ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jaroen Compeerapap

    [​IMG]

    [​IMG]

    ความมีอยู่เป็นอยู่ของสรรพสิ่ง ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา ; ขอให้ท่านทำความเข้าใจข้อมูลนี้ให้ดี เพื่อความรู้ และความเข้าใจในสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกและภัยพิบัติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น หลายคนคงเคยได้ทราบข้อมูลกันมาบ้างแล้วเกี่ยวกับ การเกิดหลุมขนาดใหญ่ ในที่ต่าง ๆ แม่น้ำแห้ง น้ำในทะเลสาบหายไป บทความนี้จะช่วยให้ท่านเข้าใจอะไรมากขึ้น.. มีบทความวิชาการที่ตีพิมพ์ในวารสาร Geophysical Union Journal ฉบับเดือน มีนาคม 2015 ที่ผ่านมาได้เปิดเผยผลงานวิจัยของนักธรณีวิทยาฟิสิกส์ ๓ ชาติคือ จีน แคนาดา และ สหรัฐอเมริกา ที่ทำการศึกษาเก็บข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ๒๒๗ แห่งตั้งแต่ปี ๒๐๐๗ -๒๐๑๑ Min Chen ได้เปิดเผยความลี้ลับของเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เนปาล และ หลังคาโลกที่หิมาลัย โดยเครื่องมือที่ทันสมัย โดยการใช้คลื่นตรวจสอบพื้นโลกลึกไปในระยะ ๑๐๐๐ กิโลเมตร คุมพื้นที่ตั้งแต่ภูเขาหิมาลัย ลงมาถึงทวีปเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ แล้วมาทำการวิเคราะห์ในแบบจำลองด้วยคอมฟิวเตอร์ที่ทันสมัย แสดงผลแบบ 3 D ทำให้ทราบว่าใต้แผ่นเปลือกโลกที่เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งอยู่ และบริเวณประเทศธิเบต มีโพรงหินขนาดใหญ่อยู่ใต้แผ่นเปลือกโลกด้านบนในความลึก ๕๖๐ กิโลเมตร ถึง ๑๐๐๐ กิโลเมตร คือในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ในความลึกใต้แผ่นเปลือกโลกลึกลงไป ๕๖๐ กโลเมตร โปรดดูรูปภาพประกอบ มีโพรงหินขนาดใหญ่ ทำให้ผมนึกถึงคำที่พระอาจารย์ท่าน ฤาษี ลิงดำ ได้เคยบอกไว้ว่าใต้ประเทศไทยเรามีโพรงขนาดใหญ่ เครื่องบิน สามารถบินได้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดแผ่นดินไหว จึงสามารถยืนยันความจริงได้จากผลการศึกษาของนักธรณีวิทยาฟิสิกส์ ที่ว่านี้ทุกประการ เป็นอย่างนี้แล้วไงใช่ไหมครับ..ลองช่วยกันคิดต่อกันเอาเองนะครับ หากเกิดแผ่นดินไหวขนาดที่อยู่ใกล้เคียงกับโพรงหิน หรือโพรงหินที่อุ้มพยุงแผ่นเปลือกโลกนี้ยุบตัวจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครบอกได้แต่ขอภวนาอย่าให้แผ่นเปลือกโลกบ้านเราเคลื่อนในความลึกใกล้ ๆ โพรงหินที่ว่านี้ก็แล้วกัน เราช่วยกันมองขึ้นไปบนฟ้ามานานแล้ว ต่อไปก็ขอภวนาลงใต้ดินบ้างนะครับ ขอสุขสวัสดีจงมีแต่ท่านทั้งหลายครับ
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    บิ๊กโด่งสุดทน!จวกต่างชาติ พร้อมก็รับโรฮีนจาดูแลเอง | เดลินิวส์

    [​IMG]

    „บิ๊กโด่งสุดทน!จวกต่างชาติ พร้อมก็รับโรฮีนจาดูแลเอง "บิ๊กโด่ง"เหน็บต่างชาติ-ยูเอ็นชูสิทธิมนุษยชนให้รับโรฮีนจาไปดูแลเอง ให้ตร.ฟันทหารเอี่ยวค้ามนุษย์ วันพุธที่ 20 พฤษภาคม 2558 เวลา 10:54 น. เมื่อเวลา 07.30 น.

    วันที่ 20 พ.ค. ที่ฝูงเครื่องบินกองการบิน กรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.) พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหมและผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวถึงความคืบหน้าในการช่วยเหลือชาวโรฮีนจา ว่า ประเทศไทยเปิดศูนย์พักพิงตามแนวชายแดนไทย-เมียร์มา 9 แห่ง เพื่อช่วยเหลือผู้ที่หลบหนีภัยสู้รบ แต่สำหรับกรณีชาวโรฮีนจาเป็นคนละกรณีกันเพราะเป็นการหลบหนีเข้าเมืองที่ไม่ถูกต้อง ส่วนสถานที่ควบคุมคนหลบหนีเข้าเมืองนั้นเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขณะที่การดูแลเด็กและสตรีมีกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นผู้รับผิดชอบ โดยทั้งหมดเราดำเนินการตามกฎหมายที่มีอยู่ สำหรับทหารดูแลด้านความมั่นคง และถ้าเราพบเห็นคนหลบหนีเข้าเมืองก็จะควบคุมตัวส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปดำเนินการตามกฎหมาย ขณะเดียวกันถ้ามีคนหลบหนีเข้ามามากและสถานที่ควบคุมไม่เพียงพอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้นโยบายในการจัดเตรียมพื้นที่เอาไว้ โดยให้เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมดูแลได้โดยตรง อย่างไรก็ตามทราบว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังสามารถดูแลได้อยู่ พล.อ.อุดมเดช กล่าวต่อว่า ไม่มีการผลักดันหรือไล่ส่งชาวโรฮีนจา เพราะเราเป็นประเทศกลางทาง ไม่ใช่จุดหมายปลายทางของชาวโรฮีนจา แต่เมื่อมีคนเคลื่อนย้ายมาทางทะเลนั้น เจ้าหน้าที่เรามีการตรวจสอบและเข้าไปดูแลว่ามีปัญหาอะไร มีอาการเจ็บป่วยหรือไม่ ถ้าพบว่าเจ็บป่วยก็จะนำเข้ามารักษาพยาบาล แต่ถ้าเขาหายจากการเจ็บป่วยแล้วต้องการเดินทางไปประเทศที่ 3 เราก็ไม่สามารถขัดวัตถุประสงค์ของเขาได้ แต่ถ้าเขาไม่ต้องการเดินทางต่อไปประเทศที่ 3 เราจะนำตัวเข้ามาสู่ระบบการควบคุมตัวในลักษณะคนหลบหนีเข้าเมืองที่ผิดกฎหมาย โดยการปฏิบัติดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมายที่ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้หากเจ้าหน้าที่ตำรวจมีพยานหลักฐานพบว่ากำลังพลของทหารเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ ก็สามารถดำเนินการเต็มที่ เพราะคนดีต้องถูกเชิดชูให้รางวัล ส่วนคนไม่ดีจะต้องไม่ให้มีบทบาทและไม่ให้อยู่ในกองทัพต่อไป "ถ้าเป็นไปได้ประเทศที่พยายามดูแลด้านสิทธิมนุษยชนของบุคคลเหล่านี้ ถ้าช่วยประเทศไทยได้บ้างก็ดี ขอให้เห็นใจประเทศเราบ้าง เพราะเราแบกรับภาระเยอะมาก ดังนั้นถ้าองค์กรต่างๆเห็นว่าเราควรทำอย่างไรให้ถูกต้องตามหลักสิทธิมนุษยชน ถ้าท่านเห็นใจคนหลบหนีเข้าเมืองมา และถ้าประเทศของท่านมีความพร้อม ท่านก็สามารถรับไปดูแลได้" พล.อ.อุดมเดช กล่าว“

    อ่านต่อที่ : บิ๊กโด่งสุดทน!จวกต่างชาติ พร้อมก็รับโรฮีนจาดูแลเอง | เดลินิวส์
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทำไม ทางการเมียนมา ต้องออกมาประกาศว่าพร้อมให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่อผู้อพยพทางเรือ โดยกระทรวงต่างประเทศเมียนมาระบุว่าเมียนมามีความวิตกเหมือนกับประชาคมโลก และพร้อมให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่อผู้ประสบภัยในทะเล เพราะชาวโรฮิญญา พวกนี้เกิดในประเทศพม่าแทบทั้งนั้น ยังไงก็คือประชากรของพม่า ทำเป็นตีเนียน พูดให้ดูดี

    อินโดนีเซียช่วยผู้อพยพกว่า400คนจากเมียนมา | เดลินิวส์

    [​IMG]

    „อินโดนีเซียช่วยผู้อพยพกว่า400คนจากเมียนมา ประมงอินโดนีเซียช่วยผู้อพยพกว่า 400 คนจากเมียนมา นอกชายฝั่งจังหวัดอาเจะห์ พบสภาพผู้อพยพป่วย อ่อนแอ และขาดอาหารกับน้ำ วันพุธที่ 20 พฤษภาคม 2558 เวลา 11:14 น.

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองบันดาอาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซียเมื่อวันที่ 20พ.ค.ว่าประมงท้องถิ่นได้เข้าช่วยเหลือผู้อพยพหลายร้อยคนบนเรือไม้สองลำนอกชายฝั่งจังหวัดอาเจะห์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินโดนีเซีย ซึ่งเจ้าหน้าที่ค้นหากู้ภัยบอกว่า ผู้อพยพ426คนที่เชื่อว่ามาจากเมียนมาได้รับการช่วยเหลือขึ้นมาจากทะเลอย่างปลอดภัยแล้ว โดยผู้อพยพชุดแรกจำนวน 102คน ได้ขึ้นฝั่งเมื่อเวลา02.00 น.จากนั้นถูกนำไปยังหมู่บ้านในเขตอีสต์อาเจะห์ ส่วนเรือลำที่สองซึ่งมีผู้อพยพ 324คน ถูกเจ้าหน้าที่พบห่างจากชายฝั่ง65 กิโลเมตรก่อนนำไปที่ท่าเรือในพื้นที่จูล็อกในเขตอีสต์อาเจะห์ ในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เจ้าหน้าที่กู้ภัยเปิดเผยว่า ชาวประมงเป็นผู้พบเรือผู้อพยพจากเมียนมาล่องลอยอย่างไร้ทิศทางเนื่องจากเครื่องยนต์ดับ และเกิดความสงสารจึงเข้าช่วยเหลือ โดยสภาพของกลุ่มผู้อพยพมีทั้งป่วยและอิดโรย บางคนอ่อนแอเหมือนร่างกายสูญเสียน้ำและขาดอาหารอย่างมาก นายเตกู นยัค ไอดรุส ชาวประมงบอกว่า ผู้อพยพหลายคนเล่าให้ฟังว่า ระหว่างเดินทางจากเมียนมามายังน่านน้ำอินโดนีเซีย ผู้อพยพบางคนเสียชีวิตเพราะอดอยาก แต่ตอนนี้เจ้าหน้าที่อินโดนีเซียได้จัดหาอาหารและน้ำรวมถึงยา เพื่อช่วยเหลือในเบื้องต้นต่อผู้อพยพแล้ว วันเดียวกัน ทางการเมียนมา ประกาศว่าพร้อมให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่อผู้อพยพทางเรือ โดยกระทรวงต่างประเทศเมียนมาระบุว่าเมียนมามีความวิตกเหมือนกับประชาคมโลก และพร้อมให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่อผู้ประสบภัยในทะเล ทั้งนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของมาเลเซีย ไทย และอินโดนีเซียพบปะกันในกรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซียเพื่อหารือถึงวิกฤตเรือผู้อพยพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนหน้านี้ชาวโรฮีนจาจากเมียนมาและชาวบังกลาเทศราว1,500 คนได้รับการช่วยเหลือให้ขึ้นฝั่งจังหวัดอาเจะห์ หลังถูกแก๊งค้ามนุษย์ทอดทิ้งกลางทะเล “

