อาเทสนาปาฏิหาริย์ และอนุสาสนีปาฏิหาริย์. พระบรมศาสดา และเหล่าผู้พระสาวก

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 11 ตุลาคม 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]



    “ตราบใดก็ตาม ที่แกยังไม่เห็นความดีในตัวเอง
    ก็ยังไม่นับว่า แกรู้จักข้า
    แต่ถ้าเมื่อใด แกเริ่มเห็นความดีในตัวเองแล้ว
    เมื่อนั้นข้าว่า แกเริ่มรู้จักข้าดีขึ้นแล้วล่ะ”

    คนเราเกิดมาไม่เห็นมีอะไรดี มีดีอยู่อย่างเดียว คือ สวดมนต์ไหว้พระปฏิบัติภาวนาคือ มองทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเป็นของชั่วคราว มีแต่ปัญหามีแต่ทุกข์ แล้วก็เสื่อม พังสลายไปในที่สุด
    ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร(การเวียนว่ายตายเกิด) ทั้งหลาย ถ้าท่านต้องการพ้นภัยจากการเกิดแก่เจ็บตาย ท่านควรมีคุณธรรม 6 ประการนี้ไว้เป็นประจำจิตประจำใจ ทุกท่านย่อมจะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ถึงความสุขใจอย่างยอดเยี่ยม

    คุณ 6 ประการนั้นคือ
    1. ข่มจิตในเวลาที่ควรข่ม
    2. ประคับประคองจิตในยามที่ควรประคับประคอง
    3. ทำจิตให้ร่าเริงในยามที่ควรร่าเริง
    4. ทำจิตวางเฉยในยามที่ควรวางเฉย
    5. มีจิตน้อมไปในอริยมรรค อริยผลอันประณีตสูงสุด
    6. มีจิตตั้งมั่นในพระนิพพานเป็นจุดหมายปลายทางของชีวิตผู้ปฏิบัติที่มีความสามารถฉลาด

    ย่อมจะต้องศึกษาจิตใจและอารมณ์ของตนให้เข้าใจ และรู้จักวิธีกำหนดปล่อยวางหรือควบคุมจิตใจและอารมณ์ให้ได้ เปรียบเสมือนเวลาที่เราขับรถยนต์ จะต้องศึกษาให้เข้าถึงวิธีการขับขี่ที่ปลอดภัย บางครั้งควรเร่ง บางคราวควรผ่อน บางทีก็ต้องหยุดเร่งในเวลาที่ควรเร่ง ผ่อนในเวลาที่ควรผ่อน หยุดในเวลาที่ควรหยุด ก็จะสามารถถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย

    ข้อสำคัญที่สุดของการปฏิบัติคือ ต้องไม่ประมาท ต้องปฏิบัติให้เต็มที่ตั้งแต่วันนี้ ใครจะรู้ว่าความตายจะมาถึงเราเมื่อไร ถ้าเราปฏิบัติไม่เป็นเสียแต่วันนี้ เวลาใกล้จะตายมันก็ไม่เป็นเหมือนกัน เหมือนคนที่เพิ่งคิดหัดว่ายน้ำ เวลาใกล้จะจมน้ำตาย นั่นแหละก็จมตายไปเปล่าๆ ถ้าใน 1 วันนี้ไม่ปฏิบัติภาวนาวันนั้นขาดทุนเสียหายหลายล้านบาท

    จงมองดูทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่ว่า คน สัตว์ สิ่ง ของ เงิน ทอง ลาภ ยศ นินทา สรรเสริญ เป็นของโกหกของสมมุติ ภาพมายาทั้งนั้น ทุกอย่างไม่ใช่ของจริงเป็นของหลอกลวงที่คนไม่ฉลาดต่างพากันหลงใหลกับสิ่งของ สมมุติของโกหก ไม่ว่าอารมณ์ดี อารมณ์ร้าย ก็ไม่ใช่ของเราจริงผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ทุกข์ทั้งหลายเกิดจากเหตุ(คือ ความไม่รู้ ความอยากได้) ถ้าต้องการดับทุกข์ ต้องดับเหตุก่อน คือ ให้รู้ว่าทั้ง 3 โลก เป็นอนิจจัง เปลี่ยนแปลงเป็นโทษเป็นทุกข์เป็นปัญหา และสูญสลายตายกันในที่สุด ถ้าเรามีญาณก็จะรู้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดในชีวิตเราไม่มีการบังเอิญเลย

    ผู้ปฏิบัติธรรมย่อมพิจารณาร่างกายคนสัตว์ในโลกว่าน่าเกลียดน่ากลัว เป็นทุกข์เป็นโทษเป็นภาระต้องดูแลอย่างหนัก เน่าเหม็นแตกสลายตายไปกันหมด ผู้ที่มีศรัทธาแท้คือผู้ที่เชื่อและยอมรับ พระพุทะ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งแทนที่จะเอาความโลภ ความโกรธ ความหลงมาเป็นที่พึ่ง ผู้ปฏิบัติตามพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน คือ ให้ขยันภาวนา แล้วความโลภ ความโกรธ ความหลงจะน้อยลงและหมดไป

