จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    วันนี้ วันคุณพระฯ

    "ในแต่ละวันที่ผ่านไปๆ จงอย่าให้ปล่อยผ่านไปเปล่า โดยที่เราไม่ได้ประโยชน์อันใดเลย
    ทาน ศีล ภาวนา พรหมวิหาร ๔ บารมี ๑๐ สังโยชน์ ๑๐ เป็นต้นนี่ ได้ทบทวนกันบ้างฤาไม่
    เป็นพ่อค้าแม่ค้าต้องได้กำไร อย่างเลวก็ต้องเสมอตัวอย่าให้ขาดทุน

    หลักธรรมคำสอนของพระคุณหลวงพ่อฤาษีฯ ก็ได้ผ่านหู ผ่านตากันมาทั้งนั้นแล้ว
    แต่ยังประมาทพลาดท่ากันอยู่อีก ด้วยพากันเสียเพลาไปกับการหลงโลก
    แล้วเผลอปล่อยกาย วาจา ใจ ให้ไหลตกน้ำ ตกคลองไป หากยังมีคนไปช่วยทันก็ดีไป
    แต่หากถลำล้ำหน้า พลาดท่าตกไปในคลองแสนแสบ คนที่จักช่วยก็ยังต้องคิดล่ะ
    ว่าจักช่วยเยี่ยงใดไม่ให้ตนเองเปรอะเปื้อนความโสโครกนั้นได้ รังจักเป็นการยากไปอีก
    ต้องเพียรรักษาอารมณ์ใจของตนเองไว้ด้วย ประคองใจตนเองไว้ให้ได้

    ในเมื่อมันยังไม่ตาย ก็ต้องอยู่ด้วยธรรม แค่เพียงหิริ โอตตัปปะ คือความละอายต่อบาป
    แลความเกรงกลัวผลของบาป ๒ ข้อนี้ ทำให้ได้ก่อน แล้วค่อยปรารภพระนิพพานก็แล้วกันนะ
    ถ้ายังปล่อยกาย วาจา ใจให้ไร้ยางอายต่อบาปเวร แลยังไม่ยำเกรงต่อผลแห่งบาปเวรนั้นๆ
    ที่ตนได้กระทำลงไปแล้ว ก็ต้องจมดิ่งลงก้นคลองแสนแสบกันล่ะ

    ที่ผ่านมา ก็อ่านมาก ฟังมาก รู้มากนักนี่ บางคนรู้จนล้น รู้จนทะลัก
    แม้กระทั่งรู้เกินครูบาอาจารย์ รู้เกินคุณพระฯ ถึงขนาดอยากอวดรู้ อวดดี มีดีก็จงเก็บไว้เถิด
    เป็นเศรษฐีเขาไม่ต้องใส่ทองใส่เพชรอวดใครล่ะ หากเอาดี(เทียม) มาอวด ก็จักเหลือเลว(ทราม),
    แต่หากเอาเลว(ความถีอมตน)มาอวด ก็จักเหลือดี(แท้) ปรับปรุง แก้ไขที่ตัวเรานี่ล่ะ
    แก้ลงไปที่ใจดวงนี้ล่ะ หากเราเพียรแก้ไขความบกพร่อง ของกาย วาจา ใจเราจริงๆแล้ว
    มันจักเอาใจไปส่งออกภายนอกได้เยี่ยงไร ก็ด้วยมันทำไม่จริงไม่จัง

    อย่าดีแต่รับปาก อย่าดีแต่รับคำกันนะ เพราะกาลเพลามันกลืนกินตัวมันเองด้วย
    กลืนกินสรรพสัตว์ แลวัตถุธาตุทั้งหลายไปด้วย มันทำหน้าที่ของมันอยู่ตลอดต่อเนื่อง
    แล้วตัวเราล่ะ พิจารณาให้ดี อย่ากลับกลอกหลอกตัวเองอยู่นะ มันจักไม่ทัน
    ใครจักบ่นด่าท้าทายกระไร ดีจริง ชั่วจริง มันก็จริงของโลก ก็ช่างมันเถิด
    เดี๋ยวมันก็ตาย เดี๋ยวเราก็ตาย เดี๋ยววัตถุธาตุทั้งหลายก็ต้อง พังสลายหายไปทั้งหมด
    มิได้มีสิ่งใดเหลือ อย่าได้เผลอหยุดหลงไปกับโลกอีก เพียรภาวนาไปเถิด ทำไปเรื่อยๆๆๆ

    เมื่อถึงอารมณ์หนึ่ง ก็จักพากันรู้เองว่าแม้บุญก็ไม่หาบ บาปก็ไม่เอา ด้วยมิใช่ของเราสักอย่าง
    ให้พากันจริงตามธรรม ด้วยพระธรรมเป็นของจริง ผู้ใดทำ ผู้นั้นก็ได้ ผู้ใดพบ ผู้นั้นก็พ้น"...!!


    พระธัมมสรโณ (พระคุณหลวงพ่อเอก)
    วัดเขาแร่ฯ กรุงสุโขทัย
    ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2014
  2. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ธรรมะ เป็นปัจจังตัง ไม่มีผู้ใดทําแทนกันได้ และผู้จะรู้เห็นธรรมได้นั้นก็ต้องปฏิบัติเอง เห็นเองเท่านั้น จะพูดแต่ปาก หรือจะอ่านแต่คัมภีร์ ก็ไม่สามารถรู้ได้เห็นได้ จึงไม่มีใครมาทําแทนและรู้แทนกันได้ ถ้าผู้ปฏิบัติไม่ลงมือทําเอง..ก็จะไม่มีวันรู้ได้เลย..
    จะว่าไปแล้ว ทุกๆคนควรดูที่จิตตนเป็นหลัก ว่าจิตตนสุข หรือทุกข์ หรือ มีคําว่าติดในโลกธรรม๘ ไหม? นั้นแหละ และถ้าเราเป็นคนมีเหตุผล ทุกๆเหตุผลก็สามารถจะนํามาพิจารณาถึงความเป็นจริงได้ ว่าเพราะเหตุผลใด ถ้าเป็นไปในทางที่ดี ก็ลงตัวกันไป เพราะธรรม คือความถูกต้องดีงาม แต่จะมีหนักบ้าง-เบาบ้างนั้นอยู่ที่ เหตุและปัจจัยของสิ่งๆนั้นว่าเป็นไปในทางที่ถูกต้องตามธรรม หรือทางโลกก็ต้องพิจารณา ถ้ามีธรรมก็จะสามารถแก้ไขได้ทุกๆปัญหานั้นได้..เหมือนเราแก้ไขเราเอง และปรับปรุงเราไปในทางที่ดี นั้นก็คือเรานําธรรมมาสอนเราเอง เพราะทุกๆคนสามารถเดินผิดพลาดกันได้..จึงต้องมีการแก้ไขสิ่งที่ผิดให้ถูกต้องดีงามได้นั้นเอง..สาธุค่ะ
     
  3. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ถ้าหาคนมีศีลเสมอกัน หรือสูงกว่าเดินไปด้วยกันไม่ได้

    พระพุทธองค์ทรงให้เลือก ..."เดินไปคนเดียว"...