    อ่านต่อที่ : อินโดนีเซียช่วยผู้อพยพกว่า400คนจากเมียนมา | เดลินิวส์
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ไม่ใช่โฆษณาขายเรือน่ะครับ ลองไปหาราคาเรือมือ 2 ที่รูปใกล้เคียงกับเรือที่โรฮิญญานั่งมา ราคาตั้งหลายแสน แต่โรฮิญญาหาได้ พวกเขารวยกันจริงๆ ครับ

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    'อุดมเดช'ยันดำเนินคดี'โรฮิงญา'หลบหนีเข้าเมือง
    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 20 พฤษภาคม 2558, 10:31

    “พล.ต.อุดมเดช” ยันดำเนินคดีกับ “โรฮิงญา” หลบหนีเข้าเมือง เพราะอยู่คนละฐานะกับผู้อพยพใน 9 ศูนย์พักพิงไทย

    [​IMG]

    ที่กรมการบินกรมการขนส่งทหารบก พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ ถึงการแก้ปัญหาชาวโรฮิงญา ภายหลังที่หน่วยงานและองค์กรต่างประเทศออกมากดดันให้ไทยรับดูแลว่า ต้องเข้าใจว่าศูนย์พักพิงทั้ง 9 ศูนย์ของไทยก็เป็นภาระโดยตั้งอยู่ตามแนวชายแดนไทย-พม่า และเป็นผู้ลี้ภัยมาจากการสู้รบซึ่งเราก็รับดูแลมีจำนวนหลายแสนคน แต่ขณะนี้ลดระดับลงมาบ้างแล้วเพราะมีการมารับกลับไป โดยกรณีดังกล่าวเป็นศูนย์พักพิงที่มีองค์กรต่าง ๆ เข้ามาดูแล ส่วนกรณีของโรฮิงญาเป็นคนละกรณีกันเพราะเป็นการหลบหนีเข้าเมืองโดยไม่ถูกต้อง จึงเป็นการจัดสถานที่เพื่อควบคุมและอยู่ในการดูแลของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนเด็ก ผู้หญิง ทางกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)รับไปดูแล ซึ่งเป็นไปตามกฏหมายของไทย อย่างไรก็ตาม ในส่วนของทหารหรือตำรวจแม้จะไม่ได้มีหน้าที่โดยตรงแต่ในฐานะที่ดูแลด้านความมั่นคง หากพบเจอต้องควบคุมตัวส่งตำรวจเพื่อดำเนินการต่อไป หากจำนวนชาวโรฮิงญามีจำนวนมาก จนสถานที่ควบคุมไม่เพียงพอ ทาง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้นโยบายว่า หาพื้นที่ควบคุมเพิ่มเติม ซึ่งตนได้มีการสอบถามกับเจ้าหน้าที่ไปแล้วจึงความคืบหน้าการจัดเตรียมพื้นที่แต่ต้องได้รับจากพิจารณาจากผู้บังคับบัญชาระดับสูงด้วยเพื่อความเหมาะสม. แต่ถ้าตำรวจและพม.ยังสามารถดูแลได้ ก็ไม่จำเป็นซึ่งขณะนี้ทราบว่ายังรับมือได้อยู่
    สำหรับเรื่องการปฏิบัติต่อชาวโรฮิงญานั้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมกับ พล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็ได้รับทราบถึงแนวทางการปฏิบัติแล้วภายหลังลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต นอกจากนี้ยังมีในส่วนของกองอำนวยรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ภาค 4 ส่วนหน้าแยก1(กอ.รมน.ภาค4สน.แยก1)ต้องกำกับดูแลในเรื่องนี้ โดยมีกองบัญชาการอยู่ที่จ.ระนองจะดูภาพรวมทั้งหมด เพื่อให้เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชนยืนยันไม่มีการผลักดัน หรือผลักไสไล่ส่ง แต่ต้องเข้าใจไทยเป็นประเทศกลางทาง ไม่เป็นความประสงค์ของชาวโรฮิงญาที่เดินทางจากประเทศต้นทาง โดยมุ่งหวังไปประเทศที่สามหรือประเทศปลายทาง และมีการเคลื่อนย้ายทางทะเลเป็นหลัก ก็จะมีการตรวจสอบ หากเข้ามาในพื้นที่เขตน่านน้ำไทย เราจะส่งเจ้าหน้าที่ไปดูแล ว่ามีอาการเจ็บป่วยหรือไม่ หากเจ็บป่วยจะนำเข้ามารักษาพยาบาล แต่หากมีความประสงค์จะเดินทางต่อไปตามจุดหมายของเขา ก็ต้องปล่อยไปตามนั้น เราคงไปบังคับอะไรไม่ได้ หากไม่ต้องการเดินทางต่อเขาต้องเข้าสู่ระบบการถูกควบคุมตัวเพราะหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฏหมาย ถือเป็นลักษณะการปฏิบัติที่ถูกต้องไม่มีการละเมิดและจะดูแลตามสิทธิมนุษยชนอย่างดีที่สุด
    “ไทยถูกจับจ้องจากองค์กรต่าง ๆ นอกประเทศ ที่ยังไม่เข้าใจซึ่งหากประเทศเหล่านั้นดูแลเรื่องสิทธิให้กับชาวโรฮิงญาที่หลบหนีเข้ามาในประเทศไทย และถ้าช่วยประเทศไทย ็รับไปดูแลบ้างก็จะดี ซึ่งองค์ต่างๆต้องเห็นใจประเทศไทยด้วย เนื่องจากเราแบกรับภาระมามาก ถ้าเห็นว่าประเทศไทยควรทำอย่างไรให้ถูกต้องตามหลักสิทธิมนุษยชน ชาวโรฮิงญาที่หลบหนีเข้ามาอาจจะต้องการไปประเทศที่มีความพร้อม ซึ่งมีหลายประเทศที่จ้องมองประเทศไทยว่าควรจะทำตามขั้นตอนที่ถูกต้อง และที่ผ่านมาไทยก็ดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้อง แต่ท่านช่วยรับชาวโรฮิงญากลับไปด้วยเพราะประเทศของท่านมีความพร้อมเช่นกัน”พล.อ.อุดมเดช กล่าว
    พล.อ.อุดมเดช กล่าวต่อว่า พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกำลังประชุมหารือที่ประเทศมาเลเซีย เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว และในวันที่29พ.ค.นี้ จะมีการประชุมกับประเทศและองค์กรที่เกี่ยวข้องอีกครั้งในประเทศไทย คงจะได้กรอบแนวทางที่ชัดเจน ทั้งนี้การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ทำงานเต็มที่อยู่แล้วเพื่อให้เห็นว่าเราจริงจังกับการแก้ปัญหา
    “ผมได้พูดคุยกับ ผบ.ตร.ว่าหากพบทหารเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ให้ลงโทษเด็ดขาด ไม่ต้องเกรงใจ ให้ดำเนินการเต็มที่เพราะคนดีต้องรักษา เชิดชู ให้รางวัล ส่วนคนไม่ดีต้องไม่ให้บทบาทและไม่ให้อยู่ในกองทัพต่อไปตามระเบียบขั้นตอนของกองทัพ ถ้าเข้าข่ายคดีอาญาก็ต้องดำเนินการจนถึงขั้นปลด ขอให้สบายใจว่ากองทัพบกจะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา หากใครมีหลักฐานทางเจ้าหน้าที่ตำรวจขอดำเนินการเต็มที่ กองทัพพร้อมให้ความร่วมมือ” พล.อ.อุดมเดช กล่าว
    - See more at: 'อุดมเดช'ยันดำเนินคดี'โรฮิงญา'หลบหนีเข้าเมือง

    'อุดมเดช'ยันดำเนินคดี'โรฮิงญา'หลบหนีเข้าเมือง
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ไม่แน่! 'โรลา ทาคิซาว่า' ค่าตัว965ล้านเยน เป็นผช.เศรษฐีจีน
    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 20 พฤษภาคม 2558, 10:01

    [​IMG]

    ชักไม่แน่ว่าเรื่องจริง! "โรลา ทาคิซาว่า" ค่าตัว965ล้านเยน จ้างเป็นผู้ช่วยส่วนตัวเศรษฐีจีน

    เว็บไซต์ tokyoreporter.com รายงานว่า "โรลา ทาคิซาว่า" สาวลูกครึ่งญี่ปุ่น-รัสเซีย อดีตดาราเอวีแดนปลาดิบ กรณีมีกระแสข่าวว่าเธอเซ็นสัญญาผูกขาดเป็นผู้ช่วยส่วนตัวกับเศรษฐีชาวจีน ด้วยค่าตัวกว่า 965 ล้านเยนนั้น อาจเป็นเรื่องไม่จริง

    ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์ Shukan Post ก็ได้ออกมาเผยว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องโกหก ซึ่งโรลา ทาคิซาว่า ได้เขียนข้อความเอาไว้ในเว็บไซต์เว่ยป๋อ ว่า "เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง" เพียงไม่กี่วันหลังจากที่มีการปล่อยข่าว
    ภาพจาก-nruan.com
    - See more at: ไม่แน่! 'โรลา ทาคิซาว่า' ค่าตัว965ล้านเยน เป็นผช.เศรษฐีจีน
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Ban Puech

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ต้องรีบติดต่อ UNHCR มารับโรฮิญญาโดยด่วน
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เจาะลึกโควต้าสลากกินแบ่งรัฐบาล
    Date: 18 พฤษภาคม 2015

    [​IMG]
    @นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร

    ต่อกรณีที่นายชัยวัฒน์ พสกภักดี ประธานมูลนิธิสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้าว่า วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งมูลนิธิสำนักงานสลากฯ ขึ้นมาก็เพื่อทำกิจกรรมบางอย่างที่ส่วนราชการทั่วไปทำไม่ได้ โดยมูลนิธิแห่งนี้เข้าไปรับโควตาสลากกว่า 9 ล้านฉบับจากสำนักงานสลากฯ เพื่อนำมาจัดสรรต่อให้ตัวแทนจำหน่าย, ยี่ปั๊ว-ซาปั๊ว ตามรายชื่อที่อยู่ในใบสั่งนักการเมือง ทั้งนี้ มูลนิธิสำนักงานสลากฯ จะมีรายได้จากการจัดสรรสลากคู่ละ 1.60 บาท คิดเป็นเงิน 7 ล้านบาท/งวด หรือเดือนละ 14 ล้านบาท

    จากนั้น มูลนิธิสำนักงานสลากฯ นำรายได้จากการขายสลากเดือนละ 7 ล้านบาท ส่งให้สำนักงานสลากฯ จัดสรรเป็นเงินเดือนพนักงานสลาก, ลูกจ้างชั่วคราวและลูกจ้างของบริษัท (Outsource) ทั้งสำนักงานสลากฯ ทุกๆ วันที่ 15 ของเดือน ส่วนที่เหลืออีก 7 ล้านบาท โอนให้สำนักงานสลากฯ นำไปใช้จ่ายในรายการเบิกไม่ได้

    นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวกับผู้สื่อข่าว กรณีมูลนิธิสำนักงานสลากฯ นำรายได้จ่ายเป็นเงินเดือนให้พนักงานสลากเป็นประจำทุกเดือน โดยไม่หักภาษี ณ ที่จ่ายนำส่งกรมสรรพากรว่าปัจจุบันกรมสรรพากรจำแนกประเภทมูลนิธิ-สมาคมออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 มูลนิธิ-สมาคมทั่วไป กลุ่มนี้มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเหมือนบริษัท ห้างหุ้นส่วน นิติบุคคลทั่วไป โดยผู้ที่บริจาคเงินให้กับมูลนิธิ-สมาคมกลุ่มนี้นำยอดเงินบริจาคหักลดหย่อนภาษีไม่ได้ และกลุ่มที่ 2 มูลนิธิ-สมาคมที่ได้รับยกเว้นภาษีทุกประเภท ตามรายชื่อมูลนิธิ-สมาคมที่ประกาศบนเว็บไซด์กรมสรรพากร ผู้ที่บริจาคเงินหรือสิ่งของให้มูลนิธิ-สมาคมกลุ่มนี้ สามารถนำยอดเงินหรือสิ่งของที่บริจาค มาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ ส่วนกรณีบริษัท นำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ สำหรับมูลนิธิสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลอยู่ในกลุ่มที่ 1 จึงไม่มีรายชื่ออยู่ในประกาศกรมสรรพากร มูลนิธิสำนักงานสลากฯ มีหน้าที่ต้องเสียภาษีให้กับกรมสรรพากรเสมือนกิจการทั่วไป

    หากมูลนิธิสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลไม่หักภาษี ณ ที่จ่ายนำส่งกรมสรรรพากร ตามที่ประมวลรัษฎากรกำหนด ตัวมูลนิธิสำนักงานสลากฯ ต้องจ่ายเงินเพิ่มรายเดือนให้กับกรมสรรพากร 1.5% ของค่าภาษีส่วนที่ไม่ได้หักนำส่งกรมสรรพากร นับตั้งแต่วันที่เริ่มจ่ายเงินเดือนพนักงานสลาก ส่วนพนักงานสลาก (ผู้รับเงิน) หากไม่นำรายได้ดังกล่าวมายื่นแบบเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี ก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มรายเดือน 1.5% พร้อมกับชำระค่าภาษีด้วย

    แหล่งข่าวระดับสูงจากกรมสรรพากรเปิดเผยว่า กรณีมูลนิธิสำนักงานสลากฯ นำรายได้จากการจัดสรรสลากเดือนละ 14 ล้านบาท ไปจ่ายเป็นเงินเดือนพนักงานสลากและค่าจ้างบริษัทเอาท์ซอร์ส รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทุกครั้งที่มีการจ่ายเงิน มูลนิธิสำนักงานสลากฯ หรือผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% นำส่งกรมสรรพากรเดือนละ 420,000 บาท หรือปีละ 5.04 ล้านบาท หากมูลนิธิสำนักงานสลากฯ ไม่หักภาษี ณ ที่จ่ายนำส่งกรมสรรพากรมา 10 ปี ตามประมวลรัษฎากรให้อำนาจกรมสรรพากรสามารถเรียกเก็บเงินเพิ่มรายเดือนได้ไม่เกิน 50.4 ล้านบาท

    ส่วนกรณีพนักงานสลากรับเงินจากมูลนิธิสำนักงานสลากฯ เดือนละ 8,500 บาท หรือปีละ 102,000 บาท ถือเป็นเงินได้พึงประเมิน ต้องนำมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราก้าวหน้า คาดว่าพนักงานสลากส่วนใหญ่เสียภาษีเงินได้ที่อัตรา 10% คิดเป็นเงินภาษีที่ต้องชำระ 10,200 บาท/ปี หาก 10 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยนำเงินเดือนที่ได้รับจากมูลนิธิสำนักงานสลากฯนำมายื่นแบบเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเลย พนักงานสลากต้องจ่ายภาษีให้กรมสรรพากรย้อนหลังรายละ 102,000 บาท บวกเงินเพิ่มรายเดือนอีก 1.5% ของยอดภาษีที่ค้างชำระ (ทั้งนี้เก็บเงินเพิ่มรายเดือนได้ไม่เกิน 102,000 บาท)รวมค่าภาษีที่พนักงานสลากต้องจ่ายให้กับกรมสรรพากรย้อนหลังคนละ 204,000 บาท

    นายประสงค์กล่าวต่อว่า สำหรับมูลนิธิ-สมาคมที่ได้รับยกเว้นภาษี ตามระเบียบกรมสรรพากร มูลนิธิ-สมาคมกลุ่มนี้ต้องส่งรายงานผลการดำเนินงาน งบดุล บัญชีรายรับ-รายจ่าย ให้กรมสรรพากรตรวจสอบภายใน 150 วัน โดยเจ้าหน้าที่สรรพากรจะทำการตรวจสอบว่ามูลนิธิ-สมาคมกลุ่มนี้ นำเงินบริจาคมาใช้จ่ายเพื่อกิจกรรมสาธารณะกุศลอย่างน้อย 65% ของยอดเงินที่รับบริจาคหรือไม่ ปรากฏว่ามีมูลนิธิ-สมาคมที่ได้รับยกเว้นภาษีหลายรายไม่ปฏิบัติตามระเบียบของกรมสรรพากร บางกรณีผู้ก่อตั้งมูลนิธิ-สมาคม เสียชีวิต จึงไม่ได้ทำกิจกรรมใดๆ ตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งมูลนิธิ-สมาคม ขณะนี้กรมสรรพากรกำลังรวบรวมรายชื่อส่งให้นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ลงนามในประกาศเพิกถอนออกจากรายชื่อมูลนิธิ-สมาคมที่ได้รับยกเว้นภาษี

    ผู้สื่อข่าวได้สอบถามนายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะผู้กำกับดูแลสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลว่าจะดำเนินการอย่างไรในประเด็นเดียวกันนี้ นายสมหมาย ตอบว่า “ตอนนี้ผมคงไม่ต้องไปทำอะไรแล้ว เพราะ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมกับ พล.ต. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล ท่านเข้ามารับงานนี้ไปแล้ว ผมมีภารกิจอื่นที่ต้องทำอีกมากมาย แต่จริงๆ ผมก็ไม่เห็นด้วยกับกรณีที่สำนักงานสลากฯ จัดตั้งมูลนิธิสำนักงานสลากฯ ขึ้นมา โอนโควตาสลากมาแขวนเอาไว้เพื่อนำไปจัดสรรต่อตามคำสั่งของนักการเมือง ซึ่งรวมทั้งอดีตผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการคลังและสำนักงานสลากฯ ในอดีตด้วย ช่วงที่ผมดำรงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เคยได้รับมอบหมายให้กำกับดูแล แต่ผมไม่เคยเดินทางตรวจเยี่ยมสำนักงานสลากฯ และไม่เคยได้รับเงินใครแม้แต่บาทเดียว”

    พนักงานสลากกินแบ่งถูกกินรวบ สรรพากรเตรียมเก็บภาษีย้อนหลังต้องจ่าย 204,000 บาทต่อคน – มูลนิธ
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พลเอกภณ วนากมล
    **ดูภาพ อังกฤษ ใช้อินเดีย(โรนิงญา) ...รบเพื่อยึดครอง พม่า ....คือสาเหตุ ที่โรนิงญา ไม่มีสิทธิ เป็นพลเมือง สัญชาติพม่า**

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พลเอกภณ วนากมล ·
    ....ขอสรุป เรื่อง โรนิงญา.....สำหรับท่านที่อยากรู้....
    1.)....เรื่อง เริ่มตั้งแต่ อังกฤษ ใช้โรนิงญา รบ
    ช่วย เพื่อยึดครอง พม่า จากที่อยู่เดิม ในแคว้น ยะไข่
    2.).....อังกฤษ รบชนะพม่า และทำลาย ระบอบกษัตริย์ ของพม่า แล้วเอา กษัตริย์ ไปขังไว้ในอินเดีย จนเสียชีวิต
    3.).....อังกฤษ เปิดเสรี ให้ชาวโรนิงญา อพยพเข้าพม่าอย่างเสรี จากอินเดีย (ตอนนั้น ยังไม่มีบังคลาเทศ )....จากไม่กี่หมื่น กลายเป็น
    สองล้าน บวก ในระยะที่พม่าตกในปกครองอังกฤษ
    4.).....อังกฤษ ให้เอกราชพม่า ๆจึงไม่ให้สัญชาติ แก่โรนิงญา แล้วเกิดปัญหากระทบ
    ระหว่าง โรนิงญา ที่นับถืออิสลาม กับพม่าที่นับถือพุทธ...มีการขับไล่และทำร้ายชาวโรนิงญา อย่างจริงจัง โดยพม่า...
    5.).....โรนิงญาจะกลับบังคลาเทศๆก็ อดๆหยากๆ ยากจน และไม่ยอมรับ
    6.).....ประเทศไทย(หรือชาติ อื่นๆ)...รับตั้ง
    ศูนย์อพยพ ...คือการยอมรับ โรนิงญา เพราะไม่รู้จะส่งคืนที่ใด แบบชาติอื่น เช่นเขมร กะเหรี่ยง พม่า ลาว
    7.)......เพราะ โรนิงญาไม่มีประเทศ
    8.)......ถ้าไทยรับ ตามUNO .หรือ ตามคุณพ่อ
    มะกัน ....
    9.).......ก็คือการยกแผ่นดิน ให้นั่นเอง
    ........การเจรจาต้องมีเงื่อนไข ก่อน อย่ามองแค่เมตตา อย่างเดียว
    ........อังกฤษคือต้นเหตุ ต้องรับผิดชอบ
    .,,,,,,,อังกฤษยัง ทิ้ง ***สนธิสัญญาปางหลวง*** ให้ มีการสู้รบใน พม่า ยาวนาน70
    ปี .....แต่สหรัฐไม่เห็นสนใจ
    >>>>>>~~~ตื่นได้แล้วคนไทย อย่ามัวทะเลาะกัน แย่งอำนาจ การเมืองกันไม่รู้จบ ....
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    UN-องค์กรผู้ลี้ภัย เรียกร้อง 9 ข้อ วอนไทย-มาเลย์-อินโดฯช่วยผู้อพยพ
    โดย ไทยรัฐออนไลน์ 20 พ.ค. 2558 01:16

    [​IMG]

    ชาวโรฮีนจาจำนวนมากติดค้างอยู่บนเรือซึ่งลอยลำอยู่กลางทะเล (ภาพ: AFP PHOTO)

    หน่วยงานของสหประชาชาติและองค์กรช่วยเหลือผู้ลี้ภัยต่างๆ ออกแถลงการณ์ร่วม เรียกร้องให้ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ช่วยเหลือผู้อพยพที่ติดค้างอยู่กลางทะเลอย่างเร่งด่วน โดยระบุว่า ให้คำนึงถึงการช่วยเหลือชีวิตเป็นอันดับแรก...

    สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์), สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ (โอเอชซีเอชอาร์), องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (ไอโอเอ็ม) และผู้แทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติ (เอสอาร์เอสจี) เพื่อการพัฒนาและการย้ายถิ่นฐาน ออกแถลงการณ์ร่วมกันเมื่อวันที่ 19 พ.ค. ร้องขอให้ประเทศไทย, มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ช่วยเหลือผู้อพยพที่ติดค้างอยู่บนเรือกลางทะเลในอ่าวเบงกอล และทะเลอันดามัน รวมทั้งระบุข้อเรียกร้องเอาไว้ 9 ข้อ

    แถลงการณ์ร่วมระบุว่า "พวกเราซึ่งร่วมลงนามไว้แล้วในข้างท้าย ขอเรียกร้องอย่างรุนแรงต่อผู้นำของประเทศอินโดนีเซีย, มาเลเซีย และไทย ให้ปกป้องผู้อพยพและผู้ลี้ภัยซึ่งติดค้างอยู่บนเรือในอ่าวเบงกอลและทะเลอันดามัน, อำนวยความสะดวกในการนำพวกเขาขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย และให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือชีวิต, ปกป้องสิทธิ และเคารพในคุณค่าของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เป็นลำดับแรก

    "สถานการณ์วิกฤติในอ่าวเบงกอลและทะเลอันดามันในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา อันเกี่ยวเนื่องกับผู้ลี้ภัยและผู้อพยพชาวโรฮีนจา และอื่นๆ จากบังกลาเทศ และเมียนมา เป็นเครื่องยืนยันแล้วว่า ผู้ด้อยโอกาสทั่วโลกกำลังเคลื่อนไหวเพื่อค้นหาความปลอดภัยและความภาคภูมิ, หลบหนีการข่มเหงรังแก ความยากจนอันอย่างน่าเวทนา การถูกทอดทิ้ง การแบ่งแยก และการทารุณกรรม โดยการเดินทางซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายเช่นนี้ ไม่ว่าจะทางบก, ทางทะเล หรือทางอากาศ กลายเป็นปรากฏการณ์ทั่วโลกไปแล้ว

    "ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้คนมากกว่า 88,000 คน เสี่ยงภัยออกเดินทางทางทะเลตั้งแต่ปี 2014 รวมไปถึง คน 25,000 คน ผู้เดินทางไปถึงจุดหมายในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ เชื่อว่าเกือบ 1,000 ชีวิต ต้องดับสิ้นไปในทะเล จากปัจจัยแวดล้อมของการเดินทางที่ไม่ปลอดภัย และเพราะการถูกทารุณกับความขาดแคลนในเงื้อมมือของขบวนการค้ามนุษย์ ผู้อพยพและผู้ลี้ภัยในอ่าวเบงกอล รับประทานเพียงข้าวขาว และตกเป็นเหยื่อความรุนแรง รวมทั้งความรุนแรงทางเพศ ผู้หญิงถูกข่มขืน เด็กต้องพลัดพรากจากครอบครัวและถูกทารุณ ผู้ชายถูกทุบตีและโยนลงจากเรือ

    "เราเป็นกังวลอย่างยิ่งต่อรายงานที่ว่า เรือซึ่งเต็มไปด้วยชาย หญิง และเด็กด้อยโอกาส ไม่สามารถขึ้นฝั่งได้ และต้องลอยลำอยู่กลางทะเลโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือด้านอาหาร น้ำ และยา ซึ่งจำเป็นอย่างเร่งด่วน เราขอเรียกร้องต่อรัฐต่างๆในภูมิภาค ให้ปกป้องชีวิตของคนบนเรือเหล่านี้ ด้วยการอนุญาตให้พวกเขาขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย"

    แถลงการณ์ยังขอให้เหล่าผู้นำทำตามข้อเรียกร้องดังนี้ด้วยการสนับสนุนจากประชาคมอาเซียน :

    1. ยึดถือเรื่องการช่วยชีวิตเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก ด้วยการยกระดับความเข้มแข็งของปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัย

    2. หยุดการผลักดันเรือและมาตรการต่างๆ ที่ช่วยให้เรือเหล่านั้นออกจากน่านน้ำ ขณะที่รับประกันด้วยว่า มาตรการทั้งหมดที่ใช้นั้นสอดคล้องกับข้อปฏิบัติของหลักการไม่ส่งกลับ (non-refoulement) และมาตรฐานสิทธิมนุษยชนอื่นๆ

    3. เตรียมการเพื่อนำเรือเข้าฝั่งอย่างมีประสิทธิภาพและพยากรณ์ได้ ไปยังสถานที่ปลอดภัยที่มีการต้อนรับทางมนุษยธรรมอย่างพอเพียง

    4. หลีกเลี่ยงการจับกุมผู้อพยพและมาตรการลงโทษอื่นๆ และรับรองด้วยว่าสิทธิมนุษยชนของผู้อพยพและผู้ลี้ภัยทั้งหมดจะได้รับการคุ้มครอง และการกระทำใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็ก จะต้องถูกชี้นำด้วยผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก

    5. จัดตั้งกระบวนการคัดกรองด้วยเจ้าหน้าที่ร่วมจากรัฐบาลและองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อจำแนกแยกแยะสถานการณ์ของผู้อพยพแต่ละคน ว่าเป็น ก. ผู้อพยพที่ต้องการความคุ้มครองเช่น หลบภัย ลี้ภัย หรือ เป็นบุคคลไร้สัญชาติ ข. เป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์หรือผู้มีความเสี่ยง ถูกทรมานหรือการทารุณอื่นๆ หากถูกส่งกลับประเทศที่พวกเขาจากมา ค. ผู้อพยพที่มีปัญหาสุขภาพต้องได้รับการรักษาฉุกเฉิน และ ง. ผู้อพยพที่สมัครใจเดินทางกลับมาตุภูมิด้วยตัวเอง

    6. เพิ่มช่องทางเพื่อการอพยพอย่างถูกกฎหมายและปลอดภัย โดยเฉพาะสำหรับแรงงานอพยพในทุกระดับทักษะ

    7. เพิ่มความพยายามในการดำเนินคดีเอาผิดกับสมาชิกขบวนการค้ามนุษย์และผู้ขนส่งคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย โดยสอดคล้องกับมาตรฐานสากลเพื่อสิทธิมนุษยชน และเคารพสิทธิ์ของผู้ตกเป็นเหยื่ออย่างเต็มที่ด้วย

    8. เพิ่มความร่วมมือระหว่างประเทศเป็น 2 เท่า เพื่อหาทางแก้ไข 'ปัจจัยผลักดัน' และรากเหง้าของปัญหาที่ทำให้เกิดการอพยพและลี้ภัย โดยเฉพาะการแบ่งแยก, การถูกทอดทิ้ง, การข่มเหงรังแก และการละเมิดสิทธิมนุษยชน

    9. ออกมาตรการเฉพาะเพื่อต่อสู้กับการหวาดกลัวชาวต่างชาติ และการแบ่งแยกใดๆ บนพื้นฐานของเชื้อชาติ, เพศ, ภาษา, ศาสนา, ชนเผ่า, สัญชาติ, ถิ่นกำเนิด หรือสถานะอื่นๆ

    UN-องค์กรผู้ลี้ภัย เรียกร้อง 9 ข้อ วอนไทย-มาเลย์-อินโดฯช่วยผู้อพยพ - ข่าวไทยรัฐออนไลน์
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โผล่ที่สัตหีบ .. เรือดำน้ำนิวเคลียร์สหรัฐฯ เข้าถึงก้นอ่าวไทย
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 มีนาคม 2556 00:08 น.

    [​IMG]

    เรือแอลบูเคอร์กี (USS Albuquerque -SSN 706) แล่นไปยังเรือแฟรงค์ เคเบิ้ล (USS Frank Cable -AS 40) เรือพี่เลี้ยงในอ่าวสัตหีบของไทยวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา กองทัพเรือสหรัฐโดยกองกำลังแปซิฟิกเผยแพร่ภาพในเว็บไซต์วันอังคารนี้ นับเป็นเรือดำน้ำสหรัฐลำที่ 2 ที่เข้าทะเลอ่าวไทย เท่าที่มีการเปิดเผยในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ปีที่แล้วเรือบัฟฟาโล (USS Buffalo - SSN715) ซึ่งเป็นเรือชั้นลอสแอนเจลีสอีกลำเข้าจอดที่ท่าเรือแหลมฉบัง แต่เรือแอลบูเคอร์กีเข้าถึงก้นอ่าวไทยในปีที่สหรัฐฯ เริ่มเคลื่อนย้ายกำลัง 60% สู่ภูมิภาค. -- US Navy Photo/Mass Communication Specialist 2nd Class Corey Hensley

    ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ทะเลอ่าวไทยได้กลายเป็นแหล่งคุ้นเคยสำหรับเรือดำน้ำขนาดใหญ่ไปอีกแห่ง และไม่จำเป็นต้องทำลับๆ ล่อๆ อีกต่อไป กองกำลังนาวีในแปซิฟิกของสหรัฐฯ ได้เผยแพร่ภาพเรือดำน้ำ 1 ลำ กับเรือพี่เลี้ยงอีก 1 ลำ ในบริเวณอ่าวสัตหีบของไทยในวันอังคาร 12 มี.ค.นี้ ซึ่งเป็นภาพเหตุการณ์ 2 วันก่อนหน้านั้น และเรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงปีที่สหรัฐฯ เริ่มเคลื่อนย้ายแสนยานุภาพเข้าสู่ภูมิภาค

    ทั้ง 2 ลำในภาพคือ เรือแอลบูเคอร์กี (USS Albuquerque -SSN706) ซึ่งเป็นเรือดำน้ำโจมตีเร็วชั้นลอสแองเจลิส (Los Angeles-Class) ขนาด 6,000 ตัน ติดจรวดร่อนโทมาฮอว์กสำหรับยิงโจมตีเป้าหมายภาคพื้นดินในรัศมีนับพันกิโลเมตร และติดจรวดฮาร์พูนยิงทำลายเรือรบข้าศึกบนพื้นน้ำ อีกลำหนึ่งคือ เรือแฟรงค์เคเบิล (USS Frank Cable -AS40) ซึ่งเป็นเรือสนับสนุนเรือดำน้ำ (Submarine Tender Ship) แต่ทั้งกองเรือแปซิฟิก และกองทัพเรือสหรัฐฯ ยังมิได้ให้รายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับภารกิจของเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ลำนี้

    ตามรายงานในเว็บไซต์กองเรือแปซิฟิกสหรัฐฯ เรือแฟร็งค์ เคเบิล กับเรือแอลบูเคอร์กี ไปถึงอ่าวสัตหีบตั้งแต่วันที่ 9 มี.ค. ในโครงการเชื่อมความสัมพันธ์ และความร่วมมือกับราชนาวีไทย ซึ่งระหว่างนี้ลูกเรือจะมีส่วนร่วมในโครงการบริการชุมชนด้วย ขณะเดียวกันก็จะใช้โอกาสนี้ซ่อมบำรุงเรือดำน้ำให้แล้วเสร็จ ซึ่งไม่มีการระบุว่าเป็นเรื่องใดบ้าง

    “ภารกิจ (การแวะเยือน) ครั้งนี้จะะช่วยปรับปรุงความสามารถของเราในปฏิบัติงานร่วมกันในยามที่ไทยกับสหรัฐฯ จะต้องปฏิบัติการร่วมกัน” น.อ.พีท ฮิลเดร็ท (Pete Hildreth) ผู้บังคับการเรือแฟรงค์ เคเบิล กล่าว

    อย่างไรก็ตาม ไม่มีการกล่าวถึงภารกิจของเรือดำน้ำ กับนายทหารและลูกเรือราว 150 ชีวิต

    แอลบูเคอร์กี นับเป็นเรือดำน้ำสหรัฐฯ ลำที่ 2 ที่แล่นเข้าถึงก้นอ่าวไทยในช่วงไม่กี่ปีมานี้หรือเท่าที่มีการเปิดเผย หลังจากเรือบัฟฟาโล (USS Buffalo - SSN715) ซึ่งเป็นเรือชั้นลอสแองเจลิสอีกลำได้เข้าจอดเทียบท่าเรือแหลมฉบังร่วมฝึกซ้อมการปราบปรามเรือดำน้ำ ตามการร้องขอของราชนาวีไทยระหว่างวันที่ 31 ก.ค.-20 ส.ค.ปีที่แล้ว

    “วันที่ 20 มี.ค. เรือเอสเอสเอ็น 706 ได้เข้าจอดเทียบเรือยูเอสเอสแฟรงค์เคเบิล ขณะทอดสมอนอกฝั่งสัตหีบในประเทศไทย เพื่อรับการซ่อมบำรุง (Fleet Maintenance Availability - FMAV)” เป็นข้อความสั้นๆ เกี่ยวกับกำหนดการของเรือแอลบูเคอร์กี ที่โพสต์ลงในหน้าข่าวของเว็บไซต์ Uscarriers.Net วันอังคารนี้

    เว็บไซต์ดังกล่าวได้เฝ้าติดตาม และอัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับเรือดำน้ำลำนี้ กับเรือชั้นลอสแองเจลิสลำอื่นๆ เป็นระยะ

