พระพุทธเจ้าพระองค์ท่านได้เคยเสด็จมายังแผ่นดิน สุวรรณภูมิ แผ่นดินไทย ด้วยตัวพระองค์เอง

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย สุชีโว, 23 ธันวาคม 2013.

  1. ss_solomon

    ss_solomon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2012
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +54
    หาอ่านได้หนังสือ ประชุมพงศาวดาร ที่สมเด็จพระพันวอัยยิกาเจ้า มีรับสั่งให้หอสมุดวชิรญาณเป็นผู้รวบรวม จัดพิมพ์ครั้งแรกประมาณปี 2451 จะมีรายละเอียดของอาณาจักรโบราณต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา ว่ามีที่มาที่ไปยังไง แต่ละเมืองตั้งอยู่ที่ไหน แม่น้ำในพุทธประวัติปัจจุบันคือแม่น้ำอะไร พูดถึงเจ้าครองเมือง พญานาคมุจลินทร์ พระธาตุต่างๆ ทางภาคเหนือเกี่ยวข้อกับใครบ้าง ตั้งอยู่ไหน ใครเป็นคนสร้าง
     
  2. สุชีโว

    สุชีโว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +579
    พระอรหันต์องค์แรกดินแดนบรรพษุรุษไทย

    พระปุณณเถระ(พระปุณณสุนาปรันตเถระ)

    เป็นบุตรของพ่อกล่อมและแม่กุล ในตระกูลคฤหบดี เกิดที่ท่าเรือสุปารกะ ในสุนาปรันตชนบท(ไทยในปัจจุบัน)
    ครั้งเมื่อเจริญวัยได้ช่วยบิดาและมารดา ด้วยทางบ้านมีอาชีพคค้าขายต่อมาได้ไปค้าขายที่อินเดีย ได้ฟังพระธรรมเทศนา
    จากพระบรมศาสนดาที่กรุงสาวัตถี บังเกิดความเลื่อมใสจึงได้ทูลขออุปสมบท ครั้งเมื่อบวชได้ ๓ พรรษา จึงใคร่กลับมาบ้านเกิด
    จึงขอเฝ้าและขอประทานโอวาทบ่อยๆ(จึงเกิดพระปุโณวาทสูตรในพระไตรปิฏก) ภายหลังได้บำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์
    แล้วจึงได้ชักชวนญาติของท่านบำเพ็ญบุญ โดยกราบทูลเชิญพระบรมศาสดาและพระสาวกจำนวน ๔๙๙ รูป ครั้งเมื่อถวายภัตตาหารแล้ว
    พระบรมศาสดาก็ได้ทรงทำนายว่า ดินแดนแห่งนี้ต่อไปจะมีชื่อเรียกว่าสุวรรณภูมิ ทั้งยังขอประทานรอยพระพุทธบาทไว้ด้วย
    เพื่อไว้สักการะบูชา แล้วจึงเสด็จกลับ ปัจจุบันคือรอยพระพุทธบาทสระบุรี จึงนับได้ว่าท่านเป็นผู้นำพระศาสนาเข้ามาในประเทศไทย
    ยุคแรกๆ และยังเป็นพระอรหันต์รูปแรกของประเทศไทย ท่านดำรงขันธ์ช่วยงานพระศาสนานานพอสมควรจึงดับขันธ์นิพพาน

    ++++++++++
    จากหนังสือพระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันตธาตุ หน้า ๗๑
    ชมรมรักษ์พระบรมธาตุแห่งประเทศไทย


    ข้อมูลจากแหล่งอื่น อ่านเพิ่มเติม << คลิก


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2014
  3. Asvel

    Asvel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +822
    ก็อาจจะมีอยู่บ้างที่ถูกกระทำขึ้น แต่อย่าคิดและเชื่อว่าจะไม่มีของจริง เพราะของจริงมีเยอะกว่าแน่นอน

    สมัยก่อนที่วัดพระพุทธบาทตากผ้า เคยมีคนสงสัยอยู่ว่ารอยพระพุทธบาททั้งหลายรวมทั้งที่วัดนั้นด้วยเป็นของจริงหรือไม่ และได้คัดค้านกับครูบาพรหมมา พรหมจักโก ว่าไม่เชื่อว่าเป็นรอยพระพุทธบาทจริงๆ น่าจะเป็นของคนทำขึ้นมา

