พูดคุยเรื่องราว หลวงปู่ลือ ปุญโญ วัดป่านาทามวนาวาส

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย popstar5, 3 กันยายน 2013.

  1. popstar5

    popstar5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +112
    -เมื่อวันก่อนผมได้มีโอกาสคุยกับนักสะสมท่านหนึ่งสายหลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ พอดีเค้ามีแฟนเป็นคนมุกดาหาร เลยมีโอกาสได้วัตถุมงคลหลวงปู่ลือ มาใช้โดยตรงโดยมีโอกาสได้รับของจากครูบาจง(ลูกศิษย์ลปลือ(หลานแท้ๆของท่าน)) ก็ได้ฟังประสบการณ์มาอีกเกี่ยวกับเรื่องลูกปรอทของท่าน(หาตัวจริงยากมาก) เขาเล่าว่าครั้งนึงสมัยเค้าอยู่ที่มุกดาหาร ได้ไปนั่งกินกาแฟที่ตลาดเก่าอินโดจีน มีคุณป้าท่านนึงขายสมุนไพร เค้ามีเป็นกระสอบแล้วมาชั่งแบ่งขายเอา ที่นี้เวลาขายก็ต้องล้วงลงไปในกระสอบเพื่อเอาสมุนไพรมาชั่ง จู่ๆคุณป้าท่านนี้ก็ร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ ปรากฏว่าแกโดยอะไรสักอย่างที่อยู่ในกระสอบสมุนไพรนั้นกัดเข้า คนแถวๆนั้นจึงช่วยกันมาดู ป้าแกเลยตัดสินใจให้เทกระสอบนั้นดูเลยว่ามันคืออะไร พอเทออกดูก็พบว่ามันคือตะขาบตัวขนาดไม้บรรทัดนึงได้ แผลก็เริ่มบวม คุณลุงท่านนึงก็ร้องขี้นมาว่ามาๆ เดี๋ยวแกจะแก้พิษให้ แล้วแกก็เอาลูกปรอทของลปลือมาทาบและกดลงตรงแผลถูกกัดนั้น ปรากฏว่าแผลยุบลงอย่างน่าอัศจรรย์...
    -ส่วนเรื่องของพี่แกเองก็เป็นเรื่องภูตผีวิญญาณ คือในคอแกเนี่ยแขวนลปทิม เจริญพรบนมาตั้งแต่จำความได้ (ทุกวันนี้ก็ยังอยู่) อยู่ๆวันนึงเนี่ยแกได้ไปพักที่โณงแรมแห่งหนึ่ง แต่ปรากฏว่าแกรู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง ทำให้แกกระสับกระส่ายนอนไม่หลับ แกก็เริ่มรู้แล้วว่ามีอะไร แกก็ทำไม่สนใจตั้งใจนอนต่อ จนสุดท้ายแกบอกแกไม่ไหวจริงๆ แกเลยเดินไปเอาลูกปรอทมาอาราธนา แล้วใส่กระเป๋านอน สรุปว่าตื่นมาอีกที่เช้าเลย สมกับฉายาท่านจริงๆว่า หลวงปู่ลือ ปุญโก ผีคร้าม วิญญาณเกรง
    บุญญาภินิหาร “พระลือโลก ผีย่าน”...
    อีกเรื่องเป็นความเชื่อของลูกศิษย์ของท่านคือให้กินลูกปรอทเนี่ยปีละ 1 ครั้ง เป็นความเชื่อกันว่าจะดีครับทั้งในเรื่องโชคลาง สุขภาพ และ ดูดเอาสิ่งที่เป็นมงคลเข้าสู่ตัวครับ ท่านครูบาจงนี่กินปีละ 5 ลูกครับ พอกินเสณ้จพอเราขับถ่ายออกมาก็ต้องไปเขี่ยๆหาเอา^ ^" แล้วก็นำมาทำความสะอาดไว้ใช้ต่อไป...(อันนี้ใช้วิจารณญาณนะครับผม)
