ร่วมทำบุญบูชา ทิพย์โอสถ"ตัวชุบบุญฤทธิ์"ชุบลาภพระเจ้าเบิกหัตถ์(ฤทธิ์ทางใจเต็มกำลังครู) พ่ออาจารย์พล

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย คุรุปาละ, 12 ตุลาคม 2014.

  1. wewaraya

    wewaraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    2,210
    ค่าพลัง:
    +327
    ผมนี่แหละ อีกคนที่โดนปล้ำ มิน่าล่ะ สาวๆไม่ค่อยมาเลย แต่เงินทองนี่สุดๆ
     
  2. chromosome x

    chromosome x เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    327
    ค่าพลัง:
    +1,512


    สวัสดีครับ
    ไม่ทราบว่ายังมีให้บูชาอยู่หรือเปล่าครับ ถ้ายังมีอยู่ขอจอง 1 องค์ครับ

    ขอบคุณครับ
     
  3. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,124
    ค่าพลัง:
    +16,533
    ปัญญา

    วันตรุษจีนนี้ก็เป็นเช้าดีๆ เช้าวันนี้ก็จะนำ ธรรมมะเเละเเง่คิดเตือนใจที่พ่ออาจารย์ได้สั่งสอนไว้มานำเสนอต่อไปเช่นเคย สำหรับวันนี้ จะพูดกันต่อไปในเรื่องของ ปัญญา

    ปัญญาประดุจดั่งอาวุธ ปัญญานั้นเป็นสิ่งประเสริฐ เพราะช่วยให้บุคคลตั้งหลายล่วงผ่านความวุ่นวายสับสนได้ ประดุจกับแสงสว่างที่ใช้ทำลายความมืด ฉันใดก็ฉันนั้น

    เราจะเปรียบเทียบง่ายๆ ที่โบราณจารย์ท่านเปรียบปัญญาไว้กับอาวุธนั้นไม่ผิดเลย ข้อนี้จำให้ขึ้นใจ พวกเรามีอาวุธชั้นดีติดตัวกันทุกคนไม่ต้องไปวิ่งหาที่ไหน อยู่ที่การใช้การลับคมให้พร้อมใช้เสมอเท่านั้นที่เราต้องปฏิบัติด้วยตัวเอง

    ขึ้นชื่อว่าอาวุธใดๆในโลก ล้วนเป็นเหตุให้นำไปสู่ทุกข์คติ แต่ปัญญานั้นเป็นเครื่องทำลายกิเลส เป็นเครื่องนำพาเราไปสู่สุขคติได้ การใช้ปัญญานั้นใช้ได้ในหลายเเง่หลายทาง ใช้ทำลายผู้อื่นก็ได้ ใช้สร้างประโยชน์ให้แก่ชนหมู่มากก็ได้ เพราะปัญญาเปรียบดุจอาวุธคู่มือของเรานั่นเอง ดังนั้นปัญญาจึงเป็นสิ่งที่ควบคู่กันไปกับธรรมมะ จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้ เพราะธรรมมะนี้ จะช่วยควบคุมสติ ความระลึกผิดชอบ ทำให้ใช้ปัญญาไปได้ในทางที่ถูกที่ควร

    ทั้งสองสิ่งนี้เมื่อรวมกันคือปัญญาและธรรมมะ ล้วนเป็นสิ่งประเสริฐใช้ขัดเกลากิเลสในเบื้องต้น ท่ามกลางและในที่สุดเปลี่ยนจากคนธรรมดาให้กลายเป็นพระอรหันต์ได้ ดังนั้นผู้ใดที่ได้ชื่อว่าถือครองอาวุธวิเศษไว้กับตัวเเล้ว จึงควรหมั่นใช้งานหมั่นรักษาให้ดี

    การจะรักษาอาวุธชั้นเลิศนี้ ก็มีเครื่องมือในการช่วยรักษาอีก นั่นคือสิกขา 3 หรือไตรสิกขา ได้แก่ศีล สมาธิ ปัญญานั่นเอง นี่ถ้ารักษาศีล มีสมาธิควบคู่ไปกับการใช้ปัญญาด้วย เรียกได้ว่าเป็นจุดศูนย์รวมยอดของอาวุธเลยนะ