    ...เพระาเลือกคบคนอย่างไร เราก็จะเป็นอย่างนั้น...

    ...ถ้าคบคนพาล โกง หลงโลก หลงกามคุณถ้าสติเราไม่พอ...

    ...อีกไม่นานเราก็จะซึมซับสิ่งเหล่านั้นได้โดยไม่รู้ตัว...

    ...คนฉลาดใช้ชีวิต จึงเลือกคบกัลยาณมิตร...

    ...ถ้าไม่มีคนมีศีล มีธรรม รอบตัวเลย จงเลือกเดิน "คนเดียว" และมี "สติ"เป็นเพื่อน

    ...เพราะสตินั้นอยู่เป็นเพึ่อนเราตลอดเวลา จะทำอะไรที่ไม่ถูก ให้มีสติบอกเตือนว่า

    ...อย่านะสิ่งนี้ผิด ทำแล้วทุกข์นะ ฉนั้นถ้าเรามีศีล มีธรรม รอบตัวเรา เราก็จะมีสติทุกลม

    หายใจเข้าออกของเรา สติจึงมีความสำคัญยิ่งกับตัวเรา...

    ...น้อมกราบพระธรรมของพระพุทธองค์ เพื่อปฏิบัติตามเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ...
     
  4. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    สำหรับผู้ที่กำลังหาทางปฏิบัติธรรม อ่านตรงนี้...

    พระธรรมหรือคำสอนฯ ธรรมปฎิบัติ อย่าไปพยายามทำความเข้าใจ
    เพราะไม่มีวันที่จะเข้าใจตามพระตถาคตเจ้าพระอรหันตเจ้า ไปได้หรอก
    นอกเสียจาก นำจิตมาเดินมรรคมีองค์๘ เท่านั้น
    ตามที่ทุกคนเข้าใจ นั่นก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ ทาน ศีล ภาวนา

    เพราะการเรียนรู้ธรรม การเข้าใจธรรม โดยเฉพาะ เข้าถึงธรรมนั้น
    จักต้องใช้ปัญญาระดับนึง และปัญญาจะต้องได้มากจาก การเจริญภาวนากรรมฐาน
    หรือเรียกว่า ภาวนามยปัญญา นั่นเอง
    ส่วนปัญญาทางโลก ก็อย่าไปวิเคราะห์เอากันเองเรื่อยเปื่อย เพราะทางหลงนั้น มีมาก

    การพิจารณาธรรมนั้น มีอยู่ทางเดียว นั่นก็คือ ทางสมถะ คือทำจิตให้สงบก่อน
    กล่าวอีกนัยยะนึงก็คือ เข้าให้ถึงความสงบแห่งจิตของตนให้ได้เสียก่อน
    ถ้าไม่อย่างแล้ว จะมีทางให้เราหลง มีอยู่หลายทางเลย
    เพราะทางสมถะที่ว่านี้ เป็นทางที่ปราศจากนิวรณ์ทั้ง๕ ปราศจากกิเลสรบกวนจิต
    เมื่อจิตผู้ใด ไม่มีเป็นสมถะหรือสมาธิเป็นปกติ อาจได้รับธรรมารมณ์ต่างๆเข้าแทรกได้ทันที

    ***เพราะฉะนั้น ผมจึงเตือนผู้ปฎิบัติทั้งหลาย โดยเฉพาะ ...
    ผู้ที่ปราถนาพระนิพพานด้วยแล้ว การสำรวมจิต อารมณ์ใจต้องเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น
    ได้แก่ ทรงเอกัคคตารมณ์ให้ชิน นี่คือ อารมณ์นิพพานขั้นพื้นฐาน

    ผู้ปฎิบัติจักต้องมีตลอดต่อเนื่อง ถ้าใครไม่มีต่อเนื่อง
    บอกได้เลยว่า เรายังออกจากนามอันละเอียดของตนยังไม่ได้ (สังขารขันธ์ +วิญญานขันธ์)
    จำเป็นจะต้องอาศัยตัวสติของตนต่อไป
    เพราะถ้าออกได้ อารมณ์ บรรยากาศ ตรงนี้ มันสงบมากมาย บอกไม่ถูก
    บอกไปก็ไม่เข้าใจ เพราะไม่มีคำใดๆ คำสมมุติใดๆ มาเปรียบเปรย
    ต้องมาดื่มกินเอง จึงจะรู้ อารมณ์แบบนี้ ไม่มีในตำรา ถึงพยายามพูดก็ไม่เป็นผล ไม่เข้าใจอยู่ดี

    อย่าคิดกันมากนะ นึกซะว่า มาสนทนาธรรม แลกเปลี่ยนธรรมกัน
    ถ้าไม่เขียนให้อ่านกัน ก็จะไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะทางโลกกันอีก
    จึงต้องมาสกัดดาวรุ่งพุ่งแรง หรือมาสกิดต่อม ให้พึงอย่าได้ประมาท

    ***อย่าไปหายใจทิ้งขว้าง อย่าไปทำอะไรทางโลกเพลิน
    เพราะความตายของทุกคน มันรอเราอยู่ข้างหน้า


    ภูทยานฌาน
     
  5. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    โมทนาสาธุค่ะ กับจิตของ คุณboonnippan...
    ที่อยากจะ กลับบ้าน เหมือนกันกับเรา และเพื่อนๆพี่น้อง กลุ่มจิตเกาะพระ
    ราเองเคย พูดคำนี้ กับ ครูที่แนะนำเราให้รู้จักกระทู้ นี้เช่นกัน ...
    แต่เรา ตัดสินใจ ท.ท.ท (ทำทันที) เพราะเกรงว่าเวลาสำหรับลมหายใจเรา
    จะหมดซะก่อน ...ก็เลยไม่เสียเวลา เกาะกระทู้อ่าน หรือ ลองผิดลองถูก

    เพราะแค่ คำว่า อยาก อย่างเดียว ...ไม่สามารถ... นะคะ
    นั่นเป็นเพียงแค่ อารมณ์ เท่านั้น แต่ถ้าเป็น คำว่า ปรารถนาอย่างแรงกล้า
    เกิดขึ้นในจิตคุณล่ะก้อ ...คุณจะไม่ลังเลเลย คุณจะรีบหาหนทาง
    ที่ตรงกับที่พระพุทธเจ้าสอน แล้วลงมือทำทันที
    ที่พูดอย่างนี้กำลังสื่อให้ เห็นถึง คำว่า กำลังใจที่จะปฏิบัติเพื่อ พระนิพพาน
    ...กำลังใจ ตัวนี้แหละ สำคัญ ลองวัดระดับความเข้มข้น
    ของกำลังใจของคุณดูนะคะ ว่าประมาณไหน แล้วลองเทียบกับ
    เวลาที่คุณคิดว่ายังมีเหลืออยู่บนโลกนี้ ...ทันไหมเอ่ย?สำหรับชาตินี้ น่ะ...
    ถ้ารู้สึกว่า ไม่ทัน ล่ะก้อ ...รอมาต่ออีกชาติหน้าก็แล้วกัน
    แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่า จะได้เกิดเป็นคน ...จริงมั้ย?

