จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,966
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,966
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    [​IMG]
    อย่าติดตำรา
    ธรรมโอวาทท่านพ่อลี
    วัดอโศการาม


    ปริยัติธรรมทั้งหมดก็เป็นได้แค่สะพานหรือเชือกสายโยงอาศัยสาวหรือเดินข้ามฟาก

    ถ้าหากว่าเราจะรื้อเอาสะพานหรือเชือกเหล่านั้นติดตัวไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรแก่เรานอกจากความหนักหน่วงให้วกเวียนเท่านั้น

    ฉะนั้น ปริยัติทั้งหมดที่จดจำไว้เมื่อถึงขั้นเอาจริงแล้วเป็นเรื่องรับผิดชอบตนเองทั้งสิ้น
    จะแพ้หรือชนะ จะละหรือวางได้เป็นเรื่องของดวงจิตตนเองที่มีภูมิธรรมที่สร้างขึ้น
    ฉะนั้น ท่านจึงสอนอย่าให้ติดตำราติดสมมติบัญญัติ ปฏิบัติตนให้พ้นทั้งหมด
    จึงจะเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์สะอาด

    **************
    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LpLee1.jpg
      LpLee1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43.6 KB
      เปิดดู:
      724
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,966
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    [​IMG]


    ชีวิตถูกแผดเผาโดยความแก่และความเจ็บอยู่ทุกวัน

    อำนาจและชีวิตเป็นของไม่ยั่งยืน
    เปรียบด้วยน้ำค้างบนใบหญ้า
    ไม่นานนักก็เหือดแห้งไปเมื่ออาทิตย์อุทัยขึ้นมาแผดเผา
    ชีวิตนี้ถูกความแก่และความเจ็บแผดเผาอยู่ทุกวัน
    จะยั่งยืนไปได้สักเท่าใด ในที่สุดก็ต้องตาย
    ใครเล่าจะปฏิเสธพระดำรัสของผู้มีพระภาคเจ้าที่ว่า
    “ความสุขอันเป็นโลกีย์ทั้งมวลลงท้ายด้วยทุกข์”

    ชีวิตเริ่มต้นด้วยเรื่องต้องปกปิดเพราะความอาย
    ทรงตัวอยู่ด้วยเรื่องยุ่งยากสับสน และจบลงด้วยเรื่องเศร้า
    อนึ่ง ชีวิตนี้เริ่มต้นและจบลงด้วยเสียงคร่ำครวญ
    เมื่อลืมตาขึ้นดูโลกเป็นครั้งแรกเราก็ร้องไห้
    และเมื่อจะหลับตาลาโลกเราก็ร้องไห้อีก

    หรืออย่างน้อยก็เป็นสาเหตุให้คนอื่นหลั่งน้ำตา
    เด็กร้องไห้พร้อมด้วยกำมือแน่น
    เป็นสัญลักษณ์ว่าเขาเกิดมา
    เพื่อจะหน่วงเหนี่ยวยึดถือ
    แต่เมื่อหลับตาลาโลกนั้น
    ทุกคนแบมือออกเหมือนจะเตือน
    ให้ผู้อยู่เบื้องหลังสำนึก
    และเป็นพยานว่ามิได้เอาอะไรไปเลย


    เปรียบเหมือนภูเขาศิลาล้วน
    สูงจรดฟ้า กลิ้งเข้ามาพร้อมกันทั้งสี่ทิศ
    ย่อมบดขยี้สัตว์ทั้งหลายให้พินาศไป ฉันใด

    ความแก่และความตายก็ฉันนั้น
    ย่อมครอบงำย่ำยีสัตว์ทั้งหลาย
    ไม่เว้นใครเลย ไม่ว่ากษัตริย์ พราหมณ์ ไวศยะ
    ศูทร จัณฑาล หรือคนรับจ้างทิ้งขยะมูลฝอย
    ความแก่และความตายนั้น
    อันใครๆจะเอาชนะด้วยกองทัพช้างม้า
    พลเดินเท้า ด้วยทรัพย์
    หรือเวทย์มนต์คาถาใดๆมิได้เลย

    เพราะฉะนั้นบัณฑิตผู้พิจารณาเห็นประโยชน์
    พึงมีศรัทธาในพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์
    ประพฤติธรรมด้วยกาย วาจา ใจ
    ย่อมได้รับการสรรเสริญในโลกนี้
    ละโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์
    (ปัพพโตปมคาถา ๑๕/๔๑๕/๑๔๘)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤษภาคม 2015
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,966
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    . .
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      61.8 KB
      เปิดดู:
      111
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,966
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    [​IMG]


    คำคม 10 ข้อ "กูให้มึง" ที่มีเนื้อหาตรงไปตรงมาของหลวงพ่อคูณ ที่กลายเป็นข้อเตือนสติของชาวพุทธมาจนปัจจุบัน ดังนี้...
    1. ยิ่งเอามันยิ่งอด ยิ่งสละให้หมดมันยิ่งได้

    2. กูให้พวกมึงรู้จักพอเพียง

    3. กูทำดีเขาจึงให้ของดีกูมา

    4. กูไม่เคยยินดียินร้ายในลาภยศสรรเสริญ

    5. กูดีใจที่เกิดมาเป็นคนจนเพราะได้สร้างทานบารมี ถ้ากูเกิดมาเป็นคนรวยป่านนี้ คำว่า บุญ ก็ไม่รู้จักกัน

    6. เงินเป็นทาสกู กูไม่ยอมเป็นทาสเงิน

    7. การทำตัวให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่นั้นง่าย แต่จะสร้างสมบุญให้มีบารมีนั้นเป็นเรื่องยาก...ต้องเป็นผู้ให้ด้วยธรรมอันบริสุทธิ์จริง

    8. กูจะทำให้ชาวบ้าน เพื่อตอบแทนข้าวน้ำ ที่เขาให้กูกินทุกวัน
    
9. เกิดมาแล้ว รักความสงบ ให้มีศีลธรรมไว้ประจำใจทุกๆ คน โลกจะได้อยู่ชุ่มกินเย็น 

    10. พระไม่ได้อยู่กับคนชั่วแต่อยู่กับคนดี ให้นึกว่าพระมากับเราจะทำชั่วไม่ได้ อย่าทำตัวผิดศีลธรรม ผิดจารีตประเพณี โดยเฉพาะการทำผิดกฎหมายบ้านเมือง ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท

    กราบส่งหลวงพ่อสู่ดุสิตดินแดนแห่งพระบรมโพธิสัตว์เจ้าค่ะ(ท่านKomodo บอกว่าท่านปรารถนาพุทธภูมิ)

    ขอบพระคุณที่มา ท่านปู ท่าพระ http://palungjit.org/threads/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A5.521123/page-2096
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LpCoonParisuttho.jpg
      LpCoonParisuttho.jpg
      ขนาดไฟล์:
      42.5 KB
      เปิดดู:
      3,868
    • Sadhu.jpg
      Sadhu.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.7 KB
      เปิดดู:
      77
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,966
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    . .
    [​IMG]


    อย่าไปคบค้าสมาคมกับอารมณ์จิตตน
    (อตร.)​


    พวกเธอทั้งหลายฯ...จงพึงสังวรณ์ พากันระมัดระวัง
    โดยเฉพาะเรื่องสังขารขันธ์ หรือเจตสิก
    หรือธรรมารมณ์ต่างๆ หรือความคิด ความปรุงแต่งจิต
    หรืออาการ อารมณ์ของจิตตนเองให้มาก

    เพราะทุกวันนี้ ทุกข์คนเราสาหัสมาก ก็มาจากตัวนี้ รู้ตัวกันบ้างไหม
    เมื่อจิตไหลไปกระทบ หรือมีสิ่งใดไหลมากระทบจิต เป็นอันต้องเป๋ คือไปตามนั้น
    เจ้าตัวดี(วิญญาณขันธ์) พร้อมคราบมนุษย์(สังขารปรุงแต่งจิต)
    ช่วยยำจิตคือรับทุกข์โดยไม่รู้ตัว...
    เพราะจิตหลง จิตปราศจากสติปัญญา ยากแท้หยั่งถึง สรุปว่าจิตตามไม่ทันสังขารตน
    ความทุกข์ก็มาเยือนทุกที ความสุขก็ได้แต่รอๆๆ เห่อ ...
    ความสุขแค่เอื้อม แต่ความทุกข์เรา...มันวิ่งชนะได้เหรียญทองทุกทีไปนะ


    ตราบใด คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรักษาศีล
    ก็จะไปตามหาความสุขจากที่ใดเล่า...
    เพราะความสุขที่แท้จริงนั้นก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล นั่นคือภายในจิตตนนั้นแลฯ

    เมื่อชาวพุทธ นับถือศาสนา แต่ไม่ยอมปฎิบัติ ไม่ยอมเดินตามคำสอนของพระพุทธองค์
    สุดท้ายชาวพุทธตามทะเบียนราษฎร์ ต้องพบแต่ความทุกข์ ความระทม ความขมขื่น
    เป็นธรรมดา รับไปนะ


    เห็นคนส่วนใหญ่ที่ยังวิ่งตามพระอริยสงฆ์เพราะเหตุใด
    ก็เพราะว่า ยังไม่มีกำลังใจอยากปฎิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น
    จึงมีกำลังใจกันแค่อามิสบูชา เพราะกำลังใจยังไม่ถึงธรรมปฎิบัติบูชา
    อย่าไปโทษว่าตนไม่มีกำลังใจแบบนั้น เพราะปัจจุบันไม่ยอมทำบุญทำทานกันบ่อยๆ
    เพราะบุญที่เรากำลังทำวันนนี้ หรือสวดมนตืไหว้พระ ก็เป็นการสร้างบุญอย่างนึงเช่นกัน
    แต่ก้ไม่ยอมทำกัน แล้วจะให้ทำกันยังไง
    พอคนรักจากไป ครอบครัวพลัดพรากน่าเวทนานัก ร้องไห้เสียอกเสียใจว่า
    เราจากกันทำไม...

