จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    เรื่องการปฏิบัติธรรมของตนเองไม่มีอะไรมาตัดสินให้ได้ เพราะไม่มีพยานไม่เหมือนทางโลก ยังมีคนอื่นเป็นพยาน ทางธรรมเราเป็นพยานให้ตนเองว่าการปฏิบัติของเรา

    เราเข้าใจธรรมะของพระพุทธองค์ได้มากน้อยแค่ไหนที่เราคิดอยู่ทำอยู่นั้นถูกต้องแล้วหรือยัง ถ้าถูกเราทิ้งความถูกได้หรือยัง เรายังยึดความถูกต้องอยู่ไหม คิดไปถึงที่สุด
    ว่ามันทิ้งนั่นแหละว่าเป็นของสำคัญ จนกว่าที่ว่าไม่เป็นอะไรทั้งนั้น โน้นก็ไม่เป็น นี้ก็ไม่เป็น ดีก็ไม่เป็น ชั่วก็ไม่เป็นขยันทิ้งมากๆคือหมายความว่าให้มันหมดนั่นแหละ ฉนั้นเรื่องการปฏิบัติในจิตของตน ว่ามันง่ายก็ยังไม่ใช่ แต่ว่ามันทำยากคือไม่ได้ตามความปรารถนาของเรา

    บางครั้งที่เราปฏิบัติไปอาจจะมีตัวช่วยให้ดูไปให้ถูก พูดไปให้ถูก อะไรก็ถูกหมด ผลสุดท้ายก็ไปยึดในความถูกนั่นแหละ สุดท้ายก็ผิดอีกถหลำไปอีก อันนี้ไม่มีอะไรจะวัดได้

    เพราะฉะนั้น พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสถึงกำลังทั้ง5ไว้ว่าดังนี้
    ศรัทธา คือความเชื่อ
    สติ คือความระลึกได้
    วิริยะ คือความเพียร
    สมาธิ คือความตั้งใจมั่น
    ปัญญา คือความรอบรู้ทั่ว
    นำกำลังทั้ง5นี้มาเปรียบเทียบกับการปฏิบัติในจิตของเราที่เป็นอยู่ ว่าเราเป็นอย่างนี้แล้วหรือยัง
    คือมีความเห็นด้วยปฏิปทา สัมมาทิฐิ ความถูกต้องตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ผู้ทรงตรัสสอนไว้ดีแล้ว
    อนุโมทนาสาธุ...
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    *************************
    ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมค่ะ ตอนนี้ป้าต้อยก็กําลังเดินทางค่ะ จะเจอกันไหมนี่(kiss)
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    . .
    [​IMG]
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2015
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    หลวงพ่อเนียม วัดน้อย

    ขุน ดอน เขียนประวัติของหลวงพ่อในนิ<wbr>ตยสารพระเครื่องชื่อ พุทโธ ฉบับเดือนพฤษภาคม- เดือนกรกฎาคม ๒๕๓๑ และคุณทนงทิพย์ ม่วงทอง เขียนในฉบับเดือนกรกฎาคม ๒๕๓๕ มีเนื้อความใกล้เคียงกันว่า

    หลวงปู่เกิดเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๒ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่<wbr>งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ท่านเป็นคนบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรีโดยกำเนิด มารดาของท่านเป็นคนบ้านป่าพฤกษ์ ตำบลตะค่า อำเภอบางปลาม้า ส่วนบิดาเป็นคนบ้านส้อง ตำบลมดแดง อำเภอศรีประจันต์ แต่ได้ย้ายมาลงหลักปักฐานอยู่ที<wbr>่บ้านฝ่ายหญิงตามประเพณี หลวงปู่มีพี่สาวชื่อจาด ท่านเป็นคนที่สอง มีน้องชายหนึ่งคนชื่อเสียงใดไม่<wbr>ปรากฏ

    การศึกษาของท่านก็คงเหมือนลู<wbr>กชาวบ้านทั่วไปคือ เรียนอักขรวิธีและภาษาบาลี<wbr>จากพระในวัดใกล้บ้าน

    เมื่อครบบวช (พ.ศ.๒๓๙๒-๒๓๙๓) ก็บวชตามประเพณี คาดว่าคงเป็นวัดป่าพฤกษ์หรือไม่<wbr>ก็วัดตะค่า

    เล่ากันว่าเมื่อท่านอยู่<wbr>ในสมณเพศแล้วท่านก็เข้ามาอยู่ใน<wbr>กรุงเทพฯ เพื่อศึกษาพระธรรมวินัย มูลกัจจายนสูตร วิปัสสนา และเวทย์มนต์คาถาจากพระเถรานุ<wbr>เถระสำนักต่างๆ ซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่าท่านมาพำนั<wbr>กอยู่วัดใดและเป็นศิษย์สำนั<wbr>กใดแน่ บ้างก็ว่าท่านมาอยู่ที่วัดพระพิ<wbr>เรนทร์ บ้างก็ว่าวัดโพธิ์ วัดทองธรรมชาติ และวัดระฆังโฆสิตาราม

    ในสมัยนั้นเมื่อกล่าวถึ<wbr>งพระคณาจารย์ที่เชี่ยวชาญในเรื่<wbr>องของวิปัสสนาธุระแล้ว ต้องยกให้ท่านเจ้าประคุณสมเด็<wbr>จพระพุฒาจารย์ (โต) หลวงปู่ช่วง วัดรังสี (ขณะนี้รวมเป็นวัดเดียวกับวั<wbr>ดบวรฯ) หลวงปู่คำ วัดอัมรินทร์ หลวงปู่จันทร์ วัดพลับ

    ขุนดอนเขียนว่า ถ้าหลวงปู่มาอยู่วัดระฆังฯ ก็ต้องเป็นศิษย์ท่านเจ้าประคุณส<wbr>มเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) แน่ เพราะสมเด็จท่านมีพระชนม์ชีพอยู<wbr>่จนถึง พ.ศ. ๒๔๑๕ สำหรับ คุณทนงทิพย์ เขียนว่า คุณทองหยด จิตตวีระ อดีต ส.ส. สุพรรณบุรี เคยเล่าให้คุณบดินทร์ สุประสงค์ อดีตผู้พิพากษาศาลสุพรรณบุรีฟั<wbr>งว่า บิดาของท่านเคยเป็นลูกศิษย์<wbr>ของหลวงปู่ ตอนมาอยู่ที่วัดน้อยแล้ว หลวงปู่เคยส่งคุณพ่อของท่<wbr>านและศิษย์คนอื่นๆ อีกหลายคน ให้ไปศึกษาเล่าเรียนที่วัดระฆั<wbr>งฯ เรื่องนี้น่าจะเป็นข้อสันนิษฐาน<wbr>ได้ว่าหลวงปู่เนียมต้องเคยเป็<wbr>นศิษย์วัดระฆังฯ ด้วย

    เล่ากันว่าหลวงปู่พำนักเล่าเรี<wbr>ยนอยู่ที่เมืองบางกอกถึง ๒๐ พรรษา เมื่อ ร่ำเรียนจนจบกระบวนการแล้ว ท่านก็กลับมาอยู่ที่วัดที่ท่<wbr>านบวชชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็ย้ายไปอยู่ที่วัดรอเจริญ อำเภอบางปลาม้า (อยู่เยื้องลงมาทางใต้ของวัดน้<wbr>อยไม่กี่ร้อยเมตร) ท่านอยู่ที่วัดรอเจริญได้ไม่นาน ชาวบ้านวัดน้อยเห็นแววของท่านก็<wbr>มานิมนต์ท่านให้มาเป็นเจ้<wbr>าอาวาสวัดน้อยที่ ทรุดโทรมและกำลังจะร้าง เพราะขาดสมภารเจ้าวัด เมื่อท่านมาอยู่วัด น้อยตามศรัทธาของชาวบ้านแล้วก็<wbr>ร่วมมือกับชาวบ้านสร้างหอฉัน และบูรณะโบสถ์ วิหาร จนดี มีสภาพเป็นวัดขึ้นมาอีกครั้ง วัดน้อยเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็<wbr>นลำดับ มีพระเณรมากขึ้นทุกปี

    เล่ากันว่าทุกก่อนเข้<wbr>าพรรษาชาวบ้านทั้งในละแวกนิ่<wbr>งและละแวกใกล้เคียงจะนำ บุตรหลานมาให้ท่านบวชให้มากมาย และที่จำพรรษาที่วัดน้อยก็มีเกื<wbr>อบสิบรูปทุกปี

    ศิษย์เอกของหลวงปู่เนียม

    คุณมนัส โอภากุล (พ่อของคุณแอ๊ด คาราบาว) คนสุพรรณผู้เชี่ยวชาญและโด่งดั<wbr>งจากการรวบรวมค้นคว้าและเขี<wbr>ยนเรื่องพระเกจิ อาจารย์และพระเครื่องเมืองสุ<wbr>พรรณบุรีจนเป็นที่รู้จักกันดี<wbr>ในวงการพระเครื่อง ได้เขียนว่า

    สุพรรณบุรีมีพระเกจิอาจารย์ดั<wbr>งมากที่สุดจังหวัดหนึ่<wbr>งของประเทศ และพระเกจิอาจารย์ที่เชี่<wbr>ยวชาญทั้งคันถธุระและวิปัสสนาธุ<wbr>ระ ผู้ทรงวิทยาคมที่ถือว่าเป็นที่ส<wbr>ุดยอดของพระมหาเกจิ-เถราจารย์<wbr>ของเมืองสุพรรณก็คือหลวงปู่เนี<wbr>ยม

    คุณมนัสกล่าวว่า ลูกศิษย์ของหลวงปู่เนียมที่ดังๆ ทั้งระดับท้องถิ่นและระดั<wbr>บประเทศก็มีหลายรูปด้วยกัน ที่ท่านค้นคว้ามาได้มีหลวงพ่ออ่<wbr>ำ แห่งวัดชีปะขาว อ.บางปลาม้า หลวงพ่อรูปนี้หลวงพ่อเนียมเป็<wbr>นผู้บวชให้และมีศักดิ์เป็นหลานข<wbr>องท่านด้วย ที่ดังระดับประเทศก็คือ หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน อ.สองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ผู้เป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ และอีกรูปก็คือ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อ.เสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผู้เป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่<wbr>อฤๅษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน) แห่งวัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี

    ไตรภาคี ตรีเพชร เซียนพระเครื่องท่านหนึ่งได้เขี<wbr>ยนเรื่องของหลวงปู่เนี<wbr>ยมและหลวงพ่อโหน่งไว้ ในนิตยสารพระเครื่องชื่อ พุทโธ ฉบับที่ ๖ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ ว่าหลวงปู่เนียมเป็นพระนักปฏิบั<wbr>ติธรรม เชี่ยวชาญทางวิปัสสนากรรมฐาน และมีวิทยาคมแก่กล้า ที่ หลวงพ่อปานมาฝากตัวขอเป็นศิษย์ และได้รับการถ่ายทอดทั้งวิ<wbr>ชาทางด้านวิปัสสนากรรมฐานและวิ<wbr>ทยาคมไปจนหมดสิ้น ครั้นเมื่อเรียนจบแล้วก่<wbr>อนจะลากลับสู่สำนักเดิม หลวงปู่เนียมยังได้ส่งเสียว่<wbr>าในวันข้างหน้าถ้าติดขัดสงสั<wbr>ยในเรื่องคำสอนของ ท่าน ขอให้ไปสอบถามหลวงพ่อโหน่ง ศิษย์รุ่นพี่ (ห่างกันหลายปีและไม่ทันเห็นกั<wbr>นในขณะนั้น) โดยบอกว่า ถ้าข้าตายไปแล้ว หากสงสัยอะไร ให้ไปถามท่านโหน่ง วัดคลองมะดัน เขาพอแทนข้าได้

    ที่มา: dharma-gateway
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LpNeamWatNoy.jpg
      LpNeamWatNoy.jpg
      ขนาดไฟล์:
      84.7 KB
      เปิดดู:
      99
    • LpPan.jpg
      LpPan.jpg
      ขนาดไฟล์:
      26.8 KB
      เปิดดู:
      72
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2015
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    . .


