////// เพื่อมรรคผล นิพพาน //////

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย xeforce, 8 ธันวาคม 2013.

  1. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    ขอนุญาติแนะนำการปฏิบัติ ที่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้น และมีความปราถนา บรรลุธรรม
    ในชาติปัจจุบัน ให้แก่ ผู้ที่เริ่มปฏิบัติและยังติดขัดอยู่


    บทความต่อไปนี้เป็นเพียงการแนะนำในการวางจิตเท่านั้น ส่วนหลักในการปฏิบัตินั้น
    ขอยกหลักหลักคำสอนของพระพุทธองค์มาทั้งหมด ตัวผมเอง ไม่ทำคำสอนขึ้นมาเอง
    เพราะธรรมะที่พระพุทธองค์แสดงไว้แล้วนั้น บริสุทธิ์ บริบูรณ์ ที่สุดแล้ว
    ผมมาเพียงเพื่อแนะนำกันแบบเพื่อน แบบกัลยาณมิตรคนหนึ่ง อยากให้ท่านทั้งหลาย
    ที่แสวงหาทางหลุดพ้นได้เข้ามาสู่ทางตรง เป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพาน การแนะนำนี้หวังว่า
    จะมีซักคนที่ได้อ่านแล้วปรับความคิด ปรับแนวทางพาคนพ้นจากทุข์ได้ ขอเชิญพวกท่าน
    พิสูจน์คำสอนของพระพุทธองค์ด้วยตนเองเถิด



    โอกาสทอง
    เราควรใช้โอกาสนี้ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ และ พบคำสอนพระพุทธเจ้า ซึงการหาธรรมะ
    มาฟังมาอ่าน ในยุคเรานี้ เป็นของง่าย อยากรู้อยากฟังธรรมจากพระ องค์ใดก็ง่ายเหลือเกิน
    ต่างจากคนในอดีตที่จะต้องบวชเป็นพระ รับคำสอนจากครูบาอาจารย์ หากได้อาจารย์ดี
    ก็เป็นบุญวาสนาที่ได้พาตัวไปปฏิบัติให้ถูกต้องตรงแนว แต่หากเจอครูบาอาจารย์ไม่ดี ก็อาจ
    เสียเวลาเปล่าไปชาติหนึ่งก็ได้ แต่เมื่อเราเกิดมาในยุคนี้ อย่าว่าแต่คำสอนของครูบาอาจารย์เลย
    แม้แต่พระไตรปิฏก ยังสามารถหามาได้ใน คลิ๊กเดียว มันขึ้นอยู่กับเราว่าจะเอาหรือไม่
    โอกาสครั้งนี้อาจจะโอกาสดีที่สุดแล้วตลอดกาลที่เราเวียนว่าย อยู่ในสังสารวัฏนี้ก็ได้

    ตั้งความปราถนาอย่างน้อยต้องบรรลุธรรมขั้นต้นเป็นโสดาบันบุคคล ในชาติปัจจุบันก็จะ
    เป็นหลักประกันว่า เราจะไม่เป็นผู้ไม่ตกต่ำอีก ไม่ต้องเกิดในภพของอบายภูมิอีก
    หากชาติปัจจุบันเรายังไม่ถึงโสดาบัน ก็ไม่อาจประกันคติที่ไปในชาติหน้าได้เลย ว่าเรา
    จะไปทางไหน แม้คนนั้นจะทำดีมาตลอดทั้งชีวิตก็ตาม



    แล้วจะได้อะไร
    ผลที่แน่นอนหากบรรลุธรรมในขั้นต้นแล้วนั้น ขอยืนยันว่าทุกข์ลดแน่นอน บางคน
    อาจบอกว่า "ชีวิตเราไม่ได้ทุกข์อะไรมากมายนี่" คนที่พูดอย่างนี้อาจยังไม่เคยเจอทุกข์
    ใหญ่ในชีวิต ยังไม่สูญเสียของที่ตนรัก หรือคนที่เรารัก แต่หากเคยเจอทุกข์ด้วยแล้ว
    ก็คงจะพอทราบดีว่า ความทุกข์ที่มันบีบคั้น นั้นมันมากแค่ไหน การที่เราได้ดวงตาเห็นธรรม
    เป็นโสดาบันแลัวนั้นก็จะเข้าใจหลักธรรม ความเป็นไปตามธรรมชาติ ว่าของทุกอย่างไม่เที่ยง
    มันจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา ของทุกอย่างล้วนเกิด-ดับ แล้วจะมีอะไรน่ายึดถือ แค่นี้
    ทุกข์ในใจก็ลดลงไปมากแล้ว