    การไปนิพพาน ต้องไปคนเดียว ...จริงอยู่
    แต่ถ้าระหว่างทางที่กำลังปฏิบัติเดินไปนั้น คุณไม่ต้องลองผิดลองถูก
    แต่มีพี่เลี้ยง คอยแนะนำ ให้กำลังใจคอยดู ไม่ให้เดินตกข้างทาง ดีกว่ามั้ย? ...

    อย่าให้เวลากับ การอ่าน มากไปกว่า ลงมือทำ DO IT NOW !!!


    ป.ล.Nooboonsawan ...กำลังเดินใกล้ถึง บ้าน แย้ววว...
    แล้วNooboonnippan มัวรีรอ อะไรอยู่จ้ะ? ^^
     
  6. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    “จิตของผู้ฝึกดีแล้ว จะรายงานบอกตัวเองเสร็จสรรพ ว่าสิ่งไหนควรรู้ สิ่งไหนไม่ควรรู้
    อาการเก็บสิ่งสัมผัสส่งเดช ไม่มีในจิตของท่านผู้รู้ อย่าไปคิดนะว่า
    จิตของท่านไม่มีความรู้สึก ยิ่งฝึกจิตดีเท่าไหร่ อะไรมากระทบสัมผัส
    ยิ่งรู้สึกได้ดีและแม่นยำปานนั้น หากแต่จิตของท่านละเอียด
    สามารถแยกธรรมที่เป็นสาระ ออกจากธรรมที่ไม่เป็นสาระ ออกจากกันได้”

    โอวาทธรรม
    หลวงปู่บุดดา ถาวโร
     
  7. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    โลกียะ หรือ โลกุตตระ...
    ทบทวน และ สำรวจจิตตนเอง ณ บัดนาว
    ...


    [​IMG]

    อารมณ์ฌานโลกุตตระ ความเป็นพระอริยเจ้า

    วันนี้ก็จะพูดถึง ฌานโลกุตตระ โลกุตตระ หมายความว่า ความเป็นพระอริยเจ้า
    สำหรับพระอริยเจ้า 2 ขั้น คือ พระโสดาบันกับพระสกิทาคา ทั้ง 2 ท่านนี่
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นผู้มีปัญญาเล็กน้อย แล้วก็มีสมาธิเล็กน้อย แต่เป็นผู้มั่นอยู่ในศีล เป็นผู้ทรงอธิศีล

    คำว่า อธิ นี่แปลว่า ยิ่ง หรือว่า ใหญ่ หรือว่าทับทรงอธิศีล ก็หมายความว่า ทรงศีลอย่างยิ่ง ที่ยอมตัวตายดีกว่าศีลขาด หรือ

    สำหรับพระโสดาบัน มีอะไรบ้าง ถ้าว่ากันตาม สังโยชน์ ก็คือ

    1. สักกายทิฏฐิ
    2. วิจิกิจฉา
    3. สีลัพพตปรามาส

    พระสกิทาคามี ก็มีเท่ากัน

    ข้อหนึ่ง...สำหรับปัญญาในด้านสักกายทิฏฐิ เห็นไม่ลึก ยังเห็นตื้น ๆ นั่นก็คือว่า...
    มีความรู้สึกอยู่อย่างเดียวว่า การเกิดเป็นทุกข์ การทรงชีวิตอยู่นี่มันเป็นทุกข์
    และในที่สุดชีวิตของเราก็จะต้องตาย ท่านที่เป็นพระโสดาบัน ท่านไม่ลืมความตาย
    แต่ไม่ใช่ว่านึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงตรัส
    ถามพระอานนท์ว่า...

    อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เธอนึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง
    พระอานนท์ก็ตอบว่า วันละประมาณ 7 ครั้ง พระพุทธเจ้าข้า


    พระพุทธเจ้าตรัสว่า ยังห่างมากอานนท์ ตถาคตนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก

    ในขณะนั้นพระอานนท์เป็นพระโสดาบัน เป็นอันว่า อารมณ์ของพระโสดาบันนี่
    มีความคิดในด้านปัญญาแค่ว่าชีวิตนี่มันต้องตาย ยังไม่สามารถตัดขันธ์ 5 ได้เต็มที่
    ท่านจึงกล่าวว่า มีปัญญาเล็กน้อย และก็มีสมาธิไม่สูง ก็ได้แค่ ปฐมฌาน

    และข้อที่ 2 วิจิกิจฉา วิจิกิจฉาตัวนี้ พระโสดาบันไม่สงสัยในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    เป็นอันว่า มีความเคารพในพระพุทธเจ้าจริง มีความเคารพในพระธรรมจริง มีความเคารพในพระอริยสงฆ์จริง
    มีความมั่นคงในพระรัตนตรัยทั้ง 3 ประการ

    และข้อที่ 3 สีลัพพตปรามาส พระโสดาบันกับพระสกิทาคามี สามารถทรงศีล 5
    ให้บริสุทธิ์สมบูรณ์แบบ หมายความว่าไม่มีเจตนาเพื่อจะละเมิดศีล 5 แค่ศีล 5 เท่านั้นนะ
    ตามแบบสังโยชน์ท่านกล่าวไว้ว่า พระโสดาบันกับพระสกิทาคามีนี่
    ก็เป็นแค่ตัดสังโยชน์เบา ๆ ได้ 3 และใช้ปัญญาเบา ๆ คือ มีความรู้สึกว่าร่างกาย
    มันจะต้องตาย

    ถ้าร่างกายของเราจะต้องตาย อบายภูมิมันมี สวรรค์มันมี พรหมมันมี ท่านก็คิดว่า
    ถ้าเราจะตายชาตินี้ เราก็ไม่ขอไปอบายภูมิ ถ้าจะไม่ไปอบายภูมิ สิ่งที่เราจะเกาะนั่น ก็คือ
    คุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม และคุณพระอริยสงฆ์ ก็มั่นในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    และก็ทรงศีล 5 บริสุทธิ์ เพราะว่า ถ้ามั่นในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีศีล 5 บริสุทธิ์
    อันนี้ไม่ใช่ไปอบายภูมิ นี่ว่ากันตามลักษณะของสังโยชน์

