กสิณอะไรฝึกง่ายสุดหนอ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย lovepyou, 8 กรกฎาคม 2014.

  1. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    ^_^ ขอบคุณค่ะ ...
     
  2. ิBat of light

    ิBat of light เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2012
    โพสต์:
    687
    ค่าพลัง:
    +842

    จิตเค้ากระเชื่อมกับระบบหมายความว่ามีความสามารถในเรื่องของการเชื่อม
    พลังงานภายนอกต่างๆได้ครับ แนวกระดูกสันหลังเค้าจนเป็นแกนสนามแม่เหล็ก
    แล้วครับ..

    หมายถึงการเชื่อมต่อจิต กับพลังงานผ่านจักระหรือเปล่าครับ หรือเชื่อมกับจิตได้โดยตรง
    แนวกระดูกเป็นแกนสนามแม่เหล็ก ก็แปลว่าเขาเจอขั้วทั้งสองแล้ว
    และสนามแม่เหล็กต้องมีขอบเขตรัศมีของพลังงาน เค้าคงเจอและขยายมันได้ด้วย
    แม่เหล็กมีทั้งแรงผลักและแรงดึง นั่นย่อมหมายถึงเขาเลือกได้ว่าจะดึงดูดอะไร
    หรือผลักพลังงานแบบไหนออกไปให้พ้นๆ ได้ด้วย
    เมื่อเป็นแม่เหล็ก ก็ต้องเชื่อมต่อกับสนามแม่เหล็กโลกได้ ใช่ไม๊น๊า
    เห็นเค้าเคยโพสท์ว่า เพิ่มพลังงานสนามแม่เหล็กโลกได้ด้วย ตอนรับมือกับพายุสุริยะ



    และเชื่อมกับครูบาร์อาจารย์มาตั้งแต่เด็กร่วมด้วยแล้วนะครับ

    เพราะสังเกตุพื้นที่ในการเชื่อมครูบาร์อาจารย์ของศีรษะเค้ามันมากกว่า
    คนที่มาปฏิบัติแล้วถึงมาเชื่อมทั่วๆไปครับ....

    อันนี้ก็น่าจะใช่นะ เพราะเค้าว่าฝึกเองตั้งกะเด็ก เริ่มเล่นไล่จับลมหายใจตั้งกะสิบขวบล่ะมั้ง นะ
    แล้วยังชอบนั่งนิ่งๆ ทำลมหายใจแผ่วๆ ช้าๆ ลึกๆ ยาวๆ ตอนนั่งรถไปไหน หรือต้องนั่งรออะไร
    แต่เค้าไม่เคยบอกเลยนะครับ ว่าเคยเจอใครหรืออะไรในนิมิตร ส่วนมากจะเจอจากในหนังสือ
    จากเรื่องโน้นมาเรื่องนี้ เค้าว่าย้อนคิดแล้ว เหมือนเป็นขั้นตอนที่เตรียมการไว้เลยครับ
    เจอจากหนังจากการ์ตูนบ้าง พอปิ๊งอะไรในนั้น ก็ชอบเอามาคิดต่อเนื่อง หรือแบบผาดโผนพลิกแพลง



    เชื่อมระบบในลักษณะค่อนข้างแน่นด้วยครับหมายความว่าฝึกมาดีอีกต่างหาก..

    เห็นด้วยเลยครับ เค้าว่าก้าวหน้าตลอด เจออะไรก็เก็บมาคิด มาพัฒนา แต่ส่วนใหญ่ชอบเอามาเล่น ๕๕๕



    และตัวจิตเค้าๆเนี่ยก็มีฐานที่เด่นเรื่องความพิเศษอยู่แล้วด้วยครับ.และเด่นใน

    ลักษณะที่สามารถเข้าสมาธิระดับสูงได้ด้วยอีกต่างหาก.โอ้ๆๆๆๆ ถือว่า
    เก่งเลยนะครับ.อย่างนี้ขอยอม..มาเรื่องกสิณดีกว่าเนาะ..

    เรื่องสมาธินี่ก็แน่นอน เค้าชอบจ้องอะไรแบบเพ่งมาตั้งกะเด็กแล้วครับ สงสัยไปโม้ด
    ในหัวไม่ค่อยจะว่างหรอกครับ ชอบหาอะไรมายัดไว้อยู่เรื่อย ให้เซลล์สมองทำงานตลอดเลย
    ส่วนสมาธิระดับสูงนี่ คงต้องหลังจากเค้าอายุสิบห้าสิบหกแน่เลย เค้าเล่าว่าเคยตกสวรรค์ในร้านหนังสือเช่า
    หนีเรียนไปหมกอยู่ในนั้น อ่านมันทั้งวันตั้งกะเช้าจนเย็น กลับบ้านเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมาอ่านต่อ
    แล้วเช่ากลับไปนอนอ่านต่ออีกที่บ้าน ๕๕๕ บ้าซะไม่มี
    อ่านมั่วซั่ว จนเกือบหมดร้านแน่ะครับ หลากหลายหนังสือ ร้านใหญ่นะ หนังสือแยะเชียว ใครเตรียมไว้น๊า หึหึหึ
    จนมีคนมาพบ แล้วไปฟ้องครู เค้าโดนตีหน้าเสาธงด้วยล่ะ ๕๕๕ เท่ห์ระเบิด

    เค้าว่าเค้าคงได้ฌานตั้งแต่ตอนนั้นแล้วล่ะครับ ผ่านวิชาตาลอย ลืมโลกภายนอกหมดสิ้น
    จิตจรดจ่ออยู่กับเรื่องราวในหัว ที่คิดต่อเนื่องออกมาจากในหนังสือ สร้างภาพสร้างจินตนาการสนุกเชียว เค้าว่างั้นนะ



    ส่วนกสิณแม่น้ำส่วนตัวคิดว่าไม่มีครับ.น่าจะเป็นการตั้งชื่อเรียกตามสถานที่

    ที่ไปใช้งานเพื่อให้เกิดผลมากกว่าครับ...แต่น่าจะเป็นการใช้กสิณในระดับกำลัง
    สมาธิระดับสูงตั้งต้น(ส่วนการถอยกำลังลงมาเป็นเทคนิคอลเทอมปกติ
    สำหรับการนำมาใช้งานได้จริงครับตรงนี้ไม่มีอะไรมากและไม่ใช่เรื่องแปลก
    แต่กว่าจะทำได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆครับ.)ส่วนตัวว่าฟิดๆว่างๆยังปาเข้าไปครึ่งชั่วโมง
    เลยครับกว่าจะทำได้ เลยขอลาพักการศีกษามาเล่นแนวอื่นๆไปก่อน..

    เรื่องกสิณแม่น้ำนี่ ท่านเคยได้ยินได้ฟังมาบ้างไหมครับ ว่ามีใครเค้าทำกันได้บ้างไม๊
    เพ่งจนแม่น้ำไหลเร็วแรงขึ้นได้เนี่ยนะ ไม่เคยเห็นอ่านเจอที่ไหนเลย เก่งเวอร์เนอะ
    เค้าว่าตอนนั้นเค้าขับสามล้อด้วยนะครับ แบบลงจากรถมา ก็เดินตาจ้องเป๋งมาแต่ไกลเลย
    สงสัยรวบรวมสมาธิ แต่ก็แค่แป๊บเดียวเอง ไม่รู้ทำไมมันขึ้นไวจัง
    แต่เคยเห็นเค้าทำมือกระดิ๊กๆ ด้วยนะ คงรวบรวมปราณมาระหว่างทางแล้วด้วยหล่ะ
    มาถึงท่าน้ำก็ยืนนิ่งเชียว ไม่เห็นเค้าบริกรรมหรือสวดอะไร ไม่ได้ขอพลังจากใครด้วย
    แบบว่าเดินๆ มา ถึงก็หยุดนิ่ง แล้วลงมือได้เลย ไม่รู้มันจะเก่งไปไหนกันเนอะ



    และเค้าๆก็รวมกับพลังปราณภายนอก
    ที่เค้าๆได้จากการเชื่อมระบบนั่นหละครับ..และการที่เค้าสามารถทำได้นั้นเหตุ
    เพราะเจตนาตั้งต้นใช้งานเป็นประโยชน์ทั้งนั้น..การที่พื้นฐานเดิมเข้าสมาธิได้ระดับ
    สูงมาก่อนและมีความสามารถในการเชื่อมระบบได้อย่างนั้น องค์ประกอบมันจึง
    เกลือหนุนกันได้อย่างพอดีครับ...
    ส่วนมากบรุษอย่างนี้จะมีครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิคอยสอนให้อยู่แล้วครับ..
    เหตุเพราะจิตเค้าเคยสร้างสมบารมีทางด้านนี้มาก่อน.

