หลวงปู่เทพโลกอุดร มีจริง?

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย เพียรธรรม, 26 มีนาคม 2014.

  1. เพียรธรรม

    เพียรธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +540
    ข้าพเจ้าเคยอ่านประวัติของหลวงปู่เทพโลกอุดรมามากมาย เมื่อตอนยังเด็กก็สงสัยว่าท่านเป็นเพียงตำนาน หรือมีตัวตนจริงๆ ในใจลึกๆของข้าพเจ้านั้นเชื่อว่า ท่านมีจริง แต่คนที่จะพบเจอท่านได้นั้น ต้องมีกรรมสัมพันธ์และเป็นผู้มีบุญบารมีมากจริงๆจึงจะได้พบเจอท่าน ในหนังสือต่างๆ ได้กล่าวอ้างถึงหลวงปุ่เทพโลกอุดรกันไปต่างๆนาๆ บางคนก็อ้างว่าเคยร่ำเรียนวิชา เคยพบเจอ กับท่านมาแล้ว ครั้งนี้ข้าพเจ้าขอเล่าเรื่องราวของตนเอง ให้ทุกท่านได้ลองอ่านและพิจารณากันครับ ไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่ขอร้องอย่าลบหลู่ และพาดพิงครูบาอาจารย์ ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อเป็นสังฆานุสสติ และมิให้เกิดกรรมปรามาสพระรัตนตรัย สักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าฟังก็พอ...

    เมื่อโตขึ้นมา ข้าพเจ้าได้สนใจในการทำบุญ เข้าวัดปฏิบัติธรรม ข้าพเจ้า ได้ศึกษาเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับศาสนาพุทธ ครูบาอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด ที่มาเข้าฝันข้าพเจ้าจนต้องศึกษาเรื่องราวประวัติของท่าน และบูชาท่านมาจนถึงทุกวันนี้ หลวงปู่ปานวัดบางนมโค ที่ทำให้ข้าพเจ้าเคารพบูชาท่านเป็นอย่างยิ่ง ในกรรมสัมพันธ์ที่มีต่อกันและบารมีของท่านที่่เมตตาต่อข้าพเจ้า หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ที่คำสอนของท่านถูกจริตข้าพเจ้ายิ่งนัก จนมีหนังสือซีดีของท่านมากมาย และได้ฝึกมโนมยิทธิ ตามแนวทางของท่าน หลวงพ่อจรัญ ฐิตตธัมโม ในคำสอนที่ทำให้กรรมเป็นเรื่องใกล้ตัวและไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต และท่านได้ปฏิบัติ เรียนวิชากับหลวงปู่เทพโลกอุดรด้วย เป็นต้น
    เรื่องที่ข้าพเจ้าจะเล่าต่อไปนี้ เป็นประสบการณ์ตรง ที่ไม่ต้องอาศัยอภิญญาใดๆ แต่ด้วยความโชคดีของข้าพเจ้าที่มีครูบาอาจารย์ดี หรือบางคนลงความเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นศิษย์สายหลวงปู่เทพโลกอุดรนั่นเอง...

    ภาพหลวงปู่เทพโลกอุดร หรือในกลุ่มเราจะเรียกว่าหลวงปู่ใหญ่ ที่นั่งห้อยขา มือวางบนตัก ที่แนบมาในไฟล์นี้ เป็นภาพที่ทุกคนคงคุ้นเคยกันดี ตามประวัติที่คณะของท่าน จำนวน 5 รูป จาริกมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ชมพูทวีป และสองรูปนั้น ที่เดินทางมาในไทยและพม่าคือ พระอุตตระ และ พระโสณะ ตามความเชื่อรูปนี้คือพระอุตระ ข้าพเจ้าได้มาสังเกตุว่าครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ข้าพเจ้านับถือและช่วยงานพระศาสนาทุกวันนี้เป็นศิษย์สายหลวงปู่เทพโลกอุดร ทั้งนั้นเลย ...
    โปรดติดตามตอนต่อไปครับ


