ตามรอย "พระมหาชนก"

ก่อนอื่นกระผมขอเชิญชวน…ฯ ท่านผู้มีภูมิรู้ภูมิธรรมทุกๆท่าน ขอชวนท่านทั้งหลาย มาพิจารณาปริศนาธรรมสัก ๖ กระทู้ และขอให้ท่านผู้รู้ทุกๆท่าน ได้เกิดสติ เกิดจิต เกิดอารมณ์ เกิดวิญญาณเหล่านี้เป็นโอปาติกะล่องหนผุดเกิดขึ้นในจิตในใจแด่ผู้มีคุณธรรมแด่ผู้มีบารมีธรรมทุกๆท่าน ด้วยเทอญ…สาธุ

ดูก่อน ปัญญาจะเกิดได้ต้องมีใจที่เที่ยงธรรม เมื่อมีใจที่เที่ยงธรรมย่อมเข้าใจเหตุปัจจัยอย่างถูกต้อง เมื่อเข้าใจเหตุปัจจัยอย่างถูกต้อง ย่อมรู้เท่าทันว่าผลของสิ่งที่อาศัยกันเกิดขึ้นเป็นไปของปัญหาและภยันตรายต่างๆจะมุ่งหมายมาเช่นไร เมื่อเรารู้ผลของเหตุนั้น เราจึงควรหาวิธีป้องกันหรือหลีกหนี ถ้าหากสิ่งที่ท่านผู้มีคุณธรรมพิจารณาเหตุปัจจัยอย่างถูกต้อง ย่อมเป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น ย่อมเป็นความชอบธรรมโดยแท้ แต่ในทางกลับกัน หากผู้นั้นมีอวิชชาเข้าครอบงำจิตใจแล้ว ย่อมมีใจที่ไร้เที่ยงธรรม เมื่อมีใจที่บ่เที่ยง ผู้นั้นย่อมเข้าใจคลาดเคลื่อน หรือมีความเห็นที่ถูกต้องในแบบของเขาอันย้อมไปด้วยทิฐิมานะเข้าครอบงำจิตใจ ให้เหตุต่างๆทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น ไม่เกิดผลอันเป็นประโยชน์โดยธรรมแก่ส่วนตัวและส่วนรวมเลย ขอให้ท่านผู้มีภูมิรู้ภูมิธรรมทุกท่าน มีสติ พ้นภัย ลูกนี้ กระผมนี้จะขอน้อมนำภาษิตขององค์หลวงพ่อโอภาสี มาชวนท่านทั้งหลายวิปัสสนาสัก ๖ ภาษิต
ชวนท่านผู้สพถ้อย โคลงชวน
ชวนติและชมสำนวน กระทู้
ชวนท้วงทักคำผวน กวีพากย์ นี้เฮย
ชวนพิศประพันธ์กู้ เรียกร้องโคลงชวน ฯ
ชวนเริ่มจงเจตน์ตั้ง พลีสรวง
ชวนแบ่งปันอย่าหวง ลาภล้วน
ชวนอย่าขัดอย่าทวง ห้ามลาภ เขานา
ชวนพิจารณ์ครบถ้วน เพื่อน้อมนำทาง ฯ
ชวนสมานเมตต์เอื้อ อารี
ชวนก่อสามัคคี พรักพร้อม
ชวนเว้นโทษถือดี ถือพรรค พวกเทียว
ชวนนิมิตญาติน้อม เพราะคุ้นเคยกัน ฯ
ชวนอย่าถือเหตุด้วย นึกเอา
ชวนอย่าถือเพราะเดา เหตุนั้น
ชวนอย่ายึดถือเขา เช่นกับ ครูเฮย
ชวนตรึกชวนตรองคั้น ชอบแล้วถือเอา ฯ
ชวนอย่าทนงว่าเชื้อ ช้างสาร
ชวนอย่าเพ่อหักราน มดน้อย
ชวนให้ทราบเหตุการณ์ โลกเกี่ยว กันแฮ
ชวนหมั่นผดุงจิตต์คล้อย โอบด้วยไมตรี ฯ
ชวนพากย์นี้มากแท้ หมื่นพัน
ชวนกอบกิจผดุงธรรม์ ชอบไซร้
ชวนอื่นจากสัจจธรรม์ ปราชญ์ติ แลนา
ชวนจิตต์เหล่าสหายให้ หมั่นน้อมพิจารณ์ชวน ฯ

ชวน…..กระทู้…..ฯ ที่ ๑ ส.ค.ส พระราชทาน 2547 กรุณาดู บทความเมื่อวันที่ 16-03-2012, 10:37 PM ประมาณหน้า 48- ตามรอยพระมหาชนก(บทความนี้ผู้น้อยได้พิจารณาไว้นานแล้ว) ดูก่อน ขอท่านผู้มีภูมิรู้ภูมิธรรมทุกๆท่าน ขอท่านจงพิจารณาให้ดีเถิด

ชวน…..กระทู้…..ฯ ที่ ๒ ภัยพิบัติที่ร้ายแรงระยะที่ ๑ ได้เรื่อณออกไป ๑ ปี กรุณาดู บทความเมื่อวันที่ 24-04-2012, 06:48 PM ประมาณหน้า 54- ตามรอยพระมหาชนก(บทความนี้ผู้น้อยได้พิจารณาไว้นานแล้ว) ขอเชิญชวนท่านผู้รู้ทุกๆท่าน กรุณาย้อนกลับไปดูในหน้าดังกล่าว ที่ผู้น้อยบอกว่าเรื่อณ ทำไมต้องเรื่อณ รู้ได้อย่างไรว่าเรื่อณ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของธาตุดินน้ำไฟลม จนเกิดเป็นลมหมุนให้เห็นไปทั่วแล้วทั้งบนบก และในทะเล จนเกิดแผ่นดินกำเริญครั้งใหญ่นานหลายวันต่อเนื่องกัน บ้างเกิดเป็นกลุ่มเมฆประหลาด เช่นเมฆม้วนตัวยาวหลายกิโลเมตร เมฆคลื่นทะเลยักษ์ อากาศวิปริตแปรปรวนเปลี่ยนแปลงเอาแน่เอานอนไม่ได้ เกิดกระแสลมรุ่นแรงก็ดี ลูกเห็บตกก็ดีเป็นต้น ทั้งหลายเหล่านี้ล้วนไม่เคยเกิดขึ้นมากมายขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยวิปริตผิดอาเพศแบบนี้มาก่อนหน้า ๕๕ ดูก่อน ขอท่านผู้มีภูมิรู้ภูมิธรรมทุกๆท่าน ขอท่านจงพิจารณาให้ดีเถิด (จากพยากรณ์หน้า๕๔เรื่อณไปเป็นหน้า๕๕ รวมทั้งผู้น้อยได้อธิบายการเกิดแผ่นดินไหวที่ภูเก็ต ก็คือ Kalachamampaka ผู้น้อยได้อธิบายไว้ชัดเจนแล้ว) (จากพยากรณ์หน้า๕๕เรื่อณไปเป็นหน้า๕…ตามลำดับ และต่อไป) (จากพยากรณ์หน้า๕…เรื่อณไปเป็นหน้า๕…นั้นได้เกิดแผ่นดินกำเริญครั้งใหญ่ที่สุดติดต่อนานหลายวันทางภาคเหนือ เกิดกลุ่มเมฆรูปร่างประหลาดไปทั่ว คล้ายมวลน้ำขนาดยักษ์ก็ดี คล้ายท่อขนาดยักษ์ก็ดี คล้ายกันชนรถยนต์ก็ดี เกิดลมหมุนไปทั่วทั้งบนบกและในทะเล ) (จากพยากรณ์หน้า๕…เรื่อณไปเป็นหน้า๕…ขอจงมีความเพียรที่บริสุทธิ์ ปัญญาที่เฉียบแหลม กำลังกายที่สมบูรณ์) ผู้น้อยได้อธิบายเหตุปัจจัยของการเรื่อณไว้ในครั้งนั้นแล้ว ตลอดจนอธิบายภาพซ้อนภาพ มิติซ้อนมิติไว้ให้ชัดเจนแล้ว และผมยังย้ำอย่างหนักแน่นสำทับด้วยอีกว่าใครจะเป็นคนเฝ้าระวังภัยการเปลี่ยนแปลงของธาตุทั้งสี่ ดังนั้นกระแสของการเปลี่ยนแปลงของธาตุทั้งสี่ ความวิปริตแปรปรวนของธาตุทั้งสี่จะค่อยๆทวีความรุนแรงขึ้น รุ่นแรงขึ้นไปอีก รุ่นแรงขึ้นเรื่อยๆไปตามลำดับของภัยพิบัติที่ร้ายแรงระยะที่ ๑ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นการเกิดแผ่นดินไหวที่ภูเก็ต ก็คือ Kalachamampaka ตามด้วยขั้นกลาง ต่อเนื่องขั้นปลาย และถึงที่สุด ตามลำดับ(ยังมีภัยพิบัติที่ร้ายแรงระยะที่ ๒ รออยู่ ในกาลครั้งนั้นผู้น้อยได้กล่าวไว้ แต่ไม่ได้พิจารณาไว้ แค่ภัยพิบัติที่ร้ายแรงระยะที่ ๑ นี้ก็แย่แล้ว หนักเอาการแล้ว เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์สัจธรรมทั้งหมดและยืนยันคำตอบทั้งหมดให้เอง) ดังนั้นในการพิจารณาใดๆนั้น ผู้น้อยจะย้ำแทบจะทุกๆกระทู้ ถ้าจำไม่ผิดว่า ขอให้ท่านกลับไปอ่านให้เข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจ เกรงว่าจะตามไม่ทัน ผู้น้อยยิ่งพิจารณาไปไกลมากเท่าไหร่ เดี๋ยวจะยิ่งตามไม่ทันมากเท่านั้น ผู้น้อยมิได้อวดตัวว่าเป็นผู้รู้แต่ประการใด แต่เป็นการพิจารณาไปตามเหตุปัจจัย โดยปราศจากทิฐิมานะ พิจารณาอย่างตรงไปตรงมา อย่างเที่ยงธรรมตามปริศนาธรรมของพุทธพยากรณ์ ที่ได้ซ่อนคำ ซ่อนธรรมที่ลุ่มลึกหาใช่จะแปลอย่างผิวเผินไม่ จนสามารถที่หยั่งเข้าไปรู้ด้วยปัญญาอันน้อยๆและวางschedule ภัยพิบัติได้ เมื่อพิจารณาโดยองค์รวมแล้ว ทุกอย่างมันเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ตั้งอยู่ตามเหตุปัจจัย และดับไปตามเหตุปัจจัยของกฏแห่งเวรกรรมอันเป็นสัจธรรมของโลกแห่งวัฎสงสาร