    อืม..เหมือนเค้าเล่นโกงเลยอ่ะ เล่นฝึกวิชามาสารพัด อะไรก็ไม่ต้องให้ใครสอน
    ไม่เข้าใจตรงไหน ก็เพ่งมันเข้าไป เดี๋ยวคำตอบก็ออกมาให้ทดลองทำดู ผิดก็ช่าง
    เจ้าตัวก็คงไม่รู้ด้วยแหละ ว่าผิดหรือถูก จิตส่งอะไรออกมา ก็รับไว้ แล้วทำตามนั้น ก็สะดวกดีทั้งสองสามฝ่าย
    ทั้งปราณยาม โยคะ ไท้เก๊กในส่วนของการเดินลมปราณ การเคลื่อนย้ายพลังงานไปทั่วร่าง
    หลักการเก็บสะสม และเพิ่มพลังอย่างเร็ว ทั้งการขยายจุดเก็บพลัง เอาเปรียบชาวบ้านเค้าจริงๆ ๕๕๕

    โดยเฉพาะการฝึกโยคะ เหมือนกับขยายทางเดินพลังงานให้ใหญ่และยืดหยุ่นได้ดี
    พอมาเดินลมปราณแบบจีน ทำให้ไหลได้สะดวก มากมาย ต่อเนื่อง จะเก็บหรือเรียกใช้ ก็มีแยะ แรง เร็ว
    ไหนจะเรื่องการใส่สีให้ปราณนี่ก็อีก ไม่ค่อยมีใครรู้ล่ะมั้ง นะ เรื่องเนี้ย
    พลังงานแต่ละสี ก็มีคุณสมบัติเฉพาะตัว โดดเด่นต่างกัน ใช้งานได้หลากหลาย

    พอมาถึงเรื่องเต๋ากับเซ็นนี่ยิ่งไปกันใหญ่แล้ว จิตสำนึกขยับขยายออกไปอย่างไร้ขีดจำกัดจริงๆ
    ฝึกฝนมาอย่างกะคนบ้า ไม่ค่อยทำงานทำมาหากิน พออายุสามสิบก็เริ่มเน้นเรื่องธรรมะ
    อีกปีนึงก็ทิ้งโลกเข้าสวนโมกข์ เรียนอย่างทุ่มเท เค้าว่าสนุกสุดๆ เลยตอนนั้น
    ทุกวันก้าวหน้าต่อเนื่อง เกิดอาการแว๊บปิ๊ง วันละหลายๆ ครั้ง เข้าใจอะไรได้ลึกซึ้งดื่มด่ำ ขึ้นไปแทบจะทุกนาที

    ตั้งกะวันแรกก็เริ่มด้วยเรื่องธาตุทั้งหกเลย ท่านจ้อยให้หนังสือเรื่องธาตุมา ตอนติดต่อที่เค้าเตอร์
    โชคดีที่เริ่มได้ถูกทาง มาอ่านเจอตอนหลัง ว่าท่านพุทธทาสเคยกล่าวไว้ ว่าให้เริ่มจากตรงนี้ ๕๕๕
    จากเรื่องธาตุ ก็มาเรื่องขันธ์ห้า เรื่องอายตนะ เรื่องอานาปา โดยเฉพะาอานาปานี้นะ
    เค้าว่าอ่านไปอ่านมา เอ๊..ไอ้นี่เราฝึกมาตั้งกะเด็กแล้วนี่หว่า เทียบๆ ดูแล้ว เหมือนกันเลยแฮะ
    เลยไปได้ไวหน่อย ผ่านหมวดธรรมมาเรื่อยๆ มาใช้เวลาหลายวันก็ตรงปฏิจจะสมุปบาท
    อันนี้ยากหน่อย เค้าเล่าว่า ตอนเริ่มเรื่องนี้นะ ไปเจอภาพในโรงมหรสพทางวิญญานภาพนึง
    ปิ๊งเลย ยืนจ้องเพ่งอยู่นาน จนต้องนั่งสมาธิมันตรงนั้นแหละ ยืนจนเมื่อยแล้วก็ยังไม่เก็ท ๕๕๕

    มีคนแก่เดินผ่านมา เห็นเข้าแล้วบอกว่า โอ้โห นี่อย่างแรง ๕๕๕ คนใต้น่ะครับ



    และมักจะเป็นบรุษที่ต้น

    กำเนิดดวงจิตไม่ได้มาไตรภพนี้ครับ.ส่วนมากพวกทำได้อย่างนี้จะมาจากดินแดน
    ที่เชื่อว่าหายสาบสูญไปแล้วหรือเรารู้จักกันในนาม นครแอตแลนติส.

    หรืออาจจะป็นเลมูเรียหรือเปล่าครับ ในกระทู้นักรบแสง เคยเห็นเค้ากล่าวถึงครั้งนึงนะว่า
    เคยได้กระจกเงาแห่งเลมูเรียมา โดยเต๊บไม่เหาะเอามาให้ (ในนิทานนะครับ หึหึหึ)
    เค้าเพ่งกระจกจนย้อนอดีตได้ด้วย เห็นหน้าตัวเองเหมือนมนุษย์ต่างดาวด้วยล่ะ ๕๕๕ สะดุ้งเลย



    พวกนี้สังเกตุง่ายๆคือจะมีปีกกันทุกคนครับ
    มีหลายแขนด้วยครับ.และจะรู้เรื่องมิติต่างๆเรื่อง
    พลังงานต่างดีดี๊และจะมีอาวุธทิพย์ประจำกายกันทุกคน
    ด้วยครับแต่น้อยคนที่จะมีจักรทิพย์ครับ.

    เอ..แต่ไม่เห็นเค้าเคยเล่าเลยนะว่ามีปีก แต่เคยหัดบินไปมาอยู่บ้าง ตอนเด็กที่ดูการ์ตูนแยะๆ
    ตอนเด็กๆ เคยไปโดดจากตึกชั้นสอง ที่ยังสร้างไม่เสร็จ โดดลงกองทรายนะครับ
    เค้าจำได้แม่นเลย โดดลงมา แล้ววิ่งขึ้นไปใหม่ ทำได้ทั้งวัน จนกว่าจะหิว ๕๕๕

    อ้อ..มีเรื่องนึงที่เค้าไม่เคยเล่าที่ไหน ตอนยี่สิบกว่าทำงานกะญาติที่โรงเลื่อย
    เคยโดนรถโฟล์คลิฟท์ที่ใช้ยกซุง แต่มันหนักไป ซุงหล่นแล้วรถกระเด้งอย่างแรง
    เค้าลอยขึ้นไปสูงห้าหกเมตรได้มั้ง มีคนเห็นเค้ากางแขนแล้วลอยลงมายืนได้ ไม่เป็นไรเลย แปลกจัง
    แต่อีกคนที่ยืนถ่วงน้ำหนักรถอยู่ด้วยกัน กระเด็นไปตกอีกฟากถนน ซึ่งกว้างพอให้รถบรรทุกสวนกันได้
    คงซักหกเจ็ดเมตรได้มั้ง จากจุดที่รถกระดกดีด เค้าต้องเอาส่งโรงบาลเลยครับ เจ็บหลังไปหลายวัน

    เค้าว่า ก่อนรถกระดก คล้ายมีแรงสังหรณ์ หรือใครเตือนด้วยครับ ว่าอันตราย
    แต่เค้าก็ไม่ลงมาจากรถ ไม่งั้นอีกคนที่ยืนอยู่ อาจโดนแรงดีดขึ้นไปตกบนหลังคาก็ได้ ถ้าเค้าไม่ช่วยถ่วงไว้อ่ะ
    พอเค้ารับรู้ได้ว่าอันตราย ก็ทำคล้ายเดินกำลังภายในวิชาตัวเบา รอรับเหตุการณ์ไว้เลยครับ
    เดินลมปราณไปทั่วร่าง สติและสัมปชัญญะถูกเร่งเร้าจนสุด เตรียมรับกับทุกสถานการณ์
    พอลอยขึ้นไปบนอากาศ ก็เลยทำวิชาตัวเบาได้ทัน เพราะเตรียมไว้แล้ว
    ไม่งั้นลงมาคงเจ็บไม่น้อยล่ะครับ โดนดีดขึ้นไปห้าหกเมตร ตกลงมาคงแขนขาหักได้นะ เนอะ

    แต่เรื่องหลายแขน อาจเป็นอาชูร่าหรือเปล่าครับ เรียกเค้ามาช่วย ตอนเล่นนิทานนักรบแสงช่วงแรก
    คงต้องรบหนัก กะอะไรบ้างไม่รู้ เกือบบ้าไม่รู้กี่ครั้ง สุดท้ายก็บ้าจริง แล้วหายได้เอง
    แต่อาชูร่านี่โหดได้ใจดีนะครับ ฟันอะไรขาดกระเด็นไปบ้างก็ไม่ทราบ
    ฟันเสร็จส่งวิญญานลงนรกไปเลย พาไปส่งให้ถึงที่ ไม่รู้มีตัวอะไรโดนไปบ้าง (นิทาน)

    และก็แปลกๆนะครับกลุ่มคนพวกนี้

    มักจะไม่หวังนิพพานทั้งๆที่ความสามารถเหนือมนุษย์ทั่วไป.เพราะเค้าเน้น
    เรื่องการช่วยเหลือคนอื่นๆมากกว่าครับ...

    เค้าคงเห็นว่านิพพานก็แค่นั้นล่ะมั้ง ก็พุทธะสอนเน้นเรื่องทุกข์ ก็ในเมื่อเค้าไม่ทุกข์แล้ว
    ก็ไม่เห็นต้องกลัวอะไรในชีวิต ไม่เห็นต้องหนีไปนิพพานนิ่งๆ เค้าว่าไม่เห็นอยากไปเลย น่าเบื่อออก




    ส่วนกสิณถ้าใช้ได้ซักกองมาแล้วนะครับ
    ในระดับกำลังสมาธิระดับสูงมาก่อนนะครับ กองอื่นๆมันก็เรียกพลังงานมาใช้ได้ของ
    มันเองปกติครับ ประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก..

    เรื่องกสิณยกไว้ต่อภาคต่อไปละกัน ชักจะยาวมากแล้ว ตอนนี้
    อืม..เค้าแต่งเสร็จ อ่านทวน ก็รู้สึกว่าตอนนี้ก็สนุกดีนะ ท่านว่างั้นไม๊ครับ ๕๕๕



    พนม เทียนธูปดอกไม้ / ดร.ดิเรก ผัวประภาพี่ประไพ

    .
     