    แจกพระบรมสารีริกธาตุ สำหรับผู้ร่วมบุญที่

    https://www.facebook.com/pages/%E0%B...72060976186165
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. ผู้ไกล

    ผู้ไกล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    544
    ค่าพลัง:
    +4,752
    มีจริงครับ แต่ก็ไม่แปลกที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายจะเป็นลูกศิษย์ท่าน
    เพราะในเมื่อท่านปราถณาพุทธภูมิมาก่อนแล้วลาซึ่งพระพุทธภูมินั้นแล้ว
    ท่านก็จะต้องทำหน้าที่ของพุทธภูมิให้เสร็จสิ้นลงเมื่อเสร็จแล้ว
    ท่านก็จะเข้าสถานที่บรมสุข คือ พระนิพพานในสุดนั้นเองครับ
     
  3. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090

    มีจริง เพราะไม่มีมูลหมาไม่ขี้
    แต่ความจริงกับเรื่องเล่าต่อๆกันมานั้น จะแตกต่างไปคนละเรื่อง
    เฉกเช่นเรื่องราวอภินิหาริย์ต่างๆของพุทธองค์ฉันนั้น

    ปัจจุบันมีคนเคารพนับถือศรัทธามากมาย รู้แค่นี้ พอแล้วไม่ต้องย้อนอดีต
     
  4. twentynine

    twentynine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +992
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2014
  5. ss_solomon

    ss_solomon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2012
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +54
  6. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    หลวงพ่อพรหม วัดบางปูน อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี พระที่คนรู้จักกันในชื่อ พระครูเทพโลกอุดร[/url][/QUOTE]

    ภาพที่แสดงเป็นหลวงพ่อพรหม วัดบางปูน อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี เหมือนภาพของพระครูเทพโลกอุดร ถูกต้องแล้วครับ ที่จริงก็เป็นภาพหลวงพ่อพรหม ภาพพระครูเทพโลกอุดรนั้นไม่มี....
    หลวงปู่สาวกโลกอุดรได้แสดงธรรมไว้ว่าพระครูเทพโลกอุดรจึงไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด
    เรื่องนี้หลวงปู่แสดงว่าเป็นแอบอ้างเทียบเคียงชื่อของหลวงปู่สาวกโลกอุดรเท่านั้น ซึ่งให้ดูคล้ายเป็นว่าหลวงปู่ไปเลียนชื่อของพระครู จากนั้นก็ทำเป็นพุทธพานิชย์ สร้างพระ แต่งหนังสือขายต่างๆ โดยหาได้มีหลักธรรมคำสอนเป็นวิธีปฏิบัติธรรมแต่อย่างใด
    การนี้ทุกท่านสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้เวปหลวงปู่สาวกโลกอุดรครับ
    ผมเชื่อถือที่หลวงปู่สาวกโลกอุดรแสดง จึงไม่เชื่อว่าพระครูเทพโลกอุดรจะมีตัวตนจริงครับ
    แม้นแต่รูปยังเอารูปพระรูปอื่นมาเป็นรูปของท่าน คิดดูให้ดีครับ ใครที่ทำขึ้นคนแรกเขาต้องการอะไรกันแน่...
    หลวงปู่สาวกโลกอุดรบรรลุและออกแสดงธรรมเมื่อ พ.ศ.2532 ลองตรวจสอบหนังสือต่างๆที่เกี่ยวข้องนั้นออกมาเมื่อ พ.ศ.อะไร
    หากเอาศรัทธาความเชื่อเป็นที่ตั้งโดยไม่เอาปัญญาไปวินิจวิเคราะห์อะไร
    ตรงนี้ก็แล้วแต่ท่านครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2014
  7. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
    หลวงพ่อพรหม วัดบางปูน อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี พระที่คนรู้จักกันในชื่อ พระครูเทพโลกอุดร
    [​IMG] [​IMG]

    วันพฤหัสบดีที่ 09 พฤษภาคม 2013 เวลา 10:19 น. อ้อ


    .