ชวน…..กระทู้…..ฯ ที่ ๓ สงครามโลกครั้งที่3 จะเริ่มเมื่อปีไหน กรุณาดู บทความเมื่อวันที่ 11-06-2012, 06:19 PM ประมาณหน้า 61- ตามรอยพระมหาชนก(บทความนี้ผู้น้อยได้พิจารณาไว้นานแล้ว ขอเชิญชวนท่านผู้รู้ทุกๆท่าน กรุณาย้อนกลับไปดูในหน้าดังกล่าว) ดูก่อน ขอท่านผู้มีภูมิรู้ภูมิธรรมทุกๆท่าน ขอท่านจงพิจารณาให้ดีเถิด(ผมมีความเชื่อส่วนตัวว่า ท่านผู้รู้ทราบดี เพราะตอนที่ผมได้พิจารณาไปแล้วนั้น ไม่มีเหตุปัจจัยอะไรเลยใช่ไหมครับที่จะบ่งชี้ว่า มันจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 เลย…ดูๆไปแล้วทุกอย่างมันยังไม่พัฒนาไปจนถึงจุดนั้นใช่ไหมครับ โอกาสที่จะเกิดมันก็แทบจะไม่เห็น หลังจากที่เวลาผ่านไปจนผมพิจารณาไปว่า ระเบิดสี่ลูกที่อยู่ในทะเลของ ส ค ส พระราชทาน ๒๕๔๗ ว่าพญาอินทรีย์เขารุกที่จะปิดล้อมพญามังกรแล้ว พญามังกรจะว่าไง… หลังจากนั้นไม่นานพญามังกรรุกโต้กลับทางด้านการเงิน โดยการจัดตั้งสถาบันการเงินโลกใหม่ ร่วมกันกี่ประเทศผู้น้อยก็จำไม่ค่อยได้ ชื่อว่า BRIC ประมาณนี้ ในปลายปี ๒๕๕๗ จากวันนั้นถึงวันนี้ท่านยังคงยืนยันคำเดิมหรือไม่ครับว่า มันจะไม่เริ่มเกิดขึ้นในปี ๒๕๕๗ วันนี้ผมจึงอยากจะถามว่า สงครามอะไร…จะเกิดก่อนสงครามจริงเสมอคือ สงคราม _งิ_-ตรา และระหว่างใครกับใครท่านผู้รู้คงทราบดี เมื่อมหาอำนาจใหม่ประกาศท้าทายโดยการจัดตั้งสถาบันการเงินโลกใหม่ กลุ่มบริค มี๕ ตลอดจนชาติพันธมิตร ท่านคิดว่ามหาอำนาจเดิมที่ครองโลกมานาน เขาจะคงยินยอมโดยดี โดยที่ไม่มีการต่อต้านใดๆกลับเลยใช่หรือไม่ ยอมที่จะก้มหัวหรือยอมทุกๆอย่างโดยดีใช่หรือไม่ ดังนั้นสรุปว่า เราพอที่จะชี้ชัดได้หรือยังว่า สงคราม _งิ_-ตราได้ก่อตัวขึ้นแล้วในปี ๒๕๕๗ และเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ ๓ จะได้หรือไม่ ดังที่ผู้น้อยได้พิจารณาไว้ ผมมีความเชื่อส่วนตัวว่าท่านผู้รู้หลายๆท่านทราบดี และคงมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว)

ชวน…..กระทู้…..ฯ ที่ ๔ ระเบิด ๔ ลูก(จุดยุทธศาสตร์ทางทะเล ๔ จุด ในการปิดล้อมจีนและชาติพันธมิตร) ส.ค.ส พระราชทาน 2547 กรุณาดู บทความเมื่อวันที่ 20-03-2014, 09:26 PM ประมาณหน้า 96- ตามรอยพระมหาชนก(บทความนี้ผู้น้อยได้พิจารณาไว้นานแล้ว ขอเชิญชวนท่านผู้รู้ทุกๆท่าน กรุณาย้อนกลับไปดูในหน้าดังกล่าว ดูก่อน ขอท่านผู้มีภูมิรู้ภูมิธรรมทุกๆท่าน ขอท่านจงพิจารณาให้ดีเถิด ผมเชื่อว่ามีท่านผู้รู้หลายๆท่านกำลังติดตามอย่างไม่กระพริบตาว่าความขัดแย้งจะลุกลามมาทางรั้วรอบ ตะเข็บรอบบ้านเราหรือไม่ ดูก่อน จากวันที่ผมได้พิจารณาไปนั้น มันไม่มีเหตุบ่งชี้เลยใช่ไหมครับว่า จุดยุทธศาสตร์ทางทะเลทั้ง ๔ จุดนี้มันไม่น่าจะเกิดขึ้นได้โดยง่ายใช่ไหมครับ แล้ววันนี้ละครับมีโอกาสหรือไม่ มีแนวโน้มที่มันจะค่อยๆขยับ หรือขยายความขัดแย้งไปตามจุดยุทธศาสตร์ทั้ง ๔ จุดหรือไม่ อย่างน้อยก็พอจะเริ่มเห็นว่ามันเริ่มเกิดไปที่ละจุด ที่ละจุด แล้วหรือไม่ จากจุดไหนไปจุดไหน(ทางทะเลจีนใต้เกิดก่อน หรือฝั่งทะเลอันดามันเกิดก่อน) ผมมีความเชื่อส่วนตัวว่าท่านผู้รู้หลายๆท่านทราบเป็นอย่างดีแล้ว และยังคงกำลังเฝ้าติดตามอย่างไม่กระพริบใช่หรือไม่

ชวน…..กระทู้…..ฯ ที่ ๕ ท่านทั้งหลายพอที่จะจำได้ไหมครับว่า มีข่าวเมื่อประมาณ เดือนกันยายน ๒๕๕๗ ที่ผ่านมาแล้วว่า พบพระปิดตาที่หมุนตัวเองไปทางทิศใต้ตลอดเวลา ที่จังหวัดนครพนม มีลักษณะเป็นพระสีดำเหมือนดินเผา มีน้ำหนักเบา เจ้าของกล่าวว่า ได้มาจากพระธุดงค์รูปหนึ่ง ที่เจอตอนนั่งสมาธิอยู่ในวัดพระธาตุพนม ดูก่อน ขอท่านผู้มีภูมิรู้ภูมิธรรมทุกๆท่าน ขอท่านจงพิจารณาพระธุดงค์ลึกลับรูปนี้ให้ดีเถิด ท่านกำลังจะบอกอะไร ท่านกำลังจะเตือนอะไร

ชวน…..กระทู้…..ฯ ที่ ๖ บทความเมื่อ 14 ต.ค. 2009, 14:47, from paris-ลานธรรมจักร
ดูก่อน ขอท่านผู้มีภูมิรู้ภูมิธรรมทุกๆท่าน ขอท่านจงพิจารณาบทความนี้ที่ผู้น้อยได้อ้างและนำมาชวนพิจารณาให้ดีเถิด อาจจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย

เมื่อคุณเปิดแล้ว ขอร้องว่าจะต้องอ่านให้จบ เพราะมันสำคัญต่อชีวิตเรา และลูกหลานในอนาคต

: นิมิตหลวงพ่อโอภาษี
พอดีเมื่อวานมีเพื่อนส่งเมลล์มาให้ อยากให้เพื่อนๆได้อ่านกัน อ่านไปหลังๆแล้วขนลุกมาก ถ้าเคยอ่านแล้วขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ..... เครดิต - จากใครซักคน -*-

พอดีเมื่อวานไปถวายเทียนพรรษา ที่วัดหลวงพ่อโอภาษีครับ คิดว่าเพื่อนๆที่อยู่แถวพระราม2 คงรู้จักกันทุกคน เข้าเรื่องเลยนะครับ ผมก็ไปกับที่บ้านรวม 5 คน เข้าไปถึงกุฎิที่พ่อผมบอกว่า เป็นพี่ชายของเจ้าอาวาส
เป็นหลวงพ่อ อายุราวๆ 70 ตาซ้ายเสียอ่ะครับ เห็นบอกว่าองค์นี้เก่งมากก็เข้าไปถวายเทียนพรรษา พร้อมๆกับอีกหลายๆคน ที่มาหาหลวงพ่อเช่นกัน พอถวายเทียนเสร็จหลวงพ่อท่านก็เล่าว่าท่านนิมิต(ฝัน)ว่า

ท่านได้ไปนรกครับไปเจอเท้าเทพสุวรรณ(ยมทูต หรือท่านยม) ท่านก็เล่าว่า ท่านถามสุวรรณว่าท่านตายแล้วเหรอ?