    [​IMG]

    ผีมาใส่บาตร หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ
    ผีมาใส่บาตร หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธครั้งนั้น…
    <wbr>…หลวงพ่อคูณเริ่มจาริกธุดงค์<wbr>ออกจากวัดถนนหัก ใหญ่ อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา มุ่งหน้าสู่จังหวั<wbr>ดหนองคาย เส้น ทางธุดงค์ของหลวงพ่อคูณยึ<wbr>ดเอาแนวชายดงชายเขาอันเปล่าเปลี<wbr>่ยวเป็นเส้นทาง โคจร จะหยุดยั้งปักกลดบำเพ็<wbr>ญสมณธรรม ก็ถือเอาทำเลชัยภูมิ<wbr>ซึ่งห่างไกลชุมชน หมู่บ้านพอสมควร <wbr>หลวงพ่อคูณเดินเท้าไปเรื่อยๆ <wbr>กระทั่งถึง จังหวัดหนองคาย จากนั้นก็อาศั<wbr>ยเรือข้ามแม่น้ำโขงไปขึ้นยังฝั่<wbr>ง ลาว ราชอาณาจั<wbr>กรลาวสมัยนั้น ความเจริญมีอยู่<wbr>แค่เมืองหลวงคือนคร เวียงจันทน์เท่านั้นเอง <wbr>เลยจากเขตเมืองหลวงไปแล้วก็คื<wbr>อป่าเขาลำเนาไพรซึ่ง ยังเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ <wbr>ชาวลาวดำเนินชีวิตด้วยความเป็<wbr>นอยู่เรียบง่าย ทำ ไร่ทำนาแค่พอกินพอใช้ไปวันๆ <wbr>แต่ประชาชนซึ่งกล่าวได้ว่าเป็<wbr>นคนยากจนส่วนใหญ่ นี้ต่างมีจิตศรัทธาเลื่<wbr>อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง <wbr> หลวงพ่อคูณ ไม่เคยเข้าไปในประเทศลาวมาก่อน <wbr> แต่ท่านไม่รู้สึกปริวิตกแม้แต่<wbr>น้อย เพราะ จุดหมายปลายทางของพระธุดงค์<wbr>กรรมฐานนั้นคือการไปให้ถึงโมกขธรรมอันสูงสุด มิ ใช่เดินทางไปท่องเที่<wbr>ยวแสวงหาความรื่นรมย์สนุ<wbr>กสนานหรือสุขสบายใดๆ ในทางโลก เส้นทางโคจรของท่านจึงมุ่งสู่<wbr>ความสงบสงัดเป็นทางเอก และอาศั<wbr>ยบิณฑบาตเท่า ที่จะผ่านไปพบเขตคามชุมขนเล็กๆ <wbr>ตามรายทางเพียงเพื่อประคองสั<wbr>งขารให้ดำรงอยู่ เท่านั้น <wbr>พรรษาแรกในแผ่นดินลาว หลวงพ่<wbr>อคูณ ปริสุทโธ ปวารณาจำ พรรษาอยู่ที่ภูควาย โดยอาศัยเถื่อนถ้ำแห่งหนึ่งเป็นที่พั<wbr>กบำเพ็ญเพียรตลอด พรรษา โดยมีชาวบ้านป่าเชิ<wbr>งเขาอุปัฎฐากเรื่องอาหารขบฉัน <wbr>ซึ่งท่านจะลงจากภู สูงมาบิณฑบาตที่หมู่บ้านนั้นทุ<wbr>กวัน ออกพรรษาแล้ว <wbr>หลวงพ่อคูณจึง ลงจากภูควาย จาริกธุดงค์ต่<wbr>อไปโดยมุ่งหน้าไปทางทุ่งไหหิน <wbr>เมื่อไปถึงทุ่งไห หินได้หยุดยั้งปักกลดลง ณ ที่นี้ ตลอดอาณาบริ<wbr>เวณของทุ่งไหหินเป็นที่ราบกว้<wbr>างไกลสุดสาย ตา คล้ายกับว่าเป็นทำเลที่ตั้<wbr>งเมืองเก่าโบราณซึ่งได้ล่<wbr>มสลายสูญหายไปหมด สิ้น ไม่เหลือให้เห็นแม้แต่<wbr>ซากปรักหักพัง คงมีแต่สิ่งอั<wbr>ศจรรย์ทิ้งเอาไว้ กลาดเกลื่อนไปตลิดที่ราบของท้<wbr>องทุ่งนั่นคือ “ไหหิน” ไหหินเหล่า นี้เป็นแท่งหินทรงกลม <wbr>ตรงกลางกลวงเว้าลึกลงไป แต่ไม่<wbr>ทะลุออกไปอีกด้าน หนึ่ง หินแต่ละแท่งมีลักษณะคล้<wbr>ายไหหนึ่งข้าวของชาวลาวทั่วไป <wbr>ไหหินซึ่ง วางกระจายกลาดเกลื่อนมี<wbr>หลายขนาดทั้งเล็กและใหญ่ <wbr>บางไหใหญ่ขนาดหลายคน โอบ และมีน้ำหนักเป็นตันๆ <wbr> ไม่มีตำนานหรือประวัติ<wbr>บอกกล่าวเล่า ถึงที่มาของไหหินเหล่านี้อย่<wbr>างชัดเจน จึงทำให้ไม่รู้ว่าเป็<wbr>นปรากฎการณ์ทาง ธรรมชาติหรือถูกสร้างขึ้นด้วยฝี<wbr>มือมนุษย์ และถ้าเป็นไหหินซึ่<wbr>งมนุษย์ทำขึ้น มา พวกเขามีจุดประสงค์ทำขึ้<wbr>นมาเพื่ออะไรและทำไมถึงได้มี<wbr>มากมายนับร้อยๆ ไหเช่นนั้น เมื่<wbr>อหลวงพ่อคูณมาถึงทุ่งไหหินเป็<wbr>นครั้งแรก นั้น เป็นเวลาโพล้เพล้มากแล้ว <wbr> ท่านจึงปักกลดใกล้ๆ กับพลาญหิ<wbr>นราบเรียบ ส่วนหนึ่งของพลาญหินเป็นโขดหิ<wbr>นชะเงื้อมสูงพอสมควร พอได้อาศั<wbr>ยเป็นที่บังลม อย่างดี เนื่องจากกระแสลมซึ่<wbr>งพัดผ่านทุ่งไหหินแห่งนี้<wbr>ออกจะรุนแรงเอาการอ ยู่ หลังจากสวดมนต์<wbr>ทำวัตรแล้ว หลวงพ่อคูณก็เข้าที<wbr>่ภาวนาภายใน กลด คืนนั้นแม้จะเป็นคืนแรม <wbr>แต่แสงดาวซึ่งพราวเต็มท้องฟ้าก็<wbr>ช่วยบรรเทา ความมืดไปได้หลายส่วน ทั่วท้<wbr>องทุ่งซึ่งมีชื่อว่า “ทุ่งไหหิ<wbr>น” แห่งนี้ดู อ้างว้างและเปล่าเปลี่ยวน่าพรั่<wbr>งพรึงอย่างยากที่จะอธิบายได้ถู<wbr>กถ้วน ทว่า หลวงพ่อคูณมิได้ใส่ใจต่อความสงั<wbr>ดวังเวงซึ่งครอบคลุมไปทั่<wbr>วอาณาบริเวณ หาก เพ่งไปที่จิตเพื่อรวมเป็นสนามสู<wbr>่กรรมฐานตามลำดับ <wbr>แต่สำหรับคืน นี้ จิตของหลวงพ่อคูณดูเหมื<wbr>อนจะกระสับกระส่ายคล้ายกับไม่<wbr>ยอมให้สติควบคุม ง่ายๆ แต่หลวงพ่อก็ไม่ยอมให้จิ<wbr>ตมันแส่ส่ายนำไปสู่ภายนอกได้ <wbr> และ ในวาระนั้น……….หลวงพ่อคูณ ปริ<wbr>สุทโธก็ได้เผชิญกับความอัศจรรย์<wbr> ณ ทุ่งไหหิน จู่ๆ ก็<wbr>มีเสียงอื้ออึงคล้ายพายุกล้<wbr>ากำลังเคลื่อนใกล้ เข้ามาเรื่อยๆ ยิ่งใกล้เข้<wbr>ามาเสียงอื้ออึงก็ยิ่งชัดเจนขึ้<wbr>น ประหนึ่งกระแส ลมอันบ้าคลั่งจะกวาดเอาสรรพสิ่<wbr>งในท้องทุ่งไหหินให้ปลิ<wbr>วหายไปจนหมด สิ้น แต่เมื่อเสี<wbr>ยงนั้นเคลื่อนมาจะถึ<wbr>งกลดของหลวงพ่อคูณ เสียงขอ งกระสแสลมกลับกลายเป็นเสียงโห่<wbr>ร้องอึงคนึงของคนนับพันนับหมื่<wbr>นประหนึ่งมีกอง ทัพกำลังเคลื่อนขบวนยาตราตรงเข้<wbr>ามา หากผู้ซึ่งเผชิ<wbr>ญกับปราก ฎการณ์อันชวนให้ขนพองสยองเกล้<wbr>าดังที่ปรากฎ ขาดสติหรือมีกำลั<wbr>งจิตหวั่นไหว อ่อนแอ อาจจะเกิดความหวาดหวั่<wbr>นพรั่นพรึงถึงขั้นวิปลาสไปก็ได้<wbr> แต่สำหรับ หลวงพ่อคูณนั้นท่านเคยผ่<wbr>านประสบการณ์ความกลัวมาหนั<wbr>กหนาสาหัสยิ่งกว่า นี้ เรียกว่าเคยกลัวจนถึงขีดสุ<wbr>ด กระทั่งไม่รู้จักความกลั<wbr>วใดๆ ทั้งสิ้น เสียแล้ว……..เพียงแค่เสี<wbr>ยงมากระทบหูเท่านี้จึงไม่ทำให้<wbr>ท่านเกิดความหวั่นไหว ได้ จากเสียงโห่ร้<wbr>องอึงอลบอกบ่งถึงความดุร้<wbr>ายกระหายเลือดก็พลัน เปลี่ยนไป กลายเป็นเสียงร่ำไห้<wbr>คร่ำครวญของผู้ซึ่งกำลังตกอยู่<wbr>ในห้วงแห่ง ความทุกข์ทรมานเหลือจะกล่าว <wbr>และเสียงเช่นนี้ได้<wbr>โหยหวยระงมไปทั่วท้อง ทุ่ง หลวงพ่อคูณกล่<wbr>าวในภายหลังว่า ณ ทุ่งไหหิ<wbr>นแห่งนี้มีหลาย สิ่งหลายอย่างที่ท่านไม่เคยคิ<wbr>ดว่าจะได้ยินก็ได้ยิน ไม่เคยคิ<wbr>ดว่าจะเห็นก็ ได้เห็น ทุ่งไหหินมี<wbr>อดีตซับซ้อนทับถมกันอยู่<wbr>จนยากจะแยกแยะออกมา ได้ว่าเป็นยุคใดสมัยใด แต่ที่<wbr>แน่นอนก็คือ ณ ที่ราบของท้<wbr>องทุ่งแห่ง นี้ เป็นที่สถิตย์ของดวงวิ<wbr>ญญาณสัมภเวสีนับไม่ถ้วยซึ่งไม่<wbr>มีที่จะไป ได้แต่ เร่ร่อนวนเวียนอยู่ด้วยบุ<wbr>รพกรรมของตัวเองอย่างน่าเวทนา <wbr> หลวงพ่อ คูณกระทำได้ก็แต่เพียงสำรวมจิ<wbr>ตเข้าสู่กุศลแล้วแผ่<wbr>เมตตาออกไปไม่มี ประมาณ เพื่อชี้ทางสู่สุคติแก่<wbr>วิญญาณทรมานทั้งหลายเหล่า นั้น
