ความก้าวหน้า....หรืออุปาทานคะ???

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย nichapam, 20 กุมภาพันธ์ 2015.

  1. nichapam

    nichapam สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +1
    คือ ดิฉันเป็นนักปฏิบัติธรรมหน้าใหม่ค่ะ....เดิมทีสวดมนต์เป็นประจำ แต่ไม่ถูกขั้นตอน...เพิ่งมาสวดมนต์ แบบถูกขั้นตอน รักษาศีล 5 อย่างจริงจัง ให้ทานเป็นนิจ นั่งสมาธิเจริญภาวนาสม่ำเสมอ เมื่อช่วง 2 เดือน ครึ่งมานี่เอง ....ปกตินั่งสมาธิก็เฉยๆ จิตนิ่งธรรมดาไม่วอกแวก...จนวันพระที่ผ่าน ตั้งใจรักษาศีล อุโบสถ 3 วัน 3 คืน ที่บ้าน....วันที่ 2 ขณะฟังเทศน์ จนหลับไป....ได้ยินเสียงคนที่บ้าน มาเปิดประตูห้องนอน ก็เลยลืมตาขึ้นมองเขา ก็เห็นเขายืนอยู่ตรงประตู มองมาที่เรา เราก็ลืมตามองเขาอยู่อย่างนั้น ไม่ได้พูดอะไรกัน แล้วเขาก็ปิดประตู....เราจึงหลับตาต่อ....สักพักใหญ่ จึงรู้สึกตัวตื่นขึ้น และคิดว่า อ้าว เราหลับไปนี่...เมื่อกี้เราคงฝัน จึงได้ถามเขาว่า เมื่อกี้ได้ไปเปิดประตูห้องไหม เขาบอกว่าเปิด...อ้าวงั้นก็ไม่ฝันสิ...ถามต่อไปว่า แล้วเราได้ลืมตามองเขาไหม เขาบอกว่าไม่ ไม่เห็นลืมตาเลย เห็นนอนนิ่งหลับสนิท....อ้าว แล้วเราเห็นเขาได้ยังไง เราเห็นเขานะ มือเขาไม่ได้ปล่อยลูกบิดด้วย ยืนอยู่สักครู่ หรือว่าคิดไปเอง หรือฝัน หรือเป็นตัวจิตที่เห็น หรืออะไร รบกวนผู้รู้ โปรดให้ปัญญาด้วยค่ะ จะได้พิจรณาตามจริง...ขอบพระคุณค่ะ
     
  2. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    มันจะมี ทั้งเห็นจริง และ เห็นหลอก

    คือ ถ้าวันนี้เราเกิดการ ปักใจเชื่อว่า เห็นจริง พอคราวหน้า แทนที่เราจะตื่นขึ้นมาดู
    เราจะ วางอารมณ์เหมือนครั้งก่อน หากเป็นบ่อยๆ จะ จดจำสภาวะการออกเห็นนั้นได้

    เราก็ วางจิตนอนต่อ แต่ ก็หมายๆว่า จะเปิดตา

    ซึ่ง แรกๆ มันก็จะให้เราเห็นจริงอีก และ สลับหลอก เพื่อให้เรา สำคัญว่า หากฝึก
    บ่อยๆ เราจะเห็นจริงได้มากขึ้น

    แต่ เชื่อไหมว่า พอถึงจังหวะกรรม เนี่ยะ เราจะนอนต่อ เห็นด้วยนะว่า ไอ้คนที่
    เข้ามาเนี่ยะ ไม่ใช่ เราก็ ห้ามมันนะ แต่ พอมาดูอีกที ตัวจริงเละเทะไปแล้ว !!

    ดังนั้น

    เวลาฝึก อย่าฝึกธรรมที่ตกข้างประมาท จะต้อง เน้น สัมปชัญญะ รู้กายรู้ใจ
    ตามความเป็นจริง ด้วยภูมิจิตปรกติ ดีที่สุด ไม่ประมาท มี สติ สมบูรณ์ จะ
    กันได้ทุกอย่าง

    แต่ถ้าต้องการนอน จริง เพราะเหนื่อย

    พระพุทธองค์แนะว่า " หากร่างกายนอน ให้วางจิตว่าเรายืนอยู่ " เอาไว้

    หากเอาไปลองดู เวลาใครเข้าห้องมา เรา จะยืนอัตโนมัติ เหมือนคนไม่ได้หลับ

    เอาไปพิสูจน์ ดู เรียกว่า " ไม่ติดการนอน " ....เป็น ความก้าวหน้าทางธรรม ที่เป็นประโยชน์จริง
     