    เรือแอลบูเคอร์กี แล่นออกจากฐานทัพซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อวันที่ 29 ม.ค.2556 “เพื่อสนับสนุนสันติภาพกับความมั่นคงปลอดภัย” ในย่านแปซิฟิกตะวันตก ซึ่งหมายถึงทะเลจีนใต้กับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด

    ต่อมา วันที่ 13 ก.พ. เรือได้แวะเยือนเมืองท่าโยโกสุกะ (Yokosuka) ในญี่ปุ่นจอดที่นั่นเป็นเวลา 6 วัน ให้ลูกเรือกว่า 100 คนขึ้นฝั่ง เรียนรู้ด้านวัฒนธรรมท้องถิ่น ทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ และพักผ่อน ทั้งนี้เป็นรายงานในเว็บไซต์กองเรือแปซิฟิกสหรัฐฯ

    หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวใดๆ เกี่ยวกับเรือดำน้ำลำนี้เลยอีกจนกระทั่งวันนี้

    แอลบูเคอร์กีเข้าประจำการกองทัพเรือเมื่อปี 2526 และนับตั้งแต่เรือลอสแองเจลิส (USS Los Angeles -SSN688) ซึ่งเป็นเรือนำของชั้นเข้าประจำการในปี 2519 ได้มีการสร้างขึ้นมาอีกรวมทั้งหมด 62 ลำ จนถึงสิ้นปี 2555 ยังเหลือประจำการอยู่เพียง 42 ลำ ขณะที่ 18 ลำจอดนิ่งเพื่อรอปลดประจำการ อีก 2 ลำปลดออกไปและทำลายทิ้ง ทั้งหมดรอเรือรุ่นใหม่ในชั้นเวอร์จิเนีย (Virginia-Class) ขนาด 7,900 ตัน ใหญ่กว่า และทันสมัยยิ่งกว่าเข้าแทนที่


    http://www.mgronline.com/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9560000030705
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    In & Outside World
    แผ่นดินไหวรอบๆ เยลโล่สโตน
    Earthquake around YellowStone...

    [​IMG]
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปาฏิหารย์แห่งโรฮิญญา มีอิทธอฤทธิ์ เหลือเชื่อ ข่าวเก่าน่ะครับ

    261โรฮิงญา อาละวาดแหกห้องขังตม.พังงา ขอละหมาด
    08 สิงหาคม 2013 เวลา 15:48 น. tannysoft

    [​IMG]

    ชาวโรฮิงญา กว่า 200 คน ลุกขึ้นประท้วงทำลายห้องขัง เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวเพื่อทำการละหมาดตามประเพณีศาสนาอิสลาม เจ้าหน้าที่เข้าควบคุมสถานการณ์ตรึงกำลังเข้มไม่ให้ออกมา

    วันนี้ (8 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณด่านตรวจคนเข้าเมืองพังงา ชาวโรฮิงญา จำนวน 261 คน ได้ลุกขึ้นประท้วงพร้อมทำลายห้องขังจนสามารถพังประตูห้องควบคุมของแต่ละห้องได้ และมีการรวมกลุ่มกันเพื่อออกมานอกอาคารควบคุม โดยเรียกร้องให้ปล่อยตัวเพื่อทำการละหมาดเนื่องในวันออกบวชตามประเพณีศาสนาอิสลาม จนกระทั่งเหตุการณ์บานปลาย ทำให้ทาง พล.ต.ต.ชลิต ถิ่นธานี ผบก.ภ.จว.พังงา เดินทางมาตรวจสอบพร้อมกับกำลังตำรวจ นปพ. กำลังตำรวจชุดปราบปรามการจลาจล เจ้าหน้าฝ่ายป้องกันจังหวัด ฝ่ายปกครองอำเภอ สนธิกำลัง จำนวนกว่า 100 นาย นอกจากนี้ยังมีการประสานเจ้าหน้าที่ รพ.พังงา หน่วยกู้ภัยพังงา และหน่วยงานต่าง ๆ

    ในที่เกิดเหตุเป็นบริเวณ หมู่ที่ 3 ต.ถ้ำน้ำผุด อ.เมืองพังงา พบชาวโรฮิงญา จำนวน 261 คน ได้พังห้องขังจำนวนกว่า 3 ห้อง แล้วออกมาออกันที่หน้าประตูทางออก จนเกือบจะพังประตูได้ โดยเจ้าหน้าที่พยายามจะเข้าไปควบคุมและเจรจาเพื่อให้ทั้งหมดอยู่ในอาการที่สงบ พร้อมกับเข้าต่อรองว่าขอให้ออกมาทำพิธีชุดละ 5 คน ซึ่งจะง่ายต่อการควบคุมแต่ปรากฎว่าชาวโรฮิงญา ไม่ยินยอมพร้อมตะโกนโวยวายและพยายามที่จะพังประตูรั้วเหล็กกั้นออกมา ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้กระบองและอุปกรณ์ในการสลายฝูงชนตามขั้นตอน
    จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เชิญกรรมการอิสลามประจำจังหวัดพังงา ให้เข้ามาช่วยเกลี้ยกล่อมจนทางชาวโรฮิงญาได้สงบนิ่งอยู่พักหนึ่ง แต่หลังจากกรรมการอิสลามจังหวัดพังงาได้ขอพรตามพิธีกรรมทางศาสนาเสร็จสิ้น ชาวโรฮิงญาก็กลับลุกฮือขึ้นทำลายประตูอีกครั้ง กระทั่งเจ้าหน้าที่ต้องใช้แผงเหล็กกั้นประตูรั้วเหล็กอีกชั้น พร้อมวางแผนเพื่อให้เหตุการณ์สงบลง โดยขั้นแรกใช้วิธีตรึงกำลังแต่กำลังเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอประกอบกับรั้วเหล็กกั้นประตูหน้านั้นไม่ทนทาน และมีท่าทีว่าจะพังออกมา จึงใช้รถดับเพลิงฉีดน้ำเข้าไปเพื่อสลายกลุ่มประท้วงของชาวโรฮิงญา แต่ไร้ผล

    ทั้งนี้ จึงได้ให้ตำรวจและอาสาสมัครรักษาดินแดนของฝ่ายปกครอง สนธิกำลังกันเข้าตรึงแผงเหล็กรั้วประตูไว้ไม่ให้ชาวโรฮิงญาออกมา พร้อมกับสลับเวรกันเฝ้า และรอให้กลุ่มชาวโรฮิงญาอ่อนแรงจึงเข้าไปควบคุมตัว พร้อมหาตัวแกนนำในการประท้วงครั้งนี้ออกมา เพื่อควบคุมต่อไปยัง สภ.ต่าง ๆ ในจังหวัดพังงา

    เบื้องต้นเจ้าหน้าที่กำลังคุมเข้มอยู่บริเวณหน้าห้องควบคุมอย่างเข้มงวดโดยมีกองร้อยปราบปรามฝูงชน ของ ตร.ภ.จว.พังงา และ อส.ฝ่ายความมั่นคง ของจังหวัดพังงา เข้าตรึงกำลังและดันประตูไว้เพื่อไม่ให้ชาวโรฮิงญาออกมาได้ เพราะเกรงว่าหากมีการแหกอาคารควบคุมออกมาได้จะเป็นที่อันตราย เนื่องจากบริเวณดังกล่าว มีทั้งสำนักงานของหน่วยงานราชการ และที่สำคัญมีโรงเรียนอนุบาลพังงา ซึ่งมีเด็กนักเรียนชั้น อนุบาล – ป.6 อยู่ด้วย

    261โรฮิงญา อาละวาดแหกห้องขังตม.พังงา ขอละหมาด « Spring News
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โอละพ่อ! "โรล่า" ค่าตัว 15 ปี พันล้านเยน แค่กุข่าว!? เผยของจริงชั่วโมงละแสนเยน โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 พฤษภาคม 2558 22:11 น. (แก้ไขล่าสุด 19 พฤษภาคม 2558 22:20 น.)

    [​IMG]

    @สุดท้ายก็แค่ข่าวปลอม!!!

    เป็นข่าวดังไปทั่วโลกกับประเด็นอดีตนักแสดง AV "โรลา มิซากิ" เซ็นสัญญากับมหาเศรษฐีชาวจีนเป็นเงินมหาศาล ซึ่งล่าสุดเจ้าตัวได้ออกมาปฏิเสธข่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    โดย Shukan Post ได้รายงานเพื่อแก้ข้อมูลผ่านนิตยสารฉบับล่าสุด ด้วยการอ้างอิงข้อความจาก Weibo ของตัว โรลา มิซากิ เองที่บอกอย่างชัดเจนว่า "ข่าวไม่เป็นความจริงโดยสิ้นเชิงค่ะ!" เช่นเดียวกับฝ่ายชายที่ปฏิเสธข่าวเช่นเดียวกัน

    ข่าวการเซ็นสัญญาผูกขาดยาว 15 ปีเต็มด้วยมูลค่าระดับ 965 ล้านเยน หรือ 267ล้านบาทระหว่างอดีตดารา AV ชื่อดัง และมหาเศรษฐีชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ที่ข่าวอ้างว่าเขาได้ทุ่มเงินว่าจ้าง โรล่า มิซากิ ให้มาทำหน้าที่ผู้ช่วยส่วนตัว กลายเป็นประเด็นดังที่สำนักข่าวต่างๆ ทั่วโลกให้ความสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนักแสดง AV วัย 24 ปี ได้ปรากฏตัวในงานอีเวนต์ที่กรุงปักกิ่ง พร้อมกับหนุ่มใหญ่ที่ปิดบังใบหน้าด้วยหน้ากาก ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่าเขาคนนี้ก็คือมหาเศรษฐีมือเติบคนที่ว่า

    แต่ล่าสุดสำนักข่าวในจีนแผ่นดินใหญ่ได้อ้างว่าเรื่องทั้งหมด เป็นแค่แผนการของนักธุรกิจสวมหน้ากากคนนี้เอง ที่พยายามจะกุข่าวสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองเป็นที่รู้จัก ทั้งการสร้างเอกลักษณ์เป็นมหาเศรษฐีสวมลึกลับ และยังว่าจ้างนักแสดง AV ชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่นให้มาเป็นคู่ควง เพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่เรื่องที่ว่าเขาได้ทุ่มเงินระดับเกือบ 1,000 ล้านเยน ให้กับเธอนั้นแหล่งข่าวในจีนยันว่าไม่เป็นความจริงโดยสิ้นเชิง

    อย่างไรก็ตามสื่อญี่ปุ่นก็ได้เปิดเผยว่าแม้การเซ็นสัญญาระดับเกือบ 1,000 ล้านเยน จะไม่ได้เป็นเรื่องจริง แต่ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่เหล่ามหาเศรษฐีในจีนแผ่นดินใหญ่จะซื้อบริการจากดารา AV ชื่อดัง ทั้งการจ่ายเงินให้เป็นครั้งคราว หรือเลี้ยงดูในลักษณะของภรรยาน้อยก็ตาม

    สำหรับกรณีของ โรล่า มิซากิ หรือ โรล่า ทาคิซาว่า ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นความหวังของวงการ AV ว่าจะโด่งดังในระดับเดียวกับ มาเรีย "มิยาบิ" โอซาว่า นั้นข่าวระบุว่าหลังที่ห่างจากวงการ AV ไป นักแสดงสาววัย 22 ปี ได้เข้าไปทำงานกับสถานบริการประเภท "ส่งถึงบ้าน" แห่งหนึ่งในกรุงโตเกียวที่ชื่อว่า Club Tora No Ana มาแล้ว

    โดยตามข่าว โรล่า มีค่าตัวอยู่ที่ 100,000 เยนต่อชั่วโมง (28,000 บาท) และ 120,000 เยน (33,000 บาท) ต่อ 90 นาที ซึ่งถือว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับสาวๆ คนอื่นที่ Club Tora No Ana ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นอดีตดารา AV เช่นเดียวกัน ที่จะมีค่าตัวประมาณ 33,000 - 45,000 เยน (9,000 – 12,000 บาท) ในระยะเวลาเท่าๆ กัน

    เมื่อครั้งที่มีข่าวว่าเธอได้เข้าไปทำงานที่ Club Tora No Ana ก็เคยเป็นเรื่องฮือฮาในสังคมออนไลน์ของจีนมาแล้ว ถึงขั้นที่มีผู้เขียนข้อความว่า "ไปโตเกียวกันเถอะ!!! เผื่อจับ โรล่า กลับบ้านมาด้วย!!"

