จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    Ok..:cool: คุณสมบัติพร้อม ...ใจพร้อม ...งั้นเราก็ออกเดินทางกันเลยนะคะ เดี๋ยวเจอกันในอีเมล์จ้า...;aa21
     
  2. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    เนอะๆ คุณแนท ถ้าจะไปอย่าลืมชวนกันบ้างนะ หรืออีกทีอาจได้อยู่ฉลองด้วยกัน ด้วยคำขวัญวันเด็กเอ้ย วัยดึก ว่า อยู่นานๆชักไม่ดี ตายเป็นผีดีจริงเอย อิอิ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    พุทธานุสสติ เป็นกรรมฐานที่ง่าย มีแต่กำไร

    "การสร้างพระพุทธรูป นี่เป็นพุทธบูชาเป็น พุทธานุสสติ ในกรรมฐาน ๔๐ กอง ท่านบอกว่ากำลัง พุทธานุสสติเป็นเหตุให้เข้าถึงพระนิพพานได้ง่ายที่สุด ง่ายกว่ากองอื่น ก็เห็นจะจริง เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่นิพพานนี่ และท่านก็เป็นต้นตระกูลของพระนิพพาน ใช่ไหม... ทีนี้ถ้าเราต้องการสร้างให้สวยตามที่เราชอบ เห็นแล้วก็ทำให้จิตใจสดชื่น จิตมันก็นึกถึงพระอยู่เสมอ ถ้าจิตนึกถึงพระพุทธรูปองค์นั้นอยู่เสมอก็จัดเป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน ถ้าใจเราเกาะพระพุทธเจ้าเป็นปกติ ตายแล้วลงนรกไม่เป็น ฉะนั้นถ้าหากโยมเห็นว่าพระที่ทำด้วยโลหะสวยกว่า ชอบมากกว่า โยมก็สร้างแบบนั้น"

    "อาตมานี่เป็นคนเกาะ "พุทธานุสสติกรรมฐาน" เป็นอารมณ์ตลอดเวลา ถ้าวันไหนไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าวันนั้นตายดีกว่า ทิ้งไม่ได้ไม่ยอม มันจะเป็นอย่างไร จะป่วยจะไข้จะปวด ยิ่งป่วยยิ่งหนักเกาะติดเลย ป่วยนิดเดียวไม่ยอมคลาย จิตไม่ยอมคลาดสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียกว่าเราถือว่าเราเกาะพระพุทธเจ้าตายมันจะลงนรกก็เชิญ พระพุทธเจ้าท่านจะลงกับเราก็เอา ใช่ไหม ท่านคงไม่ยอมลงนะ"

    (คัดลอกบางตอนจาก หนังสือพ่อรักลูก หน้า ๑๕๑)

    พระพุทธองค์ทรงชมเชย และพยากรณ์

    (คำสอนหลังกรรมฐาน คืนวันที่ ๘ กพ. ๒๕๓๑ แล้วหลวงพ่อบอกว่า)

    ...พระท่านสั่งถึงญาติโยมทุกคนมีคนยืนข้างนอกไหม (มีเยอะครับ) ท่านบอกว่า ทุกคนจิตเข้มข้นมาก ข้างในก็ดี ข้างนอกก็ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้างนอกหนัก ไม่งั้นยืนไม่ไหว

    ท่านก็เลยบอกว่า "ทุกคนก่อนจะหลับ หรือตื่นใหม่ๆ ตั้งใจจำภาพพระพุทธรูป หรือคนที่เคยเห็นภาพพระพุทธเจ้าด้วยทิพจักขุญานนะ จับภาพพระพุทธเจ้าไว้ก่อนหลับหน่อยหนึ่ง หรือตื่นใหม่ๆ ไม่ต้องนั่งก็ได้ นอนก็ได้ นอนลืมตาดูท่าน หรือหลับตานึกถึงท่าน จะภาวนาก็ได้ แต่ห้ามภาวด่า นี่ท่านไม่ได้ห้ามนะฉันห้ามเอง ก็ถามท่านว่า มีผลอย่างไร ท่านบอก จะรู้ผลเองเมื่อตาย นี่ท่านพูดเองนะ

    ทีนี้ท่านย่า ท่านยืนกับแม่ศรี ท่านก็หัวเราะ ย่าบอก "คุณ ๑๐๐ เปอร์เซนต์"

    แต่ความจริงจับภาพพระพุทธเจ้านี่ดีนะ ฉันเคยไปหลับที่บ้านบนหลายหน ก่อนป่วยหนักฉันก็หลับอยู่บนบ้านนั้นแหละ บ้านสูง เดินเที่วไปเที่ยวมา อยู่บนนี้ดีกว่า เดี๋ยวไอ้ตัวล่างหลับแหงแก๋ไปแล้ว มันตัดกันนี่นะ มันหลับไปเราก็สบาย ลงโน่นนั่นแหละตี ๕ หรือไม่ก้ ๖ โมงเช้าสบายโก๋ ความจริงจิตเป็นสุขถ้าทำอย่างนี้ทุกวันนะ ผู้ได้มโนมยิทธิน่ะขึ้นไปเลย ถ้าก่อนนอนขึ้นไม่ไหว เช้ามืดตื่นปั๊บขึ้นไป ให้มันชินต่ออารมณ์ ถ้าชินต่ออารมณ์ก็มีความรักในสถานที่นั้น ถ้าเวลาจะตาย ใจมันไปที่มันรัก

    (คัดลอกบางตอนจากหนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๘๕ มีนาคม ๒๕๓๑ หน้า ๒๐-๒๑)

    อานุภาพแห่งพุทธานุสสติกรรมฐาน

    กรรมฐานกองนี้ท่านสอนให้ระลึกถึงคุณความดีของพระพุทธเจ้า การระลึกถึงความดีของพระพุทธเจ้า ระลึกได้ไม่จำกัดว่าจะต้องระลึกตามแบบของท่านผู้นั้นผู้นั้นที่สอนไว้้โดยจำกัด เพราะพระพุทธคุณ คือคุณความดีของพระพุทธเจ้านั้นมีมากมาย แล้วแต่บางท่านจะระลึกโดยใช้ว่า "พุทโธ" หรือ "สัมมาอรหัง" "อิติสุคโต" ต่าง ๆ ดังนี้เป็นต้น แล้วแต่ท่านจะถนัดหรือสะดวก ไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ใด ๆ ทั้งสิ้น

    ท่านตัดวิชา คือความโง่ออกเสียได้สิ้นเชิง ท่านหมดความพอใจในสิ่งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิต โดยคิดว่าเป็นสิ่งที่ยั่งยืน ท่านเห็นว่า ไม่ว่าอะไรมีเกิด แล้วก็มีเสื่อม และในที่สุดก็ต้องทำลาย ฉะนั้น อารมณ์ของท่านจึงไม่ถืออะไร มีก็ใช้ ไม่มีก็ไม่มีทุกข์ ตัดความกำหนัดยินดีในสมบัติของโลก ไม่มีเยื่อใยแม้แต่สังขารของท่าน

    พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทุกองค์มีความรู้สึกอย่างนี้ ท่านที่เจริญอนุสสติข้อนี้ เมื่อใคร่ครวญตามความดีทั้งสิบประการนี้เสมอ ๆ ทำอารมณ์ให้ผ่องใสในพระพุทธคุณมากขึ้น จะเป็นเหตุให้เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าได้

    เรื่องราวตัวอย่างเรียบเรียงมาจากพระไตรปิฎก ซึ่งแสดงถึงอานิสงค์ของพุทธานุสสติกรรมฐานคือเรื่องเมื่อมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรผู้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนตายแล้วได้ไปสวรรค์

    ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร เดิมเป็นลูกชายของพราหมณ์ที่มีความร่ำรวยแต่ตระกูลของพราหมณ์ตระกูลนี้ไม่ได้นับถือ พระพุทธศาสนาเขามีศาสนาพราหมณ์เป็นที่เคารพอยู่แล้ว ต่อมาลูกชายของพราหมณ์ที่ชื่อว่ามัฏฐกุณฑลีป่วยมาก พ่อกับแม่จะรักษาก็เสียดายเงินจึงไปถามหมอว่า โรคผอมเหลืองของลูกชายใช้ยาอะไรรักษา หมอก็บอกยากลางบ้านคือ ยาที่ชาวบ้านเอามารักษาโรคกันเอง โดยที่ไม่มีหมอตรวจอาการของโรคก่อน เป็นยาที่ไม่ตรงกับโรค มัฏฐกุณฑลี จึงป่วยหนักขึ้น และเห็นว่าพ่อกับแม่ ไม่ได้เป็นที่พึ่งแน่นอน เมื่อทุกขเวทนามากขึ้นหมดที่พึ่งก็นึกถึงพระพุทธเจ้า โดยเธอคิดว่าชาวบัานเขาลือกันว่าพระสมณโคดม มีเมตตาสูงใจดี สงเคราะห์ไม่ว่าใคร ใครมีทุกข์ท่านสงเคราะห์ทุกคน เธอจึงได้นอนนึกถึงพระพุทธเจ้า ขอให้พระพุทธเจ้ามาช่วยรักษาให้หายจากโรค ในขณะนั้นเธอก็ได้ถึงคราวตาย เมื่อเขาตายจิตออกจากร่าง ด้วยเดชะบารมีพระพุทธเจ้าที่เขาคิดถึง ว่าอยากให้มารักษาโรคก็ บันดาลให้เขาไปเกิดเป็นเทวดา บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ นามว่า มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีนางฟ้าหนึ่งพันเป็นบริวาร

    เมื่อมัฏฐกุณฑลี เสียชีวิต ด้วยเพราะคิดถึงลูก พราหมณ์ผู้เป็นพ่อจึงไปยืนอ้อนวอนที่หน้าหลุมศพทุกวันว่าขอให้ ลูกชาย กลับมาเกิดใหม่ ในที่สุดลูกชายที่เป็นเทวดาก็ปรากฏตัวขึ้น จึงได้บอกกับพ่อของเขาว่า เวลานี้เธอได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ ที่ไปเป็นได้เพราะอาศัยนึกถึงพระสมณโคดมให้มาช่วยให้หายป่วย มือไม่เคยยกไหว้ บาตรไม่เคยใส่ เทศน์ที่พระสมณโคดมเทศน์ก็ไม่เคยฟัง อาศัยที่นึกถึงชื่อพระองค์อย่างเดียวเป็นเหตุให้ไปเกิดเป็นเทวดาได้ จึงได้แนะนำพ่อว่า ต่อไปจงถวายทานแด่พระสมณโคดมและพระของท่าน จงฟังเทศน์ จงใส่บาตรพระ จะเป็นคนมีบุญมากๆ เมื่อตายจะมีความสุขมากกว่าเธอ แล้วเธอก็ได้เหาะกลับวิมาน

    เมื่อฟังแล้วบิดาจึงตั้งใจจะถวายทานแด่พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวก เมื่อกลับถึงบ้านจึงบอกให้ภรรยาทำอาหารมากๆ เพื่อวันนี้จะได้ไปถวายทานแด่พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวก เมื่อเสร็จแล้วจึงได้เดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่ไปถึงกลับกล่าววาจาโอหังยืนอยู่ข้างหน้าแล้วถามว่า "พระสมณโคดม คนไม่เคยยกมือไหว้ท่าน ไม่เคยใส่บาตร ไม่เคยฟังเทศน์ เพียงนึกชื่อท่านอย่างเดียวตายไปแล้วเกิดเป็นเทวดา นางฟ้ามีไหม"พระพุทธเจ้าตรัสว่า พราหมณ์ คนที่ไม่เคยใส่บาตร ไม่เคยยกมือไหว้ ไม่เคยฟังเทศน์จากเรา ตายไปแล้วไปเกิดบนสวรรค์ ไม่ใช่นับร้อยนับพัน แต่นับเป็นโกฏีๆ แต่ทว่าท่านที่ฝึกกรรมฐาน ถึงมีว่าจะมีสมาธิเล็กน้อย ท่านก็ว่ามีผลดีกว่า มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ทั้งนี้เพราะทุกคนเคารพ พระพุทธเจ้า เคยบูชาพระ เคยไหว้พระ เคยใส่บาตร เคยฟังเทศน์ และเจริญกรรมฐานด้วยความเคารพ


    ที่มา:หนังสือวิธีฝึกกรรมฐานด้วยตนเองแบบง่ายๆ
    โดย พระสุธรรมยานเถระ(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
     
  4. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]
    สาธุธรรม คำสอนของหลวงพ่อ เจ้าค่ะ ...
    ท่านกล่าวมาชอบแล้ว จริงทุกประการ คนเราทุกวันนี้ ต่างก็จะมาวิ่งหาสุข วิ่งหนีทุกข์ กันอย่างเดียว
    โดยไม่เคย หยุดนิ่ง หยุดวิ่ง หยุดไขว่คว้า หาความสุขจากโลกเลย
    โลกนี้ ไม่ใช่ดินแดนที่มีความสุข ศิวิไลซ์ อย่างที่คิดนะ
    นั่นน่ะ จิตที่ครอบคลุมด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทานและ อกุศลกรรม มันนำพาให้คิดอย่างนั้น
    โลกนี้ มีแต่ทุกข์มาก กับ ทุกข์น้อย เท่านั้นแหละ นอกเหนือกว่านี้ ไม่มี ...
    แต่จะรู้ว่า เราอยู่กับทุกข์ ในทุกขณะจิตล่ะก้อ จิตเราต้องมีปัญญามากพอ ที่จะเห็นได้นั่นเอง
    ผู้ที่เริ่มจะเห็นทุกข์ และ กำลังจะหาทางจะดับทุกข์ เพราะทนไม่ได้ อยู่กับทุกข์ไม่ได้หรืออยู่กับทุกข์ไม่เป็น
    ก็จะเริ่มมีดวงตาเห็นธรรมแล้ว เพราะจะเริ่มเข้ามาหาทาง ดับทุกข์ ตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ นั่นคือ อริยสัจ 4
    ท่านขึ้นต้นด้วย ทุกข์ ก่อนเลย แล้วมองไปที่สาเหตุที่เกิดทุกข์ คือ สมุทัย (ตัณหา 3ประการ)
    แล้วท่านวางแนวทางการปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ไว้ให้เสร็จสรรพ นั่นคือ มรรค หรือ
    มรรคมีองค์8 หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ ทาน ศีล ภาวนา นั่นเอง
    ปฏิบัติตามแนวทางที่ท่านวางไว้อย่างถูกต้อง วันหนึ่งเราจะรู้ด้วยตนเอง (ปัจจัตตัง)ว่าเราออกจากทุกข์ได้แล้วหรือยัง?
    เราดับทุกข์ได้ถาวรแล้วหรือยัง?... นั่นคือ ผลการปฏิบัติ หรือ เรียกว่า นิโรธ นั่นเอง
    เราโชคดีแค่ไหนแล้ว ที่เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาเดียวที่สอน เรื่อง อริยสัจ4
    ดังนั้น พวกเราควรตระหนัก ถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ท่านมีต่อมวลมนุษยชาติเหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลาย
    พระองค์ทรงเปรียบประดุจ แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาในกลางใจของ ดวงจิตของพวกเราที่ยังมีความโง่เขลาเบาปัญญา
    วันนี้ มีโอกาสแล้วขอจงอย่าประมาท รีบเร่งพิจารณาหาความจริงของชีวิตที่หลงมาเกิดบนโลกนี้ กันเถิด...
    ว่าชีวิตนี้เป็นของไม่เที่ยงนะ แต่ความตายเป็นของเที่ยงแท้แน่นอน ...
    รีบเอาจิตให้รอดกันก่อนดีมั้ย เอาจิตให้หลุดพ้นอยู่เหนือ ขันธ์5 ดับทั้งรูป ทั้งนาม ดับให้ไม่เหลือเชื้อแห่งการเกิดอีกเลยดีมั้ย
    ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ให้ได้ อยู่กับทุกข์กายโดยที่จิตไม่ทุกข์ ในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่นี่ละ
    พวกเราทำได้นะ ทำได้ทุกคน ขอฝากไว้ให้พิจารณาธรรมกัน
    สาธุค่ะ ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2014
  5. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    ทำไมยังเบียดเบียนตนเองอยู่

    [​IMG]



    คำสอนคำเตือนของหลวงปู่ที่ว่า "ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต" นี้ มีความหมายที่เอาไปปรับใช้ได้ตั้งมากมาย ไม่เพียงแต่ในแง่มุ่งความหลุดพ้นอย่างสิ้นเชิงเท่านั้น