    สมัยนั้นครูบาพรหมจักรท่านจึงพิสูจน์ให้เห็นจริง ด้วยการเหยียบบนลานหินศิลาแลงค์(ที่แข็งตัวแล้ว)กลางป่าในบริเวณวัด แล้วใช้ปฐวีกสิณทำให้ลานหินบริเวณที่ท่านเหยียบนั้นให้อ่อนตัวลง สร้างรอยเท้าครูบาขึ้นมา แล้วเรียกศิษย์คนนั้นมาดู (ตามเรื่องจริงๆจำไม่ได้ว่าท่านทำให้ดูเลย หรือให้ศิษย์มาดูตอนเป็นลานหินเปล่าๆ แล้วเรียกมาที่เดิมในวันต่อมา หลังจากที่ประทับรอยเท้าแล้ว) และไม่ได้เป็นการอวดอุตริมนุษยธรรมด้วย เพราะแสดงให้เกิดประโยชน์ในทางธรรม ให้คนละมิจฉาทิฏฐิคือความสงสัยใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์


    ปัจจุบันนี้"รอยเท้าครูบา"ก็ยังมีปรากฏให้เห็นอยู่ ทั้งพระพุทธบาท รอยจีวร และรอยบาตร ส่วนที่อาคารพระพุทธบาตรนั้นเดิมพระแม่เจ้าจามเทวีได้มาสร้างมณฑปครอบไว้ ต่อมาได้รับการบูรณะโดยครูบาศรีวิชัย และภายหลังได้สร้างอาคารวิหารใหญ่ครอบไว้

    ชอบความเห็นของคุณลุงบุญทรง ผมคนหนึ่งล่ะครับที่ เรียนทางประวัติศาสตร์ศิลป์ และโบราณคดีภาคทฤษฎี และความโง่ของผมในสมัยก่อนก็คือ เป็นคนที่เห็นด้วยกับวิทยาการของฝรั่งทุกอย่าง เห็นว่าเป็นของดีของเจริญทั้งหมด เชื่อทั้งหมด แต่ว่าตั้งแต่เรียนจบมาเริ่มกลับมาสนใจในพระพุทธศาสนา และศึกษา พยายามปฏิบัติมาเรื่อยๆ จนหายสงสัยและยอมรับในความถูกความผิด

    ผมจึงรู้ดีว่ามันมีมายาคติอยู่ในศาสตร์ทั้งหลายเหล่านั้นเหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ทุกประการ สุดท้ายบางเรื่องที่ร่ำเรียนมาเกือบจะสูญเปล่า หลายอย่างจำต้องโยนทิ้ง เพราะเป็นแค่ "ข้อสันนิษฐาน"ที่เชื่อกันอย่างนั้น ซึ่งบางทีเขาก็แค่สันนิษฐานแต่พอเผยแพร่ต่อกันมา คนคิดว่าเป็นความจริงที่เขาค้นพบแล้วไปเสีย ส่วนตัวยอมรับเลยว่า จริยาและคติของผมเหล่านั้นเป็นจริยาและคติของ "ลูกที่เนรคุณพ่อแม่" ซึ่งปัจจุบันถ้าถูกใครตำหนิก็จะรับเอาไว้ ไม่ละเลย และไม่คิดว่าการตำหนิเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ...
     
  4. ss_solomon

    ss_solomon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2012
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +54
    :p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      227 KB
      เปิดดู:
      183
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มกราคม 2014
  5. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ====================

    รอยพระพุทธบาทสี่รอยนั้น มีพระพุทธเจ้าทั้ง4พระองค์ประทับพระบาทซ้อนกันไว้4รอยนั้น หาได้ยาก ซึ่งจากที่ได้ทราบจากครูอาจารย์นั้น จะมีอยู่7ที่ ได้แก่ ทิศเหนือคือเชียงใหม่ ทิศใต้คือภูเก็ต ทิศตะวันออกเฉียงเหนือสกลนคร ภาคกลางคือสระบุรี และยังมีอีกที่ศรีลังกา อินเดีย และพม่า

    ทั้งนี้รอยพระพุทธบาทที่สระบุรีนั้น มีสภาพชำรุดทรุกโทรมมาก เดิมถูกค้นพบในสมัย อยุธยาคือ พระเจ้าทรงธรรม ซึ่งได้มีการสร้างมณฑบครอบไว้ ลักษณะรอยพระพุทธบาทจะเป็นแบบสี่รอยประทับซ้อนลึกลงไปอย่างเป็นระเบียบ

