ใครศรัทธา หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด มาพูดคุยกันครับ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย คุณสนุก, 4 พฤศจิกายน 2010.

  1. rungaran

    rungaran เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    15,573
    ค่าพลัง:
    +57,322
    ***กราบ กราบ กราบ หลวงปู่ ทวดครับ***
     
  2. phattharaphong

    phattharaphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    758
    ค่าพลัง:
    +11,460



    พี่นวลที่รักครับ .... พระรุ่นเก่า วัดแจ้ง ยังเหลืออยู่ม่ายยยครับ
     
  3. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,205
    จะเห็นได้ว่าในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ทรงสอนให้ออกจากความทุกข์ด้วยคำสอน
    ทั้งเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด จนถึงขั้นอยู่เหนือดวงชะตา ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ อย่างองคุลีมาลที่ได้ฆ่าคนเป็นจำนวนมาก เมื่อได้พบพระพุทธเจ้า ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า จึงขอบวชในพระพุทธศาสนาพระพุทธองค์ทรงสั่งอย่างไร ก็ทำอย่างนั้น ออกไปบิณฑบาตก็ถูกทำร้ายกลับมาเลือดตกยางออก แม้กระนั้นก็ตามพระพุทธองค์ก็ยังทรงสั่งให้ออกไปบิณฑบาต จนภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่าช่างน่าอัศจรรย์จริงหนอ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทรมานพระองคุลีมาล ผู้เป็นมหาโจรมีฝ่ามืออันชุ่มด้วยเลือด ร้ายกาจเห็นปานนั้น ก็เพราะองคุลีมาลมีจิตน้อมไปในทางธรรม ตั้งแต่ได้พบกับพระพุทธเจ้าฟังธรรมของพระพุทธเจ้า จึงมีจิตใจที่มุ่งมั่นบากบั่น พระพุทธองค์ทรงทรมานในสิ่งที่เป็นแนวทางแห่งความประพฤติที่ถูกต้องดีงาม อันบุคคลทำได้ยาก ได้บุญได้กุศลอันมหาศาล จึงทำให้องคุลีมาลได้บรรลุอรหันต์ อยู่เหนือดวงชะตา ดังกล่าว

    แต่สำหรับปุุถุชนบางคนก็สามารถอยู่เหนือดวงได้เช่นกัน คือรู้จักสร้างคุณความดีที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลต่อคนเป็นอันมาก เป็นประโยชน์เกื้อกูลต่อสังคม ทำสิ่งใดเห็นถูกต้องชอบธรรมแล้วก็ไม่วางธุระแม้จะมีอุปสรรคก็บากบั่นฟันฝ่าไม่ย่อท้อ แม้จะถูกขัดขวางจากผู้มีอำนาจใด ก็ไม่ยำเกรง หากสิ่งที่ตนทำนั้นถูกต้อง และชอบธรรม เป็นประโยชน์ต่อตนโดยชอบธรรม ต่อสังคมโดยถูกต้อง บุคคลลักษณะนี้บางครั้งเราจะมองว่าดันทุรัง แต่เขาดันไปถูกที่ ถูกทาง ถูกต้องชอบธรรม เขาจึงได้ชื่อว่า เป็นผู้อยู่เหนือดวงชะตา แต่ทางตรงกันข้าม บุคคลบางคน หรือโดยส่วนมาก มีความประพฤติปฏิบัติต่อหน้าที่ที่ย่อหย่อน และไม่สู้งาน หน้าที่ หรืออุปสรรค เช่น จะซักผ้าสักหน่อย พอเห็นฝนตั้งเคล้าว่าจะตกก็หยุดเสีย จะมีข้ออ้างอยู่เสมอว่าร้อนนักก็หยุดเสีย หนาวก็หยุดเสีย ยังมืดอยู่ก็ไม่ทำ สายไปแล้วก็ไม่ทำ ค่ำเสียแล้วก็ไม่ทำ กลัวคนนั้นคนนี้ก็ไม่กล้าไป กลัวเจ้าหนี้เจ้านั่นเห็นก็ไม่กล้าไปกลัวทำให้เสื่อมลาภ ขืนเป็นบุคคลลักษณะเช่นนี้ ย่อมเป็นไปตามดวงชะตาที่เกิดมา อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะการกระทำ ย่อมทำให้มนุษย์แตกต่างกัน
    โดยมีฐานะที่สูงหรือต่ำ ดีหรือชั่ว เป็นต้น ตามพระพุทธพจน์ว่า
    กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีต แตกต่างกันไป

    วันพฤหัสที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๕
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 ธันวาคม 2013
  4. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,205
    พระท่านบอกว่าพระหลวงพ่อทวดปี 2506 มีแต่องค์ที่ชำรุดรอซ่อมแซมค่ะ

    แต่เห็นทางวัดมีจัดสร้างไว้
    ตอง ๒๒๒
    หากจำไม่ผิดหลวงพ่อทวดรุ่นสุดท้ายที่ทางจัดสร้าง
    มงคล ๕
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 ธันวาคม 2013
  5. phattharaphong

    phattharaphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    758
    ค่าพลัง:
    +11,460
    วัดแจ้ง สงขลา เข้าอ้อล้วน ๆๆๆๆๆๆ
     
  6. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,205
    ท่านใดที่เกิดขัดเคืองกับเพื่อนร่วมงาน
    หรือไปพูดจาบางครั้งไปกระทบบุคคลใด ไปโดนเขาเข้า
    ทำให้เขาไม่พอใจ
    สิ่งนั้นเพิ่งได้เพิ่งถึง

    พระคุณเจ้าท่านแนะว่า ให้จดชื่อกรวดน้ำ มอบให้เขาผู้นั้นไปส่งความสุขความเมตตา
    แต่หากเขายังมาเบียดเบียนอีก ให้แขวนพระไพรีพินาศค่ะ จะดีมาก
     
  7. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,205
    พระผงธูป หลวงปู่ทวด รุ่น ๕๕๕ สยบมาร

    วัดหัวถนน

    เป็นพระผงผสมขี้เถ้าธุูป ๑๐๘ วัด "๕๕๕ หมายถึง สร้างเมื่อ พ.ศ.2555


    ปลุกเสก เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ2555 อธิษฐานจิต โดย พระเกจิอาจารย์หลวงตาสอน พระครูอรุณกิจจานุกูล วัดแจ้งสงขลา ซึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์ ๑ ใน ๗๗ จังหวัด


    คำบูชาให้เกิดผล

    นะโม โพธิสัตโต จะ มหาเถโร อิทธิมันโต อานุภาเวนะ เชยยะสิทธิเม
     
  8. kantatat

    kantatat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +137
    ขอความเห็นครับ ผมอยากรู้จริงๆ
     
  9. ล้างใจ

    ล้างใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    7,268
    ค่าพลัง:
    +24,820
    ..............................