สุวรรณบอกว่าท่านยังไม่ตายแต่จะพาไปเที่ยว แล้วเค้าก็พาหลวงพ่อเดินไป เดินไปเรื่อยๆจนถึงระยะหนึ่ง หลวงพ่อหยุดเดิน สุวรรณที่เดินนำ ก็เดินกลับมาครับ แล้วถามว่า หยุดทำไม?

ท่านก็ตอบว่า เดินตั้งนานแล้วในนรกไม่เห็นมีอะไรเลย

ระหว่างนั้นท่านก็บรรยายบรรยากาศของนรกว่า นรกมีไฟเพลิงสีส้มแดง แต่ไม่มีควัน แล้วก็ไม่ร้อน ที่ท่านไม่ร้อนเพราะท่านมีบุญดีอยู่ แล้วสุวรรณก็ถามต่อครับว่า อยากเห็นอะไรละ?

ท่านตอบว่า อยากเห็นต้นงิ้ว และกะทะทองแดง

สุวรรณบอกว่าไม่มีหรอก มนุษย์อุปโหลกขึ้นมาเองทั้งนั้น ในนี้มีแต่ไฟโลกัณฑ์ เดินไปอีกหน่อยแล้วจะรู้เอง

ท่านก็ได้เดินต่อไป สิ่งที่ท่านเห็นก็คือ เหวที่มีไฟแดงฉาน อยู่ข้างล่าง

สุวรรณบอกว่า ใครทำกรรมชั่วมากก็จะอยู่ข้างล่างสุด ทำกรรมชั่วน้อยก็จะอยู่ข้างบน ซึ่งข้างล่างจะร้อนกว่าข้างบน

คราวนี้เดินต่อไปเรื่อยๆ ท่านก็เห็นทางสามแพร่ง มีน้ำกันอยู่ จึงได้ถามสุวรรณว่านี้คืออะไร

สุวรรณตอบว่า นี่คือทางไปนรก สวรรค์ โลกมนุษย์ ซึ่งมีคนยืนในช่องทางไปโลกเยอะมากๆ มีบางคนแอบซุกเพื่อหลบน้ำที่จะต้องผ่าน

ท่านจึงถามว่าน้ำนี่คืออะไร

สุวรรณตอบว่าน้ำนี่ใช้ชะล้างจิตใจ ให้ลืมอดีต แล้วไปเกิดใหม่ คนที่หลบหลีกน้ำนี้ไปได้จะต้องเป็นทุกข์ (ที่เข้าใจคือระลึกชาติได้) แล้วท่านก็เล่าว่า พวก สส.ที่มันได้ดีเพราะมันกินบุญเก่า เหมือนปลูกต้นแอปเปิ้ลไว้ ตัวเองปลูกตัวเองก็ได้กิน เมื่อต้นแอปเปิ้ลหมดก็อดกิน ก็เหมือนกับพวก สส.ที่กินบุญเก่าอยู่ เราไม่สามารถไปทำอะไรเค้าได้ ต้องรอ ให้เค้าหมดบุญไปเอง

หลวงพ่อท่านก็ถามสุวรรณต่อว่าวิญญาณมนุษย์ ไปเกิดก็เยอะ แล้ววิญญาณที่ยังอยู่ที่โลกก็เยอะ ทำไมไม่จับมาให้หมด
สุวรรณก็ตอบว่า จับมาไม่ได้เพราะเค้ายังไม่หมดอายุขัย ร่างกายคนเรา มี สังขาร (ร่างกาย) และจิตวิญญาณ เมื่อละสังขารแล้ว แต่ยังไม่ละจิตวิญญาณ คือยังไม่ถึงที่ตาย เช่นพวก ฆ่าตัวตาย หรือถูกรถชนตาย วิญญานก็จะต้องวนเวียนอยู่ในโลกไปจนกว่าจะถึงเวลาที่ละวิญญาณแล้ว ถึงจะไปรับมาได้
ท่านจึงถามต่อว่า พ่อหลวงจะมีอายุยืนยาวไหม?

สุวรรณตอบว่า ท่านสิ้นอายุขัยแล้วแต่มีคนต่ออายุขัยให้ท่าน ซึ่งก็คือพี่สาวของท่านเอง

แล้วประเทศไทยละจะเป็นอย่างไรต่อไป?

สุวรรณตอบว่า บอกไม่ได้

แล้วหลวงพ่อก็เดินต่อไปอีก คราวนี้ไปเจอแอ่งน้ำลักษณะเหมือนเขื่อน ซึ่งมองไปที่กำแพงกั้นน้ำ สิ่งที่ท่านเห็นคือ ม้าตัวผอมเซียว ซึ่งมี พระเจ้าตาก และ พระปิยะมหาราช ยื่นขวางลำน้ำอยู่

ท่านบอกว่า ที่เห็นอยู่คือกษัตริย์เก่าๆ ช่วยไม่ให้กรุงเทพฯ ถูกน้ำท่วม จริงๆกรุงเทพฯต้องถูกน้ำท่วมไปนานแล้ว แต่ไม่รู้เมื่อไหร่ที่ม้าจะหมดแรง จากความหนาวของน้ำ และการอดอาหารมานาน

หลวงพ่อท่านพูดจบ น้ำตาท่านก็ไหลออกมา แล้วบอกให้ทุกคนที่ได้รับฟัง เรื่องราวของท่านว่า เป็นนิมิตของท่าน จะเชื่อหรือไม่ก็ได้ เพราะท่านก็ยังคิดว่า เป็นความฝันของท่าน...

แต่ท่านก็กำชับกับทุกๆคนเอาไว้ว่า เวลาไปที่วงเวียนใหญ่ หรือพระบรมรูปทรงม้า หรือที่ไหนก็แล้วแต่ที่มี พระบรมรูป ให้กราบไหว้โดยนำ หญ้าที่ม้ากิน ล้างให้สะอาดไปถวายด้วย เพื่อให้ม้ามีกำลังยืนต่อไปได้

ผมก็คิดว่านี่เป็นสิ่งที่ทุกคนมองข้ามไปจริงๆ เพราะคนส่วนมากเวลาไปไหว้ ก็จะนำแต่ดอกไม้ไปไหว้เท่านั้น
สิ่งหนึ่งที่ผมคิดคือ มันแปลกมากที่อยู่ๆ เข้าไปถวายเทียนแล้วท่านก็เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ในเมื่อมีโอกาสได้รับรู้ก็ควรเผยแพร่ แก่ทุกๆคนครับ ก็อยากจะฝากเพื่อนๆ แต่อันนี้ สุดแล้วแต่ความเชื่อครับ

 

