ปุถุชน....คนช่างสงสัย...

เคยมีคนเล่าให้ฟังนะครับมีกลุ่มฝึกมโนมยิทธิได้แล้วไปกราบหลวงปู่องค์นึงหวังว่าจะใช้มโนไปดูจิตพระผู้ปฏิบัติดีชอบแล้วก้อใช้มโนดูดวงจิตท่านว่าเป็นพระอรหันต์หรืออริยเจ้าท่านทำให้เห็นสิ่งตรงกันข้ามถึงกับพากันกลับไม่ทำบุญที่ไม่เป็นแบบที่คิดพอกลุ่มนี้จากไปท่านค่อยบอกมาลองภูมิท่านปิดและให้เห็นอีกแบบได้ เรื่องแบบนี้ต้องท่านพี่ระมิงค์เรื่องนี้ ครับ ผมได้แต่ฟังมา

 

แท่งๆที่ขึ้นบนศรีษะนั่นคือกระแสพลังงานนั่นหละครับ
หรือเรียกว่าเส้นสายพลังงานนั่นหละครับ
กระแสที่เห็นนั้นก็คือ กะแสพลังงานที่กำลังเชื่อม
กับครูบาร์อาจารย์ข้างบน อย่างที่ได้เล่าให้ฟังไปหลายๆ Rep
นั่นหละครับ หน้าตามันเป็นอย่างที่เห็นนั่นหละครับ
เวลามันขึ้นจากศรีษะนะครับ.
อาจารย์ท่านอาจจะเด่นทางสัมผัสภายใน ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับ
พลังงานต่างๆ เช่น กสิณ พลังงานจักรวาลหรือ ร้อนเย็นประมาณนี้
พวกที่มาทางสายพลังงาน สายบารมีจะคุ้นเคยเรื่องเส้นสายพลังงานแบบนี้..
เพราะว่ามันเป็นเรื่องปกติครับ..
ส่วนเรื่องการเห็นวงกลมก็ตามนั้นครับ แต่ปกติให้เฉยๆไม่ใส่ใจ
เพราะมันมีอยู่ปกติ แต่เอาไว้ตรวจสอบเวลาเราทำบุญได้
ว่ามีเยอะมากน้อยแค่ไหนประมาณนี้ครับ.
ส่วนสีก็ตามบารมีที่สะสมมาบางครั้ง
ก็ขึ้นอยู่กับตัวจิตเราด้วย พวกที่บำเพ็ญบารมีคล้ายๆกัน
ก็มักจะเห็นสีแบบเดียวกันได้ประมาณนี้
ส่วนเรื่องพระองค์ที่ ๑๐ ประเด็นคือ อย่าไปใช้สัมผัสภายใน
ในการไปรู้ ให้ใช้การเห็นหรือสัมผัสเส้นสายพลังงานแบบที่เรา
เห็นเป็นท่อๆขึ้นจากศรีษะคนอื่นๆ ถึงจะปลอดภัย เพราะมันจะ
ข้ามในเรื่องของสัญญาที่สร้างเป็นภาพซึ่งมันอาจเกิดการ
ปรุงแต่งได้อยู่.ไม่เหมือนของเรื่องเส้นสายพลังงาน เพราะมันเป็นคลื่น
ที่แยกความถี่กันอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเห็นเป็นสีร่วมด้วย
หรือไม่ก็เห็นเป็นใสๆประมาณนี้ครับ

 

อ้อ แบบนี้เอง ขอบคุณเป็นอย่างสูงค่ะ

 

เห็นด้วยค่ะ เรื่องนี้ต้องท่านระมิงค์ค่ะ

 

อะจึย!! แห๋มๆ คงไม่ไปจีบใครก่อนให้เค้ามาด่าเราหรอกครับ ๕๕๕
จริงๆตัดสัญญาไปนานแล้วครับ ตั้งแต่อฐิษฐานตัด
เรื่องเนื้องอก ! เอ้ย! เนื้อคู่ในอดีตชาติทั้งหมด
ต่อหน้าพระประธานองค์ใหญ่องค์หนึ่ง
และก็จำชื่อไม่ได้แล้ว
คุ้นๆว่า มีคำว่า เหม่ย นี่หละครับ..
แต่ไม่รู้ว่า เหม่ย อะไร..ลืม...