    วาสนาเราน้อย
    เราอาจไม่รู้ว่าเรามีบารมีมากแค่ไหน แล้วจะบรรลุธรรมในชาตินี้ได้หรือไม่ อาจคิดไปเอง
    ว่าการเป็นพระอริยะบุคคลนั้นเป็นของยาก วาสนาเรามีน้อย ชาตินี้คงไม่ได้ เอาไว้ฝึกชาติหน้า
    ดีกว่า!! ขอให้หยุดความคิดนี้ไว้ก่อนครับ แท้ที่จริง บารมีนั้นคืออะไร... บารมีนั้นก็คือ "กำลังใจ"
    กำลังใจที่จะปฏิบัติตน เอาจริง เพื่อมรรคผลนิพพานนั่นเอง คนที่มีบารมีมาก คือคนที่มีกำลังใจ
    ในการปฎิบัติมาก มั่นคงในทางเดิน มรรค8 และคนที่มีกำลังใจมาก ดำเนินอยู่บนทางที่ถูกต้อง
    สุดท้ายจะเป็นอย่างไร ถ้าไม่ใช้มรรคผลนิพพาน ก็เหมือนกับนักกีฬาที่มีกำลังใจมาก เพียรฝึกซ้อม
    อยู่ตลอดวัน อยู่ตลอดคืน และมีโค้ชดี มีวิธีการเทคนิคดี ก็ทำให้นักกีฬาคนนั้น ไปแข่งขันแล้วได้
    ชัยชนะกลับมา ย้อนกลับมาที่การปฏิบัติธรรมของเรา การที่เรามีบารมีมาก(กำลังใจมาก)
    ฝึกเจริญสติปัฏฐาน4 อยู่ตลอดด้วยความเพียร มีกัลยาณมิตรที่ดี (มีโค้ชดี) เดินตามมรรคมีองค์8
    (วิธีการและเทคนิคที่ดี) ผลที่ได้รับก็คือ การบรรลุธรรมประหารกิเลสที่เป็นเชื้อเกิด นักกีฬาทั้งหลาย
    ยังฝึกได้แล้วทำไมเราจะฝึกไม่ได้ การที่นักกีฬาฝึกซ้อมนั้น ไม่อาจกำหนดเวลาได้ว่าฝึกไปแล้ว
    เข้าแข่งขันจะชนะวันใด อย่าง สมจิตร จงจอหอ ไปโอลิมปิคมา 3 ครั้ง 12 ปี กว่าจะชนะเลิศ
    ได้เหรียญรางวัลกลับมา แต่การปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน4 เดินตามมรรค8 นั้น พระพุทธองค์ตรัส
    รับรองไว้แล้วว่าไม่เกิน 7 วัน 7 เดือน 7 ปี




    ...................................

    พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 254

    [๓๐๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้
    ว่าอย่างนั้นตลอด ๗ ปี ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระ-
    อรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑

    ..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๗ เดือนยกไว้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง
    พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้อย่างนั้น ตลอด ๖ เดือน ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒
    ผลอันใดอันหนึ่ง คือพระอรหัตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยัง
    เหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑......

    .... ดูก่อนภิกษุทั้งหลายกึ่งเดือนยกไว้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง
    พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้อย่างนั้น ตลอด ๗ วัน ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒ ผล
    อันใดอันหนึ่ง คือพระอรหัตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยัง
    เหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑...

    ................................