    ภาพและเรื่องโดย ประพนธ์ พรอุตสาห์

    สิงห์บุรี อำเภอเมืองสิงห์บุรีเดิมเป็นเมืองเรียกกันว่า เมืองสิงห์ มีมาแต่สมัยใดไม่ปรากฏ ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ก็มีอยู่แล้ว โดยทรงจัดให้เมืองสิงห์เป็นหัวเมืองชั้นใน ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาและสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เมืองสิงห์ถูกจัดให้เป็นหัวเมืองจัตวา และในปี พ.ศ.๒๔๓๘ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงรวมเมืองสิงห์เข้าอยู่ใน มณฑลกรุงเก่า และในรัชกาลที่ ๖ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น มณฑลอยุธยา และต่อมาได้ถูกยกเลิกไปเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๖ เมื่อมีการใช้พระราชบัญญัติ ว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.๒๔๗๖

    ในปี พ.ศ.๒๔๓๙ ได้มีการตั้งเมืองใหม่คือยุบเมืองอินทร์เป็น อ.อินทร์บุรี เมืองพรหมเป็นอำเภอพรหมบุรี เมืองสิงห์เป็นอำเภอสิงห์ แล้วตั้งเมืองขึ้นใหม่ที่ตำบลบางพุทราเป็นเมืองสิงห์บุรี การที่ตั้งเมืองที่บ้านบางพุทรา นั้นอาจเป็นเพราะที่ตั้งนั้นเป็นกึ่งกลางทางของ อ.อินทร์บุรี กับอำเภอพรหมบุรี หรือเป็นศูนย์กลางอำเภอสิงห์ด้วย (ปัจจุบันเรียกอำเภอสิงห์ว่า อำเภอบางระจัน)

    อำเภอเมืองสิงห์บุรี ได้ตั้งขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ.๒๔๔๔ โดยใช้ชื่อว่า อำเภอบางพุทรา เหตุที่ได้ชื่อนี้เพราะตั้งอยู่ตรงข้ามปากน้ำบางพุทรา (แม่น้ำลพบุรีปัจจุบัน) เดิมไม่มีตัวที่ว่าการอำเภอ เมื่อมีการสร้างศาลากลางจังหวัดเมื่อ ร.ศ.๑๓๐ (ตรงกับ พ.ศ.๒๔๕๔-ผู้เขียน) แล้ว จึงได้อาศัยอยู่รวมกับศาลากลางจังหวัด (อยู่ในบริเวณจวนผู้ว่าราชการจังหวัด) อาศัยทำงาน ณ ศาลากลางจังหวัด ต่อมาได้สร้างที่ว่าการอำเภอ ขึ้นเป็นเอกเทศเป็นเรือนไม้ที่หลังสำนักงานที่ดินจังหวัดปัจจุบัน หันหน้าไปทางทิศใต้ โดยตั้งอยู่บริเวณเดียวกับที่ว่าการอำเภอปัจจุบัน ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๘๑ ทางราชการได้สั่งให้เปลี่ยนชื่อที่ว่าการอำเภอ ที่ตั้งอยู่ในเมืองให้เป็นชื่อจังหวัดนั้นๆ ฉะนั้นที่ว่าการอำเภอจึงได้ชื่อว่า ที่ว่าการอำเภอเมืองสิงห์บุรี มาตลอดเท่าทุกวันนี้ และได้สร้างที่ว่าการอำเภอใหม่เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๗ ดังที่เห็นในปัจจุบัน