    -มีคนโทรมาถามผมเรื่องปรอทหลวงปู่ลือ วิธีตรวจสอบว่าเป็นของแท้หรือไม่ ผมไ่ม่มีความรู้เลยครับ แต่เสาะหามาด้วยความศรัทธา แต่ผมสังเกตุดูตอนที่ผมได้มาใหม่ๆ จะออกสีดำๆ เมื่อใช้ติดตัวไปเรื่อยๆ บางวันสีจะออกปนขาวเหมือนเงิน บางวันก็จะสีจะออกปนแดงเหมือนทองแดงหรือนาก บางวันสีจะออกปนทองเหมือนมีทองผสมอยู่ และตอนที่ได้มาใหม่บางลูกจะแช่อยู่ในน้ำผึ้ง เมื่อผมนำมาแช่ในแก้วน้ำ จะมีน้ำผึ้งซึมออกมาปนกับน้ำมากเกินกว่าปกติ เพราะคิดว่าโลหะไม่น่าจะดูดน้ำผึ้งได้มากขนาดนั้น และมีครั้งหนึ่งผมเข้าไปในสวนแล้วเกิดอาการคันที่หน้าอย่างมาก เลยลองอาราธนาปรอทถูไปมาตามใบหน้า
    ปรากฎว่าสีของปรอทเปลี่ยนจากสีคล้ำๆ เป็นสีขาวเหมือนสีเงินทั้งลูกทันที และอาการคันก็ค่อยๆ ทุุเลาลงจนหายไปในที่สุด ตั้งแต่นั้นผมก็มักจะพกพาปรอทติดตัวไว้ตลอดครับ ผมลองกินปปรอทหลวงปู่ลือแล้ว 2 ครั้ง ตอนแรกผมก็วิตกว่าเวลาปรอทถ่ายออกมาจากตัว กลัวว่าจะหาไม่เจอ แต่ปรากฎว่าการกินครั้งที่หนึ่งก็หลุดรอดการค้นหาของผม คือว่าผมกินเข้าไปเป็นเวลาสี่วันก็ถ่ายออกมา ผมเขี่ยดูแล้วก็ไม่พบเลยคิดว่าคงยังไม่ออก ก็เลยกดชักโครก แต่อัศจรรย์เพราะพอผมปวดฉี่ไปที่โถฉี่มองไป ก็รู้สึกแปลกใจว่ามีวัตถุสีดำๆ ตกค้างอยู่ที่โถส้วม พอมองให้ชัดๆ ก็พบว่าคือเม็ดปรอทของหลวงปู่ันั่นเอง หยิบขึ้นมาเม็ดสีำดำคล้ำโดยไม่มีสิ่งสกปรกติดอยู่เลย และตอนที่ผมกดชักโครกครั้งแรกทำไมแรงน้ำไม่ดูดลงไป น่าคิดอยู่เหมือนกัน (คุณเอกชัย)
    -ลูกปรอทของท่านเนี่ย จะสร้างมาจากปรอท และ ทองแดงครับหลักๆ แต่ใครที่พอรู้เรื่องพวกนี้จะทราบครับว่าปรอทกับทองแดงมันไม่สามารถทำให้เข้ากันได้ วันที่ผสมมวลสารลูกศิษย์ท่านผสมยังไงๆ มันก็ไม่เข้ากันครับ เลยไปบอกหลวงปู่ว่ามันไม่เข้ากัน ลปลือท่านจึงเป่าลงในอ่างผสมให้ทีหนึ่ง แล้วบอกลองคนใหม่สิ ทีนี้เข้ากันดีเลยครับเหนียวขึ้นมาทันทีครับ สามารถหยิบขึ้นมาปั้นได้เลย
    ลูกปรอทของท่านโดยมาจะเล็กครับ ไม่ถึง 1 ซม. ท่านจะใช้ 3 นิ้ว โป้ง ชี้ นาง หยิบปรอทขึ้นมาแล้วคลึงๆ จนกลมครับ ลูกปรอทของท่านก็มีที่ครูบาจงทำขึ้นมาอีกครับ ซึ่งครูบาจงเองท่านก็ได้รับวิชามาจากลปลือโดยตรงครับ จึงค่อนข้างเหมื่อนกันทีนี้ปัจจุบันก็ลำบากในการค้นตัวจริง เพราะแย่งกันยากครับ โดยมาเนี่ยถ้าเวลาที่เราใช้เสณ้จหรือไม่ใช้เค้าจะเลี้ยงไว้ด้วยน้ำผึ้งครับ แช่ไว้ ลูกปรอทเค้าก็จะกินไปเรื่อย และ ดำขึ้นๆเรื่อยๆครับ
    -ตัวผมเองก็ยังไม่มีวาสนาได้เจอกับเค้าสักลูกครับ ใครที่มีและทันท่านจริงๆก็โชคดีไปครับ เก็บไว้ดีๆครับ ปัจจุบันนี้ที่ทันท่านหายากจริงๆครับ...
    ปล.ห้ามนำลูกปรอทไปแขวนรวมกับพระ หรือ วางที่หิ้งพระนะครับ ลูกปรอทจะดูดเอาพลังไปหมดครับ
    [​IMG]
     