    คืนนั้นผ่านไป
    <wbr> เมื่อได้อรุณแล้วหลวงพ่อคูณก็<wbr>ออกบิณฑบาตไป ยังหมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งอยู่<wbr>ไกลลิบ พวกชาวบ้านซึ่งเป็นคนป่<wbr>าคอยดูเหมือนจะ ไม่คุ้นหรือไม่มีศรั<wbr>ทธาในการทำบุญใส่บาตร เหตุนี้<wbr>หลวงพ่อคูณจึงได้เพียง ข้าวเหนียวมาปั้นเดียว ไม่มีกั<wbr>บข้าวคาวหวานใดๆ ทั้งสิ้น แต่<wbr>ท่านก็มิได้ อนาทรร้อนใจ ได้อะไรก็ฉันเท่<wbr>านั้น เพราะฉันเพียงเพื่อเลี้<wbr>ยงดูสังขารให้ มันแค่ดำรงอยู่ มิใช่ฉั<wbr>นเพราะต้องการความเอร็ดอร่อยแต่<wbr>อย่าง ใด หลวงพ่อคูณหยุดยั<wbr>้งอยู่ที่ทุ่งไหหินเป็<wbr>นระยะเวลาสั้นๆ เพราะ เห็นว่าไม่เป็นที่สั<wbr>ปปายะสมควรแก่การบำเพ็ญสมณธรรม <wbr>ประกอบกับผู้คนจำนวนน้อย ซึ่งอยู่อาศัยในเขตชายทุ่งไหหิ<wbr>นเป็นชาวป่าชาวเขาที่ค่<wbr>อนไปทางป่าเถื่อน ไม่ นับถือพระไม่นับถือพุทธ ทางเลื่<wbr>อมใสบูชาลัทธิผีบรรพบุรุษ มี<wbr>เจ้าป่าเจ้า เขา หลวงพ่อคูณจึงได้เก็บบริ<wbr>ขารออกจากทุ่งไหหิน ธุดงค์<wbr>รอนแรมต่อไปโดยบ่าย หน้าสู่ทิศที่ตั้งของนครเวียงจั<wbr>นทน์ ในพรรษานั้น <wbr>หลวงพ่อคูณจำ พรรษาอยู่ที่วัดหนึ่งในนครเวี<wbr>ยงจันทน์ หลั<wbr>งออกพรรษาแล้ว………หลวง พ่อคูณ ปริสุทโธ ได้อำลาเจ้<wbr>าอาวาสผู้มีเมตตาอารีออกเดินธุ<wbr>ดงค์ต่อไป อีก และยังไม่คิดกลับเมืองไทย <wbr> เนื่องจากพอใจในสภาพโดยทั่<wbr>วไปของแผ่นดินลาว ซึ่งอุดมไปด้วยป่าเขาอันรื่<wbr>นรมย์ เหมาะสมต่อการบำเพ็<wbr>ญสมณธรรมขจัดกิเลสให้ เบาบางไปจนถึงสูญสิ้นในที่สุด <wbr> หลวงพ่อคูณจาริกธุ<wbr>ดงค์ไป เรื่อยๆ หากพบหมู่บ้านก็พอได้<wbr>อาศัยโคจรบิณฑบาต หากไม่<wbr>พบพานชุมชนคนอาศัยก็ เท่ากับอดอาหารงดฉันไปโดยปริ<wbr>ยาย แต่มิได้ทำให้เดือดร้อนวุ่<wbr>นวายอะไร นัก เพราะจิตใจนั้นอิ่มเอิบเบิ<wbr>กบานอยู่ด้วยธรรมตลอดเวลา <wbr> จาก เวียงจันทน์ หลวงพ่อคูณจาริ<wbr>กไปจนถึงเมืองหลวงพระบางและได้<wbr>จำพรรษาที่หลวง พระบางอีกหนึ่งพรรษา ครั้<wbr>นออกพรรษาแล้วก็ออกธุดงค์<wbr>จากทางเหนือล่องลงมาทาง ใต้ของประเทศ กระทั่งเข้<wbr>าเขตเมืองผาเลน ห่<wbr>างจากเมืองผาเลนไปไม่ ไกลนัก มีทิวเขาโอบล้อมทอดตั<wbr>วสลับซับซ้อนอยู่ด้านหนึ่ง เมื<wbr>่อหลวงพ่อคูณ จาริกผ่านเชิงเขาขนาดย่อมก็พบถ้<wbr>ำแห่งหนึ่งดูร่มรื่นสงัดเงี<wbr>ยบเป็นที่น่าพอ ใจ ไม่ไกลจากถ้ำมีธารน้<wbr>ำไหลใสสะอาด พออาศัยใช้เป็นน้<wbr>ำสรง น้ำดื่มได้ สะดวก และที่ตีนเขามีหมู่บ้<wbr>านหลายหลังคาเรือน ชาวบ้านเหล่<wbr>านั้นก็แสดงความ เลื่อมใสศรัทธาในพระพุ<wbr>ทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง <wbr> เมื่อชาวบ้านเห็น หลวงพ่อคูณมาปักกลดบำเพ็<wbr>ญธรรมอยู่ที่ถ้ำผาเลน ก็พากั<wbr>นปีนป่ายไต่เขาขึ้นมา นมัสการท่านถึงในถ้ำ แล้วนิ<wbr>มนต์ให้ท่านอยู่ที่ถ้ำนี้นานๆ <wbr>เพื่อที่พวกตนจะ ได้มีโอกาสทำบุญใส่บาตรสร้างกุ<wbr>ศลกันบ้าง เพราะไม่มีพระสงฆ์<wbr>องค์เจ้าผ่านมา นานแล้ว หลวงพ่อคูณก็รับนิมนต์<wbr> ทำให้ชาวบ้านพากันปีติยินดีกั<wbr>นทั่วหน้า และกล่าวย้ำแก่ท่านว่าอย่าได้วิ<wbr>ตกกังวลเรื่องภัตตาหาร <wbr>พวกเขาจะเตรียมอาหาร ไว้ใส่บาตรทุกๆ เช้ามิให้ขาด <wbr> คืนนั้น…….หลวงพ่อคู<wbr>ณเข้าไปอาศัย ถ้ำใหญ่แห่งนั้นเป็นที่บำเพ็<wbr>ญเพียรด้วยความรู้สึกปลอดโปร่<wbr>งเป็นที่น่าพอ ใจ เพราะอากาศภายในถ้ำไม่อับชื<wbr>้น มีกระแสลมไหลผ่านวนเวี<wbr>ยนตลอด เวลา ตราบกระทั่งถึ<wbr>งเวลาได้อรุณ…..ขอบฟ้าเริ่มเรื<wbr>องแสง จางๆ หลวงพ่อคูณจึงเตรียมตั<wbr>วออกบิณฑบาต แต่อากาศขณะนั้นยั<wbr>งขมุกขมัวมืดมัว ไปทั่ว ประกอบกับภูมิอากาศบนภู<wbr>เขามีหมอกลงจัดทำให้<wbr>มองออกไปไกลๆ ไม่ได้ เลย หลวงพ่อคู<wbr>ณสะพายบาตรเรียบร้อยก็ออกจากบริ<wbr>เวณหน้าถ้ำเดินลงมา ตามทางเล็กๆ ซึ่งคดเคี้<wbr>ยวและลาดชัน มาจนถึ<wbr>งทางแยกลงทางที่ทอดลงไปยังหมู่ บ้านตีนเขา จึงตัดสินใจไปทางซ้<wbr>าย เส้นทางสายนี้อ้<wbr>อมภูเขาลาดลง ไปไม่ชันนัก แต่ทางเดิ<wbr>นออกจะรกเรื้อด้วยหญ้าและวัชพื<wbr>ชคลุมหน้าดินค่อนข้าง หน้า เดินตามทางไปสั<wbr>กครู่ใหญ่ความสว่างได้เพิ่มขึ้<wbr>นและหมอกก็จาง ลง หลวงพ่อคูณเพิ่งสังเกตเห็<wbr>นว่าทางที่ท่านเดินผ่านไปนั้<wbr>นกว้างขึ้น เรื่อยๆ กระทั่งไปบรรจบที่<wbr>ราบกว้าง มีเงาตะคุ่มของกองอิ<wbr>ฐเก่าๆ ซึ่งทะลาย ลงมาระเกะระกะ และมี<wbr>ซากกำแพงปรักหักพังเป็นส่วนๆ <wbr>อยู่ในบริเวณ นั้น หลวงพ่อคูณรู้<wbr>สึกแปลกใจเหมือนกันที่เห็นภูมิ<wbr>ประเทศออกจะ พิกลอยู่ ท่านจำได้ว่าตอนที่<wbr>เดินผ่านหมู่บ้านก่อนจะขึ้นภู<wbr>เขามาถึงถ้ำไม่ เคยเห็นกองอิฐกองหินหรื<wbr>อซากกำแพงแม้แต่น้อย แต่เหตุ<wbr>ใดเช้าวันนี้จึงได้มี สภาพผันแปรเปลี่ยนไปผิ<wbr>ดตามากเหลือเกิน หรือว่าท่<wbr>านอาจจะมาผิดทาง เลยเดิน เข้าหมู่บ้านด้านซึ่งไม่เคยผ่<wbr>านมาก่อน แล้วความคิ<wbr>ดซึ่งไม่แน่ใจ ว่ามาผิดทางก็พลันหมดไป เมื่<wbr>อแลไปข้างหน้าชาวบ้านทั้งหญิ<wbr>งชายหลายคนยืนถือ ขันข้าวและถาดใส่อาหารรอคอยใส่<wbr>บาตรอย่างเงียบๆ อยู่ข้<wbr>างทางเดิน หลวงพ่อ คูณจึงเดินเข้าไปด้วยกริยาอั<wbr>นสำรวม สายตาทอดต่ำเพียงมองเห็<wbr>นเลยไปแค่ 3 – 4 ก้าว หลวงพ่อคู<wbr>ณเปิดฝาบาตร รับข้าวและกับข้<wbr>าวซึ่งห่อด้วย