    แต่ถ้าจิตผู้ใดเข้าถึงธรรม ย่อมเข้าใจสภาวะธรรม
    เข้าใจคำว่าสัทธรรมนั้นมีอยู่จริง ตามพระพุทธองค์ทรงค้นพบให้เราปฎิบัติตาม
    แต่ไม่ทำตามกันเอง จิตจึงพากันหลง จึงพากันทุกข์
    จึงพากันเวียนวายตายเกิดกันเท่านั้นเอง


    เพราะฉะนั้น พึงสำรวมให้ดี จงมีสติสัมปชัญญะ เจริญปัญญาให้ต่อเนื่อง
    หรือพยายามทรงสมาธิอันเข้มแข็ง อันได้แก่ ทรงเอกัคคตารมณ์... (ที่แนะนำไปแล้ว)
    บุคลลใด สำรวมจิตแบบพระอริยสงฆ์ก็นับว่า เป็นบุญอันใหญ่หลวง
    เพราะมีเพียงแค่ สติปัญญาของตนเท่านั้น ที่(พอ)จะตามทันมันได้
    แค่ปัญญาธรรมดาๆก็หาทางออกได้ไม่ ปัญญาญาณเท่านั้น จึงจะพารอด

    ตราบใดยังละนามอันละเอียดไม่ได้ ดังที่เคยกล่าวไปแล้วอยู่บ่อยๆ นั่นก็คือ...
    ตัววิญญาณขันธ์และสังขารขันธ์ของตนเอง ...
    คอยหมั่นเจริญสติปัญญาให้ต่อเนื่อง และอย่าไปถามว่า เมื่อไหร่ เราจึงจะทิ้งได้
    ขอตอบตามตรงว่า ความเพียรของตนเองมีเท่าใด หรือกำลังใจของตนมีเท่าใด
    เราเอาจริงเอาจัง หรือปฎิบัติกันจริงจังหรือยัง ขอให้ถามตนเองบ่อย
    เพราะไม่มีผู้ใดช่วยกันได้ เราจำเป็นจักต้องช่วยตนเองให้มาก


    โดยเฉพาะทิ้งนามตัวละเอียดยิ๊บๆที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น
    ทำไปๆ บุญบารมีถึงพร้อมเมื่อใด เดี๋ยวจักออกมาได้เองแร๊ะ...
    อย่าสนใจอย่างอื่น ที่มิใช่เรื่องจิตตนเอง
    แต่ถ้าเราไปสนใจอย่างอื่นเสียแล้ว ก็ยาก ที่จะออกกันมาได้
    ข้ามภพข้ามชาติ มิใช่เรื่องง่าย แต่ก้ไม่ยากสำหรับผู้ที่ทำได้
    หรือไม่เหนือบากกว่าแรงที่มนุษย์ทุกคนจะทำได้ อย่าไปอ้างบารมีตนไม่ถึง
    แต่สิ่งสำคัญนั้นก็อยู่ที่กำลังใจในปัจจุบันของเราเอง...​


    ภูทยานฌาน

    Cr... FB Phu Bodin​
    [/QUOTE]
     
  9. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    ‪#‎กำลังใจ‬
    ‪#‎เป็นหนทางสู่มรรคผล‬
    โดย..ท่านจิตโต
    ขอให้ทุกท่าน ทำจิตผ่องใสอยู่เสมอ
    พยายามทำจิตเป็นพระ ทุกวัน
    อย่ารอ ต้องให้ถึงวันพระก่อน
    เราจึงค่อยทำบุญ ทำภาวนาหรือทำกรรมฐาน
    พยายามทำวันพระให้มี ทุกวัน
    โดยการระลึกหรือนึกถึงพระ ทุกวัน
    วันละหลายๆรอบ ก็ยิ่งดี
    เพราะจะได้บุญทุกวัน ได้บุญบ่อย
    จิตก็จะตั้งอยู่แต่เฉพาะ คำว่า บุญกุศล
    เราก็เลยไม่มีเวลาแวะหรือเอาอกุศลเข้าจิตตน
    โมทนาสาธุ สำหรับผู้ที่บวชจิต
    ๐๐อยากฟังมากกว่านี้ ขอเชิญ ที่..
    ‪#‎ที่มา‬:
    กฎธรรมดา | ธรรมะบ้านสบายใจ
    วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เทศน์กำลังใจเป็นหนทางสู่มรรคผล
    วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เทศน์กำลังใจเป็นหนทางสู่มรรคผล (V580510_02) ติดตามรับชม ธรรมะบ้านสบายใจ | โดย ท่านจิตโต บ้านสบายใจ.
    youtube.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      42.9 KB
      เปิดดู:
      76
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,966
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    ไม่ใช่แค่ Pray for Nepal แต่เหตุการณ์แผ่นดินไหวเขย่าประเทศเนปาลครั้งนี้ ชวนให้ประชากรนานาประเทศทั่วโลก รวมถึงคนไทยได้หยุดคิด หันมาทบทวน และใส่ใจกับการป้องกันและเอาตัวรอดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติกันมากขึ้น...

    แต่การจะเอาชนะธรรมชาตินั้น เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยเราก็ควรดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นตัวอย่าง เรียนรู้จากมัน และเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต วันนี้ ไทยรัฐออนไลน์ จึงมีข้อน่ารู้ดีๆ 7 ข้อเกี่ยวกับการเกิดแผ่นดินไหวมาฝากกัน น่าจะเป็นประโยชน์ให้คุณได้ไม่มากก็น้อย

    1. แผ่นดินไหวเกิดขึ้นได้ไง?

    แผ่นดินไหว เป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของพื้นดิน อันเนื่องมาจากการปลดปล่อยพลังงานที่สะสมไว้ภายในโลกออกมา เพื่อปรับสมดุลของเปลือกโลกให้คงที่ ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถทำนายเวลา สถานที่ และความรุนแรงของแผ่นดินไหวที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้

    การเกิดแผ่นดินไหวมีสาเหตุมาจาก 2 สาเหตุใหญ่ อย่างแรกเกิดจากการกระทำของมนุษย์ ได้แก่ การทดลองระเบิดปรมาณู การกักเก็บน้ำในเขื่อน และแรงระเบิดจากการทำเหมืองแร่ ส่วนอย่างที่สองเป็นสาเหตุหลักของการเกิดแผ่นดินไหว คือ เกิดขึ้นตามธรรมชาติอันเนื่องมาจากการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก ทั้งนี้ทฤษฎีกลไกการเกิดแผ่นดินไหวที่ยอมรับกันในปัจจุบันมี 2 ทฤษฎีคือ

    - ทฤษฎีว่าด้วยการขยายตัวของเปลือกโลก : เกิดจากการที่เปลือกโลกเกิดการคดโค้ง โก่งตัวอย่างฉับพลัน และเมื่อวัตถุขาดออกจากกันจึงปลดปล่อยพลังงานออกมาในรูปคลื่นแผ่นดินไหว

    - ทฤษฎีว่าด้วยการคืนตัวของวัตถุ : เมื่อรอยเลื่อนเคลื่อนตัวจนถึงจุดหนึ่ง วัตถุจะขาดออกจากกันและเสียรูปอย่างมาก พร้อมทั้งปลดปล่อยพลังงานมหาศาลออกมาในรูปของคลื่นแผ่นดินไหว และหลังจากนั้นวัตถุจะคืนตัวกลับสู่รูปเดิม
    แผ่นดินไหวในเขตชุมชน ทำเอารถราคว่ำระเนระนาด

    2. ระดับความรุนแรงของแผ่นดินไหว

    ความร้ายแรงอันเนื่องมาจากแผ่นดินไหวสามารถบอกได้ในรูปของความรุนแรง (Intensity) และขนาด (Richter Magnitude) ของแผ่นดินไหว โดยแบ่งความรุนแรงและขนาดได้ดังนี้

    ขนาด น้อยกว่า 3.0 แมกนิจูด มีความรุนแรงระดับ 1-2 สิ่งที่พบคือ ประชาชนไม่รู้สึกถึงแรงสั่น ตรวจวัดได้เฉพาะเครื่องมือ

    ขนาด 3.0-3.9 แมกนิจูด มีความรุนแรงระดับ 3 สิ่งที่พบคือ คนอยู่ในบ้านเท่านั้นที่รู้สึก

    ขนาด 4.0-4.9 แมกนิจูด มีความรุนแรงระดับ 4-5 สิ่งที่พบคือ ประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกได้

    ขนาด 5.0-5.9 แมกนิจูด มีความรุนแรงระดับ 6-7 สิ่งที่พบคือ ประชาชนทุกคนรู้สึก และอาคารเสียหาย

    ขนาด 6.0-6.9 แมกนิจูด มีความรุนแรงระดับ 7-8 สิ่งที่พบคือ ประชาชนตื่นตกใจ และอาคารเสียหายปานกลาง

    ขนาด 7.0-7.9 แมกนิจูด มีความรุนแรงระดับ 9-10 สิ่งที่พบคือ อาคารเสียหายอย่างมาก

    ขนาด มากกว่า 8.0 แมกนิจูด มีความรุนแรงระดับ 11-12 สิ่งที่พบคือ อาคารเสียหายเกือบทั้งหมด

    3. ที่ไหนปลอดภัยจากแผ่นดินไหว?

