ประโยชน์ของการสร้างวัตถุมงคล

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย กุศโลบาย, 29 พฤษภาคม 2014.

  1. กุศโลบาย

    กุศโลบาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    323
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,604
    ประโยชน์ของการสร้างวัตถุมงคล

    พระอาจารย์ กล่าวว่า "ปีหน้าทำบุญ บ้านวิริยบารมี วันที่ ๓๑ มีนาคมนะจ๊ะ ถ้าดูไม่ผิดวันที่ ๓๑ มีนาคม น่าจะตรงกับวันอาทิตย์
    ปีนี้ญาติโยมมามากกว่าที่คิด ทำให้พระปิดตาหมดภายใน ๓๐ นาที อีกครึ่งหนึ่งที่เข้าแถวอยู่ไม่ได้อะไรเลย เรื่องของวัตถุมงคล มีหลายสำนักซึ่งส่วนใหญ่เป็นสำนักเรียนด้วย กล่าวตำหนิว่าเป็นการทำให้ญาติโยมยึดติด

    ถ้าว่ากันตามแบบของ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านบอกว่า "ติดวัตถุมงคล ก็ยังดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล"

    แต่ว่าความจริงแล้วเป็นเพราะโบราณาจารย์ท่านมีความเข้าใจสภาพของบุคคล หรือสภาพของพุทธศาสนิกชนมากกว่าคนปัจจุบัน เพราะถ้าใครศึกษามาเกี่ยวกับภาพสถิติของพุทธศาสนิกชน จะเห็นว่ามีลักษณะเหมือนกับพีรามิด หรือว่า ๓ เหลี่ยม ส่วนฐานที่กว้างที่สุด ก็คือบุคคลที่ยึดติดในพิธีกรรมและสิ่งมงคลต่างๆ ส่วนตรงกลางคือบุคคลที่พยายามจะศึกษาให้เข้าใจว่าพระพุทธศาสนาสั่งสอนอะไรบ้าง ส่วนยอดเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นอย่างแท้จริง

    เมื่อเป็นดังนั้น โบราณาจารย์ท่านจำเป็นที่จะต้องหาสิ่งที่มายึดโยงกำลังใจของพุทธศาสนิกชนให้อยู่กับพระพุทธศาสนาจนได้ ก็คือ การสร้างวัตถุมงคลต่างๆ ขึ้นมา การสร้างวัตถุมงคลขึ้นมานั้นมีประโยชน์หลายอย่าง

    ประการแรก คือตัวผู้สร้างเองจะต้องทรงความดีในระดับหนึ่ง สมัยก่อนไม่ได้มีเครื่องมือเครื่องไม้ทันสมัยเหมือนอย่างปัจจุบันนี้ แต่ละขั้นตอนของการสร้างวัตถุมงคลก็คือ เขียนด้วยมือ ปั้นด้วยมือ เป็นต้น โดยเฉพาะถ้าหากว่าศึกษาการสร้างวัตถุมงคลด้วยการลบผงวิเศษต่างๆ เช่น ผงปถมัง ผงมหาราช ผงอิทธิเจ ผงตรีนิสิงเห ก็ต้องเข้าสมาบัติ เขียนอักขระ เขียนยันต์ ลบยันต์ เพื่อให้เกิดผง จนกว่าจะได้จำนวนตามที่ต้องการ เท่ากับบังคับว่าเกจิอาจารย์ผู้สร้างนั้น จำเป็นที่จะต้องทรงความดีให้ได้ถึงระดับหนึ่ง จึงจะสามารถสร้างวัตถุมงคลให้เกิดอานุภาพ เกิดความขลังขึ้นมาได้"

    ประการที่ ๒ ก็คือ พุทธศาสนิกชนทั่วไปที่กำลังใจยังยึดเกาะสิ่งต่างๆ อยู่ ก็จะได้มีสิ่งที่ยึดเกาะอยู่ในกรอบ อยู่ในขอบเขตที่ถูกต้องและสมควร อย่างไรเสียก็ไม่หลุดไปจากกรอบของพระพุทธศาสนา

    ประการที่ ๓ การสร้างวัตถุมงคลเป็นการสืบพระพุทธศาสนา ส่วนหนึ่ง ก็คือมีครูบาอาจารย์หลายต่อหลายรูป ที่มีความสามารถ มีคนให้ความเคารพศรัทธา สนับสนุนในการสร้างวัตถุมงคล เพื่อบรรจุกรุไว้สืบอายุพระพุทธศาสนา ส่วนใหญ่ก็ต้องสร้าง ๘๔,๐๐๐ องค์ เป็นต้น

    ประการที่ ๔ ก็คือ วัตถุมงคลที่มีอานุภาพอย่างแท้จริงนั้น สามารถช่วยตัดเคราะห์กรรมให้แก่ผู้ที่นำไปใช้ โดยเฉพาะว่าช่วยในการป้องกันรักษาประเทศชาติของเรา สมัยก่อนทหารเวลาออกรบต้องมีวัตถุมงคลที่มั่นใจว่าคุ้มครองรักษาตัวเองได้ ส่วนใหญ่ก็เน้นไปทางแคล้วคลาด หรือคงกระพันชาตรี เป็นต้น บรรพบุรุษของเราก็อาศัยวัตถุมงคลทั้งหลายเหล่านี้ในการสู้รบกับข้าศึกศัตรู จนกระทั่งสามารถปกป้องรักษาแผ่นดินไทยเอาไว้ได้ หรือว่าช่วงชิงแผ่นดินไทยของเรากลับคืนมา เป็นที่ตั้งของพุทธศาสนา เป็นเรือนอยู่เรือนตายของพวกเราทั้งหลายได้