    ผลที่ได้นั้นยิ่งใหญ่นัก ประเสริฐนัก แล้วจะรออะไรเริ่มกันเลยตั้งแต่ตอนนี้ นาทีนี้



    กระทู้เดิม อานาปานสติ http://palungjit.org/threads/อานาปานสติ-นี้-ดีจริงหรือ.514193/






    ...............................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2013
  2. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    ผมจะแนะนำวิธีปฏิบัติที่ผมปฏิบัติ คือ อานาปานสติ ซึ่งพระพุทธองค์
    ตรัสสรรเสริญเอาไว้ ว่า ผู้ทำซึ่งอานาปานสติ เมื่อทำให้มาก เจริญให้มาก
    ย่อมมีผลให้ มีอานิสงส์ใหญ่


    เตรียมจิต
    ก่อนเราเริ่ม ปฏิบัติ ทำกำลังใจให้แน่วแน่ต่อทางที่เราจะเดินนี้
    ว่าเราจะปฏิบัติมรรควิธีนี้วิธีเดียว ทำจนสำเร็จผล วางความรู้ที่ตนได้ศึกษา
    เอาไว้ก่อน วางใจเรื่องมรรคผลนิพพาน ว่าเราจะไม่คิด ไม่หวัง
    สิ่งที่เราต้องทำใน 7 วัน 7 เดือน 7 ปีนี้ เราจะรู้สึกที่ลมนี้เพียงอย่างเดียว
    ทำจิต ไม่เบียดเบียดผู้อื่น จิตที่มีศีล เพราะการทำผิดศีล มีผลให้จิตฟุ้งซ่าน



    .........................
     
  3. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    พูดคล้ายๆกับสำนวนในหนังสือธรรมะ 7 เดือนบรรลุธรรมของ ดังตฤณ เลยนะครับ

    http://www.dungtrin.com/7months/

    ไม่ทราบว่าเคยอ่านไหมครับ
    ยังไงก็ขออนุโมทนากับการเผยแพร่ธรรมะนะครับ
     
  4. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413

    7 เดือนบรรลุธรรมเคยฟังเป็นเสียงอ่านครับ แต่ฟังยังไม่ครบ
    สำนวนอาจไปคล้าย เพราะกับคุณดังตฤณ เพราะผมต้องการ
    แต่งคำ ซึ่งผมก็ไม่ค่อยถนัด เพื่อที่จะสร้างความหึกเหิมให้ผู้ปฏิบัติ
    ที่อาจคิดว่า การบรรลุธรรม เป็นเรื่องยากชาตินี้คงทำไม่ได้
    ให้หันมาปฏิบัติตาม พระพุทธองค์ ไม่หลงไปในสมถะมากไป
    ตอนนั้นผมติดอยู่ในสมถะ ผมก็ไม่รู้ตัว คิดว่าตนไม่ติดสมถะ
    และเหมือนกับบางท่าน ที่เป็นอย่างผม และข้อติดขัดบางอย่าง
    อาจจะเข้ามาอ่านแล้ว ได้ข้อคิดบ้าง เจตนาอาจเหมือนคุณดังตฤณ
    ที่ชี้ให้เห็นว่า ตั้งใจปฏิบัติเอาจริง และเดินถูกทาง เพียงไม่เกิน
    7 ปี ก็สามารถบรรลุธรรมได้จริง ตอนแรกจะหยิบพุทธพจน์ เรื่อง
    สติปัฏฐาน 4 ที่พระพุทธองค์ตรัสรับรองเอาไว้ด้วยแต่ รีบโพสไปหน่อย
    เลยหยิบมาด้วยไม่ทันครับ


    .............................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2013
  5. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
     
  6. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
     
  7. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    อยากฟังต่อครับ แล้วไงต่อ

    ว่าแต่ขอเสริมนิดหน่อยนะครับ
    ที่ว่า วาสนาน้อย นั้นก็ไม่ใช่ซะทีเดียวนะครับ

    วาสนา หมายถึง นิสัยที่สั่งสมมาหลายภพชาติจนเป็นความเคยชิน

    แนะว่าใช้เป็นหัวข้อ

    โชคดีหนักหนาที่มาเจอพุทธศาสนา

    น่าจะดีกว่า คำว่าวาสนาน้อยนะครับ

    ถ้า &version ดังตฤณ เขาใช้ว่า

    เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา มีค่าแค่ไหน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 ธันวาคม 2013
  8. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413


