอร์ยังอ้างรายงานในวันเดียวกันของสำนักข่าวซินหวาของทางการจีน ซึ่งระบุว่า จากการสอบสวนได้สาวไปจนถึงบริษัทหลักทรัพย์บางแห่งซึ่งต้องสงสัยว่า กำลังปั่นราคาสัญญาฟิวเจอร์ส ตลอดจนใช้วิธีซื้อขาย “อย่างมิชอบ” อื่นๆ

    รายงานของรอยเตอร์เรียกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ว่าเป็นความเคลื่อนไหวแบบดิ้นรนกระเสือกกระสนอีกอย่างหนึ่งของรัฐบาล ซึ่งกระหายที่จะช่วยชีวิตหุ้นจีนให้พ้นจากการดำดิ่งต่อไปอีก ในเวลาเดียวกันนั้น ย่อหน้าท้ายสุดของรายงานข่าวชิ้นนี้ก็ตั้งข้อสังเกตว่า มาตรการต่างๆ เหล่านี้ดูเหมือนกำลังได้ผล ดังเห็นได้จากการที่ตลาดหุ้นกลับกระเตื้องขึ้นมาติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน

    สำหรับ เอเชียอันเฮดจ์ นั้น มองความเคลื่อนไหวเช่นนี้ของทางการจีนว่า เป็นเรื่องดีที่จะกำจัดการปฏิบัติที่เลวๆ และผู้เล่นที่แย่ๆ ออกไปจากตลาด ทั้งนี้ตลาดเสรีมักเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งรัฐบาลทุกๆ รัฐบาลชื่นชอบที่จะได้ย่างเท้าเข้าไปเหยียบย่ำเมื่อใดก็ตามที่เกิดมีวิกฤตขึ้นมา

    เมื่อใดที่จีนทำเช่นนั้น พวกผู้รู้ชาวตะวันตกก็จะระบุว่ามันเป็นการเข้าไปก่อกวนแทรกแซงอย่างไร้สติในสิ่งที่ควรจะเป็นเศรษฐกิจตลาดเสรี แต่พอสหรัฐฯทำอย่างนั้นบ้าง มันก็จะได้รับการขนานนามอย่างเท่ๆ ว่า QE2 และได้รับแจกแจงเหตุผลที่ต้องทำว่า เพราะ “มันใหญ่เกินกว่าที่จะปล่อยให้ล้มได้”

    (จากคอลัมน์ Asia Unhedged ในเอเชียไทมส์)


    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000080338
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทั้งที่ ‘จีดีพี’โตดีกว่าคาดแต่ ‘หุ้นจีน’กลับร่วงติดลบ โดย เอเชียอันเฮดจ์ 16 กรกฎาคม 2558 09:08 น.

    (เก็บความจากเอเชียไทมส์ Asia Times)

    Selling on good news: China shares skid despite GDP beat
    By Asia Unhedged
    15/07/2015

    สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนรายงานในวันพุธ (15 ก.ค.) เศรษฐกิจของแดนมังกรในรอบไตรมาส 2 ปีนี้เติบโตในอัตรา 7% ดีกว่าที่พวกนักวิเคราะห์คาดหมายกันไว้ ทว่าในวันนั้นเอง ดัชนีสำคัญของตลาดหลักทรัพย์บนแผ่นดินใหญ่กลับร่วงลงมาเป็นแถว

    บางครั้งบางคราว ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม มันก็ออกมาแย่ไปเสียหมด

    เศรษฐกิจจีนไปได้ดีกว่าที่คาดหมายกันไว้ โดยรายงานระบุว่าจีดีพีในรอบไตรมาส 2 ปีนี้สามารถเติบโตได้ในระดับ 7% ดีกว่าที่พวกนักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์กันก่อนหน้านี้ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของแดนมังกรในช่วงดังกล่าวจะขยายตัวแค่ 6.9% อย่างไรก็ตาม ข่าวนี้ยังคงทำให้ตลาดหลักทรัพย์บนแผ่นดินใหญ่ไหลรูด

    ตามการแถลงของสำนักงานสถิติแห่งชาติ (National Bureau of Statistics) ของจีนเมื่อวันพุธ (15 ก.ค.) ไม่เพียงแค่ตัวเลขจีดีพีเท่านั้น ข้อมูลกิจกรรมทางเศรษฐกิจประจำเดือนอีกหลายตัวต่างกระเตื้องขึ้นเช่นกัน โดยที่ผลผลิตทางอุตสาหกรรมนั้นไต่ขึ้นได้สูงเป็นสถิติในรอบ 5 เดือนทีเดียว

    “มีหลักฐานเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าสภาพเศรษฐกิจโดยรวมกำลังดีขึ้น”

    สำนักงานสถิติแห่งชาติพูดถึงการเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาใหม่คราวนี้ว่า เป็นสิ่งที่ “ได้มาด้วยความยากลำบาก” พร้อมกับชี้ว่าการที่จีดีพีเติบโตได้เช่นนี้ ปัจจัยสำคัญที่สุดมาจากการบริโภคภายในประเทศซึ่งเพิ่มสูง โดยที่มีบทบาทเป็นตัวสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในรอบครึ่งปีแรกถึงราว 60% เปรียบเทียบกับการลงทุนซึ่งมีส่วนอยู่ 35.7% และ 4.3% จากยอดสุทธิในการส่งออก ทั้งนี้เมื่อปีที่แล้ว การบริโภคเป็นตัวสร้างการเติบโตของจีดีพีในระดับ 51.2% เท่านั้น (ดูรายละเอียดรายงานนี้ได้ที่
    China growth beats forecasts but stocks dive again | Reuters)

    ข้อมูลนี้สอดคล้องกับผลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจตามภูมิภาคต่างๆ ของจีนเมื่อเร็วๆ นี้ โดยหน่วยงานอิสระ ที่เรียกกันว่าการสำรวจ “ไชน่า เบจ บุ๊ก” (China Beige Book) ซึ่งปรากฏว่า การเติบโตของพวกมณฑลที่อยู่ตอนใน กำลังเป็นตัวขับดันการฟื้นตัวอย่างกว้างขวางของไตรมาส 2 นี้

    อย่างไรก็ดี ทั้งๆ ที่มีข่าวดีๆ เช่นนี้ แต่ดัชนีหุ้นคอมโพสิตของตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้กลับปิดการซื้อขายในวันพุธ (15 ก.ค.) โดยไหลลงมา 3% อยู่ที่ 3,806 ส่วนดัชนีหุ้นคอมโพสิตของตลาดเซินเจิ้นดิ่ง 4.2% อยู่ที่ 2,059 ทางด้านดัชนี CSI300 ซึ่งวัดระดับราคาของหุ้นใหญ่ที่สุด 300 ตัวในตลาด ก็ลบ 3.5% อยู่ที่ 3,967 และดัชนี ChiNext Price ซึ่งวัดระดับราคาพวกหุ้นตัวเล็กๆ รูดลง 5% อยู่ที่ 2,590

    “พวกนักลงทุนพากันเทขาย เนื่องจากข้อมูลจีดีพียังไม่อาจสร้างความประทับใจได้” สตีเวน เหลียง (Steven Leung) ผู้อำนวยการคนหนึ่งของบริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (UOB Kay Hian) ในฮ่องกง ให้ความเห็นกับรอยเตอร์

    จากการที่อัตราเติบโตต่างกำลังชะลอตัว ไม่ว่าจะเป็นในด้านการค้า, การลงทุน, และความต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศ เศรษฐกิจจีนจึงมีอัตราขยายตัวต่ำลงจากระดับ 7.4% ของปีที่แล้ว กระนั้นก็ตาม หากพิจารณาถึงปัจจัยลบต่างๆ ตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์มีการปรับฐานในไตรมาส 2 , ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็เป็นขาลง, ภาวะความสามารถผลิตล้นเกินในภาคอุตสาหกรรม, หนี้สินอยู่ในระดับสูง, รวมทั้งมีแรงกดดันด้านเงินฝืด ข้อเท็จจริงที่ว่าเศรษฐกิจแดนมังกรยังคงมั่นคงมีเสถียรภาพ และเติบโตได้ภายในกรอบเป้าหมายที่คาดการณ์กันไว้ ย่อมเป็นเรื่องที่ควรแก่การชมเชยยกย่อง

    มีเหตุผลอยู่สองสามประการที่อาจใช้อธิบายได้ว่า ทำไมตลาดหุ้นจึงตกลงมา ตามธรรมดาแล้วตลาดย่อมเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงการคาดการณ์ในอนาคต อย่างที่วอลล์สตรีทมักชอบพูดกันอยู่เรื่อยๆ ว่า “ซื้อเมื่อมีข่าวลือ ขายเมื่อข่าวเป็นจริง” ดังนั้น ถ้าตัวเลขของรัฐบาลออกมาเป็นอย่างที่คาดหมายเอาไว้ ก็ต้องปล่อยขายทำกำไรเข้าพกเข้าห่อไว้ก่อน

    เหตุผลอีกประการหนึ่งอาจจะอยู่ที่ว่า มีหุ้นจำนวนมากพอดูทีเดียวเริ่มกลับเข้าซื้อขายกันใหม่ในวันพุธ (15 ก.ค.) นี่จึงเป็นโอกาสแรกในรอบหลายๆ วันที่พวกนักลงทุนซึ่งติดหุ้นเหล่านี้อยู่ จะสามารถขายทิ้งเพื่อนำเงินสดมาชำระเงินกู้มาร์จินตามที่พวกโบรกเกอร์เรียกร้องมา ขอให้ลองติดตามดูต่อไปว่าเรื่องนี้จะค่อยสงบลงในวันในพรุ่งหรือไม่ นอกจากนั้นควรคาดหมายว่าจะมีการตกลงมาเช่นนี้อีก เมื่อหุ้นที่เหลืออีกราว 25% ของตลาดซึ่งยังถูกพักเอาไว้ ได้กลับเข้าไปซื้อขายใหม่อีกครั้ง

    “เรายังต้องตั้งข้อสังเกตด้วยว่า สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ ยังคงมีความซับซ้อน และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจก็ดำเนินไปด้วยความคดเคี้ยวและเชื่องช้า” สำนักงานสถิติแห่งชาติระบุ

    กระนั้นก็ตาม เซิง ไหลหยุน (Sheng Laiyun) โฆษกของหน่วยงานแห่งนี้ทำนายว่า ในรอบครึ่งหลังของปีนี้จะเกิดการกระเตื้องขึ้นต่อไปอีก ในเมื่อมาตรการทางนโยบายที่ผ่านๆ มา เป็นต้นว่า การตัดลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายหลายต่อหลายครั้ง จะแสดงผลออกมาให้เห็น ทั้งนี้ตามรายงานข่าวของรอยเตอร์

    ทางด้าน แอนดริว โคลกูฮุน (Andrew Colquhoun) แห่ง ฟิตช์ เรตติ้งส์ (Fitch Ratings) บอกกับรอยเตอร์ว่า ยอดขายปลีกในเดือนมิถุนายน แสดงให้เห็นถึงการดีดตัวกลับขึ้นมา ซึ่งถือเป็นสัญญาณในทางบวกอีกอย่างหนึ่งที่ชี้ว่า ขณะที่ความเสี่ยงขาลงยังคงมีอยู่ไม่ใช่น้อยๆ แต่ก็กำลังลดลงไปเรื่อยๆ แล้ว ถึงแม้ตลาดหลักทรัพย์จะเกิดการขึ้นลงอย่างวูบวาบในช่วงหลังๆ นี้ก็ตาม เขากล่าวต่อไปว่า เขาก็คาดหมายว่าในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ อะไรๆ ก็จะกระเตื้องดีขึ้น

    (จากคอลัมน์ Asia Unhedged ในเอเชียไทมส์)


    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000080344
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ‘ฟิตช์’ และ ‘มูดี้ส์’ บอกว่า ‘หุ้นจีนตกฮวบ’ไม่กระทบ ‘เศรษฐกิจ’ โดย เอเชียอันเฮดจ์ 17 กรกฎาคม 2558 12:49 น.

    (เก็บความจากเอเชียไทมส์ Asia Times)

    Fitch, Moody’s say China stock drop won’t affect economy
    By Asia Unhedged
    16/07/2015

    บริษัทเครดิตเรตติ้งระดับยักษ์ใหญ่ของโลก 2 ราย คือ ฟิตช์ และ มูดี้ส์ ต่างออกรายงานในวันพฤหัสบดี (16 ก.ค.) แสดงความคิดเห็นตรงกันว่า การที่ตลาดหลักทรัพย์ของจีนผันผวนและไหลรูดอย่างแรงในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา จะไม่ส่งผลกระทบกระเทือนอะไรต่อเศรษฐกิจโดยรวมของแดนมังกร

    บริษัทเครดิตเรตติ้งระดับยักษ์ใหญ่ 2 รายซ้ำ ออกมาแถลงเมื่อวันพฤหัสบดี (16 ก.ค.) ว่า การขึ้นลงอย่างวูบวาบของตลาดหุ้นจีนในระยะหลังๆ นี้ ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสี่ยงเชิงระบบต่อเศรษฐกิจหรือระบบการเงินของแดนมังกร

    ทั้ง “ฟิตช์” (Fitch) และ “มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส” (Moody’s Investors Service) ซึ่งตั้งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ แจกแจงว่า เนื่องจากพวกธนาคารจีนนั้นแทบไม่ได้มีการเกี่ยวข้องพัวพันโดยตรงกับพวกหลักทรัพย์ในตลาด ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะทำให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงการคาดการณ์เกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมของจีน

    ในระยะไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นคอมโพสิตของตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ ได้ไหลรูดลงถึงราว 30% ภายหลังไต่ขึ้นไปสู่ระดับสูงสุดเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน กระนั้น ตามตัวเลขข้อมูลที่ สำนักงานสถิติแห่งชาติ (National Bureau of Statistics) ของจีน แถลงออกมาเมื่อวันพุธ (15 ก.ค.) ปรากฏว่าในช่วงไตรมาส 2 (เม.ย.-มิ.ย.) ของปีนี้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของจีนยังคงมีอัตราเติบโตขยายตัวอยู่ที่ 7%

    ในรายงาน (ดูรายละเอียดได้ที่ China's stock volatility poses minimal economic risk: Fitch - Xinhua | English.news.cn) ที่นำออกเผยแพร่วันพฤหัสบดี (16 ก.ค.) ฟิตช์ระบุว่า ตัวเลขอัตราเติบโตของจีดีพีในไตรมาส 2 นี้ สนับสนุนความเห็นของทางบริษัทเครดิตเรตติ้งแห่งนี้ ที่ว่าความปั่นป่วนผันผวนของตลาดหลักทรัพย์ จะแทบไม่ส่งผลกระทบกระเทือนภาคเศรษฐกิจแท้จริง

    รายงานฉบับนี้ชี้ว่า การลงทุนโดยตรงในหลักทรัพย์นั้น มีมูลค่ายังไม่ถึง 1% ของสินทรัพย์ของบรรดาธนาคารจีน ทั้งนี้ตามตัวเลข ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2014 ด้วยเหตุนี้จึงแทบไม่ส่งผลกระทบกระเทือนอะไรต่อพอร์ตการลงทุนของแบงก์เหล่านี้

    “ฟิตช์ไม่คาดหมายว่า การปรับฐานของตลาดหลักทรัพย์คราวนี้ จะส่งผลกระทบอย่างสำคัญอะไรต่องบดุลของพวกธนาคารจีน หรือก่อให้เกิดความเสี่ยงเชิงระบบต่อภาคธนาคารของจีน ธนาคารทั้งหลายยังไม่ได้รับอนุญาตให้ปล่อยกู้โดยตรงแก่ลูกค้าในลักษณะของการให้กู้แบบมาร์จิน (margin lending) อีกด้วย” รายงานบอก

    ทางด้าน มูดี้ส์ แสดงความคิดเห็นทำนองเดียวกันนี้ ในรายงานของตนซึ่งนำออกเผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดี (16 ก.ค.) เช่นกัน

    รายงานของมูดี้ส์กล่าวว่า ความปั่นป่วนวูบวาบของตลาดหุ้นจะไม่ส่งผลกระทบกระเทือนการคาดการณ์ของบริษัทเรตติ้งแห่งนี้ที่ว่า อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริงของจีนจะทำได้ในระหว่าง 6.5% ถึง 7.5% ในปีนี้ และเป็น 6% ถึง 7% ในปี 2016

    “ผลกระทบโดยตรงที่จะมีต่ออัตราเติบโตขยายตัวของผลผลิตในภาคการเงิน สืบเนื่องจากความผันผวนที่เพิ่มมากขึ้นในตลาดหลักทรัพย์ของจีนนั้น จะอยู่ในระดับจำกัด เวลาเดียวกัน ผลกระทบโดยอ้อมที่จะมีต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค, การจ้างงาน, และการลงทุนของภาคบริษัท สืบเนื่องจากความไม่แน่นอนของตลาด ก็จะแทบไม่มีน้ำหนักอะไรเช่นกัน” ไมเคิล เทย์เลอร์ (Michael Taylor) กรรมการจัดการผู้หนึ่งของมูดี้ส์ อีกทั้งเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อซึ่งดูแลด้านเอเชียแปซิฟิก ของบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือยักษ์ใหญ่แห่งนี้ กล่าวกับสำนักข่าวซินหวา (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ China's stock turbulence has limited spillover effect on real economy: Moody's - Xinhua | English.news.cn)

    ธนาคารพาณิชย์ของจีนมีการเกี่ยวข้องพัวพันโดยตรงต่อตลาดหลักทรัพย์ภายในประเทศในระดับต่ำ และการทรุดลงของตลาดหุ้นจีนจะไม่ส่งกระทบอย่างสำคัญอะไรต่อคุณภาพของสินเชื่อ มูดี้ส์บอกในรายงานของตน

    ในวันพฤหัสบดี (16 ก.ค.) ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นคอมโพสิตของเซี่ยงไฮ้ปิดตลาดโดยขยับสูงขึ้น 0.49% ขณะเดียวกัน ดัชนีหุ้นหั่งเส็งของฮ่องกงก็ปิดตลาดโดยบวกขึ้นมา 0.43% หลังจากที่เกิดการเทขายถอยกรูดลงมาในวันพุธ 15 ก.ค.)

    (จากคอลัมน์ Asia Unhedged ในเอเชียไทมส์)


     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ที่อเมริกาและยุโรป ไม่กล้าทำอะไรประเทศไทยมากกรณี อุยกูร์อพยพ เพราะจีนเอาจริง

    ‘จีน’ไม่อยู่เฉยแน่ในการที่ ‘ชาวอุยกูร์อพยพ’ต่างถือ ‘พาสปอร์ตตุรกี’ โดย ปีเตอร์ ลี
    18 กรกฎาคม 2558 00:44 น.