    ในปลายสมัยอยุธยาก่อนที่สถานที่แห่งนี้จะรกร้างเป็นป่ารกชัก รอยพระพุทธบาทดังกล่าวนั้นได้ถูกสร้างประดับด้วยทองและอัญมณีแล้วทำการปิดทับด้วยชั้นหินเอาไว้ พร้อมทั้งให้สร้างพระพุทธบาทจำลองขึ้นมาปิดทับเอาไว้

    เป็นรอยพระพุทธบาทจำลองที่อยู่ด้านบนซึ่งถูกสร้างขึ้นมาทดแทน ซึ่งหมายถึงรอยพระพุทธบาทที่เราสักการะบูชากันอยู่ทุกวันนี้นั่นเองครับ

    ส่วนนี้จะไม่มีในประวัติที่จารึกไว้ แต่จะมีพระอริยะส่วนหนึ่งท่านทราบครับซึ่งกระผมก็ได้รับฟังจากท่านมาเช่นนี้อีกทีครับ

    อนึ่งหากท่านที่ฝึกมโนมยิทธิหรือฝึกทิพยจักษุ ขอให้ท่านลองกำหนดจิตไปยังที่พระพุทธบาทสระบุรีดูครับ ท่านก็จะทราบได้ว่า รอยพระพุทธบาทของจริงส่วนที่อยู่ข้างใต้พระพุทธบาทจำลองนั้นเป็นอย่างไร ครับ สาธุ

     
  6. ss_solomon

    ss_solomon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2012
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +54
    :p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      242.8 KB
      เปิดดู:
      57
  7. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    เอาเถอะ รู้อย่างนี้ก็ดีแล้ว มีโอกาสหาพวงมาลัยหอมๆ ไปสักการะ

    จะเป็นมงคลแก่ชีวิตเดินตามรอยบาทพระศาสดา เป็นพุทธานุสติ

    [​IMG]
     
  8. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    รอยพระบาทที่สระบุรี
    วันนึงมีโอกาส ไปชนแดนเพชรบูณร์
    ไปพบพระผู้ใหญ่ ท่านนึง ท่านมรณะภาพไปแล้วปัจจุบัน
    ท่านเล่าให้ฟัง เป็นครั้งแรกที่พบท่าน และก็ครั้งสุดท้าย
    เรื่องเกี่ยวกับรอยพระบาท สระบุรี ผมฟังมากับหู
    ถือเสียว่า เคยฟังไว้ ทุกวันนี้ชาวพุทธ
    ชาวบ้าน อย่างน้อยรู้จัก ทำทาน รักษาศีล เข้าวัด ก็ยังดี
     
  9. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    เกิดมาได้พบพระพุทธศาสนาก็ดี ชาวพุทธมีเยอะๆน่ะดีแล้ว โดยส่วนตัวเชื่อว่าเมืองไทย พม่า คือสุวรรณภูมิ พระอรหันต์ยังมีอยู่ เดี๋ยวเขาเป็นอาเซียนแล้ว ลองไปเที่ยวดู จะพบว่าศรัทธาของคนพม่านั้นเยอะมาก พม่าเป็นรัฐกันชนระหว่างจีนกับอินเดียเขาจึงต้องสู้รบตลอดเวลา ส่วนไทยเราสบายกว่าเขามากเลยประมาท พระนเรศวรอธิษฐานจิตที่พระธาตุมุเตา1ใน5 มหาสถานของพม่า จนในที่สุดได้อิสรภาพและกลับไปเหยียบเมืองมอญหงสาวดี แต่สิ่งที่พระองค์ทำคือไปทำบุญที่นี่พร้อมด้วยพระเอกาทศรถและทหารไทย ไปดู ไปศึกษา ไปคิด ทุกสิ่งพิสูจน์เอาเองเถอะ
     
  10. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    โมทนาสาธุค่ะ คนพม่าศรัทธาเขาแรงจริงค่ะ ดิฉันได้ไปสัมผัสมาจึงทราบ และที่เห็นเหมือนๆกันคือชาวเขาในบ้านเราค่ะ เช่นพวกไทยใหญ่
    ขากลับรถคณะถูกแบ่งเป็น ๒ ลำรถ รถของครูบาได้ไปแวะสถานที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับพระนเรศวร ท่านถ่ายรูปมาลงให้ดูอีกที แต่รถคันที่ดิฉันนั่งไปพอดีมีคนท้องไปด้วยเขาจึงไม่ไปกันแต่ไปรอที่ตลาดแทน ดิฉันเลยอด
    ที่พม่าดิฉันตั้งอารมณ์ไม่ถูกจริงๆ เพราะเป็นการเดินทางครั้งแรก แต่เขาสวดมนต์กันขึ้นต้นทุกครั้งว่า "ออกาซ่า ออกาซ่า ..." ฟังแล้วเป็นเสียงสวดที่ไพเราะเช่นกัน คราวหน้าคงจะไปที่เจดีย์ชเวดากองค่ะ อยากไปสักครั้งหนึ่งในชีวิต
     