    อินทร์บุรี อ.อินทร์บุรี เดิมเป็นเมืองเรียกว่า เมืองอินทร์ ในกฎมณเฑียรบาลว่าเป็นเมืองสำหรับหลานเธอครอง ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ผู้สร้างกรุงศรีอยุธยาได้จัดการปกครอง โดยให้เมืองอินทร์เป็นหัวเมืองชั้นใน เป็นเมืองหน้าด่านรายทางสำหรับทางเหนือ โดยมีเมืองลพบุรีเป็นหัวเมืองชั้นในหน้าด่านสำหรับทางเหนือเป็นหลัก ปรากฏในประวัติศาสตร์ ว่าเมื่อพระเจ้าอู่ทองสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีเมื่อ พ.ศ.๑๘๙๓ โปรดให้ขุนหลวงพะงั่วซึ่งเป็นพี่พระมเหสีไปครองเมืองสุพรรณบุรี และทรงตั้งให้เป็นสมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า ต่อมาขุนหลวงพะงั่วผู้นี้เองได้ยกกองทัพมาปราบปราม พระราเมศวรโอรสพระเจ้าอู่ทองและครองราชสมบัติกรุงศรีอยุธยาเสียเอง ทรงพระนามว่าสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ เป็นต้น ราชวงศ์สุพรรณภูมิ และโปรดให้น้องชายครองสุพรรณบุรีแทน และโปรดให้หลานชายซึ่งเป็นลูกของน้องคนนี้ไปเป็นเจ้าเมืองอินทร์ คนเรียกกันว่าพระนครอินทร์หรือเจ้านครอินทร์ เมืองอินทร์บุรีจึงมีฐานะเป็นเมืองหลานหลวง
    ตามประวัติศาสตร์นั้นอินทร์บุรีเป็นบ้านเป็นเมืองอยู่ก่อนแล้ว เมื่อพระบิดาของเจ้านครอินทร์สิ้นพระชนม์ เจ้านครอินทร์ได้ครองเมืองสุพรรณบุรีแทน เจ้านครอินทร์ผู้นี้เองที่ได้เข้ายึดอำนาจการปกครอง ของกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ.๑๙๔๔ เพราะเกิดความวุ่นวายในกรุงศรีอยุธยา ทรงถอดพระเจ้ารามราชาธิราช ซึ่งเป็นเชื้อสายของพระเจ้าอู่ทองออกจากราชสมบัติ แล้วเสด็จขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ.๑๙๔๔ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระอินทราชาธิราชที่ ๑ (ราชวงศ์สุพรรณภูมิ)

    ที่ยกประวัติศาสตร์ มากล่าวนี้เพื่อให้เห็นว่าอินทร์บุรีเป็นเมืองเก่า เป็นเมืองที่มีประวัติแห่งความยิ่งใหญ่ เป็นเมืองที่ที่มีคนเก่ง ในสมัยกรุงศรีอยุธยาและสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ตอนต้นเมืองอินทร์มีฐานเป็นหัวเมืองจัตวา ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงจัดระเบียบแบบแผนการปกครองใหม่ โดยในปี พ.ศ.๒๔๓๘ ได้รวมเมืองอินทร์บุรีเข้าอยู่ในมณฑลกรุงเก่า และในพ.ศ.๒๔๓๙ ได้ยุบเมืองอินทร์บุรีเป็นอำเภอขึ้นอยู่กับ จ.สิงห์บุรี เรียกว่า อ.อินทร์บุรี แต่ก่อนจวนเจ้าเมืองตั้งที่ว่าการอยู่เขตวัดโบสถ์ทางทิศเหนือ เมื่อเมืองอินทร์เป็นอำเภอ ได้ย้ายที่ว่าการไปตั้งใต้วัดโพธิ์ลังกา ฝั่งตะวันออกแม่น้ำเจ้าพระยา ต่อมาย้ายข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา มาฝั่งตะวันตกตั้งที่ต้นโพธิ์เหนือวัดปราสาท ปัจจุบันนี้ที่ว่าการ อ.อินทร์บุรี ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาใต้วัดปราสาทประมาณ ๕๐๐ เมตร การที่ย้ายหลายแห่งอาจเป็นด้วยสถานที่ตั้งเดิมคับแคบขยายไม่ออก