  2. popstar5

    popstar5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +112
    'สุรสีห์ ภูไท'ผู้เปิดตำนาน'พระป่าสายกรรมฐาน'
    'สุรสีห์ ภูไท'ผู้เปิดตำนาน'พระป่าสายกรรมฐาน' : เรื่องและภาพ ไตรเทพ ไกรงู

    ในแวดวงนักอ่านนิตยสารแนวธรรมะ ไม่มีใครไม่รู้จักนิตยสาร "โลกทิพย์" ซึ่งถ้าย้อนเวลากลับไปเมื่อประมาณ ๓๐ ปีที่แล้ว ถือว่าเป็นยุคทองของนิตยสารหัวนี้แต่เพียงผู้เดียว ชนิดไม่มีคู่แข่งนักเขียนหนังสือธรรมะรุ่นใหม่ที่โลดแล่นอยู่ในวงการน้ำหมึกยุคปัจจุบัน ล้วนต้องเคยผ่านตาข้อเขียนแนวอัตชีวประวัติของครูบาอาจารย์กรรมฐาน ที่รังสรรค์ขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของนักเขียนค่าตัวถูก แต่มากด้วยประสบการณ์ อาทิ สิทธา เชตวัน, ไทยดำ, สุรสีห์ ภูไท, ดำรง ภู่ระย้า ฯลฯ และหนึ่งในบรรดานักเขียนคุณภาพที่มีผลงานเข้าตา ซึ่งได้รับพิจารณาคัดเลือกให้เป็นเรื่องเด่นประจำฉบับมากที่สุดก็คือ สุรสีห์ ภูไท ที่ชื่อและนามสกุลจริงว่า "นายปีติ์ ปิติสิงห์"

    สุรสีห์ ภูไท เล่าย้อนอดีตให้ฟังว่า หลังเรียนจบประถม ๔ ในปี พ.ศ.๒๕๐๐ ขณะนั้นอายุได้ ๑๒ ปี บิดามารดาอยากให้บวชเรียนทางธรรม จึงเข้าบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดศรีบุญเรือง บ้านคำบก ต.คำบก อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร ซึ่งเป็นวัดภายในหมู่บ้าน ขณะบวชได้ศึกษาพระปริยัติธรรมจนจบนักธรรมชั้นเอก และได้เข้ามาศึกษาบาลีไวยากรณ์ต่อที่สำนักวัดโพธิ์ศรี อ.เมือง จ.นครพนม จนสอบเปรียญธรรม ๓ ประโยคได้ในเวลาต่อมา ปีพ.ศ.๒๕๐๙ ได้เข้ามาจำพรรษาอยู่ที่วัดสุทธิวราราม เขตยานนาวา กทม. เพื่อหาที่เรียนต่อ แต่ในที่สุดก็ต้องลาสิกขาเนื่องจากความไม่พร้อมหลายประการ และได้เข้าสมัครเป็นพนักงานพิสูจน์อักษรกับ นสพ.ไทยเดลี่