 

อ้าฮ้า กู๊ดไอเดีย แล้วจะรีบเลียนแบบไปอธิฐานตัดบ้าง เผื่อหลงเหลือ

ตอนนั้นเราโง่ ปล่อยให้ขึ้นมาทีละคน กว่าจะผ่านพ้นแทบขาดใจตาย

 

เรื่องของเรื่องมันมีข้อกำหนดแบบนี้ครับว่า...
คนที่กำลังสมาธิด้อยกว่า หรือภูมิธรรมต่ำกว่า จะไปเห็นดวงจิตของผู้ที่มีกำลังสมาธิเหนือกว่า หรือภูมิ ธรรมสูงกว่าไม่ได้...
ยกเว้นว่า ท่านจะเปิดให้ดู...ไม่เช่นนั้นแล้วผู้ที่ต่ำกว่าแต่อยากไปสอดรู้สอดเห็นดวงจิตที่ภูมิธรรมสูงกว่าก็จะมืด..แล้วมืดไปสัก 3 เดือนเห็นจะได้...

เรื่องนี้นี่ผมเคยโดนด่ามานะครับ...คือที่ให้ฝึกกันมาทั้งหมดนี้ เพื่อให้ดูสิ่งชั่วในดวงใจของตนเอง..ไม่ใช่ให้ไปเที่ยวสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่น ดวงจิตของคนอื่น...
ดูดวงจิตคนอื่น เห็นเขาชั่วกว่าเรา แล้วมันทำให้จิตเราดีขึ้นหรือเลวลง...
ดูดวงจิตคนอื่น เห็นเขาดีกว่าเรา แล้วมันทำให้จิตเราดีขึ้นหรือเลวลง...
คือโดนด่าเท่านั้น ที่เหลือต้องไปคิดคำตอบต่อเอาเอง...
เจ็บกว่า โดนกระโดดถีบ3ทีซ้อน...

หายซ่าหายบ้าแล้ว หลวงพ่อท่านก็เมตตาเกษตรกรไร่เผือก มาอย่างนี้ว่า...
เวลาจะขอดูดวงจิตพระอริยะสงฆ์ ว่าท่านถึงขั้นไหนแล้ว เขาไม่ใช้กำลังสมาธิตัวเองดู เพราะว่าไปรู้ไปดูท่านไม่ได้...
ถ้าอยากจะรู้ก็ขอบารมีองค์สมเด็จฯก่อน ขอให้ท่านทำนิมิตหมายให้รู้ว่าพระสงฆ์รูปนี้มีภูมิธรรมชั้นไหนแล้ว ขอชมบารมีท่าน...เพราะบารมีพระพุทธเจ้านี่สูงสุด ถ้าท่านจะสงเคราะห์ให้รู้ได้เห็นได้ก็สามารถรู้ได้ เขาใช้กันแบบนี้...ไม่มีใครเขาโง่ใช้กำลังสมาธิตัวเองดูหรอก...

ที่จริงหลังจากผมโดนด่า คือได้ทิพยคิกขุยานมาได้ 8 เดือน โดนด่าเข้าไป หลังจากนั้นผมก็เลิกดูดวงจิตคนอื่น...ตั้งใจว่าถ้าจิตเรายังมีความชั่วหลงเหลืออยู่แต่เพียงใด เรื่องจะไปรู้ไปดูจิตคนอื่นสำหรับเราจะไม่ทำ...อันนี้ก็ยกเว้นว่าจะรู้ขึ้นมาเองนะครับ..แต่รู้แล้วก็เฉยๆ ไม่ได้สนใจใส่ใจ แต่อย่างใด ใครจะดีก็เรื่องของเขา ใครจะชั่วก็เรื่องของเขา .. เอาเรื่องเราดีกว่า นรกยังท่วมหัวอยู่ ...