    แผ่นดินไหวเกิดขึ้นทุกเวลาทุกนาที โดยเป็นแผ่นดินไหวขนาดตั้งแต่ 2 แมกนิจูดขึ้นไป เฉลี่ยแล้วเกิดขึ้นนาทีละ 2 ครั้งทั่วโลก พูดได้ว่าทุกพื้นที่บนโลกสามารถเกิดแผ่นดินไหวทั้งนั้น และสามารถเกิดขึ้นได้บ่อยๆ ด้วย เพียงแต่ว่าจะเกิดครั้งใหญ่ หรือระดับปานกลาง หรือเกิดเพียงเล็กน้อย (แทบจะไม่รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน) เท่านั้นเอง ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็พบแตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม ในประวัติศาสตร์ของทุกประเทศบนโลกล้วนเคยประสบกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวทั้งสิ้น

    การเกิดแผ่นดินไหวส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในพื้นที่ที่เป็นเปลือกโลก แต่ในภาพรวมมันก็สามารถพบได้ทั่วทุกพื้นที่ ยกตัวอย่างเช่น สหราชอาณาจักร (UK) เคยเกิดเหตุแผ่นดินไหวระดับปานกลางบ่อยถึง 4-5 ครั้ง ทั้งๆ ที่พื้นที่ของประเทศไม่ได้ตั้งอยู่บนรอยต่อของเปลือกโลก นั่นเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ดูเหมือนว่า...ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนบนโลก ก็แทบไม่มีโอกาสรอดจากมันได้เลย
    ธรณีพิโรธ

    4. สหรัฐอเมริกาเกิดแผ่นดินไหวทั่วประเทศ

    มีข้อมูลจากสำนักงานสำรวจธรณีวิทยา ของศูนย์ข้อมูลแผ่นดินไหวในสหรัฐอเมริกา (USGS) พบว่าทั้ง 50 รัฐในประเทศล้วนเคยประสบภัยแผ่นดินไหวในระดับใดระดับหนึ่ง (รุนแรงมากถึงรุนแรงน้อย) หรือไม่ก็พบได้ทุกระดับความรุนแรงในพื้นที่เดียวกัน สำหรับรัฐที่พบแผ่นดินไหวน้อยที่สุดคือรัฐฟลอริดา และ รัฐนอร์ท ดาโคตา โดยแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวครั้งล่าสุดในฟลอริดา เกิดขึ้นในปี 2006 และก่อนหน้านั้นเคยเกิดเมื่อนานมาแล้วในปี 1952

    ส่วนรัฐนอร์ท ดาโคตา เมื่อก่อนเคยถูกเชื่อว่าเป็นรัฐที่ไม่เคยเกิดแผ่นดินไหวมาก่อน มีบทความจากหลายสำนักอ้างว่ารัฐนอร์ท ดาโคตา เป็นสถานที่ที่คนเกลียดแผ่นดินไหวน่าจะชอบไปอาศัยอยู่มากที่สุดในสหรัฐฯ แต่ต่อมา รัฐนี้ก็ถูกบันทึกว่ามีแผ่นดินไหวครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในปี 1975 ซึ่งมีศูนย์กลางแรงสั่นสะเทือนอยู่ที่เมืองมินนิโซตา ซึ่งก็มีผลกระทบต่อเมืองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และก่อนหน้านั้นพบว่ามีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นในรัฐเดียวกันนี้เมื่อปี 1968 มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองฮัฟ ซึ่งตรวจวัดแรงสั่นสะเทือนได้ 4.4 แมกนิจูด

    5. บนโลกนี้ ที่ไหนเกิดแผ่นดินไหวน้อยที่สุด?

    ถ้าคุณกำลังพยายามที่จะหลีกหนีภัยคุกคามจากแผ่นดินไหว สถานที่ที่คุณอาจจะต้องการย้ายไปอยู่คือ ทวีปแอนตาร์กติกา เพราะตามข้อมูลของ USGS ระบุว่าพื้นที่แถบนั้นมีการเกิดแผ่นดินไหวน้อยกว่าทวีปอื่นๆ

    6. ไทยก็เคยเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงเช่นกัน

    ประเทศไทยมีรอยเลื่อนที่สามารถทำให้เกิดแผ่นดินไหวอยู่หลายที่ โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันตกของประเทศ จากสถิติการเกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทยที่ผ่านมาเกือบ 40 ปี พบว่ามีแผ่นดินไหวขนาดกลาง (5.0-5.9 แมกนิจูด) เกิดขึ้น 8 ครั้ง หรือเฉลี่ย 1 ครั้งในรอบ 5 ปี ไม่ค่อยได้รับผลกระทบมากนัก

    แต่มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ไทยสูญเสียมากที่สุด นั่นคือเหตุการณ์แผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดีย เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 เกิดขึ้นเมื่อเวลา 07.58 น. ตามเวลาในประเทศไทย ศูนย์กลางอยู่ลึกลงไปใต้มหาสมุทรอินเดีย ใกล้ด้านตะวันตกของตอนเหนือเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ด้วยความรุนแรงระดับ 9.1-9.3 แมกนิจูด กระตุ้นให้เกิดคลื่นสึนามิสูงราว 30 เมตร เข้าท่วมทำลายบ้านเรือนตามแนวชายฝั่งโดยรอบ มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 230,000 คน ใน 14 ประเทศ หนึ่งในนั้นคือประเทศไทย
    แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ญี่ปุ่น

    7. วิธีปฏิบัติเมื่อเกิดแผ่นดินไหว

    ในเมื่อทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถพยากรณ์การเกิดแผ่นดินไหวได้อย่างแม่นยำ ดังนั้นเราจึงควรรู้ข้อปฏิบัติตัวเวลาเกิดแผ่นดินไหวไว้ก่อนดีกว่า โดยเมื่อเกิดแผ่นดินไหว ให้อยู่อย่างมีสติ คิดหาหนทางที่ปลอดภัย หมอบอยู่บริเวณที่สามารถป้องกันสิ่งของหล่นใส่ เช่น บริเวณใต้โต๊ะ ใต้เตียง หลีกเลี่ยงให้ห่างจากหน้าต่าง

    หากอยู่นอกอาคารให้อยู่ในที่โล่ง ห่างจากสิ่งห้อยแขวนต่างๆ หากอยู่ในอาคารสูงให้รีบออกจากอาคารโดยเร็วและห้ามใช้ลิฟต์โดยเด็ดขาด หนีให้ห่างจากสิ่งที่จะล้มทับได้ หากกำลังขับรถให้หยุดรถและอยู่ภายในรถ จนกระทั่งการสั่นสะเทือนจะหยุด หากอยู่ชายหาดให้อยู่ห่างจากชายฝั่ง เพราะอาจเกิดคลื่นขนาดใหญ่ซัดเข้าหาฝั่ง

    เมื่อแรงสั่นสะเทือนหยุดลง ให้รีบออกจากอาคารที่เสียหายทันที เพราะอาจเกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมา จากนั้นให้ตรวจสอบตัวเองและคนข้างเคียง ถ้าพบคนบาดเจ็บให้ปฐมพยาบาลเบื้องต้น หากต้องอพยพให้สวมรองเท้าหุ้มส้นเสมอ เพราะอาจมีวัสดุแหลมคมอยู่ตามพื้น ออกห่างจากบริเวณที่สายไฟขาด ส่วนในกรณีที่ไม่ต้องอพยพ ให้ตรวจสายไฟ ท่อน้ำ ท่อแก๊ส ยกสะพานไฟ อย่าจุดไม้ขีดไฟ ให้ใช้วิธีดมกลิ่นเท่านั้น ถ้าได้กลิ่นแก๊สให้ปิดวาล์วถังแก๊ส เปิดประตูหน้าต่างทุกบาน เปิดวิทยุฟังคำแนะนำฉุกเฉิน อย่าใช้โทรศัพท์ อย่าเข้าไปในเขตอาคารพัง และไม่ควรแพร่ข่าวลือถ้าไม่ได้ตรวจสอบให้ถูกต้องเสียก่อน

    ที่มา : infoplease, answers.yahoo.com, dmd.go.th, tmd.go.th

    ภาพ : forbes, pinterest, htekidsnews, australiangeographic
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2015
  11. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ๒๐-๕-๑๕๕๘ ๒๐-๐๓

    เรามีเรื่องหนึ่งที่อยากจะให้ได้ทราบไว้เป็นอีกหนึ่งกรณี นอกจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นทั้งหลายฯนั้น ที่เราคาดคิดกันว่าเป็นเพราะผลของภัยพิบัติทางธรณีวิทยาและสภาพอากาศจนตลอด ภัยมฤตยูที่มีมาจากนอกโลก สิ่งเหล่านี้ ไม่ได้อยู่นอกเหนือการล่วงรู้ของพระสัพพัญญูเจ้า แต่อย่างใด

    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับกึ่งพุทธกาล นั่นก็หมายถึง ในระยะเวลา๒๕๕๘ - ๒๕๘๙ เรื่องราวเหล่านี้จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เป็นเวลา ๒๖ ปี จนกว่าจะมีพระโพธิสัตว์มาจุติกำเนิด และบรรลุสรรพธรรมเพื่อโปรดแก่เหล่าเวไนยสัตว์ในสหโลกธาตุ เพราะด้วยเหตุใด ก็เพราะเกิดการย่ำยี่พระสัทธรรม จากสัทธรรมปฎิรูป จึงเกิดการวิปริตแปรปรวนในสหโลกธาตุ จึงสั่นคลอน ซึ่งการบรรลุธรรมล้วนมีผลต่อสหโลกธาตุทั้งสิ้นฯ และที่แน่นอนที่สุด ปัญหาทั้งหมดล้วนมาจาก ความโชติช่วงชัชวาลของ อสัทธรรม หรือ อหังการวิเศษมาร ซึ่งเป็นคัมภีร์มารนอกพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่ใช่อย่างเดียวกับที่ได้จารึกตีพิมพ์กับคัมภีร์บนโลกมนุษย์ เป็นคนละอย่างกัน