    ในสมัยนั้นสำนักงาน นสพ.ไทยเดลี่ ตั้งอยู่ตรงข้ามวัดบวรนิเวศวิหาร มีคุณวิลาศ ฉัตรภูติ เป็นบรรณาธิการ ด้วยอุปนิสัยรักการอ่านจึงถูกจริตกับงานที่ทำอย่างมาก เพราะต้องอ่านตัวหนังสือทุกตัวอย่างละเอียดก่อนช่างอาร์ตจะนำไปทำบล็อกแม่พิมพ์ อยู่ไทยเดลี่ระยะหนึ่งก็ขยับมาที่ นสพ.เสียงอ่างทอง (นสพ.ไทยรัฐ ในปัจจุบัน) สมัยนั้นโรงพิมพ์ตั้งอยู่ในซอยวรพงษ์ ย่านบางลำพู จากการชักนำของ อ.เจือ ศิริประเสริฐ ผู้ใช้นามปากกา “จร จารึก” เจ้าของคอลัมน์ “สายธารแห่งศรัทธา” ที่มีผู้อ่านมากเป็นอันดับต้นๆ คอลัมน์หนึ่ง

    สุรสีห์ ภูไท เล่าต่อว่า ขณะทำหน้าที่พิสูจน์อักษรอยู่ นสพ.เสียงอ่างทอง นอกเหนือจากงานพิสูจน์อักษรที่ต้องทำเป็นประจำแล้ว ผู้เขียนยังชอบติดตามนักข่าวไปทำงานตามแหล่งข่าวต่างๆ และได้ฝึกเขียนข่าวจนชำนาญอีกทั้งยังมีโอกาสเขียนบทความต่างๆ อยู่เป็นประจำ จากความเอื้อเฟื้อของนักข่าวรุ่นพี่เปิดช่องทางให้ฝึกหัดเขียนหนังสือ ต่อมาจึงได้ริเริ่มก่อตั้งชมรมพิสูจน์อักษรขึ้นเป็นครั้งแรก และด้วยการสนับสนุนจากเพื่อนๆ ทุกหัวหนังสือพิมพ์ ได้ลงคะแนนเลือกผู้เขียนให้เป็นประธานชมรม แต่ด้วยความเหมาะสมจึงยกตำแหน่งนี้ให้หัวหน้าของผู้เขียน ซึ่งก็คือ อ.ระพินทร์ (ผ่อง) พันธุโรทัย เป็นประธานชมรมคนแรก และมีการดำเนินกิจกรรมของชมรมเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

    หลังจาก นสพ.เสียงอ่างทอง ได้เปลี่ยนชื่อเป็น นสพ.ไทยรัฐ และได้ย้ายมาอยู่ถนนวิภาวดีรังสิต ผู้เขียนก็ได้ตามไปทำที่ใหม่เป็นเวลาถึง ๕ ปีจึงลาออกมา และเป็นจุดเริ่มต้นกับการเป็นนักเขียนเต็มตัว โดยการชักชวนของ อ.พิพัฒน์ ภราดรเสรี ผู้คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงนักเขียนนวนิยาย ผู้ใช้นามปากกา เพชร สถาบัน, สิทธา เชตวัน ฯลฯ ได้แนะนำให้ผู้เขียนเริ่มต้นจับปากกาอย่างจริงจัง อีกทั้งยังตั้งนามปากกาให้ผู้เขียนซึ่งก็คือ “สุรสีห์ ภูไท” โดยตั้งขึ้นมาตามพื้นเพถิ่นกำเนิด

