สติปัฏฐานสี่ตามแนววิชชาธรรมกาย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 21 สิงหาคม 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    เห็นตัวเราในที่ศูนย์กลางกาย ?

    
    ดวงนิมิตในศูนย์กลางกายยังไม่ใส แต่เห็นตัวเราในนิมิตศูนย์กลางกาย จะปฏิบัติอย่างไร ? และนิมิตตัวเราให้เห็นชัดขึ้น เจริญขึ้นอย่างไรบ้าง ?

    -------------------------------------

    ตอบ:


    ที่เห็นนิมิตยังไม่ใส ควรปฏิบัติเช่นนี้

    1. หากใจยังไม่หยุดนิ่งตรงศูนย์กลางนิมิตนั้น ให้หยุดนิ่ง กริ๊กลงไป ให้นึกในใจ หยุดในหยุด กลางของหยุด กลางของกลาง นิดเดียว พอใจหยุดนิ่งถูกส่วน จะใสขึ้นมาทันที นี่ข้อที่หนึ่ง

    2. เมื่อศูนย์กลางขยายออก ใสพอสมควร ก็จะเห็นกายมนุษย์ละเอียด กายมนุษย์ละเอียด ถึงแม้จะยังเห็นไม่ใสก็ไม่เป็นไร มีอุบายวิธีทำอย่างนี้ ละอุปาทาน ละความรู้สึกที่เนื่องด้วยกายมนุษย์หยาบ ไม่สนใจ ดับหยาบไปหาละเอียด เป็นกายมนุษย์ละเอียดนั้น แม้เห็นไม่ชัด แม้เห็นลางๆ ก็ทำความรู้สึกว่าเป็นกายละเอียดนั้น ใจจะละจากอุปาทานในกายหยาบ เข้าไปเป็นเวทนา จิต ธรรมของกายละเอียด เมื่อใจกำหนดหยุดนิ่งไปที่ศูนย์กลางกาย ก็จะเห็นดวงธรรมใสสว่างขึ้น กลางของกลาง หยุดในหยุด กลางของหยุด ให้ใสสว่างขึ้น จะใสสว่างทั้งดวงและทั้งกาย และองค์ฌานแล้วใจก็ หยุดในหยุดเรื่อยไป ดับหยาบไปหาละเอียด หยุดนิ่ง ศูนย์กลางขยายว่างออกไป กายละเอียดอื่นๆ ก็จะปรากฏขึ้นมาใหม่ ให้จำไว้เลย ดับหยาบไปหาละเอียด ทำความรู้สึกเป็นกายละเอียดต่อๆ ไป หยุดในหยุด กลางของกลาง ให้ใสสว่างทั้งดวงทั้งกาย และองค์ฌาน

    เราจะเข้าถึงกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม ที่ผ่องใส สวยงามโตใหญ่ขึ้นกว่าเดิมไปตามลำดับจนถึงธรรมกาย แต่ว่าดวงธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ และเห็น จำ คิด รู้ คือใจ ของแต่ละกายในภพ 3 นั้น เนื่องจากยังมีอวิชชานุสัย หุ้ม “ดวงรู้” กามราคานุสัยหุ้ม ” ดวงคิด” ปฏิฆานุสัยหุ้ม “ดวงเห็น” อยู่ เพราะฉะนั้น ดวง เห็น จำ คิด รู้ ที่ตั้งอยู่ตรงกลางของกลางดวงธรรมนั้น จึงยังไม่เบิกบาน คือ ยังไม่ขยายโตเต็มกาย แต่ว่าขยายโตขึ้นในระดับหนึ่ง เช่นของกายมนุษย์จะประมาณฟองไข่แดงของไข่ไก่เท่านี้ สำหรับผู้ที่จะสามารถเจริญกัมมัฏฐานได้ แต่ถ้าใครเห็นดวงเล็กขนาดนิดเดียว เท่าดวงดาว คนนั้นชาตินี้เจริญกัมมัฏฐานสำเร็จได้ยาก บางท่านเห็นดวงโต อย่างโตเท่าดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ขึ้นอยู่ที่บุญบารมีของแต่ละท่านที่บำเพ็ญมาแล้วไม่เหมือนกัน ของกายทิพย์เป็น สองเท่าของกายมนุษย์ ของกายรูปพรหมเป็นสองเท่าของกายทิพย์ ของกายอรูปพรหมเป็นสองเท่าของกายรูปพรหม

    เพราะเหตุไร ?

    เพราะกิเลส ตัณหา อุปาทาน ที่หุ้มซ้อนอยู่นั้นค่อยๆ จางหมดไป ด้วยการรวมใจ หยุดในหยุด กลางของหยุด และดับหยาบไปหาละเอียดเรื่อยๆ เราจึงถึงคุณธรรมที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่ากันไปตามลำดับ จากมนุษย์ธรรมไปถึงเทวธรรม ถึงพรหมธรรม อรูปพรหมสุดละเอียด ของคุณธรรมของกายในภพ 3 ก็จะถึงธรรมกาย

    ดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกายนี้จึงเบิกบานเต็มที่ เต็มธาตุเต็มธรรม หมายความว่า ดวงธรรม และดวงเห็น จำ คิด รู้ ของธรรมกาย ตั้งแต่ธรรมกายโคตรภู แม้จะมีขนาดหน้าตักและความสูงเพียง 4 วาครึ่ง แต่เส้นผ่าศูนย์กลางดวงธรรม และเห็น จำ คิด รู้ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะนั้น ขยายโตเต็มส่วนเต็มธาตุเต็มธรรม คือมีเส้นผ่าศูนย์กลางเท่าหน้าตักและความสูงของธรรมกาย จากธรรมกายโคตรภูไปสุดละเอียด ถึงธรรมกายอรหัตในอรหัต ก็เป็นอย่างนี้.
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    [​IMG]


    ทำไมถึงเรียกว่า “ศูนย์” ตรงนั้น เวลาสัตว์ไปเกิดมาเกิดแล้วก็มาอยู่ในที่สิบ อยู่ในกลางดวงนั้น กายละเอียดอยู่ในกลางดวงนั้น เมื่อพ่อแม่ประกอบธาตุธรรมถูกส่วนเข้าแล้วก็ตกศูนย์ทีเดียว พอตกศูนย์ก็ลอยขึ้นมา ลอยขึ้นมาเหนือกลางตัว ๒ นิ้ว โตเท่าฟองไข่แดงของไข่ไก่ใสเป็นกระจกส่องเงาหน้า นี่มันจะเกิดละ ตรงนั้นเรียกว่า ศูนย์

    ศูนย์นั้นเป็นสำคัญนัก จะเกิดมาในมนุษย์โลกก็ต้องเกิดด้วยศูนย์นั้น จะไปนิพพาน ก็ต้องเข้าศูนย์นั้นไปเหมือนกัน จะไปสู่มรรคผลนิพพานก็เข้าศูนย์นั้นเหมือนกัน แบบเดียวกัน

    จะตายจะเกิดเดินตรงกันข้าม ถ้าว่าจะเกิดก็ต้องเดินนอกออกไป ถ้าว่าจะไม่เกิด ก็ต้องเดินเข้าไป กลางเข้าไว้ หยุดเข้าไว้ ไม่คลาดเคลื่อน

    ข้อแนะนำ

    ทำให้สม่ำเสมอเป็นประจำ ทำเรื่อยๆ ทำอย่างสบายๆ ไม่เร่ง ไม่บังคับ ทำได้แค่ไหน ให้พอใจแค่นั้น อันจะเป็นเครื่องสกัดกั้นมิให้เกิดความอยากมากจนเกินไป จนถึงกับทำให้ใจต้องสูญเสียความเป็นกลาง และเมื่อการปฏิบัติบังเกิดผลแล้ว ให้หมั่น ตรึกระลึก นึกถึงอยู่เสมอ จนกระทั่งดวงปฐมมรรคกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียว กับลมหายใจ หรือนึกเมื่อใดเป็นเห็นได้ทุกที อย่างนี้แล้ว ผลแห่งสมาธิจะทำให้ชีวิตดำรงอยู่บนเส้นทางแห่งความสุข ความสำเร็จและความไม่ประมาทได้ตลอดไป ทั้งยังจะทำให้สมาธิละเอียดอ่อนก้าวหน้า ไปเรื่อยๆ ได้อีกด้วย




    ข้อควรระวัง

    ๑. อย่าใช้กำลัง คือไม่ใช้กำลังใดๆ ทั้งสิ้น เช่นไม่บีบ กล้ามเนื้อตา เพื่อจะให้เห็นนิมิตเร็วๆ ไม่เกร็งแขน ไม่เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง ไม่เกร็งตัว เพราะการใช้กำลังตรงส่วนไหนของร่างกายก็ตาม จะทำให้จิตเคลื่อนจาก ศูนย์กลางกายไปสู่จุดนั้น

    ๒. อย่าอยากเห็น คือทำใจให้เป็นกลาง ประคองสติ มิให้ เผลอจากบริกรรมภาวนาและบริกรรมนิมิต ส่วนจะเห็นนิมิต เมื่อใดนั้น อย่ากังวล ถ้าถึงเวลาแล้วย่อมเห็นเอง การ บังเกิดของดวงนิมิตนั้น อุปมาเสมือนการขึ้นและตก ของดวงอาทิตย์ เราไม่อาจจะเร่งเวลาได้

    ๓. อย่ากังวล ถึงการกำหนดลมหายใจเข้าออก เพราะการ ฝึกสมาธิเจริญภาวนาวิชชาธรรมกาย อาศัยการน้อมนึก อาโลกกสิณ คือ กสิณความสว่างเป็นบาทเบื้องต้น เมื่อ เกิดนิมิตเป็นดวงสว่าง แล้วค่อยเจริญวิปัสสนาในภายหลัง จึงไม่มีความจำเป็นต้องกำหนดลมหายใจเข้าออก แต่ประการใด

    ๔. เมื่อเลิกจากนั่งสมาธิแล้ว ให้ตั้งใจไว้ที่ศูนย์ กลางกายที่เดียว ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม เช่น ยืนก็ดี เดินก็ดี นอนก็ดี หรือนั่งก็ดี อย่าย้าย ฐานที่ตั้งจิตไปไว้ที่อื่นเป็นอันขาด ให้ตั้งใจ บริกรรมภาวนา พร้อมกับนึกถึงบริกรรมนิมิตเป็นดวงแก้ว ใสควบ คู่กันตลอดไป