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      107.3 KB
      เปิดดู:
      1,112
  10. ไทแทน

    ไทแทน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +297
    _MG_1019.jpg


    กราบหลวงพ่อทวดครับ
     
  11. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,205
    กราบสมเด็จหลวงพ่อทวดค่ะ

    วิถีแห่งบุญบารมี
    เพื่ออยู่เหนือดวงชะตา

    พระสมุห์ปุญยวัจน์ ติกุขวีโร
    วัดพระนอนแหลมพ้อ สงขลา

    พื้นฐานการดำเนินชีวิต

    ทุกชีวิตเกิดมาต่างมีเป้าหมายเดียวกัน คือ ความสุข ความเจริญ บทบาทและหน้าที่มีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิต แต่เราไม่เคยฉุกคิดว่า บทบาทหน้าที่นั้นบางอย่างทำให้เรามีความสุขไปด้วย บางอย่างทำให้มีความทุกข์ตามมา และมันก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่อย่างนั้นซำ้ๆ ซากๆ ตราบใดที่บุคคลยังไม่สามารถแยกแยะสิ่งถูกผิดชั่วดี บาปบุญคุณโทษได้

    เพราะบทบาทและหน้าที่ที่เรากระทำอยู่นั้นบางอย่างเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เป็นบุญเป็นกุศลและหน้าที่การกระทำบางอย่างก็เป็นไปเพื่อเบียดเบียนทำลาย เป็นบาปเป็นอกุศล เราทั้งหลายจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมบางวันเราจึงมีความสุข บางวันจึงมีความทุกข์ แท้ที่จริงแล้ว ความสุขความทุกข์นั้นก็เกิดขึ้นจากการกระทำเพียงก่อนหน้านี้นี่เอง ถ้าเราได้ทำความดีก่อนหน้านี้ วันนี้เราจึงมีความสุข ถ้าก่อนหน้านี้เราสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น วันนี้เราก็จะต้องมีความทุกข์

    ในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ทรงวางหลักคำสอนให้เราได้ปฏิบัติกัน นั่นก็คือ
    หลักธรรมขั้นพื้นฐานในการดำเนินชีวิต ที่เรียกว่า บุญกริยาวัตถุ โดยย่อมี ๓ ประการ
    ดังนี้ คือ
    ๑. ทาน คือ การให้
    ๒. ศีล คือ ความปกติในการสำรวมกายวาจา
    ๓. ภาวนา คือ การทำให้มี ให้เป็นขึ้น เช่น การสวดมนต์ท่องบ่น หรือ
    การเจริญสมาธิ หมาย ถึง จากไม่รู้ให้รู้ จากไม่มีให้มี จากไม่เป็นให้เป็น ดังนี้เป็นต้น
     
  12. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,205
    หลักธรรม ๓ ประการนี้ ซึ่งเป็นหลักธรรมที่สามารถนำมาใช้ควบคู่กับบทบาทและหน้าที่่เรากระทำอยู่นั้น ให้เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล ทั้งผู้อื่นและตนเอง เป็นแนวทางแห่งการประพฤติดี ปฏิบติชอบเป็นการสร้างคุณความดี เป็นการสั่งสมบุญบารมี บุญเมื่อเต็มเปี่ยมแล้วจะมีอานุภาพ กลายมาเป็นโชคลาภ
    โชคลาภ
    ในที่นี้หมายถึงทรัพย์วัตถุสิ่งของที่มาโดยง่ายอยู่ไม่ไกลเอื้อม ตั้งแต่เล็ก ๆ น้อยๆ เช่น
    เขาชวนกินชวนเที่ยว มากกว่านั้นเขาให้ทรัพย์วัตถุสิ่งของ หรือมากกว่านั้นอีก เช่น การถูกหวย ถูกเบอร์ หรืออยากได้สิ่งใดในไม่ช้าก็ได้สิ่งเหล่านั้น อยากพบใครก็ได้พบในไม่ช้า หรือตอนเช้านึกถึงใครตอนสายก็ได้พบดังที่เราได้ประสบมาตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน ก็พอจะเป็นเหตุเป็นผลให้เราได้รับรู้และเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

    พระพุทธองค์ทรงตรัสยืนยันไว้ว่า ไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นมาลอยๆ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมาแต่เหตุ เหตุก็เพราะได้สั่งสมคุณความดี ดังที่จะได้กล่าวต่อไปนี้ว่าหลักธรรมที่เป็นเหตุแห่งความดีทั้ง ๓ ประการ

    ข้อที่ ๑. ทาน คือ การให้ "ทาน" ตามที่เราได้เข้าใจกันอยู่นั้นก็คือทรัพย์วัตถุสิ่งของ แต่ความเป็นจริงแล้ว แม้การยกมือไหว้บุคคลที่ควรไหว้ ก็เป็นการให้ คือ ให้ความเคารพ หรือแม้การให้ความรักความจริงใจ การให้ความเมตตากรุณา การให้ความช่วยเหลือด้วยแรงกาย ด้วยวาจา ด้วยการให้กำลังใจ ฯลฯ

    การให้ความเคารพบุคคลนั้นมี ๒ แบบ คือ
    ๑. ผู้สูงด้วยวัยวุฒิ
    ๒. ผู้สูงด้วยคุณวุฒิ

    การเคารพมี ๒ แบบ คือ
    ๑. ด้วยกิริยาทางกาย คือ การยกมือไหว้
    ๒. ด้วยการปฏิบัติตาม

