********เปิดสั่งซื้อหนังสือประวัติและแจกผงพุทธคุณ พระอาจารย์ชาญณรงค์ ด่วน จำนวนจำกัด********

รับทราบการจองครับ เตรียมจัดส่งใบจองให้ครับ

 

มีเล่ม2ต่อครับ

 

โอนเงินให้แล้วครับ 1750.29 บ. ชื่อ ที่อยู่แจ้งให้พี่แล้วใน inbox ครับ

 

สัปดาห์หน้าจัดส่งใบจองให้ครับ

 

ขอจอง 1 เล่มครับ

 

เมื่อวันเสาร์นี้ ได้รับใบจองแล้วครับ...

 

พบหลวงตาดำ เจ้าแห่งสงฆ์ดงพญาเย็น

ในคราวที่สามเณรทั้ง ๓ เดินทางไปกับ หลวงปู่พลอย พรหมโชโต คราวนี้ถือเป็นเรื่องที่ทำให้ชีวิตของสามเณรทั้ง ๓ ต้องพลิกผันเป็นเหตุให้ได้ผล "หลวงตาดำ” พระสงฆ์ลี้ลับผู้มีอายุกาลยาวนานเกินคาดเดา มีคุณวิเศษอันอัศจรรย์นานัปการ สาเหตุที่ได้พบกล่าวคือ เมื่อเสร็จกิจแล้วเดินทางออกจาก วัดห้วยจระเข้ จุดหมายมุ่งหน้าไปนมัสการ “พระแท่นดงรัง” อันการเดินทางคราวนี้เชื่อว่า หลวงปู่พลอย พรหมโชโต ท่านคงมีเหตุผลหรือทราบถึงบางสิ่งก่อนแล้ว ท่านจึงเจตนาพาสามเณรทั้ง ๓ เดินทางต่อไปฝึกในคราวแรกนี้ เมื่อเดินทางมาถึงกลางทางเป็นเวลาใกล้เพล อาหารที่เตรียมมาขบฉันท์มีไม่มาก จึงออกค้นหารอบๆ บริเวณที่นั่งพักเพื่อมองหาอาหารขบฉันท์ บังเอิญไปเห็นหัวมันที่ริมทางเดิน สามเณรทั้ง ๓ จึงตรงเข้าไปช่วยขุดหัวมัน

ในขณะทำการขุดหัวมันอยู่นั้นปรากฏมีพระสงฆ์ชรา รูปร่างสูงใหญ่ ผิวกายดำ มาอยู่ด้านหลังเมื่อใดไม่ทราบได้ ท่านพูดตำหนิสามเณรทั้ง ๓ ว่าเป็นศิษย์ใครมาขุดหัวมันกริยาไม่สำรวมระวังรักษาตนเอง หลวงตาดำ ในเวลานั้นท่านพูดตำหนิสามเณรครู่หนึ่ง ต่อมาสามเณรเกิดไม่พอใจต่างเข้ารุมร้อม หลวงตาดำ เวลาต่อมา หลวงตาดำ ท่านท้าให้สามเณรเข้าทุบตีท่านพร้อมๆ กัน แต่สุดท้ายไม่สามารถทำอันตรายใดๆ แก่ท่านได้เลย สามเณรเกิดเลื่อมใสขอฝากตัวเป็นศิษย์เดินทางเข้าเรียนวิชาจาก "ในดง" นี้เป็นเรื่องราวคร่าวๆ สาเหตุที่ท่านได้พบ หลวงตาดำ

พระสงฆ์ผู้มีอำนาจจิตเป็นอัศจรรย์

เรื่องราวของพระอาจารย์ อภิชิโต ภิกขุ หากกล่าวไปคล้ายนิทานเรื่องเล่าชวนฝันที่เขาแต่งกันขึ้น ด้วยเรื่องราวของท่านล้วนลึกลับพิสดารเกินคาดเดา ตั้งแต่เริ่มได้พบพระอาจารย์ลึกลับมากอิทธิฤทธิ์นาม “หลวงตาดำ เจ้าแห่งสงฆ์ดงพญาเย็น” ผู้พาท่านเข้าไปฝึกวิชาจากในแดนลี้ลับที่เรียกกันว่า “ในดง”