    (เก็บความจากเอเชียไทมส์ Asia Times)

    ‘Passports for Uyghurs’ story shadows Turkey’s relations with PRC
    By Peter Lee
    13/07/2015

    ขณะที่การส่งชายชาวอุยกูร์กว่า 100 คนจากไทยไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ก่อให้เกิดเสียงเอะอะครึกโครม โดยที่มีเหตุการณ์อันน่าเกลียดเกิดขึ้นภายในตุรกี และสหรัฐฯกับอียูก็ออกมาประณามติเตียนอย่างเป็นทางการ ทว่าในรายงานข่าวต่างๆ ที่ปรากฏออกมาคราวนี้ กลับเผยให้เห็นร่องรอยของโครงการที่สถานทูตของตุรกีออกพาสปอร์ตให้แก่ผู้อพยพชาวอุยกูร์ และปรากฏว่าชาวอุยกูร์เหล่านี้อย่างน้อยก็บางคน เกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย ดังเช่นจำเลย 4 คนในคดีซึ่งอยู่ในการพิจารณาของศาลอินโดนีเซีย

    การชิงชัยชักเย่อระหว่างตุรกี กับ สาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ยืดเยื้อมาเป็นเวลานาน 1 ปี ในเรื่องอนาคตของผู้ต้องขังชาวอุยกูร์จำนวนหลายร้อยคนในประเทศไทย ที่สุดแล้วก็ได้รับการแก้ไขคลี่คลายในแบบอาศัยสติปัญญาอย่างสูง โดยที่ประเทศไทยจัดส่งชาวอุยกูร์ที่เป็นผู้หญิงและเด็กจำนวนกว่า 170 คนไปยังนครอิสตันบูล ของตุรกี เมื่อตอนต้นเดือนกรกฎาคมโดยที่แทบไม่มีการออกข่าวกะโตกกะตาก แล้วก็จัดการเนรเทศชาวอุยกูร์ที่เป็นชายจำนวนกว่า 100 คนไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีนในอีกหลายวันถัดมา ซึ่งคราวนี้ปรากฏว่าก่อให้เกิดเสียงเอะอะครึกโครมกว่ากันมาก โดยที่มีเหตุการณ์อันน่าเกลียดบางเหตุการณ์ขึ้นภายในตุรกี และมีการประณามติเตียนอย่างเป็นทางการทว่าเป็นไปอย่างไร้น้ำยา (และผมสงสัยว่าน่าจะเป็นไปอย่างไม่ค่อยเต็มอกเต็มใจด้วย) ของสหรัฐฯ และของอียู

    ในรายงานข่าวที่มีประเทศไทยเป็นตัวชูโรงนี้ ยังมีข่าวเคียงข่าวล้อมกรอบชิ้นหนึ่งซึ่งน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเปิดเผยให้เห็นอย่างไม่ตั้งใจถึงแผนกโลบายอันไม่ชอบมาพากลทว่าจัดทำขึ้นอย่างสะเพร่าไร้ความเนียน ในเรื่องที่มีการออกพาสปอร์ตตุรกีให้แก่ชาวอุยกูร์

    หลังจากที่มีรายงานข่าวเสนอสาธารณชน พาดพิงถึงเรื่องที่มีต่างประเทศบางประเทศซึ่งมิได้มีการระบุชื่อออกมา กำลังเป็นผู้จัดทำหนังสือเดินทางเพื่อเป็นเอกสารหลักฐานประจำตัวให้แก่ชาวอุยกูร์ ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งของกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ (Public Security Bureau) ของจีน ก็ได้ออกมาสำทับทำการบรรยายสรุปต่อพวกนักหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ โดยรับรองว่า ประเทศที่มีพฤติการณ์ดังกล่าวก็คือตุรกี ถูกต้องแล้วครับอย่างที่หลายๆ ฝ่ายคาดเดานั่นแหละ

    อันที่จริงกระทรวงการต่างประเทศของสาธารณรัฐประชาชนจีน ตลอดจนสื่อมวลชนอย่าง โกลบอลไทมส์ (Global Times เป็นหนังสือพิมพ์ในเครือของ เหรินหมินรึเป้า กระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน -ผู้แปล) ได้หยิบยกประเด็นเรื่องพาสปอร์ตนี้ขึ้นมาป่าวร้องตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของปี 2015 นี้แล้วด้วยซ้ำ เบื้องต้นทีเดียว สาธารณรัฐประชาชนจีนเสนอเรื่องราวในลักษณะของการผูกเป็นนิยายที่ฟังดูแสนสุภาพไม่ได้มีการกล่าวหาประเทศใดตรงๆ โดยบอกเพียงว่ามีพวกรับจ้างอิสระซึ่งมุ่งหากำรี้กำไร กำลังขายพาสปอร์ตของตุรกีให้แก่ชาวอุยกูร์ จากนั้นก็กล่าวหารุนแรงขึ้นอีกขั้นด้วยการระบุว่า “สถานกงสุลและสถานเอกอัครราชทูตซึ่งไม่ได้มีการระบุชื่อ” กำลังประเคนหนังสือเดินทางนี้ให้แก่ชาวอุยกูร์ และมาถึงในเวลานี้ก็ขยับขึ้นสู่ขั้นไม่มีการพูดให้กำกวมกันอีกแล้ว โดยที่สาธารณรัฐประชาชนจีนกำลังชี้นิ้วกล่าวหารัฐบาลตุรกีกันตรงๆ

    สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเรื่องนี้เอาไว้ดังนี้:
    “สถานเอกอัครราชทูตของตุรกีหลายแห่งที่ตั้งอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะมอบเอกสารหลักฐานประจำตัวให้แก่พวกเขา (ชาวอุยกูร์)” ต่ง ปี้ซาน (Tong Bishan) หัวหน้าแผนกในกรมสอบสวนคดีอาญา (Criminal Investigation Department) ของกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน บรรยายสรุปให้ผู้สื่อข่าวต่างประเทศกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งฟังในกรุงปักกิ่งเมื่อวันศุกร์ (10 ก.ค.)

    “พวกเขาเป็นคนจีนชัดๆ แต่พวกเขาก็จะได้รับเอกสารประจำตัวซึ่งระบุว่าพวกเขาเป็นคนสัญชาติตุรกี”
    ...
    ต่งบอกว่ามีชาวอุยกูร์จำนวนหลายร้อยคนได้รับเอกสารดังกล่าวจากพวกนักการทูตชาวตุรกี โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนักการทูตในกรุงกัวลาลัมเปอร์ จากนั้นคนเหล่านี้ก็ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าไปยังตุรกี

    ทั้งกระทรวงการต่างประเทศตุรกีในกรุงอังการา และสถานเอกอัครราชทูตตุรกีในกัวลาลัมเปอร์ ยังไม่สามารถที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ในทันที เมื่อรอยเตอร์ติดต่อสอบถามไป

    แต่ข้อกล่าวหานี้น่าที่จะเพิ่มความโกรธแค้นให้แก่ตุรกี ซึ่งได้แสดงความไม่พอใจอยู่แล้วจากการส่งชาวอุยกูร์กว่า 100 คนจากไทยกลับไปยังจีนในสัปดาห์นี้
    ...
    ทว่าเมื่อเดินทางไปถึงตุรกีแล้ว ชาวอุยกูร์ก็ไม่มีโอกาสใดๆ เลยที่จะหางานถูกกฎหมายทำได้ และลงท้ายบางคนก็ตกลงเข้าร่วมกับพวกกลุ่มหัวรุนแรง ต่งกลาวต่อ โดยระบุชื่อว่า อย่างเช่น “ขบวนการอิสลามเตอร์กิสถานตะวันออก” (East Turkestan Islamic Movement) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ปักกิ่งกล่าวหาว่ากำลังรณรงค์ก่อความไม่สงบอยู่ในซินเจียง ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะสถาปนารัฐของพวกเขาเองขึ้นมา

    “เป็นเรื่องง่ายดายเหลือเกินที่พวกเขาจะถูกควบคุมโดยกองกำลังท้องถิ่นบางกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขบวนการอิสลามเตอร์กิสถานตะวันออก ตลอดจนกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มอื่นๆ พวกเขาทำการจัดตั้งเยาวชน พวกเขาจัดการล้างสมองเยาวชนเหล่านี้ และนำพวกเขาไปยังแนวหน้าเพื่อให้ทำการสู้รบ พวกเขาต้องกลายเป็นเหยื่อเคราะห์ร้ายของสงคราม” ต่ง บอก

    “มีการแข่งขันแย่งชิงตัวคนเหล่านี้ บางคนถูกส่งไปยังอิรัก บางคนถูกส่งไปยังซีเรีย กลุ่มก่อการร้ายต่างๆ ตามพื้นที่เหล่านี้ต่างก็ขาดแคลนกำลังคน พวกเขาต่างยินดีที่จะได้กำลังคนเข้ามา กลุ่มก่อการร้ายต่างๆ พร้อมที่จะจ่ายเงินให้ อย่างน้อย 2,000 ดอลลาร์ต่อคน นี่เป็นวิถีทางในการระดมหากำลังทหารของพวกเขา”

    (ดูรายละเอียดรายงานของรอยเตอร์ได้ที่China says Uighurs being sold as 'cannon fodder' for extremist groups)

    ผมคิดว่ามิสเตอร์ต่งทราบดีทีเดียวว่าเขากำลังพูดถึงอะไร กรอบเค้าโครงคร่าวๆ ของเรื่องราวเหล่านี้ได้ปรากฏออกมาอย่างชัดเจนเป็นเวลาแรมเดือนแล้ว

    เหลืออีกอย่างเดียวที่ยังคงมัวๆ อยู่ก็คือว่า ชายชาวอุยกูร์ทั้งหลายซึ่งลงท้ายเดินทางต่อไปยังซีเรียนั้น ต่างเป็นเพียงเหยื่อเคราะห์ร้ายของสงคราม ซึ่งถูกพวกนักรบญิฮัดระดมนำเอามาเป็นกำลังรับใช้ หรือว่าหน่วยงานความมั่นคงของตุรกีมีการจำแนกค้นหานักรบอุยกูร์หัวรุนแรงที่มีความสามารถพิเศษบางอย่าง จัดแจงจัดหาเอกสารต่างๆ ให้ แล้วพวกเขาก็สามารถที่จะเดินทาง, เข้ารับการฝึกอบรม, และผ่านประสบการณ์จากสนามรบในซีเรีย จากนั้นจะได้ทำหน้าที่อบรมบ่มเพาะทรัพย์สินที่เป็นมิตรกับตุรกีทั้งหลายในซีเรีย หรือเป็นไปได้ว่ากระทั่งในอัฟกานิสถานปากีสถาน/ตะวันออกกลางอีกด้วย เราอาจจะไม่มีทางสาวไปจนถึงสุดก้นบึ้งของเรื่องดังกล่าวนี้ได้เลย ยกเว้นแต่สาธารณรัฐประชาชนจีนตัดสินใจที่จะขยับหมุนเหวี่ยงเครื่องมือกลไกที่ใช้เป็นหลักฐานได้ ให้เห็นกันถนัดชัดเจนขึ้นอีกขยักหนึ่ง เพื่อเป็นเครื่องรับประกันว่าในที่สุดแล้วพวกนักหนังสือพิมพ์ตะวันตกทั้งหลาย จะสามารถมองเห็นประเด็นกันได้เสียที

    เห็นได้อย่างชัดเจนว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนนั้นไม่ได้มีความตั้งใจที่จะยอมแพ้ในประเด็นปัญหาเรื่อง “refoulement” (การบังคับให้ผู้ลี้ภัยกลับคืนประเทศบ้านเกิด ซึ่งทำให้ต้องเผชิญการถูกฟ้องร้องกล่าวโทษอีก), การถูกกล่าวหาว่าประพฤติผิดหลักมนุษยธรรม, หรือการต่อสู้กับจุดยืนอันตายตัวของสหรัฐฯ/อียูว่าด้วยการจัดการกับผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ สาธารณรัฐประชาชนจีนยังกำลังทำอย่างดีที่สุดเพื่อลดทอนบรรเทาคลื่นความร้อนแรงทางการเมืองให้แก่ประเทศไทยและประเทศอื่นๆ อย่างเช่นมาเลเซียและอินโดนีเซีย ซึ่งรับผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์เอาไว้และอาจจะต้องการกำจัดพวกเขาให้ออกพ้นประเทศไป ดังที่รายงานข่าวของรอยเตอร์ชิ้นข้างต้นระบุเอาไว้ว่า:
    เดอะเนชั่น (The Nation) หนังสือพิมพ์ที่ตั้งฐานอยู่ในกรุงเทพฯ รายงานเอาไว้เมื่อวันศุกร์ (10 ก.ค.) โดยอ้างเอกสารเผยแพร่ข่าวของกระทรวงการต่างประเทศไทย ซึ่งระบุว่า รัฐบาลจีนได้เชื้อเชิญเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยให้ไปเยือนจีน เพื่อติดตามสังเกตการณ์การปฏิบัติต่อผู้อพยพชาวอุยกูร์ซึ่งถูกส่งกลับประเทศ ในความพยายามที่จะขจัดข่าวลือต่างๆ ที่ว่าพวกเขาเหล่านี้ถูกลงโทษอย่างรุนแรงหรือกระทั่งถูกเข่นฆ่าสังหาร

    สภาความมั่นคงแห่งชาติของไทยจะพิจารณาเชื้อเชิญผู้แทนจากองค์การระหว่างประเทศต่างๆ เป็นต้นว่า คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (International Committee of the Red Cross) ให้เดินทางไปยังจีนกับทางเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยด้วย

    คำแถลงของกระทรวงการต่างประเทศไทยระบุว่า ทางรัฐบาลจีนได้ยืนยันให้ความมั่นใจแก่รัฐบาลไทยว่า จะปฏิบัติต่อผู้คนเหล่านี้ด้วยความยุติธรรมและรับรองเรื่องความปลอดภัยของพวกเขา

    ยิ่งกว่านั้น ผู้ที่พบว่ามิได้กระทำความผิดอะไรก็จะได้รับการดูแลเอาใจใส่ และพวกเขาจะสามารถกลับคืนสู่สังคมได้ พวกเขายังจะได้รับการจัดสรรที่ดินทำการเกษตรด้วย รัฐบาลจีนระบุ


    ผมแน่ใจว่าจะต้องมีเสียงหัวเราะเย้ยหยันเรื่องนี้ แต่สาธารณรัฐประชาชนจีนนั้นต้องการให้ชาวอุยกูร์เหล่านี้กลับไป โดยปราศจากความวาดหวังที่จะได้รับความช่วยเหลือจากต่างแดน ไร้ความวาดหวังที่จะได้สถานที่หลบภัยในต่างแดน หรือมีต่างชาติมาคอยตามบีบคั้นด้วยข้ออ้างเรื่องมนุษยธรรม ผมคาดหมายว่ารัฐบาลส่วนกลางของสาธารณรัฐประชาชนจีนจะจัดแจงประคบประหงมเอาอกเอาใจชาวอุยกูร์ผู้ถูกส่งตัวกลับเหล่านี้ (แทนที่พวกเขาจะได้รับการปฏิบัติอย่างโหดร้ายตามมาตรฐานเมื่ออยู่ในกำมือของพวกหน่วยงานความมั่นคงท้องถิ่นในซินเจียง) เพื่อเป็นการรอมชอมให้พวกชาติเพื่อนบ้านยินยอมกระทำตามข้อเรียกร้องของสาธารณรัฐประชาชนจีน

    ที่จริงแล้ว ยังมีกรณีอันยุ่งยากเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์อีกหลายๆ กรณีซึ่งยังต้องรอเวลาคลี่คลาย

    กรณีหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในอินโดนีเซีย และดูเหมือนกับเป็นดินระเบิดไดนาไมต์บริสุทธิ์ที่ระเบิดตูมตามใส่หน้าของตุรกีทีเดียว

    เมื่อวินิจฉัยจากรายงานต่างๆ เท่าที่ปรากฏออกมาในขณะนี้ ตุรกีนั้นถูกกล่าวหาว่าจัดหาพาสปอร์ตให้แก่ชาวอุยกูร์ซึ่งพัวพันเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุรุนแรงอย่างฉาวโฉ่อำมหิตในสถานีรถไฟเมืองคุนหมิง (ซึ่งมีประชาชนเสียชีวิตไป 33 คน และบาดเจ็บกว่า 100 คน) โดยที่กรณีซึ่งเกิดขึ้นในอินโดนีเซียนั้น ว่ากันว่าแทนที่ชาวอุยกูร์จำนวนหนึ่งจะบินไปยังตุรกีอย่างเซื่องๆ และยื่นแสดงพาสปอร์ตตุรกีอันสวยงามที่พวกเขาได้รับมา แล้วผ่านการดำเนินการตามกรรมวิธีเพื่อไปพำนักอาศัยในย่านสลัมของเคย์เซรี (Kayseri) อันเป็นเมืองเล็กๆ ในตุรกีที่ได้รับจัดสรรให้เป็นที่หลบภัยสำหรับผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ แต่ปรากฏว่าพวกเขาดูเหมือนจะแอบเล็ดลอดผ่านมาเลเซียเข้าไปยังอินโดนีเซีย และพยายามที่จะติดต่อเข้าร่วมกับนักรบมุสลิมชื่อฉาวบนเกาะห่างไกลแห่งหนึ่ง ทั้งนี้ นักรบมุสลิมผู้นั้นมีรายงานว่าเป็นผู้นำขององค์กรซึ่งได้ประกาศตัวแสดงความจงรักภักดีต่อพวกไอเอส

    ชาย 4 คน ซึ่งถือพาสปอร์ตตุรกีฉบับสมบูรณ์แบบไร้รอยตำหนิ อีกทั้งพยายามยืนกรานว่าพวกเขาเป็นประชาชนชาวตุรกี ถึงแม้พวกเขาไม่สามารถจดจำวันเดือนปีเกิดที่ระบุเอาไว้ในพาสปอร์ต ปัจจุบันกำลังถูกพิจารณาคดีอยู่ในศาลอินโดนีเซีย และไม่ใช่เลยครับ รัฐบาลอินโดนีเซียไม่ได้รู้สึกแฮปปี้ อีกทั้งประกาศเปิดเผยต่อสาธารณชนว่า จะจัดส่งคนทั้ง 4 กลับไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน หลังการพิจารณาคดีเสร็จสิ้นลงแล้ว

    ขณะนี้สถานเอกอัครราชทูตตุรกีประจำจาการ์ตากำลังสาละวนวุ่นวายอยู่กับการหาทางหลบเลี่ยงไม่ตอบคำถามซึ่งเห็นชัดเจนอยู่ตรงหน้า นั่นคือ ตุรกีจะยังคงยืนยันหรือไม่ว่าบุคคลทั้ง 4 เป็นพลเมืองชาวตุรกี ถึงแม้ผมคาดหมายว่าทางสาธารณรัฐประชาชนจีนคงจะจัดเตรียมหาหลักฐานอันหนักแน่นชนิดหักล้างไม่ไหว ที่ยืนยันว่าพวกเขาเป็นพลเมืองชาวอุยกูร์ของสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งเป็นที่รู้จักมักคุ้นของกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ หรือว่าจะเป็นการดีกว่าถ้าหากตุรกีจะยอมโยนผ้ายอมแพ้และยอมรับว่า ใช่แล้ว พวกเขาเป็นนักรบหัวรุนแรงชาวอุยกูร์ซึ่งได้รับพาสปอร์ตตุรกีจากสถานทูตตุรกีบางแห่ง แล้วก็เริ่มต้นวิ่งไปทั่วทั้งเอเชียเพื่อหาทางก่อการร้าย

    โครงการอุยกูร์นี้เห็นชัดเจนว่ามีความสำคัญต่อตุรกีในทางการเมือง อีกทั้งมีศักยภาพที่จะใช้เป็นหมากทางภูมิรัฐศาสตร์ในเอเชียกลาง เป็นเรื่องที่ต้องคอยติดตามกันต่อไปว่า รัฐบาลตุรกีกำลังจะยินยอมปัดกวาดสะสาง พร้อมกับปฏิเสธเสียงแข็งไม่มีโครงการพาสปอร์ต แล้วปล่อยให้ชะตากรรมของชาวอุยกูร์เหล่านี้ขึ้นอยู่กับความเมตตาปรานีที่ไม่ค่อยจะมีของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนหรือไม่

    แต่ตุรกีนั้นกำลังเล่นอยู่กับไฟโดยแท้ ผมคาดหมายว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนจะไม่มีการผ่อนเพลาในการดำเนินการติดตาม อย่างน้อยที่สุดก็ให้ได้ตัวพวกชายชาวอุยกูร์ซึ่งถูกคุมขังอยู่ในประเทศเอเชียต่างๆ เพื่อหาทางป้องกันขัดขวางเส้นทางไปสู่ตุรกีที่พวกเขาได้เคยใช้มา

    ปีเตอร์ ลี เป็นนักเขียนที่สนใจเรื่องกิจการเอเชียตะวันออกและเอเชียใต้ ตลอดจนจุดตัดกันระหว่างภูมิภาคเหล่านี้กับนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯ สามารถอ่านบทความของเขาได้ที่เว็บบล็อกของเขาชื่อ China Matters (China Matters)


    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000081209
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ‘องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้’ที่นำโดย ‘รัสเซีย-จีน’พลิกโฉมเพิ่มน้ำหนักความเป็น‘เอเชีย’ โดย เซียร์เกย์ บลากอฟ 18 กรกฎาคม 2558 22:25 น.