  11. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559
    ก่อนรัฐประหารปี 49 ผมได้เดินทางไปประชุมที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย และทางคณะมีโปรแกรมเที่ยวตลาดท่าขี้เหล็กในฝั่งพม่า นับเป็นครั้งแรกที่ข้ามไปยังฝั่งพม่า

    ในสมัยเด็กใด้ศึกษาประวัติศาสตร์แล้วรู้สึกมีอคติกับพม่า ซึ่งก็ฝังหัวแต่นั้นมา เมื่อจะข้ามไปฝั่งพม่ารู้สึกเป็นกังวล ไม่อยากเข้าไป เหมือนมีลางสังหรณ์ว่าจะไปเจออะไรเข้า

    สุดท้ายจึงตัดสินใจเข้าไป เมื่อเข้าไปแล้วรู้สึกรับสัมผัสสิ่งที่มองไม่เห็นมารบกวน ได้แต่บริกรรมพุทโธ ธัมโม สังโฆ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด แทนที่กระผมจะเดินหาซื้อของแต่กลับคิดอยากถวายสังฆทาน จึงเหมาสามล้อถีบให้เป็นไกด์พาไปซื้อสังฆทานและนำไปถวายที่วัด ก่อนที่จะไปสักการะบูชาพระธาตุเจดีย์ชเวดากอง

    ได้สังฆทานแล้วก็ไปถึงวัด(จำชื่อวัดไม่ได้) โดยถือหิ้วถังสังฆทานเข้าไปหาพระภิกษุ ทันใดที่เห็นพระภิกษุโดยสายตากระทบกันรู้สึกเหมือนเคยมีอะไรกันมาก่อนในอดีตชาติ ท่านเพ่งจ้องมองข้าพเจ้าด้วยสายตาโกรธเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ และข้าพเจ้าก็เพ่งมองท่านอยากจะเข้าไปทำร้ายท่าน อยากจะเอาดาบฟันท่าน
    จนมือที่ถือสังฆทานได้เผลอหลุด สังฆทานตกลงไปยังพื้นมีเสียงดัง(ไม่แตก) จึงได้สติ และพยายามนอบน้อมแผ่เมตตา เข้าไปกราบท่าน แต่ท่านได้ห้ามไว้ และเชิญข้าพเจ้าเข้าไปในห้อง

    จิตตอนนั้นบอกว่า ท่านเป็นเจ้ากรรมนายเวร เป็นคู่อาฆาตพยาบาทมาหลายภพหลายชาติ และจิตก็คิดว่า เป็นอย่างไรก็เป็นกัน ถ้าในอดีตชาติเราได้ทำอะไรไม่ดีกับท่านไว้ ถ้าท่านจะเอาชีวิตเราก็ยอม ตายเป็นตาย จึงตัดสินใจเข้าไปในห้องกับท่าน ใจก็แผ่เมตตาขออโหสิกรรมตลอด ส่วนท่านก็ตาแดงกร่ำเหมือนกับจะกินเลือดกินเนื้อเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

    ท่านเป็นพระภิกษุที่มีลักษณะสง่าผ่าเผยองอาจ ผิวขาว รูปร่างสันทัด เมื่อท่านและข้าพเจ้าได้นั่งเป็นที่เรียบร้อย ข้าพเจ้าก็กราบท่าน พยายามนอบน้อมก้มศีรษะไม่กล้ามองหน้าท่าน บรรยากาศตอนนั้นเงียบเหมือนไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เหมือนเวลาได้หยุดเดิน ในใจก็ได้แต่แผ่เมตตา ขออโหสิ ขอขมากรรม อธิฐานในใจว่า สิ่งใดที่ทำไม่ดีต่อท่าน ที่ได้ล่วงเกินท่านในอดีตชาติ ขอให้ท่านจงอภัยและยกโทษอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า หากท่านประสงค์จะเอาชีวิตข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ยินดีสละให้

