เหล่ามิติแสงต้องการอะไรจาก มนุษย์ชมภู ในวัน 21/12/2556

มีมนุษย์เผ่าพันธ์ กายพลังงาน ที่อ้างตนเองเป็นเหล่ามิติแสง เผ่าพันธ์หนึ่ง
กำลังนัดแน่ะ เพื่อปฏิบัติกรรมฐานตามแบบฉบับของ มันหรือแนวทาง
ปฏิบัติ เป็นรหัสเพื่อให้เกิดแสงจำเพาะ ให้เกิดขึ้น

คล้ายกับกลวิธี ของการครอบขันธ์ หรือเปิดญาณบารมี (แต่แตกต่างกัน)
แต่วิธีการนี้ เพื่อที่จะให้กายพลังงาน ของพวกเดียวกัน ได้มองเห็น ร่าง
ที่ได้เปล่งแสง (คือเมื่อปฏิบัติตามแนวทางที่ระบุไว้ ร่างภายในจะเกิดแสง)
จำเพาะเพื่อที่จะเปิดช่องทางให้พวกเดียวกันสามารถเข้ามาควบคุม
ร่าง หรือกระทำให้เป็นเจ้าของ ร่าง

เพื่ออะไร

เพื่อรักษาหรือยืดอายุของกายพลังงาน (ตามความถนัดของพวกมัน)

พวกมันจะอ้างเพื่อความเจริญ ของโลก
เหมือนกับ พวกที่อ้างเพื่อเป็นการอุทิศบุญ
แผ่เมตตาให้กับเจ้ากรรมนายเวร เพื่อหวังเก็บธาตุ
ที่รักษาให้อายุหรือดำรงตนให้ยืนยาว ต่อไปอีก

ใคร? ที่ปรารถนาเป็นพวกเดียวกันกับพวกที่แสวงหาร่าง
ก็ให้ปฏิบัติตามแนวเดียวกับ
ขั้นตอนที่ เขา แจ้งมา

ใคร? ปรารถนาเป็นอิสระก็ ดูเฉยๆ

ไม่ได้ห้ามอะไร มนุษย์มีอิสระ ที่คิด ที่จะทำ ทำเพื่อทำร้ายตัวเองก่ ได้
ทำเพื่อทำร้ายผู้อื่น ก่ได้

แต่มนุษย์ ทั่วไปไม่รู้ ก่ จะตกอยู่ภายใต้ อิทธิพลของ
มิติแสง (ฝ่ายมืด) - แม้นแต่ตัวตนจริงๆ (รวมทั้งกายเนื้อ)
ก่ไม่รู้ว่าอยู่ภายใต้ อำนาจมืดของ
มิติแสงไปแล้ว

หมายเหตุ คนที่ประกาศแนวทางหาร่าง ก็เป็นคนที่มีร่าง กายพลังงาน
ไม่ได้เป็นมนุษย์ ชมภู ร่าง กายพลังงาน ของมันมีมากมาย อยู่บนโลกก็มี
(กำลังสื่อสารข้อมูลถึงกัน มันไม่รู้ หรืออาจจะรู้ถึงกัน ว่าเป็นพวกเดียวกัน) และ นอกจากนี้ ยังอยู่ในยานอวกาศก็มี

มีมันตนเดียวที่นอกคอกจากเผ่าพันธ์ดั้งเดิมของมัน
เผ่าพันธ์ดั้งเดิม ไม่ได้ยอมรับวิธีการขยาย จำนวนร่างพลังงานมากมาย
ตามที่มันทำ

และ มันขณะนี้กำลังหาร่าง ให้กับตัวมันเอง ให้กับกายพลัง
ที่ขยายจำนวนออกมา เพื่อยืดอายุกายพลังงานต่อไป

 

ขั้นตอนและวิธีการเพื่อให้เกิดการเปล่งแสง จำเพาะ ให้เข้ากับกลุ่มของตนเอง
หรือ พวกของตนเอง ที่มีกายพลังงาน ตามรหัสแสงนั้นๆ เรียกว่า synchronicity

ผลเป็นอย่างไร การเปล่าแสงจำเพาะ ตามวิธีการแบบนั้น ทำให้
เหล่ากายพลังงาน ที่เตรียมการและรอ อยู่แล้ว จะมองเห็นตำแหน่ง