    ในชีวิตประจำวัน บ่อยครั้งทีเดียวที่เราคิดว่าเราระวังแต่ในเรื่องไม่เบียดผู้อื่น แต่เรากลับเผลอเบียดเบียนตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเบียดเบียนด้วยความคิดความกังวลต่าง ๆ ไม่เว้นแม้ในกิจกรรมบุญ

    เช่น นั่งลุ้นนั่งวิตกว่า คนที่เราพาเขาเข้าวัดฟังธรรมจะรับธรรมะได้มากน้อยเพียงใด หรือคิดวิตกไปในอนาคตว่าจะทำนั่นทำนี่ได้ทันเวลาไหม คิดเปรียบเทียบกับใคร ๆ จนจิตเศร้าหมอง คิดโกรธไม่พอใจการกระทำของคนอื่น ปล่อยให้โทสะเผาใจเจ้าของอยู่เป็นเวลานาน ฯลฯ

    สารพัดความคิดที่เราทำร้ายตัวเราเอง เรียกว่าเบียดเบียนตัวเราเองโดยแท้

    ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่าคิดน่ะคิดได้ แต่ต้องคิดด้วยความรู้คือ ด้วยปัญญา คิดด้วยใจที่เป็นกลาง ๆ มิใช่คิดด้วยความหลง คิดไปวิตกไป แบกความคิด แบกอารมณ์ไว้จนหนักเสียยิ่งกว่าแบกอิฐแบกปูน

    ทีนี้ เมื่อนึกถึงคำหลวงปู่ที่ว่า "ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต" เราก็จะได้หมั่นเตือนตนเองว่า เราจะไม่เบียดเบียนตนเองให้ทุกข์เพราะความคิดความกังวล เราจะปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ละชั่ว ทำดี แล้วก็ที่สำคัญที่สุดคือ ทำใจให้ผ่องแผ้ว เผลอไปก็เอาใหม่ ๆ ๆ

    หลวงปู่ท่านให้กำลังใจเสมอว่า "ล้มแล้วก็ให้ลุก ล้มไปก็ตั้งขึ้นใหม่"

    นิพพานอันเป็นที่ดับ ทุกข์สิ้นเชิงจะเป็นอย่างไร เราไม่รู้ แต่ขอเราสัมผัสนิพพานน้อย ๆ คือความที่ไม่ต้องแบกอารมณ์ใด ๆ ไม่มีเรื่องคาใจ ลิ้มรสความสงบเย็นในหัวใจนี้เรื่อยไป ก็นับว่าคุ้มค่าที่ได้ทันและนำคำสอนของครูบาอาจารย์มาปฏิบัติ


    Cr FB : รักษาใจของเราด้วยธรรม เพียงขวัญ
     
  6. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    การหัดตาย มีคุณเป็นพิเศษแก่จิตใจอย่างยิ่ง..

    [​IMG]



    ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาทั้งหลาย สอนให้หัดตายก่อนถึงเวลาตายจริง ท่านสอนให้หัดตายไว้เสมอ อย่างน้อยก็ควรวันละครั้ง ครั้งละ 5 นาที 10 นาที เป็นอย่างน้อย การหัดตายนั้นบางผู้บางพวกน่าจะเริ่มหัดคิดถึงสภาพ เมื่อตนกำลังจะถูกประหัตประหารให้ถึงตาย คิดให้ลึกซึ้งถึงความกลัวตายของตนในขณะนั้น แล้วก็คิดจนถึงเมื่อต้องถูกประหัตประหารถึงตายจนได้ แม้จะกลัวแสนกลัว แม้จะพยายามกระเสือกกระสนช่วยตนเองให้รอดพ้นอย่างไร ก็หารอดพ้นไม่ต้องตายด้วยความทรมานทั้งกายทั้งใจ..

    การหัดตาย ด้วยเริ่มตั้งแต่ความกลัวตายอย่างทารุณโหดร้ายเช่นนี้ มีคุณเป็นพิเศษแก่จิตใจ จะสามารถอบรมบ่มนิสัยที่แม้เหี้ยมโหดอำมหิต ปราศจากเมตตากรุณาต่อชีวิตร่างกายผู้อื่น สัตว์อื่นให้เปลี่ยนแปลงได้ ความคิดที่จะประหัตประหารเขา เพื่อผลได้ของตนก็จะเกิดได้ยาก หรือจะเกิดไม่ได้เลย การพยายามหัดตายให้รู้สึกหวาดกลัวการถูก ประหัตประหารผลาญชีวิตตนนั้น เมื่อทำไว้เสมอ ก็จะเกิดผลเป็นความเข้าใจถึงความรู้สึกของผู้อื่นที่จะต้องหวั่นกลัว เช่นเดียวกัน ความเมตตาปรานีชีวิตผู้อื่น สัตว์อื่น ก็จะเกิดได้แม้จะไม่เคยเกิดมาก่อน ซึ่งก็เป็นการเมตตาปรานีชีวิตตนเองพร้อมกันไปด้วยอย่างแน่นอน..


    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

    CR : https://www.facebook.com/apichai553
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2014
  7. ladylamb

    ladylamb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +200
    กราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่านค่ะ
    ขอบพระคุณทุกๆท่านที่เมตตาค่ะ ขอบคุณคุณtherdที่นำบุญไปเล่าสู่ในห้องท่านtjsที่ดิฉันเคารพเหมือนครูที่แก้ทุกข์ให้สรรพสัตว์ทั่วไป ดีใจมากค่ะที่ครูแนทไม่รังเกียจรับเป็นศิษย์ ขอตอบคำถามครูแนทก่อนนะคะ
    1 boonnippanรักเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์จากจิต เคารพครูทั้วในทางโลกและทางธรรมตลอดเวลา โตมาจากเด็กบ้านนอกที่รักเคารพคุณครูเสมอค่ะ
    2 รักพระนิพพานทั้งในยามสุขและทุกข์แม้ไม่เคยเห็นมาก่อน ชื่อboonnippanมาจากความรู้สึกจริงๆ ขอบคุณครูแนทค่ะที่ชอบชื่อของboonnippan
    3 มีศีล5ในใจแบบปกติของชีวิตอยู่ตลอดเวลา ผู้คนหรือสัตวืรอบตัวเหมือนมิตรที่ร่วมชะตากรรมเดียวกัน ปราถนาอยากให้ทุกรูปนามพ้นทุกข์เสียทีจนบางทีรู้ตัวว่าอ่อไหวง่ายขาดอุเบกขาในหลายๆครั้งที่เห็นทุกข์ของเพื่อนร่วมโลกทั้งมนุษย์และสัตว์ ปฏิบัติศีล8 ศีลอุโบสถในบางโอกาสค่ะ
    boonnippan จะpm หาครูแนทนะคะ
    ด้วยความเคารพ

    โมทนา สาธุกับคุณครูพี่แนทและคุณ Boonippan ด้วยน่ะค่ะ
    ยินดีต้อนรับคุณ Boonippan เข้าสู่บ้านจิตบุญค่ะ
    ก่อนอื่นดิฉันต้องขออนุญาตุบอกก่อนว่าชอบชื่อนี้ตั้งแต่เห็นครั้งแรกเลย
    มีความรู้สึกเย็นใจอย่างบอกไม่ถูก ที่แท้ก็จะได้มาร่วมเดินทางกลับบ้าน
    ด้วยกันนี้เอง
    โมทนา สาธุค่ะ
    อุ๋ย UK
     
  8. ladylamb

    ladylamb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +200
    [​IMG]



    ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาทั้งหลาย สอนให้หัดตายก่อนถึงเวลาตายจริง ท่านสอนให้หัดตายไว้เสมอ อย่างน้อยก็ควรวันละครั้ง ครั้งละ 5 นาที 10 นาที เป็นอย่างน้อย การหัดตายนั้นบางผู้บางพวกน่าจะเริ่มหัดคิดถึงสภาพ เมื่อตนกำลังจะถูกประหัตประหารให้ถึงตาย คิดให้ลึกซึ้งถึงความกลัวตายของตนในขณะนั้น แล้วก็คิดจนถึงเมื่อต้องถูกประหัตประหารถึงตายจนได้ แม้จะกลัวแสนกลัว แม้จะพยายามกระเสือกระสนช่วยตนเองให้รอดพ้นอย่างไร ก็หารอดพ้นไม่ต้องตายด้วยความทรมานทั้งกายทั้งใจ..

