พระศรีอาริยเมตไตรย์ ตามคำบอกเล่าของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Wisdom, 23 ธันวาคม 2007.

  1. -๑ไร้IดีeJสา๑-

    -๑ไร้IดีeJสา๑- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +1,436
    *v*
     
  2. อธิมุตโต

    อธิมุตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4,741
    ค่าพลัง:
    +13,087
    สาธุ ได้รู้ความเป็นมาของพระศรีอาริยเมตตรัย ดีจริง ๆ เลยครับ
     
  3. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,803
    ค่าพลัง:
    +18,983
    มีเพียงพระพุทธเจ้าเท่านั้นแหละครับ ที่ท่านทราบ(ตามที่คุณ Wisdom กล่าวไว้)..บางอย่างท่านปิดเงียบเลย ไม่มีใครรู้เกี่ยวกับท่านเลย .. จะมีอภิญญาอย่างไรก็ไม่ทราบได้ แถมกำลังท่านเกินพระอรหันต์อีก -*-

    แต่หากใครเคยได้ทำบุญมากับท่าน หรือมีวาระกรรมเกี่ยวกับท่าน .. ยังไงเสีย ท่านก็คงไม่ทิ้งเราเป็นแน่ครับ ขอให้มั่นใจในพระเมตตาเถิด
     
  4. แอบยิ้ม

    แอบยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    151
    ค่าพลัง:
    +455
    คุณ Wisdom โพสต์ตอนท้ายกระทู้ทุกครั้งว่า

    ใครจะใหญ่เกินกรรม

    ผมขอแสดงความคิดเหนดังนี้ครับ
    ข้อความที่เต็มสมบรณ์น่าจะเป็นว่า

    ใครจะใหญ่เกินวิบากกรรม หรือ

    ใครจะใหญ่เกินผลของกรรม

    เพราะ กรรม แปลว่า การกระทำ แบ่งเป็น ๓ คือ
    กายกรรม วจีกรรม และ มโนกรรม
    ในขั้นตอนของการทำกรรม เราสามารถเป็นใหญ่ได้ครับ
    คือจะเลือกทำ กุศลกรรม ก็ได้...อกุศลกรรม ก็ได้
    เราเป็นเจ้าของหรือเป็นนายแห่งกรรม ก็ต่อเมื่อก่อนที่จะทำ ดังพระบาลีที่ว่า
    กัมมะสามี หรือ กัมมัสสะโกมหิ
    แต่ครั้นเมื่อกรรมที่เราทำนั้นให้ผลขึ้นมา ทีนี้แหละเรากลายเป็นลูกน้องหรือขี้ข้าทันที ดังพระบาลีว่า
    กัมมะทายาโท - เป็นทายาทของกรรม หรือต้องเป็นดังผู้สืบสกุลคอยรับมรดกกรรมที่เราได้ทำไว้นั้น
    ทำดี ก็ต้องดี จะเป็นร้ายไปไม่ได้
    ทำร้าย ก็ต้องร้าย จะกลายเป็นดีไปไม่ได้
    ทำบุญ ก็ต้องได้บุญ
    ทำบาป ก็ต้องได้บาป
    ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน หมายถึงต้องรับผลของบุญและบาปที่เราได้กระทำไว้เอง
    สมมติว่า เราได้ทำกรรมคือฆ่าสัตว์ ผลของกรรมคือ ป่วย ขี้โรค หรืออายุสั้น เราสามารถใหญ่กว่าปาณาติบาตได้ ก็โดยที่ไม่ไปทำมัน จะได้ไม่ต้องตกเป็นขี้ข้า คือถูกมันทำให้เจ็บป่วย อายุสั้น
    เคยได้ยินอาจารย์บางท่านมีการทำพิธี "แก้กรรม" ผมคิดว่าถ้าเป็น "กรรมดี" ไม่น่าจะไปแก้ เพราะก็ดีอยู่แล้ว
    แต่ถ้าเป็น "กรรมชั่ว" จึงจะน่าแก้ไข โดยเลิกทำเสีย
    กรรมที่ทำไปแล้ว ไม่อาจจะแก้ได้ เพราะกลายเป็นอดีตไปแล้ว จะตามไปแก้ไขเหตุการณ์ในอดีตได้อย่างไร

    พระอาจารย์สอนผมว่า "อดีตเป็นมาอย่างไร เราไม่อาจรู้ได้ แต่อนาคตเราสามารถกำหนดได้ว่า ต้องการเป็นอะไร"

    แต่ถ้าหมายถึง "แก้ผลของกรรม" ก็ไม่น่าจะทำได้ เพราะทำกรรมไปแล้ว วิบากกรรมหรือผลกรรมที่มาถึง แม้พระพุทธองค์ก็ยังทรงต้องรับเช่นกัน (ปิโลติกสูตร - สูตรว่าด้วยผ้าท่อนเก่า)

    ทั้งนี้มิได้ต้องการให้แก้ไขคำดังกล่าวนั้น เป็นเพียงคันไม้คันมือเลยแสดงความคิดเห็นมาแจมเท่านั้นครับ
     