    การที่มีความวิปริตแปรปรวนนั้น ไม่ใช่เกิดมาด้วยความสามารถของมนุษย์ที่ทำลายธรรมชาติอย่างแท้จริงนั้น มนุษย์ยังไม่มีศักยภาพมากมายเพียงพอในการทำลายธรรมชาติทั้งมวลฯ มนุษย์ยังไม่มีความสามารถมากขนาดนั้น
    ในเรื่องภัยพิบัติต่างๆ พระธาตุดิน พระธาตุน้ำ พระธาตุลม พระธาตุไฟ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำลายล้าง หรือฆ่าฟันมนุษย์ อย่างมนุษย์นั้นเข้าใจแต่อย่างใด นี่เป็นเรื่องของผลกรรมเก่า และการสร้างอกุศลกรรมใหม่ทั้งสิ้นฯ

    จากมีผู้มีฤทธิ์มีอำนาจ ในการพรากชีวิตของมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายฯ ให้สิ้นไป และเป็นการทำลายเพื่อแสดงอำนาจ ความสามารถของตนเอง เพื่อให้สรรพสัตว์ได้ตกเป็นทาสของตนในการเวียนว่ายตายเกิดในวัฎสงสาร อย่างไม่มีวันได้จบสิ้นไป

    ตราบใดที่ไม่ปรากฎพระโพธิสัตว์ผู้ทรงปฎิหาริย์ ๓ ขึ้นมาในกึ่งพุทธกาลนี้ ตราบนั้นเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่สิ้น และจะทวีความรุนแรงอย่างไม่มีจบสิ้น ด้วยไฟประสัยกัลป์ ที่จะผุดขึ้นในโลก ด้วยผลอย่างหนึ่งจากอหังการวิเศษมาร ซึ่งมีฤทธาอำนาจในการควบคุมฟ้าผ่า ให้พระธรณีปวดร้าว ทั่วสหโลกธาตุฯ คือผ่าในดาวดวงอื่นนั้นด้วย ฯ

    ตราบใดที่พระโพธิสัตว์ถูกคุกคามจาก เสนามาร ตราบใดที่พระโพธิสัตว์ไม่รู้ฐานะของตัวเอง ตราบใดที่พระโพธิสัตว์ไม่ออกบวชสละโลก ตราบนั้น โลกธาตุ ๔ อันมี ดิน น้ำ ลม ไฟ จะไม่มีผู้ใดควบคุม และป้องกันทำลาย ซึ่งภัยนั้น สรรพสัตว์จะถูกพรากชีวิตอย่างมากมายมหาศาล และถูกพรากวิญญานนั้นไปด้วย ฯ

    ลัทธิเผ่าพันธุ์ใดก็ตามที่อยู่นอกเหนือ พระพุทธศาสนา ถือตามอสัทธรรมทั้งหลายฯ จะประสบกับภัยและพินาศไปสิ้น นั่นเป็นจาก อสัทธรรม ไม่ใช่ผลจาก พระสัทธรรม พระสัทธรรมปรากฎเมื่อใด เมื่อนั้นโลกธาตุทั้งหลายฯ จะอยู่อย่างผาสุขและเป็นสุข

    ห้วงเวลาในตอนนี้เป็นวาระสุดท้ายของ พระสัทธรรมแล้ว จากประชากรกว่า ๖,๐๐๐ ล้านคนทั่วโลก ซึ่งมีผู้รักษานับถือยังพระพุทธศาสนาอยู่ มีแค่เพียงไม่กี่ ร้อยล้านคนจากทั่วโลก และกำลังลดน้อยลงทุกๆวัน พุทธบริษัท ๔ ก็เริ่มเจือจางไป ไม่มีผู้รักในพระธรรมเหมือนอย่างเดิม เหมือนในสมัยพุทธกาลแล้ว ซึ่งต่างก็มีความเห็นอย่างหนึ่งอย่างเดียวกันไปทั้งหมดฯ แทบทั่วโลกแล้วว่า พระมหาโพธิสัตว์ ทรงหลงแนวทางการปฎิบัติในการบำเพ็ญกิริยา คือกล่าวหาว่าพระองค์เป็นผู้หลงทางในการบำเพ็ญนั้นฯ
    ไม่เห็นความสำคัญในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงสู้อุตส่าห์บำเพ็ญเพียรมา
    เป็นของไร้ประโยชน์และ ไร้คุณค่าหมดความหมาย เป็นการย่ำยีพระสัทธรรมอันบริสุทธิ์ ซึ่งก็เป็นผลจากการมีอยู่และการถือตาม อสัทธรรม โดยทั้งสิ้น ผลลัพท์ในที่สุด ที่จะต้องยอมรับในกาลนั้น
    คือ ต้อง รับผลกรรมที่ตนเองได้ก่อไว้ สมดังพระพุทธวจนนี้ซึ่ง กัมมุนา วัตตติโลโก ด้วยปะการะฉะนี้แล้วฯ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,966
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    . .
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,966
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    [​IMG]
    เหนือชีวิตคือธรรม
    หลวงตามหาบัว

    "ถ้าสติติดอยู่กับจิตแล้วกิเลสจะไม่เกิด สติดีเท่าไรกิเลสเกิดไม่ได้"

    เทศน์หลวงตาเมื่อวันที่ ๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๙

    "การปฏิบัติธรรมให้พากันตั้งอกตั้งใจนะพวกภาวนา สติกับจิตสำคัญมาก ถ้าสติติดอยู่กับจิตแล้วกิเลสจะไม่เกิด สติดีเท่าไรกิเลสเกิดไม่ได้ มันจะดันออกมาสติครอบมันไว้มันเกิดไม่ได้ๆ ความคิดปรุงนั้นละออกมาเป็นสังขารเป็นกิเลสมาเผาเจ้าของ พอสติดีแล้วความคิดปรุงนี้ขึ้นไม่ได้ เราจะเอาคำบริกรรมพุทโธ ความคิดเป็นธรรมเสีย ไม่ใช่ความคิดเป็นกิเลส พุทโธๆ เป็นธรรม คิดเท่าไรพุทโธมากเท่าไรๆ ยิ่งแน่นเข้าๆ สงบเย็น ถ้าเรื่องความคิดเป็นสมุทัยเป็นกิเลสตัณหา คิดเท่าไรยิ่งเป็นฟืนเป็นไฟ ต่างกันนะ ความคิดเป็นธรรมกับความคิดเป็นกิเลสต่างกันจากหัวใจดวงเดียวนี้ ให้พากันจำเอา"
    ******************


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,966
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    [​IMG]

    เรื่องของ บารมี เทศนาธรรมโดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    https://www.youtube.com/watch?v=tJqTopA6Vf8