สิ้นหลวงพ่อ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยาท่านขึ้นธรรมาสต์เทศน์...ร่างท่านเล็กๆเวลาเดินเหินก็สั่นๆแล้ว พอขึ้นธรรมมาสต์เท่านั้นแหละนะ...สว่างจ้ามาก ... รู้แล้วว่าท่านจะเทศน์เรื่องพระนิพพาน...นี่คือท่านสงเคราะห์กันทางจิต...พอเริ่มต้นท่านก็ว่าเลย...วันนี้จะเทศน์เรื่อง ไม่มีอะไร...ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว ก็จบ...ไม่มีอะไรจะต้องเทศน์อีก...

แล้วก็สังเกตอีกอย่างว่า เวลาพระสงฆ์ระดับนี้จะเทศน์ ท่านจะอารธนาพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นประธานทุกครั้ง องค์สมเด็จจะมาประทับเหนือครูบาอาจารย์ท่านนั้น ฉัพรรณรังสีจะแผ่มาคลุมทั้งบริเวณ เห็นหลายรูปแล้วท่านใช้วิธีนี้ตลอด...ผมลูกศิษย์ก็แอบใช้วิธีเดียวกันนี่แหละครับ...เพราะลำพังกำลังสติ ปัญญา สมาธิ นี่อย่าให้โม้เลยนะครับ...ยังขี้หมาขี้แมวมากๆ...แนะนำไปผิดๆขึ้นมา ผมคนแนะก็จะไปทัวร์นรกยาว ...เคยอยู่มาบ่อยมาแล้ว ชักเบื่อน่ะนะ...ขอไปทัวร์ต่างดาวบ้างดีกว่า...:boo:

 

ทำได้ครับ ทำแล้วจะดีตรงที่ว่า ดวงจิตที่เคยมีสัมพันธ์กับเรา
หรือว่าเราเคยไปสร้างวิบากอื่นๆเอาไว้เช่นเราเคยเป็นชายหรือหญิง
แล้วเคยไปทำไม่ดีอะไรเอาไว้หรือดวงจิตที่เราเคยสร้างวิบากกรรม
เอาไว้จากการไปสัญญาโดยที่เราคาดไม่ถึงในอดีตชาติ
แล้วดวงจิตต่างๆเหล่านั้นกลับมาเกิดในปัจจุบัน กระแสสัญญา
เดิมที่ฝั่งในตัวจิตเค้ามันจะหายไป ทำให้ถ้าเค้าเห็นเราแล้วเค้าจะ
ไม่มาสนใจเราในแนวที่ว่าจะส่อไปในทางอกุศลได้นั่นเองครับ..
สังเกตุได้ว่าถ้าทำแล้วพวกที่เคยสร้างปัญหารบกวนจิตใจเรา
มาก่อนในชาตินี้เมื่ออดีตที่ผ่านมาจะหายไปหมดจากสารระบบชีวิตเรา
แม้มีโอกาสเจอหน้ากันอีกเราก็จะเฉยๆ ไม่มีจิตไปยึดไปเกาะอะไรครับ
และต่อไปนานๆเราถึงจะเจอซักคนเข้ามามีสัมพันธ์แทน
ไม่ใช่แบบรายสัปดาห์ รายเดือนเหมือนๆเมื่อก่อน
แต่ก็จะมีที่เข้ามาได้ แต่ว่าจะมีเกณฑ์พื้นฐานทางด้านจิตใจ
พอๆกับเราเป็นอย่างน้อย
และจะไม่ได้มาชอบเราดะทั้งๆที่เค้าก็ไม่รู้ว่าชอบเราเพราะอะไร
หรือชอบแบบลุ่มหลง พอลืมเราแล้วก็ลืมเลย
หรือแบบมาให้ความหวังแล้วก็จากไป
เหมือนว่าไม่เคยเกิดเรื่องราวนี้ขึ้นมาก่อนบนโลกเหมือนๆเมื่อก่อน ๕๕๕
แต่ต้องดูด้วยนะครับ ถ้าในกรณีที่เรารู้ว่า มีกิ๊กเก่าในอดีตชาติ
ที่ยังไม่ได้ลงมาเกิด และมีฤิทธิพอตัว ถ้าอฐิษฐานถอนแล้วเราต้องสร้าง
ความดีหรือสร้างบารมีจนเค้าเกรงใจเรานะครับ.
เพราะพวกนี้มีความสามารถทำให้เรารับรู้ได้ทันที
ที่เราอฐิษฐานถอนเสร็จทันทีนะครับ
และก็ระวังอย่าอฐิษฐานตอนที่เรากำลังคบใครอยู่นะครับ
กิ๊กเก่าแม้ว่าจะไม่ทำอะไรเรา แต่ใครก็ตามช่วงนั้นที่คบๆเราอยู่
แล้วดันไม่ใช่คนถือศีล ปฏิบัติธรรม เผลอๆเค้าจะเล่นงานเอา
จนเปลี่ยนภพภูมิได้ง่ายๆนะครับ...
ปล.ปัจจุบันที่เข้ามาก็จะเป็นเพียงแค่กิริยา
เพราะตัวจิตเรามันจะไม่ไปยึดนั่นเอง..
ประมาณนี้ครับ (^_^)