  5. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    โมทนากับความคิดเห็นครับ จริงๆประโยคที่ว่า
    "ใครจะใหญ่เกินกรรมนั้น" เป็นคำที่ครูบาอาจารย์ผมกล่าวไว้
    ทั้งนี้ประโยคนี้ดูจะรวบรัดแต่จริงๆก็ครอบคลุมหมดครับ
    เราสามารถนำประโยคนี้ประโยคเดียวไป เพิ่มคำเพื่อย่อยแยกเจาะจง
    ความหมายเหมือนที่คุณ แอบยิ้ม ให้ความเห็นมาก็จะสังเกตุว่า
    ความหมายลึกขึ้น แต่ประโยคใครจะใหญ่เกินกรรมเองนั้น
    ครอบคลุมหมดครับ เพราะเราดำเนินชีวิตไปก็ด้วยผลของกรรม
    ไม่ว่ากรรมดีกรรมชั่ว ล้วนเป็นตัวปัจจัยให้เราดำเนินชีวิต
    เวียนว่ายตายเกิดไปในสังสารวัฐโดยกรรมเป็นตัวขับดัน ให้ผล
    แต่ก็อยู่ที่เราว่าเราเองนั้นจะเลือกที่จะกระทำสะสมกรรมใด
    ให้มากซึ่งผลสุดท้ายหากสั่งสมบารบุญมีกำลังใจมากพอก็เป็นกรรมที่นำพาไปสู่
    ความหลุดพ้นต่อไปได้ดั่งเช่นพระอริยะทั้งหลาย
    แม้แต่พระพุทธเจ้าสมัยพุทธกาลท่านก็ได้รับผลของกรรมอยู่
    ดั่งที่เราอ่านได้จากพุทธประวัติ
    ทุกวันนี้ชีวิตเราเองก็ดำเนินไปโดยกรรม
    ครูบาอาจารย์ผมเคยกล่าวเอาไว้ว่า
    "หากเรามีญานรู้ล่วงหน้า จะเห็นว่า
    ไม่มีอะไรในโลกนี้เลยที่บังเอิญ
    เพราะล้วนเป็นไปตามกรรมทั้งสิ้น"

    ธรรมรักษาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 ธันวาคม 2007
  6. lasomchai

    lasomchai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +2,036
    ขออนุโมทนาด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ

    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
  7. kaenlukson

    kaenlukson เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +2,126
    ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ สาธุ

    ทาน ศีล สมาธิ(good)
     
  8. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    สาธุ ขอให้เป็นเหตุ กรรม ปัจจัย ให้กระผมได้บำเพ็ญปรมัตถ์บารมีบูชาต่อหน้าองค์พระศรีอาริยเมตไตรย์ พุทธเจ้า เพื่อให้ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธองค์ในวาระเทศะสมัยอันควรอันเลิศและเหมาะสมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ
    พุทโธ โพเธยยัง มุตโต โมเจยยัง ติณโณ ตาเรยยัง
     
  9. 123456

    123456 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +158
    แล้วไอ้อย่างนี้ล่ะ คิดว่าอย่างไรดี เฮ้อ....
    โปรดใช้วิจารณญานในการชม

    หลักศาสนาศรีอาริย์ หลักศีล-ธรรม และหลักปฏิบัติ

    http://palungjit.org/showthread.php?t=101159
     
  10. chirakit

    chirakit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    721
    ค่าพลัง:
    +2,861
    ขออนุโมทนาสาธุด้วยครับ.....
    (good) (good) (good)
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  11. satochi4chin

    satochi4chin Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +40
    ขออนุโมทนาด้วยค่ะ
    แล้วทำอย่างไรเราถึงจะได้ไปเกิดในยุคของพระศรีอริยเมยตัยค่ะ
     
  12. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542

    :) ตอบ


    พระมาลัยพบพระศรีอาริย์



    <HR style="COLOR: #e0e0e0" SIZE=1>ขณะนั้น ปรากฏร่างเทพบุตรอีกองค์หนึ่ง ทรงเครื่องสรรพอาภรณ์อันวิจิตร มีนางฟ้าแวดล้อมจำนวนมากเหลือคณานับ เหาะมาทางอากาศ ส่งรัศมีสว่างไสวเจิดจ้า ไม่ต่างอะไรกับพระจันทร์หมื่นดวง ตรงมายังพระจุฬามณีเจดีย์สถานแห่งนั้น ฝ่ายพระเถระครั้นเหลือบเห็น ก็นึกได้ทันทีว่า องค์นี้คงจะเป็นพระศรีอาริย์แน่ แต่เพื่อความแน่ใจ จึงหันมาถามพระอินทร์