    "โดยความชอบส่วนตัว กอปรกับได้มีโอกาสศึกษามาในระดับหนึ่ง ผู้เขียนจึงเริ่มต้นงานเขียนแนวประวัติปฏิปทาของครูบาอาจารย์เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นประสบการณ์ตรงเมื่อครั้งเป็นสามเณรออกธุดงค์กับครูบาอาจารย์สายกรรมฐาน ได้มีโอกาสพบเห็นสิ่งมหัศจรรย์หลายครั้งหลายครา จึงต้องการบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ อันอาจจะเกิดกุศลประโยชน์แก่คนทั่วไป ให้ได้ข้อคิดและพึงนำไปปฏิบัติจนเกิดมรรคผลตามกำลังสติปัญญาต่อไป" นี่เป็นเหตุผลของสุรสีห์ ภูไท

    ทั้งนี้ สุรสีห์ ภูไท ได้พูดถึงความยากง่ายของการเขียนปฏิปทาและวัตรปฏิบัติของพระป่าสายกรรมฐานว่า "ครูบาอาจารย์ในสายพระกรรมฐานส่วนใหญ่ไม่ค่อยยอมเปิดปากเล่าประวัติของท่านให้ใครฟังง่ายๆ โดยเฉพาะนำไปเผยแพร่บอกต่อในสื่อต่างๆ ด้วยแล้ว ยิ่งจะถูกปฏิเสธกันเสียเป็นส่วนใหญ่ จึงได้กล่าวไว้ตอนต้นว่า ต้องงัดกลยุทธ์กันจนสุดท่าไม้ตาย เพราะบางรายต้องแฝงตัวเข้าไปอยู่ในวัด ไปกินไปนอนกับท่าน อุปัฏฐากรับใช้กันยิ่งกว่า ลูกศิษย์ใกล้ชิดเสียอีก ถ้าโชคดีท่านเมตตาก็ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาหลายรอบ"

    หลวงปู่ลือ"พระลือผีย่าน"

    ในจำนวนพระป่ากรรมฐานสายหลวงปู่มั่นทั้งหมด สุรสีห์ ภูไท บอกว่า ปฏิปทา วัตรปฏิบัติ และเรื่องเล่าของหลวงปู่ลือ ปุญโญ วัดป่านาทามวนาวาส (ภูน้อย) อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร ถือว่าสุดยอด โดยได้นำเรื่องราวของท่านออกมาพิมพ์เผยแพร่โดยนิตยสาร “โลกทิพย์” ในปี พ.ศ.๒๕๓๘ ถึงกับลูกศิษย์มีการตั้งฉายานามท่านว่า "พระลือผีย่าน" ทั้งนี้ เขาได้รวบรวมประวัติที่เคยสัมภาษณ์เมื่อ ๒๐ ปีก่อน มาจัดพิมพ์เป็นพ็อกเก็ตบุ๊กเป็นครั้งแรก

    “คนเราอย่ามองดูแต่เพียงเปลือกนอก ให้น้อมใจพิจารณาเอาแต่ของดีที่อยู่ภายใน ของร้ายๆ ให้อยู่แต่ภายนอก” นี่เป็นคำสอนของหลวงปู่ลือที่ สุรสีห์ ภูไท จำได้อย่างแม่นยำทั้งๆ ที่เคยไปสัมภาษณ์ทำประวัติท่านไว้ตั้งแต่เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๖

    สุรสีห์ ภูไท เล่าให้ฟังว่า หลวงปู่มีความเชื่อมั่นในหลักธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างสูง ท่านจึงประกาศตนอย่างชัดเจนว่าจะขอสร้างบารมีธรรมให้ถึงที่สุด ถึงขั้นเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อมุ่งสู่นิพพานโดยตรง ซึ่งจะเห็นได้จากช่วงหนึ่งของชีวิตท่านที่ฝึกจิตบำเพ็ญภาวนาด้วยการนั่งหันหน้าลงปากเหว เพื่อต่อสู้กับกิเลสในตนให้หมดสิ้นไปในชาตินี้ เรียกว่า ถ้าง่วงแล้วขาดสติก็ให้ตกลงไปตายเลย จึงเป็นที่มาของคำกล่าวขานยกย่องจากเหล่าสหธรรมิก หรือแม้กระทั่ง พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ยังกล่าวกับพระลูกศิษย์ว่า “พระลือรูปนี้ เป็นพระใจเด็ด ใจเพชร”