    (เก็บความจากเอเชียไทมส์ Asia Times)

    Shanghai Cooperation Organization turns Pan Asian
    By Sergei Blagov
    11/07/2015

    องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) ซึ่งประกอบด้วย รัสเซีย, จีน, คาซัคสถาน, คีร์กีซสถาน, ทาจิกิสถาน, และ อุซเบกิสถาน มีมติในการประชุมซัมมิตเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา ให้รับ อินเดีย และ ปากีสถานเข้าเป็นสมาชิกใหม่ รวมทั้งยังกำลังเคลื่อนไหวไปในทิศทางซึ่งเพิ่มความเป็นเอเชียมากขึ้นเรื่อยๆ ทว่าถึงแม้มีเครื่องบ่งชี้ให้เห็นว่าองค์การนี้กำลังมีความทะเยอทะยานในระดับโลกเพิ่มสูงขึ้น แต่ก็ยังคงต้องติดตามกันต่อไปว่า SCO จะสามารถขยับขยายอิทธิพลบารมีในทางระหว่างประเทศของตน และมีวิวัฒนาการเข้าสู่รูปแบบใหม่ที่มีความเป็นเอเชียเข้มข้นยิ่งขึ้นได้หรือไม่

    องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organization ใช้อักษรย่อว่า SCO) ในที่สุดแล้วก็ได้กระทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้นมนามก่อนหน้านี้ ในการขยายเพิ่มจำนวนรัฐสมาชิก โดยองค์การนี้ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกรวม 6 ราย ได้แก่ รัสเซีย, จีน, คาซัคสถาน, คีร์กีซสถาน, ทาจิกิสถาน, และ อุซเบกิสถาน มีมติรับ 2 ชาติใหญ่ในเอเชียใต้เข้ามาร่วม อีกทั้งยังกำลังเคลื่อนตัวไปสู่การเกิดใหม่ในรูปลักษณ์ที่มีความเป็นเอเชียมากยิ่งขึ้นอย่างถนัดชัดเจน

    องค์การนี้มีต้นกำเนิดมาจากการเจรจาหารือเรื่องชายแดนระดับทวิภาคีระหว่างจีนกับอดีตสหภาพโซเวียต แต่มาถึงตอนนี้ก็กลายเป็นการรวมกลุ่มในลักษณะพหุภาคีอย่างแท้จริงแล้ว ทั้งนี้ระหว่างการประชุมซัมมิตครั้งล่าสุดที่เมืองอูฟา (Ufa) ประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา ได้มีการลงมติรับรองให้ อินเดีย และ ปากีสถาน เข้าสู่กระบวนการในการเป็นสมาชิกสมบูรณ์ของ SCO การที่องค์การนี้เชื้อเชิญรัฐสำคัญทั้ง 2 ในเอเชียใต้เข้ามาร่วมอย่างเต็มตัวคราวนี้ ยังสามารถมองได้ว่าเป็นความพยายามของ SCO ที่จะเพิ่มความเข้มแข็งและเพิ่มอิทธิพลบารมีในทางระหว่างประเทศให้แก่การรวมกลุ่มของพวกตน

    ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ผู้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับผู้นำของ SCO คราวนี้ กล่าวตั้งข้อสังเกตว่า การรับเอา อินเดีย และปากีสถาน เข้ามาอยู่ในองค์การนี้ จะมีส่วนช่วยเหลือ SCO ในการเผชิญกับการท้าทายและภัยคุกคามที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน เขาชี้ด้วยว่า ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อายุ 15 ปีขององค์การนี้ ที่ SCO ลงมติขยายองค์การของตนออกไป

    ปูตินระบุด้วยว่า มีชาติต่างๆ จำนวนมากทั้งในเอเชียใต้, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, และตะวันออกกลาง ซึ่งแสดงความสนใจปรารถนาจะได้รับฐานะเป็นชาติหุ้นส่วนในการหารือ (dialogue partner) ของ SCO หรือเป็นชาติผู้สังเกตการณ์ (observer) ของ SCO

    ขณะเดียวกัน การประชุมซัมมิตคราวนี้ยังมีมติปรับฐานะของ เบลารุส ให้เพิ่มสูงขึ้นจากชาติหุ้นส่วนในการหารือ ขึ้นสู่การเป็นชาติผู้สังเกตการณ์ และให้รับ อาเซอร์ไบจัน, อาร์เมเนีย, กัมพูชา, และ เนปาล เป็นชาติหุ้นส่วนในการหารือของ SCO

    ปูตินแถลงว่า ที่ประชุมยังมีมติรับรองพิมพ์เขียวการพัฒนาของ SCO ตั้งแต่ระยะปัจจุบันไปจนถึงปี 2025 โดยเรื่องซึ่งต้องถือเป็นความสำคัญลำดับต้นของพิมพ์เขียวดังกล่าว ได้แก่ เสถียรภาพในภูมิภาค และการแก้ไขความขัดแย้งในภูมิภาค

    นอกจากนั้นซัมมิตคราวนี้ได้อภิปรายหารือกันเกี่ยวกับภัยคุกคามของกลุ่ม “รัฐอิสลาม” (Islamic State หรือ ไอเอส) ในอัฟกานิสถาน รวมทั้งลงมติรับรองพิมพ์เขียวอีกฉบับหนึ่ง ซึ่งก็คือ โครงการความร่วมมือเพื่อการต่อต้านการก่อการร้ายและการแบ่งแยกดินแดนในช่วงปี 2016 – 2018 (Cooperation Program to Counter Terrorism and Separatism in 2016-2018) ประธานาธิบดีรัสเซียแถลง

    สำหรับคำแถลงร่วมของบรรดาผู้นำ SCO เหล่านี้ มีการเรียกร้องให้ทำความตกลงกันเพื่อยุติวิกฤตการณ์ทางการเมืองทั้งในตะวันออกกลาง และในแอฟริกาเหนือ โดยปราศจาก “การแทรกแซงจากภายนอก”

    การประชุมซัมมิต SCO ครั้งต่อไปนั้น กำหนดจัดขึ้นที่กรุงทาชเคนต์ เมืองหลวงของอุซเบกิสถาน ในปี 2016 และอุซเบกิสถานก็ได้รับตำแหน่งเป็นประธานใหม่ของ SCO ตามระบบการหมุนเวียนซึ่งตกลงกันไว้

    อย่างไรก็ตาม SCO ดูเหมือนยังคงตัดสินใจกันไม่ได้เกี่ยวกับการรับอิหร่านเข้าเป็นสมาชิก เมื่อถูกถามตรงๆ เกี่ยวกับแผนการขยายชาติสมาชิกของ SCO จากนี้ไป ปูตินได้ให้คำตอบโดยระบุว่า อิหร่านได้แสดงเจตนารมณ์ที่จะเข้าร่วมองค์การนี้ แต่เขากล่าวต่อไปว่า ควรจะให้กระบวนการเข้าเป็นสมาชิกของ อินเดีย และปากีสถาน เสร็จสิ้นไปก่อน จากนั้นจึงค่อยพิจารณารับรัฐสมาชิกรายใหม่ๆ

    มอสโกนั้นได้เสนอความเห็นมายาวนานแล้วว่า การขยาย SCO ออกไปนั้น ควรคำนึงในแง่ที่ว่ามันจะทำให้ฐานะในทางระหว่างประเทศขององค์การนี้ มีความแข็งแกร่งมากขึ้นหรือไม่ อย่างไรก็ดี ในช่วงก่อนหน้าและระหว่างการประชุมซัมมิตคราวนี้ พวกเจ้าหน้าที่รัสเซียแสดงท่าทีระมัดระวังตัว พยายามหลีกเลี่ยงไมใช้ถ้อยคำโวหารที่จะทำให้เกิดการเผชิญหน้าขึ้นมา

    วาเลนตินา มัตวิเยนโค (Valentina Matviyenko) ประธานของสภาสหพันธรัฐ (Federation Council) ซึ่งก็คือสภาสูงของรัฐสภารัสเซีย ได้ออกมาแถลงเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคมว่า SCO นั้นไม่ได้ตั้งเป้ามุ่งต่อต้านฝ่ายที่สามใดๆ ทั้งสิ้น เธอกล่าวด้วยว่า ตามกระบวนการแล้ว อินเดีย กับ ปากีสถาน มีกำหนดที่จะกลายเป็นสมาชิกสมบูรณ์ของ SCO ในปี 2016

    เท่าที่ผ่านมา SCO ถูกจับตามองอย่างยาวนานว่าเป็นองค์การที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อรวบรวมบรรดาชาติเอเชียให้รวมตัวกันต่อต้านคัดค้านสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็นลัทธิแผ่ขยายอำนาจของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม องค์การนี้เองกลับไม่ค่อยอยากให้ถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่กำลังแปรเปลี่ยนไปเป็นการรวมกลุ่มทางด้านการทหาร เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ดมิตริ เมเซนเซฟ (Dmitry Mezentsev) เลขาธิการของ SCO ยังคงออกมายืนยันว่า SCO จะไม่มีการแปรเปลี่ยนกลายไปเป็นกลุ่มทางการทหาร

    ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น แรกเริ่มเดิมที SCO มีต้นกำเนิดจากการเจรจาหารือทวิภาคีในเรื่องพรมแดนระหว่างจีนกับสหภาพโซเวียตในอดีต ครั้นเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายไป การเจรจาก็ยังคงดำเนินต่อไป แต่คราวนี้เป็นการหารือระหว่างจีนกับชาติผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 4 ฝ่าย ได้แก่ รัสเซีย, คาซัคสถาน, คีร์กิซสถาน, และ ทาจิกิสถาน ดังนั้น รัฐสมาชิกเหล่านี้จึงได้จับมือกันก่อตั้งเป็นกลุ่ม “เซี่ยงไฮ้ 5” (Shanghai Five) ขึ้นมาในปี 1996 สำหรับ SCO นั้นมีการก่อตั้งขึ้นมาอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 มิถุนายน 2001 ในนครเซี่ยงไฮ้ และมี อุซเบกิสถาน เข้ามาร่วมเป็นสมาชิกใน SCO ด้วยอีกประเทศหนึ่ง

    ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2004 SCO เริ่มต้นดำเนินงานในฐานะที่เป็นองค์การระหว่างประเทศซึ่งเติบโตเต็มที่ และนับจากปี 2004 เป็นต้นมา SCO ก็มีสำนักงานเลขาธิการ ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงปักกิ่ง และมีกองกำลังต่อต้านการก่อการร้ายระดับภูมิภาค (Regional Anti-Terrorist Force) ตั้งกองบัญชาการอยู่ในกรุงบิชเคก เมืองหลวงของคีร์กีซสถาน

    แทบจะตั้งแต่ที่มีการก่อตั้งขึ้นมา SCO ก็จับตาหมายมุ่งที่จะขยายจำนวนรัฐสมาชิกมาโดยตลอด โดยที่อินเดียถูกระบุว่ามีศักยภาพที่จะเป็นผู้สมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์การนี้มาเป็นเวลายาวนานกว่าสิบปีแล้ว และปูตินก็ได้กล่าวย้ำตั้งแต่เมื่อปี 2002 ว่า การเข้าร่วมของอินเดียสามารถยกระดับฐานะความสำคัญของ SCO

    ภายในองค์การนี้เองก็ได้มีการตระเตรียมมานานในเรื่องการรับประเทศสมาชิกใหม่ๆ ในการประชุมซัมมิต SCO ที่กรุงทาชเคนต์ปี 2010 มีการลงมติรับรองระเบียบกฎเกณฑ์ว่าด้วยการรับรัฐสมาชิกใหม่ ตามระเบียบดังกล่าวนี้ สมาชิกใหม่ของ SCO จะต้องเป็นชาติยูเรเชีย, มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐสมาชิกปัจจุบันทุกๆ ราย, และมีฐานะเป็นชาติผู้สังเกตการณ์หรือชาติหุ้นส่วนในการหารือ อย่างไรก็ดี ระเบียบนี้ระบุด้วยว่า ประเทศที่ต้องการเป็นสมาชิก จะต้องไม่ถูกสหประชาชาติลงโทษคว่ำบาตร และต้องไม่เกี่ยวข้องพัวพันอยู่ในความขัดแย้งด้วยกำลังอาวุธใดๆ ทั้งสิ้น

    เมื่อปี 2011 พวกเจ้าหน้าที่รัสเซียหยิบยกเหตุผลขึ้นมาโต้แย้งว่า SCO ลังเลใจที่จะรับเอา อินเดีย และ ปากีสถาน เข้ามาเป็นสมาชิกสมบูรณ์ของตน เนื่องจากประเทศทั้งสองยังคงมีข้อพิพาทขัดแย้งกันเรื่องดินแดนอย่างต่อเนื่อง ทว่าในเวลาต่อมา มอสโกดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงจุดยืนของตนเองแล้ว ด้วยการแสดงท่าทีว่าสนใจที่จะให้สมาชิกภาพของ SCO แก่อินเดียและปากีสถาน ถึงแม้ประเทศทั้งสองจะยังมีความขัดแย้งกันก็ตามที

    การที่มอสโกให้ความสนใจต่อ SCO เพิ่มขึ้นมากในระยะหลังๆ มานี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพรซ์น่าประหลาดใจอะไร เมื่อพิจารณาจากสภาพภูมิหลังที่รัสเซียกำลังมีความบาดหมางรุนแรงอย่างต่อเนื่องกับโลกตะวันตกสืบเนื่องจากกรณียูเครน เวลานี้วังเครมลินดูเหมือนจะถือว่า SCO และกลุ่มบริกส์ (BRICS กลุ่ม 5 ประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่รายใหญ่ของโลก ประกอบด้วย บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน, และแอฟริกาใต้ ชื่อของกลุ่มมาจากการนำเอาอักษรตัวแรกในชื่อภาษาอังกฤษของประเทศเหล่านี้มาเรียงกัน –ผู้แปล) เป็นเครื่องมือสำคัญลำดับต้น ที่วังเครมลินจะนำมาใช้ต่อต้านสิ่งที่ตนเองมองว่า เป็นความพยายามของฝ่ายตะวันตกที่จะโดดเดี่ยวรัสเซีย และลดฐานะความสำคัญของรัสเซียลงไปเรื่อยๆ

    การที่อินเดียและปากีสถานกำลังจะเข้ามาเป็นสมาชิกของ SCO ยังเท่ากับเป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่ดุลอำนาจในองค์การนี้ด้วย จากที่ก่อนหน้านี้ จีนคือผู้ที่มีฐานะครอบงำอยู่ใน SCO ทั้งในด้านเศรษฐกิจและด้านการเมือง นอกจากนั้น ความเป็นไปได้ที่จะมีสมาชิกใหม่ๆ เข้ามาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกกลาง ก็มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลง SCO ให้กลายเป็นองค์การของชาติเอเชียไปเลยในอนาคต

    ในอดีตที่ผ่านมา พวกรัฐสมาชิกของ SCO เคยสนับสนุนอย่างแข็งขันให้ส่งเสริมเพิ่มพูนการค้าระหว่างกัน, เสนอสกุลเงินตราระหว่างประเทศสกุลใหม่, และจัดทำระบบพลังงานที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของภูมิภาคขึ้นมา นอกจากนั้น ยังมีเสียงเรียกร้องให้สร้างสกุลเงินตราของ SCO ซึ่งจะอิงกับมาตรฐานทองคำ อย่างไรก็ดี แผนการเหล่านี้ทั้งหลายทั้งปวงยังคงไม่ได้กลายเป็นความจริงขึ้นมา อีกทั้งมีความคืบหน้าอย่างเชื่องช้ายิ่ง

    ด้วยเหตุนี้ การพบปะหารือของผู้นำสุดยอดของ SCO ครั้งล่าสุด ถึงแม้เป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นว่าองค์การนี้กำลังมีความทะเยอทะยานในระดับโลกเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังคงต้องคอยติดตามกันต่อไปว่าองค์การนี้จะสามารถขยับขยายอิทธิพลบารมีในทางระหว่างประเทศของตน และมีวิวัฒนาการเข้าสู่รูปแบบใหม่ที่มีความเป็นเอเชียเข้มข้นยิ่งขึ้นได้หรือไม่

    เซียร์เกย์ บลากอฟ เป็นนักหนังสือพิมพ์และนักวิจัยอิสระซึ่งตั้งฐานอยู่ที่กรุงมอสโก ในอดีตเป็นเวลายาวนาน 3 ทศวรรษทีเดียว เขาเคยทำข่าวเกี่ยวกับกิจการของเอเชียจากกรุงมอสโก, รัสเซีย ตลอดจนจากกรุงฮานอย, เวียดนาม และกรุงเวียงจันทน์, ลาว เขาเขียนหนังสือเกี่ยวกับเวียดนามเอาไว้หลายเล่ม และเป็นผู้มีส่วนในการจัดทำหนังสือคู่มือสำหรับผู้สื่อข่าว

    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000081426
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯและของจีนต่างเจอปัญหาเตียงนอนมี ‘บั๊ก’ โดย เอเชียอันเฮดจ์ 19 กรกฎาคม 2558 11:34 น.