  3. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    เคยเป็นตอนที่ง่วงมากหลับไปไม่รู้ตัว อยู่หน้าคอมแต่ความจริงตัวเองฟุบหลับ

    ไปตอนไหนไม่รู้ แต่ยังคิดว่าตัวเองดูคอมพิวเตอร์อยู่ มีคนเปิดประตูมาเรียกให้ไปนอน

    หันไปมอง เห็นคนในบ้านใส่เสื้อสีนั้นสี้นี้ แบบนี้ ชุดแบบนี้ ทั้งที่เราไม่รู้ว่าเค้าใส่

    ชุดไหน ภาพมันตัดแว๊บเราหมอบหลับคาคอมพิวเตอร์ ลืมตามาแบบ งง อ้าวหลับ

    ไปตอนไหน มองไปที่คนเปิดประตูมาเรียก อ้าวใส่เสื้อแบบที่เราเห็นเมื่อกี้เลย

    ชุดเดียวกัน เค้าบอกว่าเราหลับอยู่เลยมาเรียกให้ไปนอน แต่ที่เราเห็นนั้นเป็นความจริง

    เล่าไปยังสับสน น่ามาจากจิตมีสมาธิดูจับจ้องที่คอมพิวเตอร์แต่สังขารไม่ไหวร่วง

    ไปโดยไม่รู้ตัว แต่จิตยังทรงอยู่ เหมือนถอดจิตเองครับไม่มีไรมาก

    เวลาเราไม่ได้พักผ่อนนานๆๆ เวลาจะตื่นปั๊บเลยบางทียังเห็นตัวเองนอนอยู่เลย

    ต้องเอาตัวลงไปแนบร่างเดิมแล้วค่อยลุกใหม่
     
  4. แอ๊บแบ้ว

    แอ๊บแบ้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,335
    ค่าพลัง:
    +2,544
    <TABLE id=post1386 class=tborder cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0> <TBODY> <TR vAlign=top> <TD class=alt2 style="BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid" width=175> chingchamp <SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1386", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Sep 2008
    ข้อความ: 793
    Groans: 2
    Groaned at 1 Time in 1 Post
    ได้ให้อนุโมทนา: 27,256
    ได้รับอนุโมทนา 9,116 ครั้ง ใน 778 โพส
    พลังการให้คะแนน: 191 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG]

    </TD> <TD id=td_post_1386 class=alt1 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid">
    [​IMG]
    ๖. ปลูกต้นธรรม

    ครั้งหนึ่งหลวงพ่อเคยเปรียบการปฏิบัติธรรมเหมือนการปลูกต้นไม้

    ท่านว่า... ปฏิบัตินี้มันยาก ต้องคอยบำรุงดูแลรักษาเหมือนกับเราปลูกต้นไม้

    ศีล.......คือ ดิน
    สมาธิ....คือ ลำต้น
    ปัญญา...คือ ดอก ผล

    ออกดอกเมื่อใดก็มีกลิ่นหอมไปทั่ว การปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน ผู้รักการปฏิบัติต้องคอยหมั่นรดน้ำพรวนดินระวังรักษาต้นธรรม ให้ผลิดอก ออกใบ มีผลน่ารับประทาน

    ต้องคอยระวัง ตัวหนอน คือ โลภ โกรธ หลง มิให้มากัดกินต้นธรรมได้


    อย่างนี้...จึงจะได้ชื่อว่าผู้รักธรรม รักการปฏิบัติจริง


    ๗. วัดผลการปฏิบัติด้วยสิ่งใด?

    มีผู้ปฏิบัติหลายคน ปฏิบัติไปนานเข้าชักเขว ไม่ชัดเจนว่าตนปฏิบัติไปทำไม หรือปฏิบัติไปเพื่ออะไร ดังครั้งหนึ่ง เคยมีลูกศิษย์กราบเรียนถามหลวงพ่อท่านว่า

    "ภาวนามาก็นานพอสมควรแล้ว รู้สึกว่ายังไม่ได้รู้ได้เห็นสิ่งต่างๆ มีนิมิตภายนอก แสดงสีต่าง เป็นต้น ดังที่ผู้อื่นเขารู้เห็นกันเลย"

    หลวงพ่อท่านย้อนถาม สั้นๆ ว่า

    "ปฏิบัติแล้ว โกรธ โลภ หลง ของแกลดน้อยลงหรือเปล่าล่ะ ถ้าลดลง ข้าว่าแกใช้ได้"