    เมื่อมีการปฏิบัติตามแล้ว จากผู้สูงด้วยวัยหรือสูงด้วยคุณวุฒิ แม้วันเวลาล่วงไป บุคคลยังมีการเคารพอยู่ก็เหมือนได้อยู่สังคมเดียวกัน เขาย่อมเป็นเหมือนคนที่ยกฐานะของตัวเองให้สูงขึ้น ถือว่าเป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง สมดังในมงคลสูตร ๓๘ ประการว่า
    การมีความเคารพในมงคลอันสูงสุดความเคารพในที่นี้ หมายถึงความตระหนักซาบซึ้งรู้ถึงคุณความดีที่มีอยู่จริงของบุคคลอื่น ยอมรับนับถือความดีของเขาด้วยใจจริง แล้วแสดงความนับถือต่อผู้นั้นด้วยการแสดงความอ่อนน้อมอ่อนโยนอย่างเหมาะสมทั้งต่อหน้าและลับหลัง แม้จะทักทายหรือสนทนากันก็เป็นเพื่อประโยชน์เพื่อเกื้อกูล ยังประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ทั้งยกย่องและเชิดชูส่งเสริมกันให้เกิดความสุขความเจริญ ทั้งนี้ เป็นการสั่งสมบุญบารมีที่ดีอีกแนวทางหนึ่ง
     
  13. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,205
    การให้ความรักความจริงใจ คือ
    มีความเห็นใจซึ่งกันและกันในความตกยากเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในคราวที่จำเป็น เห็นกันเมื่อเจ็บไข้ ให้กันเมื่อยากจน เป็นความประพฤติปฏิบัติยังประโยชน์ให้กันและกัน ไม่ให้ตกในที่ลำบากยากเข็น เป็นการประพฤติปฏิบัติเพื่อรองรับสิ่งดี ๆ ที่จะเกิดขึ้นในคราวที่จำเป็น สมดังในศาสนาคำสอนที่พระพุทธองค์ทรงตรังรับรองไว้ว่า ผู้ประพฤติธรรม ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติ ไม่ให้ตกในที่ชั่ว

    การให้ความเมตากรุณา
    คือ
    มีความปราถนาอยากให้ผู้อื่นเป็นสุข และช่วยเขาให้พ้นทุกข์ธรรมในข้อนี้ก็เคยได้เกิดขึ้นกับทุกคนทุกท่านอยู่แล้วว่าในบางครั้งเรามีอะไรดี ๆ หรือเรามีแต่คนอื่นเขาไม่มีก็อยากแบ่งปันให้ผู้อื่นเขา ในขณะที่ได้แบ่งปันให้ก็รู้สึกเป็นสุข เมื่อแบ่งปันให้แล้วก็พลอยยินดีด้วย นี่เป็นความสุขใจของผู้ให้ และเป็นความประทับใจของผู้รับ

    การให้ความช่วยเหลือผู้อื่นด้วยแรงกาย
    คือ
    ช่วยด้วยกำลังกาย ไม่ว่าเราจะไปปรากฎกายที่ไหนก็เป็นการไปเผยแผ่ตนเองให้ผู้อื่นได้รู้จัก เราต้องไปที่ที่มีคนจำนวนมาก เช่น งานวัดวันสำคัญก็มีคนมาก เราจงไปแสดงศักยภาพแห่งคุณความดีให้ปรากฎในที่นั้น เพื่อให้เขาได้รู้จักเรา

    ในวัดเรื่องศาสนพิธีนั้น เราอาจจะทำไม่เป็นก็ทำใสิ่งที่ตนทำได้ เช่น การปัดกวาดเช็ดถู เป็นงานพื้น ๆ อย่าไปมองว่างานมันต่ำ แต่เราจะมองว่านี่คือเครื่องประดับเรา

    งานกุศลศพของคนข้างบ้านก็เช่นกัน มีคนมากเราก็ไปปรากฎกายที่นั้น เพื่อไปแสดงศักยภาพแห่งความดีตามที่ตนถนัด หรือด้วยการปัดกาดเช็ดถู ล้างถ้วย ล้างชาม ฯลฯ
    หรือที่ไหน ๆ เขากำลังทำอะไรที่เราเห็นว่าพอจะช่วยได้ ไม่ว่าจะเป็นการยกของ ขึ้นของลงของ หรือการให้ความสะดวกสบายแก่ผู้อื่น ฯลฯ ก็จงหาโอกาสเข้าไปช่วยเข้าไปทำ อย่ามองว่างานต่ำ ๆ แต่เราจะถือมันคือเครื่องประดับเรา เพราะมันเป็นบทบาทและหน้าที่ในการดำเนินชีวิต และมันเป็นศิลปะแห่งการดำเนินชีวิตอันสูงสุดของมนุษย์

    กาลเวลาเมื่อล่วงไป เมื่อเราได้ไปแสดงศักยภาพแห่งคุณความดีในหลายๆ ที่ จนเป็นที่รู้จักมักคุ้นกันเป็นจำนวนมาก เป็นที่เลื่อมใสของคนเป็นอันมากเราจึงได้ชื่อว่าเป็นบุคคล
    ่ที่ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้
    หมายความว่า เมื่อถึงคราวเดือดร้อนเกิดขึ้น เขาทั้งหลายที่รู้จักเรา เลื่อมใสเรา เขาย่อมไม่นิ่งดูดายในการที่จะมาช่วยเหลือเพื่อมนุษย์เท่านั้น บุคคลที่มีความช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่นั้นในสังคมก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก ตามที่เราได้เห็นอยู่เนืองๆ นั้น เช่น
    น้ำท่วม ไฟไหม้ คลื่นสึนามิ ดินถล่ม ลมพายุ หรือ แจกทุนการศึกษา ช่วยงานการกุศล หรือ สถานสงเคราะห์เป็นต้น แม้ไม่ได้เป็นญาติอะไรกันก็ยังอุสสาห์ช่วยกัน แม้จะข้ามน้ำข้ามทะเลมา ดังที่ปรากฎให้เราได้เห็นอยู่เนือง ๆ จึงควรทำความดีให้เป็นที่พึ่งแห่งตนเพื่อรองรับกับสิ่งดี ๆ ที่จะเกิดขึ้นในคราวที่จำเป็น

    แม้ในศาสนสุภาษิตพระพุทธองค์ก็ทรงตรัสไว้แล้วอย่างชัดเจนว่า
    อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ซึ่งแปลความว่า ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
    หมายความว่า เราได้ทำความดีมา เราก็ได้พึ่งความดีของตนที่ทำไว้
     