 

ขออนุญาตนอกเรื่องหน่อยนะครับ พอดีเห็นชื่อกระทู้แล้วเกิดสงสัยมาทันควัน
ตรงเส้นบรรทัดเล็กๆด้านล่างของหน้ากระทู้คุณนพ ที่เขียนว่า
"ที่ไม่ใช่ว่าว่าง หรือไม่ว่าง นั่นหละว่าง" อันนั้นทำไงให้มีได้ครับ ผมทำไม่เป็น
หาวิธีตั้งนานก็ไม่ได้สักที เห็นคนอื่นเขามีสโลแกนติดกันให้รึ่มไปหมด
ก็อยากจะติดป้ายห้อยท้ายกะเขาด้วยอะครับ ทำไงดีน่ะ
ช่วยตอบวิธีทำให้หน่อยครับ

 

ส่วนเรื่องเนื้อคู่นี้ สำคัญเหมือนกันนะครับ...
เนื้อคู่แท้ๆต้องแบบนี้ครับ

 

แต่ต้องดูด้วยนะครับ ถ้าในกรณีที่เรารู้ว่า มีกิ๊กเก่าในอดีตชาติ
ที่ยังไม่ได้ลงมาเกิด และมีฤิทธิพอตัว ถ้าอฐิษฐานถอนแล้วเราต้องสร้าง
ความดีหรือสร้างบารมีจนเค้าเกรงใจเรานะครับ.
เพราะพวกนี้มีความสามารถทำให้เรารับรู้ได้ทันที
ที่เราอฐิษฐานถอนเสร็จทันทีนะครับ
และก็ระวังอย่าอฐิษฐานตอนที่เรากำลังคบใครอยู่นะครับ
กิ๊กเก่าแม้ว่าจะไม่ทำอะไรเรา แต่ใครก็ตามช่วงนั้นที่คบๆเราอยู่
แล้วดันไม่ใช่คนถือศีล ปฏิบัติธรรม เผลอๆเค้าจะเล่นงานเอา
จนเปลี่ยนภพภูมิได้ง่ายๆนะครับ...
ปล.ปัจจุบันที่เข้ามาก็จะเป็นเพียงแค่กิริยา
เพราะตัวจิตเรามันจะไม่ไปยึดนั่นเอง..
ประมาณนี้ครับ (^_^)