ทั้ง ๖ กระทู้นี้ ผู้น้อยชวนท่านผู้รู้ทุกๆท่าน…. พิจารณาแล้วมีความเห็นเป็นเช่นไร ตัวกระผมนี้เป็นผู้น้อยๆ มาเพื่อตอกย้ำสัจธรรมที่ได้พิจารณาไว้นานแล้วในวันที่ผู้น้อยได้พิจารณา โดยได้ชี้บอกถึงกาลเบื้องหน้าในตอนนั้นว่า มันจะมีเหตุปัจจัยให้เป็นผลแบบนี้นะ… เรื่องกาลอันควรก็ดี เหตุอันควรก็ดี ผลอันควรก็ดี อันซับซ้อนและลับอยู่ในข้อความเก่าๆที่ผู้น้อยได้พิจารณาไปนานแล้ว(เพียงจะขอยกกระทู้มาบางส่วน ไม่อยากจะยกมาทั้งหมด) ผู้น้อยพิจารณาบอกได้เฉพาะธรรมเบื้องต้นหรือผิวเผินเท่านั้นหรือมิอาจสามารถที่จะบอกตรงๆ หรือก้าวข้ามหรือ ก้าวล่วงหรือ ก้าวผ่านพ้นเหตุปัจจัยของกฏแห่งเวรกรรมลงไปให้ลึกในขั้นกลางและขั้นปลายได้ของยอดพระธรรมนี้ เพราะผู้น้อยเป็นผู้มีปัญญาน้อยเป็นผู้รู้น้อยเป็นผู้ขาดเขลา เมื่อผู้น้อยเป็นเช่นนี้แล้ว ผู้น้อยจึงอยากจะขอเชิญชวนหรือจะขอคำปรึกษา หรือจะขอคำแนะนำจากท่านผู้มีความรู้คู่คุณธรรมทุกๆท่านให้ช่วยกันตระหนักรับรู้ถึงเหตุอันควร ต่างคนต่างช่วยกันเตือนสติ ช่วยกันเตือนจิตเตือนใจกัน หรืออย่างไรดีครับ ทุกๆครั้งที่ผู้น้อยได้พิจารณาบทความต่างๆแต่ละตอนจบลงไปแล้วนั้น ผู้น้อยจักได้ย้ำบ่อยๆว่า ขอให้ท่านผู้รู้ทั้งหลายกลับไปพิจารณาและเรียบเรียงลำดับเหตุการณ์ต่างๆให้เข้าใจ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ว่าปีไหนที่ผู้น้อยบอกว่าเรื่อณ เมื่อเรื่อณแล้วลองนับใหม่ดูซิ ภาพปริศนาธรรมที่ได้นั้นจะเป็นเช่นไร จะตรงกันหรือไม่อย่างไร มีบางท่านสงสัยว่าทำไมเล่าหนอ…ปีนี้ต้องเป็นภาพพระมหาชนกนี้ด้วย มันเกี่ยวอะไรกันหนอ ไม่เข้าใจเลย อาจจะมีบางท่านไม่เข้าใจ ถ้าเช่นนั้นก็อยากจะขอเชิญชวนท่านผู้รู้รบกวนกลับไปอ่านหรือทบทวนตั้งแต่หน้าแรกเลยนะครับ ผู้น้อยเชื่อมั่นว่าท่านจะรู้มากกว่า เข้าใจมากกว่าผู้น้อยอีก หากแม้นท่านผู้รู้พิจารณาจนสามารถรู้หรือได้คำตอบแล้วอย่างรวดเร็ว ผู้น้อยใคร่ขอให้ท่านเมตตาตัวของท่านเอง เปิดใจ กรุณาลดทิฐิมานะลงเถิด อันจะเป็นประโยชน์แก่ตนเองและครอบครัวของท่าน ตลอดจนส่วนรวมไม่มากก็น้อยขอรับ

ด้วยเหตุปัจจัยนี้เอง พระธรรมของในหลวงนี้ พระมหาชนกนี้นั้น เป็นยอดบุญยอดมงคลอันยิ่งใหญ่ เป็น ๑ เป็นเลิศ เป็นของที่ลุ่มลึกสุขุมคัมภีร์ภาพ เป็นของที่ศักดิ์สิทธิ์เกินศักดิ์สิทธิ์ หนังสือเล่มนี้ยากทั้งโดยภาษาธรรม ยากทั้งโดยนามธรรม ยากโดยรูปธรรม ยากโดยพิจารณาตีความ ยากโดยภาพซ้อนภาพ-นิมิตซ้อนนิมิต-มิติซ้อนมิติ-โลกซ้อนโลก ยากโดยสภาวะการที่จะหยั่งรู้เป็นไปจนสิ้นความสงสัยทั้งหมดลงได้ ยากโดยปริศนาธรรม ยากโดยที่จะสร้างเครื่องมือใดๆทางวิทยาศาสตร์เข้าไปพิสูจน์รู้ ดังนั้นจึงเป็นของที่จะอธิบายได้โดยยากอย่างยิ่งยวด ที่จะเขียนหรือบอกกล่าวเล่าเรื่อง หรือยกตัวอย่างที่จะเลือกจุดใดจุดหนึ่งในหนังสือเล่มนี้เพื่อที่จะเปรียบเทียบให้รู้ให้เห็นให้ออกมาเป็นรูปธรรม ที่จะให้ท่านผู้รู้ ผู้มีคุณธรรมทุกๆท่านสามารถที่จะจับต้องได้โดยง่ายทุกบททุกตอน ทุกๆเหตุปัจจัยของการเกิดขึ้นเป็นไปอย่างมีลำดับขั้น ลำดับตอน ทุกๆขั้นตอนอย่างไม่ติดไม่ขัดใดๆเลย(ตรงนี้สำคัญเพราะต้องอาศัยปัจจัยภายนอกประกอบหรือเหตุแห่งการเกิดสืบต่อในขณะที่กำลังพิจารณาควบคู่กันไป นี้เป็นเรื่องอัศจรรย์อย่างยิ่งยวดที่ผู้น้อยยากที่จะอธิบายได้) อันจะต้องมีเงื่อนเวลาประกอบทุกครั้งไป มิใช่ว่าอยู่ๆจะหยิบ จะฉวย จะคัดลอกบางช่วงบางตอน บางหน้า บางข้อความ บางรูป หรือจะยกเอาอะไรมาก็หาทำได้ไม่ เพื่อที่จะเป็นเหตุของการเกิดหรือการเริ่มต้นการพิจารณาไปอย่างไม่เข้าใจ ไม่รู้ทิศ ไม่รู้ทาง ไม่รู้ธรรม พระธรรมของพระองค์นี้ ของในหลวงนี้ ลูกนี้ กระผมนี้ถือว่าเป็นมรดกธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก เป็น ๑ ที่สุดในโลก เป็นเลิศที่สุดในโลก ซึ่งมีคุณค่าอย่างยิ่งยวดที่สุดในโลก เป็นประโยชน์อันวิเศษสูงงงง…สุดในโลก หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว เป็นของที่หายากที่สุดในโลก(อธิบายไปด้วย น้ำตาก็ไหลซึมอาบทั้งสองแก้มด้วยความปีติยินดีไปด้วย)ที่พระองค์ทรงพระเมตตาประทานพร มอบให้กับคนไทยทุกๆคน แด่ลูกหลานไทยทุกๆคน ให้ได้นำไปศึกษาพิจารณากัน เพื่อที่จะได้รู้เท่าทัน ว่าเราเป็นประเทศเล็กๆเราจะอยู่ให้รอดปลอดภัย ได้อย่างมั่นคง และยั่งยืนนั้นต้องทำอย่างไรบ้าง แต่กาลก่อนมหามิตรพญาอินทรีย์เคยค้ำกันมาจนสยามเรามั่นคง มาบัดนี้ใยท่านแปรเปลี่ยนไป ใยท่านคิดหักมิตรหาญมุ่งอาสัญทำร้ายทำลายกันถึงเพียงนี้
พระองค์ทรงเป็นห่วงลูกหลานของพระองค์ ว่าจะกินจะอยู่กันอย่างไร เมื่อไหร่หนอ… จะถึงเวลาที่จะได้กินดีอยู่ดีกันเสียที อยากให้ลูกๆทุกคนมีความรัก เกื้อกูลซึ่งกันและกัน สมัครสมาน สามัคคี รักใคร่กลมเกลียวกันเหมือนเดิม ไม่แตกแยกกัน พ่อจึงต้องเหนื่อย ต้องปูพื้นฐานต่างๆ ต้องวางรากฐานต่างๆไว้ให้มากมายหลายต่อหลายพระราชดำริ หลายต่อหลายคำสอน หลายต่อหลายโครงการ ทุกสิ่งอย่างไว้ให้ลูกหลานของพระองค์ เพื่อที่จะเปิดทางไว้ให้ สร้างสิ่งต่างๆไว้ให้มากมายก่ายกอง ล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และต่อมวลมหาประชาชนชาวไทย ทั้งสิ้น

ด้วยความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อภัยทานอย่างถึงที่สุด ถ้าท่านพิจารณาและเข้าใจปริศนาธรรมที่ผู้น้อยได้บอกชอบแล้ว หากแม้นสมมติว่าท่านผู้ทรงธรรมพอที่จะทราบหรือรู้คำตอบดีแล้ว ผู้น้อยอยากจะขอเชิญชวนท่านผู้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ทุกๆท่าน ให้มีการสวดมนต์ทุกๆวัน (เราจะต้องเริ่มได้แล้วนะครับ เวลาไม่ค่อยจะรอท่านะขอรับ มันล้กใ มากแล้ว) ในตอนเช้า หรือตอนเย็น หรือตอนค่ำ แต่ต้องเป็นมนต์ของพระพุทธเจ้า(พระพุทธโคดม)เป็นหลักชัย(มาถึงตอนนี้แล้ว กรุณาอย่าได้ถามอีกเลย อย่าได้สงสัยอีกเลย ถึงกาลควรแล้วหนอ ขอให้เริ่มถือศีล ๕ เป็นปรกติในเบื้องต้น หากแม้นรอดปลอดภัยในครานี้ไปได้ ก็ขอให้ถือศีล ๘ ในกาลอันควร)ถ้าเป็นไปได้ ผู้น้อยอยากจะให้สวดมนต์กันให้ทั่วประเทศเลย สวดกันทุกภาคส่วน สวดให้เสียงดังๆ ฟังชัดๆ สวดอย่างมีสติระลึกรู้ในมนต์พระคาถาต่างๆนั้น สวดอย่างน้อยบ้านละ ๑ คน ต่อ ๑ หลัง ก็น่าจะพอเพียง หรือจะชวนพ่อแม่พี่น้องลูกๆหลานมาสวดมนต์พร้อมกันก็ยิ่งจะดี ใครสะดวกตอนเช้าก็ดี ใครสะดวกตอนบ่ายก็ดี ใครสะดวกตอนเย็นก็ดี ใครสะดวกตอนหัวค่ำก็ดี ใครสะดวกตอนดึกก็ดี ใครสะดวกก่อนนอนก็ดี ขอให้สวดมนต์กันทุกๆวันอย่าได้หยุดเด็ดขาด(ตรงนี้ขอย้ำ เด็ดขาด ผู้น้อยคงไม่ต้องอธิบายคำว่าเด็ดขาดนะขอครับ) ให้สวดมนต์ไว้ ต้องทยอยเริ่มกันได้แล้วนะครับ หากจำต้องย้ายที่หลับนอน จะย้ายแบบไหนก็ช่าง ย้ายด้วยเหตุอันใดก็ช่าง จะเป็นกลุ่มใหญ่ จะเป็นกลุ่มเล็กก็ช่าง จะต้องสวดมนต์ ห้ามขี้เกียจ(ผมพูดดุ แบบกัลยาณมิตรนะขอรับ) หากวันไหนเหนื่อยๆๆๆมากๆๆๆๆ หรือเพลียมากจริงๆ ก็ให้นะโม ตัสสะ ๓ จบแล้วค่อยหลับนอน หากท่านทั้งหลายทำได้ จากที่หนักสาหัส ก็อาจจะผ่อนหนักหรือให้เบาบางลงได้บ้าง หากทำได้กันทุกบ้าน ก็จะเกิดความศักดิ์สิทธิ์ จะได้เป็นเกราะคุ้มตัว คุ้มครอบครัว เกิดความผาสุก สงบร่มเย็น และช่วยป้องกันเมืองมิถิลานี้ได้อีกทางหนึ่งไม่มากก็น้อย ผู้น้อยขอเน้นย้ำนะครับ ต้องพยายามทำกันให้ได้ทุกบ้าน ผู้ที่มีหน้าที่ เรื่องดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ และทุกภาคส่วน ต้องไปคิดพิจารณานะครับ(นี้เป็นการบ้าน กรุณาอย่าหาว่าผมก้าวล่วง ด้วยความเป็นห่วงเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน) แล้วใครจะเป็นเจ้าภาพละครับ…