  14. rungaran

    rungaran เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    15,573
    ค่าพลัง:
    +57,322
    ***ครับ....เข้าใจแล้วครับ***
     
  15. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,205
    การช่วยเหลือด้วยวาจา
    เช่นบุคคลบ้านใกล้เรือนเคียงตกงาน เมื่อเราเห็นที่ไหนเขารับสมัครงานก็ช่วยไปบอกเขา
    เป็นการให้ประโยชน์แก่เขา และเป็นการสั่งสมบุญบารมีแก่เรา หรือมีบุคคลจำเป็นที่จะต้องเดินทางไปนั้น ซึ่งเรารู้ดีว่านั่นไม่ปลอดภัย มีเสือ มีงู มีโจร การได้ช่วยบอกเขา ก็เท่ากับเราได้ช่วยชีวิตเขาหรือให้เขาได้ปลอดภัย ซึ่งอาจได้บุญมากกว่าที่เราหยอดเงิน ๑๐๐ บาท ลงในตู้บริจาคเสียด้วยซ้ำ ก็เป็นการสั่งสมบุญอย่างยิ่งอีกแนวทางหนึ่ง

    การช่วยเหลือด้วยการให้กำลังใจ [
    คือ
    เมื่อบุคคลมีความทุกข์ มีความอัดอั้นตันใจ มาอธิบายความในใจอะไรบางอย่างที่กลุ้มอกกลุ้มใจ เมื่อเขาได้ระบายความในใจออกมาแล้ว ในขณะเดียวกันเราก็จะมีความรู้สึกเป็นทุกข์แทนเขา แต่เขากลับมีความสบายใจขึ้น เบาใจขึ้น ก็จงตั้งใจรับฟัง และช่วยบอกช่วยแนะให้เป็นกำลังใจแก่เขาก็เป็นบุญกุศลอย่างหนึ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ หรือเมื่อบุคคลบ้านใกล้เรือนเคียงเจ็บไข้ได้ป่วย ไปเยี่ยมเยียนเขา ก็เป็นกำลังใจแม้เพียงแค่ปรากฎกายให้เขาได้เห็นเท่านั้น ก็เป็นการสั่งสมบุญอีกแนวทางหนึ่งที่ทำกันได้ง่าย ๆ

    ดังที่ได้กล่าว มานี้ เป็นข้อที่ ๑ เรียกว่า ทาน คือ การให้ ซึ่งยังมีอานิสงส์น้อยกว่าการรักษาศีล เพราะการให้ทานง่ายกว่า เช่น การช่วยเหลือผู้อื่นด้วยแรงกาย ด้วยวาจา ด้วยกำลังใจ แต่การรักษาศีลย่อมมีอานิสงส์มากว่า เพราะทำได้ยากกว่า เป็นต้น
     
  16. phattharaphong

    phattharaphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    758
    ค่าพลัง:
    +11,460


    พ่อทวด ? .... ชาวใต้จะเรียกพระภิกษุที่ทรงกรรมฐาน มีบารมีมาก ภายหลังท่านละสังขารไปนับร้อยปี ... แต่ดวงวิญญาณอันศักดิ์สิทธ์ของพระคุณเจ้า ยังทรงสถิตย์ในสถานที่มีความเกี่ยวพันธ์กับองค์ท่าน อาจจะเป็นวาอารามต่าง ๆ ครับ
    จึงปรากฏนามหลวงพ่อทวด หลายรูปในท้องถิ่นภาคใต้ครับ อาทิ

    หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด สถิตย์ วัดช้างให้
    หลวงพ่อทวดสี หลวงพ่อทวดจันทร์ หลวงพ่อทวดทอง สถิตย์ วัดช้างให้
    หลวงพ่อทวดสิทธิชัย หลวงพ่อทวดหมาน สถิตย์ วัดทรายขาว
    หลวงพ่อทวดบุญญฤทธิ์ สถิตย์ วัดศรีมหาโพธิ์
    หลวงพ่อทวดนวล หลวงพ่อทวดพรหม หลวงพ่อทวดชุม สถิตย์ วัดตุยง
    หลวงพ่อทวดไกร สถิตย์ วัดลำพระยา
    หลวงพ่อทวดลิ้นดำ สถิตย์ วัดทุ่งเมรุ
    หลวงพ่อทวดหัวมวย สถิตย์ วัดอ่างทอง
    หลวงพ่อทวดในหีบ สถิตย์ วัดห้วยเงาะ
    หลวงพ่อทวดเอียด สถิตย์ วัดบุราณประดิษย์
    หลวงพ่อทวดสีพุฒ สถิตย์ วัดมะเดื่อทอง
    หลวงพ่อทวดไชยสิทธิ์ สถิตย์ วัดเกาะกะท้อน
    หลวงพ่อทวดเภา สถิตย์ วัดบ้านดี
    หลวงพ่อทวดย่ามใหญ่ สถิตย์ วัดเกษมรัตน์
    หลวงพ่อทวดหนอน สถิตย์ เขามะรวด
    ฯล

    ถ้าเป็นระดับเทวดาประจำถิ่น ... รุกขเทวดา เรียกว่า ทวด
    เช่น ทวดเสือ ทวดงู

    จึงเรียนมาเพื่อทราบ ... รากศัพท์ท้องถิ่นครับผม

     
  17. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,205
    ข้อที่ ๒. ศีล แปลว่า ปกติ เป็นกฎกติกาในการประพฤติปฏิบัติของมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันในสังคม การถือศีล ความมุ่งหมายเพื่อให้บุคคลเกิดความปกติในการสำรวม กาย วาจา ในที่นี้จึงหมายถึง การสำรวมกาย และวาจา คือ การไม่เบียดเบียนผู้อื่นด้วยกายและวาจา ในวันหนึ่งๆ ที่ล่วงไปนั้น เราจะมีหน้าที่ที่จะต้องทำ และอาจต้องทำร่วมกันหรือประสานงานกัน ย่อมจะมีการกระทบกระทั่งกันบ้างเข้าใจผิดกันบ้าง แกล้งกันบ้าง อิจฉากันบ้างไม่น้อยก็มาก จนนำไปสู่การทะเลาะวิวาท