    ๕. นิมิตต่างๆ ที่เกิดขึ้นจะต้องน้อมไปตั้งไว้ที่ ศูนย์กลางกายทั้งหมด ถ้านิมิตที่เกิดขึ้นแล้วหายไป ก็ไม่ต้องตามหา ให้ภาวนาประคองใจต่อไปตามปกติ ในที่สุดเมื่อจิตสงบ นิมิตย่อมปรากฏขึ้นใหม่อีก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 พฤศจิกายน 2014
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    เชิญอนุโมทนา กับบุญถวายสังฆทานพระ แม่ชี และสวดพระอธิธรรมให้หลวงปู่

    ขอเรียนเชิญ ร่วมบุญฟังสวดพระอภิธรรมถวายหลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี(สด จนฺทสโร) ครั้งที่5. บนหอสังเวชนียมงคลเทพนิรมิตวัดปากน้ำ

    วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน 2557 เวลา 14.30 น



    [​IMG]



    [​IMG]


    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 พฤศจิกายน 2014
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    [​IMG]





    โอวาทธรรมหลวงปู่วีระ คณุตฺตโม

    อาตมาใคร่ขอย้ำว่า บรมครูที่สูงที่สุดนั้น ก็คือ พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระอริยสงฆ์ ซึ่งก็หมายถึง พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ และมีความหมายถึง ธรรมกาย ซึ่งมีอยู่ในศูนย์กลางกาย อันเป็นกายในกาย ที่สุดละเอียดของทุกท่านนั่นเอง

    พระพุทธองค์จึงได้ตรัสกับพระวักกลิ ผู้คอยเฝ้าติดตามชมพระสิริโฉมกายเนื้อของพระองค์ท่านอยู่เสมอว่า

    โย โข วกฺกลิ ธมฺมํ ปสฺสติ โส มํ ปสฺสติ
    โย มํ ปสฺสติ โส ธมฺมํ ปสฺสติ

    แปลความว่า
    ดูกรวักกลิ ผู้ใดแลเห็นธรรม
    ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็น เราตถาคต
    ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นธรรม

    และว่า
    ธมฺมกาโย อหํ อิติปิ

    ซึ่งแปลความว่า
    เราตถาคต คือ ธรรมกาย

    เพราะฉะนั้น พระบรมครูก็อยู่ในตัวเราทุกคนนั่นเอง

    ........................
    จากหนังสือ
    สมถวิปัสสนากัมมัฏฐานเบื้องต้น
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    [​IMG]



    <div id="fb-root"></div> <script>(function(d, s, id) { var js, fjs = d.getElementsByTagName(s)[0]; if (d.getElementById(id)) return; js = d.createElement(s); js.id = id; js.src = "//connect.facebook.net/th_TH/all.js#xfbml=1"; fjs.parentNode.insertBefore(js, fjs); }(document, 'script', 'facebook-jssdk'));</script>
    <div class="fb-post" data-href="https://www.facebook.com/video.php?v=311662079034971" data-width="466"><div class="fb-xfbml-parse-ignore"><a href="https://www.facebook.com/video.php?v=311662079034971">โพสต์</a> by <a href="https://www.facebook.com/RakangdhamDhammakaya">ระฆังธรรม วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม</a>.</div></div>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 พฤศจิกายน 2014
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    [​IMG]


    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    จักรพรรดิ ภาคผู้เลี้ยง มีความสำคัญอย่างไร ?

    
    [​IMG]






    จักรพรรดิ ภาคผู้เลี้ยง มีความสำคัญอย่างไร ?

    ตอบ:



    ในการสร้างพระประธานและพระคู่บารมีสำเร็จด้วยหินรัตนชาติ วันนี้ขอบอกตรงๆ เลยว่า ภาคผู้เลี้ยงซึ่งเป็นกายในกาย ณ ภายในของแต่ละกายสุดกายหยาบ กายละเอียด ถึงพระนิพพาน มีจักรพรรดิ และจักรพรรดินั้นถ้าหากจะอาราธนาสถิตอยู่วัตถุใดที่บริสุทธิ์เพียงใด ก็จะเป็นสิริมิ่งมงคลแก่ผู้เคารพกราบไหว้บูชาปฏิบัติบูชา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เป็นเจ้าภาพสร้างขึ้นเพียงนั้น นี่แหละที่บอกไว้อันนี้แหละเป็นเคล็ดลับของวิชชาธรรมกาย ซึ่งหลวงพ่อท่านเป็นผู้ค้นพบ และท่านก็อาศัยภาคผู้เลี้ยงคือ จักรพรรดิรัตนะ 7 และกายสิทธิ์ทั้งหลายซึ่งท่านกลั่นธาตุธรรมดีแล้ว ทับทวีจักรพรรดิดีแล้วให้เป็นภาคผู้เลี้ยงแก่พระพุทธศาสนา ซึ่งมีผลถึงสัตว์โลกทั้งหลายที่จิตใจนั้นน้อมเข้าไปจรดอยู่ ณ ศูนย์กลางกายเพื่อความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจด้วยกัน นี่แหละมันต่อเนื่องกันอย่างนี้

    ทีนี้ ภาคผู้เลี้ยงจึงมีคุณค่าทั้งแก่พระสงฆ์ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ผู้เข้าไปศึกษาปฏิบัติธรรม และทั้งแก่สังคมประเทศชาติผู้ที่อยู่ในศีลกินในธรรมด้วย ที่เข้าไปเคารพกราบไหว้บูชาทั้งอามิสบูชา และปฏิบัติบูชา

    ปฏิบัติบูชาทำอย่างไร กราบไหว้แล้วน้อมเอามาสู่ใจตนเป็นโอปนยิโก น้อมเข้ามาสู่ใจตน ทำให้เป็นธรรมะเร็ว ทีนี้เมื่อสัตว์โลกทั้งหลายน้อมเอาความบริสุทธิ์คือพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ตลอดทั้งจักรพรรดิรัตนะ 7 ซึ่งซ้อนอยู่ภายใน (เราจะเห็นก็ตาม ไม่เห็นก็ตาม สิ่งเหล่านี้คงมีอยู่) เข้ามาสู่ใจตนเช่นนั้น มีผลให้แต่ละสัตว์โลกสะอาดบริสุทธิ์ยิ่งๆ ขึ้นไป มีกำลังสูงขึ้นในการที่จะบำเพ็ญบารมีไปเพื่อมรรคผลนิพพาน เป็นบุญเป็นกุศล แก่กล้าเป็นบารมี อุปบารมี ปรมัตถบารมียิ่งๆ ขึ้นไปแก่ตนเอง ผู้ปฏิบัติยิ่งเป็นเท่าไร คือบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ เป็นบุญเป็นบารมีที่เราบำเพ็ญส่วนภายนอกเท่าไร ยิ่งมีผลไปถึงภายใน

    ผลถึงภายในอย่างไร ?

    จักรพรรดินั่นแหละเขาจะเก็บเหตุที่สัตว์โลกแต่ละสัตว์โลกบำเพ็ญคุณความดี ถ่ายทอดส่งกลับไปยังต้นธาตุต้นธรรมหรือเครื่องธาตุเครื่องธรรม เพื่อปรุงเป็นผลเป็นวิบาก ส่งผ่านกลับเข้ามายังธาตุธรรมที่สุดละเอียดของกายหยาบ ตรงกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิม ให้มีผล เจริญงอกงามไพบูลย์ในบวรพระพุทธศาสนา สุขสมบูรณ์บริบูรณ์ด้วย มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ ในส่วนของกายเนื้อหรือกายหยาบ มีการส่งไปมาอย่างนี้
    และในขณะเดียวกัน กำลัง หรืออีกนัยหนึ่ง ความแก่กล้าของธาตุธรรม ที่สัตว์โลกทั้งหลายกระทำกาย วาจา ใจให้สะอาดบริสุทธิ์ไปถึงธาตุธรรม เห็น จำ คิด รู้ สุดหยาบไปจนสุดละเอียด ก็ไปมีผลถึงต้นในต้นให้แก่กล้ายิ่งขึ้นด้วย เมื่อแก่กล้ายิ่งขึ้นด้วยการสื่อเชื่อมต่อบุญกุศลจากกายเนื้อ ซึ่งเป็นฐานของพระ ถ้าทำคุณความดี ผ่านเข้าไปจากกายแต่ละกายที่มีอยู่ สุดกายหยาบกายละเอียด ผ่านไปทางกายภาคผู้เลี้ยงคือจักรพรรดิ ภาคผู้สอด ผู้ส่ง ผู้บังคับ ผู้ปกครองธาตุธรรมไปจนถึงต้นธาตุต้นธรรม แล้วก็ทับทวีกลับเป็นวิบากกรรมมา ยิ่งใกล้ชิดเข้าไปมากเท่าไร บุญบารมีในธาตุในธรรมสุดหยาบสุดละเอียดของท่านก็แก่กล้าไปตาม จนถึงต้นธาตุต้นธรรมเพียงนั้น และเมื่อถึงที่สุดแห่งความแก่กล้าคือปรมัตถบารมีนั้นแล้ว ท่านก็มีพลังที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานตามส่วน พร้อมกับจะเรียกว่า พระโพธิสัตว์ แปลว่า ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งไม่ว่าจะเป็นพระโพธิสัตว์ผู้ที่ได้รับพยากรณ์หรือยังไม่ได้รับพยากรณ์ก็แล้วแต่ ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากนั้น เมื่อองค์ใดได้มาบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ก็จะยิ่งมีพลังสูงที่จะช่วยสัตว์โลกได้มากเพียงนั้น นี่ในส่วนของการบุญการกุศลมันมีความละเอียดลึกซึ้งไปอย่างนี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้ได้เปิดเผยเรื่องจักรพรรดิและจักรพรรดินี่แหละเมื่อมีมากขึ้น สะอาดบริสุทธิ์มากขึ้น ก็จะช่วยให้ผู้เข้าไปนมัสการกราบไหว้ ปฏิบัติบูชา ถึงธรรมะกันได้มาก เรียกว่ากำลังต่อกำลัง ทุนต่อทุน หรือบารมีต่อบารมี เลยทีเดียว