    ๘. เทวทูต ๔

    ธรรมะที่หลวงพ่อยกมาสั่งสอนศิษย์เป็นประจำ มีอยู่เรื่องหนึ่ง คือ เทวทูต ๔ ที่เจ้าชายสิทธัตถะพบก่อนบรรพชา คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ

    ความหมายของคำว่าเทวทูต ๔ หลวงพ่อท่านหมายถึง ผู้มาเตือน เพื่อให้ระลึกถึงความไม่ประมาท ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรคิด แต่คนส่วนใหญ่มักมองข้าม

    หลวงพ่อปรารภอยู่เสมอว่า แก่ เจ็บ ตาย เน้อ..หมั่นทำเข้าไว้ มีความหมายโดยนัยว่า เมื่อเราเกิดมาแล้ว เราก็ย่อมก้าวเข้าสู่ความชราความแก่เฒ่าอยู่ตลอดเวลา มีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดาและเราจักต้องตายเหมือนกันทุกคน

    การเห็นสมณะหรือนักบวช จึงเป็นนิมิตหมายที่ดีที่จะชักจูงให้เราก้าวล่วงความพ้นทุกข์ได้ในที่สุด โดย "ผู้มาเตือน" ทั้ง ๔ นี่เอง


    ๙. อารมณ์อัพยากฤต

    เคยมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งได้กราบเรียนถามหลวงพ่อว่า อารมณ์อัพยากฤตไม่จำเป็นต้องมีได้เฉพาะพระอรหันต์ ใช่หรือไม่?

    ท่านตอบว่า "ใช่ แต่อารมณ์อัพยากฤตของพระอรหันต์ท่านทรงตลอดเวลา ไม่เหมือนปุถุชนที่มีเป็นครั้งคราวเท่านั้น"

    ท่านอุปมาอารมณ์ให้ฟังว่า เปรียบเสมือนคนไปยืนที่ตรงทางสองแพร่ง ทางหนึ่งไปทางดี (กุศล) อีกทางหนึ่งไปในทางที่ไม่ดี (อกุศล) ท่านว่า อัพยากฤตมี 3 ระดับคือ

    - ระดับหยาบ คือ อารมณ์ปุถุชนที่เฉยๆ ไม่คิดดี ไม่คิดชั่ว ซึ่งมีเป็นครั้งคราวเท่านั้น

    - ระดับกลาง มีในผู้ปฏิบัติสมาธิ มีสติ มีความสงบของจิต วางอารมณ์จากสิ่งที่ดีที่ชั่ว ดังที่เรียกว่า อุเบกขารมณ์

    - ระดับละเอียด คือ อารมณ์ของพระอรหันต์ ซึ่งไม่มีทั้งอารมณ์ที่คิดปรุงไปในทางดี หรือในทางไม่ดี วางอารมณ์อยู่ได้ตลอดเวลา เป็นวิหารธรรมของท่าน



    ๑๐. ตรี โท เอก


    [​IMG]

    ครั้งหนึ่ง ผู้เขียนจะจัดทำบุญเพื่อเป็นกตัญญูกตเวทิตาธรรมน้อมถวายแด่หลวงพ่อเกษม เขมโก เนื่องในโอกาสที่หลวงพ่อท่านมีอายุครบ ๗๔ พรรษา เมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๘

    ผู้เขียนได้เรียนถามหลวงพ่อว่า

    "การทำบุญอย่างไร จึงจะดีที่สุด"

    หลวงพ่อท่านได้เมตตาตอบว่า

    "ของดีนั้นอยู่ที่เรา ของดีนั้นอยู่ที่จิต จิตมี 3 ชั้น ตรี โท เอก ถ้าตรีก็ต่ำหน่อย โทก็ปานกลาง เอกนี่อย่างอุกฤษฏ์

    มันไม่มีอะไร...ก็ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตัวอนัตตานี่แหละเป็นตัวเอก ไล่ไปไล่มา ให้มันเห็นสังขารร่างกายเรา ตายแน่ๆ คนเราหนีตายไปไม่พ้น ตายน้อย ตายใหญ่

    ตายใหญ่ก็ตายหมด ตายน้อยก็หลับ ไปตรองดูให้ดีเถอะ..."
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    ก้ดีแล้ว ขอให้ตั้งใจปฏิบัติแบบเดิมต่อไปครับ ประสบการณ์อันนี้มันเป็นเรื่องเฉพาะตัวของใครของมัน เวลาที่ศีลเราเคร่งๆ และทำบุญบ่อยครั้ง ย่อมส่งผลไปถึง วิญญาณดวงอื่นๆและจะมีประสบการณ์แปลกๆอะไรแบบนี้ด้วย