    ยถา ปิ มูเล อนุปทฺทเว ทฬฺเห ฉินฺโนปิ รุกฺโข ปุนเรว รูหติ เอวฺมปิ ตณฺหานุสเย อนูหเต นิพฺพตฺตติ ทุกฺขมิทํ ปุนปฺปุนํ :
    ...เมื่อรากยังมั่นคงไม่มีอันตราย ต้นไม้แม้ถูกตัด แล้วย่อมงอกได้อีกฉันใด เมื่อตัณหานุสัยยังไม่ถูกกำจัดแล้ว ทุกข์นี้ย่อมเกิดร่ำไปฉันนั้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Buddhateaching.jpg
      Buddhateaching.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.6 KB
      เปิดดู:
      962
    • LPRuesri4.jpg
      LPRuesri4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      79.7 KB
      เปิดดู:
      72
    • Sadhu.jpg
      Sadhu.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.7 KB
      เปิดดู:
      68
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,966
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LpCoonParisutho1.jpg
      LpCoonParisutho1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      151.6 KB
      เปิดดู:
      1,021
    • Sadhu.jpg
      Sadhu.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.7 KB
      เปิดดู:
      82
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,966
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    [​IMG]
    คำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    กฎของธรรมดา
    1) อารมณ์ของธรรมดาจริง ๆ นี่ฉันจะบอกให้ คนที่ยอมรับนับถือการเกิดขึ้น การเสื่อมไปของร่างกาย การดับไปของร่างกายจริง ๆ โดยมีอารมณ์ไม่หวั่นไหวมาก มีการกระทบจิตบ้างแต่ถือกฎของธรรมดา อารมณ์นี้มันจะรักพระนิพพาน เพราะอะไร เพราะมันเกลียดตัวเกิด เกิดนี่มันธรรมดาจริง ๆ แล้วมันเบื่อ
    เกิด ขึ้นมาแล้ว ไอ้ตัวทุกข์มันตามมา ตอนนี้จะไม่พูดถึง ตัวทุกข์อริยสัจ พระพุทธเจ้าสอนตอนท้าย หาตัวธรรมดาเข้ามา แล้วมันก็แก่ บางทียังไม่ทันจะแก่เลย ความปรารถนาไม่สมหวังมันก็เกิด มันอิ่มแล้วมันก็หิวอยู่สบาย ๆ เดี๋ยวก็ร้อนหนัก ดีไม่ดีมันก็หนาวอีกแล้ว ดีไม่ดีอาการป่วยไข้ไม่สบายมันก็เกิด ตั้งแต่ตอนนี้มาเรายอมรับนับถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา แล้วเราไม่หนักใจในเมื่อมันหิวเราก็กิน ไม่มีก็ให้มันหิวกันไป เพราะอยากเกิดมาทำไม
    ทีนี้เราเห็นว่าการเกิดมันไม่ดีอย่าง นี้ หาความเที่ยงไม่ได้ เต็มไปด้วยความทุกข์ด้วยประการทั้งปวง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราไม่ต้องการให้มันเป็นอย่างนั้น แต่กฎของธรรมดา มันบังคับว่าต้องเป็น ก็เลยสบายใจว่ามันต้องเป็นอย่างนี้
    ถ้า อาการเป็นอย่างนี้ปรากฏเราไม่หนักใจ เมื่อความแก่เกิดขึ้น ความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้น ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจเกิดขึ้น ความตายมีมาถึงไม่หนักใจถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
    พอถือว่า เป็นเรื่องธรรมดาก็เลยนึกว่า เอ ไอ้เกิดนี่มันไม่ดีนะ มันเป็นอย่างนี้ ทางที่ไม่เกิดมีอยู่ก็คือพระนิพพาน ถ้าเราปลดขันธ์5 เสียได้เมื่อไร ถือว่า คำว่า เตสัง วูปสโม สุโข การเข้าไปสงบกายนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นสุข
    2) ถ้าหากเราไม่สนใจทุกอย่างในโลก ไม่สนใจกายของเราด้วย ไม่สนใจกายของบุคคลอื่นด้วย ไม่สนใจวัตถุธาตุใด ๆ ด้วย คำว่าไม่สนใจในที่นี้จงอย่าไปคิดว่าเราไม่สนใจในร่างกาย เราไม่กินข้าว หิวก็ไม่กิน ร้อนก็ไม่อาบน้ำ หนาวก็ไม่ห่มผ้า อันนี้ไม่ถูก
    คำ ว่าไม่สนใจคือ ไม่ติดใจในมัน ให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริง ว่าร่างกายมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น แล้วก็มีความแปรปรวนเสื่อมไปในท่ามกลาง แล้วก็แตกสลายไปในที่สุด ให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แล้วก็มีอารมณ์คิดต่อไปว่าร่างกายนี้พัง เราไม่ต้องการร่างกายอย่างนี้อีก ร่างกายแห่งความเป็นคนก็ดี เทวดาก็ดี เป็นพรหมก็ดี ไม่มีความสุขจริง เราไม่ต้องการ เราต้องการจริง ๆ คือ พระนิพพาน
    ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททำอารมณ์ใจของท่านก่อนหลับ ก็ดี หรือว่าตื่นใหม่ ๆ ก็ตาม ไม่ต้องลุกขึ้นมานั่ง นอนแบบนั้น ตื่นใหม่ ๆ ใจกำลังสบาย สร้างความรู้สึกว่าร่างกายมันเสื่อม ร่างกายเป็นของน่าเบื่อ ร่างกายต้องตายในที่สุด เราไม่ต้องการร่างกายแบบนี้อีก เราต้องการจุดเดียวคือ นิพพาน จิตหวังจริง ๆ ถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิงทำได้อย่างนี้ก่อนหลับหรือตื่นใหม่ ๆ ไม่ต้องนั่งนอนคิดใช้ปัญญา เวลานี้เกิดอารมณ์เบื่อ ชั่วขณะจิตเดียว ไม่หวังร่างกายเพียงแค่ขณะจิตเดียว จิตก็กลับฟื้นคืนสภาพคงที่ตามเดิม เพียงเท่านี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ขอยืนยันว่าชาตินี้ก่อนท่าจะตาย ท่านจะเป็นพระอรหันต์ไปนิพพานแน่
    3) ร่างกายเราก็ดี ร่างกายเขาก็ดี วัตถุธาตุทั้งหมด ก็ดี ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนไปในท่านกลาง มีการสลายตัวไปในที่สุด และร่างกายของแต่ละร่างกาย ก็เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก มันไม่มีอะไรเป็นจริงเป็นของเราเสียจริง ๆ
    4) ธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่มีอะไรเกินธรรมดา ท่านสอนให้ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา วางทุกข์เสียให้รู้ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมดา อะไรก็ตามเถอะ ถ้ามันเกิดขึ้นกับเรา มันเป็นธรรมดาของโลกทั้งนั้น ในเมื่อร่างกายเรามีอยู่ในโลกเท่านี้เอง
    5) ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ ถ้ามันไม่เที่ยง เราจะเข้าไปยุ่งกับความไม่เที่ยงให้มันเที่ยงมันก็เป็นทุกข์ อารมณ์ของคนที่เป็นทุกข์มันก็เพราะไม่ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง
    6) จำไว้ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยง ถ้าเราเกาะความไม่เที่ยงมันก็ทุกข์ แต่ทว่าจะสุขหรือทุกข์ก็ตาม อนัตตามันก็เข้ามาถึง อย่ายึดอย่าถือว่ามันเป็นเรา เป็นของเราคิดไว้เสมอว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายที่เราจะอยู่กับมัน
    7) ร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี นอกจากมันจะสกปรกแล้ว มันก็ไม่มีสภาวะเป็นเรา เป็นของเรา ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะร่างกายเป็นกฎธรรมดาอย่างหนึ่ง ที่มันมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนไปในท่ามกลาง มีการแตกสลายในที่สุด ที่เรียกกันว่า เมื่อมีเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องมีความแก่เป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความแก่ไปได้ ต้องมีความป่วยไข้เป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความป่วยไข้ไปได้ ต้องมีความตายเป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความตายไปได้ ทรัพย์สินทั้งหลายที่เรามีอยู่ สิ่งที่รักอยู่ก็ต้องพลัดพรากจากกันไป
    8) ให้พยายามพิจารณาใคร่ครวญเสมอ ๆ ว่า สังขารนี้มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้นแล้ว ต่อไปก็แตกสลายทำลายไปหมด ไม่มีสังขารประเภทใดเหลืออยู่ พยายามหาเหตุผลในคำสอนนี้ให้เห็นชัด ดูตัวอย่างคนที่เกิดแล้วตาย ของที่มีขึ้นแล้วแตกทำลาย ดูแล้วคิดทบทวนมาหาตน และคนที่รักและไม่รัก ของที่มีชีวิตและไม่มี คิดว่านี่ไม่ช้าก็ต้องตาย ทำลายอย่างนั้น พิจารณาทบทวนอย่างนี้จนอารมณ์เห็นเป็นปกติ ได้อะไรมา เห็นอะไรก็ตาม แม้แต่เห็นเด็กเกิดใหม่ อารมณ์ใจก็คิดว่า นี่ไม่ช้ามันก็พัง ไม่ช้ามันก็ทำลาย แม้แต่ร่างกายเรา ไม่ช้ามันก็สิ้นลมปราณอะไรที่ไหน ที่เราคิดว่ามันจะยั่งยืนถาวรตลอดกาลไม่มี รักษาอารมณ์ให้เป็นอย่างนี้
    9) ถ้ารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดาเสียแล้ว ความอาลัยในชีวิตมันก็ไม่มี เราศึกษาพระธรรมวินัยกัน ปฏิบัติสมถวิปัสสนาธุระกันก็เพื่อความดับไม่มีเชื้อ คือการตัดอาลัยในชีวิตเท่านั้น อารมณ์ที่จะตัดอาลัยในชีวิตได้ ก็มีอารมณ์รักธรรมดา คือ ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา อย่าไปสนใจกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้มากนัก ไอ้เรื่องที่จะทำให้ถูกใจเราทุกอย่างมันไม่มีถ้าใจเราเลว แต่ว่าถ้าใจเราดีเสียอย่างเดียว ทุกอย่างในโลกมันไม่มีอะไรผิดใจเรา เพราะว่าเราทราบว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา
    10) พิจารณาจนกว่าจะเกิดอารมณ์เป็น เอกัคคตารมณ์ คือ จิตมีอารมณ์ยอมรับนับถือกฎธรรมดา เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเนื่องด้วยตน หรือคนอื่นเป็นของธรรมดาไปหมด สิ่งกระทบเคยทุกข์เดือดร้อน ก็ไม่มีความทุกข์ความเร่าร้อน ไม่ว่าอารมณ์ใด ๆ ทั้งที่เป็นเหตุของความรัก ความโลภ ความโกรธ ความผูกพัน ยอมรับนับถือกฎธรรมดาว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ อาการอย่างนี้เป็นเรื่องธรรมดาแท้ ท่านว่า ครอบงำความเกิด ความดับ ความตายได้ เป็นต้น คำว่า ครอบงำ หมายถึงความไม่สะทกสะท้านหวั่นไหว ใครจะตายหรือเราจะตาย ไม่หนักใจ เพราะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องตาย ใครทำให้โกรธ ในระยะแรกอาจหวั่นไหวนิดหนึ่ง ยอกจากระงับความหวั่นไหวที่เคยเกิด เคยหวั่นไหวได้แล้ว จิตยังมีความรักในพระนิพพานยิ่งกว่าสิ่งใด สามารถจะสละวัตถุภายนอกทุกอย่างเพื่อพระนิพพานได้ทุกขณะ มีความนึกคิดถึงพระนิพพานเป็นปกติ
    11) การที่เราจะได้ดีหรือไม่ได้ดี มันอยู่ที่ความจริงใจของเราเท่านั้น การเจริญพระกรรมฐานที่บอกว่าทำแล้วไม่ได้ดี ก็เพราะคนเราหาความจริงไม่ได้นั่นเอง ไม่ใช่มีอะไรยากลำบากอะไรที่ไหน เป็นของธรรมดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงหาอะไรมาสอนเรา นอกจากนำกฎธรรมดาที่เรามีอยู่ ให้เรามาใช้ปฏิบัติให้ถูกทางเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาธิจิต เราก็ใช้กันอยู่เป็นปกติ แต่ว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์เห็นว่า สมาธิแบบนั้นเป็นโลกียสมาธิ ไม่เป็นทางหมดทุกข์ องค์สมเด็จพระบรมครูต้องการให้เรามีความสุข จึงให้ใช้สมาธิด้านกุศลจิต คิดหากุศลเข้าใส่ใจไว้เป็นประจำ ให้จิตมันจำไว้เฉพาะด้านกุศลอย่างเดียวจนเป็นเอกัคคตารมณ์ เมื่อจิตทรงสมาธิได้ดีแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็สอนวิปัสสนาญาณ มีอริยสัจ เป็นต้น ให้พิจารณาเห็นทุกข์ เหตุแห่งความทุกข์ ที่มันจะพึงมีขึ้นมาได้ ก็เพราะอาศัยตัณหา มีความผูกพันในร่างกาย ซึ่งมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราก็วางร่างกายเสีย เพื่อพระนิพพาน