    ทั้งท่านและข้าพเจ้าได้นั่งนิ่งเป็นเวลานาน แต่ข้าพเจ้ากลับรู้สึกว่ามันนานมากเหมือนเป็นกัปป์เป็นกัลป์ ในใจเหมือนถูกไฟแผดเผา เต็มไปด้วยความรุ่มร้อนแห่งโทสะ เหมือนตกนรกทั้งเป็น จนกระทั้งอารมณ์ดังกล่าวได้บรรเทาและเบาบางลง ท่านจึงพูดเอ่ยปากออกมาว่า “โยมมาทำบุญ” ข้าพเจ้าจึงลืมตาเงยหน้ามองท่าน สายตาที่แดงกร่ำของท่านก็บรรเทาหายไป รังสีแห่งการอาฆาตพยายาบก็บรรเทาหายไป

    เพียงข้าพเจ้านึกว่า ท่านพูดไทยได้ ท่านก็บอกว่า “อาตมาพูดไทยได้นิดหน่อยไม่มาก” ท่านก็ถามว่ามาจากไหน ข้าพเจ้าบอกว่า “กรุงเทพฯ ประเทศไทย” ท่านก็พูดทวนซ้ำว่า “เมืองไทย” และสายตาของท่านกับของข้าพเจ้าได้เพ่งมองกันอีกครั้ง โดยที่ข้าพเจ้าคิดถึงประวัติศาสตร์ที่ไทยต้องรบกับพม่า จนกระทั่งท่านได้ถามว่า “กรุงเทพฯเป็นอย่างไร” ข้าพเจ้าก็เงียบไม่ตอบ และท่านก็ได้พูดว่า “ถึงเวลาประเทศของคุณต้องรับกรรม”

    จากนั้น ก็เริ่มพิธีการถวายสังฆทาน โดยท่านได้ท่องสาธยายมนต์เป็นสำเนียงภาษาพม่า ข้าพเจ้าก็นั่งฟังโดยไม่รู้เรื่อง เมื่อท่านท่องมนต์เสร็จก็ให้ข้าพเจ้ายกถวาย หลังจากนั้นก็ให้พร และให้กำไรลูกประคำข้อมือแก่ข้าพเจ้าไว้ใส่ติดตัวป้องกันภัย
     
  12. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    ท่าน Sirius Galaxy มันเป็นความขี้ขลาดของดิฉันเอง ที่บอกว่าตั้งอารมณ์ไม่ถูกตอนไปพม่านั้น ดิฉันเกิดคิดเรื่องนี้ขึ้นมานั่นแหละค่ะ แต่ดิฉันก็คิดถึงหลวงปู่ทวดตลอดเวลา ก่อนนอนก็แผ่เมตตา แต่ก็ไม่มีอะไรในที่สุด และจะว่าไปแล้ว พวกเราก็วนๆเวียนกันอยู่แถวๆนี้แหละ ไม่ว่าสมัยไหน
    พอได้อ่านที่ท่านเขียนมา ก็ประทับใจค่ะ สาธุ
     
  13. สุชีโว

    สุชีโว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +579
    ::พระปุณณเถระ พระอรหันต์องค์แรกของไทย::
    [​IMG]
    รูปพระอรหันต์ธาตุ พระปุณณเถระ

    เกล็ดประวัติ
    เรื่องราวน่าสนใจอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับองค์ท่าน
    ลิงค์ที่นี่ http://www.oknation.net/blog/print.php?id=209235
    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
    จากหนังสือ "ตามรอยพระพุทธบาท" เล่ม 1 (ตอน 4) เวบ http://tamroiphrabuddhabat.com
    มีข้อมูลน่าสนใจ ติดตามได้ที่ http://tamroiphrabuddhabat.com/xmb/viewthread.php?tid=184#9


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2014
  14. ธรรมมนุษย์

    ธรรมมนุษย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2010
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +1,908
    พระพุทธบาทสี่รอย พระพุทธองค์ทั้ง 4 ประทับรอยพระบาทไว้บนศิลามหาเปรต สุดท้ายพระศรีอารีย์ก็จะประทับรอยฝ่าพระบาททับพระบาททั้ง 4 ให้เป็นรอยเดียวกัน ผมคิดว่าชาวพุทธเราควรจะหาโอกาสไปกราบไหว้สักครั้งในชีวิต ผมขับรถไปเองช่วงหน้าฝนทางขึ้นเขาแคบคดเคี้ยวสูงชันมาก รถผมโดนเบียดจนเกือบตกเขา แต่ด้วยศัทราที่ยิ่งใหญ่จึงทำให้เราไม่ถอดใจ ถ้ามีโอกาสก็จะขึ้นไปกราบไหว้อีกแน่นอนครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2014
  15. สุชีโว