    ชนใดก็ตามมีความเร่าร้อน มีโทสะแรงกล้า รู้สึกหงุดหงิดรำคาญสิ่งต่างๆที่มีอยู่โดยแวดล้อมรอบๆตัว แบบนี้ก็มีทุกขเวทนานะ เปรียบเสมือนโดนไฟกิเลสเผาตัวเองอยู่

    ที่จริงแล้วทุกขเวทนานี้ มันไม่ได้เกิดจากสิ่งใดๆเลย หากแต่มันเกิดขึ้นจากจิตใจเราเอง จิตใจของเราเป็นตัวก่อทุกข์ก่อกิเลสขึ้นมามากมาย จึงควรอย่างยิ่งที่จะใช้ธรรมมะเเละปัญญหาอันเป็นยอดศาสตราวุธมาค่อยๆชำระล้าง พิจารณาหาเหตุ หาสิ่งทีทำให้เกิดเหตุ หาจุดสิ้นสุด หาหนทางอันจะไปสู่จุดสิ้นสุด

    ปัญญานั้นเปรียบดุจดังอาวุธที่ใช้คุ้มครองรักษาใจของเราทั้งหลายไม่ให้ ตัณหาทั้งสาม ตลอดจนกิเลสทุกชนิด ล่วงเลยมาย่ำยีเเละส่งผลต่อจิตใจเราได้ นี่เห็นมั๊ย ประโยชน์ของตัวปัญญา เรียกได้ว่าโลกคงปราศจากพระอรหันต์และมีเเต่เรื่องวุ่นวายโดยแท้ หากไม่มีการจัดระบบปัญญาและรู้จักใช้งานให้เกิดผลดีสูงสุด

    สิ่งแวดล้อมอันจะกระทบเข้ามาทั้งหลายั้น ได้แก่รูป รส กลิ่น เสียง ผัสสะ มันสอดคล้องกับใจของเรา เพราะธรรมดาเเล้วใจมนุษย์ที่ปราศจากธรรมมะนั้นจะเต็มเปี่ยมไปด้วยกิเลสตัณหา ความปรารถนา ทะเยอทะยาน อยากได้ อยากมี อยากเป็น อันนี้ไม่ดี อันนั้นไม่ได้ เมื่อใจของเราเต็มเปี่ยมไปด้วยความอยากขนาดนั้น จึงตอบรับฉับพลันทันทีกับกิเลสเเละอารมณ์ต่างๆ

    ปัญญานั้นคือความคิดอ่านรู้ให้เท่าทัน รู้จากใช้สติพิจารณาเหตุการณ์ทั้งหลาย รู้คิดรู้กระทำ สิ่งนี้จะเป็นเครื่องป้องกันตัณหาสาม และอารมณ์รักหลงทั้งหลายได้ดีที่สุด เพราะสิ่งต่างๆเหล่านี้คือที่มาของกองทุกข์

    รูป รส กลิ่น เสียง ผัสสะ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา สิ่งๆต่างๆเหล่านี้ หากหลงเพลิดเพลินไปกับมันย่อมเรียกได้ว่า คนเหล่านั้นเสพย์ติดความสุข แต่เป็นความสุขที่ฉาบฉวย สิ่งเหล่านี้ปราชญ์และวิญญูชนทั้งหลายย่อมจะเล็งเห็นว่ามันเป็นกองทุกข์ หาได้เป็นความสุขไม่ เพราะสุขที่แท้คือสุขที่จีรังยั่งยืน ไม่ใช่อารมณ์ปรุงแต่งชั่ววูบชั่วคราวเช่นนี้

    เมื่อรู้กันเช่นนี้เเล้ว ก็ควรพิจารณาเอาตัวเองออกให้พ้นจากกองทุกข์ทั้งหลายเสีย ด้วยปัญญาอันจะชักนำให้เราไปถึงความสุขที่แท้จริง สุขอันประณีตหรือบรมสุข จะได้ไม่ยึดติดกับสุขที่ฉาบฉวยเเละไม่จีรังยั่งยืนไปตลอดกาล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2015
  4. call13

    call13 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +2,966
    เหรียญหล่อเพชรฆาตฤกษ์รัศมีพรหมซุ้มระฆัง(เทวดาเล่นด้วย) ร่วมทำบุญบูชา เหรียญละ 1,000 บาท