    แต่ว่าในอารมณ์ของการปฏิบัติ นั่นตามหนังสือนะ อารมณ์ของการปฏิบัติ
    ก็มีความรู้สึกตามนั้นจริง แค่ว่าพอจิตของเราจะก้าวออกจากโลกียฌาน เข้าสู่โลกุตตระ
    เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า ตอนนี้จิตจะต้องเข้าสู่ โคตรภูญาณ ก่อน

    คำว่า โคตรภูญาณ ก็หมายถึงว่า มีอารมณ์อยู่ในระหว่างท่ามกลางโลกียะกับโลกุตตระ ตอนนี้ก็เห็นจะไม่ต้องอธิบายมาก เพราะมันจะเฝือ

    เครื่องสังเกตง่าย ๆ สำหรับโคตรภูญาณ ใจของเรามีความรู้สึกว่า เราจะต้องตาย
    ตายเมื่อไหร่ก็เชิญ ในเมื่อเรามีที่พึ่ง คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์
    เรามีศีล 5 บริสุทธิ์ เราก็ไม่หนักใจในด้านที่มันจะต้องตาย เพราะ ตายอย่างน้อยเราก็ไปสวรรค์
    แต่ว่าถ้าจะถึงสวรรค์อย่างเดียวแล้วกลัวลงอบายภูมิ นี่เราไม่ต้องการ

    ฉะนั้น อารมณ์ของท่านที่ปฏิบัติเพื่อที่จะเข้าถึงพระโสดาบัน พอจิตเข้าถึงโคตรภูญาณ
    ตอนนี้จะมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง นั่นคือ จิตรักพระนิพพานเป็นอารมณ์
    ใครจะมาพูดถึงพรหมก็ดี พูดถึงสวรรค์ก็ดี และความเป็นใหญ่ในเมืองมนุษย์
    มีความใหญ่โต มีความร่ำรวยก็ดี จิตไม่พอใจ ไม่ใช่โกรธแต่ก็ไม่เต็มใจ
    จิตตั้งใจอย่างเดียว คือ ต้องการพระนิพพาน นี่พูดในแนวของ สุขวิปัสสโก

    ถ้าพูดในแนวของวิชชาสาม วิชชาสามมี ทิพจักขุญาณเป็นเบื้องต้น
    พอจิตเข้าถึงโคตรภูญาณ ตอนนี้กำลังของวิชชาสามจะเห็นพระนิพพานแจ่มใสชัดเจนมาก
    ถ้าจิตยังไม่เข้าถึง โคตรภูญาณ มองพระนิพพานเท่าไหร่ก็ไม่เห็น จะเห็นได้ก็แค่พรหม
    นี่เป็นเครื่องวัด

    สำหรับท่านที่ได้ อภิญญา ถ้ากำลังจิตยังไม่เข้าถึงโคตรภูญาณ
    ไปถึงพระนิพพานก็ไม่ได้ ถ้ากำลังจิตนั้นเข้าถึงโคตรภูญาณขึ้นไป สามารถไปถึงพระนิพพานได้ นี่เป็นเครื่องวัด ต่างกันนะ

    ที่พูดเมื่อกี้นี้ เป็นแนวของสุขวิปัสสโกว่า ถ้าจิตเข้าถึงโคตรภูญาณ จิตจะมีความรักพระนิพพานเป็นอารมณ์
    ถ้าจิตเข้าถึงพระโสดาบันปัตติผล จิตรักพระนิพพานด้วย อารมณ์ธรรมดาก็มีขึ้นมาอีกจุดหนึ่ง
    ถูกด่า ถูกว่า ถูกนินทา มันสะเทือนน้อย สะเทือนเหมือนกัน ยังมีความโกรธเหมือนกัน แต่มันโกรธช้าหรือไม่มันโกรธเบากว่าปกติ
    อันนี้ท่านเรียกว่า พระโสดาบัน หรือ พระสกิทาคามี

    โอวาทธรรม
    หลวงพ่อพระราชพรหมยานเถระ
     
  8. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    "โอวาทครั้งสุดท้ายของหลวงปู่มั่น"

    "ผู้ถือไม่มีบาป ไม่มีบุญ ก็มีมากมายเข้าแล้ว แผ่นดินนับวันแคบมนุษย์แม้จะถึงตาย ก็นับ

    วันมากขึ้น นโยบายในทางโลกีย์ใดๆ ก็นับวันประชันขันแข่งกันขึ้น พวกเราปฏิบัติลำบาก

    ในอนาคต เพราพเนื่องด้วยที่อยู่ไม่เหมาะสม เป็นไร่เป็นนาจะไม่วิเวกวังเวง...

    ...ศาสนาทางมิจฉาทิษฐิ ก็นับวันจะแสดงปฏิหาริย์ คนที่โง่เขลาก็จะถูกจูงไปอย่าง

    โคและกระบือ ผู้ที่ฉลาดก็เหลือน้อย...ฉนั้น พวกเราทั้งหลายจงรีบเร่งปฏิบัติธรรม ให้สม

    ควรแก่่ธรรมดังไฟที่กำลังไหม้เรือน จงรีบดับเร็วพลันเถิด ให้จิตใจเบื่อหน่ายคลายเมา

    วัฏสงสาร ทั้งโลกภายในหนังหุ้มอยู่โดยรอบ ทั้งโลกภายนอกที่รวมเป็นสังขารโลก ให้

    ยกดาบเล่มคมเข้าสู้ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณาติดต่ออยู่ไม่มีกลางคืนกลางวัน

    คือเข้าสู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณาติดต่ออยู่ไม่ให้มีกลางวันกลางคืนเถิด...

    ...ความเบื่อหน่ายคลายเมาไม่ต้องประสงค์ ก็จะต้องได้รับแบบเย็นๆ และแยบคาย

    โดยเป็นวิมุตติ และสัมมาญาณะ อันถ่องแท้ ไม่ต้องสงสัยดอก...