    สุชีโว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +579
    ปุณโณวาทสูตร

    พระไตรปิฎกเล่มที่ 14 พระสุตตันตปิฎก เล่ม 6
    มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ สฬายตนวรรค ปุณโณวาทสูตร

    ๓. ปุณโณวาทสูตร (๑๔๕)
    [๗๕๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถ-
    บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ท่านพระปุณณะออกจากที่หลีก-
    เร้นในเวลาเย็น เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ แล้วถวายอภิวาทพระผู้มี-
    พระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มี-
    พระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคได้โปรดสั่งสอนข้าพระ
    องค์ ด้วยพระโอวาทย่อๆ พอที่ข้าพระองค์ได้สดับธรรมของพระผู้มีพระภาคแล้ว
    จะเป็นผู้ๆ เดียวหลีกออก ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่ ฯ
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรปุณณะ ถ้าอย่างนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี
    เราจักกล่าวต่อไป ท่านปุณณะทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า ชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ฯ
    [๗๕๕] พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรปุณณะ มีรูปที่รู้ได้ด้วย
    จักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นที่รัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้ง
    แห่งความกำหนัดอยู่แล ถ้าภิกษุเพลิดเพลิน พูดถึง ดำรงอยู่ด้วยความติดใจรูปนั้น
    นันทิย่อมเกิดขึ้นแก่เธอผู้เพลิดเพลิน พูดถึง ดำรงอยู่ด้วยความติดใจรูปนั้นได้
    เพราะนันทิเกิด เราจึงกล่าวว่า ทุกข์เกิดนะ ปุณณะ ฯ
    ดูกรปุณณะ มีเสียงที่รู้ได้ด้วยโสต ...
    ดูกรปุณณะ มีกลิ่นที่รู้ได้ด้วยฆานะ ...
    ดูกรปุณณะ มีรสที่รู้ได้ด้วยชิวหา ...
    ดูกรปุณณะ มีโผฏฐัพพะที่รู้ได้ด้วยกาย ...
    ดูกรปุณณะ มีธรรมารมณ์ที่รู้ได้ด้วยมโน อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่า
    พอใจ เป็นที่รัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดอยู่แล ถ้าภิกษุ
    เพลิดเพลิน พูดถึง ดำรงอยู่ด้วยติดใจธรรมารมณ์นั้น นันทิย่อมเกิดแก่เธอผู้
    เพลิดเพลิน พูดถึง ดำรงอยู่ด้วยความติดใจธรรมารมณ์นั้นได้ เพราะเหตุคือนันทิ
    เกิด เราจึงกล่าวว่า ทุกข์เกิดนะ ปุณณะ ฯ
    [๗๕๖] ดูกรปุณณะ มีรูปที่รู้ได้ด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่า
    พอใจ เป็นที่รัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดอยู่แล ถ้าภิกษุไม่
    เพลิดเพลิน ไม่พูดถึง ไม่ดำรงอยู่ด้วยความติดใจรูปนั้น นันทิของเธอผู้ไม่เพลิด
    เพลิน ไม่พูดถึง ไม่ดำรงอยู่ด้วยความติดใจรูปนั้น ย่อมดับไป เพราะนันทิดับ
    เราจึงกล่าวว่า ทุกข์ดับนะ ปุณณะ ฯ
    ดูกรปุณณะ มีเสียงที่รู้ได้ด้วยโสต ...
    ดูกรปุณณะ มีกลิ่นที่รู้ได้ด้วยฆานะ ...
    ดูกรปุณณะ มีรสที่รู้ได้ด้วยชิวหา ...
    ดูกรปุณณะ มีโผฏฐัพพะที่รู้ได้ด้วยกาย ...
    ดูกรปุณณะ มีธรรมารมณ์ที่รู้ได้ด้วยมโน อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่า
    พอใจ เป็นที่รัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดอยู่แล ถ้าภิกษุ
    ไม่เพลิดเพลิน ไม่พูดถึง ไม่ดำรงอยู่ด้วยความติดใจธรรมารมณ์นั้น นันทิของเธอ
    ผู้ไม่เพลิดเพลิน ไม่พูดถึง ไม่ดำรงอยู่ด้วยความติดใจธรรมารมณ์นั้น ย่อมดับไป
    เพราะนันทิดับ เราจึงกล่าวว่า ทุกข์ดับนะ ปุณณะ ฯ
    ดูกรปุณณะ ก็เธออันเรากล่าวสอนด้วยโอวาทย่อๆ นี้แล้ว จักอยู่ใน
    ชนบทไหน ฯ
    ปุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์อันพระผู้มีพระภาคทรงสั่งสอนด้วย
    โอวาทย่อๆ นี้แล้ว มีชนบทชื่อสุนาปรันตะ เป็นที่ที่ข้าพระองค์จักไปอยู่ ฯ
    [๗๕๗] พ. ดูกรปุณณะ พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทดุร้ายหยาบช้า
    นัก ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจักด่า จักบริภาษเธอ เธอจักมีความคิด
    อย่างไรในมนุษย์พวกนั้น ฯ
    ปุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจักด่า จัก
    บริภาษข้าพระองค์ ข้าพระองค์จักมีความคิดในพวกเขาอย่างนี้ว่า พวกมนุษย์ชาว
    สุนาปรันตชนบทนี้ ยังดีนักหนาที่ไม่ให้การประหารเราด้วยฝ่ามือ ข้าแต่พระผู้มี-
    พระภาคผู้สุคต ข้าพระองค์มีความคิดในมนุษย์พวกนั้นอย่างนี้ ฯ
    [๗๕๘] พ. ดูกรปุณณะ ก็ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจักให้การ
    ประหารเธอด้วยฝ่ามือ เธอจักมีความคิดอย่างไรในมนุษย์พวกนั้น ฯ
    ปุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบท จักให้การ