ใบตองเป็นห่อเล็กๆ ไปจนสุดแถว <wbr> แล้วท่านก็เดินกลับโดยอาการอั<wbr>นสงบเช่น เดิน ขณะที่เดินย้อนกลับขึ้<wbr>นเขาหลวงพ่อคูณยังมีข้อสะกิ<wbr>ดใจสงสัยอยู่อีกประ กากรหนึ่งก็คือ ทำไมชาวบ้านที่<wbr>นำอาหารมาใส่บาตรจึงเงียบเชี<wbr>ยบกันเหลือ เกิน ตลอดเวลาที่ท่<wbr>านเดินผ่าน ไม่มีใครสนทนาพูดคุ<wbr>ยกันเลย ทุก คนไม่ว่าจะใส่บาตรแล้วหรือกำลั<wbr>งรอใส่บาตรต่างก็ยืนนิ่งทื่อๆ <wbr>ยืนอยู่ตรงไหน ก็อยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้<wbr>อนเคลื่อนย้ายหรือเดินไปเดิ<wbr>นมาตามประสาคนทั่ว ไป ไม่มีการทักทายหรือพูดคุยซึ<wbr>่งกันและกัน ซึ่งออกจะผิดวิสั<wbr>ยธรรมชาติของ สังคมคนหมู่มากทำให้บรรยากาศดู<wbr>สงัดวังเวงบอกไม่ถูก <wbr> หลวงพ่อคูณ ครุ่นคิดเพียงเท่านี้ก็เลิกใส่<wbr>ใจ ด้วยเห็นว่าไร้ประโยชน์ไร้<wbr>สาระที่จะนำมา เป็นกังวล ท่านเดินมาตามเส้<wbr>นทางเดิมซึ่งทอดอ้อมเขาขึ้<wbr>นมาจนถึง ถ้ำ หลังจากฉันเรี<wbr>ยบร้อยแล้วหลวงพ่อคูณได้<wbr>นำบาตรไปชำระล้างที่ ลำธาร เศษข้าวเศษอาหารซึ่งเหลื<wbr>อจากฉันได้นำมากองไว้บนก้อนหิ<wbr>นเพื่อให้ทาน แก่สัตว์ตัวเล็กๆ อีกต่อหนึ่ง <wbr> แล้วหลวงพ่อก็นำบาตรกลับมาผึ่<wbr>งแดดที่หน้า ถ้ำ จากนั้นท่านจึงเข้าที่ปฏิ<wbr>บัติทางจิตนั่งสมาธิสลับกั<wbr>บการเดิน จงกรม กระทั่<wbr>งครบกำหนดเวลาในตอนเย็นหลวงพ่<wbr>อคูณก็ไปสรงน้ำที่ ลำธาร คราวนี้ท่านรู<wbr>้สึกแปลกใจที่เห็นเศษข้<wbr>าวเศษอาหารซึ่งท่าน วางกองไว้บนก้อนหินมิได้พร่<wbr>องไปเลย แสดงว่าไม่มีสัตว์เล็<wbr>กๆ เข้ามากินแม้ แต่ตัวเดียว ซึ่งเรื่องเช่นนี้<wbr>เป็นเรื่องแปลกเอาการ <wbr> เพราะตลอด ระยะเวลาที่ท่านเดินธุดงค์ <wbr>หากมีเศษข้าวเศษอาหารเหลือจากฉั<wbr>นแล้วท่านวางกอง ทิ้งไว้ สัตว์เล็กๆ จะเข้<wbr>ามากินจนหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือทุ<wbr>ก ครั้ง แต่สำหรับครั้<wbr>งนี้ แม้แต่มดตัวเล็กๆ ก็ยั<wbr>งไม่มาตอมเสีย ด้วยซ้ำ
    เช้าวันต่
    <wbr>อมา………..ก่อนออกไปบิณฑบาต <wbr>หลวงพ่อคูณแวะไปดู กองเศษข้าวและเศษอาหารเพราะกลั<wbr>วจะบูดเน่า ปรากฎว่<wbr>าหายไปหมดเกลี้ยงไม่มี เหลือเศษเล็กเศษน้อยตกค้<wbr>างเอาไว้เลย เมื่อเข้าไปพิ<wbr>จารณาดูใกล้ๆ ยิ่งน่า แปลกหนักเข้าไปอีก เพราะถ้<wbr>าหากมีสัตว์มากินเศษอาหารจะต้<wbr>องทิ้งร่องรอยเอา ไว้ แต่เท่าที่หลวงพ่อคูณเห็นขณะนั้น บนก้อนหินเกลี้ยงเกลาประหนึ่งไม่เคย วางเศษอาหารใดๆ เอาไว้เลย ดุจ….เศษอาหารทั้งหมดหายวับไป เฉยๆ หลวงพ่อคูณปฏิบัติสมณธรรมอยู่ที่ถ้ำผาเลนได้ 3 – 4 วัน ชาวบ้านตีนเขาหลายคนก็ขึ้นมาหาหลวงพ่อถึงที่ถ้ำด้วยความเป็น ห่วง เพราะตั้งแต่ท่านมาอยู่ถ้ำผาเลนไม่เคยลงไปบิณฑบาตที่หมู่บ้านเลย ทั้งๆ ที่รับนิมนต์พวกเขาไว้แล้ว หลวงพ่อคูณบอกว่าได้ลงเขาไป บิณฑบาตทุกเช้าไม่ได้เว้นแม้แต่วันเดียว ทำไมชาวบ้านจึงกล่าวหาว่าท่านไม่ ไปบิณฑบาตล่ะ ชาวบ้านก็พากันงุนงงสงสัย เพราะทั่วทั้งหมูบ้าน ไม่มีใครเห็นหลวงพ่อ อีกทั้งข้าวปลาอาหารซึ่งทำเตรียมไว้เพื่อใส่บาตรก็ ค้างเก้อมาทุกวัน จะว่าหลวงพ่อคูณหลงทางไปบิณฑบาตหมู่บ้านอื่นก็เป็นไปไม่ ได้ เพราะตลอดระแวดนี้ไม่มีหมู่บ้านอื่นใดอีกมีแต่ป่าเขาและดงไม้ไป ตลอด ชาวบ้านสอบถามหลวงพ่อคูณว่าท่านลงจากเขาไปทางทิศไหน หลวง พ่ออธิบายว่าออกจากถ้ำแล้วก็ไปตามทางเดินลงเขา พอถึงทางแยกก็เลี้ยวซ้ายเป็น ทางอ้อมภูเขาไป ชาวบ้านพอรู้ว่าหลวงพ่อคูณไปทางไหน พวกเขาก็ พูดแทบจะพร้อมๆ กันว่า “หลวงพ่อไปบิณฑบาตกับผีเสียแล้ว” จากนั้นจึงได้ อธิบายต่อไปว่าเส้นทางที่จะลงจากเขาไปสู่หมู่บ้านนั้นต้องแยกเข้าทางเดินขวา มือ หากเลี้ยวซ้ายซึ่งเป็นทางเดินเก่าๆ อ้อมภูเขาไปนั้นคือทางไปเมืองร้าง มาแต่โบราณกาล ไม่มีผู้คนอยู่อาศัยแม้แต่คนเดียว ชาวบ้านตีนเขายังไม่กล้า ล่วงล้ำเข้าไปในเขตเมืองร้างแห่งนั้น เพราะเคยมีคนไปเจอภูตผีปิศาจน่าหวาด หวั่นพรั่นพรึงที่เมืองร้างมาแล้ว หลวงพ่อคูณรับฟังเรื่องซึ่ง ท่านไม่เคยคาดคิดมาก่อนเมื่อพวกชาวบ้านเล่าความจนหมดสิ้นท่นก็ได้แต่หัวเราะ หึๆ บอกแก่ทุกคนว่า “เป็นบุญของผีเมืองร้างที่ได้ใส่บาตร พระ ซ้ำยังช่วยต่อชีวิตพระไปได้อีกหลายมื้อ จะว่าไปแล้วข้าวปลาอาหารของผี นี่มันก็แซ่บหลายอยู่……” เช้าวันรุ่งขึ้น……….หลวงพ่อคูณก็ออก บิณฑบาตตามกิจของท่าน เมื่ลงจากเขามาถึงทางแยกซ้ายขวา <wbr>ท่านตัดสินใจเดิน ไปทางซ้าย ซึ่งเป็นเส้<wbr>นทางไปบรรจบกับเมืองร้าง เมื่<wbr>อเข้าสู่เขตเมืองร้าง แล้ว คราวนี้ท่านมองไม่เห็นมี<wbr>ใครมารอคอยใส่บาตรเช่นทุกเช้าที<wbr>่ผ่านมา ที่ เห็นอยู่เบื้องหน้าท่<wbr>ามกลางสายหมอกหม่นมัว คื<wbr>อซากปรักพังของเมืองโบราณซึ่ง ล่มสลายไปหมดสิ้น ความรุ่งเรื<wbr>องของศิลปวัตถุทั้งหลายเหลือเพี<wbr>ยงแต่เศษอิฐ หินที่รอคอยการผุพังกลายเป็นธุ<wbr>ลีดินไปในที่สุด <wbr>หลวงพ่อคูณสงบจิต จนแนบสนิทอยู่กับกุศลซึ่งท่<wbr>านได้สั่งสมมา แล้วแผ่<wbr>เมตตาออกไปยังวิญญาณทั้ง หลายที่ยังวนเวียนอยู่ในอาณาบริ<wbr>เวณเมืองร้างแห่งนี้ เพื่อให้<wbr>พวกเขาเหล่า นั้นได้พบกับทางไปสู่สุคติที่ดี<wbr>กว่า………. จากนั้น……<wbr>หลวงพ่อ คูณ ปริสุทโธ ก็เดินกลับย้<wbr>อนไปตามทางเดิม เมื่อถึ<wbr>งทางแยกท่านก็เลี้ยวไป ตามทางลงเขาทอดไปสู่หมู่บ้านตี<wbr>นเขา ซึ่งชาวบ้านกำลังเตรี<wbr>ยมอาหารรอคอยใส่ บาตรอยู่ อ่านแล้วท่<wbr>านทั้งหลายมีความรู้สึกอย่างไร <wbr> ท่านเชื่อ หรือไม่ว่าในโลกนี้จะมีสิ่งเร้<wbr>นลับอยู่ปะปนกับพวกเรา เพี<wbr>ยงแต่ว่าอยู่คนละ ภพเท่านั้น
    นี่คื
    <wbr>อประสบการณ์เผชิญวิญญาณบนเส้<wbr>นทางธุดงค์ครั้ง หนึ่งของหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ <wbr>หรือท่านเจ้าคุณพระญาณวิ<wbr>ทยาเถระ แห่งวัด บ้านไร่ อำเภอด่านขุดทด จั<wbr>งหวัดนครราชสีมา
    ประวัติและปฏิปทา
    หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ


    วัดบ้านไร่
    ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา

    http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=33510



    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2015
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    . .[​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    แม่หมอเทวดา
    หมอพื้นบ้าน จ.สระแก้ว

    ‎รักษามะเร็ง‬ ‪เอดส์ได้และสารพัดโรค
    มีทางเลือก ไม่มากนัก!!!
    คุณจะเลือกทางที่มีตรงหน้ามั๊ยคะ???
    ขอแนะนำว่า มีแม่หมอเทวดา
    ที่สามารถรักษามะเร็งและเอดส์ได้และสารพัดโรค..
    ด้วยความที่ตัวเองสุขภาพ ไม่ค่อยแข็งแรงนัก
    และเพื่อนำมาเผยแพร่ให้กับผู้ป่วยทั้งมะเร็ง
    และสารพัดโรคที่หมดหวัง
    นอนรอความตาย นับวันนับชั่วโมงก่อนหมดลมหายใจ
    ได้มีความหวังมีรอยยิ้มขึ้นมาได้อีก
    ขับรถไปตามถนนเส้นทางรังสิต-นครนายก-ปราจีนบุรี
    จุดหมายปลายทาง ต.โคคลาน อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว
    ขับไป ถามไปจนถึงสี่แยกโคคลา เห็นด่านตำรวจและป้อมยาม
    ด้านขวามือ แล้วเลี้ยวซ้ายไปอีกประมาณ 200 เมตร
    เห็นป้ายบ้านซับม่วงให้เลี้ยวซ้ายเข้าไปอีก
    จนกว่าจะมองเห็นตู้โทรศัพท์สาธารณะสีฟ้าตู้ที่สองด้านขวามือ
    สังเกตบ้าน 2 ชั้น ที่รั้วบ้านมีป้ายเขียนว่า
    ที่ทำการกองทุนเงินแม่ของแผ่นดิน บ้านซับม่วง
    ครัวเรือนต้นแบบ หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง
    นายประยูร ยื่นสุข
    599 หมู่ 2 บ้านซับม่วง
    ต.โคคลาน อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว
    กลุ่มหมอยาพื้นบ้านและสมุนไพรไทย
    ศูนย์จำหน่ายเสื่อทอพื้นบ้าน( ไหล,กก)
    ข้างบ้านมีถนนเล็กๆ เข้าไปหลังบ้านมองเห็นลานกว้าง
    สำหรับจอดรถ ผมขับเข้าไปจอดหลังบ้านมีศาลาไม้ยกพื้นสูง
    ประมาณหัวเข่า,มองเห็นผู้ชายกับผู้หญิงวัย 60 เศษอยู่บนศาลา
    ลงจากรถรีบพนมมือไหว้แนะนำตัวเอง.แจ้งความประสงค์ที่เดินทางมา
    ทำให้ทราบว่าผู้หญิงที่ทอเสื่ออยู่ คือ “แม่หมอเทวดา”
    ส่วนผู้ชายที่ช่วยในการสอดเส้นเสื่อระหว่างการทอคือลุงประยูรยื่นสุข
    สามีแม่หมอ ด้านบนศาลา มีสมุนไพรมัดเป็นมัดๆ ขนาดกำมือ
    ยาวประมาณ 1 คืบอยู่ในถุง 2-3 ถุง พร้อมกาน้ำต้มยา
    จากการพูดคุยทั้งสองท่าน เป็นผู้ใหญ่ใจดี โดยเฉพาะแม่หมอ
    ท่านได้เล่าให้ฟังว่า ในอดีตแม่หมอเคยป่วยหนัก
    ทั้งโรคตับอักเสบ โรคไตนิ่วในถุงน้ำดีไปจนถึงน้ำท่วมปอดหลายโรค
    มารุมล้อมต้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่เนื่องจากฐานะ
    ทางบ้านยากจนไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาลต้องนอนรอที่โรงพยาบาล
    ให้สามีและญาติทำงานหาเงินทะยอยมาจ่ายค่ายาให้อยู่มาคืนหนึ่งนอนหลับ
    มีจิตนิมิตฝันว่า มีลุงคนหนึ่งพาไปค้นหายาสมุนไพรในป่า
    และได้แนะนำสมุนไพรที่พบเห็นอยู่หลายชนิด ในการรักษาโรค
    ลุงคนนั้นบอกว่า ให้จดจำแล้วนำไปช่วยเหลือคนป่วย
    วันต่อมาอาการป่วยของแม่หมอหายไปเองโดยไม่ได้กินยาอะไรเลย
    เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจหลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้ว
    ก็ยังไม่กล้าไปรักษาใครกลัวว่าเขากินแล้วตาย
    จนกระทั่ง ปี พ.ศ.2535มีผู้ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย
    ที่หมอโรงพยาบาลไม่รับแล้ว กลับบ้านมานอนรอความตาย
    จึงตัดสินใจลองรักษาดูปรากฏว่า วันแรกที่ผู้ป่วยกินยา
    ถ่ายออกมา เป็นลิ่ม เป็นถุงเป็นยวงออกมาดำๆ เต็มไปหมด
    หลังจากนั้น กินยามาเรื่อยๆ อาการก็ดีขึ้น จนหายจนชาวบ้าน
    แตกตื่นเหมือนผึ้งแตกรัง ขนานนามแม่หมอว่า “แม่หมอเทวดา”
    ตั้งแต่บัดนั้นมาระหว่างคุย ลุงประยูรยื่นสมุดเยี่ยมทะเบียนผู้ป่วยให้ดู3-4เล่ม
    ซึ่งบอกว่านี่เป็นบางส่วนยังมีอีก มากกว่านี้ขนาด2-3เล่มที่เห็น
    ก็มีผู้ป่วยนับหมื่นแล้ว มองไปที่ภาพบนเสาศาลา
    ที่มีรูปหญิงวัยกลางคนหน้าตาดี ถามแม่หมอว่า รูปใครครับแม่
    หมอบอกว่าเป็นรูปหม่อมที่เคยมา รักษามะเร็ง ปัจจุบันท่านอายุ 80 ปีแล้ว
    ยังมีชีวิตอยู่ สำหรับแนวทางการรักษาของ แม่หมอเทวดาผู้ป่วยต้องมาเอง
    บูชาครูคนละ 5 บาท หลังจากนั้นแม่หมอจะทำนายทายทัก
    โดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องบอกอะไร แม่หมอจะพูดไปตามที่แม่หมอ
    ต้องการจะพูด พูดไปตามธรรมชาติที่จะมีอะไรมาดลใจ
    ให้พูดแล้วผู้ป่วยและญาติจะรู้เองว่าท่านพูดตรงหรือไม่
    วันนั้น แม่หมอเล่าให้ฟังว่า โรคทุกโรคเกิดจากเชื้อราแล้ว
    พัฒนาตัวเองลุกลามไปทั่วร่างกายตามแต่เจ้ากรรมนายเวรต้องการ
    “ยาที่แม่หมอให้ไปเป็นยาสมุนไพร ขอหายผู้ป่วยต้องมาขอหายเอง
    ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไรมาขอหายได้ แล้วแม่หมอจะดูเองว่า
    จะหายหรือไม่หาย ถ้าไม่หายก็จะไม่จัดยาสมุนไพร
    ขอหายให้ เพราะให้ไปก็เปลืองยาเปล่าๆ ยาสมุนไพรขอหาย
    มี14มัด ให้ต้มดื่มไปเรื่อยๆ จนครบ ๑ เดือนหลังจากนั้น
    ให้ใช้สมุนขอหายมัดที่ 15 มัดสุดท้ายที่มีตัวยาสมุนไพร
    แตกต่างจาก14 มัด เป็นชุดถอนรากถอนโคนดื่มอีก 6 วัน”
    โรคมะเร็ง โรคเอดส์ถือเป็นโรคหนัก เป็นโรคนายประหาร
    โรคเบาหวานเป็นโรคนายทรมารโรคอื่นๆ ถือเป็นโรคเบา
    โรคส่วนใหญ่ก่อกำเนิดจากเชื้อรา แล้วพัฒนาขึ้นมา ไล่ไม่หนีตีไม่ออก
    มีแต่แถมโรคมาเรื่อยๆ ผู้ป่วยต้องมีสัจจะในตัวเองจึงจะหายเร็ว
    แม่หมอเทวดา บอกว่าสมุนไพรนี้สามารถจับตัวยาได้ 2 คนคือ
    คนต้มยากับคนกินยา ผู้ป่วยกินได้คนเดียว คนอื่นห้ามกิน
    เมื่อใส่ยาหม้อไหนแล้วต้องใช้หม้อนั้น ห้ามเปลี่ยนหม้อยา
    เวลาเปลี่ยนสมุนไพรในหม้อยา เพื่อเอาชุดใหม่ลง
    ห้ามเปลี่ยนวันพระ เวลาดื่ม ให้ดื่มต่างน้ำได้ทุกช่วงระหว่างคุย
    มองเห็นขันน้ำยาสมุนไพรขอหายวางอยู่ข้างหม้อยา
    จึงขออนุญาตแม่หมอซดไปเกือบหมดรสชาดฝาดๆ กลิ่นไม้ยาจืดๆ
    แต่ดื่มสักพักจะมีรสหวานนุ่มๆ ปรากฏขึ้นมา ดื่มง่าย
    แม่หมอกำชับว่า ให้ดื่มสมุนไพร ขอหายอย่างเดียว ไม่ต้องไปสนใจอะไร
    ดื่มแล้วจะปวดจะเมื่อย จะเกิดปฎิกิริยาต้านอย่างไร ไม่ต้องสนใจ ดื่มไปเรื่อยๆ
    บางคนอาจจะมีอาการบ้าง ไม่กี่วันแล้วจะดีขึ้น ผู้ป่วยจะรู้เองว่า
    อาการของตัวเองดีขึ้น บางรายวันสองวันก็รู้ แล้วต้องดื่มจนหมด ตัวยาที่จัดให้
    ของต้องห้าม เนื้อสัตว์และแมลงทุกชนิด
    ประเภทผัก ห้ามกินผักที่มีเครือเลื้อย
    เช่น ยอดบวม ยอดฟักทอง ผักมีขน มีข้อ มีกอ มีหน่อ
    ประเภทผลไม้ ห้ามกินลำไย สับปะรด ขนุน ทุเรียน กล้วย
    ของหมักดอง เช่น หน่อไม้ดอง ผักดอง อาหารทะเล
    และอาหารในงานศพ
    ประเภทเครื่องดื่ม เหล้า เบียร์ กาแฟ น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง
    ประเภทปลากินได้ เฉพาะปลามีเกล็ด เช่น
    ปลานิล ปลาใน ปลาขาว ปลาตะเพียน ปลาทับทิม
    นอกนั้น ห้ามกิน
    ถ้าท่านปฏิบัติได้ดังคำแนะนำ โรคที่ท่านมีอยู่ทุกโรคหายแน่นอน
    หมายเลขโทรศัพท์ติดต่อ “แม่หมอเทวดา”
    ให้ประสานลุงประยูร ยื่นสุข
    08-7965-0506 และ 08-1075-1477


    https://youtu.be/x_y1HXTsmco
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    Happy Birthday กระทู้ค่ะ ครบรอบสามปีพอดี[​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043

    ภูทยานฌาน2
     
  10. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    สุขสันต์วันครบรอบสามปีของกระทู้ จิตพร้อม?รับภัยพิบัติ(^);aa13;aa20
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    ต้นไม้ เมื่อรากไม่ถูกทำลาย ยังมั่นคงถึงจะถูกบุคคลตัตแล้วก็ยังงอกได้อีก