    <MENU>"เทพบุตรองค์ในใช่ไหม คือพระศรีอาริย์ มหาบพิตร?"</MENU>



    <MENU>"ถูกแล้ว พระคุณเจ้า" </MENU><MENU>"แหม! นางฟ้าบริวารของพระองค์มากเหลือเกิน"</MENU>พระมาลัยกล่าวชม
    <MENU>"เออ! พวกนางฟ้าที่เหาะมาข้างหน้าพระศรีอาริย์นั้น นุ่งผ้าอาภรณ์ขาวสะอาด และหนำซ้ำรัศมีที่พวยพุ่งออกมา ยังเป็นสีขาวเสียด้วย มหาบพิตรทราบไหมว่า เมื่อก่อนนางพวกนี้ ทำบุญอะไรไว้" </MENU><MENU>"นางพวกนี้เมื่อชาติก่อน ถึงวันอุโบสถนุ่งผ้าขาว ห่มผ้าขาว สมาทานศีลแปด และทำบุญด้วยข้าวของสะอาด อีกทั้งจิตใจยังใสสะอาดาด้วยขอรับ" </MENU><MENU>"แล้วพวกนางฟ้าที่เหาะมาทางขาว มีรัศมีและเครื่องประดับสีเหลือง ก็คงจะทำบุญด้วยของสีเหลืองละซี มหาบพิตร"</MENU><MENU>"ถูกแล้ว พระคุณเจ้า พวกนี้ส่วนมาก มักจะถวายผ้าสบงจีวร หรือข้าวของสีเหลืองอื่นๆ ส่วนพวกที่มีรัศมีและเครื่องประดับสีแดง สีม่วง สีอื่น ๆ อีก ก็ดุจเดียวกัน ล้วนแต่เป็นผู้รักษาศีล และถวายของที่มีสีนั้นๆ ทั้งนั้น ครั้นตาย ก็มาบังเกิดเป็นบริวารของพระศรีอาริย์ ณ สวรรค์ชั้นดุสิตขอรับ"</MENU>


    ขณะที่พระมาลัย จะไต่ถามพระอินทร์ต่อไปนั้นเอง พระศรีอาริย์พร้อมด้วยนางฟ้าบริวาร ก็เสด็จมาถึงที่ลานพระเจดีย์ และเมื่อจัดแจงกระทำการสักการบูชา กราบไหว้ถวายเครื่องของหอมเสร็จแล้ว พอดีเหลือบมาเห็นพระมาลัยเถระ จึงเข้านมัสการ แล้วตรัสถามว่า
    <MENU>"ข้าแต่พระคุณเจ้า พระคุณเจ้ามาจากที่ไหนขอรับ?"</MENU><MENU>"อาตมา มาจากชมพูทวีป" </MENU>พระมาลัยตอบ


    เมื่อทราบว่า พระเถระมาจากชมพูทวีป ดังนั้นพระศรีอาริย์ ก็ดีพระทัย รับสั่งถามข่าวคราวของมวลมนุษย์ต่อไปว่า
    <MENU>"ข้าแต่พระคุณเจ้า ชมพูทวีปขณะนี้ พวกมนุษย์พากันทำมาหากินยังไงบ้างขอรับ?"</MENU><MENU>"บางพวกก็ค้าขายตามความรู้ความสามารถของตน บางพวกก็ออกเงินให้กู้กินดอกเบี้ย บางพวกก็เข็ญใจ ไร้ทรัพย์ บางพวกก็สุขสบาย บางพวกก็เดือดร้อนทุกข์ยากปากแห้งขนาดหนัก มหาบพิตร"</MENU><MENU>"แล้วส่วนมากพวกเขาทำบุญกันบ้างหรือเปล่า พระคุณเจ้า หรือว่าทำแต่บาปหยาบช้า?"</MENU><MENU>"พวกที่ทำบุญนั้น รู้สึกจะน้อยมาก มหาบพิตร ส่วนคนที่ทำบาปหยาบช้านั้น นับไม่ถ้วนเลย"</MENU><MENU>"คนที่เขาทำบุญ เขาทำกันอย่างไร พระคุณเจ้า?"</MENU><MENU>"บางพวกก็ให้ทาน รักษาศีล บางพวก ก็จัดให้มีพระธรรมเทศนา พร้อมทั้งป่าวประกาศ ให้เพื่อนๆ บ้านใกล้เรือนเคียง มาร่วมด้วย บางพวกสร้างวัดวาอาราม พระพุทธรุป พระสถูปเจดีย์ ถวายจีวรบิณฑบาต เสนาสนะ ยารักษาโรคแก่พระภิกษุสงฆ์ บางพวกก็เลี้ยงพ่อแม่ บางพวกก็สร้างพระไตรปิฎก ทั้งนี้สุดแล้วแต่กำลังทรัพย์ กำลังปัญญาของพวกเขา มหาบพิตร" </MENU><MENU>"แล้วพวกเขาปรารถนาสิ่งใดบ้าง พระคุณเจ้า มนุษย์สมบติ สวรรค์สมบัติ หรือว่านิพพานสมบัติ?"</MENU><MENU>"เห็นจะไม่ตรงความจริงนัก มหาบพิตร เพราะส่วนมาก เมื่อทำบุญแล้ว ล้วนแต่ตั้งความปรารถนาว่า ขอให้เกิดทันศาสนา ของพระองค์ทั้งนั้น"</MENU>