    การหัดตาย ด้วยเริ่มตั้งแต่ความกลัวตายอย่างทารุณโหดร้ายเช่นนี้ มีคุณเป็นพิเศษแก่จิตใจ จะสามารถอบรมบ่มนิสัยที่แม้เหี้ยมโหดอำมหิต ปราศจากเมตตากรุณาต่อชีวิตร่างกายผู้อื่น สัตว์อื่นให้เปลี่ยนแปลงได้ ความคิดที่จะประหัตประหารเขา เพื่อผลได้ของตนก็จะเกิดได้ยาก หรือจะเกิดไม่ได้เลย การพยายามหัดตายให้รู้สึกหวาดกลัวการถูก ประหัตประหารผลาญชีวิตตนนั้น เมื่อทำไว้เสมอ ก็จะเกิดผลเป็นความเข้าใจถึงความรู้สึกของผู้อื่นที่จะต้องหวั่นกลัว เช่นเดียวกัน ความเมตตาปรานีชีวิตผู้อื่น สัตว์อื่น ก็จะเกิดได้แม้จะไม่เคยเกิดมาก่อน ซึ่งก็เป็นการเมตตาปรานีชีวิตตนเองพร้อมกันไปด้วยอย่างแน่นอน..


    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

    โมทนา สาธุค่ะคุณดาว
    ได้มาอ่านเจอธรรมะขององค์สมเด็จท่านแล้วก็ทำให้อุ๋ย
    มั่นใจในการปฏิบัติของตัวเองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
    เมื่อคืนวานได้นึกภาพตัวเองนอนเป็นร่างไร้วิญญาณอยู่
    ในห้องเก็บศพที่โรงพยาบาล เห็นตัวเองอยู่นอนยังมีไอความเย็น
    ลอยออกมาเชียว
    ส่วนก่อนหน้านั้น ก็กำลังจะสตาร์ทรถออกมาจาก car parking
    แต่รอลูกสาวที่กำลังเดินมาจะขึ้นรถ จิตก็ให้นึกไปว่ามีคน
    เอามัดมาปาดที่คอตัวเองแล้วตายทันทีในขณะที่กำลังหลับ
    ตาหัวก็พิงอยู่กับเบาะคนขับนั่นเอง
    ช่วงนี้จะเป็นลักษณะเตรียมพร้อมซ้อมตายนี้บ่อยมาก
    แต่การสมมุติเหตุการณ์นี่จะเป็นอะไรที่ค่อนข้างโหดไปหน่อย
    ต้องขออภัยถ้าท่านใดที่ได้เข้ามาอ่าน แล้วมี่ความรู้สึกไม่ค่อยจะดี
    กับข้อความที่เขียนมานี้ ขอให้ท่านได้ทราบว่าข้าพเจ้า
    ไม่ได้มีเจตนาร้ายอันใดเลย เพียงขอแบ่งปันประสบประการณ์
    เท่านั้นค่ะ
    อุ๋ย UK
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2014
  9. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    มารู้จัก(((จุดอ่อน)))ของนักภาวนา นักปฎิบัติธรรม

    พูดถึงนักภาวนา หรือผู้ปฎิบัติธรรม จะบอกให้นะว่า กำลังใจของตนนี้ สำคัญที่สุด
    ถ้าเราไม่คอยหมั่นสร้างกำลังใจตนแล้ว ยังทำจิตตก เผลอสติบ่อยๆอยู่อย่างนี้
    มันจะเจริญมรรค เจริญในผลของตนยังไง

    การสร้างกำลังใจแห่งตนแบบง่ายที่สุด เช่น ฟังเทศน์ฟังธรรม สวดมนต์ไหว้พระเป็นนิจ
    ทำบุญกุศลฝ่ายเดียว รักษาศีลให้ครบเอาเจตนาก่อน ไม่เจตนาก็สมาทานศีล
    ก่อนนอนทุกคืนไป โดยเฉพาะ อย่าขยันส่งจิตออกนอก เดี๋ยวก็แอบไปนินทาว่าร้ายคนอื่น
    จนได้แหล่ะ มโนกรรมคนเรานี้ ถ้าไม่รู้จักสำรวมจิต มันก็ไม่เป็นบุญ จิตตกต่ำยิ่งกว่ามนุษย์
    ถ้าเราไม่คอยสร้างสติกันนะ มันจะพาลคอแต่จะทำไม่ดี แล้วนำเรื่องที่ไม่ดีเข้าหาตนอยู่เรื่อยๆ
    โทษแต่อย่างอื่น ไม่เคยโทษตนเองเลย มองหาแต่ความไม่ดีผู้อื่น คอยจดจ้องแต่จะหาเรื่อง
    หาเวรหากรรมที่ไม่ดีเข้าสู่จิตใจตนเอง สรุปแล้ว ถ้าเราไม่ทำภาวนา จิตเราก็จะลงต่ำอยู่เรื่อยๆ

    คำถามคือ ทำอย่างไรถึงจะเจริญในธรรม
    ตราบใด ถ้าเราขยันทิ้งสติบ่อยหรือสติเกิดไม่ต่อเนื่อง
    นักภาวนาเหล่านั้นก็เข้าไม่ถึง คำว่า ความสงบสุขภายในเป็นแน่ และธรรมสูงขึ้นไปกว่านี้
    คือผู้ที่พบความสงบสุขภายในของตนแล้ว คำว่า ปัญญาญาณ ของเราจะไม่เกิดขึ้นเลย
    ถ้าเราไม่คอยหมั่นเจริญปัญญา(((อย่างต่อเนื่อง))) ทรงเอกัคคตารมณ์ ยิ่งดีใหญ่...

    สรุปแล้ว ขาดอิทธิบาท๔ ขาดความตั้งใจจริงๆ ลูกบ้ามีน้อยไปหน่อย
    การปฏิบัติถึงไม่ก้าวหน้า หรือไม่ค่อยได้ผล
    การปฎิบัติขอให้นึกถึงปฎิปทาของหลวงปู่มั่น ท่านไม่เคยพลาดคำภาวนาว่า พุท-โธ
    พุท-โธของท่านเลย ไม่ว่ากายจะเคลื่อนไปไหนทุกอิริยาบถก็ตาม ก็ไม่เคยลืมคำภาวนาพุทโธๆ
    แล้วสติท่านจึงกลายเป็น มหาสติ มหาสมาธิ มหาปัญญาไปโดยลำดับ โดยปริยาย
    คำว่า มหาสติ หมายถึง สติเกิดขึ้นเอง โดยที่เราไม่ต้องกำหนด หรือภานา
    เพราะจิตเขาจะทำงานอัตโนมัตเอง คือจิตเขาภาวนาหรือท่องคำว่าพุทโธเอง

    ขอฝากเกล็ดธรรมะเล็กๆน้อยๆ แค่นี้ก่อน ขอให้ทุกท่านมีความสุขกายสบายใจ
    โดยเฉพาะผู้ปฎิบัติธรรมทุกๆท่าน ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ สาธุๆๆ​

    ภูทยานฌาน
     
  10. newwave1959

    newwave1959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +2,681
    [​IMG]

    การปฏิบัติตนเพื่อเข้าพระนิพพาน

    พระนิพพาน แดนนี้เป็นเขตที่รู้เรื่องกันยากมาก เพราะนักปราชญ์สมัยนี้ถือว่า "นิพพานสูญ" กันเป็นประเพณีไปแล้ว ขอบอกไว้ย่อๆ ว่า คนที่จะถึงพระนิพพานได้นั้นต้องมีความบริสุทธิ์ ๑๐ อย่างคือ

    ๑) ไม่เมาในตนเองหรือวัตถุต่างๆ ที่คิดว่าเป็นสมบัติของตน รู้สึกเสมอว่าจะต้องตายและพลัดพรากจากของรักของชอบใจแน่นอน ไม่มีอะไรที่จะมาห้ามความตายและความพลัดพรากได้ ทำจิตใจเป็นปกติเมื่อความตายมาถึงหรือเมื่อต้องพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก

    ๒) ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างในโลกนี้ไม่ว่าสิ่งที่มีชีวิตต้องทำลายตนเองลงในเมื่อกาลเวลามาถึง ไม่มีอะไรทรงสภาพเป็นปกติอยู่ได้ ใครทำความดี ความดีก็คุ้มครองให้มีความสุขใจ ใครทำชั่ว ความชั่วจะบันดาลความเดือดร้อนให้ แม้ผู้อื่นยังไม่ลงโทษ ตนเองก็มีความหวาดสะดุ้งเป็นปกติ