    หากมีอยู่ขอจองเพิ่ม 2 เหรียญ ครับ
     
  5. runkey

    runkey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,114
    ค่าพลัง:
    +1,876
    สวัสดีครับคุณกรณ์ วันนี้เวลา 13.37 ผมได้โอนเงินค่าเช่าบูชา เหรียญหล่อเพชรฆาตฤกษ์รัศมีพรหมซุ้มระฆัง(เทวดาเล่นด้วย) เข้าบัญชี น.ส.กัญพร แซ่ตั้ง จำนวน 1,000 บาท และเข้าบัญชี นายสมนึก ทิพย์ชัย จำนวน 100 บาทครับ (เวลา 13.39 น.) ที่อยู่ในการจัดส่ง pm ไปแจ้งครับ ขอบคุณครับ
     
  6. chromosome x

    chromosome x เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    327
    ค่าพลัง:
    +1,512
    ขออนุญาตโอนสิ้นเดือนนี้นะครับ

    ขอบคุณครับ
     
  7. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,124
    ค่าพลัง:
    +16,533
    นิพพาน

    เช้าวันนี้ก็จะนำ ธรรมมะเเละเเง่คิดเตือนใจที่พ่ออาจารย์ได้สั่งสอนไว้มานำเสนอต่อไปเช่นเคย สำหรับวันนี้ จะพูดกันต่อไปในเรื่องของนิพพาน

    หลายๆคนเคยถามเราว่านิพพานเป็นสิ่งที่เข้าใจยาก จะไปถึงนิพพานได้อย่างไร ทำไมยากลำบากเหลือเกิน นั่งสมาธิก็ไม่เกิดพัฒนาทางจิตอะไรเลย

    ก็จะไม่ให้ไปถึงยากได้เสียอย่างไร ในเมื่อคำพูดของท่านทั้งหลายยังแฝงด้วยอารมณ์และความรู้สึกมากมายถึงปานนั้น

    การนั่งสมาธิการทำกรรมฐานเราทำเพื่ออะไร เพื่อปรารถนาคุณวิเศษ เพื่อปรารถนาความเป็นอริยบุคคลเช่นนี้หรือ เพียงแค่จุดประสงค์ก็ผิดไปมากแล้ว การทำกรรมฐานนั้นไม่ใช่เพื่อจะละวางปล่อยวางตัวตนของท่านทั้งหลายให้มันหายไปสิ้นไปแบบนั้นหรือ

    การนั่งภาวนานี้คือการทำให้เรารู้แจ้งเห็นชัด ปล่อยวางสิ่งที่ใจยึดหน่วงเกาะติด เพราะสิ่งเหล่านั้นมันทำให้เราไม่แจ้งไม่รู้ตามความเป็นจริง เมื่อใจของเรารู้แจ้งมันก็จะปล่อยวางของมันเอง ปล่อยลงเฉยๆแบบนั้น แม้จะไม่ตั้งใจไม่ปรารถนา จิตมันก็จะพาไปของมันเองโดยการปล่อยวางตัวเอง

    นี่พูดถึงเรื่องการทำกรรมฐานเพื่อให้ปล่อยวางก่อนนะ สำคัญเลยที่ต้องพูด เพราะบุคคลที่ปล่อยวางนั้นจะเห็นหนทางเดินสู่แดนนิพพานได้ชัดเจนมากขึ้นและง่ายขึ้น หากชีวิตท่านทั้งหลายยังมีห่วง มีอารมณ์ ความรู้สึก เช่นอารมณ์ดีใจ พอใจ เสียใจ ปลื้มปิติ หัวเราะ ร้องไห้ รัก หลง คำนึงถึงบาปบุญดีเลว เช่นนี้ทางแห่งนิพพานนั้นก็ยังได้ชื่อว่าอยู่ห่างไกลอีกมาก

    ที่ต้องรู้ทำกรรมฐานให้ปล่อยวางแล้วจะเห็นหนทางไปนิพพานก็เพราะเหตุนั้น เราลองมองดูผลการปฏิบัติของเราดูสิ ว่าเราอยู่ห่างไกลแค่ไหน หรือว่ามาถูกทางแล้วใกล้เข้ามาเรื่อยๆเเล้ว