    ผู้ปฏิบัติต้องหมั่นตามดูจิต รักษาจิต ผู้ฝึกจิตถ้าทำจิตให้มีอารมณ์หลายอย่างจะสงบไม่ได้ และไม่คงสภาพของจิตตามเป็นจริง ถ้าทำจิตให้ดิ่งแน่วแน่อยู่ในอารมณ์อันเดียว โดยเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างแตกสลายตายหมดสิ้นแล้ว จิตก็มีกำลังเปล่งรัศมีแห่งความสว่างออกมาเต็มที่ มองสภาพของจิตตามเป็นจริง ได้ว่าอะไรเป็นจิต อะไรเป็นกิเลส อะไรควรรักษา อะไรควรละทิ้งออกจากจิต ไม่ควรใส่ใจสนใจเรื่องของผู้อื่น ควรตั้งใจตรวจสำรวจดูจิตของเราเองว่ายังมีความโลภ ความโกรธ ความหลง คิดว่าร่างกายนี้ยังเป็นของจิตหรือไม่ ตามความเป็นจริงแล้ว จิตกับกายไม่ใช่อันเดียวกัน เพียงแต่มาอาศัยกันชั่วคราวเท่านั้น

    อารมณ์วางเฉยมี 3 อย่าง
    1. วางเฉยแบบหยาบ คือ อารมณ์ปุถุชนที่เฉยๆ ไม่คิดดี ไม่คิดชั่ว ซึ่งมีเป็นครั้งคราวเท่านั้น
    2. วางเฉยแบบกลาง มีในผู้ปฏิบัติสมาธิภาวนา มีความรู้ตัว มีความสงบของจิต วางอารมณ์จากความดี ความชั่ว สุข ทุกข์  ใดๆในโลกีย์วิสัย เฉยบ่อยมากขึ้น
    3. วางเฉยแบบละเอียด คือ อารมณ์ของพระอริยเจ้า พระอรหันต์ ซึ่งไม่มีอารมณ์สุขหรือทุกข์ ดีหรือชั่ว ดีใจปนเสียใจ วิตกกังวลฟุ้งซ่านรำคาญใจ ไม่มี ไม่คิดปรุงแต่งไปในอดีต ปัจจุบัน อนาคต มีความวางเฉยในร่างกายของท่านเอง จะเจ็บปวดทรมาน จิตท่านนิ่งเฉยอยู่ในจิตของท่านว่าจิตส่วนจิต กายเป็นเพียงของสมมุติของชั่วคราว ตายเมื่อไรท่านก็พร้อมที่จะทิ้งรูปนามขันธ์ เสวยวิมุติสุขแดนอมตะทิพย์นิพพานติดตามองค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ของดีนั้นมีอยู่ในตัวเราทุกคน ของดีนั้นอยู่ที่จิตของท่านทุกท่าน ของไม่ดีอยู่ที่ร่างกาย

    จิตมี 3 ขั้น ตรี โท เอก
    ถ้าตรีก็ต่ำหน่อย ยังวุ่นวายเป็นทุกข์กับเรื่องของโลก
    ขั้นโท ก็มีศีลครบ มีเมตตา ทำบุญทำทาน
    ขั้นเอกนี่ ดีมาก จิตก็มองดูทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมนุษย์ สัตว์ นรก เป็นทุกข์ มีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แล้วก็ตายสลายผุพังไปกันหมดสิ้น

    ตัวอนัตตา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ของตน ไม่มีใครเป็นเจ้าของ บังคับเอาไว้ให้คงที่ก็ไม่ได้ ตัวนี้แหละเป็นตัวเอก ไล่ไปไล่มา ให้มันเห็นร่างกายคนเราตายแน่ ๆ คนเราหนีตายไม่พ้น แม้เพียงวันเดียว
    1. ตายน้อย ก็คือ นอนหลับทุกคืน หลับชั่วคราว คือ ตายทุกคืน ตื่นตอนเช้า
    2. ตายใหญ่ ก็คือ นอนหลับตลอดกาล แต่จิตไปตื่นตรงที่มีกายใหม่ มีกายใหม่ที่อื่นเป็นกายผี กายสัตว์ กายเทวดา กายพรหม แล้วแต่ผลบุญหรือผลบาปที่ทำไว้ตอนเป็นคน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    กราบพระอริยเจ้าผู้พ้นผ่านจากโลกทั้ง 3 นี้

    การบรรลุธรรมของปู่ประสิทธิ์เป็นที่ตายใจและเชื่อใจได้ว่าท่านคือพระอริยเจ้าเบื้องสูงมานานแล้ว ขออำนาจแห่งธรรมและบารมีธรรมของหลวงปู่โปรดเมตตาปกปักรักษาลูกหลานตราบนานเท่านานครับ

    ---------------------------------------


    [​IMG]



    ชีวประวัติ หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร
    วัดป่าหมู่ใหม่ บ.หมู่ใหม่ ต.แม่แตง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่..
    มหาบุรุษธรรมในพระพุทธศาสนา " ปุญญมากโร " ผู้เป็นบ่อแห่งบุญ..
    เขียนบันทึกโดย..ครูบากล้วย พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท..

    ตอน ขึ้นเขาเผากิเลส

    หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร ท่านบอก หลังออกพรรษาปีพุทธศักราช ๒๕๑๙ ท่านพระอาจารย์จันทร์เรียน คุณวโร วัดถ้ำสหายจันทร์นิมิต จ.อุดรธานี กับ ท่านพระอาจารย์สมศรีอัตตสิริ วัดป่าเวฬุวนาราม(ผาน้อย) พากันกราบลาท่านกลับมาเมืองเลยเพื่ออุปัฏฐากดูแล หลวงปู่ชอบ ฐานสโม..