    ซึ่งทาง Shukan Post ก็ได้ลองติดต่อไปที่ทาง Club Tora No Ana ดูแล้ว และทีมงานของร้านได้อ้างว่าขณะนั้น โรล่า มิซากิ ยังไม่ว่าง และออกไปข้างนอกกับแขกคนหนึ่ง

    http://manager.co.th/Japan/ViewNews.aspx?NewsID=9580000057131
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    คนชัยภูมิไม่เป็นหนูทดลองยา ..ประกาศไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน : โดย... สุทธิพงษ์ เสฎฐรังสี วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม 2558

    [​IMG]

    เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ประสบความสำเร็จในการเดินหน้าปลุกผีโครงการทำเหมืองแร่โปแตชอาเซียน ในพื้นที่ อ.บำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ หลังจากที่ผลักดันเรื่องนี้มาต่อเนื่องยาวนานกว่า 30 ปี โดยมีการจัดงานฉลองใหญ่ปิดอำเภอเลี้ยงปลอบขวัญชาวบ้านในพื้นที่ซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้เพื่อลดกระแสการต่อต้านจากประชาชนในพื้นที่ท่ามกลางสายตาความเป็นห่วงของชาวบ้านและกลุ่มนักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เพราะเกรงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมาในภายหลังทั้งเรืองดิน น้ำและอากาศ

    ล่าสุดมีการเตรียมเดินหน้าโครงการเหมืองแร่โปแตชต่อด้วยการขอตั้งโรงงานไฟฟ้าถ่านหิน เพื่อนำเอาพลังงานไฟฟ้าที่ได้ไปแยกแร่ในพื้นที่เพิ่มเติมอีก โดยไม่ได้บอกกล่าวเรื่องนี้กับชาวบ้านมาก่อน จนชาวบ้านบางส่วนทราบข่าวจากตัวแทนผู้นำชุมชนและถูกขอให้ไปร่วมเวทีรับฟังความคิดเห็น เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมที่ผ่านมา ที่หอประชุมอาคารเมตตาการกุศล เขต ทต.บ้านเพชร อ.บำเหน็จณรงค์ โดยมีตัวแทนชุมชนละไม่เกิน 10 คนไปร่วมเวทีรับฟังความเห็นดังกล่าว

    การเปิดรับฟังความคิดเห็นครั้งนี้มีการนำเสนอว่าจะมีการดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม โดยไม่ได้บอกว่าเป็นพลังงานความร้อนร่วมชนิดใด แต่เมื่อเปิดเอกสารดูพบว่าเป็นโครงการสร้างโรงงานไฟฟ้าถ่านหินที่จะมีการก่อสร้างในพื้นที่จึงทำให้ชาวบ้านในพื้นที่หวาดกลัวเพราะกรณีโรงไฟฟ้าแม่เมาะที่มีคำพิพากษาออกมาแล้วว่ามีผลกระทบกับประชาชนและชุมชน ทำให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ เมื่อทราบความจริงก็ยิ่งทำให้ชาวบ้านบำเหน็จณรงค์หวาดกลัว จนต้องเคลื่อนไหวด้วยการนำป้ายออกไปติดตั้งตามจุดต่างๆ ทั่วอำเภอ เพื่อคัดค้านและประกาศไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน พร้อมจี้รัฐหากเดินหน้าก่อสร้างชาวบ้านก็เตรียมตัวออกมาเคลื่อนไหวอีก

    เปิดเวทีครั้งนี้มีนายนิพนธ์ สาธิตสมิตพงษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ นำหัวหน้าส่วนราชการไปร่วมเวทีเสวนา แต่ไม่ถึง 20 นาที ก็เดินทางกลับและปล่อยเวทีให้บริษัทเหมืองอาเซียนกับผู้นำท้องถิ่นและชาวบ้านคุยกันเอง โดยมีผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ข้าราชการและแพทย์ประจำตำบล ในพื้นที่ตำบลหัวทะเล บ้านตาล และบ้านเพชร ดำเนินการต่อไปถึงช่วงเที่ยงวัน

    เรื่องนี้ "ทนง คำพิทักษ์" ในฐานะตัวแทนชาวบ้านเพชรและหัวทะเล อ.บำเหน็จณรงค์ ที่มาร่วมเวที บอกว่า การดำเนินการครั้งนี้จำเป็นต้องให้สื่อมวลชนรับรู้ข้อมูลและฝากผ่านไปถึงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าจากนี้ไปชาวอำเภอบำเหน็จณรงค์จะไม่ยอมเป็นหนูทดลองยาอีกแล้ว ซึ่งการมาดำเนินการเปิดเวทีครั้งนี้อยู่ดีๆ ก็มาเปิด ทั้งที่ก่อนหน้านี้เรื่องการตั้งโครงการเหมืองแร่โปแตชอาเซียน ชาวบ้านก็ยังงงกับเรื่องนี้อยู่ อยู่ดีๆ ก็จะมาตั้งโรงงานไฟฟ้าถ่านหินอีก เหมือนเป็นการซ้ำเติมชาวบ้านมาก

    “แล้วปัญหาเรื่องผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม น้ำ ดิน อากาศ ที่จะตามมาภายหลังใครจะเป็นคนดูแล แล้วแบบนี้ใครจะกล้าให้มาดำเนินการในพื้นที่ชาวบำเหน็จณรงค์ไม่ยอมโดยเด็ดขาด หากอยู่ร่วมกันไม่ได้ก็ยกเลิกโครงการเหมืองแร่โปแตชไปเสีย” ทนง กล่าว

    ขณะที่บริษัทเหมืองแร่โปแตชอาเซียน จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้ให้ตัวแทนลุกขึ้นชี้แจงกับชาวบ้านว่า หากจะให้เป็นระบบอื่นนอกเหนือจากโรงไฟฟ้าถ่านหินคงทำได้ยาก เรื่องนี้มีการศึกษามาดีแล้ว ซึ่งการเปิดเวทีครั้งนี้เป็นเพียงการรับฟังความคิดเห็นครั้งแรกเท่านั้น ซึ่งชาวบ้านอาจยังไม่เข้าใจดีพอ และพร้อมรับฟังทุกความคิดเห็นซึ่งเหลือเวทีอีกถึง 3 ครั้งก่อนที่จะขออนุมัติโครงการตั้งโรงไฟฟ้าถ่านหินนี้ต่อไปได้

    ขณะที่บรรยากาศส่วนใหญ่ชาวบ้านและผู้นำชุมชนที่ร่วมเวทีครั้งนี้กว่า 500 คน ต่างไม่พอใจต่อการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น โดยยืนยันว่าไม่ยอมรับการตั้งโรงไฟฟ้าถ่านหิน แต่หากจะตั้งก็ต้องใช้พลังงานอย่างอื่นที่ไม่ใช่ถ่านหิน โดยอาจจะเป็นก๊าซหรือพลังงานแสงอาทิตย์แทน หากบริษัทเหมืองแร่อาเซียนไม่ดำเนินการก็พร้อมเดินหน้าร้องเรียนต่อรัฐบาล

    สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทเหมืองแร่โปแตชอาเซียน จำกัด (มหาชน) หลังได้ใบประทานบัตรจากรัฐบาลมาแล้ว ก็เริ่มดำเนินการเดินหน้าโครงการนี้ทันทีในปีนี้ที่จะต้องใช้เวลาจัดหาผู้รับทำเหมืองใต้ดินได้เสร็จสิ้นไม่เกินปี 2558 นี้ และการดำเนินการขุดเจาะในเฟสแรกในระยะเวลาจากนี้ไปอีก 3 ปีจึงจะสามารถนำแร่ขึ้นมาจากใต้ดินได้ ซึ่งเบื้องต้นจะต้องใช้งบประมาณลงทุนทั้งหมดไม่น้อยกว่า 40,000 ล้านบาท แยกเป็นฝ่ายใต้ดิน 20,000 ล้านบาท ฝ่ายบนดินขบวนการจัดคัดแยกแร่ขนส่งอีกกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีสถาบันการเงินทั้งในส่วนภาครัฐเอกชนในประเทศไทยเป็นหุ้นส่วนใหญ่เป็นหลักโดยจะไม่ใช่การร่วมทุนในกลุ่มจากประเทศอาเซียนเหมือนที่ผ่านมา

    โครงการยืนยันจากนี้ไปโครงการเหมืองแร่โปแตชอาเซียนที่ชัยภูมิ จะใช้เวลาไม่เกิน 3 ปีก็สามารถมีแร่ผลผลิตขึ้นมาเบื้องต้นถึงจะไม่เต็มที่ไปก่อนก็ตาม แต่ไม่ต่ำ 3-4 แสนตันต่อปี และจากนี้ไปไม่น้อยกว่า 6 ปี ก็จะสามารถผลผลิตได้เต็มที่ไม่น้อยกว่าปีละ 1 ล้านตันขึ้นไปได้อย่างต่อเนื่อง จากนี้ไปในระยะเวลาการทำเหมืองทั้งหมดรวม 25 ปีและคาดว่าจะช่วยลดการนำเข้าปุ๋ยของไทยจากต่างประเทศลดลงได้อีกมากว่า 7,000 ล้านบาทต่อปี


     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สายน้ำ ภูผา พัชรินทร์

    [​IMG]