    ขอคั้นด้วยการเล่าสภาวะ ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ณ ปัจจุบัน ก่อนนะครับ
    พอดี 3 วันที่ผ่านมา ญาติผมชวนไปปฏิบัติ ที่วัดเขาสมโภชน์ ลพบุรี
    ก็พาเค้าไปตามนั้น ผมจะได้ปฏิบัติเพิ่มเติมด้วย โดยอาศัยสถานที่นี้
    แต่ขอไม่วิจารณ์ การปฏิบัติ เรื่อง "ออกกรรม"ของที่วัดนะครับ
    แต่บรรยากาศที่วัดดี


    ยินดีในรูป
    วันแรกไปถึงยังคงไม่คุ้นชินกับสถานที่วัด นั่งรอญาติ อยู่ใต้ต้นไม้
    เห็นสายตาคู่หนึ่งส่งมาทางนี้ หันกลับไปมองเป็น เด็กสาวอยู่อายุ ประมาณ
    17-18 ปี เมื่อเห็นรูปเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้า จิตรู้สึกชอบ เด็กสาวคนนี้จริง
    จะด้วยสัญญาเก่า หรือ สภาวะธรรมทางจิต อะไรก็ตาม รู้สึกถึงอาการของจิต
    ที่มัน ยินดีในรูปของเด็กสาวนี้เหลือเกิน สติย้อนกลับมาเห็นทุกครั้ง
    แต่จิตยังอยากเห็นรูปนั้นอยู่ แม้นั่งอยู่ในหมู่้ปฏิบัตแต่ิ จิตมันทะยานอยากที่จะ
    เห็นในรูปนั้น แต่ไม่มีการปรุงแต่งเพิ่ม สภาวะนี้เป็นตลอดช่วงเวลา 3 วันนี้



    แยกตัว
    รู้สึกการปฏิบัติไม่ค่อยตรงจริตเท่าไหร่ เลยแยกออกไปเดินจงกรมคนเดียว
    เมื่อแยกตัวออกมา การปฏิบัติของผมสังเกตุถึงสติ ที่ทันในทุกการเดินทุกจังหวะ
    แต่ขาดสติเมื่อไหร่จิตก็หวนระลึกถึงเด็กสาวคนนั้นทุกครั้ง เป็นเหมือนอาการ
    เสพติดของจิต ที่แสดงให้เห็นถึงอนิจจังของจิต ที่ไม่สามารถบังคับได้เลย
    รู้อาการที่ย่าง ที่เหยียบ จิตก็เคลื่อนไปอยากเห็นรูปนั้น เลยหันกลับมานั่งสมาธิ
    ดูบ้าง



    อสุภะกรรมฐาน
    เมื่อจิตอยากเห็นรูปของเด็กสาวคนนั้น ลองนึกถึงภาพของเด็กสาวคนนั้น
    (ต้องขออภัยเด็กสาวคนนั้นด้วยที่นำรูปเธอมา พิจารณาโดยไม่บอกกล่าว)
    เลยลองพิจจารณาที่ผมที่ดำนั้น มองเข้าไปเห็น ผมนั้นกลายเป็นขาวทันที
    จิตเห็นแต่มันถอนเด้งออกมา มองเข้าไปใหม่ ผมดำเปลี่ยนเป็นขาว จิตก็เด้ง
    ออกมาทุกครั้ง เหมือนจิตมันไม่ยอมรับ หันไปพิจารณาที่หน้า ก็เหี่ยวย่น
    ให้เห็นทันที จิตก็เด้งออกมาเหมือนเดิม เห็นจิตเป็นอย่างนั้น ก็ลุกขึ้นเดิน
    จงกรมต่อจนจบ 2 ชั่วโมง