    ...พระธรรมเหล่านี้ไม่ล่วงไปไหน มีอยู่ ทรงอยู่ในปัจจุบัน จิตในปัจจุบัน ที่เธอทั้ง

    หลายตั้งอยู่หน้าสติ หน้าปัญญา อยู่ด้วยกันกลมกลืนในขณะเดียวกันนั่นแหละ"

    ...พระธรรมคำสั่งสอนของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต น้อมกราบพระพระธรรมของหลวงปู่เพื่อ

    นำมาปฏิบัติตาม และน้อมกราบหลวงปู่มั่นด้วยเศียรเก้ลาเจ้าค่ะกราบ กราบ กราบ.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กุมภาพันธ์ 2014
  9. boonnippan

    boonnippan ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +1,099
    ขอบพระคุณคุณNatchaมากค่ะที่ให้กำลังใจ ดิฉันมุ่งมั่นกลับบ้านมานานพอสมควร แต่ด้วยภาระงาน จึงเริ่มฝึกสมาธิจากการอ่านแล้วทำตามมาตลอดค่ะ ก่อนนอนเกือบทุกคืน(ถ้าไม่เหนื่อยจนเกินไป)จะนั่งสมาธิในห้องพระ หรือยางครั้งก็ทำในห้องทำงานด้วยช่วงว่าง (โชคดืที่มีofficeเดี่ยว)ที่มีพระองค์ปฐมอยู่บนตู้ตรงระดับสายตา ถ้าเหนื่อยจริงๆ ก็นึกถึงพระก่อนล้มตัวนอนค่ะ

    ดิฉันเคยฝึกมโนมยิทธิตอนไปบวชธุดงค์ที่วัดหลวงพ่อ3ครั้ง เห็นภาพพระองค์ในศาลา12ไร่ใสชัดเจนตอนกำลังฟังหลวงพ่อแต่เห็นแป๊บเดียวค่ะ (เห็นก่อนท่านสอนจบ)แต่พอท่านให้ไป ก็เกิดไปไม่ได้ค่ะ พอกลับมา ก็ไม่ได้ทำมโนต่อ แต่ทำสมาธิต่อเนื่อง เคยเห็นนิมิตรเป็นองค์ท่านสมเด็จองค์ปฐมแต่ไม่ชัด เหมือนเห็นในเวลาใกล้ค่ำ่ มี2-3ครั้งที่เหมือนฝันแต่เป็นฝันที่เหมือนกับดิฉันออกไปเห็นจริงๆ รู้สึกกระทั่งตัวเองแล่นไปโน่นไปนี่เร็วมากๆ ไปพบพระนั่งองค์ใหญ่มากๆเกือบเท่าภูเขาแต่เนื้อพระองค์เหมือนปูนสึเทาอ่อนๆ ดิฉันอ่านกระทู้ของคนอื่นเพื่อเอามาเทียบกับสิ่งที่เกิดกับตัวเอง ก็พบข้อมูลที่ว่านิมิตรอาจเป็นนิมิตรหลอก บางครั้งก็ให้เอาสติตามดู ดิฉันก็เลยปฏิบัติแบบเต่าไปเรื่อยๆค่ะ เคยถามท่านผู้รู้บางท่าน ท่านให้เดินวิปัสนา ดิฉันก็ไปหาอ่านว่าวิปัสนาเขาทำอย่างไร เข้าใจบ้างแต่อาจไม่ถ่องแท้ แต่ไม่กล้าที่จะถามบ่อยๆ (เกรงใจท่านผู้ตอบค่ะ และอีกส่วยนึง ดิฉันพิมพ์ดีดภาษาไทยช้ามากๆ คนอื่นใช้เวลา2 นาที ดิฉันอาจใช้10-20-30 นาทีค่ะ)ก็เลยศึกษาจากอ่านมากกว่าพิมพ์ถาม ก็เลยคิดว่าปฏิบัติต่อไปก่อน ถ้าก้าวหน้าเพิ่มขึ้น อาจมีคำถามที่เจาะจงกว่านี้ แต่ดิฉันสารภาพว่าบางที่ก็ไปก็ลองทำโน่นทำนี่ในวิธีที่ไปอ่านเจอเข้าก็ทำให้เสียเวลาไปมากเหมือนกัน แต่หลังๆดิฉันอ่านน้อยลง และเข้าสมาธิเลย ในที่สุดก้ใช้อานาปาณสติและคำภาวนาพุทโธ สามารถเข้าสมาธิได้เร็วแต่ยังแช่ในระดับปิติตัวโยก หน้าใหญ่ๆปากหนาๆ พยายามทำกำลังใจให้ไปสงบ แต่ยังไม่คอยดี ไม่ค่อยเห็นนิมิตรแล้วค่ะ แต่มีอาการชาๆที่กระหม่อม หู หว่างคิ้วเหมือนมีพลังงานเกิดขึ้น ดิฉันทราบแต่เพียงว่าเป็นอาการของสมาธิแต่ไม่รู้อะไรมากกว่านี้ค่ะ ดิฉันเคยทำต่ามการจับภาพพระจากรูปสมเด็จองค์ปฐมที่อยู่ในกระเป๋า (อธิบายไม่ได้ว่าทำไมถึงชอบภาพนี้มาก) เกิภาพนิมิตรสั้นๆสีขมุกขมัว แต่ทำได้ไม่บ่อยในระหว่างวัน

    ดิฉันปรารถนาจะเรียนกับครูบาอาจารย์ช่วยสอนชี้แนะเพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองทำถูกมั๊ย แต่ไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไรบ้างคะ (ปัญหาที่ดิฉันไปเรียนตามสำนักต่างๆด้วยตัวเองไม่ได้ คือภาระหน้าที่งานประจำที่มีมากจนกลัวถูกตำหนิจากครูบาอาจารย์ค่ะ แม้รู้ว่างานที่ทำเป็นเพียงสมมุติ แต่ก็ต้องรับผิดชอบให้เต็มที่ จึงปฏิบัติเองเงียบๆอย่างน้อยก่อนนอนเกือบทุกคืน) ขอคำแนะนำนะคะว่าภาวะที่ปราถนามุ่งมั่นที่จะกลับบ้าน แต่ต้องรับใช้งานทางโลก จึงปฏิบัติจากกระทู้ ดิฉันควรทำอย่างไรคะ
    ขอบพระคุณในความเมตตาของคุณNatchaและทุกๆท่านมากค่ะ
    ด้วยความเคารพ
     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    พุทธานุสสติ ทรงอารมณ์ได้ถึงฌาน ๔
    โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง


    แทนที่เราจะภาวนาเฉยๆ เราก็ จับภาพพระพุทธรูป
    กำหนดภาพไว้ ลืมตาดูภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้
    นึกถึงภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ ที่เราต้องการ
    เรามีความเลื่อมใสพอใจอยู่ เวลาจับลมหายใจเข้าออก
    ภาวนาว่า พุทโธ ก็นึกภาพขององค์สมเด็จพระบรมครู
    จะเป็นพระพุทธรูปก็ได้ ให้ปรากฏอยู่ในใจ
    ไม่ใช่ไปนั่งคอยให้ภาพลอยมาแบบนี้ใช้ไม่ได้
    ภาวนาไปแล้วก็นึกถึงภาพไปด้วย จะนึกอยู่ในอก
    ให้เห็นอยู่ในอก หรือเห็นภายนอกก็ได้ไ่ม่จำกัด
    ถ้านึกถึงภาพนั้นตามภาพเดิม อย่างนี้เรียกว่า
    อุคคหสมาธิ หรือ อุคคหนิมิต
    ถ้าภาพเดิมนั้นขยายไป เปลี่ยนแปลงไปชักจะใหญ่ขึ้น
    จะสูงขึ้น จะเล็กลง แล้วก็มีสีสันวรรณะ เริ่มเปลี่ยนแปลง
    ไปทีละน้อยๆ จากสีเดิมกลายเป็นสีจางไปนิดหน่อย
    จางลงไปจางลงไป แต่เรารู้สึกอารมณ์จิตนึกเห็นชัด
    นึกเห็นนะไม่ใช่ภาพลอยมา อารมณ์จิตนึกเห็น
    จนกระทั่งปรากฏเป็นแก้วใส อย่างนี้ก็ชื่อว่าเป็น
    อุปจารสมาธิตอนกลาง
    ตอนนี้แก้วใสที่กลายเป็นแก้วประกายพรึก
    แพรวพราวไปหมดทั้งองค์ จิตใจสามารถจะบังคับ
    ให้ภาพนั้นเล็กก็ได้ จะให้ใหญ่ก็ได้ สูงก็ได้ ต่ำก็ได้
    ตั้งอยู่ข้างหน้าก็ได้ ข้างหลังก็ได้ ตามใจนึก
    นึกอย่างไร ภาพนั้นปรากฏไปตามนั้น
    มีความใสสะอาดสุกใสเป็นกรณีพิเศษ
    อย่างนี้องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์
    ท่านกล่าวว่าเป็น ปฐมฌาน
    การจับภาพนี่จับให้สนิท ให้คิดอยู่เมื่อไรได้เมื่อนั้น
    เดินไปบิณฑบาต เดินไปธุระ นั่งอยู่ นึกเห็นเมื่อไร
    เห็นได้เมื่อนั้นทันที นี่อย่างนี้เป็น กสิณ ด้วย
    เป็นพุทธานุสสติกรรมฐานด้วย ถ้าการเห็นภาพแบบนั้น
    ปรากฏว่า คำภาวนาว่า พุทโธ หายไป ภาพใสขึ้นผิดกว่าเดิม
    อันนี้เป็น ฌานที่ ๒ แต่มีจิตชุ่มชื่น อาการของจิต
    มันเหมือนกัน ภาพใสสะอาดขึ้น มีการทรงตัวมากขึ้น
    มีความแจ่มใสขึ้น ความชุ่มชื่นหายไป มีอาการเครียด
    จิตทรงตัวแนบนิ่งสนิท แล้วก็ลมหายใจน้อย
    ได้ยินเสียงภายนอกเบา อันนี้เป็น ฌานที่ ๓
    การเห็นภาพชัดเจนแจ่มใสมากเป็นกรณีพิเศษ
    สว่างไสว คล้ายกับพระอาทิตย์ทรงกลด
    หรือว่าคล้ายกับกระจกเงาที่สะท้อนแสงแดดดวงใหญ่
    ใจไม่ยุ่งกับอารมณ์อย่างอื่น เป็นอุเบกขารมณ์
    ทรงสบาย เห็นแนบนิ่งสนิท จะนั่งนานเท่าไร
    ก็เห็นได้ตามความปรารถนา หูไม่ได้ยินเสียงภายนอก
    ไม่ปรากฏลมหายใจ อย่างนี้เป็น ฌานที่ ๔
     
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุกับคุณboonnippan ด้วยครับ
    ก่อนอื่นการปฎิบัติธรรมในแนวจิตเกาะพระ ขอกล่าว คำว่า..สวัสดีและยินดีต้อนรับครับ
    คิดว่าคุณน่าจะมาถูกทางแล้ว ท่านพ่อ หลวงพ่อฤาษีฯ หรือสายบุญท่านใดส่งมาก็ช่าง
    แต่สิ่งสำคัญนั้น คุณจะต้องนำจิตมาเดินมรรคตลอดรอดฝั่งให้จงได้
    เพราะการเดินมรรคสุดซอย หรือมรรคผลนิพพาน นั่นเอง
    ครูทั้งหลายเป็นแค่คนชี้แนะ และบอกให้จิตคุณเดิน เท่านั้น
    เพราะส่วนที่เหลือจิตคุณเท่านั้น ที่จะต้องเดินเอง
    แต่การปฎิบัติจะต้องมีครูบาจารย์เป็นผู้แนะนำ เพราะทางหลงนั้น มีมาก
    ครูหรือผู้สอนมิได้มุ่งหวังสิ่งใดๆทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นทั้งครูทั้งศิษย์ก็จะไม่มีใครยึดใคร
    แต่ทั้งครูทั้งศิษย์ จำเป็นจะต้องยึดพระรัตนตรัยเป็นหลัก จนกว่าจะถึงฝั่ง คือพระนิพพาน

    วันนี้จะไม่ขอกล่าวไปมากกว่านี้ จนกว่ามีครูรับไปสอน เดี๋ยวคุณก็จะรู้สึกได้เองว่า...
    จิตเราสามารถพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้นไปอย่างไร เจริญในธรรมอย่างไร
    ตรงนี้คุณเองก็จะสัมผัสหรือรับรู้ได้เอง ว่าสิ่งที่ตนปรารถนานั้น ใช่หรือไม่ใช่
    ที่นี่ หรือจิตเกาะพระ จะเป็นผู้ชี้แนะแนวทางคุณเดินให้ตรง+ถูกต้อง อย่างไร
    พาออกจากทุกข์ของตนได้แน่ หรือได้ระดับนึง แต่ก็ขึ้นอยู่ที่จิตของตนเป็นหลัก
    ส่วนคำว่า พระนิพพาน ให้คุณยกจิตเป็นจิตบุญไปก่อน เพราะที่เหลือ ขอตอบว่า...
    กำลังใจ หรือบุญบารมีของตนเท่านั้น จะไปถึงหรือไม่ อย่างไร

    ขอเชิญ ครูแนทรับไปเลยนะครับ
    ขอให้คุณบุญนิพพานโชคดีและตามหาสิ่งที่ตนปรารถนาพบเจอเร็วๆนี้นะครับ
    สาธุๆๆๆ

     
  12. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    ;39 ...ยินดีต้อนรับอีกครั้งค่ะ คุณบุญนิพพาน ...