  3. champ_atikrit

    champ_atikrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +102
    ขอบคุณคุณพี่ nopphakan มากเลยครับที่ออกมาแนะแนวทางครับ ส่วนตอนนี้เน้นสร้างฐานกำลังสมาธิอยู่ครับ เพื่อให้แน่นครับ ตั้งแต่เริ่มฝึกกสิณดินรู้สึกได้เลยว่าจิตใจหนักแน่นมากขึ้น เดี๋ยวนี้พอมานั่งได้แปปเดียว วงกสิณเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวเร็วมาก แต่ยังไม่ขาวมาก และมีแสงสว่างวิ่งรอบวงกสิณ แสดงว่าเข้าสมาธิเร็วขึ้น ครูผมบอกว่าเป็นปิติครับ ครูเค้าให้นั่งต่อไปไม่ต้องคิดอะไร และก็หลับตาดูนิมิตในจิต เดี๋ยวจิตจะทำหน้าที่ของมันเอง ก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในขั้นไหนแต่ก็ได้ตั้งใจปฏิบัติ ส่วนในเรื่องของปฏิภาคต้องอีกสามเดือนครับ ส่วนตอนนี้ก็ขอสร้างกำลังสมาธิไปเรื่อยๆก่อน แต่ก็พยายามคิดถึงอิทธิบาท4 อยู่ตลอดครับ อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 ตุลาคม 2014
  4. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    ขอตอบซะหน่อยจากข้อความเดิม
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    กสิณเป็นไม่ว่ากองไหนๆก็ตามในระดับเริ่มต้นถือว่าเป็นกรรมฐานแบบหยาบๆครับ..
    เพราะฉนั้นใครจะฝึกกองไหนๆในระดับเริ่มต้นมันก็จะง่ายหมด..แต่ที่ทำให้รู้สึกว่า
    มันง่ายๆก็เพราะว่ามันเกิดกิริยาต่างๆเช่น ภาพ อารมย์ ความรู้สึกทางกาย ได้ชัดเจน
    บุคคลที่ฝึกกสิณกองนั้นๆที่สัมผัสกิริยาต่างๆจึงเข้าใจว่ากองนี้มันง่าย กองนี้เราชอบที่สุด
    กองนี้เหมาะกับเราที่สุด..แต่การที่กรรมฐานกองนี้จะก่อเกิดประโยชน์ได้จริงๆ
    กับตัวเราหรือบุคคลอื่นๆในระดับที่ทำให้บุคคลอื่นๆสัมผัสรับรู้ได้ และเกิดประโยชน์ได้
    จากกำลังจิตที่ได้จากกสิณกองนั้นๆ..ยังๆไง ก็จำเป็นจะต้องเข้าถึงการฝึกฝนในระดับ
    กำลังสมาธิระดับที่สูงหรือในระดับกำลังฌานที่ ๔ ในระดับที่มีกำลังสติที่จะสามารถ
    ควบคุมจิตและรักษาเวลาเพียงพอที่จะอฐิษฐานจิตเพื่อให้เกิดผลได้
    หรือในระดับที่สามารถบังคับปฏิภาคนิมิตรกสิณกองใดๆก็ได้ในระดับกำลังที่ฌานที่
    สูงเพื่อให้จิตเกิดกำลังจิตขึ้นมาในรูปแบบพลังงานที่สามารถทำให้คนอื่นๆสัมผัสได้
    และนำไปใช้ให้ก่อเกิดประโยชน์กับผู้อื่นๆได้ครับ ถ้าเราเล่นในระดับที่จิตเป็นทิพย์
    ไม่ว่าจะตาเปล่าหรือลืมตา.แม้เสมือนว่าเราบังคับภาพได้ มันจะยังไม่ใช่การสร้าง
    กำลังจิต แต่มันเป็นแค่การฝึกใช้..หรือก็จะเป็นแค่การได้รู้ ได้เห็นคนเดียวของเรา
    แต่ไม่สามารถนำไปทำอะไรได้ นอกจากเอาไว้เล่าให้คนอื่นๆฟัง..
    เพราะฉนั้นในระดับใช้งานได้จึงมีปรากฏให้เห็นได้น้อย.เพราะมักจะไปยึดติด
    กับนิมิตรต่างๆที่เห็นขณะฝึก แล้วไปเปลี่ยนแนวเป็นโหมดท่องเที่ยวบันเทิง
    ไปเผลอโน้มนิมิตรเข้ามากลายเป็นสัญญาผูกมัดจิตทำให้ไม่ก้าวหน้า
    และที่สำคัญก็คือ มักจะหลงตัวเองโดยที่ไม่รู้ตัว ใครบอกก็ไม่ฟัง.
    คิดว่าตัวเองมีความสามารถทั้งๆที่ไม่สามารถทำให้คนอื่นๆรับรู้
    และสัมผัสได้.ซึ่งมีให้เห็นเยอะแยะ..

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น..แม้ว่าเราจะได้ยิน ได้อ่านมาว่า กสิณเป็นกรรมฐานที่เน้นออกไปทางฤิทธิ์
    หรือเกิดเครื่องรู้พิเศษก็ตาม..แต่ผู้ได้อ่าน ได้ยิน ได้ฟัง มักจะมองข้ามหรืออาจยังคำที่
    หลวงพ่อมีชื่อท่านอัดเทปคำสอนทิ้งไว้ว่า.เพราะถ้าหากเราสังเกตุดีๆนะครับ
    เวลาที่หลวงพ่อมีชื่อท่านสอนเทคนิคคอลเทอม ท่านจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม
    และเบาลงรวมทั้งเรียบๆ.หากเราขาดสติในการฟังจะไม่ได้ยินคำสอนช่วงนั้นๆ..
    และเมื่อเราสามารถถึงขั้นที่จะอฐิษฐานจิตได้แล้วนั้น
    ท่านให้เราเน้นในเรื่องการนำกำลังสมาธิที่ได้จากการฝึกกสิณนี้..
    เพื่อไปต่อยอดให้เราไต่ระดับ
    ไปขึ้นสมาบัติ ๘ และต่อยอดไปปฏิสัมภิทาญานได้
    ถ้าหากเราได้ฟังได้อ่านคำสอนดีๆจะพบว่า.
    เมื่อจิตเราไต่เข้าสู่ระดับแรกที่จะก้าวไปสูอรหันต์ได้..ความสามารถต่างๆมันจะไม่หาย
    รวมทั้งกำลังจิตต่างๆก็จะไม่มีเสื่อมครับ เหมือนงูมีพิษแม้ว่าใครจะจับมันมาทาสี
    บอกว่าเป็นงูกินพืช.หรือเอามันไปไว้ที่ไหน มันก็จะยังมีพิษอยู่เหมือนเดิมเพราะร่างกาย
    มันสามารถสร้างพิษขึ้นมาได้เรื่อยๆ..ไม่เหมือนงูกินมะพร้าวบนยอดสูง ที่ชอบบอกว่า
    ตัวเองมีพิษทั้งหลาย ชอบยอมสีให้เหมือนงูพิษ..งูพวกนี้จึงมักจะบอกว่า ความสามารถ
    มันเสื่อมกำลังจิตมันเสื่อม เพราะว่าพูดจากพื้นฐานของตนเองนั้นเองครับ.

    ..และถ้าเราสร้างความดีจนจิตไต่เข้าสู่ระดับสองจะเริ่มใช้งานได้แต่จะยังไม่ถึง
    ในระดับกำลังสมาธิขั้นสูง..ยกเว้นว่าเมื่อจิตเราไต่เข้าสู่ขั้นก่อนที่จะไม่มีกิเลส.
    พวกความสามารถระดับปฏิสัมภิทาญานมันก็จะมาของมันเองได้ครับ.
    .พวกนี้ไม่ว่าจะเรื่องความสามารถต่างๆพวกความสามารถใช้งาน
    พวกเครื่องรู้ต่างๆเราเอาไว้ตรวจสอบตัวเราเองได้แต่นั้นในเรื่องของ
    ความสามารถทางจิตและเรื่องกำลังจิต.

    ..แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ใช่จะเอามาเป็นตัวชี้วัดได้ว่าเราเป็นบุคคลที่เรียกได้
    ว่าเป็นคนดีครับ..เพราะคนที่เค้าดีจริงๆ..ตัวจิตเค้าจะวางและว่างจากการเกิดได้ตลอด
    ทั้งวันเหมือนพระอรหันต์ท่านทั้งหลาย.คือจะต้องรู้จักนำกำลังสมาธิที่ได้นี้
    ไปเพื่อสร้างสติทางธรรมเพื่อเดินปัญญาลดละกิเลส..ความแตกต่างของปัญญา
    ทางธรรมจึงยังคงแตกต่างกันได้ และการรู้จะต้องเป็นแบบรับรู้แต่ยึดเพราะเราไป
    ห้ามตาและหูไม่ให้ได้ยินคงไม่ได้.. และจิตจะต้องเข้าสู่การว่างจากกิเลส ว่างจาก
    การเกิด เป็นการว่างที่ไม่ได้มาจากข่ม หรือการบังคับด้วยกำลังสมาธิถึงจะเป็น
    การว่างที่แท้จริง พูดง่ายๆคือว่างแบบตาเปล่าในสภาวะปกติทั่วๆไปครับ..
    .ซึ่งไม่ใช่การว่างแบบนักปฏิบัติที่ไปเผลอคิดว่าความสงบของจิตเป็นความว่าง
    ถ้าจิตเรามันว่างจากการเกิดจริงๆสายตาปกติเรามันจะมองเห็นได้ไกลครับ
    บางคนมองได้ไกลเป็นกิโลๆ.และจิตก็จะเย็นและรู้สึกได้ว่าตัวเบาเวลาเดินแทบ
    จะอยู่ในสภาวะไร้น้ำหนัก..กิริยาแบบนี้แม้แค่เพียงเสี้ยววินาทีเดียวในเวลาปกติ..
    จิตก็จะเกิดเครื่องรู้หรือภูมิความรู้ได้มากมาย
    เพราะตัวจิตไม่มีอะไรมาเกาะ.มันเลยมองเห็นสว่าง มีสัญญาไปเชื่อมองค์ความรู้ต่างๆ
    ได้มากมายตามแต่ความสามารถในการรักษาระยะเวลาจิตว่างให้ได้ เริ่มจากวินาทีก่อน
    ..ท่านๆทั้งหลายจึงรู้เรื่องทางธรรมแสดงธรรม
    ตลอดจนเข้าใจธรรมในระดับทะลุปุโปร่งได้ ไม่เหมือนเราๆที่ยังต้อง.ถูๆไถๆไปก่อน เน้นฮา.๕๕๕