    อยากเดินทางต่อ
    ตกกลางคืนนอนทบทวน ถึงจิตที่ยังหลงในรูป และรู้สึกไม่ยินดีกับการอยู่ตรงที่เดิมนี้..
    แม้ที่ผ่านมาจะยังพอใจในสิ่งที่ตนผ่านมาแล้ว และเป็นไปตามที่ตนตั้งเอาไว้ในชาตินี้แล้ว
    แต่ตอนนี้กลับอยากพยามยามไปต่อ เห็นแล้วว่าแม้แต่การที่จิตยังหลงยินดี
    พอใจกับรูปที่ปรากฏอยู่ นั้นก็พาในให้ทุกข์ สภาวะจิต แม้ไม่บีบคั้น ไม่ปรุงแต่ง
    แต่เห็นจิตที่มีทุกข์เจืออยู่ ก็ถามตัวเองว่ายังอยากเกิดอีกหลายไหม
    อยากเอาให้จบในชาตินี้ไหม ตอบเลยว่าอยากเดินทางต่อ แต่ยังไม่เห็นว่าตัวผมเอง
    จะทำอย่างไร ใครจะแนะนำ จะถามครูบาอาจารย์ที่ไหนดี .....



    ..............................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2013
  9. ปราบผี

    ปราบผี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +365
    เราเชื่อว่าเป็นการส่วนตัวว่า หลวงพ่อปราโมทย์ ที่ถึงที่สุดแห่งธรรมแล้ว
    คุณซีฟอส ลองไปถามทางท่านดู แล้วท่านสอนยังไงก็มาเล่าสู่กันฟังบ้างนะ

    แต่ ส่วนใหญ่ ท่านจะสอนว่า

    ให้มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง(โดยความเป็นไตรลักษณ์)ลงในปัจจุบันด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง

    การปฏิบัติมันก็มีอยู่แค่นี้แหละ

    ท่านสอนอีกว่า ขั้นต้นๆ โสดาฯ สกทาฯ ฆราวาสทำได้ไม่ต่างกับพระถ้าคิดจะทำ

    แต่ขั้น อนาคาฯ กับ ขั้นอรหันต์ นี่ฆราวาส ยุคปัจจุบันทำได้ยากกว่าพระ

    ถ้าในขั้นสูงขึ้นไป แนะนำให้ถือศีล 8 บ่อยๆ จะทำให้การปฏิบัติราบรื่นขึ้น

    และท่านเคยเล่า เรื่องที่ท่านไปหาหลวงปู่ดูลย์ ครั้งสุดท้ายให้ฟังว่า

    หลวงปู่ สอนว่า พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ พบจิตให้ทำลายจิต จึงจะถึงความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง

    พอกลับจากไปหา ลป.ดูลย์ ท่านไปกราบหลวงพ่อพุธ ท่านก็บอกว่า ลป.ดูลย์ก็สอนท่าน(ลพ.พุธ) เช่นนี้เหมือนกัน ลพ.พุธท่านขยายความให้ว่า ทำลายผู้รู้หรือจิต หมายความว่า ไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวผู้รู้หรือในจิต

    ผ่านไปหลายปี หลวงพ่อปราโมทย์(ตอนเป็นฆราวาส) ท่านไปฟังธรรมที่ ลพ.พุธเทศน์ ที่องค์การโทรศัพท์

    คราวนี้ ลพ.พุธ สอนว่า จิตผู้รู้เหมือนฟองไข่ เมื่อลูกไก่ที่อยู่ข้างในเติบโต จนเต็มที่แล้ว จะเจาะทำลายเปลือกไข่ออกมาเอง

    วิธีทำให้ลูกไก่โตก็คือเจริญสมถะวิปัสสนา รู้ทุกข์คือกายและใจเป็นไตรลักษณ์ ไปเรื่อยๆ เมื่อจิตเห็นความจริงมากเข้ามันก็จะเกิดปัญญาทำลายอวิชชาได้เอง เราไม่สามารถสั่งจิตให้ตัดกิเลสได้ เพราะจิตเป็นอนัตตา เราทำได้เพียงพามันศึกษาความจริงจนมันรู้แจ้งในอริยสัจจ์ ก็จะพ้นทุกข์เอง

    ลองอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก หนังสือ ธรรมเทศนา 4 วันในสวนสันติธรรม โหลดได้ฟรีจาก ดูจิต...ด้วยความรู้สึกตัว หรือรับหนังสือฟรีที่วัด ได้ (บริจาคตามศรัทธา)

    เล่าพอเป็นแนวทาง เผื่อเป็นประโยชน์กับคุณซีฟอส ถ้ายังไงก็ขอให้ประสบความสำเร็จในทางโลกและทางธรรมนะ
     
  10. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320

    จะเดินทางไปไหน ในเมื่อแท้จริงแล้ว ไม่มีปลายทาง?
     