    พรหมบุรี อำเภอพรหมบุรี ตามหลักฐานที่ปรากฏมีมาตั้งแต่ครั้งสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ แล้ว โดยมีฐานะเป็นหัวเมืองชั้นใน แต่ก่อนนั้นจะสร้างในสมัยใดไม่ปรากฏ สันนิษฐานกันว่าเป็นเมืองที่พระเจ้าพรหม (พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก) ผู้ครองเมืองไชยปราการ (ฝาง) ได้โปรดให้สร้างขึ้นแล้วขนานนามว่า เมืองพรหมบุรี ตั้งอยู่ใต้วัดอัมพวัน หมู่ที่ ๖ ตำบลพรหมบุรี อำเภอพรหมบุรี ในปัจจุบัน สมัยกรุงศรีอยุธยาและสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เมืองพรหมบุรี คงมีฐานะเป็นเมืองตลอดมา ในกฎมณเฑียรบาลว่าเป็นเมืองสำหรับหลานหลวงครอง ในกฎหมายลักษณะลักพาบทหนึ่งเรียกชื่อว่า พระพรหมนคร แต่ในทางปกครองได้ถูกจัดให้เป็นเมืองจัตวามีเจ้าเมืองปกครองตลอดมา ได้มีการย้ายที่ตั้งเมืองจากใต้วัดอัมพวันไปอยู่ที่ปากบางหมื่นหาญ (อยู่เหนือตลาดปากบาง หมู่ที่ ๒ ตำบลพรหมบุรี ปัจจุบัน) ต่อมาได้ย้ายไปตั้งที่จวนหัวป่าเหนือวัดพรหมเทพาวาส ครั้นถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงจัดการปกครองเป็นรูปมณฑลเทศาภิบาลในปี พ.ศ.๒๔๓๘ ได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลเทศาภิบาล โดยรวมเอาพรหมบุรีเข้าไว้ใน มณฑลกรุงเก่า ด้วย



    ช่วยผู้อ่านให้ได้รับความรู้รอบตัวกันแล้วอย่างนี้ ก็ควรที่จะตัดมายังเรื่อง หลวงพ่อพรหม วัดบางปูน เลยดีกว่า เพราะเชื่อว่าน่าจะมีผู้อ่าน จำนวนหนึ่งที่อยากทราบประวัติของท่านเต็มที ท่านผู้นี้มีสมณศักดิ์เป็น พระใบฎีกาฐานานุกรมของ พระครูสิงหราชมุนี (หรือ หลวงพ่อใย ) วัดระนาม เจ้าคณะ จ.สิงห์บุรี ทั้งยังมีตำแหน่งทางการปกครองคณะสงฆ์เป็นเจ้าคณะหมวดชีน้ำร้าย ซึ่งเทียบได้กับเจ้าคณะตำบลในปัจจุบัน วันเกิดของท่านคือ วันอาทิตย์ เดือน ๔ ปีมะโรง พ.ศ.๒๔๒๒ เป็นบุตรคนแรกของ นายขุนมา และ นางไข่ (ไม่ทราบนามสกุล) ซึ่งตั้งภูมิลำเนาอยู่บ้านโพนางดำ อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ครั้นมีอายุได้ ๒๒ ซึ่งเกินกำหนดได้อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดระนาม (เหนือวัดบางปูนขึ้นไป) ผู้ที่ได้รับนิมนต์มาเป็นพระอุปัชฌาย์คือ พระครูอินทมุนี (โต) วัดประศุก ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน ส่วนคู่สวดนั้นได้แก่ พระอาจารย์พรหม วัดไผ่ล้อม และ พระสมุห์ใย วัดระนาม (พระอนุสาวนาจารย์องค์นี้ภายหลังมีสมณศักดิ์ เป็นพระครูสิงหราชมุนีและเป็นผู้ที่แต่งตั้ง หลวงพ่อพรหม เป็นพระใบฎีกาฐานานุกรมของท่าน) หลวงพ่อพรหม อายุสั้น เพราะถึงมรณภาพเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๙ ขณะที่มีอายุได้ ๕๘ ปีเท่านั้น