    แม้ฉันใด ทุกข์นี้ก็ฉันนั้น คือเมื่อตัณหานุสัยอันบุคคลยังขจัดไม่ได้แล้ว

    ย่อมเกิดขึ้นได้อยู่ร่ำไปเหมือนกันอย่างนั้นแล

    อนุโมทนาสาธุค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      216.6 KB
      เปิดดู:
      82
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    [​IMG]. .[​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2015
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    [​IMG]. .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    ๐ คนเรานี่ก็แปลก
    คือ ชอบทำแต่สิ่งที่เอาไปไม่ได้
    สิ่งที่เอาไปได้ แต่กลับไม่ชอบทำ

    ทุกคนคงทราบดีว่า มันหมายถึงอะไร

    เห็นมีแต่บุญกับบาปเท่านั้น
    ที่จะติดตัวไปยังภพภูมิต่างๆ หรือชาติหน้า
    หากกลับมาเกิดใหม่ อาจเสวยบุญหรือบาป
    ก็สุดแล้วแต่กรรมใครกรรมมัน

    ทรัพย์ภายนอก ที่คนทางโลกพยายามหาให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้
    ในโลกทิพย์หรือโลกหลังความตายนั้น มันไม่ได้ติดตามเราไปเลย
    เห็นมีแต่อริยทรัพย์หรือทรัพย์ภายในเท่านั้น ที่ไปด้วย
    หมายถึง บุญหรือกุศลนั่นเอง

    หากพวกเรารู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าหาแต่ทรัพย์ภายนอกจนเพลิน
    พยายามสร้างอริยทรัพย์หรือทรัพย์ภายในไปพร้อมๆกันด้วย
    ร่างกายคนเรานั้น เอาแค่ปัจจัย ๔ ก็เกินพอแล้ว
    นอกนั้น เป็นความโลภแทบทั้งสิ้น

    หากเรารู้ตัวว่า ยังพอมีลมหายใจอยู่ ก็หาโอกาสทำบุญเยอะๆ
    การสร้างบุญกุศลมีหลายประเภท เช่น ทาน ศีล ภาวนา เป็นต้น
    เลือกเอาตามกำลังใจตนเอง
    เรื่องการทำบุญ ไม่มีใครเขาบังคับให้ทำ
    พยายามละบาปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
    พยายามทำแต่ความดีหรือทำบุญกุศลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
    หากทำบุญจากกรรมฐานหรือภาวนาได้ก็ยิ่งดีใหญ่ เพราะเป็นบุญใหญ่
    หากทำได้ดังนี้แล้ว เราก็จะพบจิตผ่องใสของตนเอง

    ไม่อยากให้พวกเราวิ่งตามธรรมของผู้ใด
    แต่อยากให้พวกเราตามหาธรรมในจิตตนเอง
    โดยการเริ่มต้นสร้างสติตนก่อน แล้วปัญญาค่อยตามาทีหลัง

    ไม่อยากให้พวกเราไปยึดในตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือสิ่งใดๆ
    แต่อยากให้พวกเรา(ชาวพุทธ) ยึดพระรัตนตรัยเป็นสรณะ
    เพราะไม่มีสิ่งใดเป็นที่พึ่งได้จริง นอกจาก พระรัตนตรัย
    แม้นกระทั่ง ร่างกายของตน บางครั้ง ก็หวังพึ่งไม่ได้
    ใครคิดหวังพึ่งร่างกายตนมาก ก็จะยิ่งทุกข์มากเท่านั้นเอง
    (ยึดร่างกายมากก็ยิ่งทุกข์มาก)

    ฝึกแยกกายแยกจิต หรือ แยกจิตออกจากกาย เร็วๆ
    ฝึกตายก่อนความตายจริงๆจะมาถึง
    รู้ลม(อาณาปานุสสติ) รู้ตาย(มรณานุสสติ) รู้ทางไป คือ รู้นิพพาน

    อย่าหายใจทิ้งขว้าง มันไม่ได้ประโยชน์อะไร ไม่ได้บุญเลย
    หากรู้ลมหายใจ มันได้ประโยชน์ คือ ได้สติ คือ ได้บุญกรรมฐาน

    อย่าไหลตามเจตสิก จิตสังขารหรือสังขารขันธ์(คิดปรุงแต่ง)
    หรืออย่าไหลตามอารมณ์จิตของตน นั่นเอง
    หากใครไหล แสดงว่า สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ได้บุญนะเอ้า
    แถมจะหาแต่เรื่องไม่ดีเข้ามาสู่ตน หาแต่ทุกข์เข้าสู่ใจตน
    เพราะฉะนั้น อย่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน !

    ส่วนเรื่องการละปล่อยวาง การหลุดพ้นหรือบรรลุธรรม
    ก็ต้องขึ้นอยู่กับสติปัญญา หรือปัญญาญาณของคนๆนั้น
    หรืออยู่ที่บุญบารมีหรือวาสนาของคนๆนั้นแล้ว
    ทำความเพียรเยอะๆก็แล้วกัน

    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรม สาธุๆๆ
    ภูทยานฌาน

    Cr...FB Phu Bodin 08.04.15
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • PostDhamma.jpg
      PostDhamma.jpg
      ขนาดไฟล์:
      25.6 KB
      เปิดดู:
      822
  17. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
  18. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    ศีลและสมถะต้องทำให้มาก
    เรื่องศีล เรื่องธุดงควัตร พวกเราต้องพยายามปฏิบัติ พวกญาติโยมก็เหมือนกัน ถึงปฏิบัติอยู่บ้านก็ตาม พยายามให้มีศีลห้า กายวาจาของเราพยายามให้เรียบร้อย พยายามดีๆ เถอะ ค่อยทำค่อยไป
    การทำสมถะนี้ อย่านึกว่าไปทำครั้งหนึ่งสองครั้งแล้วมันไม่สงบก็เลยหยุด ยังไม่ถูก ต้องทำนานอยู่นะ ทำไมจึงนาน คิดดูสิเราปล่อยมานี่กี่ปี เราไม่ได้ทำ มันว่าไปทางโน้นก็วิ่งตามมัน มันว่าไปทางนี้ก็วิ่งตามมัน ที่นี้จะมาหยุดให้มันหยุดอยู่เท่านี้ เดือนสองเดือนจะให้มันนิ่ง มันก็ยังไม่พอ คิดดูเถิด เรื่องการทำจิตใจให้เราเข้าใจว่า สงบในเรื่อง สงบในอารมณ์ ทีแรกพอเกิดอารมณ์ ใจไม่สงบ ใจวุ่นวาย ทำไมจึงวุ่นวาย เพราะมีตัณหา ไม่อยากให้คิด ไม่อยากให้มีอารมณ์ ความไม่อยากนี่แหละตัวอยาก คือ วิภวตัณหา ยิ่งไม่อยากเท่าไร มันยิ่งชวนกันมา “เราไม่อยากมันทำไมจึงมา ไม่อยากให้มันเป็นทำไมมันเป็น” นั้นแหละเราอยากให้มันเป็น เพราะเราไม่รู้จักใจเจ้าของ แหม เล่นอยู่กับพวกนี้กว่าจะรู้ตัวว่าผิดก็นานโขอยู่ คิดๆ ดูแล้ว โอ เราไปเรียกมันมามันจึงมา ไม่อยากให้มันเป็น อยากให้มันสงบ ไม่อยากให้มันฟุ้งซ่าน นี่แหละความอยากทั้งแท่งละ
    พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี.
    กราบบูชาอนุโมทนาสาธุเจ้าค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      117.1 KB
      เปิดดู:
      75
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    . .[​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    [​IMG]
    พ่อขุนศรีเมืองมาน - หลวงตาศรี - สมเด็จพระมหาศรีกิรติฯ


    ใน สมัยสุโขทัย หลวงพ่อได้ลงมาเกิดเป็นพ่อขุนศรีเมืองมาน เมื่อพ่อขุนศรีเมืองมานมีประชนม์ได้ 35 พรรษาพระมเหสีท่าน(ก็คือท่านแม่ศรี)ได้สวรรคตลง หลังจากนั้นอีก 5 ปีเมื่อพระองค์ทรงประชมมายุได้ 40 พรรษาจึงทรงผนวช เรียกกันว่าหลวงตาศรี และต่อมาท่านได้เป็นพระสังฆราชในสมัยนั้นมีพระนามว่า "สมเด็จพระมหาศรีกิรติฯ"

    เรื่อง โดยละเอียดหลวงพ่อเล่าไว้ในหนังสือ " ล่าพระอาจารย์และท่องเชียงแสน โดยฤาษีลิงดำ " หน้า 164 และในหนังสือ " เรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ " หน้า 72 เป็นต้นไป


    เรื่องด้านล่างนี้คัดตอนมาจากหนังสือ " ล่าพระอาจารย์และท่องเชียงแสน โดยฤาษีลิงดำ " หน้า 164 - 170 ครับ

    *******************************

    พ่อ ขุนศรีอินทราทิตย์มาก็ยกมือไหว้ แล้วก็คุยกัน ท่านถามบอกว่า จำผมได้ไหม ตอบว่าเรื่องอะไรที่มนุษย์จะไปจำผี ไม่มีละ ไม่มีใครนั่งจำผีกัน จำไม่ได้ ก็เลยถามท่านบอกว่า นี่รู้จักฉันได้ไงว่าฉันเป็นอะไรกับท่าน ใช้คำว่าจำได้นี่ แสดงว่ามันต้องเคยรู้จักกัน ท่านก็เลยบอกว่าพระคุณท่านสมัยนั้นนะ เป็นอาจารย์ของพวกผมขอรับ ถามว่าสมัยไหน ท่านก็เลยบอกว่าสมัยที่พวกผมจะกู้ชาติ ตั้งชาติไทยขึ้นมา เพราะเราเป็นทาสของขอม สมัยนั้นพระคุณท่านเป็นพระ ถามว่าเป็นพระชื่ออะไร ท่านบอกว่าชื่อ " ศรี " มาทราบทีหลังว่าชื่อเต็มๆ ก็คือ " ศรีเมืองมาน " สมัยที่เป็นฆราวาส แต่เป็นพระเขาเรียกหลวงตาศรีเฉยๆ สมัยนั้นท่านบอกว่าท่านเป็นลูกศิษย์เพราะท่านเป็นคนเด็กกว่า หลวงตาศรีเป็นคนรุ่นพ่อ เห็นจะเป็นเพื่อนกันมากับคราวๆพ่อ

    พอท่านบอกอย่างนั้นนึกเอะใจว่า นี่ต้องหาหลักฐาน เราจะนั่งพูดกันอย่างนี้มันไม่ถูกหรอก เลยถามว่า ถ้าฉันเป็นพระสมัยนั้นจริงๆ เวลานี้มีอะไรเป็นเครื่องยืนยันบ้าง แล้วฉันเป็นพระวัดไหน ท่านก็ตอบว่า พระคุณท่านเป็นพระ วัดต้นจันทร์ ขอรับ เดิมทีอยูวัดมหาธาตุ ทีนี้สมเด็จแม่ คือ พระเจ้าย่าสมัยปัจจุบันที่เขาเรียกกันว่าพระเจ้าย่า สมเด็จแม่เป็นผู้อุปการะ คือเป็นโยมปราวณาส่งอาหารและให้การบำรุง แล้วต่อมาพระคุณท่านเห็นว่าการอยู่วัดมหาธาตุมันใกล้พระราชฐาน มีบุคคลพลุกพล่านมาก ไม่ชอบ ชอบที่เงียบสงัดจึงไปปลูกกระต๊อบอยู่ที่ดงจันทร์ มันมีต้นจันทร์อยู่ไม่กี่ต้น