สำหรับผู้ที่หลวงตาดำพาเข้าไปฝึกในดงจะเรียกว่า “ศิษย์ในดง” เช่น พระอาจารย์ อภิชิโต ภิกขุ ถือเป็นศิษย์ในดง ส่วนผู้ที่อาจารย์ในดงออกมาโปรดสอนวิชาให้จะเรียกว่า “ศิษย์นอกดง” เช่น หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน กับ อ.ฉลอง เมืองแก้ว (ผู้ทำยาทูลฉลอง) ทั้งสองท่านเป็นศิษย์นอกดง ขั้นตอนการฝึกวิชาในดงอันแสนลำบากพิสดาร เมือเรียนจบยังต้องทดสอบด้วยวิธีต่างๆ อีกทั้งต้องโดดลงเหวลึกเพื่อฝึกตาย จวบจนสำเร็จวิชากลับเข้าสู่เมืองหลวง หลายครั้ง พระอาจารย์ อภิชิโต ภิกขุ สร้างความอัศจรรย์ด้วยอำนาจพลังจิต เริ่มจากรักษาผู้ที่ตกทุกข์เจ็บป่วยไข้ ให้หายจากโรคภัยได้อย่างอัศจรรย์ ด้วยอำนาจจิตตามวิชาที่ท่านร่ำเรียนมาจาก “ในดง” แดนลี้ลับ จะว่าไปท่านเริ่มเป็นที่รู้จักร่ำลือมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นสามเณร สมัยก่อนผู้คนต่างร่ำลือเรียกขานนามท่านว่า “เณรน้อยอยุธยา” หากย้อนเวลาไปเมื่อราว ๕๐-๖๐ ปี ผู้สนใจทางอิทธิฤทธิ์ไม่ว่าพระสงฆ์หรือฆราวาส โดยเฉพาะเขตจังหวัดอยุธยาชื่อเสียงของท่านเป็นที่ร่ำลือมาก อดีตเมื่อครั้งที่ท่านพึ่งออกมาจาก “ในดง” เรียนสำเร็จวิชามาใหม่ๆ กำลังร้อนอยากลองวิชา ประกอบกับความคึกคะนองตามวัย ท่านจึงออกเที่ยวท่องเพื่อทดสอบวิชากับพระคณาจารย์ผู้มีชื่อเสียงตามสำนักต่างๆ ซึ่งสมัยนั้น จ.อยุธยา ถือเป็นจังหวัดที่มีพระคณาจารย์ผู้ทรงคุณอยู่มาก ท่านจึงเดินทางมาเพื่อขอต่อวิชาจากคณาจารย์ผู้ทรงคุณในยุคนั้น

ในสมัยท่านยังเป็นสามเณร พระอาจารย์ อภิชิโต ภิกขุ ท่านออกเดินทางไปพร้อมกับสหายอีก ๒ ท่าน ซึ่งบวชเป็นสามเณรทั้งได้เข้าศึกษาวิชาจาก “ในดง” จนสำเร็จวิชาพร้อมกันกับท่าน คือ อาจารย์หม่อม (หม่อมเจ้าไชยเดช พัฒนเดช), อาจารย์เหลียว (เฉลียว ศิริสมบัติ) เป็นญาติของท่าน สามเณรทั้ง ๓ ออกเดินทางเพื่อศึกษาเรียนรู้ ทั้งต่อวิชาเพิ่มเติมกับพระคณาจารย์ต่างๆ เท่าที่ทราบข้อมูลมาโดยส่วนมาก ท่านทั้ง ๓ จะไปสังเกตการณ์ดูก่อนว่าสำนักนั้นๆ มีดีจริงดังคำล่ำลือหรือไม่อย่างไร ? หากเมื่อไปสังเกตการณ์ดูแล้วไม่รู้แจ้ง ท่านทั้ง ๓ จึงจะเริ่มบทสอบด้วยวิธีการของท่าน หากสำนักนั้นแก้ทางท่านทั้ง ๓ ได้ท่านจะขอต่อวิชา แต่หากสำนักใดไม่สามารถแก้ทางท่านได้ท่านก็เดินทางกลับโดยไม่หยามเหยียดกัน ท่านถือคติโบราณว่า “นักเลงจริงเขาต้องเหลือทางพอให้เดิน” นี้เป็นน้ำใจของท่าน