    โซเชียลพลิกข้อมูล…ประวัติศาสตร์ชาวโรฮินจา (โรฮิงยา) ทำไมอยู่พม่าไม่ได้ อองซานซูจีว่ายังไง?
    ประวัติศาสตร์ชาวโรฮินจา (โรฮิงยา) ทำไมอยู่พม่าไม่ได้ <<< คนโลกสวย คนใจดีควรอ่าน
    ชาวโรฮินจา คือมุสลิมที่อาศัยอยุ่ทางตอนเหนือของยะไข่ (อาระกัน) ได้เข้ามาอยู่อาศัยในอาระกันตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 แต่จำนวนไม่สามารถระบุได้แน่ชัด หลังจากสงคราม Anglo-Burmese ในปี 1826 อังกฤษ เข้าปกครองอาระกัน และอพยพผู้คนจากเบงกอลเข้ามาใช้แรงงาน จำนวนประชากรของมุสลิมคิดเป็น 5% ของชาวอาระกันในขณะนั้น (1869) แต่หลังจากนั้นไม่นาน จำนวนประชากรโรฮิงยาได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว บันทึกตามสัมโนประชากรของอังกฤษระหว่างปี 1872 และ 1991 ได้ระบุว่าจะนวนประชากรมุสลิมในยะไข่ เพิ่มขึ้นจาก 58,255 คนเป็น 178,646 คน
    "...ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เกิดความรุนแรงระหว่างกองกำลังมุสลิม ที่อังกฤษติดอาวุธให้ กับกองกำลังชาวยะไข่พื้นเมือง ทำให้ความขัดแย้งเพิ่มสูงขึ้น ในปี 1982 นายพลเนวินได้ทำรัฐประหารสำเร็จ และปฏิเสธความเป็นพลเมืองพม่าของชาวโรฮินจา..."
    "....อังกฤษได้มอบอาวุธให้กับมุสลิมโรฮินจาทางตอนเหนือของอาระกัน เพื่อสร้างแนวป้องกันการบุกของกองทัพญี่ปุ่น ในขณะที่ตัวเองกำลังหนีตาย แต่ชาวมุสลิมกลับใช้อาวุธนั้นเข้าทำลายหมู่บ้านของชาวอาระกัน แทนที่จะนำไปต่อต้านกองทัพญี่ปุ่น..."
    "...เพื่อเตรียมการบุกกลับเข้าสู่พม่า อังกฤษได้จัดตั้งกองกำลังทหารอาสา (V-Force) กับชาวโรฮินจา ในช่วงสามปีที่อังกฤษสู้รบกับกองทัพญี่ปุ่น กองกำลังโรฮินจามุ่งโจมตีชุมชนชาวอาระกัน ใช้อาวุธที่ได้รับจากอังกฤษ เข้าทำลายวัดพุทธ โบสถ์วิหาร เจดีย์ และบ้านเรือนชาวอาระกันอย่างโหดเหี้ยม..."
    "...ผู้อาวุโสของโรฮินจา ได้ก่อตั้งกลุ่มนักรบมูจาฮีดีน เพื่อดำเนินการจีฮัดในพื้นที่ตอนเหนือของอาระกันในปี 1947 เป้าหมายของกลุ่มมูจาฮีดีน คือการสร้างรัฐอิสลามอิสระขึ้นในอาระกัน ในช่วงปี 1950s พวกเขาเริ่มใช้คำเรียกตัวเองว่า "โรฮินจา" เพื่อสร้างอัตลักษณ์สำหรับอ้างสิทธิ์เหนือดินแดน ขบวนการของพวกเขามีความก้าวหน้ามากในช่วงก่อนปี 1962 ที่จะมีการปฏิวัติโดยนายพลเนวิน เนวินได้ใช้ปฏิบัติการทางทหารต่อต้านโรฮินจาตลอดสองทศวรรต ส่งผลให้มุสลิมในพื้นที่ต้องหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างบังคลาเทศในฐานะผู้ลี้ภัยสงคราม..."
    "...ตั้งแต่ปี 1990 ความเคลื่อนไหวของโรฮินจาแตกต่างจากในยุค 1950 ที่ใช้กองกำลังติดอาวุธก่อกบฏ การดำเนินการในยุคใหม่มุ่งเน้นการล็อบบี้ต่างชาติ โดยชาวโรฮินจาที่หลบหนีออกมาได้ มีการสร้างเรื่องชนพื้นเมืองโรฮินจา โดยนักวิชาการโรฮินจา และเผยแพร่คำว่า "โรฮินจา" และใช้นักการเมืองปฏิเสธถิ่นกำเนิดในเบงกาลี นักวิชาการโฮินจาอ้างว่า ยะไข่เคยเป็นรัฐอิสลามมานับพันปี หรือมีกษัตริย์มุสลิมปกครองยะไข่เป็นเวลา 350 ปี สมาชิกสภาชาวโรฮินจายังเคยกล่าวว่า "โรฮินจาอยู่ฮาศัยในยะไข่มาตั้งแต่ยุคที่พระเจ้าสร้างโลก อาระกันเป็นของเรา และมันเคยตกเป็นดินแดนของอินเดียมา 1,000 ปี" พวกเขามักจะย้อยรอยถิ่นกำเนิดของโรฮินจาไปถึงนักเดินเรือชาวอาหรับ แต่การกล่าวอ้างนี้ถูกปฏิเสธในวงวิชาการว่าเป็น "นิทานที่แต่งขึ้นใหม่" นักการเมืองโรฮินจาบางคนใช้วิธีการตราหน้านักประวัติศาสตร์นานาชาติว่า เข้าข้างชาวยะไข่ เพื่อปฏิเสธประวัติศาสตร์ที่มีหลักฐานอ้างอิง แม้กระนั้น เรื่องนี้ก็แพร่กระจายไปในวงกว้างหลังการจลาจลในปี 2012..."
    หลายเสียงบอกว่า "ซูจี" เรตติ้งตก เหตุอ้ำอึ้ง.. อ้ำอึ้ง กรณีโรฮิงญา
    การปฏิเสธที่จะประณามการโจมตีชาวมุสลิมในพม่า ได้ทำให้ความนิยมในตัวเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ นางอองซานซูจี ในหมู่นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนลดลง แต่ผู้สังเกตการณ์กล่าวว่า การสงวนท่าทีดังกล่าวจะไม่ทำให้เธอเสียคะแนนนิยมในหมู่ผู้ใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง
    การจลาจลที่เกี่ยวกับศาสนาเป็นเวลาเกือบเดือนในตอนกลางของพม่า ทำให้มีผู้ถูกสังหารไป 43 คน บรรดาอดีตนักโทษที่ได้รับการปล่อยตัว รวมทั้งเหล่าสมาชิกรัฐสภาต่างออกแสดงความเห็นใจชาวมุสลิมที่ตกเป็นเป้าหมายของความรุนแรง ซึ่งสุเหร่ากับบ้านเรือนของพวกเขาถูกเผา
    แต่นางซูจีไม่ได้แสดงกล่าวประณามอย่างชัดเจน ต่อการจู่โจมชาวมุสลิมซึ่งคิดเป็นประมาณ 4% ของประชากรทั้งหมด หรือไม่ได้ประณามวาจาที่สร้างความเกลียดชังของพระสงฆ์หัวรุนแรงจำนวนหนึ่ง
    ในทางกลับกัน เมือปี 2555 เมื่อเกิดคลื่นความรุนแรงขึ้น 2 รอบระหว่างชาวมุสลิมโรฮิงญากับพระสงฆ์ชนชาติส่วนน้อยชาวระไค (Rakhine) ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 180 คนในภาคตะวันตกของประเทศ ผู้นำของฝ่ายค้านเพียงแต่กล่าวอ้อมๆ เรียกร้องให้ทุกฝ่าย "เคารพกฎหมาย"
    "พวกเขาไม่ได้เป็นพลเมืองของที่ใด และคุณเพียงแต่เสียใจต่อพวกเขาที่พวกเขาเกิดมารู้สึกว่าไม่ได้เป็นพลเมืองประเทศของเราเช่นกัน" นางซูจีกล่าวถึงชาวมุสลิม โรฮิงญา ในพม่าระหว่างเยือนญี่ปุ่นสัปดาห์ที่แล้ว
    แต่นางซูจีซึ่งเป็นเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปี 2534 และถูกกักบริเวณให้อยู่ในบ้านพักเป็นเวลาหลายปี ได้ปกป้องท่าทีของตัวเองว่า "ดิฉันเสียใจถ้าหากประชาชนมองว่า ความเห็นของดิฉันไม่น่าสนใจมากพอในการยอมรับพวกเขา"
    นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนกล่าวว่า การให้ความเห็นอันล่าช้าของนางซูจีในเรื่องนี้ และโดยปราศจากการวิพากษ์วิจารณ์ของบรรดาตัวการที่ทำให้เกิดความรุนแรงได้ทำให้นางอยู่ไม่สบายแน่ๆ ในฐานะที่เคยเป็นผู้นำต่อสู้อดีตคณะปกครองทหารมารยาวนาน
    "ผมดีใจที่นางยอมรับในทางใดทางหนึ่งว่าประชาชนเหล่านี้กำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง.... แต่.. มันจำเป็นที่จะต้องมีมากกว่านางรู้สึกเศร้า" นายฟิล โรเบิร์ตสัน (Phil Robertson) แห่งองค์การฮิวแมนไรท์วอตช์ (Human Right Watch) กล่าว
    "ภาระในการดำเนินการตกอยู่กับฝ่ายรัฐบาล แต่นางซูจีก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้นำฝ่ายค้านธรรมดาๆ เช่นกัน.. และนี่คือจุดที่ศีลธรรมจรรยาที่สั่งสมมาตลอดเวลาหลายปีจำเป็นต้องนำมาใช้" นายโรเบิร์ตสันกล่าว
    สิ่งนี้ได้ทำให้บรรดาชนชาติส่วนน้อยแสดงความสงสัยต่อประชาชนส่วนใหญ่ในพม่า รวมทั้งนางซูจี และได้ออกกล่าวหาว่า ภายใต้รัฐบาลปฏิรูปที่นำโดยพลเรือน ก็ยังมีการเลือกปฏิบัติอยู่ต่อไป สำหรับชาวโรฮิงญายิ่งเป็นที่แน่นอนว่าพวกเขารู้สึกถูกนางซูจีทอดทิ้ง
    มีชนชาติส่วนน้อยโรฮิงญาราว 800,000 คน ที่องค์การสหประชาชาติกล่าวว่า เป็นกลุ่มคนถูกเลือกปฏิบัติ และรับเคราะห์กรรมหนักหน่วง อาศัยอยู่ในรัฐระไค ในนั้นมีหลายหมื่นคนกลายเป็นผู้พลัดจากที่อยู่อาศัย อันเนื่องมาจากเหตุความรุนแรงปีที่แล้ว ปัจจุบันต้องหลบภัยในค่ายผู้อพยพที่จัดทำขึ้นชั่วคราว
    กลุ่มพิทักษ์สิทธิมนุษยชนได้กล่าวหาเจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัยว่า ในบางกรณีได้เป็นผู้นำการโจมตีชาวโรฮิงญาเสียเอง
    ขอบคุณข่าวสารดีๆจาก :: chaoprayanew
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สยอง..!! เมื่อร้านอาหารเสิร์ฟเมนูเนื้อมนุษย์ ภายหลังตำรวจพบหัวคนชุ่มเลือดหลังร้าน อัพโหลดวันที่ 18 พ.ค. 2558, 16:24 น.

    [​IMG]

    เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2558 เว็บไซต์เมโทรของอังกฤษ รายงานเรื่องราวสุดสยอง ร้านอาหารของโรงแรมในไนจีเรียเสิร์ฟเมนูเนื้อมนุษย์ ราคาอาหารแพงฉี่ ลูกค้านึกว่าสิ่งที่ทานเข้าไปคือเนื้อสัตว์ธรรมดา ๆ เท่านั้น

    รายงานระบุว่า โรงแรมแห่งนี้อยู่ในเมืองอานัมบรา ประเทศไนจีเรีย เปิดให้บริการร้านอาหารภายในโรงแรมมายาวนาน แต่ล่าสุดมีประชาชนแจ้งตำรวจว่ามีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าร้านอาหารดังกล่าวเอาเนื้อมนุษย์มาทำอาหาร เสิร์ฟให้ลูกค้าได้ทาน ตำรวจจึงไม่รอช้า เข้าตรวจสอบร้านอาหารแห่งดังกล่าวทันที และก็ได้พบว่าเสียงลือเสียงเล่าอ้างนั้นเป็นจริง เมื่อมีศีรษะมนุษย์สดใหม่ถูกเก็บอยู่หลังร้าน เลือดยังคงไหลอยู่เลย นอกจากนี้ยังพบอาวุธและโทรศัพท์มือถืออีกจำนวนหนึ่ง

    หนึ่งในผู้อาศัยอยู่ในละแวกนั้นได้เปิดเผยว่า “เวลาที่ฉันไปตลาด ฉันมักจะสังเกตเห็นพฤติกรรมแปลก ๆ ของคนในโรงแรมนี้ มีคนจำนวนหนึ่งที่มีลักษณะท่าทางแปลก ๆ เดินเข้าเดินออกจากโรงแรมแห่งนี้ พวกเขาไม่เคยแต่งตัวอย่างสะอาดสะอ้านเลย ทำให้ฉันยิ่งสงสัยในพฤติกรรมดังกล่าว และไม่แปลกใจที่จะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในโรงแรม”