    ต่อมาสมเด็จแม่ จึงไปสร้างวัดให้พวกกระผมด้วย ก็ไปสร้างวัดให้ได้นามว่า วัดต้นจันทร์ แล้วเวลานั้นพระคุณเจ้าสร้างพระเครื่องเข้าไว้ มีรูปหน้าจั่วคล้ายสมเด็จนางพญา เป็นเนื้อดิน แกก็เอารูปพระมาให้ดู แล้วเวลานี้พระยังอยู่ในที่นั้นประมาณ 2 ปีป แต่ว่าใส่ไหไว้ หากว่าพระคุณเจ้าไปที่สุโขทัยจะพบประวัติ จะพบพระอันนี้ ต้องไปที่เมืองสุโขทัยเก่า เขามีอยู่ที่พิพิธภัณฑ์


    ก็เลยนั่งคุยกันว่านี่รถไปแล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ท่านก็เลยบอกว่าเลยเมืองตากไปประมาณ 10 กิโลเศษ เลี้ยวเข้าทางสุโขทัย ตอนนั้นรถยางจะแตก แต่ไม่มีอันตราย ในขณะที่เขากำลังเปลี่ยนยางรถ ขอให้คนในรถนั่งห่างๆ กัน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ทั้งนี้ก็เพราะว่ากันคนร้ายที่จะเข้ามาจี้ปล้น เพราะตรงนั้นเป็นทางเปลี่ยว ถ้าปรากฏว่ามีคนออกมาจากพุ่มไม้ 3 คน ให้ทุกคนเตรียมพร้อมไว้ ถ้าทุกคนเตรียมพร้อมไว้เขาจะไม่กล้าทำอันตราย ถ้านั่งรวมกลุ่มกันโดยเฉพาะ เขาจะใช้ปืนบังคับไม่ให้ทุกคนขยับเขยื้อน ถ้าใครขยับเขาจะยิง พวกเราที่ไปกันทั้งชายและหญิง ก็จะพากันเสียทรัพย์สิน ท่านแนะนำ

    ก็เลยลืมตาขึ้นมาบอกพระครูวิชาญ บอกนี่พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ท่านมาเล่าให้ฟังแบบนี้ แล้วเขียนรูปพระคร่าวๆให้ท่านดู ท่านเลยบอกว่าดีแล้ว วันพรุ่งนี้เราไป วันนี้เราถึงอุตรดิสถ์ พรุ่งนี้เรามาเมืองสุโขทัยเก่า หาเรื่องหาราวให้พบจะจริงหรือไม่จริง

    ทีนี้พอเลยเมืองตากไปแล้ว 10 กิโล รถยางรั่วจริงๆ เมื่อรถจอดก็เลยบอกให้บรรดาท่านชายและหญิงทั้งหมดที่ไป บอกนั่งห่างๆกัน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม แยกกันอยู่ตามคำสั่ง เพราะเรื่องมันปรากฏจริงขึ้นมาแล้ว เป็นอันว่าผีพูดตรง แล้วต่อมาขณะที่เขาทำการเปลี่ยนยางรถ ก็มีคนออกมาจากพุ่มไม้ 3 คน แต่ว่าท่าทางเขาแสดงอาการปรกติเหมือนกับคนจะไปหากินที่ไหน เขามาถึงเขาก็มานั่งคุยด้วยกับอาตมา คือเห็นหน้าเขาก็เลยเรียกเข้ามาหา ถามเขาว่าไปไหนกันล่ะพ่อคุณ เขาบอกว่าจะไปหาหน่อไม้ในป่าหรือจะไปหาเผือกหามันอะไรก็ไม่ทราบ จำไม่ชัด คุยไปคุยมานัยน์ตาเขาก็มองไปมองมา มองตาแล้วไม่น่าไว้ใจ เพราะตาคนนี่สังเกตได้ง่ายว่าสุจริตหรือทุจริต แม้แต่จะซ่อนความรู้สึกเพียงใดก็ตามที แต่ลักษณะของตานี่มันบอกชัด เมื่อแกคุยไปแกก็ยิ้มไป ถามว่าคนทำไมนั่งเป็น 3 กลุ่ม ทำไมจึงไม่รวมกัน ก็เลยบอกแกว่า แถวนี้น่ะ โจรมันมาก ที่เขานั่งกันเป็น 3 กลุ่มนี่น่ะ แต่ละกลุ่มเขาพร้อมที่จะตาย ถ้าอันตรายเกิดที่กลุ่มไหนอีก 2 กลุ่มจะยิงสาดเข้ามาทันที สัญญากันไว้อย่างนี้ ก็เลยถามว่าคุณ 3 คนนี่เคยเป็นโจรมาแล้วใช่ไหม แกสะดุ้งสุดตัว ว่าเปล่าขอรับ ก็เลยพูดยิ้มๆ บอกว่านี่ ไอ้ลักษณะอย่างนี้ฉันเคยเป็นมานะ เคยเป็นมาแล้วอย่าโกหกกันเลย นี่มองคุณแม้แต่เพียงเดินลีลามันก็บอกอยู่แล้ว เพราะคุณมีลักษณะเรียบร้อยเกินไป นี่มันลักษณะของโจรปล้นชาวบ้าน ตา 3 คนเห็นท่าไม่ดี คิดว่าเจ้าหัวเหน่งนี่ถ้าจะรู้ท่า แกก็เลยบอกว่าไม่มีไรขอรับ กระผมไม่ได้มาทำร้าย แล้วก็ไม่ได้เป็นโจร ก็เลยบอก ดีแล้วพ่อคุณ ในฐานะที่เราเป็นคนไทยด้วยกัน ที่พูดเมื่อกี๊นี้น่ะพูดเล่นๆ หรอกนะ ไม่ได้ตั้งใจจะว่าคุณจริงๆหรอก เพราะว่าท่าทางคุณเป็นคนดีก็เลยล้อเล่นในฐานะเป็นกันเอง แกก็เลยนั่งคุยอยู่จนกระทั่งเจ้าหน้าที่เขาเปลี่ยนยางรถเสร็จแล้วพวกเราก็จะ ขึ้นรถก็อำลาแก แกก็อำลา เดินเข้าป่าไปตามเดิม นี่เป็นจุดแรก เป็นหลักฐานทีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์บอก ตรงเป๋ง ในชั่วระยะเวลาแรก

    จากนั้นก็เดินทางไปอุตรดิสถ์ ซึ่งไม่มีอะไรนัก ไม่เป็นข่าวจะบอกให้ทราบ แต่ว่าเวลานอนกลางคืนมีข่าวอีก มีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ก็สองขุนนั่นแหละพ่อขุนลือ แล้วก็พระยาวชิรปราการ แล้วมีอีกหลายสิบท่านไม่รู้ว่าใคร ไปคุยเสียเกือบสว่าง แสดงว่าเป็นคนรู้จักกันมาดี ก็เลยบอกว่าพรุ่งนี้ถ้าจะไปสุโขทัยเก่ให้ไปแวะที่วัดช้างล้อม ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ถามว่าไปถูกรึ ท่านบอกว่าถูก ทางมันผ่าน ถามว่ามีอะไร ท่านเลยบอกว่าไปก็แล้วกัน แล้วจะพบของจริง สิ่งที่ไม่เคยคิดจะปรากฏ เอาเข้านั่นอกก็ไม่บอกเสียด้วย

    เวลานั้นเป็นฤดูหนาว หนาวจัด พอตอนเช้าฉันอาหารเช้าแล้วไปสุโขทัยเก่า แวะเข้าไปที่วัดช้างล้อม เห็นจะเป็นที่ศรีสัชนาลัย อีตอนนั้นเห็นทหารสารวัตรของพิษณุโลกไปตั้งกระโจมเต้นท์กันอยู่ ไม่ทราบว่าเขาตั้งกันทำไม มีตาสิบเอกคนหนึ่งแกนั่งสั่นง๊อกๆๆๆ อยู่ข้างธารน้ำเป็นธารไม้ใหญ่ ข้างล่างเป็นหิน มองข้ามฝั่งตรงข้าม ฝั่งแคบๆ เห็นเจดีย์ใหญ่มีรูปช้างล้อมรอบตัว คือที่สุโขทัยมีเจดีย์คล้ายกันอยู่ 2 องค์ วัดช้างล้อมวัดหนึ่ง วัดช้างรอบวัดหนึ่ง เจดีย์รอบตัวเหมือนกัน นี่ต้องเข้าใจให้ดี ดีไม่ดีจะย่องไปวัดช้างรอบ รอบคืออยู่รอบๆ จะเข้าใจว่าช้างล้อม ถ้าช้างล้อม ต้องมีธารน้ำขวางหน้า ถ้าวัดช้างรอบละก็เราวิ่งรถเข้าไปถึงได้เลย

    นี่ไปยืนเห็นอีตาสิบเอกคนนั้น แกนั่งสั่นในเครื่องแบบ ก็มีบรรดาท่านขุนทั้งหลาย แล้วท่านญาติผู้ใหญ่เก่าๆ สุโขทัยกระซิบบอกว่า ในธารน้ำนี่น่ะ มีพระอยู่หลายองค์ พระเครื่อง คือว่ากรุของวัดช้างล้อมนี่แตกแล้วพระก็ไหลออกมา ชาวบ้านเขาไปกันได้มาก แต่ทว่าที่ค้างอยู่ในธารน้ำใสนี่น่ะเยอะ น้ำไหลเยอะ แต่มันหนาวจัด ก็เลยบอกอีตาสิบทหารสารวัตรคนนั้นบอกว่านี่ หมู่ จะไปนั่งสั่นอยู่ทำไม โดดลงไปในน้ำซี จะได้พระเก่าๆจากเจดีย์ พระกรุนี่แตกนี่ ต้องไปเอา เขาถามจริงหรือครับ บอกจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ ไปเอาก็แล้วกัน เดี๊ยวก็ได้ แกทำท่าจะผลัดผ้าขาวม้ามา บอกไม่ได้ๆ พระนี่เป็นพระดีมาก เพราะพระสมัยสุโขทัยเป็นพระอรหันต์เยอะท่านทำไว้ ของ ที่รับจากพระดีๆ มีคุณค่าสูงจะต้องลงไปทั้งเครื่องแบบ ลงไปแบบนี้แหละเอาออกไม่ได้ รองท้งรองเท้าเอาออกไม่ได้ ไอ้ที่บอกอย่างนั้นน่ะ ความจริงไม่ได้ตั้งใจให้แกลงไปเอา เพราะคิดว่าแกจะกล้าลงไปทั้งเครื่องแบบรึ หนาวแสนหนาว นั่งอยู่บนบกยังสั่นจะตาย แต่ว่าที่ไหนได้ พ่อเทวดาโดดลงไปทั้งเครื่องแบบเลย พอแกโดดลงไปนึกในใจว่า นี่ถ้ามันไม่ได้นะ แกขึ้นมาคงไล่เตะอาน แต่ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ น้ำลึกเพียงเอว ก้มตัวลงไป เอาแขน 2 ข้างจุ่มลงไปด้วย พอจุ่มลงไปนั่งพับแล้วก็ลุกขึ้นมาชูพระขึ้นมา ติดมือมา 3 องค์