    เนื่องจากงานบางอย่างต้องเร่งรีบ รวดเร็ว เมื่อไม่ได้ดังใจก็มีปัญหา งานบางอย่างต้องตรงต่อเวลาเร็วไปก็มีผลกระทบต่อตนเอง หรือช้าไปก็มีผลกระทบต่อผู้อื่น จึงทำให้บางครั้งต้องเอารัดเอาเปรียบ ชิงไหว ชิงพริบ เพื่อเอาชนะกัน อาการของจิตเมื่อหวั่นไหวย่อมปรากฎออกมาทางกายและวาจาที่ไม่สำรวม หมายถึง การเบียดเบียนทางกาย ทางวาจามีปากเสียงถึงขั้นลงไม้ลงมือกันในที่สุด นั่นเป็นการไม่สำรวมกายและวาจา

    โดยหลักความเป็นจริงแล้ว บทบาทและหน้าที่การงานที่จะต้องทำร่วมกันหรือต้องประสานงานกันนั้นก็มีกติกาในการประพฤติปฏิบัติ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องการกาลเวลา ในบางครั้งที่ต้องทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ย่อมมีความผิดพลาดเกิดขึ้นแต่ถ้าเราลำดับงานนั้นๆ อย่างใดอย่างหนึ่งก่อนหรือหลัง แล้วกำหนดให้เป็นไปตามกาลเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะลงตัวด้วยความอดทน ในการสำรวมกายและวาจาก็เกิดขึ้น แล้วประคับประคองกายและวาจาในการทำหน้าที่การงานต่างๆ ซึ่งหน้าที่การงานบางอย่างทำแล้วก่อให้เกิดเป็นบุญเป็นกุศล หมายถึง การทำหน้าที่ที่เป็นประโยชน์ และเกื้อกูลต่อผู้อื่น ยึดมั่นในคุณธรรม หรือที่เรียกว่า ธรรมาภิบาล หมายถึง การทำหน้าที่การงานต่างๆ มีความเป็นธรรม ประกอบด้วยคุณธรรม มีความสำรวมระมัดระวังทางกาย วาจา เป็นการรักษาศีล คือไม่เบียดเบียนด้วยกาย ด้วยวาจา แม้หนึ่งวันผ่านไปก็ถือได้ว่าเป็นการเปิดโอกาส ให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลายดำเนินไปด้วยดี ผลแห่งความดีย่อมสะท้อนกลับมาให้ผู้ประพฤติ เป็นการสั่งสมบุญบารมีซึ่งมีอานิสงส์มากว่าการให้ทาน เพราะทำได้ยากกว่า แต่การรักษาศีลนั้นยังมีอานิสงส์น้อยกว่า การเจริญภาวนา
     
  18. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,205
    ข้อที่ ๒. ภาวนา
    คือ การทำให้มีขึ้น เป็นขึ้น เช่นการสวดมนต์ท่องบ่น จากที่ไม่รู้ให้รู้ให้ได้ ให้เป็น ฯลฯ

    การเจริญสมาธิ คือ การกำหนดจิตจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง
    การสวดมนต์อย่างมีสติ คือ มีจิตตั้งมั่นในการสวด หมายถึง คิดถึงบทสวด นึกถึงบทสวด ระลึกถึงบทสวดอยู่ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าการสวดมนต์อย่างต่อเนื่องได้และสมบูรณ์แบบได้นั้น ก็มีการภาวนานั่นเอง จึงทำให้จิตจดจ่ออยู่กับบทสวด และในขณะที่สวดก็ไม่ได้เบียดเบียนผู้อื่น แม้กระทั่งคิด จิตนั้นย่อมผ่องใส เป็นบุญเป็นกุศลแก่ตนเอง

    การเจริญสมาธิ คือ การทำให้มีสมาธิ หมายถึง การกำหนดสติให้มีจิตแน่วแน่ลงในสิ่งใดสิ่งหนึ่งตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง เมื่อทำได้แล้วจึงเรียกว่าจิตมีสมาธิ แต่จะมาถึงจุดนี้ได้นั้น ในเบื้องต้นจะต้องมีการฝึกฝนด้วยการภาวนา ถ้าไม่ภาวนาได้หรือไม่ ก็ได้เช่นกัน แต่ที่ต้องใช้ภาวนาเพราะยังเป็นผู้ฝึกใหม่ เหมือนคนขึ้นบันไดครั้งแรก ก็ต้องเกาะราวบันไดเพราะกลัวจะก้าวพลาดหรือหกล้มตกบันได แต่เมื่อการเดินบันไดขึ้นลงได้คล่องแคล่ว ไม่เกาะราวบันไดก็ได้ การฝึกสมาธิก็เช่นเดียวกัน เมื่อฝึกจนคล่องแคล่วแล้วจะไม่ใช้คำภาวนาก็ได้

    เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว หมายถึง มีจิตตั้งมั่นแน่แน่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่กำหนดได้ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง แม้จะนานสัก ๑ นาทีโดยประมาณ ก่อนที่จะมีสิ่งอื่นแทรกเข้ามาให้คิดก็ตาม ถือว่ามีสมาธิพอสมควรแล้ว สามารถใช้ให้เกิดประโยชน์เช่น การฟัง การคิด การทำ

    ประโยชน์ในการฟัง เช่น เราฟังผู้พูด พูดในประโยคหนึ่ง ๆ อาจจะใช้เวลาประมาณ ๒๐ หรือ ๔๐ วินาที แต่เมื่อเรามีสมาธิยาวนานประมาณ ๑ นาที ก็สามารถรับความรู้นั้นได้เบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด เพื่อเป็นองค์ความรู้ในการคิด เป็นประโยชน์ในกาลต่อไป
     
  19. phattharaphong

    phattharaphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    758
    ค่าพลัง:
    +11,460