ถ้าหากเราได้ผู้นำที่มีปัญญาดี มีความรู้คุณธรรม มีบารมีเพียบพร้อม และรู้เท่าทัน ในข้อที่ว่า พระพุทธศาสนาของเรานั้น ย่อมรู้อะไรล่วงหน้าก่อนยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์เสมอ ดังนั้นถ้าท่านเห็นควรว่าจะป้องกันไว้ก่อนน่าจะดีกว่า เชื่อไว้ก่อนน่าจะปลอดภัยกว่า หรือถ้าทำก็ไม่น่าจะเสียหายกลับเป็นการดีเสียอีกหรืออื่นๆ ท่านผู้นำก็จะเชื่อและศรัทธาอย่างมั่นคงในคุณพระศรีรัตนตรัย ในคุณของแผ่นดิน ท่านก็จะเป็นผู้นำในการนำสวดมนต์ หากว่าเราได้ผู้นำที่มีปัญญาแก่ ท่านก็จะไม่เชื่อ ไม่ป้องกัน ไม่ดูแลความปลอดภัย และไม่เคารพศรัทธาในคุณพระศรีรัตนตรัย และพระคุณของแผ่นดิน กระผมเป็นผู้รู้น้อย มิใช่เป็นผู้รู้มาก ผู้น้อยเป็นเพียงมดตัวน้อยๆ เท่านั้น ผู้น้อยก็มิว่ากระไรขอรับ ผู้น้อยก็ช่วยทุกๆท่านเต็มที่แล้ว จนใครๆก็ถ่มถุยน้ำลายรดหัวรดหน้า น้ำตาตกในไม่รู้กี่ครั้ง ทุกวันนี้ผู้น้อยสงสัยว่าตัวผู้น้อยถือศีลปรกติเป็นผู้ผิดปรกติเอง หรือสังคมทุกวันนี้… ก็สุดแล้วแต่ท่านผู้รู้ทั้งหลาย แม่พระธรณีท่านเตือนแล้ว กระผมก็สุดแล้วแต่เวร สุดแล้วแต่กรรม(คำนี้ขออ้างในวันที่ 28-12-2014) เมืองมิถิลานี้ก็คง…..

 

ดูก่อนท่านผู้มีปัญญาธรรมทุกๆท่าน พระพุทธศาสนาของเราๆท่านๆได้เข้ามาในดินแดนสุวรรณภูมินี้ได้ก็เพราะคณะธรรมทูต(คณะหลวงปู่เทพโลกอุดร พุทธบริษัท๔ และอื่นๆ) เป็นผู้นำเข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนา เราจึงมีพระศาสนาที่วิเศษสูงงงงงสุดอันเป็นหลักชัยทางใจในการดำเนินชีวิต อันเป็นหลักแห่งชัยชนะอันเป็นมงคลสูงงงงงงงสุดให้แก่แผ่นดินสุวรรณภูมิ(แผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง) จากนี้กระผมขอเอยพระนาม หลวงปู่เทพโลกอุดร ทั้ง ๕ พระองค์คือ
๑ พระโสณเถระเจ้า
๒ พระอุตระเถระเจ้า
๓ พระมูนียเถระเจ้า
๔ พระฌานียเถระเจ้า
๕ พระภูริยะเถระเจ้า
ทั้ง ๕ พระองค์มาจากเทือกเขาหิมาลัยในดินแดนชมพูทวีป ซึ่งท่านได้ตั้งอธิฐานจิตไว้ว่า จะอยู่ค้ำจุนพระพุทธศาสนาของพระสมณะโคดมไปจนกว่าจะสิ้นพุทธธันดรคือ ๕๐๐๐ปี ตามพุทธพยากรณ์

ในท้ายนี้กระผมขอน้อมนำ พระปณิธาน ขององค์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มาเพื่อเตือนสติอนุชนรุ่นหลังให้ตระหนักรับรู้ ให้กตัญญูรู้คุณแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองแผ่นดินสุวรรณภูมิผืนนี้ว่า พระองค์มีพระราชประสงค์ให้ลูกหลานของพระองค์ ทำตามคำปณิธานของพระเจ้าตากสินมหาราช ที่พระองค์ ทรงฝากไว้ให้อยู่คู่กัน อันว่า…

อันตัวพ่อ ชื่อว่า พระยาตาก
ทนทุกข์ยาก กู้ชาติ พระศาสนา
ถวายแผ่นดิน ให้เป็น พุทธบูชา
แด่พระศาสดา สมณะ พระพุทธโคดม
ให้ยืนยง คงถ้วน ห้าพันปี(๕๐๐๐ปี)
สมณะ พราหมณ์ ชี ปฏิบัติ ให้พอสม
เจริญสมถะ วิปัสสนา พ่อชื่นชม
ถวายบังคม รอยพระบาท พระศาสดา
คิดถึงพ่อ พ่ออยู่ คู่กับเจ้า
ชาติของเรา คงอยู่ คู่พระศาสนา
พุทธศาสนา อยู่ยง คู่องค์กษัตรา
พระศาสดา ฝากไว้ ให้คู่กัน

 

อันที่เกิดข้าหาเอาเจ้าบ่ได้ แต่ที่ตายหาเอาได้ถ้าใครหา
ต้องเพ่งเผาให้จิตตายวายชีวา นั่นแหละหนาตายประเสริฐเลิศโลกา
เมื่อเราทำทานใดไว้ในโลก ให้มีโชคเจิดจ้าพาสดใส
เป็นขุมทรัพย์ทัพหน้าพาสุขใจ เป็นนิสัยติดไปไว้ในตน
อันสมบัติในมนุษย์สุดเที่ยงแท้ ก็มีแต่บุญทานการกุศล
ทานประเสริฐเลิศเด่นเป็นมงคล ให้มีผลงอกงามตามเราไป
เหตุดังนั้นหลวงปู่เพ่งดูเหตุ ตามนิเทศบอกแจ้งแถลงไข
ให้ญาติโยมรวยล้นและพ้นภัย ส่งผลให้ภพหน้าสถาพร
ให้ทุกท่านสร้างบุญเป็นทุนอ้าง อย่าเว้นห่างผู้รู้หลวงปู่สอน
ท่านจงพึ่งผลทานผ่านคำกลอน คำอวยพรหลวงปู่ให้รับไว้เทอญ
กลอนธรรมสอนใจ จากหลวงปู่สาวกโลกอุดร ธัมมปาโล