    ในช่วงเหตุการณ์เครื่องบินตกที่ จ.ปทุมธานี เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๓ ทำให้แวดวงชาวพุทธในสายพระกรรมฐานต้องตื่นตะลึง เพราะในเครื่องบินลำนั้นมีพระกรรมฐานชื่อดังหลายท่านมรณภาพ ซึ่งหลวงปู่ลือก็ได้รับนิมนต์ไปในงานครั้งนี้ แต่ท่านปฏิเสธไปถึง ๓ ครั้ง ทำให้เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังเกิดความงุนงงสงสัย ถามหลวงปู่ว่า ทำไมถึงไม่รับนิมนต์ แต่ท่านกลับบอกว่าท่านรับนิมนต์ไว้แล้ว แต่เป็นเทวดามานิมนต์ให้ท่านมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก เพราะยังไม่ถึงเวลาของท่าน จึงเกิดนิมิตขึ้นในคืนหนึ่งก่อนที่เจ้าหน้าที่จะมาถึง และท่านบอกกับพระลูกศิษย์ว่า “ท่านเห็นไฟกำลังไหม้เครื่องบิน”

    "หลวงปู่ลือได้ออกธุดงค์ไปตามลำพังเพื่อหาสถานที่วิเวกฝึกกรรมฐานไปจนถึงฝั่งประเทศลาว และแผ่เมตตาแก่ญาติโยมชาวลาวเป็นเวลานาน จึงข้ามมาฝั่งไทย ท่านไปพบทหารกลุ่มหนึ่งกำลังสู้รบกับ ผกค.(ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์) ท่านจึงสละชายจีวรมอบแก่ทหารเหล่านั้นเพื่อปกป้องคุ้มครองผองภัยอันตรายทั้งปวง จนทหารกลุ่มนั้นแคล้วคลาดกลับที่ตั้งโดยปลอดภัยทุกคน ชาวบ้านดอนตาลดง ผกค.ในยุคนั้นจึงขนานนามทหารกลุ่มนั้นว่า "ทหารผีสิง" เพราะโดยปกติจะไม่มีใครรอดพ้นดงกับระเบิดและฝ่าแนวกระสุนออกมาได้เลย ทำให้ผู้คนทุกสารทิศที่ได้ยินกิตติศัพท์ หลวงปู่ลือ จึงหลั่งไหลกันไปกราบไหว้นมัสการ" สุรสีห์ ภูไท กล่าวทิ้งท้าย

    ที่มา
     
  3. mangbongnoy

    mangbongnoy Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +33
    ได้อ่านและศึกษาประวัติหลวงปู่แล้วขนลุกครับ ข้อวัตรและปฏิปทาขององค์หลวงปู่งดงามครับผมมีแต่เกสาหลวงปู่ที่น้องชายแบ่งให้มาบูชา แค่นี้ก็ดีใจแล้วครับ ทุกวันนี้ก็ ทำทาน มีศีลและปฏิบัติภาวนา เพื่อเป็นการปฏิบัติบูชา พ่อแม่ครูบาอาจารย์ครับ สาธุกับผู้ที่นำประวัติหลวงปู่มาเผยแพร่ให้สาธุชนได้ศึกษาครับ
     
  4. mc80

    mc80 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +32
    จขกท.หายไปไหนน้อ......
     