    ๓) รักษาศีลมั่นคง ดำรงจิตอยู่ในศีลเป็นปกติ

    ๔) ทำลายความใคร่ในกามารมณ์ให้สิ้นไปจากใจ ด้วยอำนาจความรู้ถึงความจริง รู้ว่าความรักเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ภัยอันตรายที่มีขึ้นแก่ตนเพราะอาศัยความรักเป็นเหตุ

    ๕) มีจิตใจเต็มไปด้วยความเมตตาปรานี ไม่โกรธไม่จองล้างจองผลาญคิดทำอันตรายใคร ไม่ว่าใครจะแสดงอาการอย่างไร จิตก็ไม่คลายจากความเมตตา

    ๖) ไม่มัวเมาในรูปฌาน โดยคิดว่าการที่ตนทรงรูปฌานได้นี้ เป็นผู้ถึงที่สุดของความดี เมาฌานจนไม่สนใจความดีที่ตนยังไม่ได้

    ๗) ไม่มัวเมาในอรูปฌาน โดยคิดว่าความดีเพียงเท่านี้ ยังไม่เป็นทางสิ้นทุกข์

    ๘) มีอารมณ์เป็นปกติ ไม่คิดถึงเรื่องอารมณ์เหลวไหล มีจิตใจเต็มไปด้วยความหวังดี ไม่ว่าต่อคนหรือสัตว์ ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่

    ๙) ไม่ถือตน ทะนงตน ว่าดีเลิศประเสริฐกว่าใคร มีอารมณ์ใจเป็นปกติ เห็นคน สัตว์ ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของธรรมดาที่จะต้องตายจะต้องสลายไป และมีอารมณ์ไม่หวั่นไหวเมื่อเข้าสังคมสมาคมใดๆ มีอาการเป็นเสมือนว่าสังคมนั้น สมาคมนั้นๆ เป็นกลุ่มของคนที่ต้องตาย ไม่ทำตัวใหญ่หรือเล็กจนน่าเกลียด ทำตนพอเหมาะพอสมควรแก่สมาคมนั้นๆ เรื่องของเขา เขาจะดีจะชั่วก็ตัวของเขา เราช่วยได้เราก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็เฉยไว้ ไม่สนใจที่จะไปเบ่งบารมีทับใคร

    ๑๐) ตัดความรักความพอใจในโลกีย์วิสัยให้หมด งดอารมณ์อยากดีอยากเด่น ทำอารมณ์เป็นพระพุทธในพระอุโบสถ พระพุทธท่านยิ้มเสมอ ท่านที่จะถึงพระนิพพานต้องยิ้มได้อย่างพระพุทธ ใครจะดีจะชั่วก็ยิ้ม เพราะเห็นเป็นของธรรมดามันหนีไม่ได้ไล่ไม่พ้น เมื่อยังมีตัวตนเป็นคนมันก็ต้องพบอาการอย่างนี้อยู่ ก็สบายใจ ความตายจะมาถึงก็ไม่สะดุ้งหวาดกลัวเพราะรู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย มีอารมณ์ใจปกติ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่ผูกพันทรัพย์สินหรือสัตว์หรือบุคคลอื่น เท่านี้ก็ไปพระนิพพานได้

    โอวาทธรรม
    หลวงพ่อพระราชพรหมยานเถระ
    จากหนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน

    (Cr. from Fb ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ)




    ด้วยจิตคารวะ

    newwave1959

    ปาราเมศ จบ.๑๔
     
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]
    พุทธะ-บัวสวรรค์
    .......................
    ○ จินต์ไสวในไพรสรวง บัวสวรรค์
    หอมกลีบนั้น ประทีปทองส่องฟ้าสวย
    เพลินพาพบสบเนตรงาม อร่ามรวย
    สว่างด้วย ใจกลางกลางสะอางองค์

    ○ ประจักษ์สู่ประตูจิต นิมิตรเห็น
    สติเป็นตัวพัวพัน ปัจจุบันส่ง
    สมาธิก่อปัญญาพาดำรง
    นะโมพุทธสุดอุ่นคง หทัยนาน

    ○ แก่นใดเท่า แก่นธรรมนำเปรียบเปรย
    บางรู้เฉยละทิ้ง ใบกิ่งก้าน
    ถึงเวลาบานดอกออกตามกาล
    เช่นสังขารของเราเท่านั้นเอง

    ○ ยอบุปผาปรารมภ์ชื่นชมพักตร์
    เชยเกสรภมรทักยามตูมเต่ง
    มิอยู่ยง คงนิรันดร์ธรรมบรรเลง
    เป็นอุบายสามสายเพลง เสียงพิณทอง

    ○ หอมบัวแก้ว แพรวพรรณสวรรค์สร้าง
    นฤพานจารย์กระจ่าง บ่ มีสอง
    เป็นหนึ่งนิด ว่างวางปลอยลอยมิมอง
    ดับดวงเดียว มิเที่ยวท่องล่องโลกันตร์

    มณต.อุลตร้า
    ขอบคุณบัวสวรรค์ งามโสภาจาก คุณJeab Nattawan
    https://www.facebook.com/maneeporn.tree
     
  12. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    ขออนุโมทนาสาธุกับจิตคุณอุ๋ยด้วยค่ะ...มรณานุสสติกรรมฐาน
    (นอกจากเราสองคนจะหน้าเหมือนกันแล้ว จิตยังคล้ายๆกันอีกเนาะ ^_^ )

    ดาวเองก็เริ่มซ้อมตายตั้งแต่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านเมตตามาโปรดสั่งสอนในฝัน ที่เคยเล่าให้ฟังทาง Skype ไปแล้วนั่นแล่ะค่ะ (พักใหญ่ๆแล้วเนอะ) ตั้งแต่เจอมีดปลายแหลมคมกริบคว้านท้องเข้าให้ ยังเสียวไส้แม้นยามตื่น..ฮร่าๆๆ แต่ยังจำอารมณ์ที่เราได้ปลดปล่อยความรู้สึกทุกๆอย่างทิ้งไปได้อย่างแม่นยำ ตั้งแต่นั้นมาจิตก็เลยนึกอยากฝึกตายก่อนตายขึ้นมาเอง ทำมาโดยตลอด ความโหดก็คล้ายๆคุณอุ๋ยเลย เจอข่าวอาชญากรรม หรือ อุบัติเหตุต่างๆ เราเปลี่ยนให้มาเป็นตัวเองตายแบบนั้นบ้าง และในตอนท้ายก็ไม่เคยลืมที่จะกำหนดให้จิตจับภาพสมเด็จพ่อองค์ปฐม และ พระนิพพาน ไว้ก่อนตายเสมอๆ ทุกครั้งค่ะ จิตจะเบาสบายมากๆ ฝึกไปบ่อยๆ อารมณ์ที่จับพระนิพพานจะเร็วฉับพลันมากยิ่งๆขึ้นไปด้วยค่ะ

    ได้มาเจอของจริง ความทุกข์ทรมานทางกายเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมานี่เอง เกิดอาการปวดท้องอย่างแสนสาหัส ปวดมากขนาดไหนนั้น อธิบายไม่ถูก แต่ถึงขนาดที่เราเป็นลมสลบไปเลย ได้รับทุกขเวทนาแบบสุดๆ ทั้งปวดท้อง ทั้งอาเจียร ทั้งถ่ายท้องอีก...ชนิดว่าต้องคลานกันเลย เดินก็ไม่ไหวแล้ว
    (โค-ตะ-ระ ทุกข์ จริงๆ ฮ่าๆๆๆ) อันนี้ขอแชร์เป็นประสบการณ์นะ (ไม่ได้โม้ ^^) ทีแรกนึกว่าจะตายซะแล้วละมั้ง ได้ยินมาว่าคนใกล้ตายธาตุทั้ง 4 จะแปรปรวน และนี่ก็ปวดจนเหงื่อแตก (อากาศที่นี่ก็ยังหนาวมากๆอยู่คุณอุ๋ยก็รู้) ร้อนไปหมดทั้งตัว เราจะถนัดฝึกสติตามดูอาการทางกายมาโดยตลอด ก็เลยชิน เลยตามดูมันทุกอาการเลยคราวนี้ เห็นกายทุกข์ทรมานเอามากๆ แต่จิตเราไม่ทรมานไปกับอาการปวดเอาซะเลย...ก็บอกกายไปว่าถ้าอยากจะตายก็เชิญเลย...ตายได้เลย เชิญพังตามสบาย และมีแอบด่าไปด้วยว่า ไอ้กายโสโครก สกปรกแล้วยังเนรคุณได้อี๊ก! และในชั่วขณะเวลาเดียวกันนั้นเอง เราก็ไม่ลืมที่จะรีบนึกถึงภาพท่านพ่อ และ พระนิพพาน สองมือพนมไหว้เลยขอพระบารมีคุณพระรัตนตรัย ขอให้ลูกได้เห็นภาพพระได้อย่างแจ่มใส และก็เกาะท่านไว้แน่นเลยงานนี้ จนมั่นใจว่าเราเกาะท่านไว้แน่นแล้ว ปากเรายิ้มออกมาเองเลย ยิ้มออกทั้งๆที่กายมันยังนอนทุกข์ทรมานอยู่บนเตียง...ยิ้มออกเพราะเห็นพระองค์ท่านทรงแย้มพระโอษฐ์ให้เรานั่นเอง แล้วก็สลบไป...พอตื่นขึ้นมาอีกที...อ้าว!! อยู่ที่เดิม..ยังไม่ตายนี่หว่า!! ^,^