    คนที่คุณ กิ่งสน กล่าวถึงท่านนั้นเค้ามีทิพย์จักขุในระดับใช้งานที่สามารถ
    เห็นเป็นภาพที่ปรากฏให้เห็นบนอากาศได้ด้วยตาเปล่าครับ และจิตใจก็มีเมตตา
    ที่ออกมาจากภายในร่วมด้วยแล้วครับ...แต่ว่าเป็นบุคคลที่ค่อนข้างถ่อมตัว
    แม้จะมีปัญญาทางธรรมค่อนข้างมาก.เพราะกระแสจิตจิตบุคคลนี้เชื่อมกับครูบาร์
    อาจารย์ตลอดเวลาและตัวจิตก็มีองค์ความรู้เกี่ยวกับเรื่องพลังงานภายนอก
    ในระดับดี..ที่สำคัญคือฉลาดในการถ่ายทอดคำพูดออกสู่สังคมครับ...
    และยังรู้ทางแนวพิชาพิเศษของหลวงพ่อในอดีตมีชื่อด้วยครับ.
    .
    และบุคคลิกนิสัยของบุคคลที่จะเป็นผู้มีความทางพิเศษทางจิตที่ควรจะต้องพึงจำไว้ให้ดี
    นอกจาก..การสร้างสมบารมีทางด้านต่างๆเพื่อเป็นทุน ความเมตตาที่ออกจากจิตตน
    ตลอดจนอิทธิบาท ๔ แล้ว สิ่งที่ต้องพึ่งระวังคือ

    อย่าหมายมั่นปั่นมือว่า ตนเองจะได้รับการยอมรับ ด้วยหมายมั่นปั่นมือ
    ว่าตนเป็นบุคคลผู้มีความสามารถทางจิตเหนือกว่าผู้อื่น..ไม่งั้นจิตจะไม่เกิดความสำรวม
    เป็นผลต่อการใช้ความสามารถทางจิตครับ

    อย่าพยายามอะไรก็ตาม หรือก่อเหตุอะไรก็ตามเป็นเหตุให้ก่อเกิดความขัดแย้ง หรือต้อง
    ทะเลาะเบาะแว้งกันเนื่องจากเหตุที่ต้องพูดกันมากความ

    และควรจะต้องพยายามหลีกเหลี่ยงสถานที่ต่างๆที่มีเสียงดังอึกทึกครึกโครม หรือสถานที่
    ต่างๆที่มีเหตุจะทำให้เกิดความวุ่นวายต่างๆ..เพราะจะทำให้จิตเผลอไปยึดติดกับเสียงต่างๆ
    กับสภาพแวดล้อมต่างๆได้ง่ายเป็นเหตุทำให้ส่งผลต่อความสามารถในการใช้งานทางจิต

    และทั้ง ๓ ข้อจะเป็นเหตุให้จิตเกิดความฟุ้งซ่านไม่เป็นสมาธิได้ครับ
    หากเราคิดว่าในอนาคตเราอาจจะเดินเส้นทางนี้เพราะเหมือนๆกับว่า
    ตัวจิตเรามันพอมีเชื้ออยู่บ้าง เราก็ควรจะต้องพึงระวังประเด็นนี้ให้ดีๆครับ..

    ปล.ประมาณนี้ครับ...
     
  6. [-VaLentine-]

    [-VaLentine-] กระผมสมาธิและกำลังจิตกากสุดในเวปนี้

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +486
    ขออนุญาตปริ้นแปะฝาบ้านเอาไว้อ่านเล่นนะครับ ข้อความของพี่นพข้างบน อ่านแล้วโดนครับ ^___^

    ปล.ช่วงนี้อ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปานเสริมสร้างศรัทธาครับ ^^
     
  7. Jasmin99999

    Jasmin99999 วันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    971
    ค่าพลัง:
    +3,332
    เห็นอธิบายกสิณดินน้ำลมไฟพอหอมปากหอมคอแล้ว รบกวนท่านพี่นพอธิบายเพิ่มเติมเรื่องกสิณ(หรือเปล่า)ในการเพ่งมองภาพพระพุทธเจ้าหรือพระอริยสงฆ์ ผลที่ได้จะเหมือนหรือต่างจากกสิณกองอื่นอย่างไร และเทคนิคอลเทอมควรไม่ควรอย่างไรบ้างเพื่อให้เห็นผลเร็ว เพื่อจะได้นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและส่วนรวมในภายภาคหน้าค่ะ
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040

    จะให้แนะนำขออนุญาตบอกว่าควรอ่านข้อความใน #Rep นี้ให้เคลียร์ให้เข้าใจก่อน
    เพื่อปรับพื้นฐานความคิดให้เป็นในแนวทางเดียวกันก่อนครับ

    โดยส่วนตัวเลยนะครับ.เรื่องเทคนิคคอลเทอม
    เป็นเรื่องรองจะให้แนะนำไปถึงอรูปฌานขั้นที่ ๓ ก็ได้หรือจะไปถึงวิญญานธาตุก็ได้
    หรือจะให้ไปทางอธิษฐานจิตก็ได้.หรือจะแนะนำให้ถึงสร้างทิพย์จักขุให้บังเกิดผล
    ใช้งานได้จริงๆแบบลืมตาปกติทั่วๆไปก็ได้ครับ.หรือจะหรือจะให้ออกไปทางเรื่อง
    การสัมผัสพลังงานต่างๆจากภายนอก หรือสร้างพลังงานจากภายในร่วมกับ
    ภายนอกเพื่อการใช้งานก็ได้ครับ.ไม่ใช่เรื่องหลักสำคัญอะไรครับ..

    และเห็นว่าการใช้ภาพพระสงฆ์หรือพระพุทธฯท่านใดๆก็ตาม
    เพื่อตั้งต้นสำหรับการฝึกถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเลยครับ.
    และแม้ทุกวันนี้ก็ ณ เวลานี้ปัจจุบันนี้ก็ตามก่อนที่จะพิมพ์
    หรือตอบข้อความใดๆก็ยังคงใช้หลักการนี้ก่อนทุกครั้ง
    แม้ว่าอาจจะมีลืมบ้างเล็กน้อยก็เรื่องปกติ ๕๕๕ ...เหตุผลเพราะการรักษาอารมย์
    ในระหว่างวันหรือแม้กระทั่งช่วงที่เรากำลังฝึกอยู่นั้น..เป็นอุบายในการน้อมระลึกถึง
    คุณพระรัตน์ตรัยไปในตัว.เป็นเหตุให้จิตมีความสำรวมระวัง.ในการใช้ความคิดไปในทาง
    อกุศลต่างๆได้ดี..และการฝึกกสิณภาพพระนี้.ถ้าหากจะให้ถึงขั้นใช้งานได้จริงๆ
    เพื่อก่อเกิดเป็นเครื่องรู้พิเศษสำหรับโน้มให้จิตได้เข้าใจเหตุและผลเข้าใจวัตถุประสงค์เพื่อ
    ให้เกิดผลต่อปัญญาทางธรรมเพื่อนำมาเป็นเครื่องมือประกอบในการลดละกิเลสแล้วนั้น
    หรือเป็นเครื่องมือเสริมสำหรับการสร้างบารมีในทางด้านใดด้านหนึ่งที่มุ้งเน้นประโยชน์
    ทางธรรมหรือต่อส่วนรวมมากกว่าส่วนตนแล้ว....
    ก็มาว่ากันในเรื่อง
    ของเทคนิคคอลเทอมกันเลย..หากอ่านแล้วมีตั้งวัตถุประสงค์ไว้อย่างที่ได้เล่าให้ฟัง
    ก็พร้อมเสมอสำหรับการแนะนำครับ..เพราะจะทำให้เรามีความสามารถทะลุลวงสูง..
    พร้อมกับสร้างพันธมิตรในระหว่างได้หากเรารู้จักสร้างบารมีเพิ่มเติมด้วยการอุทิศส่วนกุศล
    หรือทำงานอยู่เบื้องหลังแบบลับๆ..และยิ่งสร้างเมตตาออกจากจิตได้มากเท่าไร.ก็พร้อม
    จะมีเหล่าพันธมิตรมากมายที่พร้อมจะเดินเคียงข้างไปกับเรา..และการรู้จักเสียสละต่อส่วนรวม
    ความเมตตาต่อ คน สัตว์ และภพภูมิ รู้จักสร้างมิตรทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น.
    การทำบุญสร้างความดีให้มันมีความต่อเนื่อง ตลอดจนเรื่องความมั่นคงในการรักษาศีล.
    ไม่ทิ้งช่วงการปฏิบัติแม้ว่ามันจะไปพัฒนาก็ตาม..ที่สำคัญนึกเป้าให้ออกนึกปลายทางให้
    ออกว่าเราต้องการเครื่องรู้พวกนี้ไปเพื่ออะไร..และรู้จักยกระดับพัฒนาจิตเราเพื่อให้ลดละกิเลสในใจ
    ให้น้อยลงด้วยการเดินปัญญาเพิ่มเติม.รู้จังหวะ รู้วาระ รู้เวลาที่ควรจะใช้ รู้ความเหมาะสม
    รู้จักการวางตัวเพื่อให้อยู่ร่วมกับสภาพแวดล้อมได้อย่างปกติเหมือนๆบุคคลทั่วไป..
    และอย่าทำตัวแบบประเภทเห็นโน้นนิด
    และให้จำไว้ใส่จิตให้มั่นว่า กสิณกองใดๆก็ตามในระดับอุคคนิมิตร ไม่ว่าจะกองใดๆ
    ก็ตาม.ถือว่าเป็นตัวขวางได้หมดพูดง่ายไม่มีประโยชน์ใดๆหากยังสามารถฝึกขั้น
    ที่มีกำลังเพียงพอจะนำมาใช้งานได้จริงๆในขณะลืมตาปกติ..อย่าเห็นนี้หน่อย
    แล้วตื่นเต้น นำไปเล่าในเชิงที่ให้ดูเหมือนกับว่าตนมีความพิเศษเหนือกว่าชาวบ้านชาวช่องอย่างนี้มิควรทำ
    มันจะตัดความสามารถในการใช้ได้จริงๆเราออกไป ตลอดจนความสามารถในการ
    ทะลุทะลวงล่วงรู้เหตุรู้ผลเราจะน้อย.แดนภพไตรภูมิจะปิดความสามารถในการ
    เข้าถึงของเรา .เด่วสายตาการมองเห็นเราจะอ่อนและเผลอไปคิดวิเคาระห์
    เอาเองเกี่ยวกับบุคคลอื่นๆหรือห่มเหลืองๆท่านอื่นๆที่ท่านมักจะไม่พูด.และตัด
    หนทางเข้าสู่ทางธรรมของเราให้ห่างไกลออกไป..เรื่องนี้พึงระวังให้ดีๆร่วมด้วย