  5. Thana 2

    Thana 2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    653
    ค่าพลัง:
    +2,878
    สวัสดีครับ ทุกท่านผมขอถามหน่อยนะครับไม่ทราบว่าตอนนี้ที่วัดป่านาทามยังมีปรอทให้บูชาไหมครับ ถ้ามีผมขอเบอร์โทรทางวัดได้ไหมครับของหลวงปู่ผมเคยมีผ่านมา 5 ลูกหายหมดเลย ทั้ง 5 ลูกของผมจะกินลงท้องประจำเพราะทำให้ระบบขับถ่ายดีมากๆครับทดลองดูได้เลยผมกล้ายืนยัน ครับ กินให้ครบ 3 ครั้ง นะครับเพราะจะกันปืนด้วยครับ
     
  6. ddd445

    ddd445 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2013
    โพสต์:
    7,468
    ค่าพลัง:
    +38,819
    มีอยู่เหรียญหนึ่งครับ

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  7. Thana 2

    Thana 2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    653
    ค่าพลัง:
    +2,878
    สวัสดีครับ ใครอยุ่ใกล้วัดป่านาทาม หรือรู้จักเบอร์ของวัด ช่วยสงเคราะห์ผมด้วยนะครับ อยากโทรไปสอบถามเรื่องปรอท นะครับขอบคุณมากๆ ครับ จะบอกผมทาง pm ก็ได้ครับ
     
  8. Thana 2

    Thana 2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    653
    ค่าพลัง:
    +2,878
    จะเป็นของหลวงปู่จง ก็ได้ครับเพราะได้เรียนวิชาจากหลวงปู่ลือแล้วนะครับ ใครช่วยสงเคราะห์ผมด้วยนะครับอยากได้เบอร์โทรศัพทของวัดป่านาทาม อ.ดอนตาล จริงๆ ครับ/B]
     
  9. mc80

    mc80 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +32
    ปรอทที่วัดยังมีครับ แต่เป็นของอ.เชื่อม หลานท่านครับ
    ไม่ใช่ของอ.จง นะครับ ผมเพิ่งไปมา ไปบูชาที่วัดเลยครับ
    ท่านอาจารย์ทั้ง2 เป็นพระที่เคารพ และกตัญญูต่อหลวงปู่มาก
    ผมรู้จักมาตั้งแต่ปี2537 เบอร์โทรมี แต่ท่านอยู่ตลอดครับ ไม่ได้ขออนุญาตท่าน
    เลยไม่กล้าให้ จริงๆแล้วผมก็ไม่ได้โทรซักทีครับ อยากไปก็ไปเลย เจอท่านทั้ง2
    ทุกครั้งครับ จากขอนแก่นก็ไกลอยู่นะครับ ขอให้โชคดีครับ อย่าลืมปรอทนะครับ
    หาให้ได้....
     
  10. Thana 2

    Thana 2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    653
    ค่าพลัง:
    +2,878
    ผมงานหยุดวันอาทิตย์วันเดียวนะครับคุณ mc80
     
  11. JKV

    JKV เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +201
    [​IMG][/url][/IMG]


    พึ่งได้มาครับ ขอกะลุงที่รู้จัก ยังไม่ทันกิน กลัวหาไม่เจอ กะลุงแกก้อไกล้หมดละ กลัวขอใหม่ไม่ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 มิถุนายน 2015
  12. JKV

    JKV เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +201
    สายตรง ที่อยู่ไกล้ พอเข้าไปหา ท่านอาจารย์ เชื่อม ขอทราบประวัติของการทำ
    ปรอท ของท่านหน่อยสิ เป็นวิทยาทาน สืบทอดไม่ให้สูญหาย เข้าใจว่าผู้สืบทอดต่อคงเป็น
    อาจารย์ จง ท่านคงมีตำราบันทึกไว้ครบเล่ม เพราะทราบมาว่า ท่านหลวงปู่ ถิร วัดป่าบ้าจิก กะท่านหลวงปู่ ลือมีตำราคนละครึ่ง เมื่อท่านศึกษาร่วมกันแล้ว ศิษย์ของท่าน น่าจะมีบันทึกไว้ครบถ้วน
    อยู่ที่ ใครจะเข้าหา และเป็นที่ ไว้ใจ ยอมรับให้ศึกษาไว้สืบต่อ ซึ่งผู้สืบต่อได้ประโยชน์ 2 ต่
    คือ ได้ทั้งความรู้ ได้ทั้ง กสิน ดิน น้ำ ไฟ เข้าใจว่าตำราท่าน ต้องได้กสิน 3 กองนี้ถึงทำได้