    พระศรีอาริย์ทรงสดับเช่นนั้น ก็ทรงพระสรวล พลางรับสั่งต่อไป
    <MENU>"ถ้าหากเขาอยากเกิดทันศาสนาของข้าพเจ้า ก็จงอุตส่าห์ฟังธรรมมหาเวสสันดรชาดก ให้จบในวันเดียว แล้วบูชาด้วยธูปเทียน ดอกไม้อย่างละพันฉัตร ดอกบัวหลวง บัวเขียว บังขาว ดอกสามหาวอย่างละพัน ถ้าทำได้ดังนี้ ก็จะพบศาสนาของข้าพเจ้า และเมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้ ผู้นั้นก็จะได้บรรลุพระอรหันต์ พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ส่วนที่ทำบาปหนัก เช่น ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้า พระภิกษุสงฆ์ ทำลายหมู่คณะให้แตกแยกกัน ทำลายเจดีย์สถาน และคนที่ตระหนี่ขี้เหนียว ไม่รู้จักทำบุญให้ทาน ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ เป็นคนโง่ มีความประมาทอยู่เสมอ คนพวกนี้ จะไม่มีโอกาสได้พบศาสนาของข้าพเจ้า"</MENU><MENU>"แล้วพระองค์จะลงไปตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าเมื่อไรเล่า มหาบพิตร?"</MENU><MENU>"อีกไม่นานหรอก พระคุณเจ้า เมื่อครบถ้วนห้าพันปี สิ้นศาสนาของพระพุทธโคดมแล้ว ตอนนั้น พวกสัตว์ทั้งหลายจะมืดมัว ไม่รู้จักทำบุญกุศลจริต มีแต่จะกระทำกรรมอันบาปหนา หยาบช้า ไม่รู้จักละอายต่อบาป แม่กับลูกจะอยู่กินด้วยกันเป็นสามีภรรยา พี่สาวกับน้องชาย พี่ชายกับน้องสาว ทั้งพี่ป้าน้าอา ลุงหลาน จะสมสู่อยู่กินกันเป็นสามีภรรยากัน ทั้งความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็จะหนาขึ้นมาก อายุของสัตว์ก็จะน้อยลง ตราบจนเหลือ 10 ปี เด็กเกิดได้ 5 ปี ก็จะแต่งงานกันแล้ว
    และตอนนั้น มนุษย์ทั้งหลายเห็นเข้า ก็จะเข้าใจว่าเป็นเนื้อปลา จับอะไรได้เป็นต้นว่าท่อนไม้ผุ ก็จะกลับกลายเป็นอาวุธหอกดาบไป แล้วจะไล่ทิ่มแทงกันล้มตายเป็นอันมาก พ้นที่จะประมาณได้ ฝ่ายพวกคนที่มีสติปัญญานั้น รู้ว่าถึงวันนั้นคืนนั้น จะเกิดมิคสัญญี ฆ่าฟันกันและวุ่นวายหนักหนา คนที่ดีมีวิชา ก็จะไปซ่อนเร้นอยู่ตามซอยห้วยซอกเขา
    ครั้นมนุษย์พวกบ้าดีเดือดทั้งหลาย ฆ่าฟันกันตายหมดแล้ว คนพวกนั้น ก็จะพากันออกจากที่ซ่อน ครั้นมาพบปะกันเข้า ก็จะพากันสวมกอดซึ่งกันและกัน ต่างหันหน้าเข้าปรึกษากันว่า ความฉิบหายที่เกิดแก่พวกเราในครั้งนี้ ก็เพราะผู้คนประมาท ก่อแต่บาปกรรมอันหยาบช้า แต่นี้ไปเบื้องหน้า เราจงอุตส่าห์กระทำความดี เว้นเสียจากฆ่าสัตว์ ประหัตประหารกันและกัน ลักขโมยของกัน ผิดผัวผิดเมียกัน พูดเท็จ และดื่มสุราเมรัย งดเว้นเสียจากการพูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ เว้นจากความโลภ ความโกรธ ความเห็นผิด จากทำนองคลองธรรม เมื่อคนมีสติปัญญาปรึกษากันดังนั้นแล้ว ก็ตั้งหน้าบำเพ็ญบุญกุศล มีให้ทานรักษาศีลเป็นต้น
    คนพวกนั้น ครั้นมีลูก ลูกมีอายุได้ 3 ปี ต่อมามีหลาน ก็จจะมีอายุมากขึ้นไป 5 ปี และเจริญขึ้นโดยลำดับ ตราบเท่าอายุของมนุษย์ เจริญขึ้นได้อสงไขยหนึ่งแล้ว ความแก่และความตาย ก็มิได้บังเกิดมี คราวนั้น คนทั้งหลายก็กลับประมาทอีก เมื่อเกิดความประมาทขึ้น อายุของพวกเขา ก็เสื่อมถอยลงมา เหลือเพียงแปดหมื่นปี ตอนนั้น ฝนจะตกทุก ๆ 15 วัน และส่วนมาก มักจะตกตอนใกล้รุ่ง ทำให้มนุษย์มีความชุ่มชื่นเจริญใน และพื้นดินอุดมสมบูรณ์ แม่น้ำลำคลองมีกระแสน้ำไหลขึ้นข้างหนึ่ง ไหลลงข้างหนึ่ง เต็มเปี่ยมเพียบฝั่งไม่พร่อง ไม่ล้น อยู่อย่างนั้นเสมอ ดอกไม้ต่างชนิด ผลิดอกบานสะพรั่งตลอดกาล บ้านเรือนจะปลูกอยู่ใกล้ ๆ กัน พอไก่บินถึง ปราศจากโจรผู้ร้าย บริบูรณ์ด้วยน้ำ และข้าวปลาอาหาร ผัวเมียจะไม่รู้จักทะเลาะวิวาทกัน ผู้ชายไม่ต้องทำไร่นาค้าขาย ผู้หญิงก็ไม่ต้องทอหูกปั่นฝ้าย ผ้าที่จะนุ่งห่ม ก็ล้วนแต่เป็นของทิพย์ อำมาตย์ข้าราชการ จะตั้งอยู่สุจริตธรรม ไม่เบียดเบียนอาณาประชาราษฎรให้เดือดร้อน พระมหากษัตริย์ ก็จะไม่มีกริ้วโกรธ ถือลงโทษพระราชอาญา มีพระทัยรักใคร่กรุณาแก่ประชาชน พวกสัตว์ที่เป็นศัตรูกันทั้งหลาย เช่น กากับนกเค้า แมวกับหนู งูกับพังพอน หมีกับไม้สาค้อ ก็จะแผ่เผื่อเมตตาจิตต่อกัน เลิกเป็นคู่เวรคู่กรรมกันต่อไป เครื่องใช้ไม้สอย มีสมบูรณ์ทุกอย่าง แผ่นดินก็จะราบเรียบเป็นหน้ากลอง ไม่มีหลักตอเสี้ยนหนาม