    แต่ว่าสัตว์โลกใดกระทำความไม่ถูกต้อง ก็จะมีจักรพรรดิภาคมาร คอยเก็บเหตุที่ไม่ดี ส่งไปยังต้นๆ ของภาคมาร ให้มีกำลังแก่กล้าขึ้น แล้วก็ส่งผลกลับมา อันนี้อาตมายกตัวอย่างให้ดู เช่น กลุ่มประเทศทางตะวันออกกลางมีทรัพยากรมากมาย คนของเขามีทาน มีศีลเหมือนกัน แต่ว่าส่วนที่เป็นสัมมาทิฏฐิ มีน้อย เป็นมิจฉาทิฏฐิมาก ทานกุศลที่เขาทำก็ส่งผลมาเป็นโภคทรัพย์ เป็นมนุษย์สมบัติสวรรค์ สมบัติเหมือนกัน แต่โภคทรัพย์หรือสมบัติทั้งหลายจะเป็นคุณสมบัติ รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ บริวารสมบัติ ทั้งมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติแล้ว มันไม่ได้เป็นไปในแนวทางที่ส่งไปยังนิพพานสมบัติได้ เพราะเมื่อมารใช้ให้ทำหน้าที่เป็นฐานแก่มารแล้ว หมดความหมายเมื่อไร มารจะทำลายธาตุธรรมนั้นเสีย เหมือนอย่างสำนักเข้าทรงใหญ่แห่งหนึ่งที่ราชบุรี พูดเท่านี้โยมคงเข้าใจ และสำนักปฏิบัติธรรมใดที่ไม่สะอาดบริสุทธิ์ เป็นไปในทางมิจฉาทิฏฐิ ด้วยความโลภ ความหลง ด้วยมานะทิฏฐิของผู้บริหารแล้ว ก็จะเป็นไปในแนวนั้นเช่นกัน มารเก็บเหตุแล้วก็ส่งผลมาทับทวีมาจนแก่กล้า จนทำผิดไม่เห็นว่าตัวผิด นั่นแหละเต็มที่ ผิดแล้วไม่รู้ว่าผิด หลงมะงุมมะงาหรา ไม่โผล่ออกมาสักที เหมือนที่นักประพันธ์ท่านหนึ่งบอกว่า เหมือน ศิลาตกลงไปในบ่อที่ไม่มีก้น ไม่ได้โงหัวขึ้นมา เป็นอย่างนั้น การบุญการกุศลใช่ว่าสักแต่ทำแล้วเป็นบุญ ถ้าไม่ประกอบด้วยปัญญา ให้รู้เท่าทันกิเลส ตัณหา มานะ ทิฏฐิ ของตัวเอง ก็จะเป็นบุญผสมบาป และมันจะนำไปสู่แนวทางนั้น นี่แหละ เพราะฉะนั้นอาตมาจึงพาอธิษฐานขอให้บริสุทธิ์สมบูรณ์ บริบูรณ์ด้วยทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล มีความหมายอย่างนี้นะโยม ไม่ใช่สักแต่พูดๆ มันมีเหตุ มีที่มา อาตมาเข้าใจเรื่องนี้มานาน เห็นเหตุด้วย จึงได้มีคำอธิษฐานเอาไว้ด้วยความสุขุมรอบคอบพอสมควร แต่ถ้าใครเห็นว่าอะไรไม่ถูกต้อง ก็แนะนำอาตมาบ้าง

    แต่ที่อาตมาได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าดีที่สุด เป็นไปในแนวทางที่หลวงพ่อได้แนะนำไว้ แต่คำพูดอาจจะไม่รวมกันเป็นอันเดียวกันทุกคำ แต่ว่าในเนื้อหาสาระมันเป็นอย่างนี้นี่แหละ เมื่อปฏิบัติไปแล้วมันเข้าอย่างนี้

    ทีนี้ จุดหนึ่งที่สำคัญที่อาตมาได้พูดไปนั้น โยมฟังแล้วอาจจะนึกว่า สวรรค์สมบัติจะเป็นมิจฉาทิฏฐิได้อย่างไร เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิก็มีนะ ไม่ใช่ไม่มี เป็นยักษ์เป็นมารก็มี ยักษ์มีกุมภัณฑ์เป็นต้น บรรดาชั้นระดับจาตุมหาราชิกา ก็ใกล้ๆ กับ มนุษย์เรา เพียงแต่ว่ากายเขาใสกว่าเท่านั้น แม้กระทั่งที่สุดถึงชั้นที่ 6 ปรนิมมิตวสวัตดี ชั้นนี้เป็นที่สูงสุดของเทวโลก เทพยดา ชั้นนี้ต้องการอะไรปรารถนาอะไร ไม่ต้องเนรมิตเอง มีบริวารเนรมิตให้เสร็จ สบายถึงเพียงนั้น แต่ก็ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ ท่านอ่านพุทธประวัติคงจำได้

    อย่างเช่น ท้าววสวัตตีมาร ผู้เป็นจอมเทพของสวรรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ท่านลองนึกดูว่าท่านจะแค่ไหน หลังจากพุทธกาลมาประมาณ 100 ปี พระเจ้าธรรมาโศกราช หรือ พระเจ้าอโศกนี่แหละ ศรัทธาในพระพุทธศาสนา สร้างสถูปเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น สิ้นทรัพย์มากมาย แต่ว่าไม่สำเร็จ สถูปใหญ่ไม่เสร็จเลยเพราะท้าววสวัตตีมารตามผจญอยู่พร้อมทั้งบริวาร ทีนี้ พระอุปคุต ซึ่งมีจริงนะ จำพรรษาอยู่ใต้สะดือทะเล แต่อย่าไปควานหาสะดือทะเล ในทะเลนี้นะ หาไม่เจอหรอก อันนั้นเป็นมหาสมุทรซึ่งเป็นอายตนะละเอียดนั่นแหละ ได้มาทรมานท้าวสวัตตีมาร ทรมานกันจนแพ้ ว่าอย่างนั้นเถอะ เมื่อยอมแล้วจึงกลับเป็นสัมมาทิฏฐิ และยังปรารถนาพุทธภูมิ อธิษฐานบำเพ็ญบารมีเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า นี่แหละ ท้าววสวัตตีองค์ปัจจุบันแหละ เพราะฉะนั้น สวรรค์สมบัติที่เป็นมิจฉาทิฏฐิก็มี ให้เข้าใจไว้ จากสูงสุดจนต่ำสุด มีทุกชั้น แต่ชั้นที่เป็นมิจฉาทิฏฐิน้อย มีสัมมาทิฏฐิมาก หรือจะว่าที่สุด ก็คือชั้นดุสิต
    เทวโลก ซึ่งเป็นชั้นของผู้บำเพ็ญบารมี.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 พฤศจิกายน 2014
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    ......................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 มีนาคม 2015
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    จิตสงบดีแล้ว เย็นไปทั้งตัว รู้สึกสบาย แล้วรู้สึกลอย หมุน ?

    
    เมื่อจิตสงบดีแล้วอาการเย็นไปทั้งตัวรู้สึกสบาย และลอยเหมือนไม่ได้นั่งอยู่บนพื้น แล้วรู้สึกมีอาการหมุน แต่ไม่ได้เห็นดวงแก้ว รู้สึกกลัวจึงลืมตาขึ้น แล้วลากัมมัฏฐาน ?




    ตอบ:

    ที่เป็นเช่นนี้เพราะ เมื่อใจค่อยๆ สงบ รวมหยุดนิ่งสนิทระดับหนึ่ง ใจคือความเห็น-จำ-คิด-รู้ จะทำหน้าที่รับอารมณ์ภายนอกน้อยลงๆ “ใจ” ซึ่งเป็นนามธรรม เริ่มเป็นอิสระ ขาดจากรูปธรรม จึงรู้สึกกายเบาเหมือนกับจะลอย และกิเลสนิวรณ์ค่อยๆ ถูกกำจัดให้หมดไปด้วยสมถภาวนานี้ จึงเกิดปีติ รู้สึกมีอาการเย็นไปทั้งตัวและรู้สึกสบาย

    แต่ที่ไม่ได้เห็นดวงแก้วนั้น เพราะใจอันประกอบด้วยเห็น-จำ-คิด-รู้ ยังไม่รวมหยุด เป็นจุดเดียวกันนิ่งสนิทถูกส่วนตรงกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิม ธาตุทั้ง 6 คือธาตุละเอียดของ ธาตุน้ำ-ดิน-ไฟ-ลม-อากาศธาตุ และวิญญาณธาตุ ยังไม่ประชุมกันถูกส่วนตรงกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิม ปฐมมรรคจึงยังไม่เกิด และอายตนะภายในอันเป็นทิพย์ก็ยังไม่เกิดและเจริญขึ้น จึงยังไม่เห็นดวงปฐมมรรคหรือดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายปรากฏขึ้นตามธรรมชาติที่เป็นจริง

    ที่รู้สึกมีอาการหมุน เพราะใจยังไม่หยุดนิ่งสนิทได้ถูกส่วนเครื่องธาตุเครื่องธรรม ฝ่ายบุญกุศลจึงทำงานไม่เต็มที่ เพราะถูกต่อต้านด้วยเครื่องธาตุเครื่องธรรมฝ่ายบาปอกุศล เรื่องนี้ลึกซึ้ง เข้าใจเท่านี้ก็พอ แล้วท่านลืมตาจากกัมมัฏฐาน... น่าเสียดาย

    ถ้าท่านกำหนดใจให้เห็นจุดเล็กใสกลางดวงแก้วกลมใส ตรงกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิมต่อไปไว้เรื่อย พอถูกส่วนก็จะเห็นดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายใสแจ่มปรากฏขึ้นมาเอง สบายใจยิ่งกว่าเดิมอีก ดังพระพุทธวจนะว่า นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบ (ใจหยุดใจนิ่ง) ไม่มี
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    [​IMG]