    (เก็บความจากเอเชียไทมส์ Asia Times)

    US and Chinese presidents both have problems with ‘bedbugs’
    By Asia Unhedged
    17/07/2015

    มีข่าวลือว่าประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐฯ ไม่ยอมไปพักที่โรงแรมวอลดอร์ฟ-แอสโตเรียอันสุดหรู ระหว่างที่เขาเดินทางไปเยือนนครนิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (17 ก.ค.) ที่ผ่านมา เนื่องจากเกรงว่าจะมีการติดตั้ง “บั๊ก” แอบดักฟัง หลังจากที่กลุ่มทุนจีนเข้าซื้อ “เดอะ วอลดอร์ฟ” ไปในปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อพลิกทบทวนรายงานข่าวในอดีต เราก็พบว่าประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน ของจีน ก็เคยถูกอเมริกาแอบติดตั้ง “บั๊ก” ที่บริเวณเตียงนอนเหมือนกัน

    นครนิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (17 ก.ค.) ที่ผ่านมา ดังเซ็งแซ่ด้วยข่าวลือที่ว่า ประธานาธิบดีโอบามา เลิกไปพักที่โรงแรมวอลดอร์ฟ-แอสโตเรีย (Waldorf-Astoria Hotel) อันสุดหรูหราสง่างาม บนถนนพาร์คแอวะนูว์ (Park Avenue) ซึ่งแสนโอฬาริกเสียแล้ว เนื่องจากเกรงกลัวว่าห้องชุดเพรสซิเดนเชียล สวีท ที่นั่น อาจจะเต็มไปด้วย “บั๊ก” (bug) ของฝ่ายจีน (นี่หมายถึง บั๊กอิเล็กทรอนิกส์นะครับ ไม่ใช่บั๊กสายพันธุ์แมลงอย่างพวกตัวเรือด bedbug ที่ชอบแอบซุกอยู่ตามที่นอนหมอนมุ้ง) ทั้งนี้โอบามามีกำหนดที่จะเดินทางไปยังมหานครแห่งนั้นเพื่อชมการแสดงที่โรงละครในบรอดเวย์ (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข่าวนี้ได้ที่ Obama Is In NYC Tonight, But He Won't Be Staying At The Waldorf-Astoria: Gothamist)

    ดูเหมือนว่าความวิตกกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงดังกล่าว บังเกิดขึ้นตั้งแต่ที่ กลุ่มประกันภัยอันปัง (Anbang Insurance Group) ของจีน เข้าซื้อโรงแรม 47 ชั้นตั้งตระหง่านที่เต็มไปด้วยเกียรติประวัติอันเพริดแพร้วแห่งนี้ไปเมื่อปีที่แล้วในราคา 1,950 ล้านดอลลาร์ แถมยังบวกด้วยความระแวงสงสัยอย่างแรง ที่ว่า พวกแฮกเกอร์จีนคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการแอบเจาะเข้าไปโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคลของลูกจ้างรัฐบาลกลางสหรัฐฯทั้งในปัจจุบันและในอดีตจำนวนเป็นล้านๆ คน จากสำนักงานบริหารจัดการงานบุคคล (Office of Personnel Management) เมื่อไม่นานมานี้ ทั้งนี้มีรายงานด้วยว่า ไม่เพียงโอบามาเท่านั้น แต่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯทั้งหลายยังได้รับแจ้งให้อยู่ห่างๆ จาก เดอะ วอลดอร์ฟ เช่นเดียวกัน

    เอเชียอันเฮดจ์คิดว่า เรื่องนี้เป็นหนึ่งในผลด้านลบซึ่งบังเกิดขึ้นมาเมื่อมีทุนจีนเข้าไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ในนิวยอร์กเวลานี้ เราเองก็คงจะหลีกเลี่ยงไม่ไปพักที่ เดอะ วอลดอร์ฟ ถ้าหากเราเป็นประธานาธิบดีโอบามา

    อย่างไรก็ตาม ก่อนที่อารมณ์ความรู้สึกโกรธเกรี้ยวในเชิงศีลธรรมของอเมริกาจะเดือดปุดๆ ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เราขอให้คุณลองพิจารณารายงานข่าวเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2002 ซึ่งปรากฏอยู่ในหนังสือพิมพ์เดลี่เทเลกราฟ ของอังกฤษ (http://www.telegraph.co.uk/news/wor...hina-finds-spy-bugs-in-Jiangs-Boeing-jet.html) ข่าวชิ้นนี้เขียนเอาไว้อย่างนี้ครับ:

    “จีนพบ ‘บั๊กสปาย’ ในไอพ่นโบอิ้งของ ‘เจียง’

    ประเทศจีนอ้างว่าได้ตรวจพบบั๊กสอดแนมเป็นจำนวนเกือบ 30 ตัว โดยที่ตัวหนึ่งซุกซ่อนอยู่ในบริเวณหัวเตียงของเตียงนอนสำหรับประธานาธิบดี บนเครื่องบินไอพ่นโบอิ้ง 767 ซึ่งเพิ่งได้รับมอบจากอเมริกา เพื่อนำมาใช้เป็นเครื่องบินอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน

    เครื่องบินลำนี้ขณะนี้กำลังจอดอยู่ในสนามบินทหารแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของกรุงปักกิ่ง โดยที่ไม่ได้ถูกนำออกใช้งาน และเครื่องหนังเครื่องเบาะตลอดจนเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งจำนวนมากถูกรื้อถูกถอดออกมาเป็นชิ้นๆ นับตั้งแต่เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ตอนที่นักบินทดสอบชาวจีนตรวจพบว่ามีเสียงประหลาดๆ ไม่คุ้นหูดังออกมาจากตัวเครื่องบินลำนี้

    เจ้าหน้าที่จีนหลายรายเปิดเผยว่า จากการตรวจค้นเครื่องบิน 2 เครื่องยนต์ลำนี้ ซึ่งผลิตและติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งในอเมริกา ได้พบอุปกรณ์ดักฟังรวม 27 ชิ้น ถูกแอบวางซุกซ่อนเอาไว้ทั้งตรงบริเวณที่นั่ง, ห้องน้ำ, และข้างในฝาผนังที่บุปิดเอาไว้

    ปักกิ่งเชื่อว่า บั๊กเหล่านี้ถูกแอบวางโดยสำนักงานข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ (Central Intelligence Agency หรือ CIA) เมื่อตอนที่เครื่องบินลำนี้กำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงตกแต่งกันใหม่เพื่อให้เหมาะสมแก่การใช้งาน ในเมืองซานอันโตนิโอ (San Antonio) มลรัฐเทกซัส

    สำนักงานซีไอเอนั้นปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นต่อรายงานข่าวนี้ บิลล์ ฮาร์โลว์ (Bill Harlow) โฆษกของหน่วยงานสปายสายลับแห่งนี้ กล่าวว่า “เราไม่แสดงความคิดเห็นต่อข้อกล่าวหาทำนองนี้หรอก นี่เป็นนโยบายที่เรายึดถือเรื่อยมา” ทางด้านทำเนียบขาวก็ใช้ถ้อยคำแทบจะเป็นอย่างเดียวกัน โดยออกมาแถลงว่า “เราไม่ขอถกแถลงใดๆ เมื่อเจอข้อกล่าวหาประเภทนี้”

    รายงานข่าวนี้ยังปรากฏอยู่ในสื่อมวลชนด้านข่าวรายใหญ่ๆ ของสหรัฐฯด้วย ทว่าหลังจากนั้นก็ลับหายไปจากการเป็นข่าวพาดหัว โดยที่ไม่ได้มีการติดตามขุดคุ้ยเพิ่มเติมใดๆ

    (จากคอลัมน์ Asia Unhedged ในเอเชียไทมส์)

    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000081445
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เล็งปัดฝุ่นผันน้ำเติมเขื่อนภูมิพลสู้วิกฤตแล้งระยะยาว เผยวันนี้เขื่อนยังแห้งหนัก (ชมคลิป) โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 กรกฎาคม 2558 09:51 น. (แก้ไขล่าสุด 18 กรกฎาคม 2558 11:37 น.)

    [​IMG]

    ตาก - ระดับน้ำเหนือเขื่อนภูมิพล ยังคงแห่งขั้นวิกฤตต่อเนื่อง ล่าสุดเหลือน้ำระบายได้ 1.34% ขณะที่ครึ่งเดือนนี้เก็บน้ำใหม่ได้แค่ 9 ล้าน ลบ.ม.เท่านั้น ขณะที่แนวทางแก้ปัญหาระยะยาวรัฐอาจต้องปัดฝุ่นฟื้นโครงการผันน้ำยวม / ห้วยปูแป้-ห้วยขะแนง ลงเขื่อน

    นายณัฐวุฒิ แจ่มแจ้ง ผู้อำนวยการเขื่อนภูมิพล เปิดเผยว่า เขื่อนภูมิพล มีปริมาณน้ำกักเก็บจนถึงวันที่ 18 ก.ค. จำนวน 214.07 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ต่ำกว่าวันเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว 0.74 เมตร หรือคิดเป็น 91.34 ลบ.ม. เท่านั้น

    โดยมีน้ำกักเก็บ คงเหลือ 3,929 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นปริมาณ 29.19% มีพื้นที่ว่างรองรับน้ำใหม่ จำนวน 9,532 ล้าน ลบ.ม. มีปริมาณน้ำที่ จะสามารถระบายได้เพียง 129 ล้านลูกบาศก์เมตร 1.34% เมื่อ 17 ก.ค.มีน้ำไหลเข้าสู่อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล 0.89 ล้าน ลบ.ม. และตั้งแต่วันที่ 1-16 ก.ค.เขื่อนภูมิพล สามารถกักเก็บน้ำ ได้เพียง 9 ล้าน ลบ.ม.เท่านั้น ถือว่า เก็บได้น้อยมาก

    ขณะนี้เขื่อนภูมิพล ลดการระบายน้ำลงสู่พื้นที่ท้ายเขื่อนตามมติคณะรัฐมนตรี เหลือ 6 ล้าน ลบ.ม.หากไม่มีฝนตกเหนือเขื่อน จะลดการระบายน้ำลงอีกเรื่อย ๆจนเหลือ 3 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน อาจจะต้องมีผลกระทบกับการใช้น้ำอุปโภค บริโภค และไล่น้ำเค็ม ซึ่งทุกคนจะต้องช่วยกันประหยัดใช้น้ำให้คุ้มค่า ถือว่า เป็นวิกฤตร่วมกัน

    ผู้อำนวยการเขื่อนภูมิพล กล่าวว่า ปกติช่วงเดือนนี้ จะมีพายุเข้า และมีฝนตกในปลายเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ของทุกปี และปีนี้ ก็เช่นกัน เราหวังว่า จะมีพายุ มีฝนตก หากตกในพื้นที่ท้ายเขื่อน ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เกษตรกร ก็สามารถใช้น้ำฝนใช้เพื่อการเกษตร หากตกในพื้นที่เหนือเขื่อน เราก็สามารถเก็บกักน้ำไว้ใช้

    ส่วนแผนระยะยาวนั้น เป็นเรื่องของรัฐบาล ที่จะหยิบยกโครงการผันน้ำยวม จากพื้นที่รอยต่อ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก กับแม่ฮ่องสอน ที่ปกติแม่น้ำยวม จะไหลลงสู่แม่น้ำสาละวิน ออกทะเลอันดามัน ประเทศเมียนมา ไปแบบไม่ประโยชน์อะไร นอกเหนือจากนั้น จะต้องหยิบแผนงานและโครงการผันน้ำห้วยปูแป้ ห้วยขะแนง จาก อ.แม่สอด อ.แม่ระมาด ที่ไหลลงลำห้วยแม่ตื่น ลงอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล ก็จะสามารถแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำ เพราะในพื้นที่ ชายแดนไทย-เมียนมา ได้รับอิทธิพลฝนตกจากฝั่งอันดามัน และมีปริมาณน้ำฝนเต็มที่

    ส่วนเขื่อนสิริกิติ์ มีน้ำใหม่ไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเมื่อ 17 ก.ค. จำนวน 7.58 ล้าน ลบ.ม. มีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือ 3,139 ล้าน ลบ.ม. หรือ คิดเป็น 33.01% ปัจจุบันมีพื้นที่ว่างรองรับน้ำใหม่ จำนวน 6,370 ล้าน ลบ.ม. มีปริมาณน้ำที่สามารถระบายได้ เพียง 289 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 4.35% ขณะนี้ระบายน้ำอยู่ที่ 15 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน และจะลดปริมาณการระบายน้ำลงอีก 1 ล้าน ในวันนี้ (18 ก.ค.)

    http://manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9580000081271
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “น้ำมูล”บุรีรัมย์วิกฤตสุด ! สันดอนโผล่ขับรถบรรทุกลงตักทรายได้ เกษตรกรอพยพหนีภัยแล้ง โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 กรกฎาคม 2558 13:12 น.

    [​IMG]

    @แม่น้ำมูลเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงอีสานไหลผ่าน อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ยังวิกฤตแห้งขอดสุดในรอบ 50 ปี สันดอนทราโผล่เป็นบริเวณกว้างสามารถเดินข้ามฝั่งและขับรถบรรทุกลงไปตักทรายได้ วันนี้ (18 ก.ค.)

    บุรีรัมย์ - สถานการณ์ “น้ำมูล” เส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงอีสานที่ไหลผ่าน อ.สตึกบุรีรัมย์ ยังวิกฤตหนักแห้งขอดสุดในรอบ 50 ปี สันดอนทรายโผล่เป็นบริเวณกว้างสามารถเดินข้ามฝั่งและขับรถบรรทุกลงไปตักทรายได้อย่างสบาย กระทบเกษตรกรสองฟากฝั่งไม่สามารถประกอบอาชีพเกษตรได้และผู้เลี้ยงปลากระชังปล่อยกระชังทิ้งร้างอพยพหนีภัยแล้งไปขายแรงงานต่างถิ่น

    วันนี้ (18 ก.ค.) สถานการณ์ภัยแล้งที่จังหวัดบุรีรัมย์ยังขยายวงกว้างอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดน้ำในแม่น้ำมูลซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงหลายจังหวัดภาคอีสานโดยเฉพาะช่วงที่ไหลผ่านพื้นที่ อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ มีสภาพตื้นเขินแห้งขอด แม้ช่วงนี้จะมีฝนตกในพื้นที่ก็ตาม โดยปัจจุบันมีสภาพตื้นเขินจนมองเห็นตอหม้อสะพานโผล่และบางจุดแห้งขอดจนสันดอนทรายโผล่

    จากกรณีดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวบ้านและเกษตรกรหลายหมู่บ้านในพื้นที่ต.ท่าม่วง, ต.สะแก และ ต.สตึก จำนวนมากที่อยู่สองฟากฝั่งแม่น้ำมูล ต้องอาศัยน้ำเพื่อใช้ทำการเกษตร และการประมง ไม่สามารถประกอบอาชีพได้

    โดยเฉพาะชาวบ้านท่าเรือ ต.ท่าม่วง ที่ทำอาชีพเลี้ยงปลาในกระชังเกือบทั้งหมู่บ้านกว่า 50 ครัวเรือนไม่สามารถเลี้ยงปลากระชังได้ต้องปล่อยกระชังทิ้งร้างทำให้ต้องสูญเสียโอกาสขาดรายได้ จากปกติทุกปีจะเลี้ยงได้ปีละ 3 - 4ครั้ง แต่ปัจจุบันเหลือเกษตรกรที่ยังเสี่ยงเลี้ยงอยู่เพียง 5 - 6 รายเท่านั้น ส่วนที่เหลือพากันอพยพไปขายแรงงานต่างจังหวัดเพื่อหารายได้มาเลี้ยงครอบครัวและจากสภาพน้ำมูลที่แห้งขอดทำให้ชาวบ้านนำรถบรรทุกขับลงไปตักทรายในลำน้ำมูลได้อย่างสบาย

    ส่วนสาเหตุที่ทำห้าน้ำมูลแห้งขอดหนักในปีนี้ เนื่องจากไม่มีฝนตกและไม่มีน้ำเหนือจาก จ.นครราชสีมา ไหลมาสมทบเหมือนทุกปี

    ด้าน นายณรงค์ วงษ์แสงรัตน์ อายุ 58 ปี ชาวบ้านท่าเรือ ต.ท่าม่วง อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ รายหนึ่ง บอกว่า ปีนี้น้ำในแม่น้ำมูลแห้งขอดสุดในรอบ 50 ปี ทำให้ชาวบ้านที่ทำอาชีพเลี้ยงปลากระชังเดือดร้อนหนักไม่สามารถเลี้ยงปลากระชังได้ต้องปล่อยกระชังทิ้งร้าง แล้วพากันไปหาทำงานรับจ้างยังต่างจังหวัด เพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว ขณะที่บางรายมีหนี้สินสะสมจากการลงทุนเลี้ยงหลายแสนบาทจากผลกระทบดังกล่าว

    จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลหรือหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเร่งเข้ามาสำรวจเพื่อก่อสร้างฝายหรือเขื่อนยางเพื่อกักเก็บน้ำไว้อุปโภคบริโภค ทำการเกษตรและประกอบอาชีพเลี้ยงปลากระชังได้ตลอดทั้งปีเพราะหากปล่อยให้ประสบปัญหาเช่นนี้อาชีพเลี้ยงปลากระชังก็คงจะสูญหายไปในที่สุด

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “ลำตะคอง” เส้นเลือดใหญ่โคราชงัด “แผน 2” สู้ภัยพิบัติแล้ง เผย 5 เขื่อนหลักเหลือแค่ 30% โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 กรกฎาคม 2558 12:57 น. (แก้ไขล่าสุด 17 กรกฎาคม 2558 13:10 น.)

    [​IMG]

    @ภาพถ่ายมุมสูง สภาพเขื่อนลำตะคอง อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมาแห้งขอดเต็มที ล่าสุดเหลือปริมาณน้ำใช้การได้จริงแค่ 51 ล้าน ลบ.ม.คิดเป็น16.27% ของความจุ 314 ล้านลบ.ม. วันนี้ ( 17 ก.ค.)

    ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - “ลำตะคอง” เส้นเลือดใหญ่โคราชงัดแผนบริหารจัดการน้ำระยะที่ 2 สู้ภัยพิบัติแล้ง เผยลดระบายน้ำเหลือ 4 แสน ลบ.ม./วัน ให้นายอำเภอ 5 อำเภอแจ้งเกษตรกรชะลอทำนาปีไป ส.ค. ส่วนประปาท้องถิ่นให้เร่งสูบเก็บน้ำฝนไม่ต้องรอน้ำอัดทดจากเขื่อนเหตุน้ำน้อยเหลือ 16% ส่งให้ไม่ได้ ด้านประปาเทศบาลนครโคราชให้ใช้น้ำจากเขื่อนลำตะคองจุดเดียวส่วนที่เหลือไปใช้ “เขื่อนลำแชะ” แทน ขณะเขื่อนใหญ่ 5 แห่ง ล่าสุดเหลือน้ำรวมแค่ 30%

    วันนี้ (17 ก.ค.) นายสิทธิโรจน์ กองแก้ว ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำตะคอง จ.นครราชสีมา เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำลำตะคอง อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นแหล่งน้ำหลักสำคัญขนาดใหญ่ที่สุดของ จ.นครราชสีมาว่า ล่าสุดมีปริมาณน้ำในอ่าง 73 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) แต่เป็นน้ำใช้การได้จริงแค่ 51 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 16.27 ของความจุระดับกักเก็บ 314 ล้าน ลบ.ม. ต้องบริหารจัดการอย่างดีจึงจะสามารถผ่านพ้นวิกฤตแล้งนี้ไปได้

    โดยขณะนี้การดำเนินการของโครงการฯ เข้าสู่แผนระยะที่ 2 ของแผนบริหารจัดการน้ำเขื่อนลำตะคอง เพื่อป้องกันปัญหาภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ปี 2558 ระหว่างวันที่ 1-31 ก.ค. 2558 ซึ่งตามแผนได้มีการลดการระบายน้ำจากเขื่อนลำตะคองจากวันละ 700,000 ลบ.ม. เหลือวันละ 400,000 ลบ.ม. เดือนละ 12 ล้าน ลบ.ม. เพื่อสงวนรักษาน้ำในเขื่อนไว้ให้ยาวนานที่สุดจนกว่าจะมีน้ำใหม่มาเพิ่มเพียงพอต่อการช่วยเหลือนาปี

    พร้อมให้นายอำเภอท้ายเขื่อนลำตะคองทั้ง 5 อำเภอ ได้แก่ อ.สีคิ้ว สูงเนิน ขามทะเลสอ เมืองนครราชสีมา และ อ.เฉลิมพระเกียรติ ไปแจ้งเกษตรกร กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ชะลอการทำนาปีออกไปจนกว่าจะมีฝนตกมีน้ำเพิ่มในเดือน ส.ค.นี้ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดหมาย

    รวมทั้งให้ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวง อุตุนิยมวิทยาจังหวัดนครราชสีมา สำนักงานชลประทานที่ 8 ร่วมมือกันเร่งทำฝนหลวงเพื่อหาน้ำเพิ่มให้กับเขื่อนลำตะคองโดยเร่งด่วนและมอบหมายผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 8 เป็นหัวหน้าคณะทำงาน และให้การประปาเทศบาลนครนครราชสีมาเริ่มสูบน้ำดิบจากเขื่อนลำแชะมาทำน้ำประปาวันละ 35,000 ลบ.ม. และสูบน้ำเก็บเกี่ยวน้ำหลากจากลำมูลที่บ้านหนองบอน ต.ด่านเกวียน อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา เพื่อลดการใช้น้ำดิบจากเขื่อนลำตะคอง

    พร้อมกันนี้ ให้การประปาเทศบาลนครนครราชสีมาสูบน้ำจากเขื่อนลำตะคองโดยตรงส่งมาตามท่อทางเดียว วันละ 47,000 ลบ.ม. งดการสูบน้ำจากเขื่อนลำตะคอง หน้าโรงกรองมะขามเฒ่า ต.บ้านใหม่ อ.เมือง จ.นครราชสีมา เพื่อลดความสูญเสียที่จะต้องส่งออกจากเขื่อนมาตามสายน้ำลำตะคอง ซึ่งมีระยะทางยาวไกลเกือบ 100 กม. และให้การประปาภูมิภาค การประปา อบต. การประปาหมู่บ้าน เร่งสูบน้ำเก็บเกี่ยวที่เกิดจากฝนตกลงมาในพื้นที่เข้าบ่อน้ำดิบของตนเองโดยเร่งด่วน อย่ารอให้น้ำไหลผ่าน

    สำหรับการประปาที่ใช้น้ำจากคลองส่งน้ำชลประทานให้ใช้เครื่องสูบน้ำที่ชลประทานวางไว้แล้ว ดำเนินการสูบน้ำจากลำตะคอง ลำบริบูรณ์ เข้าบ่อน้ำดิบของตนเองโดยไม่ต้องรอให้ชลประทานอัดทดน้ำเข้าคลองส่งไปให้ เนื่องจากน้ำไม่เพียงพอที่จะอัดทดน้ำเข้าคลองได้ และให้นายอำเภอปากช่องสั่งการกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ตามสายน้ำลำตะคอง ตั้งแต่เขาใหญ่จนถึงขอบอ่างฯ ลำตะคอง ดำเนินการเปิดทำนบกั้นน้ำทุกแห่ง เพื่อให้น้ำไหลลงสู่อ่างฯ ลำตะคองได้สะดวกรวดเร็วขึ้น ช่วยให้ระดับน้ำในอ่างฯ เพิ่มขึ้น

    ทั้งนี้ หากมีฝนตกลงมาเพิ่มขึ้นในเดือน ส.ค.นี้ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดหมายสถานการณ์จะคลี่คลายดีขึ้น

    สำหรับสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้ง 5 โครงการของ จ.นครราชสีมา ล่าสุดมีปริมาณน้ำเหลือ 287.98 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 30.38 ของความจุระดับกักเก็บ 948 ล้าน ลบ.ม. โดยเขื่อนลำตะคอง อ.สีคิ้ว มีปริมาณน้ำเหลือ 73 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 21 ของความจุระดับกักเก็บ 314 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนลำพระเพลิง อ.ปักธงชัย มีปริมาณน้ำเหลือ 29.62 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 27 ของความจุระดับกักเก็บ 109 ล้าน ลบ.ม.