ดูก่อนท่านผู้เจริญ…
ปัญญาโลกีย์กับปัญญาโลกุตตระต่างกันอย่างไร…
ปรัชญา(ปราชญ์)กับพุทธะนั้นเหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร
วิทยาศาสตร์กับพุทธะนั้นเหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร
ทำไมโลกจึงมืดบอดจากสัจจธรรมชั้นสูง
การบวชในครั้งพุทธกาลกับการบวชในปัจจุบันแตกต่างกันหรือไม่อย่างไร
พระพุทธศาสนาควรมีกี่นิกาย และมีกี่ภาค
คุณ3ประการของพระอรหันต์ที่จะมาต่ออายุพระพุทธศาสนาได้นั้นต้องมีคุณสมบัติเช่นไร
ใครๆที่บอกว่าเป็นพระอรหันต์เราจะรู้ได้อย่างไร
ความหมายที่แท้จริงของวันมาฆะบูชาเป็นเช่นไร
ความหมายในธรรมจักรกัปปวัตนสูตรเป็นเช่นไร
ทำไมพระปัจเจกพุทธเจ้าจึงตั้งศาสนาลงไม่ได้
ความวิเศษสูงสุดในพระพุทธศาสนาเป็นเช่นไร
สภาวะจิตใจของพระอรหันต์และพระอริยบุคคลแตกต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร
อุกาบาต หินต่างดาวที่แท้เกิดมาจากไหน มาจากนอกโลกที่เขาอ้างกันจริงหรือไม่
การกำเนิดจักรวาล ดวงอาทิตย์ โลก และศาสนาแรกของโลกนั้น เกิดมาได้อย่างไร
การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าโดยมีสภาวะธรรมเข้ารองรับเป็นเช่นไร
การบรรลุธรรมของพระอริยสาวกในครั้งพุทธกาลนั้นของแต่ละท่านนั้น ท่านปฏิบัติอย่างไรจึงได้สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลมากมายก่ายกองจนเต็มชมพูทวีป
พระอรหันต์สาวกจำนวน1250รูป นั้นไม่ได้นัดหมายกันมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์จริงหรือไม่
ปิรามิดสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ทำไมเครื่องมือในปัจจุบันก็ไม่สามารถสร้างได้ ทั้งๆที่ปัจจุบันมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์มากกว่าแต่ก่อนมาก มีความลับอะไรซ่อนอยู่

ดูก่อนท่านผู้เจริญ ทุกคำถามมีคำตอบ ทุกๆคำตอบล้วนรอท่านผู้มีบารมีทุกๆท่านเข้าไปพิสูจน์ ทุกๆการพิสูจน์ก็ขออย่าได้เพิ่งเชื่อในทันที ไม่ว่าเรื่องใดๆทั้งสิ้น แม้กระทั่งผู้น้อยเอง แต่ขอให้ท่านพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบก่อน ผมเชื่อว่าทุกๆท่านเป็นผู้มีปัญญา รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรเป็นประโยชน์ อะไรมิใช่ประโยชน์ สามารถแยกแยะดี ชั่วได้ด้วยใจที่เที่ยงธรรม ปราศจาก ทิฏิมานะ ผู้น้อยนี้ใคร่ของเชิญชวนท่านผู้มีความรู้คู่คุณธรรม ผู้ที่ต้องการหาสัจธรรม ผู้น้อยใคร่น้อมกราบขอเชิญทุกๆท่านทดลองฟัง ทดลองพิสูจน์ ยอดอมตะธรรมเหล่านี้ผ่านรูปธรรมนามธรรมของสาวกโลกอุดรเพียงบทเดียวก็พอแล้ว ผู้น้อยคนนี้ไม่ขอมากมายหรอก ก่อนที่ผู้น้อยจะชวนท่านทั้งหลาย ผู้น้อยก็ได้ทดลองฟังมาก่อน และท่านอื่นๆผู้น้อยก็ได้ทดลองฟังเช่นเดียวกัน แต่ละท่านสอนอะไรก็ฟังหมด ไม่เกี่ยงงอนเลยว่าจะเป็นท่านไหน มีอะไรที่ไหนดีพอที่จะเป็นประโยชน์ได้บ้าง ผู้น้อยก็นำมาบอกกัน เพราะมีความเชื่อมั่นว่า ทุกๆท่านเป็นผู้มีปัญญาแล้ว สามารถที่จะแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้ การตัดสินใจทั้งหลายอยู่ที่ท่านทั้งหลายแล้ว

ผู้น้อยขออนุญาตน้อมนำพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่อง ‘พึ่งตนเอง’ มาให้ท่านผู้รู้ทุกๆท่านช่วยพิจารณา ดังที่พระองค์พระราชทานแด่คณะผู้แทนพุทธสมาคมทั่วประเทศที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เนื่องในโอกาศวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิตดาลัย วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๒๓ ดังนี้
“…ในพระพุทธศาสนา และผู้ที่นับถือตัวว่า เป็นพุทธศาสนา ต้อง ‘พึ่งตนเอง’ มิใช่ ‘พึ่งคนอื่น’ แต่การที่จะอาศัยคนอื่นก็อาศัยได้ โดยผู้อื่นที่ปฏิบัติดีชอบ และคอยฟังสิ่งที่ผู้อื่นที่เราเห็นว่าปฏิบัติดี ชอบได้พูด ได้แนะนำ ดังนี้ก็เป็นสิ่งที่อาศัยผู้อื่นได้ ผู้อื่นจะช่วยเราได้ ฉะนั้น ก็ต้องมีการพิจารณาของตัวเองว่า ผู้ที่น่าที่จะดูการปฏิบัติ หรือฟังข้อแนะนำในการปฏิบัติ และทำตาม อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ช่วย ให้บุคคลได้บรรลุถึงความสำเร็จความสุขได้…”

สุดท้ายนี้ กระผมขอน้อมกราบขอขมาขอลาโทษ ต่อท่านเจ้าของกระทู้ ต่อผู้มีพระคุณทุกๆท่านที่ได้ร่วมด้วยช่วยกันพิจารณาสร้างฐานแห่งองค์ความรู้ที่ยิ่งใหญ่ ที่งดงาม เป็นบ่อบุญบ่อมงคลที่ยิ่งใหญ่ เป็นบ่อขุมทรัพย์ทางปัญญาธรรมที่บริสุทธิ์ เป็นมรดกธรรมอันยิ่งใหญ่ไพศาล หาไม่ได้อีกแล้วในโลกนี้ มีที่ไหนหนอไม่รู้จักกันเลย อยู่ๆก็ได้มีโอกาสมาสร้างบารมีร่วมกัน ต้องย้อนกลับไปในอดีตชาติ ลองเช็คดูซิ ใช่เลย ต้องทำกรรมดีร่วมกันมาเป็นแน่แท้ เราๆท่านๆจึงได้มาพบกัน แล้วมาร่วมกันสร้างบ่อบุญต่อ ให้เมืองมิถิลาที่พวกเรารักนี้ ได้เป็นที่อยู่ ที่ทำมาหากิน เป็นที่ๆปลอดภัย พ้นภัย ก้าวผ่านพ้นวิกฤตซ้อนวิกฤตต่างๆ อย่างฉับพลันทันที ดีเป็นขั้นๆไป ที่ทุกๆท่านช่วยกันสร้างสิ่งเหล่านี้ ที่ทุกๆท่านได้ทำไว้ดีแล้ว จะได้ช่วยกันค้ำคูณ ให้สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ที่พวกเรารัก เคารพ เทิดทูน และศรัทธา ให้มั่นคงสถาพรสืบต่อไป กระผมนี้ ผู้น้อยนี้ เป็นเพียงมดตัวน้อยๆตัวนี้ คนนี้ พอที่จะมีแรงน้อยๆ พอที่จะช่วยทุกๆท่านได้ตามกำลังได้เท่านี้ หากผู้น้อยได้ประมาท พลั้งเผลอ อันที่รู้เท่าไม่ถึงกาลก็ดี พิจารณาผิดพลาดประการใดโดยไม่ตั้งใจก็ดี ทางกาย วาจา และใจก็ดี ผู้น้อยขอน้อมๆๆๆๆๆกราบ ขอขมา ขอลาโทษมา ณ.ที่นี้ด้วย หากบุญใด....ที่ผู้น้อยได้สร้างไว้แล้ว อันเป็นประโยชน์ดีแล้ว เป็นเลิศแล้ว เป็น ๑ เป็นยอดบุญยอดมงคลแล้ว ผู้น้อยขอน้อมบุญให้....ขอยกบุญให้.....แด่ท่านเจ้าของกระทู้ แด่ผู้มีพระคุณทุกๆท่าน แด่ผู้มีคุณธรรม แด่ผู้มีศีลธรรม แด่ผู้ที่รักชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ทุกๆท่าน แด่ทุกๆท่านที่เมตตาวิปัสสนา ที่ได้เข้ามาอ่านและติดตาม ‘ตามรอยพระมหาชนก’ ผู้น้อยขอน้อมบุญอันยิ่งใหญ่ทั้งหมดเหล่านี้ให้ และขออนุโมทนาบุญนี้ ด้วยจิตด้วยใจอันเป็นกุศลที่บริสุทธิ์นี้ด้วยเทอญ...

ด้วย…ด้วยอนุภาพ แห่งบุญนี้เทอญ… สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิฯ

 

"..เรื่องภัยพิบัตินั้นก็จะเกิดมีอยู่ อาตมาเห็นอยู่ แต่อาตมาไม่ทราบว่าจะเกิดขึ้นช่วงไหน จึงขอเตือนให้ญาติโยมภาวนา "พุทโธ พุทโธ พุทโธ" กันไว้..."