    ท่านบอก หลังจาก ท่านพระอาจารย์จันทร์เรียน คณวโร กับ ท่านพระอาจารย์สมศรี อัตตสิริ ออกจากโป่งเดือดไปได้ไม่นาน ท่านก็ออกจากโป่งเดือดเที่ยววิเวกไปในเขต อำเภอแม่แตง อำเภอพร้าว และเขต อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย..

    ท่านบอก เราไปภาวนาที่บ้านแม่หลอด บ้านปางช้าง บ้านปางกึ๊ด ไปอยู่กับอาจารย์เปลี่ยนบ้านปง (ท่านพระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดป่าอรัญวิเวก) ระยะหนึ่ง..

    ออกจากแม่แตงเราไปเที่ยววิเวกทางเมืองพร้าว ไปภาวนาอยู่ทางถ้ำดอกคำ ออกจากถ้ำดอกคำไปเที่ยววิเวกบ้านโหล่งขอด ออกจากบ้านโหล่งขอดเราก็ขึ้นเขาไปพักอยู่ “ บ้านมูเซอร์ป่ายาง ” เขตรอยต่ออำเภอแม่สรวย กับ อำเภอพร้าว..

    บ้านมูเซอร์ป่ายางตอนเราไปจำพรรษาปีพุทธศักราช ๒๕๒๐ มีบ้านไม่ถึงสิบหลังคาเรือน ปัจจุบันบ้านมูเซอร์ป่ายางไม่มีแล้ว ทางราชการให้ชาวมูเซอร์ป่ายางย้ายลงไปอยู่รวมกันกับ บ้านมูเซอร์น้ำขุ่น อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย..

    ท่านบอก ปี ๒๕๒๐ เราจำพรรษาองค์เดียวอยู่บ้านมูเซอร์ป่ายาง ใจเราตอนนั้นอยากอยู่ลำพังผู้เดียวไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ใจเราหวังทำลาย " กามคุณ " ออกจากจิตใจของตนเอง..

    ท่านว่า ยากลำบากที่สุดในการปฏิบัติมันอยู่ที่ด่านกามคุณนี่แหละ ด่านกามคุณเป็นป่าใหญ่ไพรหนาของกิเลสที่มากด้วยขวากหนามอันแหลมคม กามจะตาย กายจะแตก ก็เห็นกันตรงนี้แหละ กามคุณมันครองจิตใจสัตว์โลกมานานนับมหาอนันต์ชาติ การที่จะถอนกามคุณออกไปจากจิตใจในวันหนึ่งวันเดียว ปีหนึ่งปีเดียวนั้น มันเป็นไปได้ยากมาก กามกิเลสฤทธิ์เดชมันแพรวพราว พอเรารุกมันจะหลบให้เราลืมตัว เผลอสติเมื่อไหร่มันจะตีกลับใส่ทันที นักปฏิบัติเสื่อมฤทธิ์เสื่อมฌานเพราะกามคุณนี้มีมากต่อมากให้ได้เห็น..

    ท่านบอก ปีนี้เราปฏิบัติเดินจงกรมภาวนาอย่างดุเดือดเพื่อหวังละกามคุณ แต่เอามันไม่ลงในพรรษา ออกพรรษาปี ๒๕๒๐ เราก็ไม่ละความเพียร เดินจงกรมภาวนาทั้งกลางวันกลางคืน เดินจงกรมวันยันรุ่ง นั่งภาวนาวันยันรุ่งจนก้นปวดแสบปวดร้อน ผู้ปฏิบัติพอจิตหมุนธรรมจักรแล้วถึงกายจะพัก ปัญญามหาธรรมมันจะไม่ผ่อนตาม สติปัญญามันจะหมุนสู้กันอยู่ภายใน ทุกอย่างมันจะดุเดือดไปหมด..

    ท่านบอก หลังออกพรรษาปี ๒๕๒๐ ได้ไม่นานจิตเราก็ขาดจาก “ กามคุณ ” เมื่อเวลาประมาณห้าโมงเย็นของเดือนตุลาคมปี ๒๕๒๐ ที่ บ้านมูเซอร์ป่ายาง อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย..

    ท่านบอก พอมหาสติมหาปัญญาถอนกามคุณออกไปจากจิตใจได้แล้ว จิตรวมใหญ่อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่ไหนแต่ไรในชั้นต่างๆที่ผ่านมาเวลาจิตรวมว่าสว่างแจ้งแล้ว จิตในชั้น “ อนาคามี ” จะสว่างใสกว่าชั้นต่างๆที่เราเคยผ่านมา จิตผู้เป็น “ พระอนาคามี ” จะไม่มีอุปาทานยึดมั่นถือมั่นในหญิงชายให้มัวหมอง ทุกอย่างโล่งลางจางปางไม่มีอุปาทานให้หลงมั่นถือมั่นในกามคุณ..

    ผู้บันทึกถาม - ตอนหลวงพ่อบรรลุธรรมพ้นจากกาม หลวงพ่อบรรลุธรรมในอิริยาบถไหน..