    ���ͧ������
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LPRuesri4.jpg
      LPRuesri4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      79.7 KB
      เปิดดู:
      891
    • Sadhu.jpg
      Sadhu.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.7 KB
      เปิดดู:
      91
    • whyImpossible.jpg
      whyImpossible.jpg
      ขนาดไฟล์:
      24.7 KB
      เปิดดู:
      121
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,966
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    [​IMG]
    อัคคิขันธูปมสูตร
    [๖๙] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในแคว้นโกศลชนบท
    พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จดำเนินไปสู่ทางไกล ได้ทอดพระเนตรเห็น
    ไฟกองใหญ่ กำลังลุกรุ่งโรจน์โชติช่วงอยู่ในที่แห่งหนึ่ง จึงเสด็จแวะจากทาง
    ประทับนั่งบนอาสนะที่ปูไว้ใกล้โคนไม้แห่งหนึ่ง ครั้นแล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายเห็นไฟกองใหญ่โน้นที่กำลังลุกรุ่งโรจน์โชติช่วง
    อยู่หรือไม่ ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า เห็น พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
    การเข้าไปนั่งกอดหรือนอนกอดกองไฟใหญ่โน้น ที่กำลังลุกรุ่งโรจน์โชติช่วงอยู่
    กับการเข้าไปนั่งกอดหรือนอนกอดพระราชธิดา บุตรสาวพราหมณ์หรือบุตรสาว
    คฤหบดี ผู้มีฝ่ามือฝ่าเท้าอ่อนนุ่ม อย่างไหนจะประเสริฐกว่ากัน ฯ
    ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ การที่บุคคลเข้าไปนั่งกอดหรือนอนกอด
    พระราชธิดา บุตรสาวพราหมณ์หรือบุตรสาวคฤหบดี ผู้มีฝ่ามือฝ่าเท้าอันอ่อนนุ่ม
    นี้ประเสริฐกว่า ส่วนการที่บุคคลเข้าไปนั่งกอดหรือนอนกอดกองไฟใหญ่โน้น
    ที่กำลังลุกรุ่งโรจน์โชติช่วงอยู่ เป็นทุกข์ ฯ
    พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจะขอบอกเธอทั้งหลาย จะขอเตือนเธอ
    ทั้งหลาย การที่บุคคลผู้ทุศีล มีธรรมลามก มีความประพฤติสกปรกน่ารังเกียจ
    ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์
    แต่ปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน มีความกำหนัดกล้า เป็นดังหยากเยื่อ
    เข้าไปนั่งกอดหรือนอนกอดพระราชธิดา บุตรสาวพราหมณ์หรือบุตรสาวคฤหบดี
    จะประเสริฐอย่างไร การเข้าไปนั่งกอดนอนกอดกองไฟใหญ่โน้นที่กำลังลุกรุ่งโรจน์
    โชติช่วงอยู่ นี้ดีกว่า
    ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเขาจะพึงถึงความตายหรือทุกข์
    ปางตาย เพราะการเข้าไปกอดกองไฟใหญ่นั้นเป็นเหตุ แต่ผู้นั้นเมื่อตายไป
    ไม่พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะการเข้าไปกอดกองไฟใหญ่นั้น
    เป็นปัจจัย ส่วนการที่บุคคลผู้ทุศีล มีธรรมอันลามก มีความประพฤติสกปรก
    น่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้
    ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน มีความกำ
    หนัดกล้า เป็นดังหยากเยื่อ เข้าไปนั่งกอดหรือนอนกอดพระราชธิดา บุตรสาว
    พราหมณ์หรือบุตรสาวคฤหบดี ผู้มีฝ่ามือฝ่าเท้าอ่อนนุ่มนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อ
    ความฉิบหายมิใช่ประโยชน์ เพื่อความทุกข์ตลอดกาลนานแก่เขา และผู้นั้นเมื่อ
    ตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Buddha.jpg
      Buddha.jpg
      ขนาดไฟล์:
      75.7 KB
      เปิดดู:
      922
    • enemywithin.jpg
      enemywithin.jpg
      ขนาดไฟล์:
      34.4 KB
      เปิดดู:
      90
  18. ไผ่มรกต

    ไผ่มรกต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,896
    วันวิสาขบูชา อาศรมไผ่มรกต.com

