เห็นทุกข์จะไม่เป็นทุกข์

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ยศวดี, 28 กุมภาพันธ์ 2014.

  1. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    คิดจากความว่าง เล่ม3 : เห็นทุกข์จะไม่เป็นทุกข์

    คิดจากความว่าง เล่ม 3

    เห็นทุกข์จะไม่เป็นทุกข์

    เห็นสิ่งใด จะไม่เป็นสิ่งนั้น เหมือนคุณเห็นไฟ คุณจะไม่มีวันเป็นไฟ เพราะรู้ว่ามีตัวคุณเป็นผู้มองไฟอยู่ คุณเป็นต่างหากจากไฟ ไฟเป็นเพียงสิ่งถูกมองแล้วคุณเป็นอะไร?

    คุณเป็นจิตดวงหนึ่ง ที่เล็งแลไฟด้วยแก้วตา ชั่วขณะที่มีสติเต็มตื่น รู้ตัวว่ากำลังนั่งหรือยืนท่าไหน คุณจะไม่มีทางหลงเข้าใจไปว่าไฟเป็นอันเดียวกับคุณเลยเช่นกัน…

    หากคุณเห็นความทุกข์ คุณจะไม่มีทางรู้สึกว่าตัวเองเป็นทุกข์ชั่วขณะแห่งการมีสติเต็มตื่น รู้ตัวว่ากำลังหายใจเข้าหรือหายใจออก คุณจะไม่มีอุปสรรคขวางความเห็น ทุกข์จะปรากฏเป็นสภาพต่างหากจากตัวคุณ

    แต่เพราะพวกเราเคยชินที่จะขาดสติ เมื่อไม่มีสติยอมรับความจริงตรงหน้า ก็ย่อมอยากจะมองเห็น อยากยอมรับแต่ความสุข และเมื่ออยากเห็นในสิ่งที่ไม่มีอยู่เดี๋ยวนั้น ใจย่อมกระวนกระวาย ที่เป็นทุกข์อยู่แล้วก็ทุกข์เกินจริงยิ่งขึ้นเป็นทุกข์เพราะไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นทุกข์จะเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป…

    ต่อเมื่อคุณเกิดสติ เกิดความเข้าใจที่จะตั้งมุมมองดีๆ ไม่ปล่อยให้ตัวเองทอดอาลัยตายอยาก ไม่ยอมไหลร่วงลงสู่ทรายดูดแห่งทุกข์ หัดถามตัวเองง่ายๆว่าความร้อนรนกระวนกระวายเที่ยงหรือไม่เที่ยง?

    ความโศกเศร้าอาลัยเสียดายสุดซึ้งเที่ยงหรือไม่เที่ยง? ความเสียดแทงปวดแสบปวดร้อนเที่ยงหรือไม่เที่ยง

    กล่าวโดยสรุปคือหาคำตอบเอาจากความจริงตรงหน้า ว่าทุกข์ทางใจทั้งปวงเที่ยงหรือไม่เที่ยง เดี๋ยวร้อนมาก เดี๋ยวเย็นลง เดี๋ยวบาดลึก เดี๋ยวเหลือแปลบเสียวนิดเดียว เดี๋ยวระส่ำหนัก เดี๋ยวลดระดับลงสู่ความกระเพื่อมเพียงน้อย

    สภาวะทั้งหลายไม่โกหกคุณ ขอเพียงคุณไม่หลอกตัวเอง แล้วติดตามดูพวกมันด้วยใจซื่อเท่านั้น เกิดก็ยอมรับว่าเกิด ยังตั้งอยู่ก็ยอมรับว่าตั้งอยู่ แปรไปก็ยอมรับว่าแปรไป

    ง่ายๆซื่อๆเท่านี้เอง การสังเกตความจริงอันเป็นปรากฏการณ์ทางจิตของตัวเองเรื่อยๆ จะทำให้คุณตาสว่างขึ้นมาแวบหนึ่ง และได้ข้อสรุปใหม่ที่อาจเปลี่ยนชีวิตคุณแบบหักศอกหรือกลับหลังหัน