    ตามประวัติท่าน หลวงปู่ลือ อาจารย์ องค์แรกคือ หลวงปู่ ดี ฉันโน ศิษย์ อาวุโส ของหลวงปู่เสาร์ ท่านเชี่ยวชาญ สมาบัติ และกสิน มาก ส่วนมากผู้ที่เรียนแล้วรู้แล้ว จะอยู่เงียบๆ ไม่ทำ เพราะมันยุ่งยาก และเสียเวลา ปฏิบัติ เพราะมีบางองค์ เคยบ่นว่า ทำแจกแล้ว มีแต่คนโง่ๆไปหา คนตั้งใจศึกษาแทบไม่มี ที่เคยมี กลับย้อนกลับไปโง่เหมือนคนหมู่มาก ของดีสอนให้ทำไม่พากันทำ ไปหลงแต่ของนอกๆ ไม่ได้ความ

    นาๆจิตตัง เนาะ ภูมิใจคนเรามันต่างกัน หลายขั้นหลายขั้นหลายระดับ
    แก่นก็จะเอา เปลือกก็หอบ กระพี้ก้อหาม พะรุง พะรัง จั้งห้าจ่องหลัง ซ้าแหน่กะซ่างมัน ไปก่อนโลดพุได๋ ฟ่าว 55555 (..... )
     
  13. ธรณี

    ธรณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2005
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +233
    เคยไปกราบหลวงปู่ลือและท่านได้ให้เหรียญแก่เราด้วยตัวท่านเองวันนั้นก็ได้ทดสอบขอหลวงปู่ช่วยย่นระยะทางก็แปลกในความรู้สึกเราเหมือนถึงบ้านเร็วมากได้ยินชื่อเสียงท่านจากหลวงปู่จามว่าหลวงปู่ลือสุดยอดแห่งคาถาตอนนั้นประมาณปี2538หลวงปู่จามบอกให้รีบไปเอาบุญกับท่านเพราะท่านแก่แล้วจะอยู่ได้อีกไม่นานเลยพากันรีบไปกราบคารวะท่านเพราะในอดีตชาติท่านเป็นพระฤาษีที่บำเพ็ญตบะมายาวนานและเป็นฤาษีผู้พี่ส่วนผู้เป็นน้องก็คือหลวงพ่อคูณเรื่องคาถาหลวงปู่ลือท่านถึงได้เก่งกว่าผู้น้องซึ่งก็คือหลวงพ่อคูณวันที่ไปวัดหลวงปู่ลือหลวงปู่กับหลวงพี่ของเราก็ไปด้วยไปกันหนึ่งคันรถปิคอัพหลวงปู่กับหลวงพี่เราขอหลวงปู่ลือเข้าถ้ำเพื่อชมกระดูกท่านชาติก่อนตอนเป็นฤาษีหลวงปู่ลือห้ามไว้เพราะในถ้ำมีงูใหญ่เฝ้าอยู่กลัวจะเป็นอันตรายและชาวบ้านจะพากันเห็นงูใหญ่ตัวเท่าต้นตาลปีละครั้งชาวบ้านแถวนั้นจะพากันกลัวมากอย่างข้าวก้นบาตรหลวงปู่ปุกเสกคาถาแล้วให้ไก่ป่าในวัดกินชาวบ้านแถวนั้นมายิงไก่ไก่ก็ไม่เป็นอะไรชาวบ้านพากันกลัวมากส่วนเหรียญที่หลวงปู่ให้หลวงพี่เราไปท่านจะธุดงค์ไปตามป่าเขาวันนึงฟ้าได้ผ่าลงมา
    แถวตัวท่านท่านก็ไม่เป็นไรหลวงพี่มอบเหรียญให้เราอีกเหรียญเลยมีสองเหรียญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤษภาคม 2015

แชร์หน้านี้

Loading...