อันนี้ขอคอนเฟิร์ม เห็นทีจะใช่ เพราะเรานั้นเจอะเต็ม ๆ เมื่อตอนนั้นไม่รู้จักว่าการปฏิบัติธรรมว่าเป็นอย่างไร อันตัวเรานี้ภาคปฏิบัติมาก่อนแล้วเจอตำรามาทีหลังทุกเรื่อง เรื่องเนื้องอกก็ผจญภัยก่อนจะรู้จักวัดท่าซุง และกว่าจะเจอคำสอนหลวงพ่อฤาษี ก็เหมือนคนหลับตาเอาดาบฟัน ๆ ดะไปข้างหน้า โดยไม่รู้อะไรเลย

ตอนนั้นเกิดนั่งปลงและเบื่อหน่ายการครองคู่ เห็นแต่ความทุกข์ ยังไงก็ไม่เห็นความสุขเลย ยิ่งด้วยร่างกายทั้งเขาและเราด้วยเวลามีอะไรนั้นสุดแขยง คุณสามีเลยแผลงฤทธิ์ใหญ่ ทั้งบังคับให้แต่งตัวสวย ๆ ไปอวด และกักขังไม่ให้เราทำงาน เวลาจะทำสมาธิก็รบกวนตลอดเวลา เช่นช่วงตี ๒ - ๖ โมง จะเป็นช่วงที่เราทำแล้วดีที่สุด (นอนสมาฯ) พี่แกก็ตื่นแต่ตี ๔ เปิดทีวีเสียงดัง แถมชอบปลุกเราให้ตื่นแต่เช้าด้วย เพราะพี่แกติดนิสัยตั้งแต่เป็นนักเรียนทหาร ทั้งกิน นอน ตื่นเป็นเวลาเหมือนมีนาฬิกาอยู่ในสมองแก เรานั้นแสนทุกข์ทรมานทำสมาธิท่ามกลางเสียงรบกวนตลอดเวลา ไม่เคยรู้จักเลยว่าบรรยากาศสัปปายะเป็นอย่างไร พึ่งจะรู้จักเมื่อไม่กี่เดือนมานี้เองเมื่อเราไปวัดแห่งหนึ่งที่วังน้ำเขียว โอ้โห ตั้งแต่เกิดมาพึ่งได้สัมผัสคำว่า สัปปายะ มันเป็นอย่างนี้เอง

ทีนี้ถึงเราจะไม่เคยรู้ว่าการเบื่อหน่ายและอธิฐานตัดคู่ครองเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิธรรม แต่เราก็ดำริมัน ทีนี้ละ เจ้าประคุณเอ๋ยมาเป็นชุด ขุดมาหมดเลย แต่ละวันแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบผิด ๆ กว่าจะอุจจาระตรงร่องก็ใช้เวลานานนับปี คุณสามีก็งี่เง่าใส่เราทุกวัน จนปัจจุบันนี้มันเพลา ๆ พ่อเทพบุตรเริ่มจะเมิน แต่ใช่ว่ามันจะหายไปนะคะ มันยังอยู่ เป็นปี ๆ จึงจะแผลงฤทธิ์ขึ้นมาแป๊บหนึ่ง เราถึงรู้ว่า อ้อ ยังอยู่ยังไม่หายไปไหน แต่ก็เลิกคิด เลิกเครียดกับมัน แกล้งเฉย ๆ ไปซะ ท่านเทพบุตรจะได้ตายใจ

ทีนี้คุณสามีคนนี้ก็ดีตรงที่ว่า เรากะเขาไม่ยุ่งกันมาหลายปี คุณสามีเขาเข้าใจว่าเพราะผลข้างเคียงจากการป่วยของเราเมื่อคราวโน้น เค้าก็ไม่บังคับขืนใจเรา เราเคยขอเลิกกะเค้าตั้งหลายรอบ แต่เขาก็ไม่ยอม ยังคงจะดูแลรักษาเลี้ยงดูเราเป็นอย่างดี วัน ๆ ไม่ต้องทำงาน นั่ง นอน กิน เป็นคุณนาย เราขอให้เขาไปหานอกบ้านนะ เพราะเราให้เขาไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ยอมไปซักที เลยจำยอมอยู่กันไปแบบนี้ ก็ดีเหมือนกันค่ะ