    นี่อาจเป็นข้อสอบที่ฝึกตายมาสักพักใหญ่ๆ แล้วบ่นอยู่กับตัวเองในใจ ว่าถ้าเกิดขึ้นจริงๆเราจะทำได้อย่างที่ฝึกไว้หรือป่าวหว่า !?!
    เลยเจอจัดข้อสอบย่อยให้ซะที..อิอิ แต่ก็พอใจผลลัพธ์อยู่ค่ะ และจะไม่ประมาท จะฝึกต่อไปอีกเรื่อยๆ มรณานุสสติกรรมฐาน...เพื่อความไม่ประมาท !
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2014
  13. therd2499

    therd2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +3,209
    บุญจากการทำบุญภายนอก เช่นถวายสังฆทานหลวงพ่อฤาษีได้พูดถึงอานิสงส์ไว้แล้วว่า

    มากมายมหาศาลเพียงใดจนเข้าพระนิพพานแล้วบุญจากการภาวนาได้มากกว่าก็ลองคิดดูเถิด

    ถ้าทำบุญทั้งภายนอกและภายในควบคู่กันไปอานิสงส์จะมากมายมหาศาลลลลลลลลลล

    เพียงใดแต่ตอนนี้ไม่ต้องการอานิสงส์สำหรับการเกิดแล้วต้องการอย่างเดียวคือการไม่ต้องกลับมา

    เกิดอีกนั่นคือธรรมฉันทะพอใจในการไม่เกิดอีกครับ
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    วิธีแก้อารมณ์ฟุ้งซ่าน​


    นักปฏิบัติกรรมฐานใหม่ๆ มักจะปวดเศียรเวียนเกล้าด้วยอารมณ์จิตที่ไม่แน่นอน บางคราวทำกรรมฐานมีอารมณ์แนบสนิท ลมละเอียด จิตใจเป็นสมาธิแน่วแน่ดี แต่พอเลิกแล้ว รุ่งขึ้นวันใหม่ หรือคราวต่อไป กลับมีอารมณ์ส่ายออกภายนอกจนบังคับไม่อยู่ สร้างความกลัดกลุ้มให้แก่นักปฏิบัติทุกท่านมาแล้ว อาการอย่างนี้ ไม่มีนักปฏิบัติท่านใดจะไม่ประสบ ต่างก็พบปะกันมาจนเป็นธรรมดาแก่นักปฏิบัติทุกคน วิธีแก้อารมณ์ซ่านไม่ตั้งอยู่ในสมาธิ ๒ อย่าง คือ

    ๑. นักเจริญกรรมฐาน ควรมีแนวปฏิบัติเป็นสองแนว คือแนวภาวนาและพิจารณา

    ๒. ปล่อยอารมณ์ให้ล่องลอยไปก่อนเมื่อบังคับไม่ไหว แล้วค่อยกำหนดจับเอาเมื่ออารมณ์กลับเข้าแนวสมาธิ วิธีแก้อารมณ์ซ่านในสมองแบบนั้น มีคำอธิบายดังต่อไปนี้

    ก. ภาวนาและพิจารณา

    ภาวนา หมายถึง ภาวนาตามแบบที่ครูบาอาจารย์สอน ภาวนาเพื่อให้อารมณ์หยุดจากอารมณ์ภายนอก ให้จิตจดจ่ออยู่ที่คำภาวนา เพื่อให้จิตเป็นสมาธิ คำว่าจิตเป็นสมาธินั้น หมายถึงจิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ใช่จิตหยุดโดยไม่รับอารมณ์ใดเลยทั้งสิ้น นักปฏิบัติใหม่ หรือท่านที่ไม่เคยปฏิบัติสมาธิเลยมักเข้าใจอย่างนั้น ความจริงการเข้าใจอย่างนั้นเป็นการเข้าใจที่ไม่ตรงต่อความเป็นจริงธรรมดาของนักปฏิบัติใหม่จิตที่ว่างจากอารมณ์ โดยไม่รับรู้อารมณ์เลย สำหรับการปฏิบัติเบื้องต้นไม่มีอาการอย่างนั้นเป็นอาการของสัญญาเวทยิตนิโรธ พระอรหันต์ขั้นปฏิสัมภิทาญาณ หรือ พระอนาคามีระดับปฏิสัมภิทาญาณเท่านั้นที่จะเข้าได้ พระอริยะนอกนั้น แม้จะเป็นพระอรหันต์ระดับเตวิชโช หรือฉฬภิญโญก็ไม่สามารถทำได้ ปกติของจิตเป็นอย่างนี้ เมื่อทราบแล้วว่าจิตไม่ว่างจากอารมณ์ เพื่อฝึกฝนจิตให้มีกำลังที่ควรแก่การเจริญวิปัสสนาญาณในขั้นต่อไปท่านจึงสอนให้ภาวนา เพื่อโยงจิตให้อยู่ในอารมณ์ภาวนา คือ หาทางให้จิตนึกคิด แต่นึกคิดในขอบเขตที่มอบหมายให้ ไม่ใช่จะนึกคิดเพ่นพ่านไป การภาวนาคาถาบทใดบทหนึ่งนี้ เป็นการระงับการฟุ้งซ่านของจิต แต่ทว่าในกาลบางคราว การภาวนาอยู่อย่างนี้จิตเกิดมีอารมณ์ฟุ้งซ่านเกิดที่จะภาวนาได้ ทั้งนี้จะเป็นเพราะเหตุใดก็ตามเมื่ออารมณ์จิตเกิดฟุ้งซ่านห้ามปรามไม่ไหว นักปฏิบัติมักจะเกิดความกลัดกลุ้มใจ เพราะบังคับใจไม่อยู่ เมื่อเห็นว่าจิตจะบังคับให้อยู่ในวงแคบ คือ คิดเฉพาะคำภาวนาไม่อยู่แล้ว ท่านให้หาทางพิจารณาแทน เพราะการพิจารณาก็เป็นอารมณ์คิดเหมือนกันแต่ว่าคิดในทางละทางปลง จะพิจารณาตามกรรมฐานกองใดก็ได้ เช่น พิจารณาว่า เราต้องตายเป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ต้องป่วยไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความป่วยไข้ไปได้ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นธรรมดา ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงกฎธรรมดานี้ไปได้ หรือ จะพิจารณาตามอสุภกรรมฐานให้เห็นว่าอะไรๆ ก็ไม่มีความสวยสดงดงามคงสภาพตามที่กล่าวไว้ในอสุภ ๑๐ ประการ หรือจะพิจารณากายตามในกายคตานุสสติก็ได้ กรรมฐานที่ท่านสอนให้พิจารณามีมากมาย ท่านสนใจก็อ่านต่อไปตอนท้ายเล่มหนังสือนี้จะพบ แล้วเลือกเอากรรมฐานประเภทพิจารณามาพิจารณาแก้อารมณ์ซ่านกรรมฐานที่เป็นบทภาวนา มีกำลังเป็นสมาธิ ส่วนใหญ่เป็นฌานกรรมฐานประเภทพิจารณา มีกำลังในขั้นอุปจารฌานได้ผลเหมือนกัน กรรมฐานภาวนา สร้างจิตให้มีกำลังเข้มแข็ง กรรมฐานพิจารณา ทำจิตให้เกิดความฉลาดรู้ตามความเป็นจริง เป็นผลให้เกิดนิพพิทาญาณเป็นเหตุให้ได้มรรคผลรวดเร็วต่างฝ่ายก็ดีด้วยกัน เราไม่ได้อย่างโน้นก็ได้อย่างนี้ ดีกว่าปล่อยให้จิตใจกลัดกลุ้ม