    ว่าแล้วนั่นไง นึกว่าใครซะอีก...
    ที่แท้ก้อ ลูกหลานพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีฯ นี่เอง

    โมทนาสาธุอีกครั้ง กับความตั้งใจที่คุณเพียรปฏิบัติ หาทาง กลับบ้าน ให้ได้..
    คุณน่ะเป็น กระจกเงา สะท้อนตัว พี่แนท เองเลยนะคะ
    (เมื่อก่อนที่จะมาเจอ จิตเกาะพระ) เหมือนกันเลยเกือบทุกอย่าง ...
    คือ กำลังหาประตูทางออก ให้วุ่นวายไปหมด เสียเวลาไปตั้งหลายปี
    ยังไม่ถูกจริต ตนเอง เสียที ไม่มีเวลา ไปบวชชีพราหม์ ตามสถานที่ต่างๆ
    ปฏิบัติเองกับ การอ่าน ทำวนไป วนมาอยู่อย่างนี้
    แค่นั้น แล้วฉันจะไป นิพพาน ได้ยังไงเนี่ย ?...

    ประเด็นของคุณเนี่ยที่บอกมาเนี่ย คือว่า
    ม่ค่อยมีเวลาให้กับงานทางธรรม สักเท่าไร?
    (เพราะต้องรับใช้งานทางโลก...คุณคิดเอง)

    ขอบอกว่า...เวลานี้ นาทีนี้ ... ทางโลก ต้องทำควบคู่ ไปกับทางธรรม
    ตลอดเวลาค่ะ เหมือนเท้าซ้าย เดินคู่กันไป กับเท้าขวา นะคะ ..
    จะมารอให้เสร็จงานทางโลกก่อน แล้วค่อยปฏิบัติธรรม ไม่ทันหรอกค่ะ
    ยิ่งยุคสมัยนี้ที่มีแต่ พลังงานลบรอบทิศทาง ถ้าเราไม่รีบเร่งสร้างพลังบวกให้จิตเรา
    เดี๋ยวไม่ทันได้ กลับบ้าน ...
    (ถ้าอยากตีตั๋ว รอบเดียว หรือไม่งั้นก็ต้อง ตีตั๋วสองต่อ ไปต่อกันที่สวรรค์ลุ้นเอานาทีสุดท้าย)

    ที่นี่ จิตเกาะพระ ...เราปฏิบัติธรรม ด้วยการ "บวชจิต" ค่ะ ...
    ทำได้ตลอด24ชม ไม่สนใจว่าคุณจะมีงานทางโลก เป็นอะไร ยุ่งแค่ไหน

    คุณสามารถทำได้แน่นอน ขอยืนยัน เรื่องเวลา
    ไม่เป็นอุปสรรคในการปฏิบัติธรรม แต่อย่างไร
    ขอให้มีใจมาก่อน ทุกอย่างสำเร็จที ใจ ...
    (เรื่องการพิมพ์ที่คิดว่าจะเป็น อุปสรรค ...
    ขอบอกว่า พี่แนท พิมพ์ภาษาไทย ด้วยแป้นภาษาอังกฤษ
    แต่ก็สามารถ ส่งการบ้าน ครูเกษ ได้ทุกวัน ไม่เคยขาด ...
    เป็นการฝึก วิริยะบารมี ไปในตัวด้วย แบบไม่รู้ตัว 555)

    การปฏิบัติธรรมต้องเดินตามพระพุทธเจ้า เท่านั้น ...
    จิตเกาะพระ ใช้กรรมฐาน คือ พุทธานุสสติ + กสิณ ...
    (พุทธานุสสติ เป็นกรรมฐานที่มีกำไร เข้าถึงนิพพาน ได้ง่าย

    ...เพราะนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์... หลวงพ่อเคยกล่าวไว้ )
    เน้นที่ แก่น อย่างเดียว คือ จิต เพราะ การจะไปนิพพาน นั้น ต้องเอา จิต ไปค่ะ
    และต้องมี สติ+ปัญญา เท่านั้น จิตที่มีปัญญาแล้วเท่านั้น จึงจะไปถึง นิพพานได้
    คือ ต้อง ละ ปล่อย วาง ขันธ์5(รูป+นาม) หรือ อุปาทานขันธ์5 ที่จิตยึดเกาะ
    มาหลายภพ หลายชาติ ให้ได้หมดนั่นเอง ตรงนี้ ต้องใช้ปัญญาอย่างเดียว
    จึงจะไปได้ ...

    เอาล่ะค่ะ ...เกริ่นมาพอสมควรแล้ว พี่แนทก็ยินดีนะคะ ที่จะเป็นพี่เลี้ยงแนะนำ
    การปฏิบัติธรรม แบบจิตเกาะพระให้ คุณบุญนิพพาน ถ้าเอาจริง ก็ติดต่อ
    ส่ง pm มาเลยค่ะ ...เราจะเรียนกัน ทางอีเมล์ บอกอีเมล์ของคุณมา
    เราจะได้เริ่มกันเลย ไม่ให้เสียเวลา ...

    อ่ะฮ้า... ทีนี้ เราก็มี ทั้ง บุญสวรรค์ และ บุญนิพพาน ...
    เดินคู่กัน กลับบ้าน เลย ดีเหมือนกันนะคะ เนี่ย นัดกันหรือเปล่า ?...
    หรือว่าไง ท่านพี่ภูู ? ...

    อ้อ...อีกคำถามที่อยากทราบ เรื่อง การรักษาศีลของคุณ เป็นยังไงบ้างคะ?
    เพราะนี่คือ บันไดขั้นแรก ของการปฏิบัติ ...

    ถ้ามั่นใจ ว่ามี คุณสมบัติ 3 อย่างนี้นะคะ เรียนจิตเกาะพระ ได้ผลแน่นอน คือ
    1.ศรัทธาแท้ในพระรัตนตรัยอย่างจริงใจ และ ครูผู้แนะนำ
    2.ปรารถนาพระนิพพาน จากจิตหรือไม่ (ไม่เอาตามแฟชั่น)
    3.ศีล5 ข้อต้องบริสุทธิ์ มิเช่นนั้น สมาธิไม่เกิดผล ปฏิบัติไม่สำเร็จ

    โมทนาสาธุด้วยค่ะ คุณ Boonnippan...เล่นจองชื่อไว้แต่เนิ่นๆ อย่างนี้ สำเร็จแน่ๆ...สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2014
  13. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    "ธรรมโอวาทหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

    จงจำไว้ว่าอารมณ์ใดที่ประกอบไปด้วยความรัก ประกอบไปด้วยความโลภ

    ประกอบด้วยความโกรธ ประกอบไปด้วยความหลง พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่าเป็น

    อารมณ์ของติรัจฉาน คือ มันขวางจากความดี...

    ...ฉนั้น อาการของเดรัจฉานทั้งหมด อันพึงจะผิดทางจิตก็ดี ทางกายก็ดี จงอย่ามี

    จงระมัดระวังกำลังใจเป็นสำคัญ อย่าเอาอารมณ์ของเดรัจฉานเข้ามาใช้ในจิต และก็

    จงอย่าไปเพ่งเล็งบุคคลอื่น จงอย่าสนใจอารมณ์ของคนอื่น จงอย่าสนใจกัยจริยา

    ของบุคคลอื่น ให้เอาอารมณ์ของตนเป็นที่ตั้งเพื่อการฝึกตนเอง...