 

พอปฏิบัติธรรมแล้วมันไม่มีความอยากในแนว
การร่วมหลับนอนเลยค่ะ

เพื่อนๆชาวต่างชาติก็เคยถามถึงความบ่อยครั้ง
ของการร่วมหลับนอนระหว่างฉันกับสามี
ฉันบอกว่าเกือบ 4 ปีแล้วที่เราไม่มีเรื่องนี้กัน
ฉันและสามีไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นอุปสรรค
ของชีวิตคู่ของเราทั้งสอง
เราก็มีความสุขดีในชีวิตการแต่งงาน

เพื่อนๆชาวต่างชาติถึงกับตกใจ
ถึงกับร้องออกมาว่าโอ้ !! มายก๊อด !!
เค้าบอกว่าฉันคงเป็นโรคกามตายด้าน

555555

 

จนเพื่อนๆชาวต่างชาติทั้งเพื่อนสามีและเพื่อนฉัน
เค้ามองว่า ฉันและสามีคงจะป่วยเป็นโรคกามตายด้าน
ด้วยกันทั้งคู่ ฮาได้อีก 55555

 

มีวันนึงที่จิตรู้สึกเหงาๆ (ไม่ใช่จากว่างรูปนามฮะ แต่ว่างจากการไม่มีสาวๆมากกว่าฮะ 555) เลย นึกขึ้นได้ว่าอ่านผ่านแว้บๆที่ไหน จริงๆก็กระทู้นี้เอง มาแวะทักทายๆพี่ๆ และป๋า nop นะคับ กำลังไล่อ่าน เผลอแป้บยาวไป ยี่สิบหน้า -_-'

 

แบบฉบับคุณป๋ารึ...อิชั้นเข้าใจเจ้าคะ

 

คือปล่อยวางทุกเรื่องครับ ไม่ให้มีอะไรมาเกาะตัวจิตเราได้เลยครับ..
ไม่ว่าเรื่องราวในอดีต อนาคตทุกเรื่อง ไม่ว่า สติ ปัญญา สมาธิ
กำลังจิต ตบะ ฌาณ ฌาน ฯลฯ สถาวะนี้ลองทำดูได้ด้วยการ
กำหนดอโหสิ ให้ออกจากกลางตัวจิตตรงลิ้นปี่ ซัก ๒ ถึง ๓ ครั้ง
จิตจะเริ่มนิ่งและก็อุทิศส่วนกุศลซ้ำให้ออกจากกลางจิตไปอีกทีหนึ่ง
จิตจะคลายตัว ความรู้สึกตรงนั้นหละครับ คือ นัยยะที่ว่า ไม่ใช่ว่าว่าง
หรือไม่ว่าง นั่นหละว่าง เพราะมันไปให้ความหมาย ไปตีความไม่ได้
ไปพยายามเข้าใจก็ไม่ได้ เพราะไม่งั้นตัวจิตมันจะสร้างเป็นภาษาสมมุติ
ขึ้นมาปิดตัวจิต ทำให้จิตแค่สงบ แต่ไม่ว่างจริงๆ จิตจะว่าง คือมันจะต้อง
คลายตัว โปร่ง โล่ง ขยายออกกว้าง เพราะไม่มีอะไรมายึดเกาะตัวจิตเลย..
ส่วนพอทำแล้ว เข้าใจสภาวะอารมย์แล้ว หน้าที่เราก็คือ เพิ่มระยะให้นานขึ้น
ในระหว่างวันนั่นเองครับ เวลามีอะไรขึ้นมากระทบใจทุกเรื่องนะครับ
ให้เฉยๆ ไม่อะไรกับอะไร นัยยะคือ''ไม่ใช่ว่ามันไม่มีอะไรแล้วใจเราไม่มี
แต่เราไม่มีอะไรกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ครับ''
ส่วนข้างล่างคือ ลายเซ็นต์ ให้เข้าไปที่เมนูแผงควบคุมส่วนตัวทางมุมบนซ้าย
และจะเห็นหัวข้อ Edit Signature ลองเล่นดูได้ครับ..
ปล.ประมาณนี้ครับ