    ฉะนั้น..ในเรื่องของวัตถุมงคลจะว่าไปแล้วมีคุณอนันต์ แต่ว่าปัจจุบันนี้จะมีการทำในลักษณะของเชิงพาณิชย์มากเป็นพิเศษ จะมีการกำหนดราคาเพื่อเอากำไร การสร้างวัตถุมงคลส่วนใหญ่แล้ววัดไม่ได้สร้างเอง แต่ว่ามีนายหน้าที่เล็งเห็นว่า ครูบาอาจารย์วัดไหนมีชาวบ้านให้ความเคารพนับถือมาก ก็จะขออนุญาตไปสร้างวัตถุมงคลจำนวนเท่านั้นเท่านี้ แล้วก็จะแบ่งส่วนหนึ่งถวายให้แก่ทางวัด เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายทำนุบำรุงเสนาสนะ บางเจ้าที่ตรงไปตรงมาก็มี บางเจ้าที่หลอกลวงกันก็มาก"

    " หลวงปู่พระศีลมงคล (หลวงปู่เจ้าคุณทอง) วัดสำเภาเชย อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี ความจริงสนิทสนมคุ้นเคยกันกับอาตมามาก ลงปักษ์ใต้แต่ละครั้งถ้าผ่านปัตตานี อาตมาต้องแวะไปกราบท่านก่อน ปรากฏว่าวันนั้นอาตมาโทรศัพท์เข้าไป ลูกศิษย์บอกว่า "ท่านอาจารย์อย่าเพิ่งมาเลยครับ พ่อหลวงกำลังเครียด"

    อาตมาถามว่าเครียดเรื่องอะไร ? เขาบอกว่ามีคนมาขออนุญาตสร้างวัตถุมงคล แล้วจะถวายพ่อหลวงเพื่อสร้างเจดีย์ ๒๐ ล้าน พ่อหลวงก็อนุญาตให้ไป ปรากฏว่าเขาก็ไปออกวัตถุมงคลแล้วเปิดรับจอง ทั้งทางศูนย์พระเครื่องและสื่อมวลชนต่างๆ ได้เงินไปเท่าไรไม่รู้ แต่เขาไปแล้วไปลับไม่กลับมา
    อาตมาถามว่า "ไอ้คนที่มาขอสร้างวัตถุมงคลเป็นใคร ? หลวงพ่อท่านถึงได้เชื่อถือและยอมอนุญาตให้เขาสร้างได้ ?" ลูกศิษย์ก็บอกว่า "อย่าไปเอ่ยถึงเลยครับ เขาเป็นคุณนายของท่าน...." เขามาจึงน่าเชื่อถือ แต่ว่าพอถึงเวลาแล้วก็ทนโลกธรรมไม่ได้

    แรกๆ ทุกคนที่เข้าวัดเข้าวาก็จะเหมือนกัน คือตั้งใจทำความดี แต่พอลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เกิดขึ้น ทีนี้ก็อยู่ที่ว่ากำลังของตัวเองนั้นสามารถรับได้เท่าไร ถ้าหากว่าภูมิต้านทานน้อยก็จะเป็นอย่างที่ว่านี่แหละ ตั้งใจจะทำความดีแท้ๆ ท้ายสุดก็มีอเวจีเป็นที่ไป..!

    ดังนั้น..พวกเราเข้าวัดให้ระมัดระวังไว้อย่าให้ขาดทุน โดยเฉพาะบุคคลบางจำพวก พอสนิทสนมคุ้นเคยกันแล้วก็ลืมตัว เห็นพระเป็นเพื่อน ไม่ได้เห็นพระเป็นพระ อันนี้ก็แปลว่ากำลังหานรกใส่ตัวโดยใช่เหตุ แล้วก็มีทุกที่ ท่านที่ลืมตัวเพราะขาดสติยังพอให้อภัย มีบุคคลบางจำพวกตั้งใจลืมตัว คือทำท่าสนิทสนมคุ้นเคยเพื่อที่จะอวดคนอื่น ในเมื่อตั้งใจจะลืมตัวก็แปลว่าตั้งใจที่จะลงนรก..!
    เรื่องของพระ ถึงจะมีคุณอนันต์แต่ก็มีโทษมหันต์ ถ้าหากว่าเราทำดีทำถูกก็จะมีคุณมาก แต่ถ้าเราทำผิดพลาดจะเกิดโทษใหญ่แก่ตนเองขึ้นมา จึงเป็นเรื่องที่เราจะต้องสังวรระวังเอาไว้เสมอ"


    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๕
     
  2. Kunanop

    Kunanop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2011
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +218
    งงครับ ทำไมหลวงพ่อต้องเครียด
     
  3. nun-rayong

    nun-rayong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    320
    ค่าพลัง:
    +1,312
    คิดก่อนเชื่อ หลวงพ่อไม่ได้พูดออกมาจากปากตนเองว่าเครียด แต่เป็นลุกศิษย์คิดเองว่าท่านเครียดใช้ความคิดของตนเองแล้วนำไปบอกกับผู้อื่น ทำให้อาจารย์ตนเองเสียหายโดยไม่รู้ตัว เราต้องไคร่ครวญก่อนนำไปเล่าต่อๆก็จะดี ในทุกๆเรื่อง
     

แชร์หน้านี้

Loading...