    ประหารข้าพระองค์ด้วยฝ่ามือ ข้าพระองค์จักมีความคิดในพวกเขาอย่างนี้ว่า พวก
    มนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทนี้ ยังดีนักหนาที่ไม่ให้การประหารเราด้วยก้อนดิน
    ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้สุคต ข้าพระองค์จักมีความคิดในมนุษย์พวกนั้นอย่างนี้ ฯ
    [๗๕๙] พ. ดูกรปุณณะ ก็ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบท จักให้การ
    ประหารเธอด้วยก้อนดิน เธอจักมีความคิดอย่างไรในมนุษย์พวกนั้น ฯ
    ปุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบท จักให้การ
    ประหารข้าพระองค์ด้วยก้อนดิน ข้าพระองค์จักมีความคิดในพวกเขาอย่างนี้ว่า
    พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทนี้ ยังดีหนักหนาที่ไม่ให้การประหารเราด้วยท่อนไม้
    ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้สุคต ข้าพระองค์จักมีความคิดในมนุษย์พวกนั้นอย่างนี้ ฯ
    [๗๖๐] พ. ดูกรปุณณะ ก็ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบท จักให้การ
    ประหารเธอด้วยท่อนไม้ เธอจักมีความคิดอย่างไรในมนุษย์พวกนั้น ฯ
    ปุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบท จักให้การ
    ประหารข้าพระองค์ด้วยท่อนไม้ ข้าพระองค์จักมีความคิดในพวกเขาอย่างนี้ว่า พวก
    มนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทนี้ ยังดีนักหนาที่ไม่ให้การประหารเราด้วยศาตรา
    ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้สุคต ข้าพระองค์จักมีความคิดในมนุษย์พวกนั้น อย่างนี้ ฯ
    [๗๖๑] พ. ดูกรปุณณะ ก็ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบท จักให้การ
    ประหารเธอด้วยศาตรา เธอจักมีความคิดอย่างไรในมนุษย์พวกนั้น ฯ
    ปุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบท จักให้การ
    ประหารข้าพระองค์ด้วยศาตรา ข้าพระองค์จักมีความคิดในพวกเขาอย่างนี้ว่า พวก
    มนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทนี้ ยังดีนักหนาที่ไม่ปลิดชีพเราเสียด้วยศาตราอันคม
    ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้สุคต ข้าพระองค์จักมีความคิดในมนุษย์พวกนั้นอย่างนี้ ฯ
    [๗๖๒] พ. ดูกรปุณณะ ก็ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจักปลิดชีพ
    เธอเสียด้วยศาตราอันคม เธอจักมีความคิดอย่างไรในมนุษย์พวกนั้น ฯ
    ปุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบท จักปลิดชีพ
    ข้าพระองค์ด้วยศาสตราอันคม ข้าพระองค์จักมีความคิดในพวกเขาอย่างนี้ว่า มีเหล่า-
    สาวกของพระผู้มีพระภาค ที่อึดอัดเกลียดชังร่างกายและชีวิต พากันแสวงหา
    ศาตราสังหารชีพอยู่แล เราไม่ต้องแสวงหาสิ่งดังนั้นเลย ก็ได้ศาตราสังหารชีพแล้ว
    ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้สุคต ข้าพระองค์จักมีความคิดในมนุษย์พวกนั้นอย่างนี้ ฯ
    [๗๖๓] พ. ดีละๆ ปุณณะ เธอประกอบด้วยทมะและอุปสมะดังนี้แล้ว
    จักอาจเพื่อจะอยู่ในสุนาปรันตชนบทได้แล ดูกรปุณณะ เธอจงสำคัญกาลที่ควร
    ในบัดนี้เถิด ฯ
    ครั้งนั้นแล ท่านพระปุณณะยินดีอนุโมทนาพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค
    แล้ว ลุกจากอาสนะ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคทำประทักษิณ แล้วเก็บเสนาสนะ
    ถือบาตรจีวรเดินทางจาริกไปยังที่ตั้งสุนาปรันตชนบท เมื่อจาริกไปโดยลำดับ
    ได้ลุถึงสุนาปรันตชนบทแล้ว ฯ
    [๗๖๔] เป็นอันว่า ท่านพระปุณณะอยู่ในสุนาปรันตชนบทนั้น ครั้งนั้น
    แล ท่านพระปุณณะได้ให้พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทกลับใจแสดงตนเป็น
    อุบาสกประมาณ ๕๐๐ คน ภายในพรรษานั้นเอง กลับใจแสดงตนเป็นอุบาสิกา
    ประมาณ ๕๐๐ คน ภายในพรรษานั้นเอง และตัวท่านได้ทำให้แจ้งซึ่งวิชชา ๓
    ภายในพรรษานั้นเหมือนกัน ครั้นสมัยต่อมา ท่านได้ปรินิพพานแล้ว ฯ
    ครั้งนั้นแล ภิกษุมากด้วยกันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ แล้ว
    ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอนั่งเรียบร้อยแล้ว
    ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กุลบุตรชื่อปุณณะที่
    พระผู้มีพระภาคทรงสั่งสอนด้วยพระโอวาทย่อๆ นั้น ทำกาละเสียแล้ว เธอมีคติ
    เป็นอย่างไร มีสัมปรายภพเป็นอย่างไร ฯ
    [๗๖๕] พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุณณกุลบุตร เป็นบัณฑิต ได้บรรลุธรรม
    สมควรแก่ธรรมแล้ว ทั้งไม่ให้เราลำบากเพราะเหตุแห่งธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ปุณณกุลบุตรปรินิพพานแล้ว ฯ
    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดี
    พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล ฯ