    หลวงพ่อประสิทธิ์ - ในอิริยาบถนั่ง

    ผู้บันทึกถาม – ตอนนั้นหลวงพ่อหันหน้าไปทางทิศไหน

    หลวงพ่อประสิทธิ์ – เราหันหน้าไปทางอำเภอแม่สรวย

    ท่านบอก - วันนั้นเราเดินจงกรมพิจารณาในธรรมทั้งวัน ตอนอยู่ในทางจงกรมเหมือนปัญญามันจะเข่นฆ่ากามคุณให้ตายคาทางเดินจรงกรมได้ สติปัญญาเราเอามันบ่ลง กิเลสตัวนี้มันแหลมคมในชั้นเชิงมาก สติปัญญาเราตอนนั้นยังมีกำลังบ่พอ หลังเดินจงกรมเหนื่อยแล้วเรามานั่งภาวนาพิจารณาธรรมอยู่ระเบียงกระท่อมที่พัก เราพิจารณาเข้าออกในธรรมหลายๆรอบจนเห็นอุปาทานกามคุณ พอเราจับเงื่อนมันได้ มหาสติมหาปัญญาเข้าพิจารณาในธรรมนั้นทันที ลุยกันปานสงครามโลก จิตเห็นโทษเห็นทุกข์ในกามคุณ จิตเราขาดสะบั้นกันกับกามคุณเวลาประมาณห้าโมงเย็น เดือนตุลาคมปี ๒๕๒๐ พอธรรมแจ้งแก่ใจของตนเองแล้ว เราลืมตาขึ้นมาอีกทีเป็นเวลาพระอาทิตย์กำลังจะลับเหลี่ยมภูเขาทางฝั่ง แม่สรวย เชียงราย..

    ผู้บันทึกถาม – จากเหตุการณ์หลวงพ่อบรรลุภูมิธรรมอนาคามี จนถึงบรรลุธรรมธาตุเป็นอรหันต์นี้ เหตุการณ์ทั้งสองมันต่อเนื่องกันในปีนั้นหรือไม่..

    หลวงพ่อประสิทธิ์ – บ่ มันเว้นช่วงข้ามปีกันอยู่ มันมาแล้วทั้งเบิ่ดในปีต่อมา..

    ผู้บันทึกถาม – หลวงพ่อใช้เวลานานมั๊ยในการถอนกามคุณออกไปจากจิตใจ..

    หลวงพ่อประสิทธิ์ – หลวงพ่อใช้เวลาทั้งหมดนับตั้งแต่วันที่บวชมา แต่มันละกันไม่ได้ซักที จนมันมาจบกันที่บ้านมูเซอร์ป่ายาง..

    ผู้บันทึก – หลวงพ่อจำวันเวลาที่ตนเองเอาชนะกามคุณบรรลุธรรมอนาคามีได้ไหม..

    หลวงพ่อประสิทธิ์ – วันที่หลวงพ่อจำบ่ได้ จำได้แต่ว่าเป็นเดือนตุลาคม ตอนออกพรรษาแล้วใหม่ๆ เวลาก็กะเอาว่าประมาณห้าโมงเย็นเพราะหลวงพ่อบ่มีนาฬิกาดู ทุกวันนี้หลวงพ่อก็บ่เคยพกนาฬิกา หลวงพ่อเอานาฬิกาธรรมชาติว่า เอานาฬิกาในจิตว่า..

    ผู้บันทึก – วันที่ประมาณได้ไหมว่าวันที่เท่าไร ต้นเดือน กลางเดือน ท้ายเดือนตุลาคม..

    หลวงพ่อประสิทธิ์ – มันยังบ่ถึงกลางเดือนดี ประมาณวันที่สิบกว่านี่แหละ..

    (ภายหลังต่อมา หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร ท่านเปิดสมุดบันทึกเล่มสีดำที่องค์ท่านจดบันทึกเอาไว้ให้ดู วันที่องค์ท่านถอน “ กามคุณ ” ออกจากจิตใจของตนเองคือวันที่ ๑๒ ตุลาคม ปีพุทธศักราช ๒๕๒๐)..

    (วันที่ องค์ท่านหลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร บรรลุ " ธรรมธาตุ " สำเร็จมรรคผลเป็น " พระอรหันต์ " คือ วันเพ็ญเดือนหก ปีพุทธศักราช ๒๕๒๑)..

    (ขอบคุณภาพมหามงคลจาก คุณจิ๊บ Jib Bawonsit Sodathip)..
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    " หน้าที่ของบุคคลคือ
    ดึงใจให้หยุด หรือให้กลับ
    จากกิเลสและความทุกข์
    ให้ดำเนินไปในทางที่ดี
    ไม่ยอมพ่ายแพ้แก่ชีวิตและโลก"

    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]



    ...ดูก่อนราหุล....
    อานิสงส์การเจริญภาวนา
    ปัญหา การอยู่ในโลกอันเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายนี้ บุคคลจะต้องได้รับการอบรมจิตพอสมควรจึงจะอยู่ได้อย่างสงบสุข พระผู้มีพระภาคทรงแนะวิธีอบรมจิตไว้อย่างไรบ้าง?
    พุทธดำรัสตอบ
    “... ดูก่อนราหุล เธอจงเจริญภาวนา (อบรมจิต) เสมอด้วยแผ่นดินเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยแผ่นดินอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้
    ดูก่อนราหุล เปรียบเหมือนคนทั้งหลายทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือกบ้าง ลงที่แผ่นดิน แผ่นดินจะอึดอัด หรือระอา หรือเกลียดด้วยของนั้น ก็หาไม่ฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยแผ่นดินนั้น ฉันนั้นแล”
    “... ดูก่อนราหุล เธอจงเจริญภาวนาด้วยน้ำเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยน้ำอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้... เปรียบเหมือนคนทั้งหลายล้างของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ลงในน้ำ... น้ำจะอึดอัด หรือระอา หรือเกลียดด้วยของนั้น ก็หาไม่...”
    “... ดูก่อนราหุล เธอจงเจริญภาวนาด้วยลมเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยลมอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตของเธอได้... เปรียบเหมือนลม ย่อมพัดต้องของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง... ลมจะอึดอัด หรือระอา หรือเกลียดด้วยของนั้น ก็หาไม่...”