ในช่วงแรกท่านทั้ง ๓ เดินทางไปทั่ว จากเหนือจรดใต้ จากตะวันตกสู่ตะวันออก ท่านไปทั่วหมดว่ากันว่าท่านเดินทางไปทดสอบคณาจารย์สมัยนั้นมากมาย แต่ที่ท่านทั้ง ๓ ยอมรับนับถือทั้งมีความผูกพันสืบเนื่องต่อมาภายหลัง อาทิเช่น หลวงพ่อแช่ม วัดตากล้อง, หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ, หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก โดยเฉพาะ หลวงพ่อจง ท่านนี้พระอาจารย์ อภิชิโต ภิกขุ เคยเล่าให้ศิษย์ฟังว่าทดสอบกันหนัก ด้วยหลวงพ่อจงรูปนี้สำคัญนักท่านเก่งกาจเหนือคณานับ เรียกว่ากินท่านไม่ลงเลยจิตท่านกล้าแข้งมาก ศิษย์รุ่นเก่าตลอดจนคำบอกเล่าที่เคยมีผู้ได้ฟังจาก พลวงพ่อบุญธรรม วัดร่มโพธิ์มโนธรรม จ.อยุธยา บอกเล่าเนื้อหาเรื่องราวตรงกันว่า “พระอาจารย์ อภิชิโต ภิกขุ สมัยยังเป็นเณรน้อยอยุธยา ท่านเคยลองวิชากับหลวงพ่อจง ท้ายสุดถึงขั้นท้าเหาะแข่งกันเลยทีเดียว” เรื่องนี้จริงเท็จกระการใดข้าพเจ้ามิกล้ายืนยัน เป็นพียงนำเอาข้อมูลที่รู้เห็นมาเล่าสู่กันฟัง ปัจจุบันทราบว่า หลวงพ่อบุญธรรม ท่านยังอยู่ อายุราว ๙๓ ปี ท่านเคยเล่าว่าตัวท่านเองได้ยินชื่อเสียง “เณรน้อยอยุธยา” มานาน ทั้งอยากพบเพื่อขอวิชาจากเณรน้อยอยุธยานี้มานาน ด้วยเคยฟังจากครูบาอาจารย์รุ่นก่อนร่ำลือว่าเณรน้อยผู้นี้เก่งนัก

เสกพระจนสายสิญจน์ลุกแดงเป็นเปลวไฟ

เรื่องราวของเณรน้อยอยุธยา หรือพระอาจารย์ อภิชิโต ภิกขุ ยังมีอีกมายมาก โดยมากคนยุคเก่าจะจดจำเรื่องราวของท่านได้ ซึ่งข้าพเจ้าได้พยายามสืบเสาะนำมาบันทึกเอาไว้ ด้วยเรื่องราวของท่านล้วนน่าสนใจเห็นสมควรนำมาบันทึกเอาไว้ว่า บ้านเมืองเรานี้เคยมีพระสงฆ์ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์อยู่อีกรูปหนึ่ง ผู้มีพลังจิตแก่กล้าเป็นอัศจรรย์ อย่างในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ สมัยเป็นสามเณรท่านเข้าร่วมปรกปลุกเสกพระเครื่อง วัดลาดบัวขาว ถ.เจริญกรุง (พระสมเด็จ วัดลาดบัวขาว) พิธีกรรมนี้ สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสสเทโว) เป็นประธานในพิธีกรรม แต่ด้วยเวลานั้นท่านเป็นสามเณร เขาจึงจัดให้ท่านนั่งอยู่ด้านนอกพิธี โดยท่านตกลงกับสหายทั้ง ๒ ว่างานนี้เป็นงานแรก จึงอยากลองวิชาที่เรียนมาจาก “ในดง" จึงตกลงกันว่าใครมีอะไรให้เสกลงไปให้เต็มที่ (เสกแข่งกันเอง) ดูว่าใครจะมีฤทธิ์มากกว่ากันใน ๓ คน เมื่อเข้าสมาธิอัดพลังส่งออกไปเต็มที่ ปรากฏว่าสายสิญจน์ที่สามเณรชาญณรงค์จับอยู่ เกิดปรากฏลำแสงสีแดงคล้ายลูกไฟวิ่งไปตามสายสิญจน์ ส่วนสหายทั้ง ๒ ต่างเกิดลำแสงวิ่งไปตามสายสิญจน์ในเวลาไล่เลี่ยกัน เหตุการณ์อัศจรรย์นี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาค่ำทำให้ผู้ที่พบเห็นต่างแปลกใจ เมื่อเสร็จพิธีผู้คนต่างกรูเข้าแย่งชิงด้ายสายสิญจน์กันอุตลุด จากเหตุการณ์นี้สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสสเทโว) ถึงกับออกปากยกย่องสามเณรทั้ง ๓ ว่ามีพลังจิตสูง “ในรอบ ๒๐๐ ปีจะหาสามเณรมีพลังจิตสูงเช่นนี้ไม่เคยปรากฏ” พระองค์ยังทรงตรัสกับสามเณรว่า “ต่อไปเบื้องหน้าขอให้เป็นกำลังในพระศาสนาสืบไป” แต่ในภายหลังมีเพียง พระอาจารย์ อภิชิโต ภิกขุ เพียงรูปเดียวมี่ยังคงครองตนอยู่ในเพศบรรพชิตตราบวาระสุดท้าย ส่วนสหายทั้ง ๒ ต่างมีเหตุต้องลาสิกขาไปใช้ชีวิตทางโลก