"คนที่ภาวนาพุทโธ แล้วจะรอดพ้นจากภัยพิบัติหรอครับหลวงปู่"..โยมถาม

"ป่าว...คนภาวนาพุทโธ ตายแล้วจะไปสู่สุคติ" โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปัญญปทีโป

ที่มา::FB ท่องถิ่นธรรม พระกรรมฐาน

 

ขุดขึ้นมา คนไทยลืมกันง่ายจัง

 

9 รัชกาล 12 ยุค

กรุงรัตนโกสินทร์ ก่อตั้ง พ.ศ. 2325
เริ่มเป็นยุคที่ 1 ยุคหนึ่งกินเวลา 20 ปี

๑.มหากาฬผ่านมหายักษ์ 2325
๒.รู้จักธรรม 2343
๓.จำต้องคิด 2363
๔.สนิทธรรม 2383
๕.จำแขนขาด 2403
๖.ราษฏร์ราชาโจร 2423
๗.นั่งทนทุกข์ 2443
๘.ยุคทมิฬ 2463
๙.ถิ่นกาขาว 2483
๑๐.ชาวศิวิไล 2503
๑๑.ไทยมหารัฐ 2523
๑๒.จักรพรรดิราช 2543-2563

ดังนั้น จึงหมายถึงว่าต่อไป ประเทศไทยจะเจริญร่มเย็นสืบไปอีกยาวนาน เพราะยุคเข็ญผ่านไปแล้ว
รูปนาฬิกา ในภาพสุดท้ายจึงหมายถึง 9 รัชกาล 12 ยุค
ร่วมกับภาพพระมหาชนกว่ายน้ำใน สคส 2558 ปีนี้น่าจะหมายถึง
ความลำบากกำลังจะผ่านไป นางเมขลา จะมารับแล้ว เพราะตามเรื่อง หลังจากพระมหาชนกว่ายน้ำ ก็จะได้เป็นพระราชา

 

นานละไม่ได้เข้ามาอ่าน เว็ปเงียบๆขุดมาอ่านอีกรอบดีกว่า เผื่อมีใครว่ามาส่งสารอะไรอีก อ่านสนุกดีครับ

 

ขออนุญาติ คุณFalkman และ เวปพลังจิต นะคะ...

ขอบพระคุณทุกๆท่านคะ...



คลิบจากยูทูปเป็นรหัสที่มนุษย์จะต้องรู้ค่ะ

มีคนเอามาให้ห้าหมื่นบายศรีทำพิธีซะ ญาณเราให้ มีเศรษฐีมาหา ห้าหมื่นบาททำพิธี นี่จำไว้นะ สายใดก็แล้วแต่จำไว้ มีหนวดอยู่คนนึงพิมผา ตรงนั้นแหละพิมผา ทำของใส่หมดเลย ไม่ต้องถามใคร เทพทั้งหมดอะเลขเก้าเก้าตัวล้านพระองงค์ทั้งหมดมากกว่านั้น สรีระอิทธิก้มีสรีระที่มนุษย์มองไม่เห็นอะ พระพรหม พระพรหม พระพรหม พระอัลเลาะห์เจ้า พระอัลเลาะห์เจ้า พระอัลเลาะห์เจ้า พระเยซูเจ้า อรมาฮาสะการาฮาสะการาฮาสะการาฮา ฮะ ฮะ ฮา ฮาาาาา ดีดหัวให้ระเบิด ญาณพุทธาให้ระบำ ใครที่สูงที่สุดในโลกมนุษย์คือเรา ผู้ชายไม่ใช่ ผู้หญิงปกครอง ดีร้อนปกป้อง ตามลงไปแน่ๆเมืองงนอกร้อยเปอร์เซนเต็ม แต่ไม่ใช่ช่วงนี้ มังกังซำกัง มังกังซังกัง มังกังซังกัง มังกังซังกัง เดี๋ยวอยู่จะทำอะไรกับเราแปลกๆในฐานะผู้ที่ทรงเจ้า ญาณยุให้ทำเราพูดแค่นี้แหละ ไซอิ๋วไม่ผิดกับเราเลย ไซอิ๋วร้องไห้กับเรา ร้องเจี๊ยก เจี็ยก เจี๊ยก เจี๊ยยก เจี๊ยก ตามเราไป ปกป้องอีพระพิมผา มันตัดเส้นสะตึง ตัดเส้นตึงหน้านี่เต็มหมดเลย นี่บาดเจ็บหมดเลยทั้งหมดเนี่ย ตัดใส้เลยนะสดๆเนี่ยมนุษย์เนี่ยตัดใส้ นอนดิ้นเหมือนกันคนนึงตาระเบิดปัง ปัง ปัง ปัง นอนดิ้นทุรนทุรายตัดใส้ตัดใส้ บางทีไม่ได้กินข้าว ช่างบ่ายมาบาบาฮาฮะฮะฮาฮาอะอะเออะเอ๊อฮา สาปสาปสาปถวายดวงดาว พวกเราพวกเราถวายดวงดาวทั้งวันเลยบางที อยู่เป็นแต่อยู่ไปเหนือกว่าเรา นี่ก็เป็น นี่ก็เป็น ดวงจิตพุทธองค์เป็นหมดเลย ห้าหมื่นนี่รับหมดเลย OK เบอร์โทร ใส่เข้าไปของเรา เดี่ยวๆๆๆสะมาฮาฮาอาบลาๆๆหมดเวลา บลาๆ(ตรงนี้ฟังไม่รู้เรื่อง) แล้วก็งัดไอโฟนออกมา




(๑๙.๔.๕๙ เวลา ๑๙.๕๐ น.)

 

มณีส่องแสงไม่ต้องมาอ้างจะสู้รบ รักชาติอะไรหรอก เพ้อเจ้อ

ก็บอกไปตรงๆว่าอยากจะกลับมาเขียนต่อ ไอ้ที่เคยบอกจะเลิกเขียนแล้วไม่มีใครเขาสนใจจำหรอก

อยากเขียนอะไรบ้าๆเหมือนเดิมก็เขีบนไป ถือว่าเป็นการระบายแล้วกัน แต่อย่าเอามันจนลามปามพระสงฆ์องค์เจ้า ลามปามในสิ่งที่ไม่ควรแล้วกัน พยายามดึงสติหน่อย

ชอบพวกปริศนาก็ไปหาพวกปริศนาอักษรไขว้ เกมลับสมองมานั่งเล่น

 

ชะแว้บ เข้ามาดู เผื่อมีใครส่งสารเช่นกัน โดยเฉพาะ ส.ค.ส. 2547 ยังติดใจไม่ลืมเลย คิดถึงหลายๆท่านที่เคยส่งสารเข้ามา ตอนนี้ปัญหาทะเลจีนใต้คุกรุ่น ใครมีข้อคิดอันใดบ้างไหม? วานเฉลย

 

เรา ก็เข้ามาหาข่าวอยู่บ่อย ๆ แต่ไม่ค่อยมีข่าว อะไรใหม่ ๆ ขนาดตอนเช้าเมื่อวานนี้ ใกล้ 6 โมงเช้า ประมาณ 5.50 น ที่ระดับ ประมาณ 15 องศา จากแนวระนาบ เห็นมีวงกลม สีแดงเรื่อไม่รู้อะไร ใหญ่พอ กับดวงอาทิตย์ แต่ไม่ใช่ เพราะโผล่ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น แบบที่ฝรั่งเมืองนอก เมืองนา เขาเห็นกัน มองเห็น ไม่เกิน สิบนาที่ จะโดนแสงอาทิตย์กลบหมด เงียบหมด ไม่มีใครรายงานเรื่องแบบนี้เลย

 

ในหน้า 144 เป็นภาพที่ปรากฏรูปบุคคลเป็นภาพวาดภาพสุดท้ายในพระราชนิพนธ์พระมหาชนก (ภาพเดียวกับภาพความเห็นที่ 1951 ในกระทู้นี้)

เงาบุคคลที่ได้ผายมือออกทั้งสองข้าง พร้อมคันชั่งตรงกลาง ถ่วงดุลระหว่างคำว่าอนุรักษ์ และ พัฒนา
อีกทั้งเข็มนาฬิกาชี้ 9:00 น. ผมได้เคยตั้งข้อสังเกตไว้ในกระทู้นี้เช่นกัน
แต่เนื่องจากนานมาแล้ว จนจำไม่ได้ว่าความคิดเห็นที่เท่าไหร่

หากพิจารณา คันชั่ง คือ สัญลักษณ์ของราศีตุลย์
ถ้าเป็นนิยามตามชื่อเดือน ก็อาจหมายถึงเดือน ตุลาคม ได้เช่นกัน

 

นัยหนึ่งที่พึงพิจารณา ในรูปนาฬิกา หน้า 144

เข็มสั้น ชี้เลข 9
เข็มยาว ชี้เลข 12

วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559
ตรงกับวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 11

 

พระธรรมเทศนาหน้าพระที่นั่ง

ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยเข้าเฝ้าแสดงธรรมเทศนาและสนทนาธรรม ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตต์ พระบรมราชินีนาถ ณ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๒๐ หลวงพ่อฤาษีลิงดำได้เมตตาเล่าเรื่องราวการสนทนาธรรมในครั้งนั้น ซึ่งต่อมาได้พิมพ์ลงในหนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๒๑๒ ประจำเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๑ บทสนทนาธรรมดังกล่าวมีเนื้อหาที่น่าสนใจดังนี้

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : เขาพูดกันว่า ผมปราถนาพุทธภูมิเป็นความจริงไหมครับ ?