และสามารถ สอดแทรก ครอบครองร่างๆ นั้นได้ทันที

เหมือนวิธีการ synchronicity ระบบกระแสไฟฟ้า (เป็นพลังงาน บ่)

ใครจะผลิตกระแสไฟฟ้า เพื่อเข้าระบบ ได้ จะต้องทำ synchronicity
กับระบบหลักให้ได้

เมื่อทำ synchronicity ได้แล้ว จึงจะสามารถเข้ากันได้ สอดคล้องกัน ได้
เรียกว่า เปิดระบบ ให้เข้า กันเลยทีเดียว

ใครอยากเป็นพวกกายพลังงาน ของมนุษย์ตนนั้น เชิญ ตามสบาย

ไม่ได้ห้ามอะไร แต่ บอกให้รู้ว่า กำลังทำอะไร อยู่ ..... เชิญ

 

แรกๆ ก็เดินมาถูกทิศ ถูกทาง
เมื่อถึงปลาย มัน จะพาเดินผิดทาง ....

....บอกไว้แล้ว

 

อะไรที่อยู่บนกรอบศีลห้า ก็พอรับได้ครับ เพราะ ไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งที่รุนแรงมากไป

หากดีขึ้นหน่อย ก็มี กุศลกรรมบท 10 ควบคู่ด้วย

และที่นี้ ในเรื่องการปกิบัติจิต ด้วยวิธีการต่างๆ

หรือ ปรัชญา วิธีคิด มองเห้นความเป็นจริง ที่แตกต่างกัน ก็มีสนทนา เพื่อแลกเปลี่ยนกันอีกทีครับ

หลักการ คือ อยู่ร่วมกันได้ก่อน ในกรอบ ศีลธรรม ที่ไม่เบียดเบียนกันเกินไป จากนั้น ก็รวมกันพัฒนาองค์ความรู้ หลักการ วิธีการบำเพ็ญ

วิธีได้รับข้อมูล หรือ วิธีเข้าถึงความรู้ของแต่ล่ะคน แบบที่แตกต่างความหมายกัน

มันก็ไม่ชอบด้วยเหตุผล มากนัก หากจะวัดด้วย วิธีรู้ อย่าง ญาณรู้ กันทั้งหมด

ความเป็นจริง ควรถูกทำให้พิสูจน์ได้

มนุษย์ถูกสร้างมาจากจักรวาลแห่งความเป็นจริงนี้

มนุษย์อาศัยอยู่บนธรรมชาตินี้ ดังนั้นจึงควรรู้ธรรมชาติเหล่านั้น ด้วยวิธีการที่เหมาะสม

การแลกเปลี่ยนกันเป็นเรื่องดี ความสร้างเครื่องมือ หรือเวที ที่เราจะเรียนรู้ร่วมได้

และสามารถสร้างองค์ความรู้ ขึ้นมาอย่างเป็นระบบ มีกระบวนการเรียนรู้ เข้าถึงข้อมูล และทุกคนสามารถประมวลผลข้อมูลได้อย่างมีวิจารณญาณเป็นของตนเอง

โดยปราศจาก การเชื่อโดยไม่มีเหตุผล รองรับ หรือการพิสูจน์ไม่ได้ รองรับ

เราต้องใช้ใจบริสุทธิ์ในการรองรับเรื่องเหล่านี้

ทุกคน คงเห็นประโยชน์ส่วนรวมของทุกฝ่าย ด้วยวิธีที่แตกต่างกันไป เท่านั้นเอง

 

สิ่งที่เป็นอกุศล นอกจากจะเกิดขึ้นด้วยตัวตนภายในแล้ว
หมายถึงตนเองยังไม่บริสุทธิ์จริง แม้นว่าปัจจุบัน ตนเองจะบริสุทธิ์แล้ว