    ...ให้พยายามปรับปรุงใจตนเองเป็นสำคัญ และให้ทรงพรหมวิหาร ๔ มีอิทธ

    บาท ๔ ฟังแล้วต้องจำ จำแล้วต้องประพฤติปฏิบัติ ถ้าทำไม่ได้ จงรู้ตัวว่าเลวเกินไป

    คนเลวเขาไม่เรียกว่าคน เขาเรียกว่าสัตว์ในอบายภูมิ.....

    ...พระธรรมคำสั่งสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุงลูกกราบน้อมรับพระธรรมเจ้าค่ะ

    ...ลูกขอน้อมกราบแทบพระบาทท่านพ่อด้วยเศียรเก้ลา กราบ กราบ กราบ.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2014
  14. บุญ+ทา

    บุญ+ทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2012
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +664
    อนุโมทนาบุญกับผู้ที่นำคำเทศของหลวงปู่ฤาษีมาลงให้อ่านนะคะ คิดว่าได้วิธีปฏิบัติที่ตรงกับจริตตัวเองแล้ว ขออนุโมทนาบุญมากๆ ค่ะ
     
  15. therd2499

    therd2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +3,209
    ขออนุโมทนากับคุณboonnippanที่กระทู้พี่ก้องที่ผมไปพิมพ์เชิญชวนมีคนสนใจและมาฝึก ผมดีใจ

    และปลาบปลื้มมากครับ
     
  16. boonnippan

    boonnippan ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +1,099
    กราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่านค่ะ
    ขอบพระคุณทุกๆท่านที่เมตตาค่ะ ขอบคุณคุณtherdที่นำบุญไปเล่าสู่ในห้องท่านtjsที่ดิฉันเคารพเหมือนครูที่แก้ทุกข์ให้สรรพสัตว์ทั่วไป ดีใจมากค่ะที่ครูแนทไม่รังเกียจรับเป็นศิษย์ ขอตอบคำถามครูแนทก่อนนะคะ
    1 boonnippanรักเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์จากจิต เคารพครูทั้วในทางโลกและทางธรรมตลอดเวลา โตมาจากเด็กบ้านนอกที่รักเคารพคุณครูเสมอค่ะ
    2 รักพระนิพพานทั้งในยามสุขและทุกข์แม้ไม่เคยเห็นมาก่อน ชื่อboonnippanมาจากความรู้สึกจริงๆ ขอบคุณครูแนทค่ะที่ชอบชื่อของboonnippan
    3 มีศีล5ในใจแบบปกติของชีวิตอยู่ตลอดเวลา ผู้คนหรือสัตวืรอบตัวเหมือนมิตรที่ร่วมชะตากรรมเดียวกัน ปราถนาอยากให้ทุกรูปนามพ้นทุกข์เสียทีจนบางทีรู้ตัวว่าอ่อไหวง่ายขาดอุเบกขาในหลายๆครั้งที่เห็นทุกข์ของเพื่อนร่วมโลกทั้งมนุษย์และสัตว์ ปฏิบัติศีล8 ศีลอุโบสถในบางโอกาสค่ะ
    boonnippan จะpm หาครูแนทนะคะ
    ด้วยความเคารพ
     
  17. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ขออนุโมทนา กับน้องtherd2499 คุณ boonnippan และคุณแนทด้วยค่ะ ,น้อง therd2499เจ๋งจริงๆ พี่ลินดานะไม่เคยชวนใครสำเร็จเลยนะ เหอะๆ
    มีแค่ทำให้เพื่อนบางคนสนใจในธรรมมะมากขึ้น ก็เข้าใจน่ะนะ ความสุขทางโลกที่สัมผัสทางผัสสะ ตาหูจมูกลิ้น กาย มันรู้สึกได้ทันทีตามความเคยชินหรือสัญญาคือความจำได้หมายรู้ แต่ความสุขสงบที่ได้จากรสพระธรรม มันก็คือความสุขสงบจริงๆน่ะนะ สงบจนบางคนไม่รู้ว่า.นี้คือสิ่งที่ควรมีควรเป็นในชีวิต ความมีชัวิตคือต้องตื่นเต้นเร้าใจในความคิดของคนส่วนมาก เพราะมันรู้สึกได้แบบแรงๆ ง่ายๆตรงๆ เอ่อ งงไหมเนี่ยะ

    ที่สำคัญคือไม่มัความเชื่อเรื่องชีวิตหลังกายหยาบนี้ตายไป .และกระบวนการและการประมวลผลของพลังที่สั่งสมไว้ในจิตจะมีผลต่อเนื่องไปอย่างไร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2014
  18. boonnippan

    boonnippan ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +1,099
    กราบขอบพระคุณค่ะ boonnippanฝากตัวหาครูแนทแล้วค่ะ
    ด้วยความเคารพ
     
  19. boonnippan

    boonnippan ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +1,099
    ขอบพระคุณข้อคิดจากครูลินดาค่ะ วันนั้นคำสอนของครูแนทที่พูดถึงอุปสรรคของการไปนิพพานสะกิดใจจนboonnippanลืมตัวระบายความในใจสั้นๆแต่ครูแนทตอบกลับให้กำลังใจและชวนนั่งพัก ทำให้เกิดกำลังใจค่ะ ขอบคุณครูทุกท่านและคุณtherdค่ะ สาธุค่ะ
     
  20. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444

    คุณลินดา...ไม่ต้องกังวล ว่าจะชวนใครมาปฏิบัติธรรม ไม่สำเร็จหรอกนะคะ ...แค่สรรหา นำภาพมาเสริฟให้พวกเราได้ชม ก็อด ขำไม่ได้สักที ...
    เนี่ยนะ ...
    คนเข้าถึงธรรม เนี่ยไม่มีอะไรเครียดเล้ย อารมณ์จิตดี ตลอดเวลา คนจิตผ่องใส ก้อยังเงี้ย...แจกจ่ายรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ให้พวกเราในกระทู้
    ก็พอค่ะ ...
    คุณยายลินดา เอ๊ย..คุณป้าลินดา แหม ...ต๊กใจหมดเลย ...
    คิดว่า Celebrated 100th Birthday...ซะแล้ว ไม่ไหวมั้ง
    ข้าพเจ้าไม่ขออยู่ถึงขนาดนั้น ...ต้องมาแบกไอ้ขันธ์5 นานขนาดนั้น
    คงไม่ไหวล่ะค่ะ ...ข้าพเจ้าขอ บาย...^^catt19
     

แชร์หน้านี้

Loading...