    สรรพสิ่งที่เรามองเห็น แม้กระทั่งชีวิต เนื้อหนัง ลมหายใจของเรา ของสรรพชีวิตทั้งหลายร่วมพิภพนั้น ล้วนเป็นสิ่งสมมติทั้งสิ้น เพราะจิตเราไปผูกพันธ์ สร้างสัญญาความจำได้หมายรู้ กับสรรพสิ่งสมมติมากมาย จึงเป็นเหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิดมิรู้จบรู้ดับ ต้องเวียนว่ายอยู่ในเรื่องสมมตินั้น อยู่ในรูปสมมตินั้น เปลี่ยนผันผ่านไปนับกาลเวลา นับพิภพต่างๆไม่ถ้วน ถ้าจะเทียบกับอายุของสรรพชีวิต ดวงจิตทั้งหลายนั้นก็ผ่านการเคี่ยวกรำมาโชกโชนยาวนานหนักหนาแล้ว เรารู้สึกตัวเองกันหรือยัง หรือยังพอใจที่จะเพลิดเพลินไปในโลกสมมตินี้อีกนับภพนับกาลไม่ถ้วน จะเป็นมนุษย์ อมนุษย์ หรือเดรัจฉาน สัตว์นรก นี่ทุกคนล้วนเคยเกิดเป็นกันมาหมดแล้ว ไม่มียกเว้นซักคนซักผู้หนึ่ง

    เพียงแค่เรารู้จักละวาง ซึ่งมันต้องเริ่มจากการทำอารมณ์ปล่อยวางเป็นพื้นฐาน ฝึกให้เป็นนิสัย เห็นมั๊ยว่าเราก็พ้นจากเรื่องสมมติทั้งหลาย สู่แดนวิมุติ บริบูรณ์ด้วยความสงบ ปราชญ์ทั้งหลายจึงสรรเสริญความสุขชนิดหนึ่งว่าเป็นบรมสุข นั่นคือสุขบริสุทธิ์อันเกิดแต่ความสงบ แดนนิพพานก็เป็นแดนสงบปราศจากอารมณ์ปรุงแต่งใดๆ

    ท่านทั้งหลายจงเร่งฝึกฝนตนเองให้ปล่อยวาง ละลง ทีละน้อย ทีละน้อย ให้จิตของพวกท่านนั้น พ้นจากเรื่องสมมติทั้งหลาย เราทำได้เพียงแค่พูดแค่เตือน ให้ธรรมมะให้สติ จะฉุกคิดได้หรือไม่คงต้องประกอบกับการพิจารณาและวาสนาเก่าของเเต่ละท่าน

    หากยังมีอคติกันอยู่ ว่าผมต้องทำงาน ไม่มีเวลา ต้องทำแบบนั้นแบบนีัทุกวัน จะเอาเวลาไหนมาฝึกตน ท่านทั้งหลาย การภาวนานี้ มันไม่ใช่เรื่องลำบาก เเต่มันเป็นเรื่องของการยกตนให้พ้นจากความเป็นทาสของกิเลสตัณหาทั้งหลาย จะใช้เหตุผลใดๆมากล่าวอ้างนั้นเป็นเรื่องไม่สมควรเลย เพราะเรากำลังหาเหตุผล เพื่อเป็นทางออกให้ตัวเอง พูดเพียงเพื่อทำให้ตัวเองดูดี ดูมีภาระเพียงเท่านั้น

    นี่นะท่านทั้งหลาย แม้ในยามกินข้าว แม้เวลาปลดทุกข์ในห้องน้ำ หรือว่าเวลานอน จะทำอะไรก็แล้วแต้แม่กระทั่งทำงาน ท่านทั้งหลายก็ถืออารมณ์ภาวนาไปได้ด้วยตลอด ไม่ได้ทำให้เสียงานเสียเวลาแต่อย่างใดเลย

    รู้ให้เท่าทันความทุกข์ รู้ให้เท่าทันความทุกข์อันเกิดเเต่สิ่งสมมติทั้งหลาย ในร่างกายเรา รูปนามเราก็เป็นสิ่งสมมติ สิ่งแวดล้อมทั้งหลาย สรรพชีวิตทั้งหลายล้วนเป็นเรื่องสมมติทั้งสิ้น รู้ให้เท่าทันทุกข์ให้เห็นทุกข์ในสิ่งเหล่านั้น แล้วปล่อยวาง วางให้โล่งให้เบา อย่าถือเอามันไว้อีกเพราะเรื่องนี้มันหนักนัก เมื่อเรารู้อารมณ์แล้วว่าวางเฉยเป็นอย่างไร ปล่อยวางทำเช่นไร ก็ให้ถือเอาอารมณ์นั้นมาพิจารณาอีกทำให้ชินให้ติดตัวให้ปฏิบัติได้ตลอดเวลาจนเป็นนิสัย ท่านทั้งหลายก็จะเห็นทางออกไปสู่นิพพานด้วยตัวท่านเอง เรื่องนิพพานก็คงจะไม่ใช่เรื่องเล่า หรือได้ยินได้ฟังคนอื่นเขาพูดเขาอธิบาย เพราะท่านนั้นได้ลงไปเดินสู่หนทางไปนิพพานแล้ว ท่านทั้งหลายกำลังทำพระนิพพานให้แจ้งด้วยตัวท่านเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กุมภาพันธ์ 2015
  8. weerachai_12@ho