แต่สามารถ ถูกกระแสภายใน(กระแสกรรมบาป)เบี่ยงเบนได้อีก

...อีกประการความไม่บริสุทธิ์ สามารถเกิดขึ้นได้จากกระแสภายนอก

อาทิ อมนุษย์ผู้ต่ำทราม รอบด้าน

เมื่อมี อมนุษย์ ผู้ต่ำทรามรอบด้าน ดำรงอยู่ใกล้ ความไม่บริสุทธิ์จึง

เกิดขึ้น ได้ง่าย

ดังนั้น มนุษย์ จึงสามารถรับกระแสความไม่บริสุทธิ์ ได้ ทั้ง
ปัจจัย ภายนอกและภายใน ตลอด

เมื่อมี ญาณ หรือ กระแสของความรู้เกิดขึ้น ในขณะที่ยังมี คลื่น

ของความไม่บริสุทธิ์ ทั้งภายนอกและภายใน

ความคิดหรือ ญาณ จึงถูกกระแสคลื่นนั้นเบี่ยงเบน ออกจาก ความเป็น จริง

ดังนั้น หากไม่สามารถไล่ หรือขจัดกระแสคลื่น ไม่ดี รอบด้าน ออกไปได้

ก็ จะเกิดการเบี่ยงเบนของความคิดอยู่ตลอดเวลา

อาทิ จะฝันตลอดทุกครั้งที่นอน แบบนี้ ก็เรียกว่า มีความไม่บริสุทธิ์ เกิดขึ้น

หรือมีธาตุผิดปกติ

หรือ มีปัจจัยหรือคลื่นไม่ดี ไม่ปกติ แทรกอยู่

และคิดว่า ญาณ ของ ตน ๆ นั้น จะเชื่อได้อย่างไร....(เชื่อไม่ได้)

ดังนั้น เมื่อมีญาณ แล้วคิดว่าตนเอง รู้ในสิ่งที่รู้(ผุดขึ้นมาก)
และ ไม่รู้ว่ามีปัจจัย อะไรมา ควบคุมความถูกต้อง
ก็ยังถือว่า ญาณ หรือ ความรู้ที่เกิดขึ้น ยังเบี่ยงเบนจากความจริง ที่ถูกต้อง อย่างแน่นอน
.......................................

 

มนุษย์ชมภู ถูกกำเนิดขึ้นมา เพื่อได้มีโอกาส ในการบำเพ็ญตนเอง
เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ ตนเอง ....

เมื่อมีจิตเมตตา จะถวายร่าง ให้กับ เหล่า มนตด คิดชั่วครอบครองร่าง
ก็เชิญ ตาม สบาย อย่างมาก ก็ หมดสิทธิ์ที่จะเกิดเป็นมนุษย์ ไปอีกชั่วคราว

เพราะว่า ลำพังแค่กายปัจจุบัน ยังไม่สามารถรักษา ให้เกิดประโยชน์กับตนเอง
ได้ นำร่างกายที่ธรรมชาติสร้างมาเพื่อตนเอง ให้ผู้อื่น ใช้งาน

คิดจะเป็นพระเจ้า เอง... คือ ยกร่างกายของตนเอง ให้ ผู้อื่นไป
ก็คงจะสมควรที่จะถูกระงับ ให้เกิดเป็นมนุษย์ นั่นแล

 

มนุษย์เกิดมาใหม่ ๆ ต่างก็เดินสะเปะ สะปะ... ล้มบ้าง ลุกบ้าง เจ็บบ้าง
แต่ทุกคนก็มีความเพียรโดยการลองผิดลองถูกไปจนกว่าจะเดินได้ตรงกันทั้งนั้น....
ส่วนจะใช้เวลานานแค่ไหนก็ต้องขึ้นอยู่กับระดับปัญญาของแต่ละคน....
ซึ่งบางคนในระหว่างที่ยังมีลมหายใจ ก็สามารถ"รู้"
และเดินได้ตรงทางแล้ว ...ก็รอดตัวไป
ส่วนที่สะเปะสะปะจนตายไปก็มีให้เห็นอยู่มาก...
ดังนั้นมนุษย์จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เพื่อให้โลกได้สวยงามยิ่งขึ้นนั้น
ก็ต้องอาศัยผู้ที่เดินได้ตรงแล้ว มาคอยให้คำแนะนำต่อผู้ที่ยังเดินไม่ตรง
ซึ่งก็ต้องเป็นการให้ที่ถูกกาลอันควร
เพื่อให้เขาเหล่านั้นได้นำไปพิจารณาเพื่อความเข้าใจต่อไป...
และผู้ที่เดินได้ตรงแล้วนั้นย่อมปล่อยวางต่อสิ่งที่ได้ให้ไปแล้ว...
เพราะล้วนเข้าใจดีเรื่อง "บัวสี่เหล่า" ที่พระพุทธเจ้ากล่าวถึง...