 

จะมีกี่คนที่ต้องการนิพพานในชาตินี้

การต้องการนิพพานในชาตินี้ รวมถึงความรู้สึกต่างๆที่ปรารถนาแล้วทำทุกสิ่งทุก
อย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งนิพพานนั้นเชื่อว่า มันไม่ใช่เหตุบังเอินแน่นอน เพราะคน
เราเกิดมานี้ถ้าไม่ได้มีจิตเข้าถึงซึ่งความเชื่อมั่นอะไรสักอย่างแล้วจริงๆ อย่าให้
พูดถึงเรื่องนิพพานเลย แค่พูดถึงเรื่องให้ยอมควักเงินออกมาทำบุญบ้าง คน
เหล่านั้นก็จะตอบกลับมาเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า "เสียดายเงินฉันมันจนฉันยัง
ไม่มีเงินฉันมีน้อยรอให้ฉันมีมากกว่านี้ก่อน" ดูซิว่ากำลังใจของคนส่วนมากทั่วๆ
ไปเทียบกับกำลังใจของคนที่ปรารถนาจะไปนิพพานในชาตินี้ให้ได้มันต่างกัน
เพียงไร สุดปลายฟ้ากับเหวใต้จักรวาลลึก

ดังนั้นผู้ที่มีจิตคิดจะไปพระนิพพานในชาตินี้ทุกคน ขอยืนยันว่าคุณคือผู้มีสิทธิ์
และได้ถูกเลือกไว้แล้วทุกคน เหลือแต่ว่าจะเหลื่อมเวลากันแค่ไหนเท่านั้น อย่าง
อ่อนไม่เกิน 3 ชาติแน่นอน เพราะอะไร เพราะกำลังใจมันตั้งตรงแล้วนี่ มันจะไป
แวะนั่นนิดนี่หน่อยก็เหอะ แต่ยังไงแล้วมันก็เฉไปไม่นาน เพราะมันรู้ทางเดินและ
วิธีเดินแล้วนี่ ถึงยังไม่รู้หมดก็ตามเถอะ แต่กำลังใจตั้งตรงต่อนิพพานที่เดียวนั้น
แหละ ที่จะนำพาให้ออกไปจากสวนดอกไม้ข้างทางไปได้ แล้วมุ่งหน้าเดินตรง
แน่วต่อไปอย่างไม่ลดละท้อถอย ใครไม่เชื่อก็ตามใจใครนะ ของแบบนี้เป็น
ความเชื่อลัพธ์เฉพาะส่วนบุคคล คนฉลาดเกินไปลอกเลียนแบบไม่ได้ หึหึหึ

เหตุผลของคนบ้าไปนิพพานครับ 555

 

อ้อเกือบลืม ขอบคุณ คุณพี่นพมากครับ ผมมี "สมเด็จพ่อองค์ปฐม" เหมือนทุกท่านแล้วครับ ขอบคุณมาก ดีใจๆ(deejai)

 

โมทนาในความปราถณาครับ

ปล.มาเทส Signature ด้วยคนครับ

 

ปล.ผมไม่ได้อวดดี ไม่ได้อวดเก่ง ไม่ได้อวดอ้าง ไม่ได้ขี้โม้ ไม่ได้ขี้คุย ไม่ได้อยากเบ่ง ไม่ได้อวดภูมิ

เพราะเนื้อแท้แล้วมันยังไม่ได้อะไรและไม่มีอะไรจะให้อวด เพียงเขียนไปตามความรู้สึกลึกๆที่ส่งมาจากก้นบึ้งของจิตข้างในเท่านั้น
ผมรักเคารพ "สมเด็จพ่อองค์ปฐม" และ"หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ" หมดหัวใจตลอดกาลครับ:'(