    ข. ปล่อยอารมณ์

    อารมณ์ของจิตบางคราวมันไม่เอาถ่านจริงๆ จะภาวนาหรือพิจารณามันก็ไม่เอาเรื่องด้วยทั้งนั้น มันคอยจะออกนอกลู่นอกทางไปตามอารมณ์ของมัน ที่เป็นอย่างนี้เพราะ
    ๑. อาจเป็นเพราะเหน็ดเหนื่อยเกินไป
    ๒. ความป่วยไข้เบียดเบียน
    ๓. ตั้งใจเกินไป โดยคิดว่าวันวานนี้ เรามีอารมณ์แช่มชื่นดี วันนี้ทำให้ดีกว่านั้น ถ้าตั้งใจเกินไปอย่างนี้ รายไหนก็รายนั้น เป็นเตลิดเปิดเปิงออกนอกลู่นอกทางไปทุกราย

    รวมความว่าจิตไม่อยู่ในเกณฑ์จะบังคับได้ ท่านให้ปฏิบัติอย่างนี้ เมื่อเห็นว่าบังคับไม่ไหวจริงๆ แล้วท่านให้ปล่อยให้คิดไปตามเรื่อง จะคิดอะไรก็ช่าง แต่คอยเอาสติควบคุมไว้ ไม่นานนัก อย่างมากก็ไม่เกิน ๒๐ นาที จิตจะหยุดคิด ตอนนี้ท่านสอนว่าให้เริ่มจับอารมณ์ฝึกทันที จิตจะหมดพยศ และจะมีอารมณ์เรียบเป็นอารมณ์ฌานแนบสนิทอย่างคาดไม่ถึง และจะทรงอยู่ได้นานเกินคาด วิธีนี้จดจำไว้ให้ดี เป็นวิธีที่ได้ผลมาก

    ---------------------------------------------------------------
    ข้อความบางส่วน จากเรื่อง นิมิต ในหนังสือ กรรมฐาน ๔๐
    โดย พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน


    *** ผู้ปฎิบัติธรรมใหม่ๆ ควรอ่าน! ***
     
  15. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    แล้วผู้ปฏิบัติเก่าล่ะครับ
     
  16. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    ต้องเจอของจริง!! นึกเอง..เออเอง ความคลาดเคลื่อนมีเยอะ !

    [​IMG]

    หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม



    อุบาสิกาท่านหนึ่ง มีความซาบซึ้งดื่มด่ำในธรรมที่หลวงปู่ตื้อแสดงอย่างยิ่ง เมื่อเทศน์จบลง อุบาสิกาท่านนี้ก็คลานคล้อยเข้าไปเบื้องหน้าธรรมาสน์ที่ท่านนั่งแสดงธรรม พนมมือนมัสการกราบเรียนหลวงปู่ว่า

    "หลวงปู่เจ้าค่ะ อีฉันได้ฟังหลวงปู่เทศนาแล้ว เบากายเบาใจเหลือเกิน อีฉันปล่อยวางได้หมดแล้วเจ้าค่ะ"

    "อนุโมทนาด้วยคุณโยม ที่เกิดดวงตาเห็นธรรม"

    "อีฉันไม่ยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะหลวงปู่"

    หลวงปู่ตื้อนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัดว่า

    "อีตอแหล!"

    สิ้นคำหลวงปู่ อุบาสิกาท่านนั้นถึงกับหน้าแดงก่ำทั้งโกรธทั้งอาย ต่อว่าหลวงปู่ตื้อเสียงสั่นว่า

    "ทำไมท่านจึงมาด่าว่าอีฉันท่ามกลางสาธารณชนเช่นนี้"

    หลวงปู่ตื้อได้แต่หัวเราะหึ ๆ ไม่อธิบายโต้ตอบอะไร ขณะที่คนทั้งศาลาหัวเราะกันครืน เพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า อุบาสิกาปล่อยวางอะไรไม่ได้เลย และยังยึดมั่นตัวตนของตนอย่างเหนียวแน่นครบถ้วน


    กราบหลวงปู่ตื้อด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ _/\_ _/\_ _/\_
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2014
  17. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    ขออนุโมทนาสาธุกับคุณ boonnippan และครูพี่แนท ด้วยนะค่ะ
    ขอเป็นกำลังใจให้คุณ boonnippan มีกำลังใจที่เด็ดเดี่ยว เข้มแข็ง
    ให้ได้เดินอยู่บนเส้นทางสายพระนิพพานตลอดไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน
    ขอกุศลผลบุญทั้งหมดที่ข้าพเจ้าได้เพียรสั่งสมมาตั้งแต่ปฐมชาติจนถึงปัจจุบันชาตินี้
    จงเกื้อหนุนให้คุณ boonnippan ได้ปฏิบัติธรรม จิตเกาะพระ จนเป็นผลสำเร็จ ในเร็ววันด้วยเทอญ..สาธุ สาธุ สาธุ
     
  18. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    กราบหลวงพ่อฤาษีด้วยเศียรเกล้า...ด้วยความเคารพอย่างยิ่งเจ้าค่ะ
    _/\_ _/\_ _/\_

    ปัญญาบารมีของหลวงพ่อช่างสว่างไสวงดงามยิ่งนัก
    ขอบพระคุณพี่เมศมากค่ะ ที่นำธรรมะอันบริสุทธิ์นี้มานำเสนอ
    เป็นธรรมะซึ่งถูกกลั่นกรองออกมาด้วยปัญญาบารมีอันบริสุทธิ์ยิ่งของหลวงพ่อ
    ทิ้งไว้ให้ลูกหลานได้เจริญตามรอยพ่อ
    ลูกจะเพียรปฏิบัติตามคำสั่งสอนนี้ให้เกิดผล...
    ให้สมกับที่พ่อยอมเหน็ดเหนื่อยเพื่อลูกหลานมาช้านานเจ้าค่ะ...สาธุ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2014
  19. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    ถามตัวเองดูสิว่าปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร ...นั่งสมาธิเพื่ออะไร?

    เราควรถามตัวเองอยู่เสมอว่าเราปฏิบัติธรรม เรานั่งสมาธิเพื่ออะไร เราอยากจะดับทุกข์จริง ๆ ไหม หรือเพียงแต่ว่าอยากจะให้สบาย ๆ คือมีปัญหา มีอะไรต่ออะไรทำให้เราจิตใจว้าวุ่นขุ่นมัว ไม่อยากจะต้องคิด ไม่อยากจะต้องเป็นทุกข์กับเรื่องนั้น คิดว่านั่งสมาธิแล้วจะได้สบายใจ จะได้แก้ปัญหาเฉพาะหน้า คิดอย่างนี้ก็ไม่ผิด ...

    แต่พระพุทธองค์ตรัสว่า ไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด เพราะเป้าหมายที่สูงกว่านั้นมีอยู่

    คือไม่ใช่ว่าปฏิบัติเพื่อจะดับความทุกข์ เรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย ๆแต่เพื่อ"จะดับเหตุให้เกิดความทุกข์ทั้งปวงอย่างสิ้นเชิง" เพื่อจะไม่ต้องเป็นทุกข์อีกต่อไป

    ถ้าเรายังมีเชื้อโรคอยู่ การทำสมาธิก็จะคล้ายกับการรักษาอาการของโรค แต่ไม่ได้รักษาที่สาเหตุของโรค จิตเข้มแข็งอาจตัดเรื่องทุกข์กับคนนั้น ทุกข์กับเรื่องนั้นได้ ทำใจสบาย ปลงได้ ปล่อยวางได้ แต่ไม่นานก็เป็นทุกข์เรื่องอื่น เพราะความเคยชินที่จะเป็นทุกข์ก็มีอยู่ และความเคยชินที่จะยึดติดในสิ่งต่าง ๆ ก็มีอยู่ ไม่ทุกข์อะไรเลยก็เหงา