วิชาแปลงธาตุแสนอัศจรรย์

หากจะกล่าวถึงวิชาที่ พระอาจารย์ อภิชิโต ภิกขุ ได้รับการถ่ายทอดจากอาจารย์ในดงแต่ละวิชาล้วนพิสดาร ที่สำคัญสามารถแสดงให้เห็นประจักษ์ได้ทุกวิชา ใช่เพียงคำคุยโม้โอ้อวดขาดหลักฐานสิ่งยืนยัน เรื่องวิชาแปลงธาตุนี้มีการกล่าวถึงมานาน ตัวอย่างเรื่องขุนช้างขุนแผนก็มีกล่าวถึง อย่างพระเกจิอาจารย์ในอดีตมีเรื่องราวเล่าขานว่า ท่านสามารถเสกสิ่งของให้เป็นสิ่งมีชีวิตได้อย่าง เช่น หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า สามารถเสกหัวปลีเป็นกระต่าย, เสกใบมะขามเป็นต่อแตน เรื่องเล่านี้มีการบันทึกทั้งกล่าวถึงสืบต่อมา แต่ผู้ที่เคยพบเห็นสามารถยืนยันในเรื่องเหล่านี้ได้ ต่างล้มหายตายจากไปตามกาลเวลา ผู้คนรุ่นหลังจึงไม่ใคร่เชื่อถือเรื่องเหล่านี้ว่ามีอยู่จริง หรือมีผู้สามารถทำได้จริงในเรื่องนี้

เรื่องวิชาเสกแปลงธาตุนี้เองที่ทำให้เรื่องราวของ พระอาจารย์ อภิชิโต ภิกขุ เป็นที่รู้จักด้วยเป็นข่าวดังครึกโครมในสมัยนั้น เหตุผลบางประการท่านจำเป็นต้องแสดงฤทธิ์ อีกทั้งเพื่อลบคำสบประมาทว่าเรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องเหลวไหลเพ้อฝัน ซึ่งการแสดงฤทธิ์เสกแปลงธาตุนี้ท่าน พระอาจารย์ อภิชิโต ภิกขุ ท่านทำพิธีกรรมต่อหน้านักข่าวหนังสือพิมพ์ โดยมีการบันทึกภาพนิ่งไว้ทุกช่วงพิธี ในการพิสูจน์ฤทธิ์ครั้งนี้กระทำกันที่ วัดลาดบัวขาว ถ.เจริญกรุง โดยมีผู้ทรงคุณทางวิปัสสนาธุระทั้งผู้มีชื่อเสียงในยุคนั้น เช่น พระพุทธทาสภิกขุ, อ.บุญมี เมธางกูร, อาจารย์แนบ มหานีรานนท์ ฯลฯ อีกหลายท่าน การทดสอบมีขึ้น ๒ ครั้งโดยผู้เข้าสังเกตทุกท่านยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง สรุปผลการแสดงฤทธิ์ พระอาจารย์ อภิชิโต ภิกขุ สามารถ เสกใบบัวเป็นคางคก – เสกใบมะม่วงเป็นนกน้อยสีสันประหลาด ๒ ตัว – เสกผ้าเช็ดหน้าเป็นงูเห่า การเสกแปลงธาตุครั้งนี้สร้างความอัศจรรย์ ทั้งปลูกศรัทธาให้ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก ต่อมาเรื่องราวการเสกแปลงธาตุของ พระอาจารย์ อภิชิโต ภิกขุ เป็นข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ “เดลิเมล์ข่าวภาพ” ฉบับวันจันทร์ที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๖ และมีการนำเสนอซ้ำอีกใน “หนังสือพิมพ์บางกอกไทม์” ปี ๒๕๑๒