    ลืมบอกว่า ถ้ายังจำเขาได้ ให้จขกท. อุทิศบุญไปให้เขาด้วย ก้คงจะดีมากทีเดียวเลย
     
  6. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ อาการ "เห็นเหตุการณ์ หรือ เป็นตัวเป็น ๆ ในเหตุการณ์" ที่ถูกต้อง "ตรงกับสถานการณ์ ที่มีอยู่จริง เป็นอยู่จริง" โดยที่ไม่ได้ "อยู่กับร่างกายปกติ (กายเนื้อ)" นั้น เป็นการแสดงธรรมชนิดหนึ่ง ที่มีอยู่แล้ว เป็นอยู่แล้ว ตามความเป็นจริงของตัวเราเอง สภาวะธรรมตรงนี้เป็นเรื่องของ "กายในกาย" ซึ่ง "กายที่เรา เป็น อยู่ในขณะนั้น" เป็นผู้เห็น หรือ เป็นตน ในสถานการณ์นั้น ๆ

    +++ อาการที่เกิดขึ้นแบบนี้ "ข้อปฏิบัติที่ดีที่สุด คือ การเช็คและตรวจสอบเหตุการณ์ กับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่เกิดนั้น ๆ" ว่าทุกอย่าง "ตรงกับ ความเป็นจริง หรือไม่"

    +++ การเช็คและตรวจสอบเหตุการณ์ ทั้งของคุณ nichapam และคุณ mummamman ถือว่า "ถูกต้องแล้ว" เพราะการเช็คและตรวจสอบโดย "ไม่ปล่อยกาลเวลาให้ล่วงเลยไป" นั้นเป็นการ "ตัดความงมงายออกไป จากทั้งฝ่าย ความเชื่อ และ ความฟุ้งซ่าน ทั้งคู่" สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือ "ทางสายกลาง ที่ไม่ใช่ทั้ง ความเชื่องมงาย และ ความฟุ้งซ่านอุตลุดวุ่นวาย" สิ่งนั้นคือ "ความเป็นจริง หรือ สัจจธรรม" นั่นเอง

    +++ อาการที่เกิดขึ้นของคุณทั้งสอง ยืนยันสถานการณ์ชนิดหนึ่งออกมาว่า "กาย คือ สิ่งที่ ตน เป็นอยู่ ในขณะจิตนั้น ๆ" และสามารถ "ยืนยันสถานการณ์ได้อีกว่า ในขณะที่ ไม่มีกายของเนื้อมนุษย์ ความเป็น ตัวตน ก็ยังมีอยู่ และ ตรงนี้ไม่ได้ตาย" ยังมีความ เป็น เหมือนกับกายมนุษย์ทุกประการ ดังนั้น "ความตายที่แท้จริง ไม่มี" แต่สิ่งที่มีและสืบเนื่องออกไปจากตรงนี้คือ "กฏแห่งกรรม" เท่านั้น

    +++ เมื่อวิวัฒนาการทางจิตมาถึง "กฏแห่งกรรม และ วิบาก (ผลลัพธ์ของกรรมทางจิต)" แล้ว ไม่นานก็จะวิวัฒนาการต่อออกไปอีกช่วงหนึ่งคือ "หาทางออกจากกฏแห่งกรรมไปเรื่อย ๆ" จนกว่าจะถึงสภาวะที่เรียกว่า "อมตะธรรม" คือ พ้นจากความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่างแท้จริงตรงตามที่ "พระพุทธเจ้้า" ทรงค้นพบ และ นำมาบอกเล่า "วิธีการปฏิบัติธรรม" ที่ระบุไว้ว่า "เอกา (เดี่ยว อันเดียว) ยานะ (ยานพาหะ) มัคโค (หนทาง)" หรือ "มหาสติปัฏฐาน 4" นั่นเอง

    +++ หากมีความสนใจที่จะ "ค้นคว้าในทางด้านการปฏิบัติธรรม" ด้วยวิถีทางที่เดินตามหลัก "เอกายนะมัคโค" (ทางสายเดียวเท่านั้น) ที่ทุกขั้นตอน สามารถ "ตรวจสอบ ประเมินผล" ได้ด้วยตนเองแล้ว ก็ลองเข้ามาสำรวจวิธีการปฏิบัติได้ในลิ้งค์ข้างล่างนี้ นะครับ

    ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย
     

แชร์หน้านี้

Loading...