ความปรารถนาดี ของผู้ให้...
และการรับของผู้รับที่ปราศจากอคตินั้นย่อมเป็นเรื่องดี
ที่ทั้งผู้ให้และผู้รับควรนำไปพิจารณา
เพื่อให้ได้ความเข้าใจในเรื่องที่ตนได้สนใจอยู่...
และจะเป็นอานิสงฆ์ที่ยิ่งใหญ่มาก
หากได้ทำความ "ความเข้าใจ" ในเรื่องนั้นอย่างแท้จริงร่วมกัน...

 

ฟังดูมีเหตุผลนะครับ.(ร่างกายไม่ใช่ของเรา ของแน่อยู่แล้ว)
ปล.อดีต ผมเคยไปบริจาคร่างกาย (อจ.ใหญ่)ให้แก่หน่วยงานของมหาลัยแห่งหนึ่งที่ผมอยู่เพราะคิดว่า ตายไปแล้ว ร่างกายยังทำประโยชน์ได้อยู่ และก็อยากได้บุญเยอะๆด้วยครับ555 แต่ตอนนี้กลับไปยกเลิกสัญญา (เปลี่ยนใจอย่างกระทันหัน) เหตุผลก็คงเป็นอย่างที่ท่านว่ามา ผมไม่มีสิทธิ์ในกายนี้ด้วยประการทั้งปวง.ยืมเค้ามาต้องดูแลรักษาให้ดีที่สุด ถึงเวลาคืนกลับ อยากจะคืนในสภาพที่ดีที่สุด เช่นกัน(หากทำได้)

 

อ่านวิธีการปฎิบัติของเขา....ก็คิดว่าดีมากๆ...
แต่พออ่านไปเกือบจบ...ให้กำหนดเป็นแสงสีชมพู
รู้สึกมันแปลกๆ...
ไอ้ตัวเรา...ก็รู้สึกไม่อยากนึกสีชมพูเลย...
ชอบนึกแต่สีขาวสว่าง หรือไม่ก็ ๗ สีซะเลย...
ชอบแบบนี้แหละ...

 

เฮ้อเหนื่อยใจ

 

ผลกระทบ

ลืมบอกไปว่า เมื่อตนเองถวายกายเนื้อ หรือ คิดไม่รักษากายเนื้อ
คิดมอบกายเนื้อให้กับ ผู้ที่ไม่ใช่รหัสเดียวกัน
ผลคือ มึน ปวด สั่น ไม่สามารถ synchronicity ได้ ก่ ต้องได้รับ
ผลอย่างนี้ .....
เพราะร่างกายเนื้อ ไม่ใช่ของตนเอง ได้รับการประทานมาจาก
ผู้ให้กำเนิด ก็ต้องรักษาไว้ให้ดี มีสิทธิ์ อะไรมอบกายนี้ให้กับผู้อื่น
โดยไม่ได้รับอนุญาต ..... เพราะอะไร เพราะคิดว่า กายยาว วา
หนาคืบ นี่ เป็นของตนเอง คิดว่าตนเองคือเจ้าของ
คิดส่งมอบกาย นี่ ให้ผู้อื่น คือ ความผิดที่เกิดจากความอหังการ ของตนเอง

 

ถูกครับ ร่างกายนี่ ไม่ใช่ของเรา
จะทำอะไรกับร่างกาย ก็ต้องขออนุญาตจากผู้ให้ ก่อน
เพียงแค่ให้หยิบยืมเพื่อการพัฒนาตนเอง ....

ลองดูว่า คนที่มอบร่างกายไปให้คนอื่น ใช้งาน
จะเป็นคนอย่างไร ... เตือนแล้ว

อกตัญญู หนึ่ง

มีความยะโส หนึ่ง

มีความดื้อ หนึ่ง

เพียงแค่นี้ ก็รู้ว่าเป็นคนอย่างไร ...