    อี คราวนี้เองแหละท่านผู้บังคับหมวดบ้าง ผู้บังคับหมู่ และบรรดาสารวัตรทั้งหลาย ไม่มีใครถอดเครื่องแบบ โดดกันตูมตามๆ เป็นอันว่าทุกคนได้พระกันหมด คนละองค์เดียวบ้าง 2 องค์บ้าง 3 องค์บ้างตามอัธยาศัย ควานกันใหญ่ ไม่มีใครหนาวก็เลยดีใจที่ไม่ถูกเตะ แล้วดีใจที่หลักฐานของบรรดาท่านพ่อทั้งหลายนี่ หรือว่าท่านแม่ทั้งหลายด้วย ขอเรียกทั้งพ่อและแม่ เพราะท่านมีความดีมาก บอกให้เป็นความจริง นี่แสดงว่าท่านยืนยันความจริงในสมัยก่อน นี่สัจจธรรมประเภทนี้คือความจริง น่าจะเคารพกันเข้าไว้ เราจงอย่าคิดว่าเราเป็นคนสมัยใหม่ มีความรู้เกินสมัยเก่า นี่ผีมีความรู้ดีกว่าเรา


    แล้วต่อมาก็มาที่สุโขทัย ไม่รู้จะไปไหนดี ไม่เคยไป รถเขาพาเข้าไปที่พิพิธภัณฑ์บอกว่าไปที่พิพิธภัณฑ์ก่อน พอไปถึงพิพิธภัณฑ์ก็ไปถามหาเจ้าหน้าที่ ว่าใครเป็นหัวหน้า เขาก็พามา คนนี้เป็นเปรียญ แล้วเป็นอดีตเจ้าคณะอำเภอ เคยเป็นพระครู สึกออกมาเป็นเจ้าหน้าที่ศิลปากร ถามว่านี่คุณ เคยเป็นพระใช่ไหม ตานั่นมองหน้า ถามว่าท่านทราบรึ ตอบว่าท่าทางมันบอกยี่ห้อ คนเคยเป็นพระมาละยี่ห้อมันมี เข้าวัดเข้าวาหรือเข้าพระสนิทสนม บอกว่าใช่ครับ ผมเป็นเปรียญ แล้วก็เป็นพระครู และเป็นเจ้าคณะอำเภอ

    เลยถามว่าสึกทำไม ทำไมไม่เป็นให้มันตลอดไป เป็นพระแล้วนี่ แกบอกว่าเห็นท่าว่าดีไม่พอ อารมณ์ดีไม่พอจึงสึก ถ้าขืนอยู่ไปมันก็ขาดทุน เราจะทำตนอย่างพระจัญไรที่บวชเข้าไปแล้วหวังความร่ำรวย หวังยศฐาบรรดาศักดิ์ ยังงั้นผมทำกับเขาไม่ได้ขอรับ แล้วมาสมัยนี้ พระระดับปกครองไม่ค่อยจะดี แกว่ายังงั้น มันจะไม่รักษาพระธรรมวินัย ถามว่าพระที่ไหน ก็ตอบว่า มีหลายท่าน เวลานี้ตายไปบ้างแล้ว พ้นตำแหน่งไปบ้างแล้วก็มี ผมอยู่กับเขาไม่ได้นี่ เขาทำไม่ดีแบบน้นผมสึกดีกว่า มารับจ้างรัฐบาลกิน ได้เท่าไรก็พอ ไม่กินเหล้าเมายาเสียอย่าง มันก็หมดเรื่อง แกก็ดีเหมือนกัน เลยถามว่าลุง ไอ้วัดต้นจันทน์น่ะมันมีไหม แกขอกว่ามีขอรับ มี ๆ มันอยู่ลึกเข้าไป แกหยิบหนังสือมาก็มีแผนที่ เออ เอาเข้าแล้ว เอาเข้าหนึ่งแล้วซี เรื่อของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์

    แล้วเลยถามว่า ถ้าอย่างนั้นละพระวัดต้นจันทน์เคยปรากฏ ไหม พระเครื่อง บอกมีครับ เวลานี้เขาเอาพระในกรุวัดต้นจันทน์ออกมาจำหน่ายองค์ละ 50 บาท ยังมีอยู่ที่พิพิธภัณฑ์นี้มาก นี่ๆ ตรงนี้ยังไงล่ะครับ พระวัดต้นจันทร์ แก็พาไปดูที่เขาวางโชว์เข้าไว้ เห็นตรงกับภาพที่เขียน คือเป็นพระหน้าจั่วแบบนางพญา แต่ขนาดใหญ่หน่อย เลยเชื่อได้ว่า อ๋อ ที่ท่านพ่อขุนศรีอินทราทิตย์พูดน่ะจริงนะ เป็นเรื่องจริงๆ ไม่ใช่โกหก อีตอนนั้น ที่ท่านบอกว่าอาตมาเป็นพระชื่อว่าหลวงตาศรีน่ะ หัวล้านหรือเปล่าไม่ทราบ แต่ต่อมาภายหลังท่านเรียกว่าศรีเมืองมานคือว่าเคยรับตำแหน่ง เขาเรียกว่าพ่อขุนศรีเมืองมาน แต่ความจริง คงจะไม่ใช่ศรีเมืองมานคงจะเป็นศรีหัวล้าน เพราะเวลานี้หัวล้านนี่ คงจะเป็นยังงั้น แล้วก็เป็นพระ บวช เมื่ออายุ 40 ปี เพราะว่าอีตอนนั้นชายาคือว่า...เอาอย่างงี้ก็แล้วกัน คนคู่บารมีที่เป็นหญิง ท่านตายไปเสียก่อน ก็เลยเป็นพ่อม้ายมา 5 ปี แล้วจึงได้บวช บวชแล้วก็ตั้งตนเป็นใหญ่ ความจริงพระนี่ก็ใหญ่ นั่งสูงกว่ากษัตริย์ก็เลยคุยกันไปว่าคนในสมัยนั้นน่ะ เวลาที่เขาปกครองประเทศชาติ เวลาปกครองประชาชนนี่ เขาทำกันยังไง ท่านก็คุยให้ฟัง อีตอนนี้มันคุยกันตรงไหนล่ะ ไปเห็นพระวัดต้นจันทน์เข้าแล้วนี่ มีวัดต้นจันทน์ด้วยก็เลยหาที่เงียบๆ บอกท่านเจ้าคณะอำเภอเก่าคนนั้นว่า มีเตียงผ้าใบไหม ท่านบอกว่ามี ถามทำไม ? มันเมื่อยก็อยากจะเอนสักหน่อย ท่านก็หามาให้ไปตั้งอยู่ที่มุมเงียบ ความจริงไม่ได้ตั้งใจจะนอน จะคุย แล้วบอกคนอื่นว่า ใครอยากจะชมที่ไหนก็ตามอัธยาศัย ฉันนอนตรงนี้แหละ จะกลับเมื่อไรก็บอกด้วยนะ ถ้าไปก่อน ฉันเดินไม่ไหว เขาก็เลยปล่อยให้นอน

    ความจริงก็ไปนั่งคุยกัน เพราะท่านผู้ใหญ่สุโขทัยไปพบกันมาก แกเลยทำพิธีการ คือพากย์ เหมือนฉายภาพยนตร์ให้ดูว่าการปกครองคนทำแบบไหน การเข้าถึงคนทำแบบไหน และความรู้สึกของใจแต่ละท่านที่เป็นนักปกครอง ท่านทำให้ดูชัดสมัยนั้นไม่มีพรรค เป็นคนกลุ่มเดียวกัน นักปกครองทำตนเป็นเพื่อนกับประชาชน แล้วมักจะเข้าถึงประชาชนที่วัด วัดเป็นศูนย์จุดกลางใจของคน ท่านทำความสนิทสนมกับพระ ไปพบพระอยู่เสมอ พบพระแล้วพบคน ส่วนใหญ่มักจะเลือกไปในวันพระหรือวันเทศกาล เวลาไปทุกท่านไม่ทำตัวเป็นเจ้า ทำตัวเป็นเพื่อนกับคนทุกคน นั่งคุยได้กลางลานวัด ไม่ต้องปูเสื่อ คนคุยล้อมรอบ มีหลายท่านเป็นนับขบขันโดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อขุนศรีอินทราทิตย์นี่เก่ง บรรดาพระญาติพระวงศ์ของพระองค์ก็เก่ง เก่งมาก คุยแบบกันเองเฮๆฮาๆ ดีไม่ดีก็นอนเขลงลงไปกลางสนามหญ้ากับพวกประชาชน คนไทยชอบใจ เพราะไม่มีใครเขาถือตัว ถือว่าเป็นเพื่อน ความจริงไม่ใช่ เป็นพ่อ

    แล้วท่านก็แสดงภาพของพ่อขุน ขุนอะไร เชียงแสน พ่อขุนเสลา พ่อขุนผาเมือง นึกไม่ออกต้องไปไล่พ่อขุนเสลาขึ้นมาก่อน ตอนนั้นก็เป็นนักรบชั้นเยี่ยม ท่านมาหากันเสมอนี่ มาถึงก็ทำท่านั้นแหละ ลีลาของพ่อขุนผาเมือง ก็ไม่ต่างอะไรกับพ่อขุนบางกลางท่าว พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เข้าสนิทสนมกับประชาขนพลเมือง คุยกันไปคุยกันมาแบบนั้น เป็นการช่วยกันป้องกันขอม นี่คนสมัยนั้นเขาไม่มีพรรค เขามีแต่พวก คือเป็นพวกเดียวกัน ใจก็เป็นกำลังใจกลุ่มเดียวกัน จะว่าระบบราชาธิปไตยเป็นระบบกดขี่ข่มเหงคน มันไม่ถูก นี่ราชาธิปไตยกลายเป็นประชาธิปไตยไป

    ถามท่านว่าเวลาจะรบเวลาจะรับ หรือเวลาจะปกครองจะทำยังไงกัน ทำให้ประเทศชาติทรงตัวอยู่ได้ ตอบว่าก็ต้องประชุมกัน ประชุมกระทั่งพ่อบ้าน คือ กลุ่มกำนันผู้ใหญ่บ้านประชุมหมด นี่เป็นผู้แทนราษฏรจริงๆ หาความเห็นจากท่านเหล่านั้น แล้วก็ออกไปตามศาลาวัดอีก ไปเข้าถึงประชาชน ขอความคิดขอความเห็น คุยกันแบบกันเอง ก็จะได้ความคิดความเห็นที่ถูกต้อง เป็นการไม่ขัดกับอัธยาศัยของคนไทย แล้วก็เป็นไปเพื่อความเจริญ เข้าถึงความจริงทุกอย่าง แบบนี้น่าเลียนแบบไหมประวัตศาสตร์ นี่เราพูดกันถึงแค่นี้พอทีละมัง ต่อไปนี้ก็ยังไม่เดินไปซี เดินมาชนเอานครสวรรค์ ก็เอาแค่นี้ก่อน



    (จากหนังสือ " ล่าพระอาจารย์และท่องเชียงแสน " หน้า 164-170)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...