    .ทุกอย่างที่เล่าให้ฟังมานี้ล้วนแล้วแต่เป็นองค์ประกอบที่่จะทำให้เราประสบความสำเร็จได้เร็ว
    และสามารถใช้งานจริง.เพราะจะโอกาสได้รับสนับสนุนทางเทคนิคคอลเทอม
    จากฝ่ายนามธรรมที่ไม่กายท่านต่างๆที่มีชื่อในอดีตทั้งหลาย.ที่จะเข้าแนะนำ
    เทคนิคอลเทอมให้เราได้จะยิ่งทำให้เราผ่านอุปสรรคและก้าวข้ามเข้าสู่ความสำเร็จ
    ได้เร็วยิ่งขึ้น.และที่สำคัญทำตัวให้เหมือนน้ำ คืออยู่ที่ไหนก็ได้
    ปรับตัวเข้ากับที่ไหนก็ได้
    ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เกิดอันตรายได้เช่นกันพึ่งระวังข้อนี้ให้ดี...
    และอยากรู้อะไรให้มาดูที่จิตตัวเองเป็นสำคัญครับ...
    และที่สำคัญคือต้องไม่ลืมปลายทางที่แท้จริงร่วมด้วยครับ...
    .ถ้าอ่านแล้วเคลียร์วัตถุประสงค์
    ของการฝึกก็มาว่าในส่วน
    ของเทคนิคคอลเทอมกันต่อใน #Rep ต่อไปได้เลยครับ..
    .
     
  9. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    และอย่าทำตัวแบบประเภทเห็นโน้นนิด
    และให้จำไว้ใส่จิตให้มั่นว่า กสิณกองใดๆก็ตามในระดับอุคคนิมิตร ไม่ว่าจะกองใดๆ
    ก็ตาม.ถือว่าเป็นตัวขวางได้หมดพูดง่ายไม่มีประโยชน์ใดๆหากยังสามารถฝึกขั้น
    ที่มีกำลังเพียงพอจะนำมาใช้งานได้จริงๆในขณะลืมตาปกติ..อย่าเห็นนี้หน่อย
    แล้วตื่นเต้น นำไปเล่าในเชิงที่ให้ดูเหมือนกับว่าตนมีความพิเศษเหนือกว่าชาวบ้านชาวช่องอย่างนี้มิควรทำ
    มันจะตัดความสามารถในการใช้ได้จริงๆเราออกไป ตลอดจนความสามารถในการ
    ทะลุทะลวงล่วงรู้เหตุรู้ผลเราจะน้อย.แดนภพไตรภูมิจะปิดความสามารถในการ
    เข้าถึงของเรา .เด่วสายตาการมองเห็นเราจะอ่อนและเผลอไปคิดวิเคาระห์
    เอาเองเกี่ยวกับบุคคลอื่นๆหรือห่มเหลืองๆท่านอื่นๆที่ท่านมักจะไม่พูด.และตัด
    หนทางเข้าสู่ทางธรรมของเราให้ห่างไกลออกไป..เรื่องนี้พึงระวังให้ดีๆร่วมด้วย




    (smile)(smile)(smile)



    .ทุกอย่างที่เล่าให้ฟังมานี้ล้วนแล้วแต่เป็นองค์ประกอบที่่จะทำให้เราประสบความสำเร็จได้เร็ว
    และสามารถใช้งานจริง.เพราะจะโอกาสได้รับสนับสนุนทางเทคนิคคอลเทอม
    จากฝ่ายนามธรรมที่ไม่กายท่านต่างๆที่มีชื่อในอดีตทั้งหลาย.ที่จะเข้าแนะนำ
    เทคนิคอลเทอมให้เราได้จะยิ่งทำให้เราผ่านอุปสรรคและก้าวข้ามเข้าสู่ความสำเร็จ
    ได้เร็วยิ่งขึ้น.และที่สำคัญทำตัวให้เหมือนน้ำ คืออยู่ที่ไหนก็ได้
    ปรับตัวเข้ากับที่ไหนก็ได้
    ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เกิดอันตรายได้เช่นกันพึ่งระวังข้อนี้ให้ดี...
    และอยากรู้อะไรให้มาดูที่จิตตัวเองเป็นสำคัญครับ...
    และที่สำคัญคือต้องไม่ลืมปลายทางที่แท้จริงร่วมด้วยครับ...
    .ถ้าอ่านแล้วเคลียร์วัตถุประสงค์

    ของการฝึกก็มาว่าในส่วน
    ของเทคนิคคอลเทอมกันต่อใน #Rep ต่อไปได้เลยครับ..
    .



    อันตรายยังไงคะคุณนพ ...
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    น้ำแทรกซึมไปได้ทุกที่ครับ.แม้แต่ในวัตถุที่เรามองว่าแข็ง
    น้ำก็แทรกซึมเข้าไปได้ เช่น เนื้อไม้ เนื้อคอนกรีต เป็นต้น
    และก็ยังไปได้ทุกสถานที่ ไม่ว่าจะในอากาศ ดิน
    และก็ยังให้ความชุ่มชื่น สดชื่น แก้กระหาย ให้ชีวิตเติมโตขึ้นได้
    น้ำเปลี่ยนรูปร่างไปตามภาชนะที่บรรจุได้ ให้ความเย็นก็ได้
    ให้ความร้อนก็ได้ ใช้ทำความสะอาดก็ได้.และเปลี่ยนสถานะ
    เป็นไอ ตลอดจนเป็นน้ำแข็งได้ และสามารถทำลายสิ่งของได้
    ทำลายชีวิตได้ เช่น ภัยต่างๆที่เกี่ยวกับน้ำ นึกภาพเล่นๆนะครับ
    ถ้าเลือดในเส้นเลือดบริเวณสมองมันเกิดแข็งตัวขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้นครับ..
    ถ้าเลือดในเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงให้หัวใจมันเกิดแข็งขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้นครับ..
    พอเข้าใจหรือยังครับ ว่าทำไมส่วนตัวถึงให้เน้นเรื่องเมตตามากๆๆๆๆๆ
    และไม่ควรเป็นศัตรูกับใครๆ ไม่ว่า คน สัตว์ หรือภพภูมิ...
    และเข้าใจหรือยังครับว่า กว่าจะใช้พลังงานได้ถึงขั้นออกไป
    ภายนอกได้ทำให้คนสัมผัสได้นั้น.. ทำไมเราถึงต้องสอบผ่าน
    ด่านต่างๆทางด้านการใช้งาน และเรื่องสภาพจิตใจจากทางภพภูมิครับ.
    .ที่บอกว่าส่วนตัวกว่าจะแค่พอผ่านถึงต้องสอบถึง ๒๐ กว่าครั้งครับ..
    .ปิ้งแว๊บๆหรือยังเอ่ย...
    ประมาณนี้ครับ..
     
  11. Jasmin99999

    Jasmin99999 วันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    971
    ค่าพลัง:
    +3,332
    สรุปคือ พึงจำ
    1.ตั้งเป้าหมายต้องการสร้างบารมีเพื่อส่วนรวมเป็นที่ตั้ง
    2.ยกระดับจิต ลดละกิเลสในใจ เสียสละ และมีเมตตามากๆๆๆๆ
    3. ไม่ยึดติดและไม่โม้!
    4. ไม่เลือกชนชั้นวรรณะ...อยู่ที่ไหนน้ำก็ไหลผ่านแทรกซึมได้ ^^

    *หวังว่าจะสอบผ่านเร็วๆ ^^ สู้ๆ

    ขอบพระคุณพี่นพค่ะที่ช่วยชี้แนะ
     
  12. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    :':)':)'(
     
  13. *ธรรมดา*

    *ธรรมดา* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +924

    พอจะเข้าใจบ้างละคับ เป็นแบบนี้นี่เอง();
     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    denceedenceedencee
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    วันนี้ครึ้มๆขอเล่านิทานให้ฟังหน่อยแล้วกันนะครับ..แต่อย่างว่านิทานก็คือนิทานนะครับ..
    จะขอพูดถึงปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างหนึ่งนะครับ.ก็คือเรื่องพระอาทิตย์ทรงกลด..
    ทำไม่ถึงอยากพูดถึงหรือครับ..เนื่องด้วยการปรากฏขึ้นได้ของพระอาทิตย์ทรงกลดนั้น
    มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องพลังงานในกระทู้นี้ด้วยในบางกรณีครับ...
    โดยปกติแล้วเรามักจะเห็นการปรากฏของพระอาทิตย์ทรงกลดได้
    เช่น
    ๑.ในช่วงของการบรวงทำพิธีต่างๆ.ไม่ว่าจะปลุกเสกวัตถุมงคล หรือมีการวางฤกษ์
    สิ่งปลูกสร้างที่เป็นรูปแทนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ระดับพระพุทธฯท่านต่างๆ ระดับพระโพธิสัตว์
    ท่านต่าง ไม่ว่าจะเป็นผู้นำในอดีตหรือรัชกาลท่านต่างๆที่มากมายด้วยบารมีที่สะสมมา
    ตลอดจนกระทั้งพาหนะของท่าน หรือพรหมมีชื่อท่านต่างๆ ตลอดจนท่านพระมหาฤาษี
    ท่านต่างๆที่อยู่ในเส้นทางพระโพธิสัตว์ เป็นต้นและไม่ว่าจะท่านใดเป็นผู้ทำพิธี
    และทำพิธีขึ้นเพื่อเป้าหมายอะไรครับ...

    ๒.มีบรุษที่เป็นฆารวาสที่อยู่ในสายพระโพธิสัตว์บรรลุคุณธรรมขึ้นมาวันนั้น..
    ๓.มีห่มเหลืองท่านใดท่านหนึ่งบรรลุคุณธรรมขั้นสูงในวันนั้น
    ๔.มีบรุษหรือห่มเหลืองท่านใดท่านหนึ่งใช้อภิญญาจิตภายในเพื่อ
    ให้ปรากฏขึ้นมา..