    “... ดูก่อนราหุล เธอจงเจริญภาวนาด้วยอากาศเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยอากาศอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้... เปรียบเหมือนอากาศไม่ตั้งอยู่ในที่ไหนๆ...”
    “... ดูก่อนราหุล เธอจงเจริญเมตตาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญเมตตาภาวนาอยู่ จักละพยาบาท (ความคิดจองล้าง) ได้ เธอจงเจริญกรุณาภาวนาเถิดเพราะเธอเมื่อเจริญกรุณาภาวนาอยู่ จักละวิหิงสา (ความคิดเบียดเบียน) ได้เธอจงเจริญมุทิตาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญมุทิตาภาวนาอยู่ จักละอรติ (ความอิจฉาตาร้อน) ได้ เธอจงเจริญอุเบกขาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอุเบกขาภาวนาอยู่ จักละปฏิฆะ (ความขุ่นเคือง) ได้ เธอจงเจริญอสุภภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอสุภภาวนาอยู่ จักละราคะ (ความกำหนัดยินดี) ได้เธอจงเจริญอนิจจสัญญาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอนิจจสัญญาภาวนาอยู่จักละอัสมิมานะ (ความถือตัวว่าเป็นเรา) ได้”

    ที่มา.....มหาราหุโลวาทสูตร ม. ม. (๑๔๐-๑๔๕)
    ตบ. ๑๓ : ๑๓๘-๑๔๐ ตท.๑๓ : ๑๒๖-๑๒๘
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]


    สมเด็จองค์ปฐม ทรงตรัสสอนธรรมไว้ มีความสำคัญดังนี้

    การเตรียมตัวเตรียมใจรับความตายเป็นของดี เพราะนั่นเป็นวิถีจิตของผู้ไม่ประมาทในชีวิต ทราบสภาวะการตายได้ของร่างกายอยู่ตลอดเวลา เรียกว่ารู้เท่าทันสภาวะของร่างกายตามความเป็นจริง ที่ว่าชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง อีกทั้งความตายไม่มีนิมิตเครื่องหมาย จักตายลงไปเมื่อไหร่ก็ได้ การมีชีวิตอยู่ก็ต้องรู้จักการถนอมสุขภาพของร่างกาย ทำอะไรจงอย่าเบียดเบียนร่างกายให้มากจนเกินไป รักษาสุขภาพอย่าให้ทรุดโทรมจนเกินไป ความแก่-ความเจ็บ-ความตายอันเกิดกับร่างกายห้ามไม่ได้ก็จริงอยู่ แต่ความแก่-ความเจ็บชะลอได้ในการรู้เท่าทันกองสังขารนี้ และถ้ารักษาจิตใจให้เป็นสุข กายก็จักเป็นสุขด้วย


    จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๑๓ รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน คัดลอกโดย ด.ญ. ปุณยนุช ขจรนิธิพร (ลูกหลาน หลวงพ่อพระราชพรหมยานสนับสนุนเครื่องคอมฯในการโพสต์ธรรมทานนี้)

    เครดิต
    https://www.facebook.com/profile.php?id=100001682104928&fref=nf
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]



    ก่อนที่ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านจะละสังขารเข้าสู่แดนอนุปาทิเสสนิพพาน
    ท่านได้ฝากธรรมะภาคปฏิบัติจิตตภาวนาสำหรับฆราวาส ดังนี้

    วันหนึ่งๆ เฉพาะอย่างยิ่งเวลาจะนอน
    ให้ไหว้พระเสียก่อนเรียบร้อยแล้วนั่งภาวนา เอา เพียง ๑๐ นาทีนี้เป็นยังไง
    ในรอบวันหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมงขอเพียง ๑๐ นาทีเป็นการภาวนา
    เพื่ออบรมจิตใจเราให้สงบอารมณ์วุ่นวายทั้งหลาย จะได้หรือไม่ได้
    ต้องทดสอบเจ้าของ บังคับเจ้าของ ไม่อย่างนั้นหาความดีไม่ได้นะ
    ไม่ได้มากละ เอาวันหนึ่งเวลาจะหลับนอนขอให้ได้ ๑๐ นาทีก็ยังดี
    ใน ๒๔ ชั่วโมง ชั่วโมงหนึ่ง ๖๐ นาทีขอเพียง ๑๐ นาทีเท่านั้นจะไม่ได้เหรอ
    บังคับตัวเอง ภาวนาให้ได้วันละ ๑๐ นาที เอ้ามันจะตายจริงๆ หรือ ว่างั้นนะ
    บังคับตัวเอง วันคืนหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมงขอเพียง ๑๐ นาทีมาบำเพ็ญจิตใจ
    ซึ่งเป็นของมีคุณค่า ธรรมอันมีคุณค่าเข้าหัวใจตนเองเพียง ๑๐ นาทีเท่านี้ไม่ได้เหรอ บังคับเข้าต้องได้ ว่างั้นเลย