    นะโมตัสสะ ภควะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุธธัสสะ ฯ
    ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย วันนี้ซึ่งก็เป็นวันเพ็ญวิสาขะฤกษ์ พุทธศาสนิกชน ถือกันว่าวันนี้เป็นวันสำคัญ วันสำคัญก็คือ พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ ประสูติ และเสด็จดับขันธ พระปรินิพพาน ฉะนั้น วันสำคัญอันเวียนมา เหมือนกับวันนั้น จึงควรเป็นวันอนุสรณ์ ที่ระลึกหรือ สักการะบูชา คือควรแก่การบูชา ซึ่งเรียกกันว่า วิสาขะบูชา บูชาทำอย่างไร ข้อนี้มันก็มีการกระทำหลายหลาก แต่อย่างๆไรก็ดี ณ.ที่นี้ ก็จะไม่ขอกล่าวอธิบายอะไรมาก ก็เพียงแต่จะกล่าวว่า พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า ที่พุทธศาสนิกชน พึงบูชานั้น จะมีผลอย่างใดหรือไม่ พระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่ ข้อที่ว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่ อันนี้ก็จะไม่มีใครจะสงสัย แต่เป็นพระพุทธเจ้าที่มีมาแล้วในอดีต ก็คือที่มีมาแล้วในอดีต เป็นเวลาล่วงมา 2000 กว่าปี จนถึงปัจจุบันนี้ 2542 ปี นั่นเราเชื่อกัน แน่นอนว่า คือองค์พระสัมมาสัมมาพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้มาแล้ว คือเป็นเจ้าแห่งพระพุทธศาสนา เราไม่สงสัยว่าไม่มี พระสงฆ์สาวกก็เป็นผู้ที่สืบ พระพุทธศาสนาของพระพุทธองค์มา จนตราบเท่าเราทั้งหลาย ได้เข้ามาบวช มาเรียนศึกษาใน พระพุทธศาสนา ถือเป็นสิ่งสำคัญในทุกวันนี้ ก็คือพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น แสดงว่าพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระโคดมองค์นั้น ก็ได้เสด็จดับขันธ์พระปรินิพพานไปแล้ว ในเมื่อพุทธศก 80 ปี ท่านผู้ฟังทั้งหลาย เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเสด็จดับขันธ์พระปรินิพพานไปแล้ว ส่วนมาก ก็เข้าใจกันว่า ดับขันธ์พระปรินิพพานแล้ว ก็สูญไปแล้ว ก็คงทิ้งไว้แต่ชื่อ ๆ ตัวจริงไม่มีแล้ว หรือที่ว่า พุทธะ พุทธะ นั้นไม่มีแล้ว อันนี้ก็เป็นความเข้าใจเผินๆ หรือเปลือกๆ ของเราท่านทั้งหลาย หรือคนทั่วๆไป เหมือนกับหนึ่งว่า คนที่ตายไปแล้ว จะมีแต่ที่ไหน ก็จะมีแต่เพียงชื่อเท่านั้น ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย หามีแต่เพียงชื่อไม่ พระพุทธเจ้าที่เป็นจริง ที่ตรัสรู้ ใต้ต้นสลีมหาโพธิ์นั้น คือพระพุทธเจ้าตัวจริง แต่พระพุทธเจ้าที่ คลอดออกมาจาก พระครรภ์ของพระนางศิริมหามายานั้นเป็น พระพุทธเจ้าตัวเปลือกนอก พระพุทธเจ้าตัวเปลือกนอก เสด็จดับขันธ์พระปรินิพพานไปแล้ว เขาเผาแล้ว ก็เหลือไว้แต่พระอัฐธิ หรือที่เรียกกันว่าบรมสารีริกธาตุ ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย พระพุทธเจ้าตัวจริง ที่ตรัสรู้ใต้ต้นสลีมหาโพธ์ คือโพธิญาณ ได้บังเกิดขึ้นแก่พระองค์ ซึ่งเรียกว่าพุทธุปาโด พระพุทธุปาโดคือ พระพุทธเจ้าเกิดขึ้น ที่ใต้ต้นสลีมหาโพธ์ คือตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ที่ตรัสรู้ใต้ต้นสลีมหาโพธิ์ อันนี้ใครแลไม่เห็น คนทั้งหลายไม่มีใครเห็นก็จะเห็นแต่พระพุทธเจ้าอันเป็นตัวเปลือก คือตัวเปลือกนอก ก็จากที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์นั้น มองไม่เห็น อันนี้คือเป็นพระพุทธเจ้าตัวจริง พระพุทธเจ้าจริงเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่ได้ดับไปไหน เรียกว่าไม่ตาย ทรงเป็นพระอมตะคือไม่ตาย ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ไข้ ก็แม้พระพุทธเจ้าที่ว่านี้ เกิดทีหลังนี้ คือเกิดแล้ว ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย คือเกิดแล้วบรรลุถึงพระนิพพาน อันนี้ยังดำรงอยู่ คือยังมีอยู่ จะพูดง่ายๆว่า กายนั้นตายไปแล้ว แต่ใจนั้นยังไม่ตาย กายนั้นตายไปแล้ว ไม่มีแล้ว แต่ใจนั้นไม่ตายใจนั้นยังมีอยู่ ก็คือหัวใจยังมีอยู่ ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย ก็หัวใจยังมีอยู่ ยังไม่มีวันตาย อยู่ที่ไหน ก็เมื่อมีอยู่แล้ว อยู่ที่ไหน ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย ก็จะขอตอบเพียงง่ายๆ ก็คืออยู่ในที่ ทั่วๆไปนี้แหละ คืออยู่ในอากาศนี้แหละ อากาศมีอยู่ในที่ใด พระพุทธเจ้าก็มีอยู่ในที่นั้น คือไม่สูญ ก็เมื่อพระพุทธเจ้ามีอยู่ไม่สูญดังนี้ จึงพูดได้ว่า แม้ปัจจุบันนี้ พระพุทธเจ้าก็มีอยู่ ครอบงำ สัตว์ทั้งหลายอยู่ทุกเมื่อ คุมอยู่ในที่ทุกแห่ง แต่ไม่เห็นเท่านั้นเอง เรายกมือไหว้พระยกมือกราบไหว้ พระพุทธเจ้า แต่เราไม่เห็นตัว แต่แม้กระนั้นพระพุทธเจ้าก็เห็นเราอยู่ เรามองไม่เห็นตัวพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าก็เห็นเราอยู่ บางทีเรายกมือ ไหว้พระพุทธเจ้า แต่เราไม่ได้นึกถึงพระพุทธเจ้า ยกมือเพียงสักแต่ว่าไหว้ เหมือนกับว่า ไม่มีผลอะไร เท่ากับว่าการไหว้ของเรานั้น ก็อยู่ด้านนอก ไม่ได้ไหว้พระพุทธเจ้า เพียงแต่ยกมือพนม ขึ้นเท่านั้น แต่หากว่าเรายกมือพนมไหว้ แต่จิตใจของเราน้อมถึงพระพุทธเจ้า นั่นคือการไหว้ ของเราไปถึงพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้าได้ทรงรับไหว้ของเราแล้ว ได้รับการบูชาของเราแล้ว ก็เป็นอันว่า การกระทำอันเป็นบุญ ที่เราท่านทั้งหลาย กระทำนั้น ย่อมมีผล คือย่อมปรากฏออกมา เป็นของจริง คือเป็นอานิสงค์ หรือเป็นผลในทางที่ดี จริงอย่างแน่นอน คือไม่สูญเปล่า ฉะนั้นการสักการะบูชา หรือการบูชาของเราท่านทั้งหลาย ที่สวดมนต์ เช้า ค่ำ ทุกวันนี้ ทำด้วยจิตใจอันนอบน้อม ด้วยจิต ด้วยใจ ของเราแล้ว ผลบุญ ก็ย่อมมีอยู่เสมอ ไม่ใช่ไหว้เปล่า เหมือนกับที่ว่า ตะกี้ เพียงยกมือไหว้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าไหว้อะไร ไหว้ของสูญ คิดว่าเป็นอย่างนั้น คิดว่าพระพุทธเจ้าไม่มีแล้ว เพียงสักแต่ว่าทำ ก็เป็นอันว่า พระพุทธเจ้านั้นน่ะ เหมือนกับที่กล่าวข้างต้น มีอยู่ทุกแห่ง ที่บ้านของเราก็มี ที่วัดก็มี ที่สำนักใดๆมี ตามทุ่งตามนา ตามป่าตามน้ำ ตามเขา ตามดอยก็มี เราไหว้ได้เสมอ ถ้ายังไม่เชื่อแน่ ก็ขอไหว้พระบรมสารีริกธาตุไปก่อนก็ได้ พระบรมสารีริกธาตุ ก็เป็นตัวแทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นรูปธรรม รูปธาตุ
    อันนั้นเห็นได้ด้วยตา ไหว้อันนั้นก็ได้บุญเหมือนกัน แต่เท่าที่กล่าวนี้ คือกล่าวด้วย กาย จริงของพระพุทธเจ้า คือหัวใจของพระพุทธเจ้า นั้นมีอยู่ในที่ทั่วไป ทีนี้ก็มาพูดถึงว่า พระพุทธเจ้ามี เป็นเครื่องรับ สักการะบูชาของเราท่านทั้งหลาย
    อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หรือตลอดกาล เราท่านทั้งหลายก็มีโอกาส ที่จะได้บุญจนกว่าชีวิตจะดับไป หรือลมหายใจ จะดับลงไป เพราะไหว้ที่ไหนก็ได้ ระลึกถึงที่ไหนก็ได้ ทีนี้ว่ากันถึง เรื่องตัวตน หรือการท่องเที่ยว ตามสังสารวัฎ ตัวตนก็เป็นของมีจริง ตัวตน อัตตาเป็นของมีจริง คือสภาวะอันหนึ่ง ที่เราเรียกกันว่าคนนั้น คนนี้ ที่ว่าเป็นเราบ้าง เป็นเขาบ้าง นาย ก บ้าง ข บ้าง หญิงบ้าง ชายบ้าง หลังจากที่อัตภาพ แตกสลาย ลงไปแล้ว เขาเอาไปเผาทิ้งแล้ว หรือเอาไปฝังในป่า ช้า แล้ว แต่เราท่านทั้งหลาย ที่ชื่อนั้น ชื่อนี้ อันเป็นตัวข้างใน สภาวะข้างในอันนั้นยังไปตาย ไม่มีวันตาย คือยังไปเกิดที่นั่น ที่นี่เรียกว่า เที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่ แต่การท่องเที่ยวไปในภพน้อย ภพใหญ่ ไม่ได้ไปตามลำพัง คือไปด้วยอำนาจ การกระทำ คือทำดี หรือทำชั่ว ที่จะเป็นเครื่อง ติดตัวไปตลอดกาล การกระทำก็มี อยู่2 อย่าง คือกระทำในปัจจุบัน กับ กระทำในอดีต กระทำในอดีตก็ส่งผลมาในปัจจุบันได้ กระทำในปัจจุบัน ก็ส่งผลให้ปัจจุบัน แล้วก็จะไปส่งผลให้ในอนาคต ต่อไปอีก ก็ชื่อว่าคนทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ย่อมเป็นไปตามกรรมต่างกัน คือการกระทำ ฉะนั้นการกระทำนี้แหละ มันเหมือนกับเป็นเงา ติดตัวไป ไปทุกหนทุกแห่ง คือไปทุกภพ ทุกชาติ ก็กรรมอันนั้นก็ติดไป ก็เวลาที่กรรมชั่วติดตามไป มันก็ให้ผลในคราวที่ เสวยความทุกข์ แต่ถ้ากรรมดีนั้นติดตามไปให้ผลเวลานั้น มันให้ความสุข ก็จะเสวยความสุขคือรับความสุขนั่นเอง ฉะนั้นมากก็ตาม น้อยก็ตาม ผลที่ทำเหตุที่ทำแล้วนั้น มันย่อมได้ทั้งนั้น คือย่อมได้ทั้งมากก็ได้ น้อยก็ได้ เพราะฉะนั้น การทำความดี เป็นต้นว่าการให้ทาน แม้ที่สุด ให้แก่คนยาก คนจน เพียง 10 บาท การกระทำนั้นไม่สูญเลย การกระทำนั้นไม่สูญ แล้วก็ ชาติหน้า ยังได้ผลพิเศษคือยังมีดอกเบี้ย ไม่ใช่ได้แค่นั้น คือทำความดีไว้ทั้งหมดแม้ 10 บาท ถ้าทำไปแล้ว ผลที่เราทำจะได้แค่ 10 บาทเท่านั้น ก็หามิได้ ดอกเบี้ยก็เกิดตามมาอีกเยอะแยะไปเลย ก็เกิดตามขึ้นมาอีกมากมาย เป็นร้อยเป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน จนชื่อว่าเป็นผู้ร่ำรวย ขึ้นมาได้ ก็เพราะความดีนั้น เป็นของไม่ตาย ติดตามไป เหมือนกับความชั่ว ก็ไม่ตายเหมือนกัน ก็ติดตามตัวไปเหมือนกัน ทางที่ดี ก็อย่าให้มีความชั่ว มันติดตามไปชะเลย นั่นแหละเป็นทางที่ดี น้อยหนึ่งก็ไม่ควรจะมี ฉะนั้นความดี นิดหนึ่งน้อยหนึ่งนั้นก็ควร ที่จะทำให้เกิดมี เพราะว่าเกิดมีแล้ว มันมีแต่ผลดี ที่จะประดังเข้ามา หรือติดตามไปอยู่เสมอ ทีนี้ว่าถึงผลการท่องเที่ยว ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วว่า คนเราตายไปแล้วท่องเที่ยวไปในภพน้อย ภพใหญ่ มันไม่ตาย ไอ้ตัวในนั้นมันไม่ตาย ก็จะขอยกเรื่อง หรือนำเรื่องมาเล่า หรือมาแสดง เป็นตัวอย่าง สักเรื่องหนึ่ง.... ก็มีในสมัยพระพุทธเจ้า โคตะมะเศรษฐี ๆ เป็นอย่างไร มีกรรมดี กรรมชั่วอย่างใด ที่กระทำไว้ และก็ท่องเที่ยวไปภพน้อย ภพใหญ่ เป็นอย่างไร ก็จะขอเริ่มต้นที่ โคตะมะเศรษฐี นี้ยังไม่ได้เป็นเศรษฐี ที่เมืองโกสัมภี ก็ในกาลครั้งนั้น คือถอยหลังไป โคตรเศรษฐีนี้ ก็ได้เกิดอยู่ที่เมือง กัสปะ คือเมืองๆหนึ่ง ชือว่าโคโตริก ชื่อว่านายโคโตริ นายโคโตริ เขาก็มีครอบครัว อยู่ในเมืองนั้น แต่ว่าในเมืองนั้นเกิด ทุกภัยขึ้น เกิดทุกภัยขึ้นที่เมืองนั้น นอกจากทุดภัยแล้ว ก็ยังมีพลังอื่นคุกคามด้วย เป็นต้นว่า อหิวาเกิดขึ้นด้วย เขาก็ไม่อาจที่จะอยู่ที่เมืองนั้นได้ ไม่มีอะไรจะกิน ก็ในเมื่อไม่มีอะไรจะกิน ก็เลย 2 ตัวผัวเมีย สองสามผัวเมีย ลูกคนหนึ่งเตลิด เปิดเปิง ออกจากบ้านนั้น เมืองนั้น ไปอาศัยข้างหน้า ก็แล้วกัน ทีนี้ก็เดินทางไปๆ มันก็ทุกๆ ยากๆ มีกินบ้าง ไม่มีกินบ้าง ที่มีกินบ้าง ก็ขอข้าวเขากิน ด้วยการขอเขากิน ก็อิ่มบ้างไม่อิ่มบ้าง ได้บ้างไม่ได้บ้าง มันก็เลยเป็นธรรมดา ก็เดินทาง ซอกซอนไปแดนไกล ทั้งลูกคนหนึ่ง ก็ผลัดกันอุ้ม ผลัดกันเกิน ก็จะทำอย่างใดเล่า ก็ในเมื่อเกิดมันมาแล้ว ก็จะทิ้งเสียก็ไม่ใช่หน้าที่ แต่ว่าหนักเข้า ๆ มันก็ตัวเองก็จะเอาตัวไม่รอด 2 ผัวเมีย ก็จะเอาตัวไม่รอด จะกินก็ ไม่มีกิน ในที่สุดผัวก็เลยคิดว่า เราเอาตัวรอดชะก่อนดีกว่า เราทิ้งลูกของเราชะ เสียดีกว่า หรือทว่า เมื่อเราทิ้งลูกของเรา หรื่อว่าลูกของเราตายไป เราทั้ง 2 ยังมีอยู่เราก็ อาจจะมีลูกได้ ก็ผัวก็ปรึกษาเมีย อย่างนี้ ไอ้เมียก็ไม่ยอมทิ้ง เมียไม่ยอมทิ้ง ก็อ้างว่าทิ้งไม่ได้ อย่างไรๆก็ขอนำไปกว่าจะถึงที่สุด ก็เดินทางเข้าไป ก็เหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า ก็ไปพักที่ต้นไม้ ขอนไม้ต้นหนึ่ง เด็กน้อยก็หลับไป ก็ผัวก็อุ้มไว้ ก็เวลาก็เวลาก็จะไม่คอยท่า จำเป็นก็จะต้องเดินทางต่อไป ไอ้ผัวก็บอกกับเมียว่า เอ้าเธอเดินออกไปก่อนฉันจะเดินตามไปทีหลัง ไอ้เมียก็ตรงไปตรงมา ก็เลยเดินทางออกไปก่อน ผัวจะเดินตามออกไปทีหลัง ก็ผัวยังประคับประคองลูกน้อยอยู่ เมียก็เดินทางไปก่อน ผังอยู่ตามหลัง พอเดินไปซักพักหนึ่ง คิดว่ามันก็เป็นเวลา พอสมควร ที่เราจะติดตามไปได้ แท้ที่ไหนได้ผัวนั่น ถือโอกาส ทิ้งลูกเสียไว้ที่นั่น ถือโอกาสทิ้งลูกน้อยเสียที่นั่น แล้วก็ติดตามเมียไป ติดตามเมียไปถึงไปทัน พอไปถึงไปทัน เมียเหลียวมาดู อ้าวลูกของเราไปไหนเล่า ศรัทราญาติโยม ท่านผู้ฟังทั้งหลาย เอาลูกของฉันไปไว้ที่ไหนเล่า เอาฉันเอาไปวางไว้ที่โน้น เอาวางไว้ที่ใด ฉันไม่ยอมหรอก จะต้องไปตามเอากลับมา เธอต้องไปส่งฉัน ก็กลับไปทีนี้กลับไป ถึงที่เก่า ที่ทิ้งลูกไว้ ไม่ได้ลูกก็ตายไปแล้ว ก็ในเมือลูกตายไปแล้วเมียก็เศร้าโศกเสียใจ ยังทำอะไรไม่ได้ เรียกร้องให้ลูกคืนมามันก็ไม่ได้ ตายไปซะแล้ว ที่สุดก็เลย ชวนกันเดินทางต่อไปข้างหน้า ศรัทราท่านผู้ฟังทั้งหลาย ก็พากันเดินทางต่อไปข้างหน้า จนสุดวันสุดคืนไปทะลุบ้านเมืองๆหนึ่ง เข้าถึงบ้านถึงเมือง ก็คงจะเป็นเมือง โกสัมภี หรืออะไรเนี่ย ทีนี้ก็ไปทะลุบ้าน ทะลุเมืองมี ขอเขากิน
    ติดตามบทพระธรรมมคำสอน ของท่านพระคุณเจ้า หลวงพ่อ ดาบส สุมโน ได้ในเวปไซต์ อาศรมไผ่มรกต.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 พฤษภาคม 2015
  19. somchai_12