    พระอธิการบุญเรือง มหาปญฺโญ เจ้าอาวาส วัดบางปูน องค์ปัจจุบันเล่าว่า ถึงตัวท่านจะไม่ทัน หลวงพ่อพรหม เนื่องจากเกิดเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๒ หลังท่านถึงมรณภาพแล้ว ๓ ปี แต่คนที่เกิดทันคือบิดา ซึ่งไม่เพียงเป็นศิษย์ใกล้ชิดตอนเป็นเด็กวัดเท่านั้น เพราะครั้นตอนอายุครบบวช หลวงพ่อพรหม ยังเป็นพระอุปัชฌาย์อีกต่างหาก เนื่องจากถือเป็นศิษย์ใกล้ชิดกว่าใครๆ จึงทำให้ทราบเรื่องเกี่ยวกับ หลวงพ่อพรหม หลายประการ และท่านผู้นั้นได้เล่าให้ตนฟังจนจำไม่หวาดไหว เพราะส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องเหลือเชื่อแทบทั้งนั้น เช่น เรื่องท่านมีญาณวิเศษและล่องหนหายตัวได้เป็นต้น



    คนบางปูน รุ่นก่อนต่างรู้เรื่องดี ยิ่งคนที่เคยบวชอยู่กับท่านยิ่งรู้กว่าใคร ตนจำได้เฉพาะเรื่อง พระหนีเที่ยวเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น กล่าวคือ หลวงพ่อพรหม ได้สั่งกำชับพระทุกองค์ว่า ถ้าองค์ไหนมีธุระออกนอกวัดต้องมาลาท่าน แม้จนชั้นไปเยี่ยมเยียนญาติโยมที่บ้านก็ต้องลา หากแต่ว่ามีพระหนุ่มอยู่กลุ่มหนึ่งที่ชอบหนีไปเที่ยวบ้านสาวๆ เป็นประจำ แต่ท่านทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และไม่เคยตำหนิติติงอะไรให้สำนึกตระหนักกัน ครั้นอยู่มาคืนหนึ่งขณะที่พระกลุ่มนี้กำลังเดินไปบ้านสีกา ปรากฏว่า หลวงพ่อพรหม โผล่ออกมาดักพร้อมกับถามว่าพวกคุณจะไปไหนกัน ทำให้พระเหล่านั้นหันหลังเดินกลับวัด เพราะนึกละอายแก่ใจและไม่กล้าสู้หน้า แต่เมื่อกลับถึงวัดกลับเห็น หลวงพ่อพรหม ท่านนั่งฉันน้ำชาอยู่หน้ากุฏิของท่าน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นท่านเดินตามหลังกลุ่มพระหนุ่มมาติดๆ ห่างไม่เกิน ๒ วา สรุปว่านับแต่บัดนั้นไม่มีการหนีเที่ยว ทั้งยังขยันหมั่นท่องสวดมนต์อีกต่างหาก นอกจากคำบอกเล่าของ พระอธิการบุญเรือง ดังกล่าวข้างต้น ที่ยืนยันว่า หลวงพ่อพรหม วัดบางปูน ไม่ใช่ พระครูเทพโลกอุดร หรือ หลวงปู่เทพอุดร ตามที่มีผู้เข้าใจคลาดเคลื่อน

    ยังมีคนบอกเล่าให้ผู้เขียนฟังอีกรายหนึ่งซึ่งได้แก่ นายสมพงษ์ สีภา (ซึ่งปัจจุบันอายุ ๗๐ ปี) ชาวบางปูน คนนี้บอกเล่าแบบยืดยาวพอสมควรว่า แต่เดิมนั้นท่านบวชอยู่กับ หลวงพ่อใย หลายพรรษา ต่อมาภายหลังอาจารย์ผู้นั้นได้ส่งท่านมาเป็นเจ้าอาวาส วัดบางปูน และดำรงตำแหน่งเจ้าคณะหมวดชีน้ำร้ายในขณะเดียวกัน ท่านเป็นพระกรรมฐานและมักออกธุดงค์เป็นประจำทุกปี สถานที่ที่ท่านชอบไปบำเพ็ญภาวนาได้แก่ดงป่า และเถื่อนถ้ำแถวบ้านช่องแค ซึ่งขึ้นกับอำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ เพราะแต่ก่อนนั้นละแวกที่ว่ายังเป็นป่ารกชัฏ และมีถ้ำตามภูเขาอยู่หลายถ้ำ