    คำอธิษฐาน
    โดย
    พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล)
    เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
    ขอกุศลผลบุญ ที่ข้าพเจ้าได้ประกอบบำเพ็ญไว้ด้วยดีแล้ว
    มีทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล
    และการอุทิศแผ่ส่วนกุศลนั้น แก่สรรพสัตว์โลกทั้งหลายเป็นต้นนี้
    ตั้งแต่อดีต จนตราบเท่าถึงปัจจุบัน
    จงเป็นตบะ เดชะ พลวปัจจัย
    ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ปราศจากกิเลสนิวรณ์ และวิปัสสนูปกิเลสทั้งหลาย
    ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้มีปัญญาอันเห็นชอบในพระอริยสัจทั้ง ๔ และได้ดวงตาเห็นธรรม
    ขอให้สิ้นอาสวกิเลส ตัณหา อุปาทาน
    และได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ฝ่ายสัมมาทิฏฐิแต่ส่วนเดียว
    และขอจงเป็นพลวปัจจัยเกื้อหนุนข้าพเจ้า
    ๑.ให้แตกฉานในพระไตรปิฎก
    มีพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และ พระอภิธรรมปิฎก
    ๒.ให้ถึงพร้อมด้วยจรณะ ๑๕ ธรรมเครื่องยังให้เกิดและเจริญ โพธิปักขิยธรรม
    องค์ธรรมเครื่องตรัสรู้ ๓๗ ประการ อันประกอบด้วย
    ทิพพจักขุ ทิพพโสต สมันตจักขุ ปัญญาจักขุ ธรรมจักขุ และพุทธจักขุ อันบริสุทธิ์
    พร้อมด้วยวิชชา ๓ วิชชา ๘ อภิญญา ๖ และจตุปฏิสัมภิทาญาณ
    (สำหรับผู้ปรารถนา พุทธภูมิ พึงอธิษฐานเพิ่มว่า .....
    ให้เจริญด้วย อาสยานุสยญาณ และ อินทริยปโรปริยัตตญาณ ธรรมเครื่องช่วยในการโปรดสัตว์)
    ๓.ให้ได้เข้าถึง ได้รู้ เห็น และเป็นพระธรรมกายมรรค ผล และพระนิพพาน
    คือ ธรรมกายที่บรรลุพระอรหัตตผลแล้ว
    ทำให้แจ้งทั้งพระนิพพานถอดกาย และทั้งพระนิพพานเป็น โดยพลัน
    ให้ได้ตรัสรู้ในธรรมที่ควรรู้ ทั้งสังขตธาตุสังขตธรรม
    และอสังขตธาตุอสังขตธรรมทั้งหลาย ตามที่เป็นจริง
    ให้สามารถละธรรมที่ควรละ ให้สามารถเจริญในธรรมที่ควรเจริญ
    มุ่งตรงต่อมรรคผลนิพพาน ที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ทั้งปวง
    ๔.ขอให้ได้บุญศักดิ์สิทธิ์ บารมี รัศมี กำลัง ฤทธิ์ อำนาจ สิทธิ เฉียบขาด เป็นทับทวี
    ตามศักดิ์แห่งบารมี และหน้าที่ทนายแห่งพระพุทธศาสนา
    ๕.ขอให้ข้าพเจ้าได้ชนะศัตรู คือ กิเลสมาร ขันธมาร มัจจุมาร
    และอุปาทานในอภิสังขารมาร ด้วยตัณหาและทิฏฐิ คือ ความหลงผิด
    และขอให้พญามารทั้งหลายและบริวาร จงอย่าได้ช่อง
    เข้าครอบงำ ขัดขวาง และทำลายการบำเพ็ญบารมีแห่งข้าพเจ้า
    ตลอดทั้งเพื่อนผู้ร่วมบำเพ็ญบารมีทั้งหลายของข้าพเจ้าได้
    ๖.ให้ได้รู้ถูก เห็นถูก ในธรรมที่ควรรู้และควรเห็น
    ให้เป็นผู้คิดถูก พูดถูก กระทำถูก นำผู้อื่นถูก
    และทรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาของพระบรมศาสดาตลอดไป ในกาลทุกเมื่อ
    ๗.ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ฉลาดในอุบาย แห่งความเจริญและความเสื่อม
    เป็นผู้เฉียบแหลมในอรรถ และ ในธรรม
    ๘.ขอให้สุข สมบูรณ์ บริบูรณ์ ด้วยปัจจัย ๔ สิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลาย
    มียวดยานพาหนะ และเครื่องใช้สอยต่างๆ เป็นต้น
    ขึ้นชื่อว่าความขาดแคลนในสิ่งเหล่านี้ อย่าได้มี
    ๙.แม้ว่าข้าพเจ้าจะยังอาภัพอยู่ ยังจะต้องท่องเที่ยวไปในวัฏฏสงสาร
    ก็ขอให้ได้เกิดในฤกษ์สร้างบารมี บริบูรณ์ด้วยสมบัติ ๖ ประการ คือ
    กาลสมบัติ ชาติสมบัติ ตระกูลสมบัติ ประเทศสมบัติ ทิฏฐิสมบัติ และอุปธิสมบัติ
    ให้ได้มีโอกาสศึกษาและปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ ตามแนวทางพระพุทธศาสนา
    และขอให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนพระโพธิสัตว์ผู้เที่ยงแท้
    ได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่กระทำอกุศลกรรมอันจะนำไปสู่อบายภูมิอีก
    และถ้าหากยังมีเศษกรรมเหลืออยู่ ก็ขออย่าได้ถึงฐานะแห่งความอาภัพต่างๆ
    ๑๐.เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ ก็ขอให้ได้เพศบริสุทธิ์ เป็นชาย ให้ได้บรรพชาอุปสมบท
    เป็นผู้มีอายุยืนกว่าอายุขัยของมนุษย์ในกาลนั้นตามปรารถนา
    และแม้ว่าจะผ่านวัยกลางคน ก็ขอให้มีพลานามัยแข็งแรง
    อายตนะภายในดีเลิศ และสุขภาพจิตใจดีเลิศ
    ๑๑.ขอให้ข้าพเจ้าไม่พึงคบมิตรชั่ว ให้พึงคบแต่บัณฑิตในกาลทุกเมื่อ
    และขอให้ข้าพเจ้าเป็นบ่อเกิดแห่งคุณความดี คือ
    เป็นผู้มีศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ ประกอบด้วยความเพียรและขันติ
    พึงเว้นจากเวรทั้ง ๕ ไม่เกาะเกี่ยวในกามคุณทั้ง ๕
    พึงเว้นจากเปือกตม คือ กาม
    พึงยินดีในการรักษาศีล เจริญสมาธิ ปัญญา
    วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ โดยสัมมาทิฏฐิแต่ส่วนเดียว






    *** ที่มา
    หนังสือ ทางมรรคผลนิพพาน
    ธรรมปฏิบัติถึงธรรมกายและพระนิพพาน
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    ............................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 มีนาคม 2015
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    .................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 มีนาคม 2015
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    [​IMG]








    ----------------------------------








    . ...นั่นภาคมารเขาเมื่อถึงจุดนี้แล้วจงยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่าภาคมารเขาแน่ ยอมรับได้เลยว่า ภาคมารคือกิเลสมารนี่เขาแน่ ที่ว่าเขาแน่เพราะอะไร ที่นั่งสลอนอยู่นี้ภาคมารเขาปรุงขึ้นทั้งนั้น ตัวเรานี่ถ้าภาคมารเขาไม่ปรุงนี่ไม่ต้องตายหรอกนะ พระแท้ๆ คือ ธรรมกายที่บรรลุพระอรหัตผลชื่อว่า พระนิพพาน น่ะ ไม่ตายหรอกนะ ...ในสมัยก่อนพระพุทธเจ้าได้บำเพ็ญบารมีมากๆ ที่เข้าพระนิพพานด้วยพระวรกายเนื้อนะ ก็เป็นอมตธรรมนะ นั่นเป็นพระแท้ๆ เมื่อบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หรือในกรณีพระอหันตสาวกผู้บรรลุมรรค ผล นิพพาน กายเนื้อก็ใสบริสุทธิ์และมีรัศมีสว่างเป็นกายธรรมไปเลย เป็นพระล้วนๆ ...
    . เรื่องของมารหลวงพ่อท่านเทศน์เลยนะครับว่า สมภารวัดปากน้ำกับผู้ที่ปฏิบัติวิชชาธรรมกายกำลังต่อสู้กับภาคมาร แต่พระวัดปากน้ำไม่ใช่จะรู้เรื่องนี้ทั้งหมด ท่านบอกว่าส่วนมากไม่รู้เรื่อง แต่ว่าเมื่อไรท่านชนะ ทุกคนก็ชนะด้วย ในความหมายที่ท่านพูดว่า “ชนะด้วย” ก็หมายความว่า เมื่อมีผู้บำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณที่จะเข้านิพพานเป็น มีพุทธานุภาพมากที่จะช่วยรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปได้มาก สัตว์แต่ละตนหรือแต่ละคนน่ะก็จะพลอยได้บรรลุมรรค ผล นิพพานตามไปด้วย แต่ทุกคนจะต้องช่วยตัวเองนะ ไม่ใช่ว่า เมื่อมีพระพุทธเจ้าผู้บรรลุพระนิพพานเป็นแล้ว ชนะแล้ว ท่านทั้งหลายอื่นก็ชนะด้วย โดยที่ตนเองไม่ต้องปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่ธรรมเพื่อความบรรลุมรรค ผล นิพพานเองไม่ใช่เช่นนั้นนะ ทุกท่านต้องบำเพ็ญบารมีเองเหมือนกัน แม้ผู้บรรลุพระนิพพานเป็นนั้นช่วยได้แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน รื้อสัตว์ขนสัตว์หมดนับแสนโกฎิจักรวาลไม่มีประมาณ แต่สัตว์ทุกตัวทุกตนทุกคนจะต้องบำเพ็ญบารมีเอง จริงอยู่พระพุทธเจ้าทรงมีอานุภาพสูงไม่ว่าจะพระพุทธเจ้าองค์ใดนับตั้งแต่พระสมณโคดมนี้ถอยหลังไป พระองค์ก็ช่วย ไม่ใช่ไม่ช่วย แต่ทุกคนก็ต้องช่วยตัวเอง จำไว้เลย ว่าที่หลวงพ่อท่านว่า “เมื่อฉันชนะแล้ว ทุกคนก็ชนะด้วย” ท่านหมายถึงอย่างนี้ มิได้หมายความว่าคนอื่นไม่ต้องทำอะไร ถึงคราวที่หลวงพ่อบรรลุพระนิพพานเป็นแล้ว ท่านทั้งหลายก็บรรลุตาม ไม่ใช่นะครับ มันต้องช่วยตัวเองเพื่อความบรรลุมรรค ผล นิพพานเองทุกคน เพราะว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า
    สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ นาญฺโญ อญฺญํ วิโสธเย ความบริสุทธิ์ ไม่บริสุทธิ์ เป็นสิ่งเฉพาะตน ใครจะยังความบริสุทธิ์ หรือไม่บริสุทธิ์ให้แก่คนอื่นไม่ได้ ให้แก่กันและกันมิได้
    แต่ว่าอาจจะช่วยอนุเคราะห์อะไรได้หลายๆอย่าง ช่วยแนะนำให้ปฏิบัติและมีการช่วยเคลียร์พื้นที่ให้เป็นเรื่องเป็นวิธีของธรรมชั้นสูง.