  11. ss_solomon

    ss_solomon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2012
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +54
    ทุกครั้งที่กินก๋วยเตี๋ยว ผมอดไม่ได้ที่จะต้องเติมเครื่องปรุงทุกครั้งเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2013
  12. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413

    ขอบคุณครับ สำหรับคำแนะนำ


    วันที่ผมอยู่ปฏิบัติที่วัดเขาสมโภชน์ จิตมันไม่พอใจไม่ยินดีกับสภาพที่จิตมันยังถูกบีบคั้น
    ด้วยตัณหา จิตมันอยากหาคนแนะนำ อยากหาครูบาอาจารย์ ตระหนักแล้วว่า ต้องมีคนแนะ
    ให้ไปต่อ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยได้ปฎิบัติอีกเลย จะมีก็แต่ เมื่อมี สภาวะอะไรเกิดขึ้นที่จิต
    มันจะกลับมารู้เองอัตโนมัติ แต่ไม่ได้ทำอานาปนสติอีกเลย ตลอด 5-6 เดือนนี้ ได้แต่ฟังธรรม
    เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น จะเป็นที่กรรมจัดสรรหรือไม่ ที่ทำให้ผม เห็นโทษภัย ของการที่ยังติดในรูป
    เพราะตัณหา(ความอยากเห็นรูป)พาตัวผมเดินไปในที่ที่เด็กสาวคนนั้นอยู่เมื่อคิดว่าจะเข้าไปคุยกับ
    เด็กสาวคนนั้น เมื่อผมก้าวเดิน มันสะท้านอยู่ที่ใจนี้ มันกลัวบาป ไม่กล้าทำผิด เลยหยุดเดิน
    จิตตอนนั้น คิดไปถึงครูบาอาจารย์ เพราะมันเคว้ง จิตคิดอยากกลับบ้าน ไปหาหลวงพ่อปราโมทย์
    อยากถามถึง สิ่งที่ผมต้องทำต่อไป ....

    ผมเล่าสภาวะจิตที่เกิดขึ้นจริงกับผมไม่ปิดบังเพราะหวังว่าสภาวะนี้อาจจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่เจอ
    เหตุการณ์ คล้ายๆกับผมขึ้น

    ขอบคุณ คุณปราบผี มากครับ ลิงก์ที่เป็นตารางการแสดงธรรมของหลวงพ่อปราโมทย์ที่เคยให้มา
    ผมคงได้ใช้จริงแล้วครั้งนี้ ตามตาราง วันที่ 21 ท่านแสดงธรรมที่สวนสันติธรรม ผมว่าน่าจะเป็นวันนี้
    บังเอิญตรงกับวันเกิดผมพอดี จะได้แนวทางปฏิบัติต่อ ส่วนตอนนี้เริ่มกลับมาเจริญอานาปนสติต่อ
    จะไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยที่ไม่เจริญอานาปนสติอีกแล้ว


    ..............................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2013
  13. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    "กลับมารู้" รู้อยู่ที่อะไร?
    รู้ถึงการควบคุมไม่ได้ ของสภาวะต่างๆ ของกิเลสตัณหา ที่ผ่านเข้ามา แล้วก็ดับไป ในจิต หรือยัง?
     