    คนทั้งหลายมีรูปร่างสวยงามเหมือนกันหมด ไม่มีคนใบ้ คนบ้า หูหนวก ตาบอด ง่อย เปลี้ย เสียขา เลย ทุกคนปราศจากโรคภัยเบียดเบียน เห็นกันเข้าก็มีไมตรีรักใคร่กัน ในครั้นนั้น ชายจะมีภรรยารักคนเดียว สตรีก็จะมีสามีคนเดียว ไม่มีการล่วงประเวณีกัน และคนในยุคนั้น จะมีความผาสุกสมบูรณ์มาก ไม่ต้องทำมาหากิน ใช้สอยแต่เครื่องทิพย์ มีกิจอยู่แต่นั่งนอนฟังเสียงอันเป็นทิพย์ ไพเราะยิ่งหนักหนา ทุกคนล้วนมีสมบัติเหมือนกันหมด ไม่มีคนกำพร้าอนาถา ไม่มีคนเข็ญใจไร้ทรัพย์ จะได้วิวาทแก่งแย่งชิงเอาบ้านเรือนไร่นาของกันและกันนั้น ไม่มีเลย และยุคนั้น พืชข้าวกล้าเพียงเม็ดเดียว ถ้าตกลงพื้นดิน แล้วก็งอกขึ้นเป็นต้นเป็นลำปล้อง หน่อ และเป็นกอใหญ่ๆ ออกไปได้ร้อยเท่าพันทวี ทั้งหมดที่เป็นดังนี้ ก็เพราะข้าพเจ้า ได้สั่งสมบารมีไว้มาก
    ในศาสนาของข้าพเจ้า
    ไม่มีคนบ้าใบ้ เพราะข้าพเจ้าไม่เคยพูดเท็จล่อลวงคนอื่น
    ไม่มีคนตาบอด เพราะข้าพเจ้ามองสมณะผู้มีศีลและยาจกทั้งหลาย ด้วยนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่สงสาร
    ไม่มีคนง่อยเปลี้ย เพราะในเวลาทำบุญให้ทาน ข้าพเจ้าจะยืดตัวตรงเสมอ
    ไม่มีคนเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะข้าพเจ้าเคยถวายยาเป็นทาน
    ไม่มีมารผจญ เพราะข้าพเจ้า ไม่เคยทำให้สัตว์ตกใจ
    ในศาสนาของข้าพเจ้าจะมีแต่คนรูปร่างงดงาม เพราะข้าพเจ้าให้สิ่งของที่รัก เป็นทานแก่สมณพราหมณ์ และยาจกวณิพกเสมอ
    คนในศาสนาของข้าพเจ้า ได้ไปสวรรค์ทุกคน เพราะข้าพเจ้าเคยให้ช้างม้า ราชรถ ยวดยานพาหนะเป็นทาน
    ในศาสนาของข้าพเจ้า แผ่นดินราบเรียบเสมอ เพราะข้าพเจ้าแผ่เมตตาจิต ไปยังสัตว์ทั้งหลายเสมอ
    คนในศาสนาของข้าพเจ้ามั่นคงสมบูรณ์ด้วยความสุข เพราะข้าพเจ้าให้ทานแก่ขอทาน ด้วยทรัพย์สิ่งของเงินทอง ตามที่เขาปรารถนาโดยทั่วถึง
    ข้าแต่พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าบำเพ็ญบารมีมาช้านนานถึง 16 อสงไขยแสนกัปป์ บารมี 30 ทัส นั้น ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาอย่างพร้อมมูลแล้ว ข้าพเจ้าจะลงไปเกิดในโลกมนุษย์ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เพื่อโปรดสัตว์ทั้งหลาย โดยจะเกิดในตระกูลพราหมณ์ มหาศาลบริบูรณ์ด้วยสมบัติ
    พระบิดานั้น ทรงพระนามว่า สุพรหมพราหมณ์ เป็นปุโรหิต ของ พระเจ้าสังขจักรพัตราธิราช
    พระชนนี นามว่า นางพราหมณ์วดีพราหมณี
    อัครสาวกเบื้องขวา นามว่า พระอโสกเถระ
    อัครสาวกเบื้องซ้าย นามว่า พระสุพรหมเถระ
    อัครสาวิกาเบื้องขวา นามว่า ปทุมาเถรี
    อัครสาวิกาเบื้องซ้าย นามว่า สุมนาเถรี
    อุบาสกพุทธอุปัฎฐาก 2 คน นามว่า สุทัตตคหบดี และ สังฆหบดี
    อุบาสิกาพุทธอุปัฏฐาก 2 คน นามว่า ยสปวดี และ สังฆอุบาสิกา ไม้ที่ตรัสรู้ คือ ไม้กากะทิง ขนาดลำต้น จากพื้นไปถึงคาคบ 120 ศอก จากคาคบ ขึ้นไปถึงยอด 120 ศอก มีกิ่งใหญ่ 4 กิ่ง ทอดออกไปในทิศทั้ง 4 ทอดออกไปในทิศทั้ง 4 ยาวได้กิ่งละ 120 ศอก รวม 480 ศอก มีดอกเท่ากงจักรถ แต่ละดอกนั้น มีเกสรได้ทะนานหนึ่ง มีกลิ่นหอมฟุ้งขจรไปไกลถึง 500 โยชน์ ตอนที่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าจะมี พระกายสูงได้ 88 ศอก จากพื้นพระบาท ถึง พระชานุ 22 ศอก จากพระชานุ ถึง พระนาภี 22 ศอก จากพระนาภี ถึงรากขวัญ 22 ศอก จากพระรากขวัญ ถึง พระอุณหิส 22 ศอก พระชนมายุได้ 8 หมื่นปี ศาสนาของข้าพเจ้ายืนยาวถึง 8 พันปี"