    somchai_12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +800
    ทางกรุงเทพมหานครร่วมกับศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานพระพุทธศาสนา กรมการศาสนา ตลอดจนหน่วยงานภาคเอกชน ได้จัดงานวันวิสาขบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญสากลของโลก และวันอัฐมีบูชา ประจำปี 2558 ระหว่าง วันที่ 29 .พ.ค. ถึง 9 มิ.ย.นี้ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รวมถึงให้พุทธศาสนิกชนรำลึกถึงความสำคัญของวันในพระพุทธศาสนารูปงานวันวิสาขะบูชา สนามหลวง

    IMG_20150601_100411.jpg IMG_20150601_100257.jpg IMG_20150601_101810.jpg IMG_20150601_102031.jpg IMG_20150601_103856.jpg IMG_20150601_104650.jpg IMG_20150601_105834.jpg

    ไปทำบุญมา โมทนาบุญด้วยกันครับ
     
  20. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    Phu Bodin
    ‪#‎สมมุติก็คือสมมุติ‬
    มิใช่ ปรมัตถธรรม
    ต้องฝึกสติมากๆ จิตจึงจะรู้ จึงจะเข้าใจ
    โดยเฉพาะ เรื่องการปล่อยวาง ..
    ตราบใด จิตไม่ถึงปรมัตถธรรม
    จิตก็ยังจะยึดคำสมมุติอยู่นั่นหละ

    คนเรา กว่าจะรู้ กว่าจะเข้าใจ คำว่า สมมุติ
    หรือ สักกายทิฎฐิ
    คือเราต้องมีความเห็นว่า ร่างกายนี้ มิใช่เรา มิใช่ของๆเรา จริงๆ
    ฉะนั้น เราจะมาท่องปากเปล่ากันไม่ได้ๆ เพราะไม่มีผล
    ทำไมถึงบอกว่า ไม่มีผล ก็เพราะว่า เรายังมีความทุกข์ใจอยู่เลย
    เรารู้แล้ว แต่จิตยังไม่รู้ ถ้าจิตเรารู้แล้วก็ไม่มีปัญหาในการปล่อยวาง
    เพราะจิตตัวเดียวเลยที่ไม่ปล่อยวาง เราก็เลยเป็นทุกข์ใจ
    จิตเรายังหลงไปยึดในขันธ์๕ หรือร่างกายเรานี้
    ถึงบอกแล้วไงว่า อย่าไปท่องเหมือนนกแก้ว นกขุนทอง
    เพราะไม่มีผล แต่จะเป็นผลก็ต่อเมื่อ เราเจริญสติภาวนา
    จนมีทั้งสติและปัญญาระดับนึง แต่ละบุคคลอาจไม่เท่ากัน
    ไปตามวาระกรรม ไปตามบุญบารมีของแต่ละคน ทำมาไม่เหมือนกัน

    คนเราส่วนใหญ่ใช้ขันธ์๕ หรือร่างกายสมมุตินี้ จนเคยชิน
    ใช้มายาวนานหลายภพหลายชาติ ก็เลยตัดยาก ละยาก เป็นธรรมดา
    เราใช้ร่างกายสมมุติจนชิน จนไม่เป็นร่างกายสมมุติไปแล้ว
    คือ สมมุติกลายเป็นถาวรไปโดยปริยาย
    ยกเว้น นักภาวนา ค่อยจะรู้ตัวขึ้นมาบ้าง

    คนเราใช้คำเวทนาจนเคยชิน
    คนเราใช้คำจิตสังขารจนเคยชิน
    จนเวทนาหรือจิตสังขารกลายเป็นเราเป็นของเราไปแล้ว
    พยายามมีสติปัญญาแยกออกจากกันให้ได้
    ว่าอะไรคือกาย อะไรคือจิต แยกกายแยกจิตให้ชัดเจนกันน๊า
    หากแยกไม่ได้ ก็มั่วกันต่อไปนะ
    เห็นมีแค่สติปัญญาเท่านั้นที่พอจะแยกสองสิ่งออกจากกันได้
    นอกนั้น ไม่มี รู้นะว่ารู้อะไรเป็นอะไร รู้เข้าใจหมดแหละ
    เพียงแต่ยังไม่ได้ฝึกปล่อยวาง
    หากวางได้แล้วย่อมรู้นะว่า ปล่อยวางได้แล้ว
    อย่าหลอกตนเองน๊า ไม่มีประโยชน์ เพราะการปฎิบัตินั้น มิได้นำไปอวดผู้ใด
    แต่จะปฎิบัติธรรม เพื่อลดหรือวางอัตตามมานะของตน
    หรือปลดเปลื้องสิ่งพันธการแห่งจิตตน หรือออกจากทุกข์ทางใจของตน

    โมทนาสาธุ
    ภู ท ย า น ฌ า น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      133.7 KB
      เปิดดู:
      101

แชร์หน้านี้

Loading...