    ตามความเข้าใจของตนค่อนข้างเชื่อว่า เวลาที่ออกเดินธุดงค์ท่านคงจะนำภาพถ่ายติดตัวไปจำนวนหนึ่ง ฉะนั้นจึงเป็นที่แพร่หลายในหมู่ชาวบ้านแถวนั้น ครั้นต่อมาคนรุ่นหลังๆ ไม่ทราบว่าเป็นภาพถ่ายของใคร จึงตั้งชื่อให้ใหม่เป็น พระครูเทพโลกอุดร หรือ หลวงปู่เทพอุดร เพราะเห็นว่าหน้าตาท่าทางท่าน เหมาะแก่การอุปโลกน์ ด้วยดูขรึมขลังอย่างมาก และหากจะว่าไปแล้ว ท่านก็เป็นพระที่มีคุณวิเศษหลายประการ เช่น มีญาณวิเศษ มีหูทิพย์ ตาทิพย์ อย่างที่เรียกกันว่าได้อภิญญาหรืออะไรทำนองนั้น แต่ท่านไม่ได้ทำวัตถุมงคลแจกจ่าย มีเพียงภาพถ่ายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ที่สำคัญท่านผู้นี้ ยังมีฐานะเป็นคู่สวดและอาจารย์ของ หลวงพ่อเจ๊ก วัดระนาม พระเกจิเมืองสิงห์อีกองค์หนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี นายสมพงษ์กล่าวปิดท้าย

    อ่านต่อฉบับหน้า

    ( ที่มา : ลานโพธิ์ ฉบับที่ 1115 เดือนเมษายน 2556 : หลวงพ่อพรหม วัดบางปูน อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี พระที่คนรู้จักกันในชื่อ พระครูเทพโลกอุดร ภาพและเรื่องโดย ประพนธ์ พรอุตสาห์ )

    ลิขสิทธิ์ 2013 ลานโพธิ์ - สำนักพิมพ์ บางกอกสาส์น.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2014
  8. tongpoy

    tongpoy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +190
    ทุกอย่างสามารถอ้างอิงได้ตามหลักฐานครับ และที่แน่ๆ เมื่อมีหลักฐานพยานทั้งบุคคล ก็ต้องถึงบางอ้อครับ ชัดเจนเด็ดขาด ต้องหลักฐานและหลักการณ์ข้อเท็จจริงครับ วิญญุชนพึ่งมีปัญญาครับ
     
  9. Malaiteva

    Malaiteva เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +192
    .เคยทราบมาเหมือนกัน
    .พระอรหันต์ปฎิสัมภิทาญาณนั้น
    ท่านมีอานุภาพมากนะ ถ้ามีวาสนาได้เป็นลูกศิษย์ท่านคงดีมาก
    .เท่าที่ทราบ ถ้าเป็นคนที่มีคุณธรรม มีความดี ท่านก็จะมาชี้แนะให้นะ
    >ละเว้นความชั่ว มีการเบียดเบียน ล่วงเกินผู้อื่น หรือสัตว์อื่นเป็นต้น
    >ทำความดี ช่วยเหลือคนและสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยากเป็นต้น
    >แล้วท่านจะมาสอนการ ทำความสะอาดจิตใจให้
    .แต่ถ้าท่านไม่มาก็ไม่เห็นเป็นไร มีคุณธรรม ความดี เป็นที่พึ่งของตัวเองก่อนนั้นแล เรียกว่ายืนด้วยลำแข้ง...นะทุกท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2014

แชร์หน้านี้

Loading...