    </MENU>



    ฝ่ายพระมาลัยเมื่อได้ฟังพระศรีอาริย์ บรรยาย ก็ถามต่อไปอีกว่า
    <MENU>"มหาบพิตร เท่าที่พระองค์ทรงเล่ามา อาตมายังกำหนดไม่ได้เลยว่า พระองค์จะลงไปโปรดมนุษย์ เมื่อใด?"</MENU><MENU>"ก็ตอนที่ข้าวสาลีเมล็ดเดียว บังเกิดเป็นข้าวสารร้อยเจ็ดสิบเมล็ด จุเต็มสองเล่มเกวียนกับสิบหก***ใหญ่ ๆ เท่าสองกระบุงเมื่อใดนั่นแหล่ะ พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าจะลงไปเกิดในโลกมนุษย์ โดย ครั้งแรกจะเป็นมนุษย์ธรรมดาก่อน กระทำ สัตตสตกมหาทาน บริจาคลูกเมียเหมือนพระเวสสันดร แล้วจะกลับขึ้นมาเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิตอีกระยะหนึ่ง จนถึงตอนที่สัตว์ทั้งหลาย มีอายุน้อยลงจากอสงไขย มาเป็น แปดหมื่นปี ชมพูทวีปบริบูรณ์ มีเมล็ดข้าวสาลีเพียงเมล็ดเดียวแต่ให้ผลมากมายดังก่อน ตอนนี้แหละ ข้าพเจ้าจะได้ไปจุติ ไปบังเกิดในโลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าขอรับ" </MENU><MENU>"ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเสด็จไปเอง หรือมีผู้มาเชิญเสด็จไป?" </MENU><MENU>"เข้าใจว่าคงมีผู้มาเชิญขอรับ และผู้ที่จะเชิญก็คือ เทวดาในหมื่นจักรวาล มี ท้าวมหาพรหม เป็นประธาน สำหรับข้าพเจ้า เมื่อได้ฟังคำเชิญของเทวดาทั้งหลาย ก็จะแลเห็นโลก ด้วยเหตุ 5 ประการ คือ กาล ประเทศ ทวีป ตระกูลมารดา และ สัตว์ทั้งหลาย ตามเยี่ยงอย่าง พระบรมโพธิสัตว์แต่ก่อน มาพิจารณาดู
    กาล อายุสัตว์ ครั้งนั้น ไม่มากกว่าแสนปีขึ้นไป ไม่น้อยกว่าร้อยปีลงมา เพราะถ้าสัตว์มีอายุมากกว่าแสนปี ความแก่ความตาย ไม่ค่อยจะบังเกิดปรากฏให้เห็น บรรดาสรรพสัตว์ ฟังพระธรรมเทศนาแล้ว ไม่เห็นสังขาร เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็จะไม่เชื่อถือพระธรรม มรรคผลก็จะไม่บังเกิดขึ้น และพระธรรมเทศนา ก็จะไร้ประโยชน์ อีกประการหนึ่ง ถ้าสัตว์อายุน้อยกว่าร้อยปีลงมา ก็หาเป็นการสมควรที่พระพุทธเจ้า จะลงไปตรัสรู้ไม่ เพราะสรรพสัตว์พวกนี้ จะมีกิเลสหนากล้านัก จะรับโอวาท หรือเชื่อถือแต่เพียงต่อหน้าเท่านั้น พอลับหลัง ก็ลืมโอวาทสั่งสอนเสีย รับศีลไปประเดี๋ยวก็ทิ้งศีลเสีย ไม่ผิดอะไรกับรอยขีดในน้ำ ดังนั้นเวลาที่เหมาะสำหรับการลงไปตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ก็คือในระหว่างแสนปีลงมา และตั้งแต่ร้อยปีขึ้นไป
    ทวีป ดูทวีปใหญ่ทั้งสี่ มีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวารนั้น โดยลงความเห็นว่า พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ผู้บังเกิดในชมพูทวีป อันเป็นมัชฌิมประเทศ ที่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอสีติมหาสาวก พระเจ้าจักรพรรดิ์ และชนผู้มีบุญญาธิการมาก มักบังเกิดเป็นส่วนมาก
    ประเทศ ครั้งนั้น กรุงพาราณสี มีชื่อว่า มัณฑารนคร กว้างใหญ่ สิบสองโยชน์ พวกมนุษย์ถอนอายุลงมา จากอสงไขย ด้วยความประมาท มีอายุแปดหมื่นปีเป็นอายุขัย กรุงมัณฑารนครนั้น เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น เกตุมบดีนคร บริบูรณ์ด้วยวัตถุสิ่งของทั้งปวง สมควรที่จะบังเกิดในกรุงเกตุมบดีนครนี้ ตระกูล พิจารณาถึงตระกูลอันสมควรว่า ประเพณีสมเด็จพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมบังเกิดในตระกูล ซึ่งโลกนับถือ คือ ตระกูลกษัตริย์ ตระกูลพราหมณ์ ตอนนั้นโลก นับถือตระกูลพราหมณ์ ว่าประเสริฐ สมควรที่จะลงไปบังเกิดในตระกูลพราหมณื ซึ่งเป็นปุโรหิตผู้ใหญ่ ของพระเจ้าสังขจักร บิดามารดา พิจารณาดูว่า สุพรหมพราหมณ์ สมควรจะเป็นบิดา นางพราหมณี ชื่อ วดี สมควรจะเป็นมารดา รวมเป็นห้าประการด้วยกัน ขอรับ พระคุณเจ้า"