    เขื่อนลำมูลบน อ.ครบุรี มีปริมาณน้ำเหลือ 50 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 35 ของความจุระดับกักเก็บ 141 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนลำแชะ อ.ครบุรี มีปริมาณน้ำเหลือ 85 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 31 ของความจุระดับกักเก็บ 275 ล้าน ลบ.ม. และเขื่อนลำปลายมาศ อ.เสิงสาง มีปริมาณน้ำเหลือ 49 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 50 ของความจุระดับกักเก็บ 98 ล้าน ลบ.ม.

    ส่วนอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง 22 โครงการของ จ.นครราชสีมา มีปริมาณน้ำเหลือ 58 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 25 ของความจุที่ระดับกักเก็บรวม 226.74 ล้าน ลบ.ม.

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กรุงเก่าแล้งหนักงดจัดงาน “แห่เทียนพรรษาทางน้ำคลองลาดชะโด” ยิ่งใหญ่ครั้งแรกในรอบหลายสิบปี (ชมคลิป) โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 กรกฎาคม 2558 13:12 น. (แก้ไขล่าสุด 18 กรกฎาคม 2558 13:28 น.)

    [​IMG]

    พระนครศรีอยุธยา - ภัยแล้งคุกคามหนัก! ชาวชุมชนเทศบาลตำบลลาดชะโด อำเภอผักไห่ พระนครศรีอยุธยา ต้องเปิดประชุมลงมีมติงดจัดงานประเพณี “แห่เทียนพรรษาทางน้ำในคลองลาดชะโด” ที่ปกติจะจัดยิ่งใหญ่เป็นประจำทุกปีออกไป หลังพบน้ำในคลองแห้งขอด เผยเป็นครั้งแรกในรอบหลาย 10 ปี ที่ต้องงดจัดงานที่สืบทอดกันมากว่า 100 ปี

    วันนี้ (18 ก.ค.) นายเกรียงศักดิ์ พิมพ์พันธ์ดี นายกเทศมนตรีตำบลลาดชะโด อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวขณะพาสำรวจคลองลาดชะโด ที่พบว่าน้ำแห้งขอดอยู่ในขณะนี้ว่า ต้องยอมรับว่าปีนี้ประเทศไทยประสบต่อปัญหาภัยแล้งอย่างหนัก จนทำให้ปีนี้ทางเทศบาลตำบลลาดชะโด ต้องงดจัดงานประเพณีแห่เทียนพรรษาทางน้ำในคลองลาดชะโด ที่ปกติจะมีการจัดอย่างยิ่งใหญ่เป็นประจำทุกปี เนื่องจากปีนี้น้ำในคลองลดลงมาก

    อีกทั้งที่ผ่านมา ทางเทศบาลตำบลลาดชะโด ก็ได้มีการประชุมร่วมกับคณะกรรมการจัดงานแห่เทียนพรรษาทางน้ำ ผู้นำชุมชน และชาวชุมชนลาดชะโด ในพื้นที่ตำบลลาดชะโด เพื่อขอความคิดเห็นแล้วว่า ปีนี้ควรจะมีการจัดงานแห่เทียนจำนำพรรษาทางน้ำในคลองลาดชะโด ประจำปี 2558 ที่จะจัดในวันที่ 30 กรกฎาคมนี้หรือไม่ หลังจากที่เคยจัดติดต่อกันมาหลายปี มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติมาท่องเที่ยวกันจำนวนมาก ซึ่งผลการประชุมเสียงส่วนใหญ่ได้ลงมติว่าให้งดจัดงานแห่เทียนพรรษาในปีนี้

    “ก่อนหน้านี้มี การประชุมร่วมกับคณะกรรมการจัดงานแห่เทียนพรรษาทางน้ำ ชาวชุมชนลาดชะโด มีมติร่วมกันในปีนี้ให้ระงับการแห่เทียนพรรษาทางน้ำในคลองลาดชะโดไปก่อน ซึ่งเป็นงานประเพณีจัดติดต่อกันอย่างยิ่งใหญ่มาหลายปี โดยทุกปีจะมีขบวนเรือกว่า 150 ลำ ร่วมแห่ไปตามคลองลาดชะโด แต่ปีนี้จำเป็นต้องงด เนื่องจากจากภัยแล้งที่ส่งผลกระทบหนักอยู่ในขณะนี้” นายเกรียงศักดิ์ กล่าว

    นายเกรียงศักดิ์ กล่าวต่ออีกว่า สาเหตุที่ปีนี้ต้องงดจัดงานแห่เทียนเข้าพรรษาทางน้ำคลองลาดชะโด ก็เนื่องจากน้ำได้ลดน้อยถอยลงไปกว่าปีก่อนไม่ต่ำกว่า 2 เมตร และปัจจุบันน้ำที่ไหลไปตามราง และคลองซอยตามหมู่บ้านต่างๆ ของชาวลาดชะโด ก็แห้งทั้งหมด ทำให้เรือแพที่อาศัยอยู่ตามบ้านก็ต้องอาศัยน้ำเพื่อนำลงคลองก็ไม่สามารถนำลงได้

    ประกอบกับคลองลาดชะโด ก็ตื้นเขิน ซึ่งการจัดงานต้องอาศัยน้ำ อาศัยเรือ และอาศัยชุมชน อีกทั้งชุมชนส่วนหนึ่งก็มาจากเกษตรกรรมทำนา ช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่ชาวนาเดือดร้อนต่อการที่จะสูบน้ำเข้าไปทำนาก็ประสบปัญหาอยู่แล้วก็ไม่มีจิตใจจะมาทำในเรื่องแห่เทียนด้วยส่วนหนึ่ง และอีกส่วนก็คือ ในตอนนี้น้ำในคลองลาดชะโดตื้นเขินมาก

    “ชาวบ้านที่อาศัยอยู่กับคลองลาดชะโดมาหลายสิบปีต่างยอมรับว่า ปีนี้เป็นครั้งแรกที่เห็นน้ำในคลองลาดชะโดลงแห้งขอดมากที่สุด จนทำให้งานประเพณีของชาวลาดชะโดที่สืบทอดกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ ย่า ตา ยาย เกี่ยวกับการใช้เรือใช้คลองในการประกอบพิธีแห่เทียนจำนำพรรษาต้องสะดุดลง ซึ่งถือว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี นับตั้งแต่ที่ผมดำรงตำแหน่งมา หรืออาจจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบ 10 ปี นับตั้งแต่ที่มีการจัดงานประเพณีนี้มากว่า 100 ปีเลยก็ว่าได้ ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายอย่างมาก” นายเกรียงศักดิ์ กล่าว

    อนึ่ง สำหรับงานประเพณีแห่เทียนพรรษาทางน้ำในคลองลาดชะโด ของชาวชุมชนลาดชะโด ตำบลลาดชะโด อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นงานประเพณีที่สืบทอดกันมามากกว่า 100 ปี โดยทุกปีจะมีขบวนเรือกว่า 150 ลำ ร่วมแห่เทียนจำนำพรรษาไปตามลำคลองลาดชะโดง ยาวกว่า 5 กิโลเมตร มีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจเข้าไปเที่ยวชมกันเป็นจำนวนมากเป็นประจำทุกปี แต่มาในปีนี้ต้องประสบปัญหาภัยแล้งอย่างหนัก ทำให้น้ำในคลองลาดชะโดมีน้อยมาก ส่วนที่น้ำที่พบเห็นก็มีเหลือเพียงก้นคลอง ส่วนจุดที่ลึกที่สุดก็มีประมาณ 1 เมตรเท่านั้น จึงทำให้งานประเพณีดังกล่าวจึงต้องถูกงดลงอย่างน่าเสียดาย

    [​IMG]

    [​IMG]

    http://manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9580000081318
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    4 มหาวิทยาลัยออกนอกระบบราชการ 3 แห่งมีผลวันนี้ - มธ.ใน 30 วัน
    เขียนวันที่ วันเสาร์ ที่ 18 กรกฎาคม 2558 เวลา 10:31 น.เขียนโดยisranews

    [​IMG]

    เผยแพร่แล้ว! พ.ร.บ.มหาวิทยาลัย 4 แห่งออกนอกระบบราชการ ในกํากับของรัฐ ม.เกษตรศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ขอนแก่น สวนดุสิต 3 แห่ง มีผลวันนี้ ส่วน มธ.ใน 30 วัน


    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อ 17 ก.ค.58 เว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ พระราชบัญญัติใหม่ มหาวิทยาลัย 4 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยสวนดุสิต

    สาระสำคัญของ พ.ร.บ. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ.2558 คือให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. 2541 เป็นมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ตามพระราชบัญญัตินี้ และเป็นนิติบุคคล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มีฐานะเป็นหน่วยงานในกํากับของรัฐ ซึ่งไม่เป็นส่วนราชการ ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ และกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการ (มาตรา 5) งบประมาณและกฎหมายอื่น โดยมีผลถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา

    http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2558/A/066/1.PDF

    สาระสำคัญ ของพ.ร.บ.มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ.2558 ให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2531 เป็นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตามพระราชบัญญัตินี้ และเป็นนิติบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีฐานะเป็นหน่วยงานในกํากับของรัฐซึ่งไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมาย ว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ และกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการ งบประมาณและกฎหมายอื่น(มาตรา 5) ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกําหนดสามสิบวันนับแต่วันประกาศ ในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

    http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2558/A/066/49.PDF

    สาระสำคัญของ พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยขอนแก่น พ.ศ.2558 คือ ให้มหาวิทยาลัยขอนแก่นตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยขอนแก่น พ.ศ. 2541 เป็นมหาวิทยาลัยขอนแก่นตามพระราชบัญญัตินี้ และเป็นนิติบุคคล มหาวิทยาลัยขอนแก่นมีฐานะเป็นหน่วยงานในกํากับของรัฐ ซึ่งไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมาย ว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ และกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการ งบประมาณและกฎหมายอื่น (มาตรา 5) ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป

    http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2558/A/066/25.PDF

    สาระสำคัญของ พ.ร.บ. มหาวิทยาลัยสวนดุสิต พ.ศ.2558 คือ ให้มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. 2547 เป็นมหาวิทยาลัยสวนดุสิตตามพระราชบัญญัตินี้ และเป็นนิติบุคคล มหาวิทยาลัยสวนดุสิตมีฐานะเป็นหน่วยงานในกํากับของรัฐ ซึ่งไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมาย ว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ และกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และไม่เป็นรัฐวิสาหกิจ ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการ งบประมาณและกฎหมายอื่น (มาตรา 4) ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป

    http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2558/A/066/78.PDF

    ทั้ง 4 แห่ง ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

    http://www.isranews.org/isranews-short-news/item/40003-30_40003.html#.Vaowx99mAQg.facebook
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สั่งย้ายแล้ว! ผอ.กรมประมง ถูกสอบโอนเงินขายกุ้งเข้าบัญชีส่วนตัว-จ่อโดนวินัยซ้ำ
    เขียนวันที่ วันอาทิตย์ ที่ 19 กรกฎาคม 2558 เวลา 10:00 น.เขียนโดยisranews

    ปลัดเกษตรฯ ยัน ผอ.กรมประมง ถูกสอบปมโอนเงินขายกุ้งเข้าบัญชีเงินฝากส่วนตัว โดนสั่งย้ายแล้ว อธิบดีรายงานข้อมูลทางการ ระบุชัดหากผลสอบข้อเท็จจริงพบกระทำความผิด เจอสอบวินัยต่อทันที ลั่น "อย่าให้มีปัญหาเกิดขึ้นซ้ำรอยอีก"

    [​IMG]

    กรณีสำนักข่าวอิศรา สำนักข่าวอิศรา นำเสนอข่าวว่ามีผู้ร้องเรียนไปยังสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ให้สอบสวนข้อเท็จจริงกรณี ข้าราชการระดับผู้อำนวยการคนหนึ่งของกรมประมง กับพวก นำเงินจากการขายกุ้งแวนนาไมที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งนำเงินเข้าบัญชีเงินฝากส่วนตัว ต่อมา สตง.ได้ส่งเรื่องไปยังกรมประมงเพื่อทำการตรวจสอบและรายงานผลการตรวจสอบ ทางกรมประมงจึงมอบหมายให้ผู้ตรวจราชการประจำเขตและเจ้าหน้าที่ฝ่ายวินัยดำเนินสอบหาข้อเท็จจริง ซึ่งในขณะนี้อยู่ระหว่างการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง

    (อ่านประกอบ :สอบ ผอ.กรมประมงกับพวกปมโอนเงินซื้อขายกุ้งเข้าบัญชีฯส่วนตัว 3.1 ล. )

    ล่าสุด นายชวลิต ชูขจร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยสำนักข่าวอิศรา ว่า ได้รับรายงานจากอธิบดีกรมประมงว่า ได้ออกคำสั่งย้ายผู้อำนวยการที่ถูกตรวจสอบพบว่า มีการนำเงินจากการขายกุ้งแวนนาไมที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งนำเงินเข้าบัญชีเงินฝากส่วนตัว ออกจากตำแหน่งไปแล้ว

    ส่วนการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงนั้น นายชวลิต ระบุว่า อยู่ระหว่างดำเนินการตามระเบียบหากพบว่ามีการกระทำความผิดจริง ก็จะมีการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยต่อทันที แต่ไม่ได้มีการกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนว่าจะแล้วเสร็จเมื่อใด

    "ผมได้ย้ำไปแล้วว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้กรมประมงต้องเข้าไปดูแลจัดการให้เรียบร้อย ถ้าพบว่ามีความผิดจริงก็ต้องว่าไปตามผิด และอย่าให้มีปัญหาเกิดขึ้นซ้ำรอยอีก"

    ส่วนการใช้อำนาจโยกย้ายข้าราชการของผู้อำนวยการรายนี้ ที่ได้รับการร้องเรียนว่า มีข้าราชการบางรายในศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งถูกออกคำสั่งโยกย้าย โดยไม่เต็มใจ นั้น

    ปลัดกระทรวงเกษตรฯ กล่าวว่า ได้รับการยืนยันจากอธิบดีกรมประมงว่า ได้มีการยกเลิกคำสั่งโยกย้ายในส่วนข้าราชการที่ไม่เต็มใจจะถูกโยกย้ายไปแล้วด้วยเช่นกัน

    "ตอนนี้ปัญหาทุกอย่างน่าจะจบลงไม่มีอะไรอีกแล้ว" ปลัดกระทรวงเกษตรฯ กล่าวทิ้งท้าย

    (กดคลิกติดตามข่าวสาร ได้ใน แฟนเพจ "I love isranews ")

    http://www.isranews.org/investigati...em/40016-news_40016.html#.VasTzJdre5U.twitter


    สอบ ผอ.กรมประมงกับพวกปมโอนเงินซื้อขายกุ้งเข้าบัญชีฯส่วนตัว 3.1 ล.
    เขียนวันที่ วันพุธ ที่ 17 มิถุนายน 2558 เวลา 18:14 น.เขียนโดยisranews


    ร้อง สตง.สอบ ผอ.กรมประมงกับพวก โอนเงินขายกุ้ง เข้าบัญชีส่วนตัว 3.1 ล้าน ถอนจัดงานเลี้ยง โอนให้ ผอ.50,000 บาท เจ้าตัวยันแจงไม่อยากคุยทางโทรศัพท์ ชี้แจงผู้บังคับบัญชาแล้ว วอนไม่อยากให้เรื่องบานปลาย ขณะที่ผู้ตรวจราชการรับยังไม่สรุป

    ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา สำนักข่าวอิศรา ได้รับรายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มีผู้ร้องเรียนไปยังสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ให้สอบสวนข้อเท็จจริงกรณี ข้าราชการระดับผู้อำนวยการคนหนึ่งของกรมประมง กับพวก นำเงินจากการขายกุ้งแวนนาไมที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งนำเงินเข้าบัญชีเงินฝากส่วนตัว ต่อมา สตง.ได้ส่งเรื่องไปยังกรมประมงเพื่อทำการตรวจสอบและรายงานผลการตรวจสอบ ทางกรมประมงจึงมอบหมายให้ผู้ตรวจราชการประจำเขตและเจ้าหน้าที่ฝ่ายวินัยดำเนินสอบหาข้อเท็จจริง

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เอกสารร้องเรียนระบุว่า ข้าราชการระดับผู้อำนวยการคนดังกล่าว ร่วมกับพวกอีก 2 คน เปิดบัญชีเงินฝากธนาคารแห่งหนึ่งใน จ.สมุทรสงคราม เพื่อใช้รับโอนเงินจากการขายกุ้งขาวแวนนาไม กลับถอนเงินไปใช้ และนำส่งราชการไม่ครบจำนวน ผู้ร้องได้แนบคู่มือสมุดเงินฝากธนาคาร รายการหมุนเวียนของเงิน และระบุว่า

    บัญชีฯมีรายการถอนเงินหลายรายการ อาทิ เมื่อ 10 มิ.ย.56 ถอน จำนวน 30,000 บาท (มีลายมือกำกับเขียนว่าเป็นค่ารับรอง ผอ.กองฯ) วันเดียวกันโอนเงินให้ ผอ.สำนักฯ 50,000 บาท ค่าจัดงานเลี้ยงส่งพนักงานไปศึกษาต่อประเทศญี่ปุ่น 50,000 บาท เมื่อ 24 ต.ค.56 ให้พนักงานกู้ยืม จำนวน 180,000 บาท เมื่อ 30 ต.ค.56 และฝากคืนบัญชี จำนวน 140,000 บาท เมื่อ 12 พ.ย.56 บาท (แต่ละรายการมีลายมือเขียนกำกับว่าเป็นค่าอะไร)

    ผู้สื่อข่าว ได้สอบถามไปยังข้าราชการรายที่ถูกร้องเรียนปัจจุบันได้ย้ายไปดำรงตำแหน่งในพื้นที่จังหวัดหนึ่งภาคใต้ เจ้าตัวอ้างว่าไม่สะดวกจะให้ข้อมูลทางโทรศัพท์ และได้ชี้แจงเรื่องนี้กับทางกรมประมงไปแล้ว และไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่บานปลาย

    ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อสอบถามไปยังนายเกียรติศักดิ์ โฆษิตชัยวัฒน์ ผู้ตรวจราชการ กรมประมง นายเกียรติศักดิ์เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและยังไม่สามารถสรุปผลสอบสวนได้

    “ข้อมูลที่ผู้ถูกร้องเรียนนำมาชี้แจงมีจำนวนมาก อยู่ในระหว่างกระบวนการตรวจสอบ และได้เร่งทางนิติกรในทุกๆเดือนเพื่อให้หาข้อสรุปได้โดยเร็ว คาดว่าน่าจะสรุปเบื้องต้นได้ในเร็วๆนี้” นายเกียรติศักดิ์กล่าว

    http://www.isranews.org/investigative/investigate-news/item/39321-llooeoeo_882832.html
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สงคราม "Gog และ Magog” โอบามา เนทันยาฮู หลังการบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์
    Category: News & Event Published on Wednesday, 15 July 2015 02:39 Written by Islamicstudiesth Team.