 

เฮ้อ... นานาจิตตัง

 

ขออนุญาติครับ มนุษย์ไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลย เป็นเรื่องของผู้ให้กำเนิดให้มาทั้งหมด เมื่อท่านให้มาแล้วควรทำตัวอย่างไร เมื่อตอนที่ยังไม่มีจิตและกายเนื้อนี้เราแทบจะไม่รู้เลยว่าการเบียดเบียนนั้นก่อให้เกิดผลเช่นไร เมื่อได้โอกาสเป็นมนุษย์แล้วได้รู้แล้วการเบียดเบียนตนเอง ผู่อื่น และทุกสิ่ง จึงทำให้เกิดทุกข์ มากมายเพราะการมีกายเนื้อทำให้รู้ว่าการถูกตีถูกฟันมันเจ็บมันปวด การถูกด่าว่าเสียดแทงกันมันทำร้ายจิตใจกันทุกคนก็รู้แต่ก็ยังทำกัน ทั้งที่อุปกรณ์การเรียนการสอนที่ครูอาจารย์ทั้งหลายท่านให้ยืมมานี้มีค่ามากขนาดไหน ทำไมไม่ดูแลรักษาให้ดี ถ้าไม่มีอุปกรณ์การเรียนนี้พวกคุณจะพัฒนาตนเองได้ไหมจะรู้และเข้าใจถึงความทุกข์ไหม ถ้าไม่มีอาจารย์เบื้องหลังคอยเตือนคอยสอนท่านจะรู้ไหม ทุกสิ่งทุกอย่างท่านรู้ได้ด้วยตัวเองจริงๆเหรอ (มนุษย์ก็เป็นอย่างนี้คิดว่ากูเก่งกูรู้ได้ด้วยตัวเองทั้งที่ไม่มีอะไรเป็นของตัวเองซักอย่าง) ถ้าไม่ไม่มีการเบียดเบียนความทุกข์ทั้งหลายมันก็ไม่มีอยู่แล้วนี้ครับ แถมยังไปฝึกอะไรกันมากมาย ก็เพื่อแสดงว่ากูมีมากกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง ทุกศาสนาก็สอนให้เป็นคนดีใช้ชีวิตอยู่ในศีลอยู่แล้ว ศาสนาก็เป็นทางเดินแล้วใครเป็นผู้ให้รางวัลเหรอครับ เราให้รางวัลตัวเองได้ด้วยเหรอทั้งที่ไม่มีอะไรเป็นของตัวเองซักอย่าง อย่าได้ลืมผู้ให้กำเนิดเราอีกเลยท่านอยู่ภายในใจของเรานี่ละสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายก็อยู่ภายในใจของเรานี่ละไม่ต้องไปหาที่ไหน เพียงแค่นอบน้อมระลึกถึงองค์ท่านทั้งหลายภายในใจและตั้งใจที่จะใช้ชีวิตโดยไม่เบียดเบียน เดี๋ยวการจัดสรรก็จะเข้ามาเองเพื่อให้เรารู้และเข้าใจถึงการเบียดเบียน และเพราะความนอบน้อมต่อทุกสิ่งที่จัดสรรให้รู้เรื่องราวมากมาย ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อทุกสิ่งและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย

 

ช่วยอธิบายทีครับผมไม่ทราบจริงๆ มนุษย์ชมภูนี้คืออะไร

 