    </MENU>
    <MENU>"แล้วนางผู้เป็นคู่บุญบารมีของมหาบพิตร ชื่ออะไร และพระกุมารองค์ไหน จะได้เป็นพระโอรสของพระองค์?"</MENU><MENU>"ข้าแต่พระคุณเจ้า นางอนุลาเทวี เป็นคู่สร้างบารมีของข้าพเจ้า ซึ่งจะได้เป็นอัครมเหสี นามว่า นางจันทมุขีเจ้าสาลี ราชโอรสของพระเจ้าอภัยทุฏฐคามินี จะได้เป็นโอรส มีนามว่า พรหมวดีกุมาร ขอรับ" </MENU><MENU>"ตอนที่พระองค์จะเสด็จออกผนวช พระองค์เห็นบุพพนิมิตประการใดหรือไม่ และกระทำบำเพ็ญเพียรมากน้อยเท่าใด มหาบพิตร?"</MENU><MENU>"ข้าพเจ้า จะเห็น บุพพนิมิต สี่ประการ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และ นักบวช ขอรับ พระคุณเจ้า และวันนั้น ปราสาทที่อยู่ของข้าพเจ้า จะลอยไปกลางอากาศ เมื่อข้าพเจ้าผนวชแล้ว จะบำเพ็ญเพียรประมาณเจ็ดวัน ตกเย็นวันที่เจ็ด จะไปนั่งที่ควงไม้กากะทิง แล้วได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" </MENU>เมื่อพระศรีอาริย์บรมโพธิสัตว์ ได้ตรัสกับพระมาลัยมามากมาย ถึงตอนนี้แล้ว ก่อนจะจากลา จึงสั่งพระเถระว่า
    <MENU>"ข้าแต่พระคุณเจ้า พระคุณเจ้ากลับไปโลกมนุษย์แล้ว จงบอกแก่ชาวชมพูทวีปด้วยว่า อย่าได้สร้างเวรทั้งห้า คือ
    อย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

    อย่าลักขโมยเข้าของเงินทองผู้อื่น
    อย่าล่วงละเมิดลูกเมียผู้อื่น
    อย่าเจรจาโกหกหลอกลวง
    อย่าเสพสุราเมรัย
    ให้สมาทานอุโบสถศีล และเว้นจากอนันตริยกรรม ทั้ง 5 ประการ มี ฆ่าพ่อแม่ เป็นต้น แล้วก็จะได้พบศาสนาของข้าพเจ้ดั่งประสงค์ ขอพระคุณเจ้าจงบอกเล่าให้พวกเขาทราบ ตามที่ข้าพเจ้าสั่งนี้ด้วยเถิดขอรับ" </MENU>ครั้นสั่งเสร็จ พระศรีอาริย์ ก็ถวายนมัสการลาพระเถระ ลุกขึ้น กระทำอภิวาท ประทักษิณพระจุฬามณีเจดีย์ แล้วเสด็จกลับ พร้อมด้วยบริวาร เหาะลอยขึ้นสู่นภาอากาศ ตรงไปยังดุสิตพิภพ อันเป็นที่อยู่ของพระองค์ โดยไม่รอช้า


    ฝ่ายพระมาลัยมองตามพระศรีอาริย์ไปด้วยความชื่นชม ในบุญบารมีจนลับตา แล้วก็หันมาถวายพระพรลา พระอินทร์ แล้วถวายอภิวาทนมัสการพระจุฬามณีเจดีย์ 3 ครั้ง จึงกลับลงสู่โลกมนุษย์ดังเดิม