    [​IMG]
    "มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงครามทางการเมืองในช่วงเวลาอันใกล้นี้มาระหว่างอิสราเอลและอเมริกาในสถานการณ์ปัจจุบัน"

    ญอมนิวส์รายงานว่า : เว็บไซต์ข่าว "ฮาอะเร็ตซ์" (Haaretz) ในข่าวภายใต้หัว "หลังการบรรลุข้อตกลงของอิหร่าน สงคราม Gog และ Magog (ยะอ์ญูจญ์ - มะอ์ญูจญ์) ระหว่างโอบามาและเนทันยาฮูจะเริ่มต้นขึ้น" ได้ประเมินผลกระทบของการบรรลุข้อตกลงที่มีต่อความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกาและอิสราเอล

    รายงานซึ่งถูกตีพิมพ์ก่อนการบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์ เริ่มแรกนั้นได้มีการพาดหัวข่าวว่า "ความขัดแย้งระหว่างโอบามาและเนทันยาฮูในประเด็นเกี่ยวกับอิหร่าน ทำให้อิสราเอลตกอยู่ในสถานการณ์ของความปราชัย - ความปราชัย" และหลังจากที่การบรรลุข้อตกลงเป็นที่แน่นอนแล้วได้ทำการเปลี่ยนแปลงพลาดหัวดังกล่าว

    ในรายงานนี้ พร้อมกับการเรียกอิหร่านว่า "ซาตาน" ได้กล่าวว่า : "เบนจามิน เนทันยาฮู" นายกรัฐมนตรี [อิสราเอล] ถือว่า อิหร่านในนามของซาตานตัวใหญ่ที่ไม่อาจแก้ไขปรับปรุงได้นั้นมีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ภูมิภาคเข้ามาอยู่ภายใต้การควบคุมของตนและกำลังจะทำลายล้างอิสราเอล แต่ประธานาธิบดี "บารัก โอบามา" เห็นว่าเตหะรานเป็นซาตานตัวน้อยที่คอยปองร้ายแต่สามารถแก้ไขปรับปรุงได้"

    เว็บไซต์ฮาอะเร็ตซ์ได้พูดถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างโอบามาและเนทันยาฮู พร้อมกับเขียนว่า : "นี่คือเหตุผลหลักของความเป็นไปได้ที่ที่จะเกิดสงครามทางการเมืองในเวลาอันใกล้นี้ระหว่างอิสราเอลและอเมริกาในสถานการณ์ปัจจุบันเมื่อการบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์ได้รับการลงนามแล้ว .... "

    "ฮาอะเร็ตซ์" ได้เขียนว่า : "แต่ดูเหมือนว่าสงครามครั้งนี้จะเป็นสงครามที่ควบคุมได้ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายมีสิ่งที่ต้องสูญเสียจำนวนมาก เนทันยาฮูไม่สามารถที่จะตัดความสัมพันธ์อย่างสมบูรณ์กับรัฐบาลสหรัฐในขณะที่ตนเองยังต้องอยู่ในอำนาจเป็นเวลาถึงอีกสิบแปดเดือนได้ โอบามาเองก็ไม่ต้องการที่จะยอมรับอันตรายของความแตกแยกอันเป็นประวัติการณ์ในความสัมพันธ์กับอิสราเอลได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับชาวยิวอเมริกันจำนวนมากที่ให้การสนับสนุนพรรคเดโมแครต"

    รายงานยังได้กล่าวอีกว่า : "ถึงแม้คำพูดนี้จะเป็นเรื่องแน่นอนตายตัวแล้วก็ตาม แต่ "การเริ่มต้นสงครามพอจะคาดการณ์ได้ แต่การยุติของมันจะไม่เป็นที่ชัดเจนนัก" โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้นำทั้งสองที่ไม่สามารถจะคิดถึงตัวเลือกความพ่ายแพ้ได้"

    [​IMG]

    ที่มา : jamnews

    สงคราม "Gog และ Magog” โอบามา เนทันยาฮู หลังการบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    องค์กรต่างๆ ของไซออนิสต์ในอเมริกาเรียงคิวออกแถลงการณ์ต่อต้านข้อตกลงนิวเคลียร์ Category: News & Event Published on Thursday, 16 July 2015 01:57 Written by Islamicstudiesth Team.

    [​IMG]

    เมื่อวานนี้และวันนี้ องค์กรและกลุ่มล็อบบี้ต่างๆ ของไซออนิสต์ในอเมริกาได้ออกแถลงการณ์อย่างต่อเนื่องเพื่อบีบบังคับบรรดาผู้แทนของสภาคองเกรสของประเทศนี้ให้ยกเลิกข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน

    Young Journalist Club (yjc) รายงานว่า : หนังสือพิมพ์"ฮาอะเร็ตซ์" (Haaretz) ของไซออนิสต์อ้างว่า ในขณะที่จากวันอังคารจนถึงขณะนี้โลกต่างพากันเฉลิมฉลองการบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างกลุ่มประเทศ 5+1 และอิหร่าน แต่เสียงที่ดังที่สุดของไซออนิสต์ในวอชิงตัน พร้อมกับเตือนไปยังสภาคองเกรสของอเมริกานั้น กำลังรณรงค์การเคลื่อนไหวที่เลวร้ายที่สุดและโกรธจัดที่สุดในการวิ่งเต้นเพื่อล็อบบี้สภาคองเกรสให้ต่อต้านการบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่าน

    “คณะกรรมการอเมริกัน-อิสราเอลเพื่อกิจการสาธารณะ” (AIPAC) หรือที่รู้จักกันในนามกลุ่มล็อบบี้ไซออนิสต์ ได้กล่าวอ้างในแถลงการณ์ฉบับหนึ่งว่า : "ข้อตกลงนิวเคลียร์ดังกล่าวไม่อาจสร้างหลักประกันสำหรับการปิดกั้นเส้นทางอนาคตของอิหร่านในการมีอาวุธนิวเคลียร์ได้ ยิ่งไปกว่านั้นกลับจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นให้กับประเทศหลัก (หมายถึงอิหร่าน) ที่สนับสนุนการก่อการร้ายในโลก"

    ฮาอะเร็ตซ์ได้กล่าวเสริมอีกว่า อิทธิพลของระบอบไซออนิสต์ใน "Capital Hill" (อาคารสภาคองเกรสของอเมริกา) นั้น มีบทบาทสำคัญในการกำหนดชะตากรรมของข้อตกลงนิวเคลียร์

    องค์กรไซออนิสต์อเมริกัน "สันนิบาตต่อต้านการใส่ร้าย (Anti-Defamation League หรือ ADL)" ในการแสดงปฏิกิริยาต่อผลการเจรจานิวเคลียร์ในกรุงเวียนนาเมืองหลวงของออสเตรีย ก็ได้วิพากษ์วิจารณ์การบรรลุข้อตกลงดังกล่าวโดยกล่าวว่า : "การบรรลุข้อตกลงที่ไม่อาจเป็นหลักประกันได้ว่า อิหร่านจะไม่สามารถเข้าถึงอาวุธนิวเคลียร์นั้น ได้ทำให้เราผิดหวังมาก"

    องค์การไซออนิสต์นี้ยังอ้างอีกว่า : "โดยการยกเลิกการคว่ำบาตรอิหร่านและการอัดฉีดเงินหลายพันล้านดอลลาร์เข้าไปในประเทศนี้ จะช่วยเสริมให้การต่อสู้ระดับโลกของอิหร่านที่มีต่ออิสราเอลและพันธมิตรอื่น ๆ ของอเมริกาทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ซึ่งในที่สุดแล้วก็จะช่วยทำให้อิทธิพลของประเทศนี้ในตะวันออกกลางเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น และจะทำลายผลประโยชน์ต่างๆ ของอเมริกาลง"

    ในตอนท้าย สันนิบาต "ADL" ได้เรียกร้องสภาคองเกรสให้ "ทบทวนรายละเอียดของข้อตกลงเวียนนา" และได้ขอให้บรรดาผู้แทนของประชาชนอเมริกันพิจารณาเรื่องนี้ในฐานะ "หนึ่งในกรณีความมั่นคงแห่งชาติของประเทศนี้ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด"

    อีกสององค์กรไซออนิสต์ที่มีชื่อว่า "สมัชชาสหภาพยิวของทวีปอเมริกาเหนือ (JFNA)" และ "ขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อปฏิรูปของชาวยิว" ก็ได้ออกแถลงการณ์ด้วยเช่นกัน

    ที่มา : Young Journalist Club (yjc)

    องค์กรต่างๆ ของไซออนิสต์ในอเมริกาเรียงคิวออกแถลงการณ์ต่อต้านข้อตกลงนิวเคลียร์
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Fongsanan Chamornchan

    [​IMG]

    แม่หมอสมัครเล่นตอนที่80 โดยฟองสนาน จามรจันทร์
    ผลของพฤหัสบดีจรสู่ราศีสิงห์กับทุกราศี(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
    คำแนะนำ คำทำนายนี้ เป็นหลักและภาพรวมเบื้องต้นจริงๆ เพราะยังมีดาวจรอีกหลายดวง และพื้นดวงเดิมของแต่ละคนที่รองรับผลของดาวจรแตกต่างกันไปแม้แต่ฝาแฝด
    ข้อมูลดวงดาว วันที่ 11 กรกฏาคม 2558 เวลาประมาณ 06.00น.พฤหัสบดีจร หัวหน้าดาวดีจะเดินทวนเข็มนาฬิกายกจากราศีกรฎ เข้าสู่ราศีสิงห์ จากนั้นจะเดินหน้าถอยหลังระหว่างราศีสิงห์กับราศีกันย์ แล้วจะเดินสวนทางกับพระราหูจร(8)เจ้าของความลุ่มหลงมัวเมาคู่ศัตรูถึงสามรอบที่ตามตำราของอาจารย์เทพย์ สาริกบุตรให้จับตาว่าหลังการเดินสวนกันเหตุการณ์ใหญ่จะเกิดตามมาคือ
    สวนกันครั้งแรกในราศีกันย์ วันที่ 29 ธันวาคม 2558 สวนครั้งที่สองในราศีสิงห์ วันที่ 6 มีนาคม 2559 และสวนครั้งที่สามในราศีสิงห์ วันที่ 17 มิถุนายน 2559 หลังจากนั้นพระพฤหัสบดีก็จะยกเข้าสู่ราศีกันย์ในวันที่ 7 สิงหาคม 2559
    ผลที่จะเกิดกับผู้ที่ลัคนาสถิตราศีสิงห์ ตั้งแต่1กรกฎาคม 2557 มาแล้วที่ชาวลัคนาสิงห์เจอแรงบีบหน้าเขียวหน้าเหลือง หรือไม่ก็อึดอัดใจเหมือนน้ำท่วมปาก หรือถูกสอบ หรือถูกดำเนินคดี หรือถูกโกง หรือหักอกหักหลัง หรือเสียเงินไปกับคู่ครอง หุ้นส่วน หรือลูกๆเจ็บไข้ได้ป่วย หนักเบาต่างกันไปตามสภาพพื้นดวง แต่ครั้นตั้งแต่ 11 กรกฎาคม 2558เป็นต้นไปเทวดาประจำตัวจะเข้มแข็งขึ้นด้วยพฤหัสบดีจรมาทับจุดเกิด ดวงชะตาจะค่อยๆฟื้น ปลอดโปร่งโล่งใจมีสติมีความนึกคิดในทางที่ดี สุขภาพกายดีขึ้น มีความสุขขึ้น ถ้ามีเรื่องกับใคร คนที่ยิ่งใหญ่กว่าจะช่วยเหลือ ตามโฉลก…พฤหัสบดีมาต้องลัคน์ ผู้มีศักดิ์จักบีฑา ภายหลังจึงราชา ให้ลาภาคนยำเกรง
    โอกาสนี้เป็นระยะที่ผู้ที่ลัคนาสถิตราศีสิงห์มีแนวโน้มจะมีรักหรือสิ่งใหม่ๆเข้ามาจนได้คู่ครอง หรือหุ้นส่วนชีวิต กิจการจากแดนไกล หรือคนเก่าที่จากไปจะกลับมา หรือบางคนอาจได้มรดกตกทอด บางคนได้ลูก แต่กว่าจะลงเอยได้ก็ต้องผ่านการพลิกผันระหว่างคริสต์มาสปีนี้ถึงสิ้นสิงหาคม 2559ถึงสามครั้งในขอบเขตของตัวเจ้าชะตาและเรื่องเงินแต่แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ก็จะนำไปสู่ความรุ่งโรจน์ระยะยาว
    ผลที่จะเกิดกับผู้ที่ลัคนาสถิตราศีกันย์ ตั้งแต่17มิถุนายน 2557มาแล้วที่ผู้ที่ลัคนาสถิตราศีกันย์ได้อานิสงส์จากพฤหัสบดีจรอำนวยพรให้คานอำนาจความลุ่มหลงมัวเมา อันธพาล เรื่องร้าย เจ็บไข้ได้ป่วย ตกจากตำแหน่ง หรือเปลี่ยนสภาพฯลฯอันเป็นผลจากพระราหูจรทับลัคนาอยู่ แต่ครั้นตั้งแต่ 11 กรกฎาคม 2558 เป็นต้นไปพฤหัสบดีจรเข้าสู่จุดคุ้มครองดวงชะตาได้น้อยไปถึงประมาณ7สิงหาคม 2559 เป็นไปคล้ายๆโฉลก…ทรัพย์วิบัติ ข้าคนพลัดกระจัดกระจาย..ถือเป็นช่วงดวงตกและอึดอัดใจ ที่คาดว่ามีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นเกี่ยวกับคู่ครอง หรือหุ้นส่วนของชีวิตหรือ พ่อแม่ครอบครัว หรือรถยนต์บ้านช่องห้องหอ อีกทั้งอิทธิพลของพระราหูจะแรงขึ้นระวังคนชั่วมาหลอกลวง หลอกใช้ หรืออาจถูกทรยศหักหลัง หักอก ถูกสอบ หรือเรื่องหนี้สิน ฯลฯ
    วิธีการรับมือคือต้องมีสติ แก้ไขปัญหาไปตามสภาพแบบใช้ฝีมือและลูกเล่นลูกล่อลูกชนเต็มที่ และให้ดำเนินการต่างๆด้วยความลึกลับอย่าให้ใครจับทางได้แล้วอย่ากลัวการเปลี่ยนแปลงพลิกผันที่จะเกิดกับชีวิตถึงสามครั้งใหญ่ๆ เพราะพ้น 7สิงหาคม 2559ไปแล้วชีวิตจะสดใสขึ้น
    ผลที่จะเกิดกับผู้ที่ลัคนาสถิตราศีตุลย์ ตั้งแต่ 17 มิถุนายน2557 เป็นต้นมาแล้วที่ผู้มีลัคนาสถิตราศีตุลย์แม้จะอึดอัดจากปรากฎการณ์ดวงแตกสองชั้นจากพระเสาร์และพระราหูจรบีบหน้าหลังลัคนาให้อึดอัดใจแบบค่อยๆคลายออกแต่พฤหัสบดีจรก็ให้โชคด้านการงานมากที่สุดในรอบสิบสองปีเหมือนกัน
    ครั้นตั้งแต่ 11 กรกฎาคม 2558 เป็นต้นไปจะได้บารมีของพฤหัสบดีจรในภพสิบเอ็ดอันหมายถึงโชคลาภและความสำเร็จของชีวิตคือ..เป็นสิบเอ็ดจะฟุ่งเฟือง คนลือเลื่องลาภเหลือหลาย…สามารถลดผลร้ายจากการบีบของดาวบาปเคราะห์ให้ลดความรุนแรงลง แก้ไขปัญหาอุปสรรคได้พร้อมกับได้รับผลตอบแทนจาก พี่น้องเพื่อนฝูงสังคมกิจการนายหน้าติดต่อสื่อสารเดินทาง งานเขียนพูด ฯลฯ
    ผลที่จะเกิดกับผู้ที่ลัคนาสถิตราศีพิจิก ตั้งแต่ 17 มิถุนายน 2557 แล้วที่ผู้ที่ลัคนาสถิตราศีพิจิกแม้จะแบกภาระหนักด้านพี่น้องญาติมิตรและเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเครียดบ้างจากพระเสาร์จรทับลัคนาอยู่แต่ก็ได้รับผลดีจากพฤหัสบดีจรเข้าภพที่เก้า-ศุภะ ทำให้ชีวิตรื่นรมณ์ดีด้านการเงิน บางคนได้ลูก หรือลูกเรียนจบ ทำงาน ฯลฯหรือบางคนมีรักใหม่ สิ่งใหม่ๆเข้ามาในชีวิต ครั้นตั้งแต่ 11 กรกฎาคม2558เป็นต้นไปโชคชัยด้านการงานใหม่ๆ ตำแหน่ง เกียรติยศจะเข้ามาพร้อมกับเงินตามระดับวาสนา และแม้จะเกิดเรื่องพลิกผันเกี่ยวกับงานและความสำเร็จรวมของชีวิตระหว่างคริสมาสต์ปีนี้-สิ้นสิงหาคม 2559 แต่คาดว่าผลจะออกมาดี
    ผลที่จะเกิดกับผู้ที่ลัคนาสถิตราศีธนู.. ผู้ที่ลัคนาสถิตราศีธนูชะตาตกอย่างหนักด้วยเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย ซึมเศร้า สูญเสียบ้าน-รถยนต์พ่อแม่ฯลฯเรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ เสียเงินทอง เกิดการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการงาน ผู้บังคับบัญา ชื่อเสียเกียรติยศฯลฯมาตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายนเป็นต้นมา ครั้นวันที่ 11กรกฎาคม 2558 เป็นต้นไปดวงชะตาจะค่อยๆพลิกพื้น เจ้าชะตาเองและพื้นฐานชีวิตจะเข้มแข็ง มีโอกาส..ได้ฐานา ลุลาภมาอยู่นองเนือง ประสบผลสำเร็จตามปรารถนา จิตใจคลายกังวลขุ่นหมอง โชคดี หรือมีโอกาสใกล้ชิดศาสนา การงาน ได้ศึกษาต่อสร้างหลักปักฐานแดนไกล ไปต่างประเทศ ส่วนในช่วงของการพลิกผันระหว่างคริสต์มาสถึงสิ้นสิงหาคม 2559 จะเกิดในขอบเขตของงานและวิถีชีวิตหรือเรื่องในบ้าน ซึ่งเป็นเรื่องไม่น่าห่วงเพราะถึงอย่างไรชะตาก็อยู่ในระยะเข้มแข็งขึ้น
    ผลที่จะเกิดกับผู้ที่ลัคนาสถิตราศีมังกร..ผู้ที่ลัคนาสถิตราศีมังกรโชคดีและโชคใหญ่จากการต่อสู้ดิ้นรนมายาวนานตั้งแต่ปลายธันวาคม 2555 เป็นต้นมา เรียกได้ว่าเป็นโอกาสทองของการ สร้างเนื้อสร้างตัวยาวนานไปถึงประมาณมีนาคม 2560เลยทีเดียว นั่นเป็นโชคจากพระเสาร์หรือตัวเจ้าชะตาเอง ส่วนตั้งแต่ 11 กรกฎาคม 2558 เป็นต้นไปเมื่อพฤหัสบดีจรเดินเข้าภพที่แปดหรือมรณะด้านร้ายระวังถูกใส่ความตามโฉลก…เป็นแปดได้ความผิด จนน้ำจิตชัยปรา..หรือญาติพี่น้อง สัตว์ใหญ่ที่เลี้ยงไว้ ป่วย พลัดพรากแบบไม่คาดฝัน ส่วนด้านดีมีโอกาสได้มรดก หรือลาภจากสิ่งเสียหายเช่นประกันภัย ประกันชีวิต ฯลฯ ส่วนระยะพลิกผันระหว่างคริสต์มาสปีนี้ถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2559ก็จะเกิดในขอบเขตวิถีชีวิต ความเชื่อ การเจ็บไข้ได้ป่วย สูญเสีย มรดกแต่ก็ไม่ทำให้ภาพรวมผลสำเร็จของดวงชะตาเปลี่ยนแปลง
    ผลที่จะเกิดกับผู้ที่ลัคนาสถิตราศีกุมภ์…ผู้ที่ลัคนาสถิตราศีกุมภ์เป็นอีกราศีที่ถูกบีบเรื่องคู่ครองหรือหุ้นส่วนชีวิตหรือคดีความให้ระทดระท้อใจ ห่อเหี่ยว เสียเงินทอง หรืออาจเจ็บไข้ได้ป่วยเองมาตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2558 ครั้นตั้งแต่ 11 กรกฎาคม 2558 เป็นต้นไป ปัญหาเรื่องคู่ครองหรือหุ้นส่วนจะค่อยๆจางๆไป บางคนได้ผลดีจากการแต่งงาน ได้ผลดีจากการเข้าหุ้นส่วน หรือติดต่อกับเพศตรงข้ามคู่ต่อสู้ หรือคดีความ ส่วนช่วงพลิกผันระหว่างคริสต์มาสปีนี้ถึงสิ้นสิงหาคม 2559 จะเกิดในขอบเขตของคู่ครอง หุ้นส่วน การเจ็บไข้ได้ป่วย พลัดพรากฯลฯแต่ยังมีเกณฑ์น่าสนใจอีกอย่างเกี่ยวกับดวงชะตาคือผ่านพ้นมีนาคม 2560ไปแล้วไม่มีใครกีดกันพวกท่านจากความรุ่งโรจน์ได้
    ผลที่จะเกิดกับผู้ที่ลัคนาสถิตราศีมีน ตั้งแต่ 17มิถุนายน 2557มาแล้วที่ผู้ที่ลัคนาสถิตราศีมีนโดดเด่น มีอิทธิพล มีสง่าราศี ประสบโชคชัยทั้งตัวเอง ลูกๆ ชีวิตความรัก วิถีชีวิต การเรียนต่อ ไปต่างประเทศ การเก็งกำไรฯลฯชนิดที่สิบสองปีมีครั้ง เป็นผลจากพฤหัสบดีเป็นห้าหรือปุตตะของลัคนาแบบ..เพราะปรีชา ได้ลาภาโดยสะบาย ครั้นตั้งแต่11 กรกฎาคม 2558 เป็นต้นไป ด้านร้ายระวังถูกใส่ร้ายจากผู้หญิง เพราะพฤหัสบดีจรเข้าภพอริ-ภพที่หกของดวงชะตา ตามโฉลก..เป็นหกหญิงมารยา กล่าวโทษาให้วุ่นวาย..หรือ อาจเจอปัญหาหนี้สิน เจอปัญหาอุปสรรคให้แก้ไข ปัญหาจากบริวาร ด้านดีคือแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเอง ได้บริวารหรือลูกน้องที่ถูกใจ
    ส่วนระยะสวนกันระหว่างพระพฤหัสบดีจรกับพระราหูจรระหว่างคริสต์มาสปีนี้-สิ้นสิงหาคม 2559 คาดว่าจะส่งผลพลิกผันสามครั้งในขอบเขตของปัญหาอุปสรรค หนี้สิน บริวาร การประมูล แข่งขัน คู่ครอง หุ้นส่วนของเจ้าชะตา
    ฟองสนาน จามรจันทร์
    10 กรกฎาคม 2558
    คติสอนใจจากครูโหรท่านหนึ่ง ......ดวงดาวบนท้องฟ้าเป็นเพียงสิ่งบ่งบอก แต่ทางเลือกและการกระทำเป็นของมนุษย์
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    <iframe width="854" height="510" src="https://www.youtube.com/embed/NiHZDJmt6uY" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    ปอกเปลือก ทรราช
    จักรวรรดิเฮเกที่ชอบจัดม็อบชนม็อบสร้างความแตกแยกในบ้านเมืองของประเทศอื่นอยู่บ่อยๆ วันนี้ต้องเจอกับวิบากกรรมของตัวเอง เมื่อมีม็อบ New Black Panther ของคนผิวสี เผชิญหน้ากับม็อบ Ku Klux Klan (KKK) เหยียดผิวนิยมความรุนแรงซึ่งเกิดขึ้นที่รัฐเซาท์แคโรไลน่า (South Carolina) เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (18/07/2015)
    --------------
    http://www.rt.com/…/310199-confederate-flag-scuffles-scaro…/
    https://www.youtube.com/watch?v=NiHZDJmt6uY#t=52
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    ซาอุดิอาระเบียเตรียมบุกเยเมนอีกรอบตามด้วยซีเรีย ก่อนอิหร่านจะฟื้นตัวจากการยกเลิกแซงชั่น - นักวิเคราะห์โปรซาอุดิฯกล่าว