  14. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413

    กลับมารู้อยู่ที่สภาวะจิตที่เกิดปัจจุบันครับ ส่วนการที่เห็นว่าเป็นอนิจจัง
    ควบคุมไม่ได้ของจิตนั้น มันรู้สึกอยู่ลึกๆ เป็นความรู้สึกลึกๆโดยไม่ต้อง
    พิจารณา หรือคิดผลักดันจิตให้คิดว่ามันไม่เที่ยงบังคับไม่ได้เลย
    ขอยกอาการปัจจุบัน การที่ผมเห็นเด็กสาวคนนั้น ผมเห็นเป็นรูป รูปหนึ่ง
    จิตจึงไม่ได้ปรุงแต่งต่อ ให้เกิดเป็นราคะ แต่เห็นจิตที่มีตัณหาทะยานอยาก
    ที่จะเห็นรูปนั้น อยู่ตลอดเมื่อขาดสติ จิตจะคร่ำครวญ ขณะที่จิตคิดอย่างนั้น
    ผมไม่เคยคิดหรือบังคับมันว่า "อย่าคิดอย่างนั้นนะ" แต่ปล่อยมันเป็นไปตาม
    สภาพของจิต เมื่อจิตอยากเสพย์ในรูป ก็ปล่อย.. แต่สติมันก็เกิดมาเองเห็น
    ว่าสภาพจิตตอนนี้เป็นเช่นไร มีอาการอย่างไร อาการมีสติกลับมารู้เองเป็น
    อัตโนมัตินี้เกิดขึ้น ภายหลังจากที่เข้าใจในธรรมะแล้ว ผมไม่เคยระวังจิต
    ไม่ห่วงว่าจิตจะคิดดี คิดไม่ดีอย่างไร ไม่เคยเจริญสติอีกเลยหลังจากนั้น
    และแม้แต่ศีลเอง ผมก็ไม่เคยต้องระวัง แต่เมื่อมีสติอยู่แม้ถ้าหากจะทำผิด
    ออกไปใจนี้มันมีความสะท้านอยู่ข้างใน ทำอย่างไรก็ทำไม่ลง แม้แต่สภาพจิต
    ที่ชอบและยินดีในรูปของเด็กสาวคนนั้น จิตนี้ที่ชอบอยู่ รู้อยู่ ก็รู้สึกอยู่ลึกๆ
    ถึงรูปที่เห็นนั้น ไม่เที่ยง เช่นเดียวกับจิตนี้ แต่ถึงอย่างนั้น จิตนี้มันก็เพียร
    อยากเสพย์รูปนั้นอยู่ดี

    สภาวะที่เกิดขึ้นอยู่นี้หากไม่รบกวนท่านอินทรบุตรหรือท่านอื่นๆที่พอจะแนะนำ
    แนวทางปฏิบัติต่อไปได้ ตัวผมเองยินดีมากและอยากทราบว่าท่าน อินทรบุตร
    ตอนนี้ปฏิบัติแบบไหนอยู่ เป็นอย่างไร..ดูที่กาย หรือที่จิต ดูแล้วเป็นอย่างไรครับ
    อยากแลกเปลี่ยนธรรมะ เผื่อผมจะได้แนวทางในการปฏิบัติต่อครับ..........



    ...................................
     
  15. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว ก็เห็นด้วยตนเองแล้ว ว่า เมื่อไหร่มีสติครองอยู่ เมื่อนั้นจิตก็เริ่มมีหลักยึด ที่จะไม่หลุดลอย ไม่หลงไปตามสภาวะต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในจิต
    เมื่อไหร่ที่สติขาดลงไป ความเคยชินทั้งหลาย ที่เคยสะสมมาในอดีต มันก็ทำงานของมันตามปกติ

    เพราะทั้งหมดทั้งสิ้น มันก็แค่ห่วงโซ่ของขันธ์ต่างๆ ที่เคยสะสมไว้ มันทำงานต่อเนื่องกัน ส่งต่อกันเป็นทอดๆ ขาดสติ ก็ไหลเข้าไปในสายของมัน
    เมื่อมีสติ ระลึกรู้ไปเรื่อยๆ ก็มีกำลังในการ "ไม่เอา" มัน
    แค่รู้อยู่ แต่ไม่ส่งจิตเข้าไปยึดเกาะมัน มันก็จะสลายไปตามธรรมชาติของมันเอง ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องไปพยายามทำอะไรกับกิเลสตัณหา แค่มีสติ อยู่กับรู้ ให้ได้ตลอดเวลา จิตก็จะไม่หลงเข้าไปกับมัน และเป็นศีลโดยธรรมชาติ