    ครั้นวันรุ่งขึ้น พระเถระได้เข้าบิณฑบาตในบ้านกัมโพชคาม พร้อมทั้งบอกชาวบ้านทั้งมวลว่า พระศรีอาริย์สั่งมาว่าดังนี้ หากท่านปรารถนาจะพบศาสนาพระศรีอาริย์ จงตั้งใจทำบุญกุศล เพิ่มพูนบารมีให้มาก ๆ เข้าเถิด แล้วจะได้เกิดในศาสนาของพระองค์สมประสงค์


    ฝ่ายมหาชนชาวบ้าน ครั้นได้ฟังคำบอกเล่าของพระเถระแล้ว ต่างก็มีกำลังใจมุ่งมั่นในการทำบุญกุศลมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ และครั้นสิ้นชีพแล้ว ก็ไปบังเกิดบนสวรรค์โดยทั่วกัน แล


    สิ่งที่พวกเขาหวังกันมากที่สุด คือ การได้พบศาสนาพระศรีอาริย์นั้น คงจะอยู่ใกล้เขาเพียงแค่เอื้อมเท่านั้นเอง ยังไง ๆ พวกเขาต้องได้พบแน่ ขณะนี้เพียงแต่เสวยสุขบนสวรรค์ รอการมาตรัสรู้ของพระองค์เท่านั้นเอง

    ----------------------

    หมั่นทำความดี ภาวนานั่งสมาธิไหว้พระสวดมนต์ ถือศีล 5 ให้ดีพร้อม
    ทำใจให้สบาย เชื่อมั่นในบารมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    และหมั่นอธิษฐานว่า

    1. อธิษฐานหลัก คือ ไปนิพพานชาตินี้
    2. อธิษฐานกันเหนียว คือ ถ้าไปนิพพานชาตินี้ยังไม่ได้
    ขอไปนิพพานสมัยพระศรีอริยเมตตรัย

    และก็ลองมาศึกษาเว็บนี้ดูควบคู่ด้วยจ๊ะ
    www.watthummuangna.com
     
  13. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,015
    ค่าพลัง:
    +741
    ผมอยากเป็นพระพุทธเจ้า อย่างพระศรีอาริยเมตไตรย์ ครับ
     
  14. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    อ นุ โ ม ท น า ส า ธุ
     
  15. เวฬุวัล

    เวฬุวัล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    1,843
    ค่าพลัง:
    +505
    ขอตั้งจิตอธิฐาน หากจะต้องเกิดอีกในชาติหน้าก็ขอเกิดเป็นชาติสุดท้ายและสำเร็จมรรคผลอรหันต์เบื้องหน้าพระพักต์แห่งพระศรีอาริยเมตไตรพุทธเจ้าในสมัยที่พระองค์ยังทรงพระชนชีพด้วยเทอญ .....สาธุ
     
  16. ปัจเจกพุทธะ

    ปัจเจกพุทธะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +121
    อายันตุ โภนโต อิธะ ทานะ สีละ เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจาธิฏฐานะเมตตุเปกขา ยุทธายะ โว คัณหะถะอาวุธานีติ.
    ดูก่อนพระบารมีทั้งหลาย ขอเชิญพระบารมีคือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิฐานะ เมตตา และอุเบกขา จงมาที่นี่โดยเร็วพลัน แล้วพากันถือเอาอาวุธ เพื่อยุทธ์กับพญามาร (กิเลส) เถิด.
    อนุโมทนาครับ.
    บริจาคเงินช่วยวัดพระบาทน้ำพุ
    โทร.1900-222-200 6บาท/นาที
     
  17. ภาชนะธรรม

    ภาชนะธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2009
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +58
    อนุโมทนาสาธุครับ สามารถไปศึกษาเรื่อง พระศรีอริยเมตไตรย สัมมาสัมพุทธเจ้า พระศรีอริยเมตไตรย,ประวัติพระศรีอารย์,ตามรอยพระศรีอารย์,พบพระศรีอารย์,ยุคพระศรีอารย์,maitreyaเพิ่มเติมได้ครับที่ พระศรีอารย์ดอทคอม
     
  18. thaibiz

    thaibiz Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +30
    พระศรีอริยเมตไตรย์ กว่าจะมาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    เรื่องราวการสร้างบารมีของพระศรีอริยเมตไตรย์ ตลอดจนบุคคลสำคัญในยุคพระศรีอารย์
    พระศรีอริยเมตไตรย์
     
  19. panawana

    panawana สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +13
    ขออนุโมธนาครับ
     
  20. LungKO

    LungKO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    590
    ค่าพลัง:
    +925
    ผมยังสงสัยว่า พระอชิตเถระองค์ใดที่จะเป็นพระศรีอาริยเมตไตรย์ในอนาคต เพราะถ้าเป็นองค์ที่ได้รับพุทธพยากรณ์นั้น ก็คงเป็นอย่างนั้น
    แต่ถ้าเป็นองค์ที่เป็นลูกศิษย์เก่าของท่านพราหม์พาวรี คือท่านอชิต ที่เป็นหัวหน้าทีมไปถามปัญหา 16 ข้อนั้น ท่านได้บรรลุธรรมถึงนิพพานไปแล้ว เป็นไปได้หรือที่จะมาเกิดอีก ตามตำราว่าผู้บรรลุอรหันต์แล้วจะไม่มาเกิดอีก สงสัยจังเลย เพราะมีหลายท่าน ที่ชื่ออชิตะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...