    ๕.มีบรุษหรือห่มเหลืองท่านใดก็ตามใช้อาวุธทิพย์พิเศษทำให้ปรากฏขึ้น
    มาอาวุธชนิดนี้จะเป็นอาวุธที่มีเฉพาะคันธนูที่ได้รับการส่งเสริมจากบรรดา
    พยานาคผู้มีฤิทธิ์ และในเวลาปกติที่เรียกขึ้นมาจะมีแต่คันธนูและจะปรากฏ
    เป็นสายธนูได้เฉพาะตอนใช้งานครับ..
    แต่อย่าลืมว่าตอนนี้กำลังอ่านนิทานอยู่นะครับ...

    ที่นี้ภาพถ่ายของพระอาทิตย์ทรงกลดที่เราถ่ายได้ในงานพิธีระดับประเทศนั้น
    ..หากเรามองที่ภาพด้วยใจที่นิ่งๆเบาๆสบายๆซักพักหนึ่งโดยไม่กระพริบตา
    จะเห็นความใสของพระอาทิตย์และสิ่งที่แอบแทรกอยู่เบื้องหลังได้ครับ
    พระอาทิตย์ทรงกลดนั้นจะบอกอะไรเราได้บ้างครับ..จะขอยกตัวอย่างให้ฟัง
    เป็นนิทานซัก ๒ ตอนนะครับ...

    นิทานตอนที่ ๑ คือการปรากฏของพระอาทิตย์ที่บรวงสรวงถึงระดับผู้นำทางพุทธ
    ศาสนาที่มากมายด้วยพระบารมีสะสมและเปี่ยมด้วยระดับมหาเมตตา
    ที่ออกจากภายในจิต.
    ตลอดจนรวมระดับพรหมมีฤิทธิ์และมีชื่อท่านๆต่างๆที่มากมายด้วยบารมีเช่นกัน..
    และความใสและสิ่งที่แทรกอยู่เบื้องหลังบ่งบอกอะไรเราได้ครับ.มาอ่านนิทานต่อครับ
    ความใสบ่งบอกถึงความใสสะอาดของจิตของท่านที่ทำพิธีบรวงถึง.และสิ่งที่แทรก
    อยู่เปรียบเสมือนได้ถึงพันธมิตรทางภพภูมิที่อยู่คู่กับท่านๆมา จนกระทั่งถึงท่านๆ
    ณ ปัจจุบันนี้ครับ...หากเราตาดีหน่อยนะครับ..เราจะเห็นถึงขนาดกำลังของ
    พันธมิตรทางภพภูมิที่เด่นทางด้านคุณธรรมและความดีอย่างมากมาย
    เกินกว่าที่จะมีปรากฎเป็นพันธมิตรได้สำหรับบุคคลทั่วๆไป
    แม้ว่าจะได้ชื่อว่าสร้างความดีมากมายเพียงใดก็ตาม ก็หามีผู้ใดเทียบเท่าได้ยากครับ.
    อันดับต่อมา ก็คือพันธมิตรฝ่ายป้องกันที่มากมายฤิทธิ์และมีกำลังสูงมากๆ บ่งบอก
    ได้ว่ามหาบรุษผู้นี้ ณ ปัจจุบันนี้มีบารมีมากล้นเพียงใดถึงมี
    ภพภูมิมีฤิทธิ์มากบารมีกำลังสูงขนาดนี้มาอยู่เป็นพันธ์มิตรท่านได้ครับ.
    .และก็มีฝ่ายพันธมิตรที่ดูแลทรัพย์สมบัติของท่าน
    ที่บารมีมากล้นพอตัวร่วมด้วยครับ...และยังมีฝ่ายพันธมิตรที่เน้นความดีและมีฤิทธิ์
    คู่กันอยู่ร่วมอยู่สังเกตุการณ์อยู่ห่างๆร่วมด้วยอีกต่างหากครับ...

    แม้ว่าในอดีตก่อนหน้าจะถูกฝ่ายผู้มีบารมีบางท่าน..รวบรวมพันธมิตรระดับที่มีฤิทธิ์
    ผนึกกำลังกันเพื่อหวังจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก็ตาม..แม้ว่าจะสามารถเจาะเข้าได้
    ถึงรูปแทนเทพพรหมมีฤิทธิ์ที่บุคคลทั่วไปให้ความเครารพก็ตาม..แต่ก็ยังพ่ายแพ้ต่อ
    พระบารมีของมหาบรุษท่านนี้..เนื่องด้วยท่านมากด้วยพันธมิตร
    ฝ่ายป้องกันกำลังสูง...แม้ว่าจะพอมีกำลังในแทรกแซงเข้ามาได้ก็ตาม
    ในช่วงก่อนหน้าจะด้วยเหตุอันใดก็ตามครับ...


    ปกติเราจะวัดระดับเมตตาของบรุษท่านใดๆก็ตาม..เราจะเริ่มจากการดูที่กระแสเมตตา
    ที่ออกมาจากจิตก่อนเป็นอันดับแรกครับ ไม่ว่าจะดูห่มเหลืองมีชื่อท่านใดๆก็ตามครับ
    ทั่วๆไปสำหรับบุคคลทั่วไปกว่าจะให้ออกมาได้จากจิตจริงๆ
    เอาแค่วงเล็กๆก็ค่อนข้างยากแล้วครับ..แต่สำหรับมหาบรุษท่านนี้.
    .นอกจากวงของกระแสเมตตาจะกว้างไพศาลแล้ว..ยังปรากฏถึงความนิ่งแน่นสงบ
    แฝงในกระแสเมตตาของมหาบรุษท่านนี้ครับ..บ่งบอกได้ว่า..แม้ว่าเราจะเป็นนักปฏิบัติ
    ที่พยายามทำให้จิตเราดีแค่ไหนก็ตาม..แต่สิงที่เราๆทำเทียบไม่ติดเลยแม้เพียงแค่จะคิด
    ก็ยังไม่เหมาะก็คือ ตัวกะแสเมตตาตรงนี้ที่วงกว้างมากมายเหลือเกินครับ
    บอกได้ถึงระดับความเสียสละที่มากมายยิ่งกว่าบรุษใดๆจะสร้างได้ครับ.
    .ความแน่นและนิ่งระดับนี้ยังบ่งบอก
    ระดับและระยะเวลาในการสร้างสมมหาเมตตาแบบนี้
    แบบยากที่แม้แต่ห่มเหลืองหรือบรุษ
    ท่านใดจะเทียบเคียงได้จริงๆครับ..

    ส่วนนิทานตอนที่ ๒ เป็นพระอาทิตย์ทรงกลดปรากฏวันที่มีการวางศิลากฤษ
    ของอดีตผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งนับว่าเป็นมหาบรุษเช่นกันในอดีตชาติที่
    ทำให้ยังมีแผ่นดินถึงวันนี้บวกกับท่านๆที่ยังอยู่ถึงวันนี้ครับ.
    โดยการที่มีห่มเหลืองมีชื่อเสียง มีบารมีท่านหนึ่ง และก็เชื่อว่า
    ตัวจิตไม่เกิดมาร่วมเป็นเวลาหลายสิบปีแล้วเป็น ต้นพิธีครับ.
    การปรากฏในครั้งได้มีผู้ถ่ายบางคนที่ได้ทำการเชื่อมกระแสพลัง
    งานกับแหล่งพลังงานผู้อยู่เบื้องหลังกับปรากฏการณ์ในครั้งนี้.
    หลังจากที่พระอาทิตย์ทรงกลดขึ้นมาแล้ว.
    .เป็นเหตุทำให้ได้ภาพพระอาทิตย์ในลักษณะที่ยังมีการเคลื่อน
    ที่ของรูปพลังอยู่ปรากฏขึ้นในภาพถ่ายดังที่จะแสดงให้ดูข้างล่างครับ.
    หากมองด้วยใจที่สบายๆ นิ่งๆแบบไม่กระพริบตาจะพอสัมผัสได้.
    และจะพอเห็นอะไรๆได้ขึ้นอยู่กับระดับของสายตาที่เห็นได้
    เท่าที่ใจจะมองเห็น..
    ส่วนประเด็นเรื่องการปรากฏขึ้นในกรณีอื่นๆที่เกิดจาก อภิญญาจิตภายใน
    หรือเกิดจากการใช้อาวุธพิเศษเพื่อให้ปรากฏขึ้นนั้นเห็นว่ามิควรนำมาเล่า
    สู่กันฟังครับ..เพียงแต่เล่าให้ฟังเป็นนิทานเพื่อให้เห็นว่า..ปรากฏการณ์อะไร
    ก็ตามที่เหนือธรรมชาติ.ยังมีบรุษหรือห่มเหลืองหลายๆท่านที่ยังสามารถเข้าถึง
    และสามารถทำให้ปรากฏได้อยู่ครับ ณ ปัจจุบันนี้
    ..แต่เป็นใครก็มิสามารถทราบครับขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัยที่จะทำให้
    บุคคลใดๆก็ตามสามารถที่จะเข้าถึงได้ครับ....



    [​IMG]

    ปล.จบนิทานเรื่องเล่าครับและขอบคุณบางท่าน
    ที่ทิ้งสัญญาเอาไว้ในกระทู้ ส่วนตัวถือว่าให้เกียรติกันมากครับ
    และจุดประเด็นให้ผู้เขียนได้เล่านิทานให้ฟังครับ....
     