    เช่นให้ทานเป็นประจำ หรือไหว้พระสวดมนต์นั่งภาวนาขอ ๑๐ นาทีเป็นประจำ นอกจากนั้นให้ท่านทั้งหลายเสาะแสวงหาเองเพื่อความดีสำหรับท่านทั้งหลายเอง ครูบาอาจารย์เป็นแต่เพียงผู้บอกผู้ชี้แนวทาง การกระทำเป็นเรื่องของเราทั้งหลายเอง ดังพระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงไว้

    เรื่องนั่งตลอดรุ่ง หามรุ่งหามค่ำพูดเพื่ออะไร เราพูดเพื่อเป็นคติ นี่ไม่ได้ถึงตลอดรุ่งอะไรเพียงขอ ๑๐ นาทีเท่านั้น ขอจากท่านทั้งหลายเพื่อฝึกทรมานตนให้เป็นคนดีสำหรับเรา นี่ฟาดตลอดรุ่งๆ ไม่เห็นตายวะมาสอนท่านทั้งหลายอยู่เวลานี้ ขอเพียง ๑๐ นาทีให้ไปปฏิบัติดัดแปลงตัวเองทำไมจะไม่ได้วะ เราเป็นลูกศิษย์มีครูจำให้ได้นะ

    อานิสงส์ที่เกิดขึ้นจากการภาวนานี้มีอานิสงส์มากนะ ใครจะเอาพุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้มากำกับใจเป็นคำบริกรรม เช่น พุทโธๆ เป็นต้น มีสติกำกับใจของตน กำกับคำบริกรรมของตนในช่วงเวลา ๑๐ นาที เอาให้ได้ ว่างั้นนะ ถ้าท่านทั้งหลายอยากเป็นคนดี ต้องบังคับตนเองนะ

    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    ......................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 สิงหาคม 2015
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    แสงสว่างเป็นกิเลส?????

    [​IMG]






    มีคนเล่าให้หลวงปู่ดู่ฟังว่า มีผู้กล่าวว่าการทำสมาธิเเล้วบังเกิดความสว่างนั้นไม่ดี เพราะเป็นกิเลส มืดๆ จะดี

    หลวงปู่ดู่ท่านกล่าวว่า " ที่ว่าเป็นกิเลสก็ถูก เเต่เบื้องเเรกต้องอาศัยกิเลสไปละกิเลส ( อาศัยกิเลสส่วนละเอียด ไปละกิเลสส่วนที่หยาบ ) เเต่ไม่ได้ให้ติดในเเสงสว่าง หรือหลงเเสงสว่าง เเต่ให้ใช้เเสงสว่างให้ถูก ให้เป็นประโยชน์ เหมือนอย่างกับเราเดินผ่านไปในที่มืด ต้องใช้เเสงไฟ หรือจะข้ามเเม่น้ำมหาสมุทร ก็ต้องอาศัยเรือ อาศัยเเพเเต่เมื่อถึงฝั่งเเล้วก็ไม่ได้เเบกเรือ เเบกเเพขึ้นฝั่งไป "

    เเสงสว่างอันเป็นผลจากการเจริญสมาธิก็เช่นนั้น ผู้มีสติปัญญาสามารถใช้เพื่อให้เกิดปัญญา อันเป็นเเสงสว่างภายใน ที่ไม่มีเเสงใดเสมอเหมือน ดังธรรมที่ว่า

    " เเสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี "
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    เรื่อง "วิบากกรรม ย่อมติดแนบไปกับจิตดวงนี้ทุกกำเนิด"
    (คติธรรม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)


    "จิตดวงนี้" ไปถือกำเนิดเกิดในสถานที่ใด "วิบาก" จึงต้องติดตามจิตดวงนี้ไปทุกกำเนิด โดยไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา ไม่ขึ้นอยู่กับการนับการอ่านว่า ได้ทำมากทำน้อย นานหรือไม่นานเพียงไร ย่อมติดแนบไปกับจิต


    [​IMG]


    เครดิต https://www.facebook.com/pages/พระอรหันต์-สายหลวงปู่มั่น/238296179593402?fref=photo
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. biox

    biox Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +60
    ขอขอบคุณ คุณนักรบเงา อย่างสูงครับ
    กระทู้นี้ดีจริงๆ เป็นการพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนครับที่ว่า ธรรมมะแท้ ไม่ขัดแย้งกัน
    ไม่ว่าครูบาอาจารย์สายไหน ธรรมมะแท้ มีหนึ่งเดียว
    สุดท้ายผมอ่านแล้วลงที่ใจทั้งหมด ดีจริงๆ
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]


    ในสังคมของโลกที่ปรุงแต่งไปด้วยกิเลส
    มนุษย์ชอบตั้งกฏเกณฑ์ที่จะเอาชนะกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 สิงหาคม 2015
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]




    ~•คำของครู•~
    เย็นวันนั้น นิสิตหนุ่มก้มลงกราบลาเพื่อกลับเข้ากรุงเทพฯ เมื่อเงยหน้าสบตา เสียงนุ่มนวลอ่อนโยนของหลวงปู่ก็ดังขึ้นว่า
    "แกไม่ต้องมาหาข้า...ข้าให้ข้า"
    ประโยคที่สั้น กระทัดรัดและเต็มไปด้วยคำถามเช่นนี้ ต่อให้กาลเวลาผ่านไปตราบชั่วชีวิต ก็ยากจะลืม...