    [​IMG]

    ------------
    เกี่ยวกับเรื่องการยกเลิกแซงชั่นอิหร่านนั้น ได้กล่าวถึงความเคลื่อนไหวจากฝั่งรัสเซียและจีนรวมทั้งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกไปบ้างแล้ว คราวนี้มาดูว่าฝั่งซาอุดิฯหนึ่งในฝ่ายตรงข้ามของอิหร่านจะมีท่าทีและการเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง ทั้งสองประเทศต่างก็เป็นสมาชิกของกลุ่มโอเปกด้วยกัน แต่ไม่ถูกกัน วันที่ 18 ก.ค.58 สำนักข่าว Sputnik news ของรัสเซียรายงานว่าซาอุดิอาระเบียจะเปิดปฏิบัติการทางทหารที่อุกอาจเพื่อให้ได้รับชัยชนะทั้งในเยเมนและซีเรีย ก่อนที่จะข้อตกลงนิเคลียร์จะนำไปสู่การฟื้นฟูทางเศรษฐกิจของอิหร่าน ซึ่งอาจจะทำให้กรุงเตหะรานมีช่องทางในการสนับสนุนด้านการเเงินให้กองกำลังตัวแทนของตนในภูมิภาคนี้
    รายงานข่าวบอกว่า การยกเลิกแซงชั่นในปีหน้าอาจจะ (เป็นการ) ปลดปล่อยอิหร่านและจะมีเงินมากกว่า 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯที่ถูกอายัดไว้จะทะลักออกมาและ (มีการสร้าง) รายได้ใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นทรัพยากรที่ชาวซาอุดิฯกล่าวว่ากรุงเตหะรานจะนำไปใช้เพื่อขยายสงครามตัวแทนของอิหร่าน (proxy wars) (ตั้งแต่ซาอุดิฯหันไปคบกับสหรัฐฯและยุโรปมาก เริ่มจะกะล่อนปลิ้นปล้อนเก่งขึ้นทุกวันหละ คือชอบที่จะกล่าวหาแต่ผู้อื่น แต่ไม่มองดูที่การกระทำของตัวเองที่ไปก่อสงครามในเยเมนทุกวันนี้)
    Jasser al Jasser บรรณาธิการผู้จัดการของอัลจาซีร่าโปร-รัฐบาลกล่าวว่า "เมื่ออิหร่านไม่ถูกแซงชั่นแล้ว ก็จะปั้มเงินหลายพันล้านดอลล่าร์ให้กับพร็อกซี่ของตนเอง ซาอุดิอาระเบีย จะไม่อนุญาตให้อิหร่านหยิบฉวยผลประโยชน์จากข้อตกลงนี้" (นั่น… นี่ก็สื่อฯจอมเสี้ยมอีกราย อดีตนักข่าวของสำนักข่าวแห่งนี้เคยมีคดีข้อหามีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ก่อการร้ายด้วย พอถูกจับดำเนินคดีที่อียิปต์ พวกสื่อฯตะวันตกก็ออกมาเรียกร้องว่าปิดกั้นเสรีภาพของสื่อฯ เอากะพวกนี้ดิ)
    เจ้าหน้าที่ทางกองทัพและนักวิเคราะห์ได้แสดงความคิดเห็นต่อสสำนักข่าว Christian Science Monitor (CSM) ของสหรัฐฯว่า "ดังนั้น ซาอุดิฯก็จะลุกลี้ลุกลนในการสร้างสนามรบในประเทศเพื่อนบ้านให้ได้หลายๆแห่งเท่าที่จะเป็นไปได้" (ถ้าสงครามปะทุขึ้นมาหนักกว่าเดิมเช่นระหว่างซาอุดิฯกับอิหร่าน ก็จะกลายเป็นความขัดแย้งของสองประเทศนี้และพันธมิตรอาหรับเท่านั้น ส่วนจักรวรรดิเฮเกและนาโต้ก็คอยคุมเชิง หากใครเพลี่ยงพล้ำก็ซ้ำเติมลงไปทันที)
    รางานข่าวกล่าวว่า ภารกิจแรกในปฏิบัติการที่อุกอาจรอบใหม่ของกรุงริยาดห์ก็คือ "เยเมน" ซึ่งเป็นประเทศที่กองกำลังผสมพันธมิตรอาหรับนำโดยซาอุดิฯ (Saudi-led coalition) ได้เปิดการโจมตีทางอากาศมาเป็นแรมเดือนใส่กลุ่มกบฎฮูติ (Houthi rebels) ซึ่งเนรเทศอดีตปธน. Abed Rabbo Mansour Hadi โปร-ซาอุดิฯออกนอกประเทศ (อันที่จริงคณะปฏิวัติเยเมนที่นำโดยผู้นำฮูติไม่ได้เนรเทศฮาดี้นะ เขาต้องการจะจับตัวให้ได้ต่างหาก แต่ฮาดี้หนีตายหลบหนีออกจากเยเมนไปซบปีกซาอุดิฯ และเรียกร้องให้ซาอุดิฯ ทำสงครามกับเยเมนบ้านเกิดตัวเอง โดยอ้างว่าเพื่อปราบปรามกบฎฮูติ เพราะต้องการจะกลับมาเป็นปธน.ของเยเมนอีกรอบ หมอนี่มันชักศึกเข้าบ้านเห็นๆ ในสายตาของกลุ่มฮูตินั้นถือว่าฮาดี้ไม่ได้เป็นปธน.อีกต่อไปเพราะว่าแกลาออกจากตำแหน่งไปแล้ว แต่ไปตั้งรัฐบาลขึ้นมาใหม่ด้วยตัวเองกับพรรคพวกที่เมือง Aden และประกาศให้ Aden เป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ พอถูกฝ่ายคณะปฏิวัติฯไล่บี้หนักเข้าแกก็หลบหนีไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นอยู่ที่ซาอุดิฯโน่น)
    Mustafa Alani ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศให้สัมภาษณ์กับ CSM ของสรหัฐฯว่า "เยเมนเป็นเส้นยาแดง (red line) สำหรับซาอุดิอาระเบีย พวกเราจะได้เห็นการยกระดับทางทหาร (military escalations) ในเยเมนในเร็วๆวันนี้ เพื่อเป็นการป้องกันสิ่งที่ซาอุดิฯมองว่าเป็นฐานที่มั่น (foothold) อีกแห่งหนึ่งของอิหร่านในอ่าวอาหรับ"
    (นี่เขาเรียกว่าวิเคราะห์แบบเสี้ยม เหมือนกำลังเชียร์ให้ซาอุดิฯทำสงครามหรือกระหายที่จะทำสงครามกับอิหร่านในเยเมนให้ได้ ก็รู้ทั้งรู้ว่ายูเอ็นได้มีคำสั่งห้ามสนับสนุนอาวุธเข้าไปในเยเมนอยู่แล้ว แต่พวกนี้ไม่มองว่าการที่ซาอุดิจะเพิ่มกำลังทางทหารของตนเพื่อทำสงครามในเยเมนนั้นเป็นการละเมิดข้อห้ามเรื่องอาวุธหรือไม่ แต่ถ้าอิหร่่านหรือประเทศไหนส่งอาวุธให้กลุ่มฮูติในเยเมนพวกนี้ก็จะรีบออกมาโวยวายอิหร่านทันที ในขณะที่ซาอุดิฯส่งกองกำลังภาคพื้นดินเข้าไป กลับทำเป็นมองไม่เห็น)
    เจ้าหน้าที่ทางทหาร (ไม่บอกว่าเป็นของฝ่ายไหนหรือชื่ออะไร แต่สื่อฯอเมริกาจะอ้างซะอย่างใครจะทำไม) กล่าวว่า "กรุงริยาดห์ได้เตรียมที่จะส่งกองกำลังชุดเฉพาะกิจจำนวนหลายสิบนายเข้าไปในเยเมน เพื่อเข้าร่วมต่อสู้ทางภาคพื้นดิน เพื่อยึดและคุ้มครองท่าเรือทางตอนใต้ของเมือง Aden"
    CSM รายงานว่าหลังจากที่กองกำลังผสมชาติอาหรับนำโดยซาอุดิฯยึดพื้นที่ภาคพื้นดินในเยเมนได้เบ็ดเสร็จแล้ว กรุงริยาดห์ก็จะมุ่งเป้าหมายไปที่ซีเรีย ซึ่ง (อ้างว่า) อิหร่านได้จัดตั้งกองกำลังไว้จำนวน 7,000 นายและสนับสนุนด้านการเงินหลายพันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ในแต่ละปีให้กับปธน. Bashar al-Assad (ที่มาจากการเลือกตั้ง แต่สหรัฐฯและนาโต้ไม่ชอบ เพราะบังคับไม่ได้ จึงหาทางล้มรัฐบาลของอัล-อัสซาดให้ได้ แต่ก็ยังล้มไม่ได้จนถึงทุกวันนี้)
    Alani กล่าวว่า "หากกองกำลังผสมชาติอาหรับประสบความสำเร็จในเยเมน (แม้ว่าจะมีชาวบ้านที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมากเท่าไรก็ไม่สน) ดูเหมือนว่าพวกเราก็จะได้เห็นว่าพวกเขา (ซาอุดิฯ) จะรุกคืบเข้าไปในซีเรีย (แน่ใจหรือว่าบิ๊กปูกับบิ๊กสีสองหมีรวมพลังจะปล่อยให้ซาอุดิฯกับพรรคพวกทำอย่างนั้นได้ตามอำเภอใจ?)"
    ยิ่งกว่านั้นนักวิเคราะห์หลายคนยังกล่าวอีกว่า "กรุงริยาดห์จะเริ่มลงทุนด้านทรัพยากรที่สำคัญและความพยายามที่จะขยายอิทธิพลของตนให้เหนือสหรัฐฯและยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัสเซียและจีนด้วย" (ซาอุดิฯนี่นะ? มโนได้ขนาดนั้นเลยหรือนี่?)
    Salman Sheikh จาก Brookings Doha Center กล่าวกับ CSM ว่า "เมื่อเร็วๆนี้คุณก็ (คงจะ) เคยได้ยินคำว่า 'เปลี่ยนขั้วอำนาจ/เปลี่ยนข้าง' (diversify) ในความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดิฯกับต่างประเทศมาแล้ว และรัฐบาลของโอบาม่าได้นำกลับมาคิดที่บ้านว่า ซาอุดิจะต้องแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปและเห็นการสนับสนุนจากมหาอำนาจอื่นๆ ด้วยข้อตกลงนี้ ซาอุดิฯจะหันเข้าหามหาอำนาจอื่นๆในโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คราวนี้คำถามเดียวที่มีอยู่ก็คือว่าจะเป็นรัสเซียหรือว่าจีนที่จะตอบรับ (ซาอุดิฯ) เท่านั้นเอง"
    + วิเคราะห์เล่นๆ
    ----------
    ขอพูดบ้างนะ... ในความเป็นจริงนั้นแม้ว่ารัสเซียจะคบกับซาอุดิฯด้วย แต่ในเรื่องของความใกล้ชิดและสนิทสนมกันนั้นรัสเซียแนบแน่นกับอิหร่านมากกว่า ดูจากการที่อิหร่านและมหาอำนาจด้านอาวุธนิวเคลียร์ (P5+1) บรรลุข้อตกลงกันเมื่อวันที่ 14 ก.ค.58 ที่ผ่านมาสิ ถ้าหากไม่มีรัสเซียและจีนคอยพูดคอยสนับสนุนอิหร่าน เชื่อว่าอิหร่านไม่มีทางที่จะมาถึงจุดนี้ได้แน่ ส่วนซาอุดิฯหนะหรือ? เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับอิสราเอลที่คัดค้านการทำข้อตกลงดังกล่าวอยู่ตลอดเวลา ทั้งจีนและรัสเซียต่างก็มีผลประโยชน์ในอิหร่านเป็นอย่างมาก และในขณะเดียวกันอิหร่านก็พึ่งจีนเป็นหลักในการส่งออกน้ำมันดิบของตนด้วย เรื่องแก๊สถ้าไม่มีรัสเซียช่วย อย่าหวังว่าอิหร่านจะเปิดตลาดในยุโรปได้
    เรื่องอาวุธอิหร่านยังต้องพึ่งพาจากรัสเซียอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ในขณะเดียวกันอิหร่านก็พัฒนาอาวุธของตัวเองควบคู่กันไปด้วย แล้วซาอุดิฯหละ ซื้ออย่างเดียวเพราะคิดว่าตัวเองมีเงินเยอะและคิดว่าสหรัฐฯและยุโรปรวมทั้งอิสราเอลจะไม่มีวันหันกลับมาแว้งกัดตัวเอง ในระยะยาวแล้วอิหร่านจะมีความมั่นคงมากกว่าซาอุดิฯ เพราะยิ่งได้เข้าร่วมกับกลุ่ม SCO ที่นำโดยจีนและรัสเซียด้วย ในขณะที่กองกำลังผสมชาติอาหรับที่นำโดยซาอุดิฯก็เป็นเพียงของเล่นของสหรัฐฯกับพวกนาโต้เท่านั้น อาวุธส่วนมาก (เกือบทั้งหมด) ของซาอุดิฯก็ซื้อมาจากสหรัฐฯเป็นหลัก
    ถ้าซาอุดิฯกล้าที่จะหันหลังให้สหรัฐฯอย่างที่นักวิเคราะห์บางคนกล่าวมาข้างต้น สหรัฐฯก็จะใช้ลูกไม้เดียวกับที่เคยใช้กับอียิปต์มาแล้วคืองดส่ง/ขายอาวุธให้ซาอุดิฯเอาดื้อๆ หาข้ออ้างได้สารพัดอย่าง เช่น เรื่องสิทธิมนุษยชน หรือการไม่เป็นประชาธิปไตยเป็นต้น แล้วใครจะหนุนซาอุดิฯหละคราวนี้? และที่แน่ๆก็คือราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะดิ่งลงกว่าเดิมอีก อย่างที่เคยเล่าให้ฟังแล้วในโพสต์ก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการยกเลิกแซงชั่นอิหร่าน ล่าสุดธนาคารกลางของซาอุดิฯก็พึ่งจะกู้เงินจากสถาบันการเงินภายในประเทศเพื่อลดการขาดดุลเนื่องจากราคาน้ำมันลดลงในช่วงที่ผ่านมา
    อิหร่านก็เป็นสมาชิกของโอเปก และอิหร่านก็มีน้ำมันดิบมากเป็นอันดับที่ 3 ของกลุ่ม (ที่หนึ่งคือเวเนซูเอล่า ที่สองคือซาอุดิอาระเบีย) และอิหร่านก็ต้องการเงินมาใช้ในการพัฒนาประเทศอย่างรวดเร็ว น้ำมันดิบของอิหร่านก็จะเข้ามาเพิ่มในตลาดอีก แล้วคิดหรือว่าซาอุดิฯจะยอมลดการผลิตน้ำมันดิบของตนลงเพื่อเปิดทางให้อิหร่านขายน้ำมันได้เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อราคามน้ำมันดิบในตลาดโลก ทั้งๆที่ไม่ถูกกันนี่นะ ไม่มีทางซะหละ หากซาอุดิฯ ยังคิดจะขยายสงครามต่อไปอีกเพราะหลงตัวเองหรือหลงคำยุจากสหรัฐฯ นั่นก็หมายความว่าหายนะจะมาเยือนซาอุดิฯเร็วกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ก็ได้ และกองทัพของซาอุดิฯมีศักยภาพที่จะรบภาคพื้นดินกับนักรบเท้าเปล่าติดดินอย่างชาวฮูติได้หรือ?
    คราวนี้หันมาดูเบื้องหลังมุมมองของนักวิเคราะห์เหล่านนั้นบ้างว่าเขาคิดอย่างไรกับกรณีนี้ถึงได้พูดออกมาอย่างนั้น ในมุมมองของผู้เขียนมองได้อย่างน้อยสองแบบ 1.) แกล้งเชียร์ซาอุดิฯมากเกินไปหรือเปล่า? ก็เมื่อนักวิเคราะห์โปร-ซาอุดิฯเหล่านั้นบอกว่าการทำสงครามที่เยเมนหรือที่ซีเรียเป็นสงครามตัวแทน (proxy wars) เขาบอกว่าอิหร่านทำสงครามตัวแทน คำถามก็มีอยู่ว่าแล้วอิหร่านทำสงครามตัวแทนกับใคร? ในเยเมนฝั่งโปร-ซาอุดิฯบอกว่าอิหร่านสนับสนุนกลุ่มฮูติ และในซีเรียก็บอกว่าอิหร่านสนับสนุนหรืออยู่เบื้องหลังรัฐบาลอัสซาด แต่ไม่บอกว่าแล้วอีกฝ่ายที่สู้กับฮูติและฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลอัสซาดซึ่งก็คือผู้ก่อการร้ายไอซิสและ "กบฎสายกลาง" ตามที่รัฐบาลนายโอบาม่าตั้งชื่อให้ซะเก๋ไก๋ แต่แยกไม่ออกว่าพวกไหนคือไอซิสและพวกไหนคือกบฎสายกลางนั้นเป็นตัวแทนของใคร? กล่าวคือไม่กล้าพูดชัดๆว่าซาอุดิฯอยู่เบื้องหลังของฝ่ายที่ต่อสู้กับฮูติซึ่งมีทั้งอัลเคด้าและโปร-ฮาดี้ซึ่งก็คือโปร-ซาอุดิฯนั่นแหละ และที่สำคัญในนักวิเคราะห์โปร-ซาอุดิฯไม่กล้าที่บอกว่าซาอุดิฯสนับสนุนหรืออยู่เบื้องหลังของกลุ่มไหนในซีเรีย ที่แน่ๆก็คือไม่ได้อยู่ฝ่ายสนับสนุนอัสซาด ดังนั้นก็เหลืออยู่แค่ 2 กลุ่มคือไอซิสกับกบฎสายกลาง แต่กบฎสายกลางนั้นเป็นเด็กของสหรัฐฯและยุโรปนะ ไม่ใช่ของซาอุดิฯ คำตอบที่เหลือก็คือ...
    2.) เหรียญสองด้าน แม้ภายนอกจะดูเหมือนว่านักวิเคราะห์ออกตัวว่าเป็นโปร-ซาอุดิฯ แต่จริงๆแล้วอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้ เพราะจากตรรกะดังกล่าวที่ว่าซาอุดิกับอิหร่านไม่ถูกกัน (เป็นศัตรูกัน) จึงทำสงครามตัวแทนกัน และนำไปสู่บทข้อสงสัยที่ว่าแล้วฝั่งซาอุดิฯสนับสนุนใครหละในสงครามตัวแทนที่ยกขึ้นมานั้น? โดยเฉพาะในซีเรีย คือตอบก็คือผู้ก่อการร้ายไอซิสไง? ซวยแล้วไหมหละซาอุดิฯ เสร็จสื่อฯสหรัฐฯจนได้ แม้ว่าตรรกะนี้จะไม่พูดตรงๆ แต่ก็สามารถนำไปสู่บทสรุปที่อาจจะนำมาซึ่งหายนะแก่ซาอุดิฯในวันข้างหน้าได้ เพราะเมื่อจักรวรรดิเฮเก้เข้าตาจนก็จะโยนอี้ไปให้ซาอุดิฯเองนั่นแหละ วันหนึ่งจักรวรรดิเฮเกอาจจะประกาศว่า "ซาอุดิฯเป็นผู้ให้การสนับสนุนผู้ก่อการร้ายไอซิสในซีเรีย" ฉากต่อไปของซาอุดิฯก็คงจะไม่ต่างจากอัฟกานิสถานและอิรัคเป็นแน่
    The Eyes
    20/07/2558
    ----------
    Saudis Threaten Ground Ops in Yemen, Syria as Iran Recovers From Sanctions / Sputnik International
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ฝ่ายกบฏเยเมนระดมโจมตีเมืองท่าเอเดนอย่างหนัก ฝ่ายรัฐบาลพลัดถิ่นอ้างมีผู้เสียชีวิต-บาดเจ็บอื้อ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 กรกฎาคม 2558 02:47 น.