    พระพุทธเจ้าจึงทรงแนะนำให้เราปฏิบัติเพื่อให้รู้ว่า..
    นี่คือทุกข์
    นี่คือเหตุให้เกิดทุกข์
    นี่คือความดับทุกข์
    นี่คือหนทางไปสู่ความดับทุกข์

    อีกสำนวนหนึ่ง ก็คือเพื่อจะได้รู้ความเป็นจริงว่า
    นี่คือรูป
    นี่คือความเกิดขึ้นของรูป
    นี่คือความดับไปแห่งรูป

    นี่คือเวทนา
    นี่คือความเกิดขึ้นของเวทนา
    นี่คือความดับไปของเวทนา

    นี่คือสัญญา
    นี่คือความเกิดขึ้นของสัญญา
    นี่คือความดับไปของสัญญา

    นี่คือสังขาร
    นี่คือความเกิดขึ้นของสังขาร
    นี่คือความดับไปของสังขาร

    นี่คือวิญญาณ
    นี่คือความเกิดขึ้นของวิญญาณ
    นี่คือความดับไปของวิญญาณ

    สรุปแล้วว่า ให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
    ชีวิตของเราคือชีวิตแห่งการทำงานของอายตนะ
    เป็นชีวิตแห่งเบญจขันธ์

    ท่านให้เรารู้ รู้ว่าเรามีอะไรอยู่ และรู้เท่าทัน
    "ถ้าเรารู้เท่าทันสิ่งทั้งหลายแล้ว สิ่งทั้งหลายจะบังคับให้เราเป็นทุกข์ไม่ได้ การที่เราเป็นทุกข์กับสิ่งต่าง ๆ เพราะว่าเรายังไม่รู้จักมัน ยังไม่เข้าใจมัน ถ้าเข้าใจมันแล้ว เราก็รู้ว่ามันแค่นั้นแหละ"

    "เมื่อเราเห็นสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็นด้วยปัญญา สิ่งเหล่านั้นจะไม่มีพิษมีภัยแก่เราเลย
    "


    *-*-*-*-*-*-*-*-*-
    พระพุทธองค์ทรงสอนว่า..
    ปัญจขันธ์เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
    ถ้าเรายังไม่ปฏิบัติก็เป็นแค่ทฤษฎี เราต้องปฏิบัติจึงจะเห็นว่าจริง


    สิ่งที่เป็นตัวร้าย สิ่งที่นำความทุกข์มาให้แก่เราอยู่ตลอดเวลา คือความรู้สึกว่า เราเป็นเจ้าของชีวิต หรืออารมณ์มีตัวเจ้าของ หรือมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เที่ยงแท้ถาวรอยู่ภายในที่ไม่เกิดไม่ดับ ซึ่งเป็นตัวแท้ของเรา เป็นตัวตนของเรา

    ตัวอวิชชาทำให้เราเข้าใจว่าตาเห็นรูป ฉันเห็น หูได้ยินเสียง
    ที่จริงฉันเป็นผู้ได้ยิน มีตัวฉัน มีตัวเรา เป็นผู้เห็น เป็นผู้ได้ยิน เป็นผู้ได้กลิ่น เป็นผู้ได้รส เป็นผู้ได้สัมผัส เป็นผู้คิด เป็นผู้รู้สึก

    ความเข้าใจหรือมิจฉาทิฐิอย่างนี้ หรืออวิชชาอย่างนี้เป็นบ่อเกิดของปัญหาทั้งหลายทั้งปวงในชีวิต และก็เป็นพื้นฐานของความคิดผิดทั้งหมด แต่เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง ซึ่งเราจะละมันไม่ได้ ถ้าหากว่าจิตใจไม่สงบ ไม่มั่นคงจริง ๆ ไม่ได้ดูตัวเองอย่างพิถีพิถัน อย่างละเอียดถี่ถ้วน

    ซึ่งจิตใจที่ยังไม่ได้รับการฝึกอบรมทางสมาธิจะทำงานอย่างนี้ไม่ได้ มันไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของกิเลส ประสิทธิภาพไม่พอ

    เมื่อจิตใจสงบแล้วมันทำได้ จิตที่สงบแล้วอยู่ในปัจจุบันกับสิ่งที่ปรากฏ ตอนนี้ไม่ต้องไปหาอะไรมาพิจารณา
    เราสักแต่ว่าดูความจริงที่ปรากฏอยู่กับเรา

    ความจริงนั้นก็คือ ขันธ์ ๕ กล่าวคือ ร่างกาย เวทนา ความรู้สึกต่าง ๆ สัญญา ความจำได้หมายรู้ สังขาร สิ่งปรุงจิต วิญญาณ ความรับรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ชีวิตของเราคือสิ่งเหล่านี้
    ฉะนั้นจิตถอนออกจากความสงบแล้ว ดูว่ามีอะไรบ้าง จะเห็นว่า มีแต่กระแสอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ ทุกอย่างล้วนแต่เกิดขึ้นแล้ว ตั้งอยู่สักพักหนึ่ง แล้วก็หายไป เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ
    ทำให้รู้สึกว่า เอ๊ะ! ชีวิตของเราเหมือนแม่น้ำ มันเป็นกระแสซึ่งหาสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งที่คงที่อยู่ตลอดเวลามาเป็นเจ้าของไม่ได้มีแต่ของเปลี่ยนแปลง ปรวนแปรไปตลอดเวลา ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ถาวรเลย

    ที่เราว่านิสัยใจคอของเรา บุคลิกของเราอะไร ๆ เป็นเรา เป็นของเรา แท้ที่จริงแล้วไม่มี มีก็มีโดยสมมติเท่านั้น ตรงนี้แหละที่เราสามารถถอดถอนความยึดมั่นถือมั่นในคำว่า เรา ตัวของเรา ซึ่งเป็นเชื้อโรคอันร้ายแรง แต่ถ้าเราฆ่าเชื้อโรคนี้ได้แล้ว อะไร ๆ มันก็ดีหมด ถ้ายังมีเชื้อโรคนี้อยู่ในใจ อะไร ๆ มันก็เสียหมด

    ฉะนั้น การทำสมาธิภาวนา พระพุทธองค์ทรงให้เรามีสัมมาทิฏฐิเข้าใจในเป้าหมายของการนั่งสมาธิ ให้เรานั่งสมาธิเพื่อเข้าใจชีวิตของตนตามความเป็นจริง ไม่ใช่เพื่อจะทำให้มันสบายอย่างเดียว

    ถ้านั่งสมาธิเพื่อให้มันสบายอย่างเดียว นับว่าเราไม่ได้ประโยชน์จากการทำสมาธิเท่าที่ควร ไม่ใช่ผิดทีเดียว มันก็ได้อานิสงส์คือทำใจให้สบาย ไม่คิดอะไร นี่ก็ดี แต่ผลก็คือตายแล้วขึ้นสวรรค์ อยู่บนโลกสวรรค์สักระยะหนึ่ง อาจจะเป็นระยะยาว ๆ ก็ได้
    แต่ในที่สุดเมื่อบุญหมดแล้ว ก็ต้องกลับมาทำงานต่อ เพราะว่ากิเลสไม่ได้หมดไปด้วยความสงบอย่างนี้ ความสงบข่มกิเลสเอาไว้เฉย ๆ
    สมาธิเป็นของหลอกลวงได้เหมือนกัน เพราะว่าถ้าเราทำสมาธิได้ดี เราจะรู้สึกเหมือนกับไม่มีกิเลส ไม่ค่อยอยากได้อะไรเลย ไม่ค่อยจะโกรธใครเลย ไม่กลัว ไม่กังวลอะไร รู้สึกว่าสบาย
    บางคนบางองค์ก็เลยสำคัญตัวผิดว่าเป็นพระอริยเจ้าเสียแล้ว หมดกิเลสแล้ว แต่ต่อมาการปฏิบัติเสื่อม กิเลสก็กลับกำเริบ ตกนรกทั้งเป็นเลย

    *-*-*-*-*-*-*-*

    ที่มา 006281 -
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2014
  20. boonnippan

    boonnippan ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +1,099
    boonnippan ขอบพระคุณกำลังใจ คำอวยพรจากทุกๆท่านค่ะ boonnippan น้อมรับพรทุกพรด้วยความขอบคุณนะคะ ตอนนี้ได้บทเรียนจากครูแนทแล้วค่ะ อาจจะหายจากกระทู้ซักระยะเพื่ิอปฎิบัติอย่างจริงจังค่ะ
    ขอบพระคุณทุกท่านค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...