    ขณะที่บาทหลวงรายหนึ่งที่เพิ่งจะเข้าไปใช้บริการร้านอาหารโรงแรมแห่งนี้ ได้เปิดเผยกับตำรวจว่า ตอนที่เขาไปทานอาหาร เขาได้รับบิลค่าอาหารในราคาสูงกว่าปกติ เลยแสดงความฉงนออกมาทางสีหน้าท่าทาง ก่อนที่ทางร้านจะบอกว่าเมนูที่มีเนื้อชิ้นเล็ก ๆ เมนูหนึ่งนั่นแหละที่ทำให้บิลราคาสูงแบบนั้น

    “ผมไม่รู้เลยว่าทางร้านเสิร์ฟเนื้อมนุษย์ให้ทาน และนั่นทำให้ราคาอาหารมีราคาสูงกว่าปกติ”บาทหลวงรายนี้กล่าว

    อย่างไรก็ดี ตอนนี้ตำรวจได้สั่งปิดร้านอาหารโรงแรมแห่งดังกล่าวแล้ว และจับกุมคน 10 คน ที่เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมและนำศพมาทำเมนูเนื้อมนุษย์แล้ว อยู่ระหว่างการสืบสวนอย่างละเอียดต่อไป

    ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

    ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

    ประเภท : ข่าวแปลก
    ที่มา : patjaa.com

    สยอง..!! เมื่อร้านอาหารเสิร์ฟเมนูเนื้อมนุษย์ ภายหลังตำรวจพบหัวคนชุ่มเลือดหลังร้าน - ClipHotKhaoHit.c
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,631
    ค่าพลัง:
    +97,150
    หน่วยมั่นคงเปิดข้อมูลใหม่ โรฮิงญาไม่ได้มาจากยะไข่ และส่วนใหญ่ไม่ได้หนีตาย
    เขียนวันที่ วันพุธ ที่ 20 พฤษภาคม 2558 เวลา 11:47 น.เขียนโดยทีมข่าวอิศราหมวดหมู่เวทีวิชาการ | เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา |

    [​IMG]

    หน่วยงานความมั่นคงเปิดข้อมูลอีกด้านของผู้หลบหนีเข้าเมืองชาวโรฮิงญา ระบุส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากยะไข่ และไม่ได้ลงเรือหนีตาย แต่เป็นการจ่ายเงินเพื่อไปหางานทำประเทศที่สาม ย้ำไม่ใช่ปัญหาค้ามนุษย์

    ในขณะที่นานาชาติ องค์กรพัฒนาเอกชน หรือเอ็นจีโอ นักสิทธิมนุษยชน และสื่อมวลชนบางแขนง นำเสนอข่าวการหลบหนีเข้าเมืองของชาวโรฮิงญาว่าเป็นการหนีภัยสงครามจากรัฐยะไข่ ประเทศเมียนมาร์ และตกเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ในพื้นที่ภาคใต้ของไทย จนมีกระแสเรียกร้องให้ไทยเปิดศูนย์พักพิงชั่วคราว เพื่อดูแลชาวโรฮิงญานั้น

    มีข้อมูลจากหน่วยงานความมั่นคงไทย นำเสนอข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่ง ระบุว่า ได้ตรวจสอบปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองชาวโรฮิงญาแล้ว พบว่ามีข้อเท็จจริงหลายประการที่สังคมไทยยังเข้าใจคลาดเคลื่อน

    หนึ่ง คือ ชาวโรฮิงญาที่ลักลอบเข้าเมือง ไม่ใช่เชื้อชาติโรฮิงญาทั้งหมด แต่มีชาวบังกลาเทศครึ่งต่อครึ่ง

    สอง ชาวโรฮิงญาที่หลบหนีเข้าเมือง ไม่ได้มาจากรัฐยะไข่ของเมียนมาร์ทั้งหมด แต่ที่มาจากรัฐยะไข่เป็นเพียงส่วนน้อย เพราะส่วนใหญ่ตรวจสอบแล้วมาจากคอกซ์บาซา ชายแดนบังกลาเทศที่ติดกับรัฐยะไข่ของเมียนมาร์ แม้แต่ชาวโรฮิงญาจากยะไข่ที่หลบหนีออกมา ก็ไปเริ่มต้นลงเรือที่คอกซ์บาซา เพราะมีขบวนการนำพารับจ้างพาลงเรือล่องจากอ่าวเบงกอลสู่ทะเลอันดามัน

    สาม ชาวโรฮิงญาส่วนใหญ่ที่ลักลอบเข้าไทยไม่ใช่เหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ แต่สมัครใจเดินทางมาเพื่อต้องการเข้าไปทำงานที่มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย หรือประเทศที่สามเพื่อหางานทำ

    สี่ เมื่อชาวโรฮิงญาหรือบังคลาเทศเดินทางมาด้วยความสมัครใจ ด้วยการลงขันออกเงินค่าเดินทางและเช่าเรือกันมาเอง จึงไม่ใช่การค้ามนุษย์ แต่เป็นการลักลอบเข้าเมือง ขณะที่เครือข่ายที่ช่วยเหลือก็เป็นพวกขบวนการนำพาคนเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ไม่ใช่ขบวนการค้ามนุษย์

    ห้า การจัดตั้งค่ายผู้อพยพหรือศูนย์พักพิงชั่วคราวในไทยจึงไม่จำเป็น และไม่ใช่แนวทางแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง

    หก มีค่ายใหญ่มากที่สามารถรองรับชาวโรฮิงญาได้อยู่แล้ว โดยมี 2 ค่ายอยู่ที่คอกซ์บาซา จุคนได้ร่วม 3 แสนคน แต่ตอนนี้ในค่ายมีชาวโรฮิงญาอยู่แค่ราวๆ 2 หมื่นกว่าคนเท่านั้น ฉะนั้นไทยสามารถส่งคนเหล่านี้กลับไปพำนักในค่ายดังกล่าวได้

    เจ็ด สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็นเอชซีอาร์ ปล่อยปละละเลยให้ชาวโรฮิงญาที่อยู่ในค่ายที่คอกซ์บาซาหลบหนีออกมา จึงต้องมีส่วนรับผิดชอบกับปัญหาด้วย เพราะค่ายดังกล่าวอยู่ในความดูแลของยูเอ็นเอชซีอาร์

    แปด หลักการจัดการกับปัญหานี้ที่ถูกต้อง คือ การส่งกลับไปที่ประเทศต้นทาง ซึ่งก็คือค่ายที่คอกซ์บาซา ประเทศบังคลาเทศ โดยประเด็นนี้จะถูกหยิบยกขึ้นหารือในที่ประชุมว่าด้วยการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติในมหาสมุทรอินเดีย ร่วมกับประเทศอาเซียน ในวันที่ 29 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมด้วย

    ประวัติศาสตร์บาดแผลชาติพันธุ์โรฮิงญา

    อย่างไรก็ดี ยังมีแง่มุมทางประวัติศาสตร์ที่อาจจะสวนทางกับข้อมูลของฝ่ายความมั่นคงดังกล่าว สรุปเป็นประเด็นๆ ได้ดังนี้

    O รัฐยะไข่ (อาระกัน) กับบังคลาเทศ มีพรมแดนติดกัน
    O อาระกันเดิมเป็นรัฐเอกราช บางช่วงอยู่ใต้อิทธิพลราชวงศ์เบงกอล บางช่วงอยู่ใต้อิทธิพลราชวงศ์ของพม่า
    O โรฮิงญาในรัฐยะไข่ปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเป็นคนพื้นเมืองดั้งเดิม อีกส่วนอพยพมาจากบังคลาเทศ (เดิมคืออินเดีย) ในยุคอังกฤษล่าอาณานิคม
    O พ.ศ.2369-2491 ในยุคล่าอาณานิคม อังกฤษรบกับพม่า โดยมีโรฮิงญาช่วยรบ และอพยพคนโรฮิงญาเข้ามาตั้งถิ่นฐานในยะไข่เพิ่มขึ้น เป็นต้นเหตุให้คนพม่าไม่ชอบโรฮิงญา
    O พ.ศ.2491 อังกฤษมอบเอกราชให้พม่า อาระกันมีสถานะเป็นรัฐปกครองตนเอง
    O พ.ศ.2505 นายพลเนวินทำรัฐประหารและประกาศยกเลิกรัฐปกครองตนเองอาระกัน (Arakanese autonomy) พร้อมปฏิเสธให้สถานะ "พลเมืองพม่า” แก่ชาวโรฮิงญา
    O พม่ามี 140 ชนเผ่า แต่ไม่เคยยอมรับว่าชนเผ่าโรฮิงญาเป็นพลเมือง หรือมีสัญชาติพม่า จึงไม่ได้รับสิทธิต่างๆ ถือเป็นเพียงผู้อาศัย และกดดันด้วยวิธีต่างๆ ให้ออกจากแผ่นดินยะไข่ อันเนื่องจากบาดแผลในประวัติศาสตร์
    O ชาวโรฮิงญาอีกส่วนหนึ่งอยู่ในบังคลาเทศ แต่บังคลาเทศก็มีประชากรหนาแน่นและยากจนมาก ทำให้โรฮิงญาที่หนีจากพม่าไปบังคลาเทศ ก็ไม่ได้รับการยอมรับเป็นพลเมือง แม้จะเชื้อชาติเดียวกันและนับถือศาสนาอิสลาม ชาวโรฮิงญาที่หนีไปจะถูกนำตัวไปอยู่ในแคมป์ผู้ลี้ภัยตามแนวชายแดนเท่านั้น
    O พ.ศ.2555 เกิดเหตุปะทะครั้งใหญ่ในรัฐยะไข่ ระหว่างคนพุทธกับมุสลิมโรฮิงญา ทำให้มีการอพยพหนีภัยสงครามและความแร้นแค้นด้วยการล่องเรือไปตายเอาดาบหน้า

    สรุปความคืบหน้าคดีค้ามนุษย์โรฮิงญา

    ด้านความคืบหน้าการดำเนินคดีค้ามนุษย์โรฮิงญา จากการสรุปของศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 9 ส่วนหน้า ล่าสุดได้มีการออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มอีก 3 ราย เป็นเครือข่ายค้ามนุษย์ในจังหวัดระนอง รวมผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับแล้วทั้งสิ้น 65 คน ควบคุมตัวได้แล้ว 30 คน รวมถึง นายปัจจุบัน อังโชติพันธ์ หรือโกโต้ง อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล ซึ่งเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญ

    ส่วนความคืบหน้าการอายัดทรัพย์สินเครือข่ายค้ามนุษย์นั้น เจ้าหน้าที่ได้อายัดทรัพย์เครือข่ายค้ามนุษย์จำนวน 52 คน เป็นผู้ต้องหา 15 คน และที่เป็นเครือข่ายอีก 37 คน รวม156 รายการ มูลค่า 81 ล้านบาท เป็นเครือข่ายค้ามนุษย์ในจังหวัดระนอง 71 ล้านบาท และจังหวัดสตูล 10 บาท ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการอายัดทรัพย์เครือข่ายค้ามนุษย์ในจังหวัดสงขลาเพิ่มเติมอีก มูลค่ารวมน่าจะเกิน100 ล้านบาท

    สำหรับจำนวนผู้อพยพที่เจ้าหน้าที่ให้ความช่วยเหลือ อยู่ที่ 313 ราย แยกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ 64 ราย ส่วนที่เหลือ 240 คนอยู่ระหว่างการดำเนินคดีหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ในจำนวนนี้มี 48 คนที่ศาลพิจารณาคดีเสร็จสิ้นแล้ว และจะส่งสำนักงานตำรวจคนเข้าเมืองดำเนินการผลักดันกลับประเทศต่อไป

    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ขอบคุณ : ภาพเรือโรฮิงญาจากกลุ่มไลน์เจ้าหน้าที่ภาคใต้

    หมายเหตุ : เบลอภาพเพื่อเคารพสิทธิชาวโรฮิงญาที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเหยื่อค้ามนุษย์

    http://www.isranews.org/south-news/academic-arena/item/38694-new_38694.html
     

แชร์หน้านี้

Loading...