    -------------------------------------------------------------------------------


    เรื่อง นำมาลงนี้ เป็นเรื่องสำคัญยิ่งทีต้องทำความเข้าใจ ไม่ให้ใครนำศรัทธาของเราที่มีต่อวิชชาธรรมกาย ต่อหลวงพ่อวัดปากน้ำ นำเราไปทางผิดๆได้ ............หลวงป๋า ท่านแตกฉาน เข้าใจลึกซึ้ง จึงนำมาบอกกล่าวเราด้วยมหาเมตตา กรุณา....................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 พฤศจิกายน 2014
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    .................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 มีนาคม 2015
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    ทำไม ผู้ที่มาเข้ารับการอบรมที่สถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย

    หรือวััดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี จึงได้ธรรมกายกันมาก ?



    -------------------------------------------



    ตอบ:

    เหตุปัจจัยที่ผู้เข้ามาศึกษาและฝึกปฏิบัติภาวนาธรรม ณ สำนักปฏิบัติธรรมสถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี ในโครงการธรรมปฏิบัติเพื่อประชาชน วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และในโครงการพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย ศาลาการเปรียญวัดสระเกศ (ภูเขาทอง) ปฏิบัติได้ผลในอัตราที่ค่อนข้างสูง ก็เพราะว่า

    ผู้ที่เข้ามาศึกษาและปฏิบัติธรรมในสำนักนี้ เป็นผู้มีธาตุธรรมที่แก่กล้าดีพอสมควรเอง ด้วยบุญบารมีที่เขาได้สั่งสมอบรมมาดีแล้วพอสมควร (ปุพฺเพกตปุญฺญตา) เอง  จึงได้เข้ามาสู่สำนักปฏิบัติธรรมที่มีนโยบาย วิธีการฝึกอบรม อุปกรณ์การศึกษาอบรม และสิ่งแวดล้อมที่สัปปายะ และได้พบกับครูอาจารย์ เพื่อนสหธรรมิก ที่เป็นกัลยาณมิตรที่แท้จริง อันเอื้ออำนวย และช่วยประคับประคองเกื้อหนุนให้การปฏิบัติธรรมได้ผลดีในอัตราที่สูง

    สำนักปฏิบัติธรรมนี้คือสถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี ในโครงการทั้ง 2 นี้ ได้มีนโยบายหลักที่จะ “สร้างพระในใจคน” และ “สร้างพระวิปัสสนาจารย์และวิทยากรให้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ” อย่างจริงจังมาตั้งแต่เริ่มสร้างสถาบันแห่งนี้ขึ้น  จึงกำหนดและพัฒนาวิธีการฝึกอบรมแก่ผู้มาเข้ารับการศึกษาและฝึกปฏิบัติธรรมที่สำนักนี้ ให้ได้ผลตามนโยบายที่กำหนดไว้อยู่เสมอ

    วิธีการฝึกอบรมธรรมปฏิบัติที่กำหนดขึ้นไว้และได้รับการพัฒนาจนพิสูจน์ได้ว่า เอื้ออำนวยให้การปฏิบัติธรรมได้ผลดีมากก็คือ
    เมื่อมีผู้ปฏิบัติภาวนาธรรมเริ่มได้ผลดีพอสมควรที่จะให้ได้รับคำแนะนำต่อวิชชาให้สูงขึ้นได้เพียงใด ก็จะรีบช่วยให้คำแนะนำ  ต่อธรรมให้ได้ถึงธรรมกาย  และต่อวิชชาชั้นสูง ยิ่งๆ ขึ้นไป ให้เต็มขีดความสามารถหรือตามระดับภูมิธรรมที่เขาสามารถปฏิบัติได้ โดยไม่ชักช้า และอย่างต่อเนื่อง      เป็นต้นว่า เมื่อมีผู้ปฏิบัติได้ถึงดวงปฐมมรรคหรือกายในกายที่ละเอียดๆ บ้างตามสมควร  ก็จะรีบช่วยแนะนำต่อวิชชาให้ได้ถึงธรรมกายและให้ได้ถึง 18 กาย แล้วให้ฝึกพิสดารกายซ้อนสับทับทวีสุดกายหยาบกายละเอียด เพื่อชำระธาตุธรรมให้ใสสะอาดอยู่เสมอ      เมื่อผู้ปฏิบัติในขั้นนี้ปฏิบัติจนชำนาญดีพอสมควรแล้ว ก็ให้คำแนะนำให้ฝึกวิธีการเจริญสติปัฏฐาน 4 พิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม เป็นทั้ง ณ ภายในและทั้ง ณ ภายนอก ทั้งโดยหลักปริยัติและหลักปฏิบัติ ทั้งสมถะและวิปัสสนากัมมัฏฐาน  เพื่อให้รู้วิธีรักษาใจ และรักษาธรรมของตนอย่างถูกวิธี ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญแก่การฝึกเจริญภาวนาวิชชาธรรมกายชั้นสูงอีกต่อไป     เมื่อเห็นสมควรที่จะให้ฝึกต่อวิชชาธรรมกายชั้นสูงได้ ก็ให้เข้ารับการฝึกต่อไปให้ถึงที่สุดตามระดับภูมิธรรมของแต่ละท่าน เพื่อสะสางธาตุธรรมของตนให้สะอาดบริสุทธิ์จากธาตุธรรมของภาคมารหรืออกุสลาธัมมา และยังจะมีผลในการช่วยผู้อื่นได้อีกด้วย
    ผู้ที่ฝึกปฏิบัติภาวนาได้ผลพอสมควรแล้ว ที่มีอุปนิสัยในการแนะนำสั่งสอน ก็จะมอบหมายหน้าที่ให้ช่วยทำหน้าที่เป็นวิทยากรอีกต่อไป เพื่อช่วยแนะนำและควบคุมพระกัมมัฏฐานแก่ผู้มาเข้ารับการอบรมรายอื่นๆ ที่ยังล้าหลังอยู่หรือเพิ่งเข้ามาใหม่    โดยจะแยกผู้มาเข้ารับการอบรมตามระดับต่างๆ เป็นกลุ่มย่อยๆ   เพื่อให้วิทยากรได้ช่วยให้คำแนะนำและควบคุมพระกัมมัฏฐานเป็นกลุ่มๆ โดยใกล้ชิด  เป็นการช่วยเพิ่มพูนบุญบารมีแก่ผู้ทำหน้าที่วิทยากรนั้นเองอีกด้วย
    ส่วนผู้ปฏิบัติภาวนาธรรมที่ได้ผลดี  แต่ไม่มีอุปนิสัยในการแนะนำสั่งสอน  หรือยังเป็นเด็ก ก็จะได้รับมอบหมายให้เจริญภาวนาวิชชาธรรมกายชั้นสูงอยู่ตามกลุ่มต่างๆ เป็นการช่วยแบ่งเบาภาระการทำวิชชาสะสางธาตุธรรม ณ ภายในของวิทยากรที่กำลังทำหน้าที่แนะนำสั่งสอนกลุ่มต่างๆ ซึ่งจะต้องถอยจิตหยาบออกมาเพื่อให้คำแนะนำลูกกลุ่มอีกทีหนึ่ง -- เป็นการเพิ่มพูนบุญบารมีของผู้ทำวิชชาชั้นสูงเองด้วยอีกโสดหนึ่ง
    โดยวิธีนี้ ยิ่งมีผู้ปฏิบัติภาวนาธรรมได้ผลดีมากขึ้นเพียงใด ก็ย่อมจะยิ่งให้ผลดีทั้งในส่วนของการช่วยตนเองและช่วยผู้อื่นได้มากเพียงนั้น --  นี้ก็เป็นบุญต่อบุญบารมีต่อบารมี  ธรรมกายต่อธรรมกาย

    อุปกรณ์การฝึกอบรมและสิ่งแวดล้อมอันสัปปายะ ที่เอื้ออำนวยแก่การศึกษาและปฏิบัติธรรมให้ได้ผลสูง  ก็คือสำนักปฏิบัติแห่งนี้ คือสถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย  อำเภอดำเนินสะดวก  จังหวัดราชบุรี ในโครงการธรรมปฏิบัติเพื่อประชาชน วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ   และโครงการพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย ศาลาการเปรียญ วัดสระเกศ (ภูเขาทอง) เป็นที่รวมสรรพตำราธรรมปฏิบัติตามแนววิชชาธรรมกายทุกระดับ ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ได้ถ่ายทอดไว้ให้แก่ศิษยานุศิษย์   โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ผ่านมายัง พระเดชพระคุณ พระภาวนาโกศลเถร (วีระ คณุตฺตโม) รองเจ้าอาวาส และพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระองค์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกคือเป็นศิษย์ผู้รับการบรรพชาอุปสมบทโดยตรงจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ในฐานะผู้ถือนิสสัย และในฐานะผู้เรียนธรรมจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านมาอย่างใกล้ชิด (ท่านได้รับความกรุณาจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านได้จัดที่จำวัดให้อยู่ใกล้ชิดกับท่าน เพื่อสะดวกแก่การสั่งและสอนวิชชาธรรมกายชั้นสูงมาโดยตลอด) จึงทำให้ผู้ที่ได้เข้ามาศึกษาและฝึกปฏิบัติภาวนาธรรม ณ สำนักนี้ ได้มีโอกาสศึกษาและฝึกปฏิบัติภาวนาตามแนววิชชาธรรมกายทุกระดับอย่างกว้างขวางละเอียดลออ ให้สามารถปฏิบัติธรรมได้ถูกต้องและเที่ยงตรง  ตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านได้ถ่ายทอดเอาไว้ และสอดคล้องกันทั้งหลักปริยัติและวิธีการปฏิบัติ    ช่วยขจัดความลังเลสงสัยได้เป็นอันมาก ด้วยว่าได้มีตำรับตำราคอยเป็นครูอยู่ใกล้ชิดและผู้ช่วยแนะนำที่เป็นกัลยาณมิตรคู่ใจ ยากที่จะได้รับจากที่อื่นใดในโลก
    เมื่อผู้ที่เข้ามาศึกษาและปฏิบัติภาวนาธรรม ณ สำนักปฏิบัติธรรมนี้ ปราศจากความลังเลสงสัยทั้งในหลักปริยัติและวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง ย่อมมีโอกาสใช้เวลาที่ได้เสียสละมาเข้ารับการอบรมด้วยวิธีการอันถูกต้องได้อย่างสมบูรณ์เต็มที่ ไม่ต้องเสียเวลาในการคลำหาทางเปะๆ ปะๆ ไปเองโดยเปล่าประโยชน์   ก็ย่อมจะมีกำลังใจ มีสติปัญญาปฏิบัติธรรมให้ได้ผลดีกันเป็นส่วนมากเป็นธรรมดา