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ : เรื่องปราถนาพุทธภูมินี่ พระองค์ปราถนามานาน แต่เวลานี้ บารมีเป็น "ปรมัตถบารมี" แล้ว ก็เหลืออีก ๕ ชาติและที่พระองค์ปฏิบัติมามันเลยมาแล้ว ไม่ใช่ไม่สำเร็จ พุทธภูมินี่ต้องบำเพ็ญกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระองค์เป็น "วิริยาธิกะ" วิริยาธิกะนี่ต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัป นี่บำเพ็ญมาเกิน ๑๖ อสงไขยแล้ว "แสนกัป" อาจยังไม่ครบจึงต้องเกิดอีก ๕ ชาติ

จากหนังสือ : มหาบพิตร ในหลวงทรงถาม พระอรหันต์ตอบ สนพ.กรีน-ปัญญาญาณ

 

ปูทะเลย์ นี่ปูตินป่าว

 

สิทธิ คือ ประโยชน์หรืออำนาจของบุคคลที่กฎหมายรับรองและคุ้มครองมิให้มีการละเมิด รวมทั้งบังคับการให้เป็นไปตามสิทธิในกรณีที่มีการละเมิดด้วย เช่น สิทธิในครอบครัว สิทธิความเป็นอยู่ส่วนตัว สิทธิในเกียรติยศ ชื่อเสียง สิทธิในการเลือกอาชีพ ถิ่นที่อยู่ การเดินทาง สิทธิในทรัพย์สิน เป็นต้น
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 อธิบายความหมาย “สิทธิ” ไว้ว่า “ความสำเร็จ หรืออำนาจที่จะกระทำการใด ๆ ได้อย่างอิสระ โดยได้รับการรับรองจากกฎหมาย”[1]

เสรีภาพ เป็นคำที่ถูกใช้เคียงคู่กับคำว่า “สิทธิ” เสมอว่า “สิทธิเสรีภาพ” จนเข้าใจว่ามีความหมายอย่างเดียวกัน แท้จริงแล้ว คำว่า “เสรีภาพ” หมายถึง อำนาจตัดสินใจด้วยตนเองของมนุษย์ที่จะเลือกดำเนินพฤติกรรมของตนเอง โดยไม่มีบุคคลอื่นใดอ้างหรือใช้อำนาจแทรกแซงเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจนั้น และเป็นการตัดสินใจด้วยตนเองที่จะกระทำหรือไม่กระทำการสิ่งหนึ่งสิ่งใดอันไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย แต่การที่ มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมแล้วแต่ละคนจะตัดสินใจกระทำการหรือไม่กระทำการสิ่งใดนอกเหนือ นอกจากต้องปฏิบัติตามกฎหมายแล้ว ย่อมต้องคำนึงถึงกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของสังคม ขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรม ดังเช่น ศิลาจารึกหลักที่ 1 สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช บ่งบอกถึงเรื่องเสรีภาพในการประกอบอาชีพไว้อย่างน่าสนใจว่า “เจ้าเมืองบ่เอาจกอบในไพร่ลูท่าง เพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย ใครจักใคร่ค้าช้าง ค้า ใครจักใคร่ค้าม้า ค้า ใครจะใคร่ค้าเงือนค้าทอง ค้า …”[2]

สิทธิและเสรีภาพ จึงเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในการบ่งชี้ว่าสังคมหรือบ้านเมืองใด มีความสงบสุขมีสันติ มีความเป็นประชาธิปไตยหรือไม่

 

- มหาชนกชาดก ไม่ปรากฏ ปู หรือ ปูทะเลย์

- คราที่พระองค์ท่านในหลวงรัชกาลที่ ๙ พำนักที่พระราชวังไกลกังวล พระองค์ท่านอาจทอดพระเนตรเห็น ปูทะเล ในบริเวณดังกล่าว จึงอาจเป็นที่มาของ ปู หรือ ปูทะเลย์ ในพระราชนิพนธ์ พระมหาชนก

- สำหรับรูป ปูทะเลย์ นอกจากที่ปรากฏในพระราชนิพนธ์ พระมหาชนก แล้วนั้นยังปรากฏครั้งแรกใน ส.ค.ส พระราชทาน ๒๕๔๒ ซึ่งมีปูทั้งหมด ๙ ตัว (มี1ตัวอยู่ในน้ำ)

- จากนั้น ปรากฏใน ส.ค.ส พระราชทาน ๒๕๔๕ พระองค์ท่านยกตัวอย่างของสัตว์ ทศบาท (10 ขา) คือ ปู ส่วนล่างยังปรากฏคำว่า "มหาวิทยาลัยปูทะเลย์ มิถิลา ๒๕๔๕" เป็นครั้งแรก และ ครั้งที่สองในปีถัดมา ๒๕๔๖ จนกระทั่ง ส.ค.ส พระราชทานปี ๒๕๔๗ ก็ยังปรากฏคำว่า "มหาวิทยาลัยปูทะเลย์" แต่เปลี่ยนจากคำว่า "มิถิลา" เป็น "บ้านเชียง" เปลี่ยนจากตัวเลข "๒๕๔๕" เป็นตัวอักษร "ห้าพันปี"

- หากพิจารณาที่บทบาทของปูทะเล ที่คอยรองบาทพระมหาชนกมิให้จมสู่เบื้องล่างมหาสมุทรและยังคอยต่อสู้กับปลาและเต่า ด้วยจำนวนขาของ ปู นั้นอาจจะหมายถึง ธรรมทั้ง 10 ประการ ทศพิธราชธรรม ธรรมที่คอยปกป้องคุ้มครอง และคอยค้ำจุนพระมหาชนกขณะที่ทรงวิริยะอุตสาหะ

- พระมหาชนก ทรงสร้างวิริยะบารมี ทำให้นึกถึงคำตอบของหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่กล่าวว่า ในหลวงรัชกาลที่ ๙ พระองค์ท่านทรงเป็น "วิริยาธิกะ" (ความเห็นที่ #1959)

- ภาพวาดในภาคผนวก เป็นภาพวาดสุดท้ายของพระราชนิพนธ์พระมหาชนก โดยคาดว่าน่าจะเป็นภาพวาดของฝีมืออาจารย์ปรีชา เถาทอง เป็นภาพแสดงวิธีฟื้นฟูต้นมะม่วง ๙ วิธี ตรงส่วนนี้ผมมองว่าพระองค์ท่านทรงสื่อให้เราเห็นว่าเราจะจัดการฟื้นฟูประเทศชาติของเราได้อย่างไร หากสัญลักษณ์ต้นมะม่วงหมายถึงประเทศชาติ ก็เป็นกุศโลบายในการปกครอง ราชการแผ่นดิน หากมองว่าต้นมะม่วงคือสัญลักษณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ ก็อาจหมายถึง วิธีบริหารจัดการทรัพยากรอย่างเป็นระบบ

 

สคส 2547 นี้น่าสนใจมากใครไขปริศนานี้ออก ช่วยบอกทีครับ

 

โดยความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ

หากพิจารณาแผนที่ประเทศไทยเป็นวัตถุสามมิติ
สามารถจับมาตั้งไว้บนระนาบใดๆแล้ว
แน่นอนว่า มีโอกาสล้มอย่างแน่นอน
ไม่เพียงแต่ล้ม แต่ยังสามารถหักได้เช่นกัน
จุดที่มีโอกาสหักได้คือ บริเวณที่แคบที่สุดจุดหนึ่งของประเทศ
อย่างที่ทราบกันคือ พื้นที่ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
จาก ส.ค.ส พระราชทาน พ.ศ. ๒๕๔๗
จะปรากฏคำว่า "ค้ำจุน" และคำว่า "แผ่นดินไทย"
หากมองไปที่บริเวณอ่าวไทยจะสังเกตว่า มีเส้นตรงสามเส้น
ซึ่งได้รวมเส้นตารางแนวตั้งแล้ว
เปรียบเสมือนสามเสาหลักของประเทศ
เสาหลักที่คอย"ค้ำจุน" ผืน "แผ่นดินไทย"
มิให้หักโค่นหรือล้ม
สามเสาหลัก ผมเข้าใจว่า คือ สถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ทีนี้ลองสังเกต คำว่า "มีระเบิดเกือบทั่วโลก"
ใกล้กันนั้นจะมีสัญลักษณ์คล้าย เรือรบสีดำ(หากมองจากด้านหน้า)
ลักษณะคล้ายกันทั้งหมด 4 จุด
ฝั่งมหาสมุทรอินเดีย 2 และ ทะเลจีนใต้ 2
ผมลองสมมติว่า
ฝั่งมหาสมุทรอินเดีย เรือรบด้านบน คือ A ด้านล่างคือ B
ฝั่งทะเลจีนใต้ เรือรบด้านบน คือ C และด้านล่างคือ D
ลองลากเส้นตรงจากจุด A --> D
และ เส้นตรงจากจุด B-->C
โดยผมลองกำหนด ยอดเรือรบ (คือ จุดกึ่งกลางรูปตัว V)
ใช้เป็นจุดเชื่อมต่อจุดของเส้นตรง
จะได้ผลลัพธ์ คือ จุดตัดของเส้นตรงทั้งสองเส้น
เป็นจุดที่ตั้งอยู่บนบริเวณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นั่นเอง

เมื่อทราบถึงจุดที่เปราะบางแล้ว ย่อมหาวิธีสร้างเสริมให้แข็งแกร่ง

ลองหาดูนะครับว่า
เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการจัดตั้ง จัดสร้าง สิ่งสำคัญใดขึ้นบ้างที่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

keyword : ๗