    weerachai_12@ho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +1,022
    สาธุ ไม่ยากอย่างที่คิด ถ้าลงมือทำ เดินไม่หยุดย่อมถึงที่หมาย อย่าหยุดเดิน อย่าเดินหลงทางหรือผิดทาง เดินตามรอยบาทพระพุทธองค์และครูบาอาจาร์ยที่ท่านชี้นำทางไว้ให้ ทำปฏิบัติด้วยตนเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง
    นิพพานังปรมังสุขขัง
     
  9. audchukiat

    audchukiat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    294
    ค่าพลัง:
    +665

    เหรียญหล่อเศียรครูองค์พระสยมภูวญาณ(บล๊อคอวตาร)......เนื้อธาตุกายสิทธิ์ ไม่ได้อุดว่านยานิลกาฬ ใช่มั้ยครับ คุณกรณ์
     
  10. chaiwatana

    chaiwatana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +279
    จอง 1 เหรีียญพระสยม อุดว่านนิลฯ
     
  11. ยอดกตัญญู

    ยอดกตัญญู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +329
    จองธาตุกายสิทธิ์ครับ
     
  12. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,124
    ค่าพลัง:
    +16,533

    อุดครับ แต่องค์ที่พ่ออาจารย์ท่านใช้ของท่านท่านไม่ได้อุด
     
  13. ภควา

    ภควา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +14
    จองพระสยมภูวญาณเนื้อชินตะกั่วอุดว่านยานิลกาฬ 1 เหรียญครับ
     
  14. chromosome x

    chromosome x เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    327
    ค่าพลัง:
    +1,512

    สวัสดีครับ
    รบกวนคุณคุรุปาละช่วยส่งพระให้ผมวันที่ 23 ก.พ. 58 นี้ด้วยนะครับ
    ส่วนที่อยู่ที่จะให้จัดส่งนั้นผมจะแจ้งทาง PM นะครับ

    ขอบคุณมาก ๆ ครับ


    ปล.ส่วนค่าบูชาพระองค์อินทร์ ผมจะโอนตอนสิ้นเดือนนี้นะครับ
     
  15. ธัญญ์นิธิ

    ธัญญ์นิธิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,794
    ค่าพลัง:
    +6,030
    ขอจอง เนื้อชินตะกั่วอุดว่านยานิลกาฬ องค์ที่กรอบเอาไว้ตามรูปครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. ยอดกตัญญู

    ยอดกตัญญู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +329
    สาธุ เหรียญสวยมากครับ
     
  17. chaiwatana

    chaiwatana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +279
    ขอเปลี่ยนจากที่จองไว้เนื้อตะกั่วเปนเนื้อธาตุกายสิทธิ์ 1 เหรียญ
     
  18. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,124
    ค่าพลัง:
    +16,533
    คุยกันยามเช้า

    เมื่อวานเปิดให้บูชาเหรียญหล่อเสด็จปู่ใหญ่ไป ก็มีคำถามกันมาพอสมควร ทำไมถึงเรียกว่าพระสยมภูวญาณ ไม่เรียกพระศิวะไปเลย

    เหตุผลนี้พ่ออาจารย์ท่านกล่าวว่า เราทำให้คนไทยใช้ จึงให้เรียกชื่อไทยนั่นแหละเหมาะสมแล้ว

    หลายคนอาจจะมองข้ามเเละเข้าใจว่าท่านเป็นเสมือนพระเป็นเจ้าสูงสุดของทางฮินดู คนพุทธนำมาบูชาได้ด้วยหรือ

    ข้อนี้ต้องตอบว่าทางคติฮินดู ทางมายาศาสตร์นั้นพระศิวะคือพระเป็นเจ้าแห่งจักรวาล ทุกสิ่งที่ปรากฏในจักรวาลล้วนเป็นรูปกายท่านและอยู่ในศิวรูปของท่าน

    จึงไม่จำกัดเฉพาะชาติหรือศาสนาใดที่จะบูชา เพราะหากเปิดใจก็ย่อมเข้าถึงพระองค์ได้ไม่ยาก พุทธศาสตร์เน้นความหลุดพ้นคือนิพพาน ไศวะศาสตร์นั้นเป็นต้นกำเนิดแห่งไสยศาสตร์วิชาของเขาเเรงกว่าวิชาทางเขมรที่บ้านเรารู้จักเป็น 100 เท่า ไศวะศาสตร์นี้ให้ถือไว้เพื่อความเจริญรุ่งเรือง ปรากฏยศศักดิ์ ชื่อเสียง สืบต่อวงศ์ตระกูลถึงลูกหลาน ของสองสิ่งนี้ให้ถือไว้คู่กัน เพราะเราทุกคนต้องมีชีวิตเเละยังใช้ชีวิตอยู่ ไม่ได้ให้ถือเดรัจฉานวิชา เพราะท่านทั้งหลายเป็นมนุษย์ไม่ใช่เดรัจฉาน

    พลังงานกระแสนี้เป็นพลังธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ถ้าจะให้อธิบายก็คงต้องใช้เวลาพอสมควร พ่ออาจารย์ท่านดำริว่า อะไรใช้เเล้วเปลี่ยนชีวิต ใช้แล้วตัวเองได้ดี จำไว้เเค่นี้ ไม่ต้องไปสงสัยอะไรในสิ่งเหล่านั้น เพราะเราไม่ได้มีหน้าที่ทำ เราเพียงเเค่มีหน้าที่ใช้เท่านั้น

    ศิวรูปนี้มีความลับอะไรหลายอย่างที่ซ่อนอยู่มาก ถือเป็นรูปที่รวมศาสตร์และไสยไว้ทุกแขนง เพราะเป็นต้นกำเนิดแห่งพลังงานนั่นเอง ซึ่งส่งผลให้วัตถุมงคลมีอิทธิคุณและอิทธิวิธีใช้อย่างมากมาย ขึ้นอยู่กับการอธิษฐานจิตของผู้สร้างประกอบกับเจตนาของผู้ใช้

    พ่ออาจารย์ท่านกล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นมหาสะท้อน อันนี้ก็มี ใครคิดร้าย เเม้ในยามที่เราเผลอขาดสติ ใครคิดร้าย มุ่งร้าย ประทุษร้าย เรามีพระญาณเสด็จปู่ใหญ่อยู่กับตัวไม่ต้องไปกลัว ผลร้ายนั้นมันสะท้อนย้อนคืนเขาเป็นพันเท่า ดีๆหน่อยก็ชีวิตตกต่ำ ถ้าแย่หน่อยก็อันตรธานหายไปถึงฃั้นวินาศฉิบหาย

    แต่ทั้งนี้ทุกอย่าง มันขึ้นอยู่กับกำลังใจของคนบูชาด้วย ว่าให้ใจให้ความรู้สึกท่านเพียงใดมั่นใจท่านเเค่ไหน เพราะท่านรู้ความรู้สึกนึกคิดเรา ท่านช่วยเราได้ทุกๆเรื่อง ช่วยแม้กระทั่งเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นอยากทราบอดีตของตน เหตุแห่งการเกิดของตนแบบนี้ท่านก็พาไปดูอดีตได้ ว่าทำไมชาติภพนี้เราถึงได้เกิดมามีกรรมอะไรติดตัวเเละกำลังส่งผลกับเรา มันเป็นเช่นนี้ไงเล่า

    เราถึงบอกว่า เมื่อรับไปสิ่งที่เรามีก็คือศรัทธา สิ่งนี้จะเป็นตัวเชื่อมให้เข้าถึง แล้วหลังจากนั้นในเรื่องการใช้ ก็สุดแต่ใจของผู้ใช้นั่นแหละ โดยเฉพาะเนื้อธาตุกายสิทธิ์ อันนี้ต้องระวังหน่อย เพราะอาถรรพ์ของจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มีสูงมาก เหล็กไหลของวิเศษของกายสิทธิ์แต่ละประเภท ล้วนมีฤทธิ์มีคุณอยู่ในตัว มีจิตวิญญาณดูแลรักษาเฉพาะอย่าง ยิ่งมาอยู่ในรูปเสด็จปู่ใหญ่ ยิ่งเสริมกำลังให้มากขึ้นไปอีก ผู้ใช้จึงควรคิดแต่เรื่องที่ดีงาม