  16. ิBat of light

    ิBat of light เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2012
    โพสต์:
    687
    ค่าพลัง:
    +842
    .
    แหม...กระทู้เบอร์ ๔๐๖ ของท่านนพนี้ อ่านแล้วน่าเคลิบเคลิ้มเสียนี่กระไร ๕๕๕

    นิทานของเราที่กระทู้ก่อนนี้ ยังรอท่านมาตีโต้อยู่นะครับ เขายังคอย หึหึหึ

    อ้อ ขอถามอีกเรื่องนะครับ ที่หน้าแรกของกระทู้นักรบแสงน่ะครับ
    เค้าโพสท์กลอนไว้ท่อนนึง อ่านแล้วสงสัยมานาน
    ไม่ทราบจะถามใครได้ ท่านนพอาจจจะให้คำอธิบายได้ ความว่า

    ...เมื่อนั้นเอย ฟ้าสะเทือน ดินเลื่อนลั่น ล้วนสั่นไหว
    เกิดอะไร ขึ้นมา ข้า ฉงน
    ฤ ว่านี่ คือนิมิตร อันพิศดล
    เกิดเหตุตน เริ่มเปลี่ยนแปลง แห่งวิญญา


    เราอ่านแล้วสงสังจริงเลย ว่าเค้าจะหมายถึง
    การเขย่าปราสาทของพระอินทร์หรือเปล่าครับ
    แต่อ่านดูแล้วเวอร์จริงๆ พระอินทร์เค้าแค่เก้าอี้ร้อนไม่ใช่หรือครับ
    ถ้าดูสำเนียงกลอนแล้ว เหมือนในลิเก เค้าจะหมายถึงพระอินทร์น่ะครับ ๕๕๕

    ยังไงก็ขอรบกวนแปลนิทานท่อนนี้ด้วยนะครับ
    แล้วของเก่าก็อย่าลืมดิ ช่วยเล่าเพิ่มซักนิดเหอะน่า นะนะ


    กระต่ายป่า ข้างวัด / ค้างคาวแห่งแสง

    .
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    หือๆคุณ ิBat of light นิทานที่คุณว่าส่วนตัวเห็นว่าคุณเขียนเล่าๆ
    แล้วน๊า ยังไม่เห็นคำถาม หรือข้อโต้แย้งอะไรนะครับ
    นิทานก็ไปทางเดียวกันอยู่นะครับ ๕๕๕๕ หรือผมหาไม่เจอน้อ..๕๕๕
    เรื่องกลอน ส่วนตัวคงมิกล้ากล่าวล่วง ผู้เขียนครับ..และก็หาหน้า
    แรกไม่เจอเลยครับ กระทู้ไหนน้อ หาไม่เจอจริงๆ...
    แต่มีหลักในการสังเกตุให้ฟังนะครับ เป็นนิทานอีกแระ..๕๕๕
    ปกติถ้านักปฏิบัติที่ยังเป็นมนุษย์อยู่ หากนอนๆอยู่ได้ยินเสียง
    ดังกึกก้องกัมปนาทเหมือนเสียงฟ้าผ่า แต่ต้องมีการระเบิดด้วยนะครับ
    แบบเปรี้ยง จะหมายถึงว่าพัฒนายกระดับธรรมอะไรได้ซักอย่าง
    ก็ถือว่าเป็นการกำเนิดอย่างหนึ่งแต่เป็นกำเนิดทางนามธรรม..
    ในกรณีทำนองเดียวกันถ้าเป็นพื้นดินแล้วมีกิริยาคล้ายๆกันก็จะหมายถึง
    การกำเนิดขึ้นของบุคคล...
    ถ้ามีกิริยาทั้งสองอย่างรวมกันคุณ ิBat of light
    พอจะเดาได้ไหมครับว่า หมายถึงการกำเนิดของ
    อะไรเอ่ย..
     
  18. ิBat of light

    ิBat of light เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2012
    โพสต์:
    687
    ค่าพลัง:
    +842
    อ้อ...ครับ ตกลงตามนั้น ไว้โอกาสเหมาะ จะถามเจาะละกันนะ ครับ
    เพราะนิทาน ถ้าเล่าเป็น ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องสนุกทั้งนั้นแหละนะ เนอะ

    ส่วนหน้าแรกที่พูดถึงคือ "ข้าคือนักรบแสง..." ครับท่าน
    http://palungjit.org/threads/ข้าคือ-นักรบแสง-ผู้โรยแรง-แสงใกล้สิ้น-เพียงหวัง-ใครได้ยิน-แสงใกล้สิ้น-ส่งเสียงมา.306574/

    เป็นนิทานเรื่องจริงนะครับ เราอ่านแล้วติดหนึบเลยครับ
    นักรบแสงเค้าเก่งแบบไม่รู้เรื่องเอาซะเล้ย ไม่รู้เป็นพระเอกได้ไง ๕๕๕

    กระทู้ก่อนนี้และโน้น ที่ท่านนพเขียนเกี่ยวกับการฝึกกสิณและอื่นๆ น่าสนใจมากครับ
    เราแทบจะต้องเข้าฌานอ่านเลยครับ แม้จะไม่อยากฝึกก็ตาม แต่ก็อยากรู้ครับ
    มีหลายเรื่องที่อยากเรียน/+ถาม แล้วเก็บไว้ในจิตใต้สำนึก เผื่อในฝันอยากฝึกน่ะครับ

    อ้อ มีเรื่องนึงคาใจมานาน แม้จะไร้สาระซักหน่อย แต่อยากทราบจริงนะครับ ว่า
    กสิณไฟเนี่ย ตามทฤษฎีแล้วสามารถใช้บังคับไฟจากเตาแก๊สได้ไหมครับ
    คือว่า ตอนสลึมสลือ เคยมีใครคิดว่า ไปยืนดูเค้าผัดอะไรที่ร้านอาหาร ใช้ไฟแรงเชียว
    แล้วดันไปคิดให้เกิดภาพ มังกรออกมาจากเปลวไฟในเตาน่ะครับ ๕๕๕
    ดูจะพิเรนไปหน่อย แต่ไม่ทราบว่าคนฝึกกสิณไฟแจ๋วๆ เค้าทำกันได้ไม๊ครับ

    เรื่องกลอนบทนั้น เราเข้าใจว่านักรบแสงเค้าหมายถึง "ฝั่งโน้น" สื่อสารมาบอกล่ะมั้ง นะ
    ว่าข้างบนโน้น เกิดอะไรขึ้นตอนที่เค้าทุ่มเทให้กับการฝึกฝนและค้นหาน่ะครับ
    ส่วนตัวนักรบแสง จะเจอเสียงดังหรือระเบิดกระเจิดกระเจิง ก็ไม่เห็นเค้าเล่า
    ไม่ทราบว่าไม่เคยเจอ ลืมไปแล้ว หรือไม่สนใจจะจำ ก็ไม่ทราบได้ครับ
    เพราะเห็นเค้าว่าเจอเรื่องประหลาด จนต้องเจออะไร ก็ไม่ประหลาดใจแล้วล่ะครับ ๕๕๕

    ถ้าย่อยวิชาความรู้ที่ท่านแจกจ่ายเจือจานจากใจ ให้คนที่คุณก็ไม่รู้ว่าใคร เสร็จแล้ว
    จะเรียนถามแบบเจาะใจมาอีก หวังว่าท่านคงไม่เบื่อหน่ายรำคาญ นะครับ