    จบ ปุณโณวาทสูตร ที่ ๓
    -----------------
     
  16. สุชีโว

    สุชีโว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +579
    พระพุทธบาทสระบุรี
    [​IMG]
    รอยพระบาท
    [​IMG]
     
  17. สุชีโว

    สุชีโว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +579
    ::ประวัติรอยพระพุทธบาทสระบุรี::

    อาจารย์เสถียร โพธินันทะ ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นปราชญ์ทาง
    พระพุทธศาสนาคนหนึ่งของไทย ผู้บุกเบิกการศึกษาพระพุทธศาสนามหายาน และอดีตเลขาธิการคณะสงฆ์จีนนิกายแห่งประเทศไทย เกิดที่กรุงเทพมหานคร เมื่อวันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2472 ที่บ้านในตรอกอิศรานุภาพ บริเวณตลาดเก่าเยาวราช ใกล้ ๆ กับวัดกันมาตุยาราม บิดาเป็นชาวจีนชื่อนายตั้งเป็งท้ง มารดาชื่อนางมาลัย กมลมาลย์ มีพี่สาวสองคน ตามประวัติกล่าวว่าเมื่อมารดาตั้งครรภ์อาจารย์เสถียร บิดาก็มีเหตุจำเป็นต้องเดินทางกลับไปประเทศจี นและ ได้ถึงแก่กรรมในเวลาต่อมา ในวัยเด็ก เด็กชายเสถียรใช้นามสกุลว่า "กมลมาลย์" ตามมารดา จนกระทั่ง พ.ศ. 2491 เมื่อมีอายุได้ 20 ปี จึงได้เปลี่ยนนามสกุลตนเองเป็น "โพธินันทะ" อันหมายถึงผู้ยินดีในความรู้แจ้ง ด้วยประสงค์จะให้ใกล้ชิดกับพระศาสนาและได้ใช้นามสกุลนี้ตลอดมาจนถึงแก่กรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2017

แชร์หน้านี้

Loading...