    เป็นที่รู้กันในหมู่ศิษย์ว่า หลวงปู่ท่านพิจารณา แยกแยะศิษย์ในการชี้แนะสั่งสอน ท่านมิได้ลำเอียงหรือเลือกที่รักมักที่ชังเเต่เป็นเพราะท่านรู้ซึ้งถึงแก่นแท้ดีว่าใครเป็นใคร ถ้ามองด้วยสายตาธรรมดาชั้นต้น หลวงปู่เป็นผู้ฉลาด เป็นผู้มีปัญญามาก หากมองด้วยสายตาชั้นกลางหรือลึกลงไปยิ่งกว่านั้น ท่านคือมหาปัญญาอันกว้างขวาง ครั้นเมื่อมองกันให้ถึงที่สุดแล้ว หลวงปู่คือพระมหาปัญญาอันลึกซึ้งสุดหยั่ง ซึ่งแล้วแต่ใคร จะเข้าถึงท่านได้เพียงใด
    ฉะนั้น เราจึงไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่า หลวงปู่ท่านใช้หลักการกฏเกณฑ์ใดในการสั่งสอนสรรพสัตว์แม้กระทั่งทุกวันนี้ เพราะเป็นเรื่องเฉพาะ เป็นเรื่องของครูผู้มหาปัญญา เป็นเรื่องของพระบรมสัตว์ ไม่ใช่เรื่องของสามัญสัตว์ผู้ยังมืดบอดอย่างพวกเรา
    นิสิตปรัชญาและศาสนาเฝ้าครุ่นคิด...
    "แกไม่ต้องมาหาข้า..." หมายความว่ากระไร?
    "ข้าให้ข้า" อีกเล่า...หมายความว่ากระไร?
    ใช่แยกเป็นสองประโยค หรือว่าประโยคเดียวกันนะ?....