    ครู อาจารย์ และเพื่อนสหธรรมิกสำนักนี้   ต่างมีใจเอื้อเฟื้อแก่ผู้มาเข้ารับการอบรมโดยทั่วหน้ากันว่า จะช่วยกันถ่ายทอดธรรมปฏิบัติตามแนววิชชาธรรมกายนี้แก่ผู้อื่น  จนเต็มกำลังสติปัญญาความสามารถ ตามระดับภูมิธรรมของผู้ถ่ายทอดและผู้รับการถ่ายทอด ด้วยความมุ่งหมายเพื่อที่จะให้สาธุชนผู้มาเข้ารับการอบรมทุกท่าน สามารถช่วยทั้งตนเองและผู้อื่นได้ด้วย โดยไม่ปิดบังวิชชา  และไม่หวั่นวิตกว่าจะมีผู้อื่นใดเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าในธรรมยิ่งกว่าตน เพราะนั่นเป็นความปรารถนาของเราทุกคน ที่มุ่งจะเผยแพร่พระสัทธรรมนี้ให้กว้างไกลออกไปทั่วประเทศและแม้ในต่างประเทศ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองและสันติสุขแก่สาธุชนโดยส่วนรวมร่วมกัน
    ทั้งหมดนี้แหละคือเหตุปัจจัยที่สำคัญ อันเอื้ออำนวยให้ผู้เข้ามาศึกษาและปฏิบัติภาวนาธรรมที่สถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย  อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี ในโครงการธรรมปฏิบัติเพื่อประชาชน วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และโครงการพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย ศาลาการเปรียญวัดสระเกศ (ภูเขาทอง) จึงปฏิบัติได้ผลดีในอัตราที่สูง

    บัณฑิตผู้มีปัญญาใด รู้จักเหตุและได้สังเกตผลตามที่เป็นจริง  และกอปรด้วยมุทิตาธรรม  ย่อมจักเข้าใจได้ดี   และท่านที่เป็นผู้มีอุปการะแก่กิจกรรมเผยแพร่ธรรมปฏิบัติของสำนักนี้ และทั้งอนุโมทนาในมหากุศลธรรมทานแห่งสำนักนี้ด้วย ย่อมเป็นมหานิสงส์ บุญราศีทับทวีแก่ท่านผู้นั้นแต่ส่วนเดียว ด้วยประการฉะนี้
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    จากอิสลาม เข้าถึงพุทธ ที่สุดละเอียด

    จากคำบอกเล่าของ
    คุณจีราภา เศวตนันท์

    วิทยากรสถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย
    ( ปัจจุบันคือ วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม จ.ราชบุรี)
    เดิมทีข้าพเจ้าไม่ได้นับถือศาสนา พุทธมาก่อน ไม่เคยศรัทธา ไม่เคยคิดว่าพระพุทธเจ้ามีจริง โดยเฉพาะเรื่องการทำสมาธิ ก็คิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เรียกว่า ถ้าเอ่ยกันถึงคำว่า “พุทธ” จะมีความรู้สึกว่าไม่ชอบเอาเสียจริงๆ



    ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าเคยได้ รับคำสั่งสอนจากผู้ใหญ่ว่า พระพุทธเจ้าไม่มีตัวตน มีแต่เพียงคำสอนซึ่งเป็นพระคัมภีร์ แต่ถ้าพระพุทธเจ้ามีจริงก็ตายไปนานแล้ว ใครจะรู้ได้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ฉะนั้นการกราบไหว้บูชารูปปั้นนั้น มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้นเอง แล้วก็โมเมเอาว่านี่แหละคือพระพุทธเจ้า บูชากันไปบูชากันมา ดีไม่ดีกลายเป็นพวกผีไม่มีญาติเข้าไปสิง จะกลับให้โทษเสียอีก หรือถ้าบูชาไม่ถูกต้อง ก็อาจจะทำให้คนในครอบครัวมีอันเป็นไป


    แล้วเรื่องการทำสมาธิอีกอย่าง อย่าให้นั่งเด็ดขาด จะทำให้เป็นบ้าไปเลยก็ได้ เพราะเมื่อนั่งๆ ไป จะต้องเห็นผีสางต่างๆ นานา ที่ผู้ใหญ่ท่านกล่าวเช่นนี้เพราะรู้ว่าเด็กๆ ทุกคนย่อมกลัวผีเป็นธรรมดา เรียกว่าอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธ เขาจะต้องต่อต้านทุกเรื่องไป


    ที่ว่าไม่ได้นับถือพุทธ คือบิดาเป็นคริสตัง มารดาเป็นมุสลิม แต่บิดาเสียไปในขณะที่มารดาตั้งท้องข้าพเจ้าได้ ๒-๓ เดือน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงนับถืออิสลามตามแม่ ซึ่งแน่นอนที่สุด ในครอบครัวชาวมุสลิมเขาจะเคร่งครัดในศาสนามาก การวางตัวในสังคมก็มีขีดจำกัดไปเสียทุกอย่าง แต่แล้วข้าพเจ้าก็ได้สามีเป็นชาวพุทธ แถมยังชอบและสนใจในเรื่องปฏิบัติธรรมเสียอีก


    วันหนึ่งสามีของข้าพเจ้าได้ซื้อหนังสือที่กล่าวถึง “ธรรมกาย” ของหลวงพ่อสด ซึ่งมีวางขายตามร้านหนังสือทั่วไปมาอ่าน อ่านแล้วก็คุยกันตามประสาสามี-ภรรยา เรามีความเห็นว่า เท่าที่ได้อ่านและถามๆ คนอื่นดู ก็รู้สึกว่า ธรรมกายนั้นถ้าจะปฏิบัติไม่ใช่ของง่ายๆ เคยมีคนเขาบอกว่า ที่ศาลาการเปรียญวัดสระเกศ (วัดภูเขาทอง) เขามีสอนอยู่ จะชวนข้าพเจ้าไป ก็บอกแล้วว่าไม่ชอบวิชานี้ เราไม่ไป เขาก็ [จึง] ไม่ไป เป็นอันจบ


    หลังจากนั้นไม่นาน ข้าพเจ้าได้ฝันว่า หลวงปู่ทวดท่านมาชวนว่า ให้จับมือท่านไว้ จะพาไปพบ“หลวงพ่อสด” ที่พระนิพพาน ในฝันว่าลอยไปอย่างสบายเลย คำแรกที่หลวงพ่อสดท่านพูดกับข้าพเจ้าก็คือ “เราชื่อสด จะมาฝึกธรรมกายไหม ?” ใน ฝันก็ตอบท่านไปว่า “ไม่ฝึก” เพราะเคยอ่านหนังสือเลยรู้สึกยาก ท่านก็ไม่พูดอะไร ทำหน้าเฉยๆ เมื่อตื่นขึ้นก็เล่าให้สามีฟัง เขารีบบอกทันทีว่าเป็นนิมิตที่ดี ในที่สุดก็ขัดคำชวนที่จะไปวัดสระเกศไม่ได้ เรื่องวัดเรื่องวาก็ไม่เคยจะรู้ธรรมเนียมเท่าไรนัก รับศีลก็ไม่เป็น ต้องเอาหนังสือของวัดมาดูเวลาที่เขารับศีล วุ่นวายอยู่เป็นเดือน แม้แต่ปัจจุบัน การสวดมนต์ทำวัตรก็ยังไม่ค่อยเป็นเท่าไรนัก อาศัยฟังบ่อยๆ ก็ชักชินหู


    การฝึกปฏิบัติธรรมในวันแรก ก็แยกกลุ่ม วิทยากรเขาแนะนำให้กำหนดดวงแก้วกลมใส ประมาณเท่าฟองไข่แดงของไก่ เริ่มจากช่องจมูกซ้าย ว่า “สัมมาอะระหังๆๆ” แล้วเลื่อนดวงแก้วไปตามฐานต่างๆ จนถึงฐานที่ ๗ เหนือระดับสะดือ ๒ นิ้วมือ ให้จรดใจนิ่งไว้ตรงกลางดวงแก้วกลมใสนั้น แล้วกำหนดจุดเล็กใสขึ้นที่ศูนย์กลางดวงแก้วกลมใส เขาให้ทำอะไรก็ทำตามไป ไม่ได้คิดอะไร ครั้นเมื่อนิ่งถูกส่วนเข้า วิชชาก็เริ่มเดิน* [คำว่า “เดิน” ในที่นี้ หมายถึง “เจริญ” กล่าวคือ เจริญภาวนาหรือเจริญวิชชา] จากดวงปฐมมรรคเข้าสู่กายธรรม กายในกาย ณ ภายใน เริ่มโตใหญ่ใสละเอียดขึ้นไปเรื่อยๆ ตายแล้ว อะไรกันนี่ ! จิตใจเริ่มสับสน เมื่อใจไม่จรดศูนย์ วิชชาก็หยุดเดิน* เมื่อคลายจากสมาธิ วิทยากรถามว่า เห็นดวงแก้วแจ่มใสไหม ? เลยตอบว่า “แจ่มใสดีค่ะ"


    อาทิตย์ต่อมาก็ได้ ๑๘ กาย กับพระวิทยากร จึงรู้ว่า เป็นอย่างที่เราทำได้ถึงในคราวก่อน เลยเสียท่าไปแล้ว เมื่อพระท่านสอนเสร็จ ก็มีการซักถามกันพอสมควร ว่าทำไมกายพระคือเรานั้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ท่านก็ให้ความกระจ่างดี จึงเริ่มเข้าใจขึ้นบ้างแล้ว ทีนี้ชักเริ่มสนุก แต่ยังคิดไม่ถึงว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรต่อไปอีก เพียงแต่พระวิทยากรท่านว่า ต่อไปนี้อย่าให้เสียท่าอีกนะ ให้ปล่อยใจหยุดนิ่งไปตามญาณวิถี ในที่สุดก็ได้ต่อวิชชาชั้นสูงกับหลวงพ่อเสริมชัย แต่ก่อนที่จะได้ฝึกกับท่าน ได้ทำสมาธิ เดิน ๑๘ กาย ซ้อนสับทับทวีที่บ้าน ก่อนจะคลายจากสมาธิ ก็หยุดตรึกนิ่งไปที่จุดสุดท้ายของการเข้าถึง รู้ เห็น และเป็น ตามที่พระวิทยากรท่านสอน ก็มีเสียงก้องกังวานขึ้นว่า “วันข้างหน้าจะต้องพบกับอาจารย์ที่มีสายสัมพันธ์กันในอดีต เขาผู้นี้จะรู้แจ้งเห็นจริงทุกอย่าง และจะเป็นผู้ให้วิชชาทั้งหมดแก่เรา"