    แต่มันก็อยู่ที่ศรัทธาคำเดียว ใช้อะไรแล้วเราสบายใจ ไม่กังขาสงสัย ก็ควรใช้สิ่งนั้น เพราะต่อให้เราบอกว่าดี ตัวเจ้าไม่เชื่อว่าดี แบบนั้นจะใช้ไปเพื่ออะไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2015
  19. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,124
    ค่าพลัง:
    +16,533
    * อันนี้ลืมพิมพ์ไปจริงๆต้องขอออภัยด้วย

    ที่เห็นในรูปเป็นงู คือสร้อยพระศอของพระองค์ท่านนั้น ถือเป็นศาสตราวุธร้ายแรงชนิดหนึ่ง เมื่อพระองค์จะใช้รบ แต่สร้อยพระศอนี้ในยามปกติก็คือพญานาคราชวาสุกรี

    พญานาคราชวาสุกรีนี้ คือนาคที่พันเขามันทร ตอนเทวดากวนน้ำอำมฤตนั่นเอง เป็นราชาแห่งนาคที่มีฤทธิ์มหาศาลยิ่งนัก อยู่ในยุคต้นตระกูลของนาคดึกดำบรรพ์ที่มีฤทธิ์ร้ายแรง ทั้งยังเป็นราชาปกครองพิภพบาดาลอีกด้วย ซึ่งสุริยวงศ์ในเมืองบาดาลนั้นก็ทำการสืบต่ออำนาจจากรุ่นสู่รุ่น แต่ผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่เเละเป็นตำนานระดับต้นๆคงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคือองค์วาสุกรีนาคราชพระองค์นี้

    พญานาคราชวาสุกรีนี้ พ่ออาจารย์ท่านว่ายังมีความสับสนกันอยู่ ว่าจะเป็นนองค์เดียวกันกับพญาอนันตนาคราชหรือไม่ สิ่งนี้ท่านเองก็ไม่ได้วินิจฉัยไว้ จึงต้องขอข้ามไป หากแต่ว่าถ้าเป็นคนละองค์กัน พญาวาสุกรีนั้นก็มีฤทธิ์มากเรียกได้ว่าอยู่ในระดับเดียวกันกับพญาอนันตนาคราช หรือที่เรียกว่าเศษะนาค นาคอาสน์พระวิษณุเลยทีเดียว และยังต้องเป็นสายตระกูลมีเชื้อสายเดียวกันอีกด้วย

    เรียกได้ว่าหากพูดถึงพระศิวะ หลายๆคนคงนึกถึงงูเป็นลำดับแรก เพราะเป็นเครื่องประดับพระองค์ชิ้นเอกที่ไม่มีเทวดาพระองค์ใดกล้าเอามาใช้ แต่นั่นก็คือความเข้าใจผิดของบ้านเรา งูที่เห็นนี้ไม่ใช่งูป่างูดง แต่เป็นพญาวาสุกรีนาคราชที่ท่านนำมาทำเป็นสร้อยสังวาลย์เส้นเอกนั่นเอง

    ทำไมพระผู้เป็นเจ้าถึงได้นำพญาวาสุกรีมาทำเป็นสร้อยสังวาลย์ ผมได้ฟังพ่ออาจารย์ท่านเล่าเเล้วมันทำให้เข้าใจได้อย่างดี แต่ก้ไม่สามารถนำมาเล่าได้ เพราะสิ่งที่ท่านพูดนั้นเป็นการสื่อจิตกับพระศิวะท่านโดยตรงไม่มีข้อมูลนี้ในตำราในคัมภีร์ใดในโลก

    ท่านที่บูชาสายพญานาค หรือสายนาคราชดึกดำบรรพ์นั้น เวลาจะอธิษฐานขอพรอะไร ก็อย่าลืมนึกถึงองค์วาสุกรีนาคราชด้วย ท่านที่บูชาเหรียญหล่อนี้ไป วันดีคืนดีมีโอกาสได้พบเห็นงูฝันเห็นพญานาคก็ไม่ต้องตกใจกลัว เพราะว่าพ่ออาจารย์ท่านเชิญท่านเสกมารวมหมด