ผมเองก็ยังรู้แค่คร่าวๆ ครับ มนุษย์ยุคแรก มีแค่ใจ พลัง มาร แล้วก็พัฒนามาเรื่อยๆตามระบบของผู้ให้กำเนิดมนุษย์ เนื่องจากยุคแรกยังไม่มี จิต และกายหยาบ จึงไม่เข้าใจว่าการเบียดเบียนก่อให้เกิดผลรุนแรงมากมาย คือทำร้ายกันได้โดยไม่ได้รู้สึกอะไรและมนุษย์ยุคชมภู ก็เป็นมนุษย์ตามแบบเราๆนี่ละครับที่ถูกออกแบบมาให้มีจิตและกายหยาบครับ เพื่อให้รู้และเข้าใจถึงการเบียดเบียน เพราะการเบียดเบียนจึงก่อให้เกิดทุกข์ และก่อให้เกิดชาติภพตามมาไม่สิ้นสุด เพราะการเบียดเบียนไม่ดำรงค์อยู่ในศีล นั้นทำให้ธาตุทิพย์(กายทิพย์) พร่องไม่สมบูรณ์ เบียดเบียนส่วนใดส่วนนั้นก็พร่องไม่สมบูรณ์(เช่นสร้างโรงงานที่เป็นมลพิษเบียดเบียนต่อมนุษย์ และธรรมชาติ = เบียดเบียนตัวเอง) พอเกิดมาในชาติต่อไป ก็จะเป็นคนที่มีความบกพร่องในเรื่องของปอด เพราะกายทิพย์ตนเองไม่สมบูรณ์ หรือปรามาสต่อคำสอนของผู้ประเสริฐผลก็คือธาตุส่วนสมองก็เสียหาย(ก็เบียดเบียนตัวเองอีก) ทำให้เป็นคนดื้อใครสอนอะไรก็ไม่ฟังไม่เข้าใจ หมดโอกาสพัฒนาตนเองไปโดยปริยายด้วยเหตุนี้มนุษย์ส่วนใหญ่ที่คิดว่ากูรู้กูเก่งแล้ว จึงพัฒนาตัวเองต่อไม่ได้เพราะคิดว่า สิ่งที่ตนเองมีนั้นรู้นั้นเกิดจากกูรู้กูทำด้วยตัวเอง เพราะลืมไปว่าตัวเองไม่มีอะไรเป็นของตัวเองซักอย่าง เพราะคิดว่ากายธรรมนั้น เป็นกายที่กูทำได้ด้วยตัวกูเอง แถมได้แค่ชาติเดียวก็คิดว่าจบแล้ว - -

 

วิธีรอดก็มีนะครับ วิธีแรกก็ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนทั้งที่ทุกอย่างขอยืมมาทั้งหมด(ลืมพระคุณของผู้ให้หมดเลย) เห็นแล้วว่าการเบียดเบียนก็ให้เกิดทุกข์ เกิดชาติภพ ก็หยุดการเบียดเบียนเริ่มบำเพ็ญตนตามแนวต่างๆ โดยธรรมชาติเป็นผู้จัดสรร และทดสอบ มากมายจนมั่นใจโดยเนื้อแท้เป็นคนดีอยู่ในศีลและใช้ชีวิตโดยไม่เบียดเบียนตัวเองผู้อื่นและทุกสรรพสิ่ง แล้วท่านก็ปรับให้มนุษย์ตนนั้น มีกายธรรมตามระบบของการทำดีนั้น

 

อีกวิธีก็สำหรับคนที่มีใจที่นอบน้อมและระลึกถึงผู้ให้กำเนิดเรามา ให้อุปกรณ์การเรียนการสอนนี้มาเพื่อการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองและปราถนาที่จะใช้ชีวิตอยู่โดยไม่เบียดเบียนตัวเองผู้อื่นและทุกสรรพสิ่งแล้ว นอบน้อมดำรงค์ตนเป็นผู้ขอชำระตัวตนในปัจจุบัน และในอดีตให้หมดเพื่อการกลับคืนสู่ธรรมชาติ (ชำระไม่หมดก็ต้องเกิดต่อไป)ทุกอย่างนั้นมีอยู่ในธรรมชาติ และในธรรมชาติมีเบื้องหลังมากมาย ทุกที่ล้วนมีผู้ดูแลการคิดว่าตัวเองเก่งและไม่นอบน้อมต่อผู้ดูแลนั้นคิดว่าจะผ่านไปได้เหรอครับ การกลับคืนนั้นจะต้องบริสุทธิ์จริงๆ ไม่ใชบริสุทธิ์แค่ชาติเดียวเมื่อบริสุทธิ์แล้ว สมบูรณ์แล้ว จึงจะไม่สะดุ้ง ไม่หวาด ในสิ่งใดเพราะอดีตปัจจุบันถูกชำระจนหมดสิ้นแล้ว การเดินทางขั้นต่อไปจึงมีแค่ปัจจุบันเท่านั้น
ปัจจุบันที่มีแต่ความนอบน้อมต่อทุกสิ่งและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายใช้ชีวิตโดยไม่เบียดเบียนตัวเองผู้อื่นและทุกสรรพสิ่ง(เบียดเบียนธรรมชาติและผู้อื่นย่อมเบียดเบียนตัวเอง)เมื่อทำไม่ดีอย่าโทษใครจงโทษตัวเองเถอะครับ
ส่วนการพัฒนาตนเองนั้น ทุกเผ่าพันธ์สามารถพัฒนาตัวเองได้ลองถามท่านภูดิษเองดีกว่าครับ ผมเป็นแค่เสี้ยวของฝุ่นเท่านั้นเมื่อเทียบกับท่าน