    หลังจากพระคุณเจ้าพระครูวิสัยโสภณ สร้างพระเครื่องในนาม "หลวงพ่อทวด" ขึ้นแล้ว และประจักษ์ถึงอภินิหารศักดิ์สิทธิ์กันไปทั่วต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๐๔ ชาวพุทธแห่งจังหวัดปัตตานีและจังหวัดใกล้เคียงได้นิมนต์พระคุณเจ้าพระครูวิสัยโสภณ ให้สร้างพระเครื่องในแบบรูปเหมือน "หลวงพ่อปาน" อดีตเจ้าอาวาสวัดนาประดู่ แห่งจังหวัดปัตตานีขึ้นบ้าง โดยเหตุผลว่า แม้พระคุณเจ้ารูปนี้จะเพิ่งถึงแก่มรณภาพเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๒ คือครึ่งร้อยปีมานี้เอง แต่พระคุณเจ้าก็เป็นพระเถระที่มีกฤตยานุภาพแก่กล้าปรากฏเป็นที่มหัศจรรย์รูปหนึ่ง เป็นที่สักการบูชาของชาวพุทธทั่วไปในจังหวัดภาคใต้ของอาณาจักรไทย ถือเสมอว่าพระคุณเจ้าเป็นร่มโพธิร่มไทร ตลอดจนชาวพุทธซึ่งเป็นคนไทยและจีนที่อยู่ในรัฐเคดาห์ ไทรบุรี สหพันธรัฐมลายู ต่างก็มีความเลื่อมใสศรัทธาในกฤตยานุภาพอภินิหารของพระคุณเจ้ากันทั้งนั้น เมื่อพระคุณเจ้าถึงแก่มรณภาพแล้ว ก็ขอแบ่งเอาอัฐิของพระคุณเจ้าไปบรรจุไว้ที่วัดไทยที่ตำบลบากาบาตา รัฐเคดาห์ ไทรบุรี ชาวพุทธทั้งไทยและจีนในถิ่นนั้น ต่างไปสักการะอัฐิของท่านทุกวันวันละมาก ๆ มิได้ขาด เพราะเมื่อใครไปสักการะขอพึ่งกฤตยานุภาพอภินิหารของท่านขอให้หายเจ็บไข้ได้ป่วย หรือขอให้ธุรกิจอันสุจริตผ่านพ้นอุปสรรค ต่างก็สมประสงค์กันทั้งนั้โดยเฉพาะพระคุณเจ้าหลวงพ่อปานนั้นเป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่เมื่อท่านมีชีวิตอยู่ ท่านมิได้สร้างพระเครื่องหรือเหรียญรูปเหมือนตัวท่านทิ้งไว้เลย แต่ก็ยังดีที่ในกาลต่อมาหลังจากพระคุณเจ้าพระครูวิสัยโสภณอดีตเจ้าอาวาสวัดช้างไห้ ได้สร้างพระเครื่อง"หลวงพ่อทวด" ที่มีอภินิหารเลื่องลือขึ้นแล้ว ได้ติดต่อกับวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของพระคุณเจ้าหลวงพ่อขออนุมัติสร้างขึ้นในรูปแบบรูปเหมือนตัวท่านด้วยเนื้อว่านเช่นเดียวกับที่สร้างหลวงพ่อทวด โดยมีเจตนารมณ์เพื่อให้ผู้มีศรัทธาปสาทะพกติดตัวคุ้มกันผองภัยคู่กับหลวงพ่อทวด เมื่อพระคุณเจ้าพระครูวิสัยโสภณติดต่อกับวิญญาณของหลวงพ่อปานทางวิปัสสนาแล้ว ก็ได้รับอนุญาต จึงได้สร้างขึ้นในนาม "หลวงพ่อปานวัดนาประดู่"ในการสร้างจะนอกจากจะหาว่านมาทำผงขึ้นใหม่แล้ว ได้นำผงที่สร้าง "หลวงพ่อทวด" ที่เหลืออยู่ผสมด้วย เมื่อทำเสร็จตามพิธีกรรมให้มีอภินิหารศักดิ์สิทธิ์แล้ว ได้นำออกแจกจ่าย ผู้ที่ได้รับแจกไปบู่ชาต่างได้ประจักษ์อภินิหารความศักดิ์สิทธิ์กันทั้งนั้น ทั้งในทางอำนวยลาภผลและคุ้มครองให้รอดพ้นอันตรายจากมนุษย์ด้วยกันและอุปัทวเหตุ เช่นรายหนึ่งซึ่งพระมหาประพันธ์ เจ้าอาวาสวัดบางแก้ว จังหวัดพัทลุง ได้เล่าให้พระคุณเจ้าพระครูวิสัยโสภณฟังว่า หลังจากได้พระหลวงพ่อปานไป ๓ องค์ ได้มอบให้นายจิตร บ้านจงแก ไปองค์หนึ่งเพื่อบูชาพกติดตัว หลังจากนั้นต่อมาไม่ช้าไม่นาน นายจิตรออกจากบ้านไปธุระในตอนพลบค่ำ ขากลับในระหว่างทางที่เดินมา ถูกลอบยิง กระสุนปืนถูกที่หน้าอกอย่างจัง เสียงปืนและความเจ็บที่หน้าอกนายจิตรตกใจสุดขีดยกมือขึ้นกุมอกวิ่งไปหาเพื่อนคนหนึ่งซึ่งบ้านอยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุเพื่อขอความช่วยเหลือ เมื่อพบเพื่อนก็ละล่ำละลักบอกว่าถูกยิงที่อก เพื่อนจึงขอดู ก็เห็นแต่เสื้อตรงหน้าอกมีรอยทะลุ แต่หน้าอกของนายจิตรมีเพียงรอยช้ำ ๆ แดง ๆ เท่านั้น ซึ่งเป็นที่น่ามหัศจรรย์ยิ่ง เพราะตรงที่ถูกกระสุนปืนนั้นตามธรรมดาจะต้องล้มคว่ำขาดใจคาที่ เพื่อนจึงถามว่ามีของดีอะไร นายจิตรจึงบอกว่า "มีหลวงพ่อปานวัดนาประดู่องค์เดียวเท่านั้น" ได้มาจากท่านมหาประพันธ์เมื่อไม่กี่วันมานี้เองน


    [​IMG]