เมื่อเรื่องราวของท่านถูกเปิดเผยออกไป ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศต่างเดินทางมาเพื่อขอดู “การเสกแปลงธาตุ” ผู้คนล้นหลามเต็มลานวัดไปหมดคล้ายมีงานเทศกาล เหตุนี้ พระอาจารย์ อภิชิโต ภิกขุ แทบไม่เหลือเวลาเป็นส่วนตัวเพื่อฝึกจิต ต่อมาท่านจึงตัดสินใจเดินทางออกจาก วัดลาดบัวขาว เพื่อหลีกหนีความวุ่นวาย เหตุนี้ในภายหลังทำให้ท่านเก็บตัวหลีกหนีความวุ่นวาย ทั้งนี้ท่านยังกำชับศิษย์ไม่ให้นำเรื่องของท่านไปเที่ยวอวดบอกผู้อื่นส่งเดช เมื่อเวลาผ่านไปเรื่องราวของท่านจึงค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลา น่าเสียดายทั้งที่ท่านเป็นพระสงฆ์ที่มีพลังจิตแก่กล้าพิสดาร แต่ด้วยความที่ท่านเก็บตัวทำให้สังคมส่วนใหญ่ไม่รู้จักท่าน จะรู้ก็เพียงในหมู่ศิษย์ที่แนะนำต่อกันเป็นการเฉพาะ ศิษย์ของท่านส่วนมากเป็นผู้บริหาร นักการเมือง ข้าราชการระดับปกครอง เจ้าสัวใหญ่ในเมืองไทยล้วนเป็นศิษย์ให้ความเคารพท่านทั้งสิ้น สมัยก่อนผู้คนคิดว่าท่านเป็นพระเข้าหายาก ต้องเป็นคนใหญ่คนโตเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์เข้าพบ เรื่องเหล่านี้ไม่เป็นความจริงเป็นการตีความกันไปเอง ความจริงท่านช่วยผู้บริหารประเทศก็เพื่อให้เขาเหล่านี้ จะได้ทำการต่างๆ เพื่อประคับประครองช่วยเหลือบ้านเมืองได้ถูกต้อง เป็นการช่วยชี้แนะแก้ไขได้ช่วยทั้งคน และบ้านเมืองไปด้วยเป็นประโยชน์ถึงสองทางดังนี้

 

จองหนังสือด้วย 1 เล่มครับ




อนุโมทนา สาธุ
ตามธรรม

 

ทุกท่านที่จองหนังสือไว้ ในราคา1,600.- ต้องโอนภายในวันที่ 6 มิ.ย. 2557 เท่านั้นครับ
ตั้งแต่วันที่ 7มิ.ย. 2557 จะเป็นราคา 2,100 ครับ

 

เรียนสอบถามครับ

ถ้าจองตอนนี้ หนังสือจะได้รับเมื่อไหร่ครับ

ขอบคุณครับ

 

ประมาณเดือนกันยายนครับ
ถ้าจองในราคาพิเศษ 1,600.- ต้องโอนภายในวันที่ 6 มิ.ย. 57 เท่านั้นนะครับ

 

โอนเรียบร้อยครับ รายละเอียดทาง PM ครับ

 

จองหนังสือ 1 เล่ม ครับ

 

ขอจอง 1 เล่มครับ

 

สำหรับท่านที่โอนแล้ว รบกวนแจ้งชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์เพื่อจัดส่งใบจองด้วยครับ

 

โอนละครับ

สวัสดีครับ

ผมโอนละครับ เวลา 12.59

ที่อยู่ใน pm ครับ

ขอบคุณครับ

 

จอง 1 เล่ม ครับ

 

แจ้งโอนเงินค่าหนังสือหลวงพ่อชาญณรงค์ ตามสลิปแนบมาครับ
ที่อยู่ในการจัดส่งจะแจ้งทาง พีเอ็ม ครับ

 

วันนี้โอนแล้วครับ 1,750 ขอบคุณมากครับ

 

จอง 1เล่มครับ

ขอบคุณครับ