 

นิพพาน เป็นสิ่งที่มนุษย์พึงแสวงหา แต่แค่ศีล5 ยัง...
............ มนุษย์เราเมื่ออยากรู้อะไร ที่ยังไม่เคยรู้ก็มักจะพยายามทุกวิถีทาง จริงบ้างไม่จริงบ้างได้บ้างไม่ได้บ้างดีมั่งผิดมั่งก็ว่ากันไป กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว หลอดไฟกว่าจะมีให้ใช้แบบที่ได้มาตรฐานยังลองผิดลองถูกมาเป็นพันครั้ง จะไปบังคับใครเค้าให้ได้ดั่งใจก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นตัวมันเอง ก็มีความคิดความต้องการปณิธานส่วนตัว ใครเค้าจะทำอะไรอยากทำอะไรก็ชั่ง มันเรื่องของเขา เราทำได้เพียงแค่ออกความเห็นและแนะแนวทางที่เราคิดว่าถูกของเรา(ความคิดเรา) ความคิดใครตัวใคร ก็ตัวมัน เหมือนสอบแข่งขันต่างคนต่างก็อยากจะชนะ(สอบติด) การทดสอบก็คือการสอบผ่านไม่ผ่านเรื่องของคุณ ที่ๆเปิดสอบเค้าก็รับตามจำนวนตามผลงานไม่เกี่ยงว่าลูกหลานใคร (เล่นเส้นรับเอาคนใกล้ตัวคนสนิทเข้ามาเป็นเรื่องธรรมดา)
แต่สุดท้ายเมื่อมนุษย์รู้แล้วในสิ่งที่ตนอยากรู้ ก็ผ่านไปแล้วใช้ชีวิตต่อไปโดยนำความรู้ที่ได้รู้มาสร้างประโยชน์ต่อไปแล้วก็แสวงหาสิ่งที่ต้องการในลำดับต่อไป อีก อีก อีก ....จนกว่าจะพอใจ <----- สรุปไม่รู้จักพอ??? แค่รู้จักพอ ก็จบแล้วนิ
โลกเหรอ??? จักรวาลดีกว่า มิติมี เล็ก-ใหญ่ ไม่สิ้นสุด เล็กจนมองไม่เห็น ใหญ่จนมองไม่ทั่วเช่นกัน ก็เหมือนแกน X,Y,Z สามมิติที่แต่ละปลายยาวออกไปไม่สิ้นสุด
โลกที่เราอยู่ก็เช่นกัน มีมิติเยอะแยะที่เรามองไม่เห็น ก็เหมือนวิทยุ-มีวี ที่เราดูที่ละช่อง พอหนังช่องนี้จบ เราก็เปลี่ยนช่อง ดูช่องอื่นได้ หรือดูช่องเดิมรายการต่อไปได้เหมือนกัน (ตายแล้ว ไปภพภูมิอื่น หรืออยู่ภพภูมิเดิมแล้วแต่) หากว่ามัวแต่หมกมุ่นภพอิ่นก็เหมือนทีวีจอเดียวจูน 2ช่องฉายพร้อมกัน ตย. รับช่อง3,5,7 พร้อมกันฉายพร้อมกัน เราจะเห็นภาพลางๆ มั่วไปหมด เสียงก็ซ้อนกัน ตัวละครช่อง3กับ7ซ้อนกัน แต่เสียงข่าวช่อง 5 เออ...มันดูแล้วเพลินดู ตลกขำขำชั่วคราว แต่..ดูรู้เรื่องเหรอ??? มิติซ้อนมิติไม่ใช่เรื่องสนุก เพราะคนรอบข้างจะเห็นเราไม่ตรงกับความเป็นจริงที่เราแสดง แล้วไง?? เป็นตัวตลกไง ที่ถูกประนามโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะพวกที่หลงในมิติหาทางออกกลับบ้าน(กลับเข้าตัวเองไม่ได้ บางคนประมาทคิดว่าฉันเก่งฉันแน่เอาจิตออกได้ ก็โดนสิถ้าไม่แน่จริง พวกที่มันจ้องๆ อยากได้บ้านอยู่น่ะเยอะ ต.ย.สัมภเวสีทั่วไป มิตินี้บ้างมิติอื่นบ้าง) จะสังเกตุได้ว่าคนที่เราดูว่าเค้าไม่เต็มเยอะมาก เดี๋ยวนี้แถวบ้านเรามาไงไม่รู้อยู่ๆเพิ่มมาอีก2,3คนเฉพาะเดือนนี้ แต่เราคนนึงที่จะอยู่แบบชิวชิวง่ายๆสบายๆไม่ซีเรียส ไหลมิติ(เวลา)ไปตามทางของเราไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร เงาตามมาเป็นแถว เพราะถ้าเงาไปเซอเวย์ก่อนโอกาสมิติก่อนหน้าจะดักขาล้มมีสูง เหนื่อยมั่งก็พักมั่งนิพพานกันได้ทุกคนอยู่แค่ว่าตัดสินใจอะไรยังไง แต่นิพพาน(เว้นช่วง/หลับพักบำรุงจิต)นานๆก็ไม่ดีเหมือนกัน ใจมันจะแข็งด้านตามจิต