    หากฝึกให้มีสติต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นแต่สิ่งพวกนี้มากขึ้น นำไปสู่ความเข้าใจ ว่าทุกอย่าง เป็นแค่สภาวะที่เกิดเป็นสาย ตามเหตุปัจจัย ไม่มีตัวเราอยู่ในส่วนไหนในสายของมันเลย ถ้าเห็นซึ้งถึงตรงนี้จริงๆ จิตก็จะเข้าใจว่า ที่เขาว่า ไม่มีเขา ไม่มีเรา ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ คืออย่างไร

    จากตรงนี้ ผมคิดว่า (เพราะเป็นส่วนที่นอกเหนือจากที่ผมรู้เฉพาะตน จึงใช้คำว่า คิดว่า) การฝึกให้มีสติ มีสมาธิ ละเอียดลงไปเรื่อยๆ จะเห็นการทำงานของจิต ในชั้นที่ละเอียดเข้าไปทุกที จนวันหนึ่ง อาจจะได้เห็นถึงอุปาทานขันธ์ ในชั้นที่ละเอียดที่สุด คือ การทำงานของจิตสุดท้าย ที่เป็นจิตที่พาไปเกิด
     
  16. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    ขอบคุณท่านอินทรบุตรครับ สำหรับคำแนะนำ
     
  17. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
  18. ไม่ยึด

    ไม่ยึด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +263
    ความคิดตื้นๆของคนกิเลสหนาคนนึงอยากจะเล่าให้คุณxeforce ฟัง
    มีตอนนึงนี่แหละที่ท่านทำทุกขกิริยากิเลสก็เหิอดแห้งไปแต่พอออกจากฌานกิเลสก็กับมาอีก
    เป็นอาการนึง ลองพิจารณาดูว่า กิเลสกลับมาอีก
    อืมรู้ได้ไงว่ากิเลสกลับมาอีก
    อืมรู้ได้ไงว่ากิเลสหมดแล้ว
    เอ๊ รึว่าท่านจะเห็นกิเลส

    รึว่าผมอาจจะบ้าไปแล้วก็เป็นได้

    ภาวนายังไงให้เห็นกิเลสเนอะอันนี้เนอะหายากเนอะมีแต่คนภาวนาหาจิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2013
  19. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ขออนุโมทนากับ คุณ xeforce นะครับ สำหรับการปฏิบัติธรรมและการนำประสบการณ์ธรรมะมาเผยแพร่

    นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่ เด็กอายุ 18-19 ปี สนใจใฝ่ใจในการปฏิบัติธรรม ดังที่คุณ xeforce เล่าให้ฟัง

    เธอคงทำบุญไว้ดีในกาลก่อน อันเป็นหนึ่งในมงคล 38 ประการ ดังข้อที่ว่า "ปุพเพ จะ กะตะปุญญะตา" จึงทำให้เธอสวยทั้งกายและใจ จนทำให้ คุณ xeforce หลงไหล

    ส่วนอานาปานสตินั้น เป็นกรรมฐานของพระมหาบุรุษคือพระพุทธเจ้า เลยทีเดียว แม้กระทั่งพระพุทธเจ้าตรัสรู้พระโพธิญาณแล้ว ท่านไม่ทรงละทิ้ง แต่ก็ยังใช้ อานาปานสติ เป็น วิหารธรรม คือ เป็น เครื่องอยู่ประจำจิต เพื่อความอยู่เป็นสุขในปัจจุบันขณะ อย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นสิ่งที่ควรเจริญให้มาก กระทำให้มาก จักเป็นประโยชน์ยิ่งใหญ่แก่ผู้กระทำ
     
  20. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    ตัวผู้รู้นี้คือ วิญญาณ ใช่ไหมครับ เพราะผมเอาวิญาณ ไปรู้รูป
    ไปรู้เวทนา ไปรู้สัญญา ไปรู้สังขาร แต่ไม่รู้ตัววิญญาณนี้เอง

    ขอบคุณมากครับ ท่านปราบผี และท่านอินทรบุตร สำหรับคำแนะนำ
    เพิ่งลองมองย้อนไปผมเห็นการเกิด-ดับ แค่ ขันธ์4 ขันธ์นี้เอง ยังไม่เห็น
    ตัววิญญาณ(ผู้รู้)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...