    ชีวิตแสนสั้นนัก ศิษย์หลายคนผ่านการศึกษา ผ่านโลก ผ่านชีวิต เก็บเกี่ยวประสบการณ์ ก่อเกิดเป็นมวลความรู้ความเข้าใจ มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป กระทั่งเส้นผมเปลี่ยนสี เรี่ยวแรงถดถอย ความแก่ ความเจ็บ ความตายเริ่มเข้าหา หลายคนยังคิดไม่ตก ขบไม่แตก ว่าคำของครูคือหลวงปู่ที่ได้ให้ไว้ในวันนั้น มีความหมายว่ากระไร บางคนจนลมหายใจสุดท้ายมาถึงก็ยังคิดไม่ออกบอกตัวเองไม่ได้ ว่าหลวงปู่ได้ชี้ทางสว่างอะไรไว้ให้แก่ตน
    ...คำของครู ถ้าคิดตกขบแตก จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมหาศาล...
    แล้ว...ประสาอะไรกับนิสิตหนุ่ม ที่ยังเยาว์ทั้งวัยและปัญญาคนนั้น!
    หลวงปู่ท่านอ่านความคิดจิตใจของทุกคนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่มีใครมีความลับหรือปิดบังซ่อนเร้นอำพลางท่านได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งนิสิตหนุ่ม ท่านรู้ว่า เจ้าหน้าอ่อนที่นั่งอยู่เบื้องหน้านี้ ไม่ได้สนใจแยแสพระเครื่องหรือวัตถุมงคลใดของท่าน แต่เพ่งความคิดเพ่งความสนใจมายังตัวท่านเหนือสิ่งอื่นใด ท่านจึงย้อนยอกให้ว่า...
    "ข้าให้พระแกองค์หนึ่ง แกไปหาเอาเอง"
    ช่างเหมาะกับอุปนิสัยใคร่ครวญครุ่นคิด ชอบสงสัยเสียนี่กระไร!
    นิสิตหนุ่มไม่ได้มีสติปัญญาสูงส่งจนสามารถรู้ซึ้งถึงความหมายด้วยเวลาอันรวดเร็ว แต่เป็นการค่อย ๆ ซึมซับรับรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยอาศัยความหมั่นเพียรในการศึกษาหาความรู้ หมั่นเพียรในการคิดพิจารณา หมั่นเพียรในการฝึกฝนอบรมตน และที่สำคัญ เขามีครูคือหลวงปู่ผู้เดียวอยู่ในหัวใจ อย่างไร้ความลังเลสงสัย อย่างที่ใครก็ไม่อาจมาแทนที่ได้อีก
    เขาเพียรหาพระที่หลวงปู่ให้อยู่หลายปีก็ยังตีปริศนานั้นไม่ออก พระที่ท่านให้ต้องไม่ใช่พระผง พระโลหะหรือวัตถุมงคลอื่น ๆ แน่นอน...แล้วเป็นพระอะไร? องค์ไหน?
    ...กำลังแห่งตนเพียงลำพังยากเข้าถึง ต้องพึ่งครู...
    ตอนนั้น เขายังคิดอย่างประโยคข้างต้นไม่ได้ หลวงปู่ท่านรู้...แม้ละสังขารไปแล้ว ท่านก็ยังตามมาชี้แนะ ชี้นำ ขัดเกลา ให้บทเรียน อย่างที่เขาไม่รู้ตัวเลย!
    เวลาไปไหว้พระสวดมนต์ในสถานที่ใด ๆ ครั้นถึงบทที่ว่า...นะโม พรหมปัญโญ นิสิตหนุ่มจะเกิดอาการสะดุ้งเฮือก! รุนแรงมากน้อยแตกต่างกันไป บางครั้งรีบลืมตาแทบจะลุกขึ้นยืน แต่เมื่อคิดขึ้นได้ว่ากำลังอยู่ในท่ามกลางคนหมู่มาก จึงจำต้องสำรวม เก็บอาการ เก็บความสงสัยไว้ในใจเงียบ ๆ
    หลายคนเวลากำพระภาวนาแล้วเกิดอาการหลาย ๆ อย่างขึ้นนั้นเป็นเรื่องจริง แต่นิสิตหนุ่มไม่ได้กำพระ ไม่ได้แขวนพระ เขาเพียงแค่สวดมาถึงบท นะโม พรหมปัญโญ เท่านั้น ก็เกิดอาการราวกับพลังของอะไรบางอย่างพุ่งเข้าใส่เหมือนไฟช็อต ลงบนกระพุ่มมือบ้าง ตามลำตัวบ้าง กลางกระหม่อมบ้าง จนสุดท้ายลงตลอดทั้งร่าง! อาศัยที่ชอบภาวนามาตั้งแต่ย่างเข้าวัยรุ่น ได้รับประสบการณ์แปลก ๆ หลายอย่าง นิสิตหนุ่มจึงไม่คิดว่าตนเองผิดปกติแต่ประการใด
    บางครั้ง แค่เขาสวด นะโม พรหมปัญโญ ก็เกิดปิติขนพองสยองเกล้า เบาสบาย เป็นที่พึ่ง เป็นที่หลบภัยในยามสับสน เคว้งคว้าง เป็นทุกข์ตามประสาวัยรุ่นที่ยังเยาว์ต่อโลก
    บางครั้ง นะโม พรหมปัญโญ ก็ช่วยดึงจิตให้รวมลงอย่างรวดเร็วขณะภาวนา แต่ตอนนั้น เขายังคิดไม่ได้ว่าเกิดจากอะไร
    ในห้องนอนของเขา เหนือหัวเตียงมีกระดาษขาวแผ่นหนึ่งติดอยู่ บนกระดาษเขียนด้วยเมจิกเส้นหนาสีแดงว่า นะโม พรหมปัญโญ ท่ามกลางความมืด เขาเคยเห็นแสงสีนวลสว่างขึ้นมาจากกระดาษแผ่นนั้น! และในเวลาต่อมา เขาเห็นอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ไม่ใช่แสงสีนวล แต่เป็นฉัพพรรณรังสีอันตระการตา!! ให้ความรู้สึกเยือกเย็นอย่างประหลาดล้ำ
    เขาได้รับประสบการณ์อีกหลายอย่างจาก นะโม พรหมปัญโญ จนกระทั่งค่ำคืนหนึ่ง เขาก็หาพระที่หลวงปู่ให้จนเจอ ที่แท้...พระองค์นั้นก็คือ หลวงปู่ดู่ คือครู คือ นะโม พรหมปัญโญ นี่เอง!
    หลายสิบปีต่อมาเมื่อมองย้อนหลังกลับไป ทุก ๆ ประสบการณ์อันน่ามหัศจรรย์ทั้งหลายซึ่งนำไปสู่ความรู้ความเข้าใจนั้น หลวงปู่เป็นครูผู้คอยช่วยเหลือ ชี้แนะ ชี้นำ สั่งสอนและแสดงให้ปรากฏมาโดยตลอด และท่านก็มิได้ให้หยุดยั้งปัญญาความรู้อยู่เพียงแค่นั้น ท่านยังให้ลงลึกละเอียดเข้าไปได้เรื่อย ๆ อย่างไม่จำกัด ว่า...ข้าคือใคร? อย่างที่ไม่ต้องอาศัยมุมมองหรือการตีความใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นประสบการณ์ตรงโดยตนของคน ๆ หนึ่งเอง ไม่จำเป็นต้องอาศัยภาษาหรือคำพูดให้มากความ ว่ากันตรง ๆ ชัด ๆ กันเลย
    จะต้องไม่ลืมว่า ศิษย์ของหลวงปู่ไม่ว่ารุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่นั้นหลากหลายเหลือเกิน!
    อย่ามองข้ามครู จงหยุดคิดสักนิดพิจารณาสักหน่อยเถิดว่า คำสอน พระคาถา ศิษย์ พระเครื่องวัตถุมงคล กระทั่งชีวิตของตน! และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายนั้นเกิดขึ้นจากใคร?
    หลายครั้ง...เส้นผมก็บังภูเขา
    "แกไม่ต้องมาหาข้า..." ได้ยินครั้งแรกก็รู้สึกชาไปทั้งตัว คิดซ้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้งก็รู้สึกเจ็บแปล๊บเข้าไปถึงหัวใจ...น้อยเนื้อต่ำใจ
    "ข้าให้พระแกองค์หนึ่ง..."
    "ข้าให้ข้า..."
    ประโยคหนึ่งที่ครูในหัวใจไม่เคยพูดออกมาสักคำ แต่ทำให้ดูเลยหลายสิบปีก็คือ...
    ...ข้าอยู่กับแกตลอดเวลา...
    วันนี้ ข้าพเจ้ายิ้ม
    และหลวงปู่ท่านก็ยิ้ม.



    เครดิต https://www.facebook.com/jakrapat.chuchart
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...