    ท่านว่าให้บอกให้เขารู้ ว่างูนี้ไม่ใช่งูเห่างูดง แต่เป็นพญาวาสุกรีนาคราชผู้เป็นเจ้าแห่งนาคบาดาลทั้ง 14 ชั้น มีอิทธิฤทธิ์สูงส่งและเป็นนาคราชที่ชอบรบพุ่งทำราชการสงคราม ปราบได้ทุกทิศไม่เคยเเพ้ให้แก่ผู้ใด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SAM_4553.JPG
      SAM_4553.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.5 MB
      เปิดดู:
      114
  20. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,124
    ค่าพลัง:
    +16,533
    กลับมาจากส่งของให้พี่ท่านหนึ่ง ที่นัดกันตรงพาต้า

    ก็มีเรื่องเล่า พอดีอยากจะถามท่านว่า ใช้เครื่องรางของพ่ออาจารย์แล้วเป็นอย่างไรบ้าง ทำไมถึงบูชาเพิ่ม ก็กำลังคิดเรียบเรียงอยู่ ท่านก็พูดว่าผมห้อยพระพิชัย คาดตะกรุดชินบัญชรแล้วเจออะไรดีๆตลอด อะไรที่ไม่ได้ก็ได้ ก็เลยลองบูชาเพิ่ม ที่บูชาไปวันนี้ก้มีตะกรุดสิทธิโชค สิทธิลาภ และสิทธิชัย ซึ่งพี่ท่านนี้บอกว่าหนักเอาเรื่อง ก็คงจะจริงเพราะรวม 3 ดอก ผมถือไปส่งยังรู้สึกหนักเลย5555

    ก็รบกวนท่านไว้ว่าให้เล่าผ่านทางพลังจิต เพราะไม่กล้าถามว่ามีโชคอะไรเจอเรื่องอะไรดีๆเพราะเราก็กลัวเสียมารยาทและก็ลืมขออนุญาติที่จะนำมาพิมพ์ด้วย ถ้าพี่ผ่านๆมาเเละเห็นก็รบกวนเล่าไว้เป็นวิทยาทานด้วย:cool:

    ผมฟังแล้วก็ชื่นใจนะyimmเวลามีคนบอกเอาพระไปห้อยเเล้วได้โชคบ้าง เจอความเปลี่ยนเเปลง เจออะไรที่ดีขึ้นบ้าง เพราะพระทุกองค์นั้นพ่ออาจารย์ท่านทำเองทุกขั้นตอน จึงกล้าพูดได้ว่าไม่เหมือนของที่อื่น ผงก็ต้องผสมเองกดเอง ไม้ก็ต้องแกะโลหะก็ต้องหล่อต้องลงมือทำเองเสกให้เเน่ใจถึงจะให้เอาของออกไปได้ไม่สุกๆดิบๆ และยุคนี้โชคลาภวาสนาก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม สำหรับตัวผมเองคิดว่า การเจอเรื่องดีๆ การมีหลักฐานมีชีวิตที่มั่นคงเป็นสิ่งสำคัญ สำคัญกว่าอารมณ์ความรู้สึกปลีกย่อยใดๆ ลองคิดเล่นๆว่า ถ้าเราหิวเเล้วเราไม่มีแม้เเต่เงินกินข้าวเราจะรู้สึกอย่างไร เพราะฉะนั้น เรื่องโชคลาภเงินทองความมั่งคั้งจึงถือว่าต้องมาก่อนเสน่ห์หรือสิ่งอื่นทั้งหมด เพราะหากเรามีครอบครัวมีลูก อันนี้ก็ยิ่งมีบ่วงเพิ่มขึ้น ในสถานการณ์ที่จะทรงๆทรุดๆ สลับกันไปๆมาๆไม่หยุดง่ายๆเช่นนี้ ก็ฝากเอาไว้ให้พิจารณากัน ได้อ่านไลน์ได้มีโอกาศพบปะพูดคุยกับผู้บูชาวัตถุมงคลไปผมมีความสุขจริงๆ ได้เล่าให้พ่ออาจารย์ท่านทราบท่านฟัง ท่านก็คงปิติเช่นกัน ทำตัวดี ทำสิ่งที่ดี ย่อมได้ดี ถ้าบูชาให้ถูกเรื่องถูกโฉลกของดีนั้นจะหนุนจะเสริมจะติดปีกให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...