    ต่อมาจึงได้รับการฝึกเจริญภาวนาวิชชาธรรมกายชั้นสูงกับ หลวงป๋า [หมายถึง พระภาวนาวิสุทธิคุณ (เสริมชัย ชยมงฺคโล) ซึ่งผู้เขียนมีความเคารพเสมือนบิดา ผู้ให้กำเนิดชีวิตในทางธรรม] ในการฝึกวิชชาชั้นสูง นับตั้งแต่เริ่มพิสดารกาย เป็นเถา ชุด ชั้น ตอน ภาค พืด ฯลฯ คำสอนต่างๆ ของหลวงป๋าในวิชชาชั้นสูงนั้นไม่เคยได้ยินมาก่อน ดังนั้นเมื่อเจริญภาวนาเสร็จแต่ละครั้ง ต้องคอยถามว่าจุดนี้เป็นอย่างนี้ อย่างนั้นใช่ไหม ? ตามปกติเป็นคนไม่ค่อยกล้า แต่ก็กลัวจะทำผิดจากวิชชาของท่าน จึงจำเป็นต้องรายงานผลการปฏิบัติให้ท่านทราบตลอดเวลา ประกอบกับหลวงป๋าท่านมีเมตตา เอาใจใส่กับลูกศิษย์ ในที่สุดก็เข้าถึงต้นธาตุต้นธรรม ... เราทำผิดท่านก็ไม่เคยว่า ยิ่งทำให้เรามีกำลังใจและเกิดความอบอุ่น


    อยู่มาวันหนึ่ง หลวงป๋าท่านเรียกมานั่งข้างหน้าเพื่อแนะนำวิธีปฏิบัติ ... ก็พอดีศาลาข้างๆ มีงานศพเป็นคนจีน หูเราก็บังเอิญได้ยินเป็นเสียงสวดมนต์ ไปแวบคิดว่าสวดอย่างนี้เขาเรียกว่าสวดกงเต็กหรือเปล่า ? เสียงหลวงป๋าพูดทันที “ให้มานั่งสมาธิ ไม่ใช่มาคิดนอกเรื่อง” ไม่ใช่ครั้งนี้ที่ท่านคอยเตือน ตลอดเวลาที่เจริญภาวนากับท่าน จะได้ยินคำเตือนเสมอ เมื่อจิตไม่ตกศูนย์ นี่แสดงว่าตลอดเวลาท่านจะคอยประคับประคองจิตของเราให้หยุดให้นิ่งอยู่ตลอด เวลา ในเรื่องของวิชชา ท่านไม่เคยหวงใคร รับได้เท่าไร ตามสภาพภูมิธรรม ท่านก็เปิดให้หมด


    ในที่สุดเราก็สามารถเข้าถึงพระนิพพานในพระนิพพาน เข้าถึงธาตุล้วนธรรมล้วนของต้นๆ ... ได้รู้ซึ้งถึงพลังและอานุภาพของธรรมกาย โดยการมุ่งเข้าสู่เขตธาตุเขตธรรมต่อๆ ไปเป็นทับทวี โดยไม่ถอยหลังกลับ ... หลวงพ่อสดก็ผุดขึ้นพร้อมกับเสียงก้องกังวานมาทันทีว่า “ตนนั้นต้องทำให้วิชชาธรรมกายให้เป็นวิชชาที่ไม่ตาย ความหมายก็คือ ให้ทำวิชชาเป็นอยู่ตลอดเวลา และต้องเผยแพร่ต่อๆ ไปด้วย ข้อสำคัญ ต้องรวมธาตุธรรมของศาสนาทุกศาสนา ทุกสี ทุกสาย ทุกกาย ทุกองค์ ทุกวงศ์ มากลั่น และละลายธาตุธรรมนั้น ดับอธิษฐานถอนปาฏิหาริย์จนหมดธาตุธรรมภาคดำและกลางๆ และให้เป็นแต่ธรรมกายที่เป็นธาตุล้วนธรรมล้วน แต่จงจำไว้ จำทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นจะต้องใช้เมตตาพรหมวิหารเป็นที่ตั้ง อย่าทำด้วยความรุนแรง (ด้วยกิเลส) และขาดสติ แล้วจะประสบผลสำเร็จ"


    เมื่อได้ยินเสียงหลวงพ่อสด...“จงใช้เมตตาเป็นที่ตั้ง ทำเช่นนั้นไม่ถูก” จิตที่กล้าแข็งก็เริ่มอ่อนโยนลงทันที ใจก็คิดว่า การที่ต้องทำเช่นนี้เป็นเพราะหน้าที่ ไม่ใช่ด้วยความอาฆาต ก็น่าแปลก ฝ่ายอกุศลจะเริ่มถอยอวิชชาของเขาออกไปทีละน้อย แต่เราต้องคิดเสมอว่าต้องไม่ประมาท โดยเราต้องทำวิชชาให้นำหน้าเขาอยู่เสมอ มิฉะนั้นจะถูกภาคอกุศลสอดเข้ามาในสุดละเอียดของเราได้


    ฝึกเดินวิชชาอยู่ประมาณเดือนเศษ ก็มีการอบรมพระกัมมัฏฐานที่สถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย อ।ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ในเดือนธันวาคม หลวงป๋าก็ชวนให้ไปที่ดำเนินสะดวก เมื่อไปถึงที่นั่น ก็ไปยืนอยู่ข้างๆ ศาลาอเนกประสงค์ หันหน้าไปทางซ้ายมือ เป็นบ่อน้ำขนาดใหญ่รอบเกาะ รู้สึกว่าลมเย็นสบายดี จึงยืนทำวิชชาเข้าสุดละเอียดไปเรื่อยๆ เมื่อหยุดตรึกนิ่งก็เห็นแสงสว่างพุ่งขึ้นมาจากกลางบ่อนั้น จึงสอบถามคนที่นั่นว่า ตรงนั้นเขาจะสร้างอะไรหรือ ? ต่อไปบริเวณเกาะนั้นจะเป็นวิหารธรรมกาย ต่อไปเมื่อเป็นวัด จะยกฐานะขึ้นไปอุโบสถ พอรู้เช่นนั้น ความรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูกเกิดขึ้น ก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุไรเหมือนกัน


    ในการอบรมพระกัมมัฏฐานแด่พระสงฆ์ (รุ่นที่ ๑๑) คราวนั้นหลวงป๋าท่านเมตตาอนุญาตให้เป็นวิทยากรสอนโยมเป็นครั้งแรก พูดก็ไม่เป็น ยังเขินๆ อยู่ ไม่รู้จะทำอย่างไร รู้สึกกลัวไปเสียหมด ทีกลัวเพราะว่า กลัวจะพูดไม่เข้าใจ แล้วก็กลัวเขาจะว่า สอนเขาแล้วตัวเองรู้หรือเปล่าว่าเขาเห็นจริงหรือไม่ หันไปหันมา ไม่รู้จะทำอย่างไร เลยเข้าไปในธาตุธรรมของหลวงพ่อสด สวมความรู้สึกเข้าไปเป็นท่านเลย ก็น่าแปลก ความประหม่าหายไปหมด กลับมีพลังอะไรไม่รู้เกิดขึ้น คือมีความคิดว่าจะต้องทำตัวเราให้ใส สักครู่เป็นการตั้งสติไปในตัว พอเริ่มสอน ระหว่างที่พูดก็เอาธาตุธรรมของแต่ละคนมาซ้อนในที่สุดละเอียดของเรา ตอนนั้นมีลูกศิษย์อยู่ ๔-๕ คนเห็นจะได้ ก็เห็นทันทีว่าแต่ละคนเขาทำได้แค่ไหน สอนเสร็จคลายจากสมาธิ ก็ยังไม่เชื่อตัวเองอีก จึงทดสอบตัวเอง โดยการสอบถามทีละคนตามสภาพภูมิธรรมของแต่ละคน ปรากฏว่าถูกต้องหมด ก็เกรงว่า นี่เราทำอะไรโดยพลการหรือเปล่าหนอ ? จึงรีบกราบเรียนหลวงป๋า ท่านกลับไม่ว่าอะไร แถมยังแนะนำเคล็ดลับวิชชาครูเพิ่มให้อีก แล้วยังสอนให้เดินเครื่องธาตุเครื่องธรรม เห็น จำ คิด รู้ ให้ผู้ที่ทำวิชชาฝืดๆ เพื่อที่เขาจะได้เดินวิชชาอย่างแจ่มใสโดยตลอดอีกด้วย ความรู้ในเรื่องวิชชาเริ่มได้รับจากท่านเป็นระยะๆ อย่างไม่เคยหวงวิชชาเลย บุญคุณอันนี้ใหญ่หลวงนัก เกินกว่าจะบรรยายออกมาด้วยคำพูดได้