............
อัล-ลอฮฺ . พระธรรม
อัลลอฮฺ ู อักบัร...ยิ่งใหญ่แค่ไหน??? จักรวาลไง ทั้งหมดนั่นแหละก็คือพระธรรม(พระ-ธรรมชาติ) ธรรมจักร เป็นสิ่งที่เที่ยงตรง เหมือนวงกลมที่ไปจบตรงจุดสตาร์ท
ใหญ่สุดยังเล็กกว่าเล็กสุด เล็กสุดก็ยังใหญ่กว่าใหญ่สุด..... วงกลม ไกลสุดคือจุดที่ใกล้สุด เส้นผมบังภูเขา
อัลลอฮฺคือทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างคือส่วนหนึ่งของอัลลอฮฺ
น้ำ 10หยดรวมกันเป็น1หยด ลาอิลัลลาฮ-ะ ลิลอลลอฮฺ อิสลามสอนให้รักและสามัคคีดุจพี่น้อง เพราะ ฯลฯ
.............................
เหรียญมันมี2ด้านก็เหมือนคนที่ ..สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ เป็นคนดีได้เพราะคิดดีทำดี และก็เป็นคนเลวได้หากคิดชั่วทำเลว ตรีมูรติยังสร้าง/ดูแล/ทำลาย กาแฟทรีอินวันเลย (บอกไว้นิด บางสิ่งอารมณ์ดีก็สร้าง ว่างๆก็ดูแล จะไม่แยแสแล้วทำลายถ้าโดนสกิดอย่างไม่ชอบธรรม-ะ) พระเจ้าในสายตาคนดีแต่จะเป็นพญามารในสายตาคนเลว ที่เหลือคิดต่อเอาเองนะ

 

มนุษย์

มนุษย์ เกิดมาและดำรงอยู่ และเจริญงอกงาม เพราะอะไร เพราะใคร

มนุษย์ สูญเสียความเป็นมนุษย์ เพราะอะไร

มนุษย์ จะกลับบ้าน หรือ กลับคืน ความบริสุทธิ์ ได้อย่างไร

มนุษย์ คิดว่า ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน (ถูกต้องแล้ว ฤ)

ใครตอบได้? และจริง ฤ ว่าเมื่อ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน เป็นทางรอด
อย่างที่สุด แล้ว