    กระต่ายป่า ข้างวัด / ค้างคาวแห่งแสง

    .
    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2014
  19. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    มาว่ากันต่อด้วยเรื่องของยันต์เคยมีสมาชิกท่านนึงChanoknonลงไว้นานแล้วในห้องบทสวดมนต์ คาถา
    ตำนานและที่มาของอักขระยันต์
    ในครั้งพุทธกาลพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก แต่หลังจาก การสังคายนาพุทธศาสนาครั้งที่ ๓ (ตติยสังคายนา) แล้ว พระ พุทธศาสนาในอินเดียเริ่มร่วงโรยลง และต่อมาได้ย้ายไปประดิษฐานในลังกา ศาสนาพุทธกับพราหมณ์ในอินเดียสมัยนั้น ได้ผสมผสาน กันมา จนเกิดมีลัทธิ พุทธตันตระ (ลัทธิพุทธศาสนาอันเกี่ยวกับการใช้คาถาอาคม)เกิดขึ้น อีกลัทธิหนึ่ง >>
    ศาสนาพราหมณ์ในขณะนั้น มีความมั่นคงเลื่อมใส ในลัทธิไสยศาสตร์มาก มีการใช้เวทมนตร์คาถาเป่าพ่นปลุกเสกและลงเลขยันต์ ประกอบ อาถรรพณ์ต่างๆแม้ในทางพระพุทธศาสนาก็ใช่ว่าจะปฏิเสธเสียทีเดียว เพราะ พระพุทธศาสนาเองก็ยังมีคุณอัศจรรย์ ที่จัดเป็น ปาฏิหาริย์ไว้ ๒ อย่าง คือ>>
    ๑. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คำสอนที่เป็นอัศจรรย์ >>
    ๒. อิทธิปาฏิหาริย์ ฤทธิ์ที่เป็นอัศจรรย์ถึงกับ พระพุทธเจ้าได้ทรงยกย่อง พระโมคคัลลานะ เถระไว้เป็น ยอดของพระภิกษุที่ทรงอิทธิฤทธิ์ หากแต่ พระองค์ไม่ทรงยกย่อง อิทธิปาฏิหาริย์เท่ากับ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ >>
    การใช้เวทมนตร์คาถานั้น ผลสำเร็จ จะเกิดขึ้นได้ก็อยู่ที่ดวงจิตสำรวมเป็นสมาธิ และสมาธินี้ท่านจัดบาทฐาน แห่ง วิปัสสนาญาณถึงแม้หาก ว่าปุถุชนเราจะบรรลุได้อย่างสูงไม่เกินฌานสมาบัติก็ตามกระนั้นก็สามารถที่จะแสดง อิทธิฤทธิ์ ได้ตามภูมิของตน เช่น พระเทวทัตต์หนแรกที่เธอได้รูปฌาน เธอก็ยังสามารถบิดเบือน แปลงกายกระทำอวด ให้อชาตสัตรูกุมารหลงใหลเลื่อมใสได้ >>
    ส่วนอารมณ์ของรูปฌานนั้น ท่านใช้กสิณบ้างใช้คาถาบริกรรมบ้าง สุดแต่นิสัยของผู้บำเพ็ญปฏิบัติ โดยเฉพาะ ที่ใช้คาถาบริกรรมนั้น ผู้บริกรรม จะรู้ถึงเนื้อความของคาถาที่บริกรรมนั้น หรือไม่ก็ตามนั่นมิใช่สิ่ง ที่เป็นปัญหาที่สำคัญ เพราะความมุ่งหมายต้องการแต่จะให้สมาธิเท่านั้น >>
    เพื่อผลในทางอิทธิปาฏิหาริย์ที่ตนมุ่งหวังปรารถนา และการทำ สมาธิแบบนี้ ได้เจริญ แพร่หลาย มากขึ้น ได้เกิดมีคณาจารย์มุ่งสั่งสอนเวทมนตร์กัน และได้ดัดแปลงแก้ไขวิธีการทางไสยศาสตร์ ของพราหมณ์มาใช้ โดยคัดตัดตอนเอาเนื้อมนต์ของพราหมณ์นั้นออกเสีย บรรจุพระพุทธมนต์ แทรกเข้าไปแทน เพราะมาคิดเห็นกันว่ามนต์พราหมณ์ยังเรืองอานุภาพถึงอย่างนี้ ถ้าหากว่า เป็นพุทธมนต์ คงจะยิ่งกว่าเป็นแน่ >>
    ฉะนั้นในการใช้เวทมนตร์คาถาที่พวกเราพุทธศาสนิกชนปฏิบัติกันทุกวันนี้ จึงล้วนแล้วแต่เป็นพระพุทธมนต์ที่ท่าน โบราณาจารย์ดัดแปลง แก้ไขเลียนแบบอย่างวิธีทางลัทธิไสยศาสตร์เดิมมาเท่านั้นหาใช่เป็นลัทธิไสยศาสตร์ ของพราหมณ์ดังที่บางท่านเข้าใจกันไม่ >>
    การรวบรวมคัมภีร์พระเวท อย่างจริงจังเกิดขึ้นในสมัย เจ้าพระคุณพระมงคลราชมุนี (สนธิ์) วัดสุทัศน์ฯ แต่เมื่อครั้ง ยังดำรงสมณศักดิ์เป็นพระศรีสัจจญาณมุนีอยู่นั้นพระคุณท่านเป็น ผู้สนใจในศาสตร์ ประเภทนี้อยู่มาก จึงได้พยายามรวบรวมขึ้นไว้จากสรรพตำราต่างๆ ส่วนมากเป็นของ สมเด็จ พระสังฆราช (แพ) ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาจารย์ของท่าน อันได้รับสืบต่อมาจาก สมเด็จพระวันรัต (แดง) ท่านได้ตั้ง ปณิธานที่จะให้วิชาเหล่านี้ได้เผยแพร่ต่อไปเพราะเกรงว่าจะสาบสูญเสียหมด >>
    referrelative="t" o:spt="75" coordsize="21600,21600">ath o:connecttype="rect" gradientshapeok="t" o:extrusionok="f">ath>ffice:word" />ในการรวบรวมคัมภีร์พระเวทเหล่านี้ข้อความบางแห่งพอ ที่จะมี ต้นฉบับสอบทาน ก็ได้จัดการ สอบทานแก้ไข ให้ถูกต้อง ตามต้นฉบับเดิม ซึ่งได้คัดลอกสืบต่อกันมา แต่ก็ยังมีอักขระ เนื้อมนต์นั้นบางทีก็มีความ คลาดเคลื่อนไปบ้าง สำหรับบทที่หาต้นฉบับ สอบทานไม่ได้ ก็คงไว้ ตามรูปเดิม ซึ่งถ้าหากได้ผ่านสายตาท่าน ผู้รู้ทั้งหลายก็ได้โปรด กรุณา แก้ไขต่อเติมเสีย ให้ครบถ้วน เพื่อจะได้เป็นตำราที่ถูกต้องบริบูรณ์ ดุจต้นฉบับ ของเดิมเพื่อเป็นการเทิดทูน วิทยาการอันประเสริฐ รวมทั้งได้ดำรงคงอยู่เป็นแนวศึกษาของชั้นหลังสืบต่อไป >>
    ยันต์ ถือว่าเป็น วิชาที่มีมาคู่กับชาติไทยเราแต่ครั้งบรรพกาล เพี้ยน มาจากคำว่า ยัญญ์ เป็นภาษาบาลีแปลว่า สิ่งที่มนุษย์ พึงเซ่น สรวงบูชา ให้มีความสุข ความเจริญ แต่ภาษาไทยเราเปลี่ยนเขียนเป็น ยันต์ ซึ่งหมายถึง รอยเส้น ที่ขีดขวางไปมาสำหรับลง คาถา >>
    เพื่อความชัดเจน ของอักขระ (อักษรที่ลง) ครูอาจารย์สมัยโบราณจึงคิดทำเป็นตารางบ้าง (รูปเคารพ ปูชนียวัตถุต่างๆ บ้าง) แล้วเขียนอักษรลงไปในตารางหรือ รูปภาพที่คิดขึ้น เช่น เสือ สิงห์ หนุมาน ฯลฯ) จึงได้บังเกิดรูปยันต์ต่างๆ ตามที่เรานิยมนับถือกันในปัจจุบันนี้ >>
    ยันต์จำเป็นอย่างยิ่งที่ใช้ในวิชาไสยศาสตร์ ไม่ว่าเป็นชาติใดภาษาใด ที่นับถือความศักดิ์สิทธิ์ ความขลังของ พระเวท คาถาอาคมหรือพุทธมนต์ในศาสนาพุทธก็ใช้ยันต์ เพื่อลงอักขระ (อักษร)หรือตัวเลขด้วยกันทั้งนั้น นอกจากนี้แล้วการเขียนยันต์ยังปรากฏในตำราทุกชาติทุกภาษาอีกด้วย ถ้าเป็นยันต์พวกอาหรับที่แพร่หลาย หรือแม้แต่ยุโรปส่วนใหญ่ มักลงตัวเลขในยันต์ทั้งนั้น (ตัวเลขเป็นเกณฑ์กำลังของดวงดาวต่างๆ) >>
    การลงยันต์เป็นตัวเลข (แท้จริงๆ ก็เป็นเครื่องย่อของอักขระอีกทีหนึ่ง เพื่อเป็นการประหยัดเนื้อที่ จึงย่อรวมลงใช้เป็น ตัวเลขแทนเช่น จะเขียนคาถาว่า อะสังวิสุโลปุสะพุภะ (นวหรคุณ) ก็ให้เขียนเลข ๙ ลงไปแทนแล้วภาวนาเพื่อความ มั่นคงแห่งจิต ก็ให้ภาวนาว่า อะสังวิสุโลปุสะพุภะ นั่นเอง ๓ ๕ ๗๙ (อาจหลายครั้งก็ได้) >>
    ตำรายันต์ของไทยเราที่เป็นตัวเลข เช่น ยันต์จัตุโร ยันต์โสฬสมงคลยันต์ตรีนิสิงเห ลงเป็นตัวเลขเช่นกัน ลงพิสดารกว้างขวางมากส่วนประเทศในเอเชียมักลงยันต์เป็นตัวอักษรเป็นส่วนมาก (จีน ลาว พม่า ไทย ทิเบต ฯลฯ) >>
    โบราณาจารย์ท่านถือว่า เส้นยันต์นั้น เปรียบเสมือน สายรกของพระพุทธเจ้า แล้วแต่นิยม เช่น ยันต์กลม หมายถึง พระพักตร์ของพระพุทธเจ้า หรือของพระพรหม
    ยันต์สามเหลี่ยม หมายถึง พระรัตนตรัย (คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์) หรือเทพเจ้าทั้งสาม ได้แก่ (พระพรหม อิศวร พระนารายณ์)
    ยันต์สี่เหลี่ยม หมายถึง ธาตุทั้ง ๔ จตุราริยสัจจ์ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ (ทุสะนิมะ)

    ยันต์บางชนิดทำเป็นรูปเทวดา (เทพ) มนุษย์ รูปหนุมาน รูปราชสีห์ เสือและรูปอื่นๆ ซึ่งแล้วแต่คตินิยมของเกจิอาจารย์ มาตั้งแต่สมัยโบราณ>>
    การเขียนยันต์มีข้อห้ามอย่างหนึ่ง คือห้ามมิให้ลงอักขระหรือเลข ชนกันหรือก้าวก่ายกันกับ เส้นยันต์เป็นอันขาดมิฉะนั้นยันต์จะเสีย ใช้ไม่ได้>>
    ประเทศไทยเท่าที่พบอักขระ ที่ใช้ลงในยันต์นั้น เฉพาะ วิชา ไสยศาสตร์ ของไทยใช้อักษร (อักขระ) เป็น อักขระขอมเพราะถือ ว่าเป็นอักษรที่ศักดิ์สิทธิ์จะมีอักษรไทยลงในยันต์อยู่บ้าง ใช้กันแถว ภาคใต้ ลงด้วย "อักขระพระเจ้า (นอโม ๒๙ตัว) ซึ่งถือว่าเป็น กำเนิดปฐม อักขระ เช่น อ นอ โม พุ ทอ ธา ยอ สิ ทอ ธม ออ อา อิอี อึ อื อุ อู ฤ ฤา ฦ ฦา เอ แอ ไอใอ โอ เอา อำ อะ ฯ.... >>
    ในภาคกลาง ภาคเหนือ และอีสาน ส่วนมาก คงลงเป็น รูปอักขระขอม ขอมลาว (อักขระธรรม) บางยันต์ก็ใช้ตัวเลขแทน อักขระ ลงไปหลายๆ คำ ทั้งช่องยันต์ที่จะลงก็จำกัดที่ จึงใช้เป็นตัวเลขแทน เช่น จะเขียนหัวใจ นวหรคุณ (อะสังวิสุโลปุสะพุภะ ฯ.........) ก็ใช้เขียนเลข "๙" แทนลงไป หรือหัวใจอื่นๆก็ลงตัวเลขแทน เช่นเดียวกับ พระ อภิธรรม ๗ คัมภีร์ (สังวิชาปุกะยะปะ ฯ...) เขียน "๗" แทนลงไป
     
  20. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    ขออภัยลบไปหนึ่งข้อความ เพราะไปอ่านเจอกระทู้ข้างๆ เลยสงบซะคงจะดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...