    นั่นคือ…เห็นทุกข์ ไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์!การเริ่มตั้งโจทย์ ตั้งข้อสังเกตอย่างถูกต้อง คุณจะเห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาทั้งชีวิต นั่นคือความจริงเกี่ยวกับตัวคุณเอง

    ความจริงที่ว่าไม่มีอะไรสักอย่างในคุณ ที่ไม่เปลี่ยนไปเมื่อพบความจริงในตนเองข้อนี้ โลกและจักรวาลรอบตัวจะพลอยถูกคุณสังเกตด้วยมุมมองที่แตกต่างไปด้วย การสังเกตอะไรๆในแง่ของความไม่เที่ยง จะนำไปสู่การ ‘เห็นตัวจริง’ ของสิ่งนั้นๆชัดเจนที่สุด ต่อให้สิ่งนั้นลึกลับเพียงใด ทรงพลังยิ่งใหญ่ขนาดไหน ก็ไม่อาจหน่วงเหนี่ยวความเป็นตนเองไว้ได้เลย ไม่พ้นต้องเสื่อมสลายลงในวันหนึ่ง

    แม้ยูเรเนี่ยมที่อายุยืนหลายพันล้านปี ราวกับจะเป็นธาตุอมตะ ก็ปลดปล่อยความเป็นตัวเองออกมาอยู่ทุกวินาที เมื่อนักวิทยาศาสตร์ ‘เห็น’ ความจริงนี้ ต่อให้ไม่ทราบว่าจะเอายูเรเนี่ยมมาใช้งานอย่างไรเลย ก็นับว่าถึงความเข้าใจยูเรเนี่ยมอย่างถ่องแท้แล้ว นั่นคือมันไม่ได้เป็นอมตะ เหมือนกับที่ไม่มีสิ่งใดเป็นอมตะเลยเท่าเสี้ยวแห่งเม็ดทรายแม้ธาตุอันมีอายุยืนพอจะรอพวกเราเกิดตายเกินร้อยล้านรอบเช่นยูเรเนี่ยม ยังถูกรู้ได้ว่าไม่เที่ยง

    แล้วธรรมชาติอันมีอายุน้อยขนาดเราทันเห็นว่าเกิดดับนับแสนครั้ง ดังเช่นทุกข์ทางใจ ทำไมจึงไม่ถูกรู้เลยว่าไม่เที่ยง? ทุกข์ขึ้นมาทีไร ก็เข้าใจว่ามันจะเกาะกินเราไม่มีที่สิ้นสุดร่ำไปคำตอบคือเพราะไม่ทำไว้ในใจ เพราะไม่มีสติกำหนดดูความไม่เที่ยงของทุกข์!

    เมื่อไม่ทำไว้ในใจ ไม่มีสติกำหนดดู ทุกข์จึงเกิดขึ้นดุจห้วงน้ำใหญ่ที่กลืนกินจิตใจเราไปหมด ท่วมทับสำนึกคิดอ่านจนเกิดภาพหลอน คล้ายกองทุกข์นั้นๆยิ่งใหญ่เกินชนะ และมันจะกองทับกองถมใจเราประดุจธาตุอมตะไม่มีวันตาย เราจะไม่มีวันพ้นจากความทุกข์นั้นไปได้ต่อเมื่อทำไว้ในใจ และมีสติกำหนดดู ทันทีที่ทุกข์แผลงฤทธิ์เล่นงานเรา เราจะเห็นทุกข์ และรู้ตัวว่าเป็นต่างหากจากทุกข์ทุกข์เพราะบาดตากับการเห็นคนรักเดินควงกับใครอื่นทุกข์เพราะต้องฟังศัตรูคู่แค้นด่าสาดให้เจ็บใจทุกข์เพราะพบว่ามีกลิ่นเหม็นเน่าเหมือนหนูตายในห้องนอนทุกข์เพราะจำทนกินกับข้าวสุดกร่อยตอนไม่หิวทุกข์เพราะอากาศอบอ้าวราวกับโลกเหลือแต่ฤดูร้อนทุกข์เพราะอัดอั้นตันใจไม่ทราบจะทำอย่างไรดีกับชีวิตแม้จะมาได้หกช่องทาง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ

    แต่ประมวลแล้ว ทุกข์มีที่ตั้งอยู่ที่เดียวคือจิตเมื่อจิตถูกปล่อยให้เป็นอกุศลตามยถากรรม จิตก็ทำตัวเป็นที่ตั้งของทุกข์ได้เรื่อยเปื่อย

    ต่อเมื่อจิตเกิดประกายสว่างด้วยเจตนาตั้งสติ กำหนดรู้ทุกข์ เห็นว่าทุกข์เป็นภาวะไม่เที่ยงอย่างหนึ่ง ทราบชัดว่าทุกข์มีแรงกระทำต่อจิตไม่เท่าเดิมอยู่ตลอดเวลา หนักบ้าง เบาบ้าง และจะปรากฏชัดที่สุดเมื่อเราเฝ้าดูเฝ้ารู้อยู่ เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตาว่ามันเลื่อนไหลปรับแปรได้เหมือนน้ำขึ้นน้ำลงเมื่อเห็นเป็น

    คุณจะรู้จักความสุขจากการไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องทุรนทุรายในสถานการณ์แย่ๆ ไม่เจ้าคิดเจ้าแค้น ไม่คิดเล็กคิดน้อย ไม่ฝังใจย้ำคิดย้ำทำอย่างไร้จุดหมาย มีการฝึกใดจะคุ้มค่าไปกว่านี้ แค่สังเกตทันว่าทุกข์ทางใจไม่เที่ยง ชีวิตทั้งชีวิตจะเริ่มเปลี่ยนออกมาจากภายในและเมื่อรู้จักความสุขจากการไม่เป็นทุกข์สักพักหนึ่ง คุณจะรู้จักความเย็นอันเป็นรสแห่งจิตที่ไม่ร้อน แม้ร้อนวูบวาบก็เย็นสงบราบคาบอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่โดยอาการกดข่มฝืนระงับ แต่เป็นไปโดยธรรมชาติของจิตที่มีสติกำกับดีแล้ว มีความเข้าใจดีแล้วว่าความทุกข์เป็นสิ่งไม่เที่ยง ไม่ว่าทุกข์นั้นๆจะอุบัติขึ้นจากเหตุใด อย่างไรก็ต้องดับลงได้เอง ขอเพียงไม่มีเชื้อเพลิงไปเติมต่อเท่านั้นนิยามของคนอารมณ์เย็นของคุณจะต่างจากคนอื่น คุณจะไม่ตัดสินว่าตัวเองเป็นคนอารมณ์เย็นโดยปราศจากเครื่องพิสูจน์

    คนอารมณ์เย็นจริงใช่ว่าไม่โกรธเลย แต่เป็นคนที่เจอเรื่องกระทบแล้ว เกิดความโกรธแล้ว ไม่เห็นความโกรธเป็นตน แต่เห็นความโกรธเป็นสิ่งดับได้อย่างรวดเร็วเมื่อรักษาความเป็นคนอารมณ์เย็นได้นานพอ ในที่สุดคุณจะเลื่อนระดับ สามารถขยับขึ้นมาพิจารณาความจริงชั้นสูง นั่นคือทุกข์มีที่ตั้งอยู่ได้ก็เพราะมีกาย ทั้งความจริงที่ว่ามีกายตั้งอยู่ก็เป็นทุกข์ด้วยการหา และทั้งความจริงที่ว่ามีกายแตกดับก็เป็นทุกข์ด้วยการหวง เมื่อยังหวงก็ได้ชื่อว่ามีห่วงโซ่แห่งความอาลัย ก่อให้เกิดการมีกายใหม่มารับช่วงทุกข์ต่อไปอีกโดยย่นย่อ เมื่อยังต้องมีกายนี้และใจนี้อยู่ ก็ชื่อว่ามีห่วงโซ่แห่งการหลงเข้าใจผิดว่าเป็นตน ห่วงโซ่แห่งการหลงวนอยู่กับความไม่รู้ว่าวิบากกรรมมีอยู่ ย่อมดำเนินชีวิตแบบเด็กน้อยที่ไม่เคยรู้อีโหน่อีเหน่ ได้ดีบ้าง ตกยากบ้าง ประสบสิ่งที่ชอบใจบ้าง พบพานสิ่งที่ไม่ชอบใจบ้าง ก็ล้วนเป็นการรับผลแห่งการกระทำดีชั่ว ด้วยความไม่รู้ต้นสายปลายเหตุทั้งสิ้น

    พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่ากายนี้เองเป็นทุกข์ ใจนี้เองเป็นทุกข์ เพราะรู้สึกนึกคิดอยู่ เพราะจำได้หมายรู้อยู่ และเพราะเจตนาทำดีทำชั่วอยู่ จึงชื่อว่ามีเหตุแห่งรูปนาม และสืบสายต่อเนื่องไปเรื่อยไม่รู้จักสิ้นสุดต่อเมื่อตั้งสติ ‘เห็น’ กายใจนี้ ยกจิตขึ้นสู่ระดับความเป็นปกติที่จะไม่สำคัญว่ากายใจนี้เป็นตัวตน นั่นเองจึงเป็นยอดแห่งการเห็น เพราะเห็นแล้วหลุดพ้นจากวังวนทุกข์ พ้นแล้วพ้นเลย ไม่ต้องเป็นทุกข์อีกเลย เมื่อเห็นกายใจได้เหมือนเห็นก้อนหินและสายน้ำอยู่ห่างๆคุณจะรู้สึกเบาและแห้งสบายเหมือนที่ไม่แบกก้อนหินและสายน้ำไว้กับตัว
     
  2. ผงธุลี

    ผงธุลี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    476
    ค่าพลัง:
    +2,494
    สาธุ อนุโมทามิ

    ให้ประโยชน์ที่ดีเป็นธรรมทาน
     
  3. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่ากายนี้เองเป็นทุกข์ ใจนี้เองเป็นทุกข์ เพราะรู้สึกนึกคิดอยู่ เพราะจำได้หมายรู้อยู่ และเพราะเจตนาทำดีทำชั่วอยู่ จึงชื่อว่ามีเหตุแห่งรูปนาม และสืบสายต่อเนื่องไปเรื่อยไม่รู้จักสิ้นสุดต่อเมื่อตั้งสติ ‘เห็น’ กายใจนี้ ยกจิตขึ้นสู่ระดับความเป็นปกติที่จะไม่สำคัญว่ากายใจนี้เป็นตัวตน นั่นเองจึงเป็นยอดแห่งการเห็น เพราะเห็นแล้วหลุดพ้นจากวังวนทุกข์ พ้นแล้วพ้นเลย ไม่ต้องเป็นทุกข์อีกเลย เมื่อเห็นกายใจได้เหมือนเห็นก้อนหินและสายน้ำอยู่ห่างๆคุณจะรู้สึกเบาและแห้งสบายเหมือนที่ไม่แบกก้อนหินและสายน้ำไว้กับตัว

    ขอเสริมตรงนี้นะครับ พระพุทธเจ้าท่านบรรลุธรรม อริยสัจสี่
    หากให้สมบูรณ์น่าจะรวมกันน่ะครับ ที่ที่พูดมาละเอียดมากครับ แต่ไม่ครบ
    เพราะสุดท้ายแล้วเห็นทุกข์แล้ว ก็ต้องหาหากดับทุกข์ด้วย
    มิใช่เห็นแล้วมันจะดับไปเอง :D

    ศาสนาพุทธแท้ ต้องเชื่อเรื่องปฏิบัติด้วย มิใช่เพียงรู้ ^^

    รักเจ้าของกระทู้นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2014
  4. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2014
  5. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
     
  6. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    น่างั้นผมคงต้องกันข้ามนะครับ เพราะผมเป็นพวกยิ่งเห็นยิ่งทุกข์ ^^

    ทุกข์ สมุทัยผมเพียบ
    แต่นิโรส มรรค
    มันหายไปหมดจนเหลือแต่
    นิโทษกรรม มั้ง
     

แชร์หน้านี้

Loading...