    ทีนี้ ขอย้อนกล่าวถึงสถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย อ।ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ทุกครั้งที่มีการอบรมเยาวชนก็ดี อบรมพระก็ดี จะเห็นเหล่าเทวดา นางฟ้า พรหม อรูปพรหม เต็มท้องฟ้าไปหมด เรียกว่า สว่างไสวไปทั่วทั้งสถาบันเลย เขาคงมาเป็นกำลังใจอนุโมทนากับเหล่าพุทธบริษัทที่มาอบรมกันตลอดเวลา สำหรับตัวข้าพเจ้านั้นมีพญานาคองค์มหึมาคอยอำนวยความสะดวกให้ คือพอเริ่มนั่งสมาธิทีไร จะเป็นการสอนหรือทำวิชชาก็ดี เขาจะมาขดเป็นอาสนะเหมือนปางนาคปรกให้เราสบายดีอีกด้วย นี่ที่สถาบันฯ นะ ต่อพอกลับกรุงเทพฯ เขาไม่ยอมตามมาด้วยหรอก น่าเสียดาย เพราะเวลาเขาให้เรานั่ง รู้สึกสบายบอกไม่ถูก จึงกราบเรียนเล่าให้หลวงป๋าฟัง ท่านบอกว่าเป็นของประจำอยู่ที่สถาบัน ช่วยดูแลสถาบันฯ ของเรา ก็ไม่น่าแปลกอะไรนี่ เพราะตลอดเวลาที่ทำวิชชากับท่าน จะเห็นประจำอยู่แล้ว ว่าพลังและอำนาจของบุญ บารมี รัศมี กำลังฤทธิ์ของท่านมหาศาลขนาดไหน ใครอยากรู้ลองแอบดูเอาเอง ถ้าจิตเข้าถึงต้นธาตุต้นธรรมที่สุดละเอียดและเป็นสายธาตุธรรมเดียวกันคือสาย ขาว ก็จะเห็นตามที่เป็นจริงได้ ท่านคงไม่ว่าอะไรหรอก เพราะเป็นเรื่องของวิชชา แต่อย่าลืมนะ ก่อนจะทำอะไรควรนึกขอขมาท่านเสียก่อนด้วย เพราะครูบาอาจารย์เป็นของสูง


    เมื่อตัวเองนี้ได้เข้าถึง รู้ เห็น และเป็น เช่นนี้แล้ว ก็รู้สึกเป็นห่วงท่านทั้งหลายที่เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน อย่ามัวเสียเวลาอันมีค่าของชีวิตเลย เพราะทุกลมหายใจเข้าออกนั้นมีค่าเสียเหลือเกิน มาปฏิบัติธรรมกันเถอะ ไม่มีอะไรยากเกินกำลังของมนุษย์เราเลย ถ้าท่านตั้งใจจะปฏิบัติธรรม รักษาศีลอย่างน้อยศีล ๕ เราไม่บกพร่อง ก็พ้นจากอเวจีมหานรกได้แล้ว ส่วนการปฏิบัติธรรมในแนวของธรรมกายก็ไม่ยากเลย เพียงแต่ขอให้ “หยุด” ตัวเดียวเท่านั้น ที่ว่ายากนั่นก็เพราะเราไม่หยุดจริงนั่งเอง ถ้าจิตของเราหยุดนิ่งจริงแล้ว การเจริญภาวนาตามแนววิชชาธรรมกายนั้นจะรู้ได้ทันทีว่า วิชชาไม่มีสิ้นสุด คือเราจะเข้าไปในที่สุดละเอียดขององค์ต้นธาตุต้นธรรมที่สุดละเอียดได้ เรื่อยๆ ถ้าท่านทำได้จะรู้สึกว่าการเจริญภาวนานั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าเบื่อหน่ายเลย เพราะท่านสามารถค้นพบข้อมูลหรือสิ่งใหม่ๆ ได้อยู่ตลอดเวลา เป็นการเจริญปัญญารู้แจ้งในสภาวะจริงของธรรมชาติทั้งฝ่ายพระและฝ่ายมารในตัว เรานี้แหละได้ดี อย่างที่ท่านไม่เคยได้รู้เห็นมาก่อนเลย เป็นธรรมวิจยะ ให้สามารถแยกธาตุธรรมภาคพระ (ธรรมขาว) ภาคมาร (ธรรมดำ) ภายในตัวเราเองได้ แล้วเก็บธาตุธรรมภาคมาร (ธรรมดำ) เสีย ให้เหลือแต่ธาตุล้วนธรรมล้วนของฝ่ายพระ (ธรรมขาว) เป็นเราได้ มีผลให้กาย วาจา ใจ ของเราสะอาดบริสุทธิ์ ตรงกับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ให้ละชั่วด้วยกาย วาจา ใจ ประกอบแต่กรรมดีด้วยกาย วาจา ใจ ทำใจให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ และตรงกับพระพุทธวจนะที่ว่า กณฺหํ ธมฺมํ วิปฺปหาย สุกฺกํ ภาเวถ ปณฺฑิโต บัณฑิตพึงละธรรมดำเสีย พึงยังธรรมขาวให้เจริญ [สํ।มหา।19/28] เพราะว่าการเข้าถึง รู้ เห็น และเป็นธาตุล้วนธรรมล้วนฝ่ายพระหรือธรรมขาวนั้น ให้เป็นสุขด้วยความสงบดีนัก.
     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 พฤศจิกายน 2014
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    ประกาศข่าวโครงการอบรมพระกัมมัฏฐานประจำปี พ.ศ.2557 รุ่นที่ 68 (รุ่นปลายปี)

    ณ วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ต.แพงพวย อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ตั้งแต่วันที่ 1-14 ธันวาคม พ.ศ. 2557









    ขออาราธนาพระภิกษุ-สามเณร และขอเชิญอุบาสก อุบาสิกา ผู้สนใจศึกษาสัมมาปฏิบัติ ทุกท่าน สมัครเข้ารับการอบรมพระกัมมัฏฐานตามแนวสติปัฏฐาน 4 ถึงธรรมกาย ซึ่งพระเดชพระคุณ หลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ได้ปฏิบัติและสั่งสอนถ่ายทอดไว้



    วัตถุประสงค์การอบรม 3 ประการ คือ



    1. เพื่อสร้างพระในใจตนเองและผู้อื่น เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของสาธุชนให้กว้างขวางออกไป

    2. เพื่อสร้างพระวิปัสสนาจารย์หรือวิทยากรให้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ และให้งดงามพร้อมด้วยศีลาจารวัตร เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้อื่น เป็นที่พึ่งทางใจแก่สาธุชนได้อย่างแท้จริง ได้ช่วยกันสืบบวรพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวยิ่งๆ ขึ้นไป

    3. เพื่อรักษาและสืบต่อธรรมปฏิบัติตามแนววิชชาธรรมกายของพระพุทธเจ้า ให้ถูกต้องสมบูรณ์ ตามที่พระเดชพระคุณ หลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ได้สั่งสอนและถ่ายทอดเอาไว้

    กฏระเบียบง่ายๆสำหรับผู้ที่จะมาขอร่วมฝึกอบรมกัมมัฏบานเป็นครั้งแรก!!!!!

    1.เตรียมชุดขาวและของใช้ส่วนตัว(ส่วนเครื่องนอนอุปกรณ์ต่างๆมาเบิกที่วัดได้)

    2.ภายในวันที่ 1-14 ธ.ค.ท่านสามารถมา/กลับได้ทุกวันตามแต่สะดวก(แต่ถ้าให้ดีควรอยู่ติดต่อกัน3วันขึ้นไป)

    3.ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ(สำหรับการลงทะเบียนรับสมัคร)





    ติดต่อสอบถามได้ที่

    ประชาสัมพันธ์วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี 70130 โทร.090-5955162




    [​IMG]



    ----------------------------------------------------------------


    [​IMG]





    พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล ป.ธ.๖) เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม จ.ราชบุรี
    ถอดเสียงโดยคุณอภิวัฒน์ มีลาภ

    .

    ............เชิญญาติโยม สาธุชน พุทธบริษัททั้งหลาย พระภิกษุ-สามเณร มาเข้ารับการอบรมได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้าจะมีญาติโยมใดมีจิตศรัทธาที่จะมาทำนุบำรุงการให้การศึกษาอบรมเผยแผ่เป็นธรรมทาน และก็ทั้งอามิสทาน โอ..นี่เป็นมหากุศลเลย เพราะไม่ว่าจะเป็นพระ เณร อุบาสก อุบาสิกา ล้วนแต่มาปฏิบัติธรรมทั้งนั้น เป็นผู้ที่พุทธศาสนิกชนผู้มีไตรสรณคมน์ และยิ่งตั้งใจศึกษาปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "ผู้ปฏิบัติเพื่อพระโสดาปัตติมรรค ทั้งหมดเนี้ยนะ ถ้าใครมาทำบุญด้วยเนี้ย อานิสงส์นับประมาณไม่ได้ ให้เจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสาร ธรรมสาร สมบัติ" นี่นับประมาณภพชาติไม่ถ้วน เนี้ยที่จะได้อานิสงส์ ถ้าใครมาทำนุบำรุง มาทำนุบำรุงเนี้ย ด้วย

    1. อามิสทาน ด้วยปัจจัย 4 หรือเครื่องอำนวยความสะดวก

    2. ด้วยธรรมทาน คือการให้การศึกษา อบรม เผยแผ่ รวมไปถึงหนังสือธรรมะ เทปต่าง ๆ ที่จะแจกให้แก่ผู้มาปฏิบัติธรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระภิกษุสงฆ์ที่มาจากวัดต่าง ๆ และก็ญาติโยมที่ได้รับธรรมะไป นี่เป็นการให้ธรรมเป็นทาน

    แล้วเราปฏิบัติไปจนถึงอภัยทาน ใครจะมาล่วงเกินเรา ใครจะมาขัดใจเรา อะไรกับเราก็แล้วแต่ อภัยให้ตลอด ไม่ถือสาหาความ ปล่อยไป ถ้าว่าเขารู้ตัวดีว่าเขาผิดพลาดเขามาขออภัยเรา เราก็ต้องให้อภัยนะอย่าไปติดใจเอาไว้ หรือแม้เขาไม่มาขออภัยก็ปล่อยไปอย่าไปเก็บไว้ มันเป็นบาปอกุศลอยู่ในใจเรา อย่าไปเอามันไว้ นั่นเป็นอภัยทาน

    .

    ทีนี้มีอีก 1 รายการ อบรมพระวิปัสนาจารย์ โอ้..นี่หลักสูตรสำคัญ เป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติกับวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ปีหนึ่งมี 2 รุ่น ที่จะอบรมแบบนี้ มีพระเถรานุเถระจากจังหวัดต่าง ๆ ในประเทศไทยเราเนี้ย ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาเขาจะคัดเลือกขอให้จังหวัดต่าง ๆ ส่งมาอบรมที่นี่ทุกปี ปีละ 2 รุ่น หลายร้อยรูป นี่ท่านก็จะไปทำประโยชน์ให้กับพระพุทธศาสนา แก่สาธุชน พุทธบริษัท นี่ก็ใครมาทำนุบำรุงก็เป็นบุญเป็นกุศล อันนี้ก็เจริญพรให้ทราบโดยถ้วนหน้ากัน
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...