    [​IMG]

    รอยเตอร์ / เอเจนซีส์ / ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - กลุ่มกบฏฮูตี และกองกำลังที่ภักดีต่ออดีตประธานาธิบดีอาลี อับดุลเลาะห์ ซอเลห์ เปิดฉากยิงถล่มเมืองท่าเอเดน อย่างหนักหน่วงในวันอาทิตย์ ( 19 ก.ค.) เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 43 รายรวมถึงจำนวนของผู้บาดเจ็บที่มี 173 ราย
    รายงานข่าวซึ่งอ้างคำแถลงของกระทรวงสาธารณสุข ของรัฐบาลพลัดถิ่นเยเมนระบุว่า เหตุโจมตีที่มีเมืองเอเดนเป็นเป้าหมายในครั้งนี้ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 43 รายรวมถึงจำนวนของผู้บาดเจ็บที่มี 173 รายและว่าผู้อยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีระลอกนี้ ก็คือ นักรบของฝ่ายกบฏฮูตีที่มีอิหร่านหนุนหลัง และกองกำลังพันธมิตรที่ภักดีต่ออดีตประธานาธิบดีอาลี อับดุลเลาะห์ ซอเลห์
    ก่อนหน้านี้เพียงแค่ 2 วันรัฐบาลพลัดถิ่นของเยเมนภายใต้การนำของประธานาธิบดีอับด์-ราบบู มันซูร์ ฮาดี ซึ่งมีที่มั่นอยู่ในซาอุดีอาระเบีย และได้รับการหนุนหลังจากรัฐบาลริยาดห์เพิ่งออกมาประกาศว่า กองกำลังของฝ่ายตนสามารถปลดปล่อยเมืองท่าเอเดนแห่งนี้จากการยึดครองของฝ่ายกบฏ ที่เข้าควบคุมเมืองที่เป็นบ้านของประชากรราว 800,000 คนแห่งนี้มานานหลายเดือน
    ที่ผ่านมา รัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ได้เปิดฉากระดมโจมตีทางอากาศต่อเยเมนอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา หวังสกัดการรุกคืบของฝ่ายกบฏฮูตีส์ที่ยกทัพจากที่มั่นทางภาคเหนือของประเทศ เข้ายึดกรุงซานา เมืองหลวงของประเทศเอาไว้ได้จนประธานาธิบดีอับด์-ราบบู มันซูร์ ฮาดี ผู้นำเยเมนคนปัจจุบันซึ่งมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลริยาดห์ต้องหลบหนีออกนอกประเทศ และไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นอยู่ในซาอุดีอาระเบีย
    ทั้งนี้ ทางการซาอุดีอาระเบีย หวาดกลัวว่า หากพวกกบฏฮูตีส์ซึ่งนับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์สามารถกุมอำนาจการปกครองไว้ได้ในเยเมน จะเป็นการเปิดทางให้รัฐชีอะห์อย่างอิหร่านที่เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของซาอุดีอาระเบีย เข้ามาแผ่ขยายอิทธิพลในเยเมนที่ถือเป็น “สนามหลังบ้าน” ของซาอุฯ และบรรดารัฐเศรษฐีอาหรับแถบอ่าวเปอร์เซียซึ่งต่างเป็นฝ่ายมุสลิมสุหนี่
    http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx…
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    'กรีซ'เปิดธนาคารอีกครั้ง-ใช้ภาษีใหม่วันจันทร์ โพลชี้'คนเยอรมัน'ยังค้านอุ้ม'เอเธนส์' โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 กรกฎาคม 2558 22:55 น.

    [​IMG]
    @พนักงานทำความสะอาดใช้น้ำฉีดล้างทางเท้าบริเวณหน้าสาขาของธนาคารแห่งหนึ่งในกรุงเอเธนส์ เมื่อวันอาทิตย์ (19 ก.ค.) ภายหลังถูกสั่งปิดทำการมาเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ธนาคารของกรีซจะเริ่มเปิดทำการใหม่ในวันจันทร์ (20 ก.ค.) ถึงแม้มาตรการจำนวนมากในเรื่องการควบคุมเงินทุน จะยังคงมีผลบังคับใช้อยู่

    เอเจนซีส์ – กรีซตระเตรียมความพร้อมเมื่อวันอาทิตย์ (19 ก.ค.) เพื่อติดเครื่องระบบเศรษฐกิจที่กำลังย่ำแย่ของตนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง โดยจะเปิดทำการธนาคาร รวมทั้งใช้อัตราภาษีใหม่กับสินค้าและบริการจำนวนมากในวันจันทร์ (20) ขณะที่นายกรัฐมนตรี อเล็กซิส ซีปราส ก็จัดการปรับ ครม. ด้วยการปลดผู้ที่โหวตต้านมาตรการรัดเข็มขัดออกไป อย่างไรก็ตาม อดีตขุนคลัง ยานส วารูฟากิส วิจารณ์ว่าเงื่อนไขใหม่ๆ อันเข้มงวดจากฝ่ายเจ้าหนี้ จะกลายเป็นความหายนะของการบริหารเศรษฐกิจมหภาคครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ส่วนโพลล่าสุดในเยอรมนี ประเทศเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของกรีซ ชี้ว่าผู้ตอบคำถามกว่าครึ่งไม่เห็นชอบการช่วยเหลือเอเธนส์รอบใหม่ และเกือบ 50% คิดว่าควรปล่อยกรีซออกไปจากยูโรโซน

    ธนาคารต่างๆ ในกรีซเตรียมที่จะเปิดทำการอีกครั้งในวันจันทร์ (20) หลังจากปิดมาเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ซึ่งประมาณการกันว่าได้สร้างความเสียหายให้แก่เศรษฐกิจของกรีซประมาณ 3,000 ล้านยูโร ในรูปของการสะดุดติดขัดของตลาดและของการส่งออก
    ชาวกรีกที่ทุกข์ยากเพราะวิกฤตมาเป็นแรมปี ยังจะต้องแบกรับราคาสินค้าและบริการจำนวนมากที่ขยับขึ้นไป ตั้งแต่น้ำตาล, โกโก้, ไปจนถึงถุงยางอนามัย, ค่าโดยสารรถแท๊กซี่, และค่าจัดงานศพ เนื่องจากถูกปรับเพิ่มภาษีเป็น 23% จากเดิมเคยเสียอยู่ที่ 13% ถึงแม้มีความพยายามที่จะปลอบใจ ด้วยการลดภาษีซึ่งเก็บจากยา, หนังสือ, และหนังสือพิมพ์ ลงมาเหลือ 6.0% จากเดิม 6.5%

    ในตอนนี้ชาวกรีกสามารถจะถอนเงินจากธนาคารได้ครั้งละ 420 ยูโรต่อสัปดาห์ จากช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาถอนได้วันละ 60 ยูโร ถึงแม้จำนวนรวมไม่ได้แตกต่างจากเดิม แต่คาดว่าจะทำให้แถวรอคอยบริเวณหน้าเครื่องเอทีเอ็มหดลงไป

    กระนั้น มาตรการควบคุมเงินทุนจำนวนมากก็ยังคงบังคับใช้อยู่ รวมทั้งการห้ามไม่ให้โอนเงินไปยังธนาคารต่างประเทศ และการห้ามเปิดบัญชีใหม่

    [​IMG]
    @นายกรัฐมนตรี อเล็กซิส ซีปราส ของกรีซ (ด้านหลัง ที่3จากขวา) และประธานาธิบดีโปรโคปิส ปัฟโลปูโลส (ด้านหลัง ที่4จากขวา) สนทนากันในระหว่างพิธีสาบานตนทางศาสนา ของผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีใหม่ ณ ทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงเอเธนส์เมื่อวันเสาร์ (18 ก.ค.)

    เมื่อวันเสาร์ (18) นายกรัฐมนตรีซีปราส ประกาศปลดปานาจิโอติส ลาฟาซานิส ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีพลังงาน รวมถึงรัฐมนตรีช่วยอีก 2 คน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ส.ส.พรรคไซรีซา 39 คนที่แตกแถวและลงคะแนนคัดค้านร่างกฎหมายปฏิรูปที่จำเป็นต่อการขอรับความช่วยเหลือก้อนใหม่จากเจ้าหนี้เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว
    ปานอส สกูร์เลติส พันธมิตรใกล้ชิดของซีปราส ที่ย้ายจากกระทรวงแรงงานไปคุมกระทรวงพลังงานแทน กล่าวว่า การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้เป็นการปรับตัวเพื่อรับสภาพความเป็นจริง แม้ผู้สังเกตการณ์ชี้ว่า เป็นการสร้างรอยร้าวลึกในบรรดากลุ่มต่างๆ ในพรรคฝ่ายซ้ายไซรีซาของซีปราสก็ตาม

    การปรับคณะรัฐมนตรีช่วยให้ซีปราสสามารถนำพันธมิตรในพรรคของตนเอง รวมทั้งจากพรรคร่วมรัฐบาลปีกขวา “อินดิเพนเดนท์ กรีกส์” มาแทนที่รัฐมนตรีขบถ เพื่อแผ้วทางสู่การผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปฉบับต่อไปในวันพุธนี้ (22)

    ภารกิจต่อไปของซีปราสคือผลักดันข้อตกลงความช่วยเหลือครั้งใหม่กับพันธมิตรยุโรปในช่วง 2-3 สัปดาห์ต่อจากนี้ ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในเดือนกันยายนหรือตุลาคม ตามที่รัฐมนตรีมหาดไทย นิคอส วูตซิส เกริ่นไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
    ทั้งนี้ ผลสำรวจที่เผยแพร่ออกมาเมื่อวันเสาร์ในหนังสือพิมพ์ฝ่ายซ้ายฉบับหนึ่งบ่งชี้ว่า พรรคไซรีซาจะได้คะแนน 42.5% หากจัดการเลือกตั้งในขณะนี้ หรือเกือบสองเท่าตัวของพรรคนิว เดโมเครซีที่คาดว่าจะได้คะแนน 21.5% และผู้ตอบแบบสอบถาม 70% ยังบอกว่า จะยอมรับข้อตกลงความช่วยเหลือ หากทำให้กรีซยังคงอยู่ในยูโรโซนต่อ

    [​IMG]
    @นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล กับ รัฐมนตรีคลัง โวล์ฟกัง ชอยเบิล ของเยอรมนี ขณะเข้าร่วมการประชุมรัฐสภาเยอรมนี ในกรุงเบอร์ลิน เมื่อวันศุกร์ (17ก.ค.) ซึ่งที่ประชุมตกลงยอมรับแผนการของรัฐบาลในการเปิดเจรจาให้เงินกู้ก้อนใหม่แก่กรีซแลกกับมาตรการรัดเข็มขัดและปฏิรูปอันเข้มงวด ทั้งนี้ผลโพลล่าสุดระบุว่าประชาชนเยอรมันกว่าครึ่งกลับไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้

    ขณะเดียวกัน ที่เยอรมนี ยูกอฟได้เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเมืองเบียร์ ซึ่งพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 56% คิดว่า แผนการช่วยเหลือกรีซเป็นสิ่งเลวร้าย โดยที่ 1 ใน 10 ของคนกลุ่มนี้ลงความเห็นว่า “เลวร้ายมาก” มีเพียง 2% ที่เห็นว่าดี และอีก 27% บอกว่า ค่อนข้างดี

    ผลสำรวจความคิดเห็นชาวเยอรมัน โดยใช้ตัวอย่างจำนวน 1,380 คนคราวนี้ ยังพบว่า คนส่วนใหญ่ไม่ยินดียินร้ายกับการที่รัฐสภาของประเทศโหวตอนุมัติการเปิดเจรจาเพื่อช่วยเหลือเอเธนส์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (17) และ 48% อยากเห็นกรีซออกจากยูโรโซน มีเพียง 1 ใน 3 ที่อยากให้กรีซคงอยู่ในระบบเงินตราสกุลเดียวของยุโรปต่อไป
    อย่างไรก็ดี ผลสำรวจจากฟอร์ซาที่เผยแพร่ออกมาเมื่อวันศุกร์ระบุว่า ชาวเยอรมนี 53% ต้องการให้สภาสนับสนุนการเจรจาอุ้มกรีซ และ 42% ไม่เห็นด้วย

    [​IMG]
    '@อดีตรัฐมนตรีคลัง ยานิส วารูฟากิส ของกรีซ (ขวา) สนทนากับ ยูคลิด ซากาโลโตส รัฐมนตรีคลังคนปัจจุบัน ระหว่างการประชุมของรัฐสภาในกรุงเอเธนส์เมื่อวันที่ 9 ก.ค. ในการให้สัมภาษณ์บีบีซีซึ่งนำออกมาเผยแพร่วันเสาร์ (18) วารูฟากิส วิจารณ์ว่าเงื่อนไขใหม่ๆ อันเข้มงวดจากฝ่ายเจ้าหนี้ จะกลายเป็นความหายนะของการบริหารเศรษฐกิจมหภาคครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์
    นอกจากนั้น เมื่อวันเสาร์ สถานีวิทยุโทรทัศน์บีบีซี ของอังกฤษ ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ ยานิส วารูฟากิส อดีตรัฐมนตรีคลังกรีซซึ่งเพิ่งพ้นตำแหน่งไปตอนต้นเดือนกรกฎาคม โดยเขาระบุว่า มาตรการปฏิรูปเศรษฐกิจกรีซที่เจ้าหนี้กำหนดล่าสุด จะล้มเหลวและกลายเป็นการสร้างความหายนะในการบริหารจัดการเศรษฐกิจมหภาคครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์
    ทั้งนี้ โปรแกรมความช่วยเหลือล่าสุดที่อยู่ระหว่างการผลักดัน กำหนดเอาไว้ว่าเจ้าหนี้จะให้เงินกู้ก้อนใหม่แก่กรีซ 86,000 ล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 3 ปี แลกกับมาตรการรัดเข็มขัด การขึ้นภาษี รวมถึงการกันเอาสินทรัพย์ 50,000 ล้านดอลลาร์เข้ากองทุนพิเศษ เพื่อเป็นสินทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ก้อนใหม่
    การลาออกจากตำแหน่งของวารูฟากิส ถูกมองว่าเป็นการส่งสัญญาณของกรีซ ในการขอประนีประนอมกับพวกรัฐมนตรีคลังของชาติอื่นๆ ในยูโรโซน เนื่องจากตลอดระยะเวลา 5 เดือนในการเจรจาเพื่อปลดล็อกเงินกู้ วารูฟากิสสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้แก่ที่ประชุมบ่อยครั้ง
    วารูฟากิสสำทับว่า ซีปราสจำต้องยอมรับมาตรการปฏิรูปของเจ้าหนี้ทั้งที่ไม่เชื่อมั่น แต่ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า
    http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx…
     

แชร์หน้านี้

Loading...