    ประวัติโดยสังเขปของพระคุณเจ้ามีว่า ท่านชาตะในวันพฤหัสบดี เดือน ๑๒ ปีมะแม พ.ศ.๒๔๐๒ บิดาชื่อจันทร์ มารดาชื่อหนู เกิดที่บ้านทุ่งหาร ตำบลบ้านกล้วย อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี ที่ท่านได้ชื่อว่า "ปาน" ก็เพราะท่านมีปานดำที่โคนลิ้น พออายุได้ ๑๐ ขวบ บิดามารดาจึงนำไปฝากฝังให้เป็นศิษย์ของพระอาจารย์ชู เจ้าอาวาสวัดนาประดู่ในสมัยนั้น เพื่อให้เรียนหนังสือชักสวดซึ่งนิยมเรียนกัน อยู่กับพระอาจารย์ชูจนอายุครบอุปสมบท จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุเล่าเรียนพระธรรมวินัยตามแบบแผนโบราณ จนมีความรู้ความเข้าใจทั้งทางคันฐธุระและวิปัสสนาธุระ แต่ที่ท่านมุ่งหน้าศึกษาอย่างคร่ำเคร่งนั้นคือทางวิปัสสนาธุระ ฉะนั้นจึงหลีกออกจากหมู่คณะถือธุดงค์ไปแสวงหาที่สงบวิเวกตามป่าเขาที่มีถ้ำให้อาศัยคุ้มกันแดดและฝนได้ ท่านถือความเป็นอยู่อย่างสันโดษ จนกระทั่งพระอาจารย์ชูของท่านถึงแก่มรณภาพ ประดาชาวพุทธแห่งจังหวัดปัตตานี จึงนิมนต์ท่านให้กลับไปอยู่วัดนาประดู่ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบต่อจากพระอาจารย์ชู ท่านรับนิมนต์และได้เป็นเจ้าอาวาสจนกระทั่งถึงแก่มรณภาพใน พ.ศ.๒๔๖๒ ท่านมีอัธยาศัยเยือกเย็นและมีอารมณ์ร่าเริงอยู่เป็นนิจและมั่นคงในสัจจธรรม มีความอดทนไม่เคยแสดงความโกรธเคืองผู้ใดเลย และท่านมีวาจาศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นท่านจึงไม่กล่าวถ้อยคำที่ไม่เป็นมงคลกับศิษย์และชาวบ้านคนใดเลย และใคร ๆ ก็ไม่ทำตัวให้ท่านกล่าวว่าเป็นคนชั่วคนเลว เพราะต่างเกรงกลัวในวาจาอันศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ตามปรกติวิสัยของท่าน ท่านมีเมตตาจิตโอบอ้อมอารีต่อคนทั่วไป ผู้ใดเจ็บไข้ได้ทุกข์ไปหาท่าน ท่านก็ให้ความช่วยเหลือโดยทั่วหน้ากัน และโดยเฉพาะในทางหยูกยาและน้ำมนต์ของท่านมีความศักดิ์สิทธิ์อย่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ เพราะรักษาความป่วยไข้ให้หายได้ดังปลิดทิ้ง เมื่อท่านให้พรผู้ที่ได้รับก็ประสบผลดีงามตามพรที่ท่านให้ เนื่องจากวาจาสิทธิ์ของท่าน ในสมัยที่พระคุณเจ้ามีชีวิตอยู่และเป็นเจ้าอาวาสวัดนาประดู่นั้น แต่ละวันมีผู้คนไปนมัสการขอพึ่งกฤตยานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์ของท่านให้ช่วยบำบัดอาการเจ็บไข้ได้ป่วย และปัดเป่าข้อขัดข้องในกิจการอาชีพอย่างคับคั่ง มีทั้งผู้ที่มีฐานะมั่งมีและยากไร้และทั้งไทยและจีนและมีที่ชอบกลอยู่คนหนึ่ง เป็นหนุ่มชื่อราด เขาผู้นี้จะไปนั่งอยู่ที่หน้าวัดนาประดู่เสมอเกือบทุกวัน แต่ไม่ได้เข้าไปนมัสการพระคุณเจ้าเหมือนคนอื่น ๆ หากแต่ไปคอยดูคนที่ไปนมัสการท่านด้วยความสงสัยสนเท่ห์ว่าเขาแห่กันมาทำไมมากมายทุกวัน เขาจะออกปากถามคนเหล่านั้นก็ไม่กล้า เพราะเขาสำนึกตัวว่าเป็นคนต่ำต้อยในทุกทาง และคนที่รู้จักเขาก็เห็นว่าเขาเป็นคนบ้า ๆ บอ ๆ ในที่สุดเขาก็นึกว่าพระคุณเจ้าหลวงพ่อปานต้องมีอะไรดีเป็นพิเศษแน่ ๆ แล้วตกลงใจว่าจะไปขอของดีจากหลวงพ่อท่านบ้าง วันหนึ่งจึงเดินปะปนไปกับผู้คนที่มุ่งหน้าไปนมัสการหลวงพ่อ แต่ในชั้นแรกผู้คนหนาแน่น เขาจึงเลี่ยงมานั่งแอบเมียงมองอยู่ห่าง ๆ ต่อตกเย็นผู้คนเบาบาง เขาจึงค่อย ๆ คลานเข้าไปหาหลวงพ่อ วางดอกไม้ธูปเทียนลงแทบเท้าหลวงพ่อ ก่อนกราบเอาชายผ้าขาวม้าชายหนึ่งพาดบ่า ชายอีกข้างปูที่พื้นข้างหน้าทำเป็นผ้ากราบ แล้วกราบลงบนชายผ้าขาวม้าด้วยความคารวะ ๓ ครั้ง แล้วจึงเอ่ยปากขอว่า "หลวงพ่อครับ หลวงพ่อมีของดี โปรดให้กระผมบ้าง กระผมจะเอาไว้ป้องกันตัว"พระคุณเจ้าหัวร่อหึ ๆ อย่างอารมณ์ดี แต่แทนที่ท่านจะหันไปหยิบพระเครื่องหรือเครื่องรางอะไรยื่นให้เขา ท่านกลับยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนชายผ้าขาวม้าที่เขาปูกราบท่าน แล้วบอกอย่างทีเล่นทีจริงว่า "เอาไปเถอะนี่แหละของดี"แม้เพียงเท่านี้ หนุ่มราดก็แสนดีใจ กราบท่านอีก ๓ ครั้งแล้วลากลับบ้าน แต่นั้นมาเขาเชื่อมั่นว่าผ้าขาวม้าผืนนั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีอภินิหารคุ้มกันให้เขาแคล้วคลาดจากผองภัย เมื่ออยู่บ้านก็เอาบูชาไว้บนที่สูงไม่นำมาใช้อย่างผ้าขาวม้าธรรมดาอีกต่อไป เมื่อออกจากบ้านไปไหน ๆ ก็นำติดตัวไปด้วยไม่ขาด และนับตั้งแต่นั้นมาเมื่อมีทุกข์ร้อนประการใด เขาจะยกผ้าขาวม้านั้นทูนขึ้นเหนือหัวตั้งจิตเป็นสมาธิระลึกถึงพระคุณเจ้าหลวงพ่อ ขอให้อภินิหารของท่านช่วยขจัดความทุกข์ร้อนนั้นให้สิ้นไป ซึ่งก็เป็นผลสำเร็จดังปรารถนาทุกครั้ง นอกจากนี้เขายังประสบโชคลาภไม่ขัดสนยากไร้เหมือนกาลก่อน โดยเหตุนี้จึงทำให้หนุ่มราดเลื่อมใสศรัทธาในอภินิหารของพระคุณเจ้าหลวงพ่อปานแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แต่บุพกรรมนั้นไม่มีใครหรืออำนาจอะไรจะฝืนได้ ฉะนั้นในกาลต่อมาหนุ่มราดจึงได้กลายเป็นอาชญากรขั้น "ไอ้เสือ" ตามบุพกรรมที่กำหนดมา ทางการประกาศจับตายและตั้งสินบนเป็นเงินจำนวนไม่น้อยสำหรับผู้จับได้ไม่ว่าจับเป็นหรือจับตาย แต่ไม่มีใครสามารถจับหรือปราบเขาได้ เพราะผ้าขาวม้าที่พระคุณเจ้าหลวงพ่อปานเหยียบชายให้เขานั้นได้ยังผลให้เนื้อหนังของเขาอยู่ยงคงกระพัน ปืนผาหน้าไม้หอกดาบไม่ทำอันตรายแก่เขาได้เลย คราวหนึ่งเขาหนีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปจนมุมโดยวิ่งตกลงไปบ่อที่น้ำแห้งบ่อหนึ่ง ลึกท่วมหัว เจ้าหน้าที่ล้อมปากบ่อไว้และต้องการจับเป็นจึงร้องบอกให้เขาขึ้นมาให้จับเสียดี ๆ แต่หนุ่มราดซึ่งกลายเป็น "ไอ้เสือร้าย" ไม่เอาด้วยอุบนิ่งอยู่ก้นบ่อ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายก็ขัดใจขึ้นมาเปลี่ยนเป็นจับตายระดมยิงปืนลงไป แต่ลูกปืนหาได้ระคายผิวของไอ้เสือราดไม่ เจ้าหน้าที่จึงเปลี่ยนวิธีเป็นขอร้องให้ชาวบ้านที่มามุงดูช่วยหาไม้ไผ่เสี้ยมปลายแหลมเป็นปากฉลามมาให้ แล้วแทงลงไปที่ร่างของเสือราด ไม่ระคายผิวของเสือร้ายอีก แต่คราวนี้เสือร้ายเกิดความคิดว่าขืนอุบอยู่ในบ่อซึ่งไม่มีทางหนีคงไม่เข้าทีเสียแล้วจึงตะกายขึ้นจากบ่อ เจ้าหน้าที่จึงกลุ้มรุมกันช่วยจับ แต่เสือราดดิ้นสลัดลื่นหลุดวิ่งหนีไปได้เหมือนกับว่าตัวเขาลื่นอย่างปลาไหล เจ้าหน้าที่วิ่งไล่จนหอบหมดแรงไปตามกันก็หาทันไม่ เป็นอันว่าเสือราดหนีรอดตาจนไปได้อย่างลอยนวลเป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง และนี่ก็ใช่ว่าเขามีคาถาอาคมขลังหรือพระเครื่องของขลังของเกจิอาจารย์อื่นใดติดตัวเลยนอกจากผ้าขาวม้าที่ชายข้างหนึ่งเจ้าพระคุณหลวงพ่อปานท่านเหยียบให้นั้นผืนเดียวเท่านั้น เมื่อรอดพ้นจากการจับกุมของเจ้าหน้าที่คราวนั้นแล้ว เสือราดก็เตลิดหนีออกจากพระราชอาณาจักรไทย ไปตั้งหลักแหล่งทำมาหากินโดยกลับเนื้อกลับตัวเป็นสุจริตชนอยู่ในรัฐเคดาห์ ไทรบุรี สหพันธรัฐมลายู และการงานอาชีพก็เจริญรุ่งเรืองยังผลให้มีฐานะมั่งคั่ง เมื่อพระคุณเจ้าหลวงพ่อปานมรณภาพ เขาเป็นคนหนึ่งในบรรดาชาวพุทธที่มาขอแบ่งอัฐิของพระคุณเจ้าหลวงพ่อไปบรรจุไว้ในสถูปที่สร้างขึ้น ณ วัดพุทธศาสนาที่ตำบลบากาบาตา ไทรบุรี ปัจจุบันตายไปแล้วเพราะความชรา



    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    พระเครื่องหลวงปาน วัดนาประดู่ พ.ศ.2506

    พระอาจารย์ทิม ท่านเคยอยู่วัดนาประดู่ โดยศึกษากรรมฐานจาก พระอาจารย์แดง วัดนาประดู่ .... เช่นนั้น พระเครื่องหลวงพ่อปาน วัดนาประดู่ จึงมีความเกี่ยวพันธ์กับท่าน ... มวลสารในการสร้างพระจึงมีส่วนผสม พระหลวงพ่อทวด 2497 จำนวนมาก เรียกได้ว่า องค์ชำรุดตำโขลกใส่ไปเลยครับ นอกจากนี้ เนื้อว่านที่พระอาจารย์ทิม ท่านเตรียมจะสร้างรุ่นพินัยกรรม ได้นำมาผสมในหลวงพ่อปาน วัดนาประดู่ ด้วย ... นอกจากนี้ยังมีว่านอื่น ๆ ที่มาเพิ่มเติม เรียกได้ว่า เป็นว่านทั้งยอดทั้งสิ้น ... คนเฒ่า คนแก่ เคยกล่าวไว้ว่า "พระอาจารย์ทิม ตั้งใจสร้างพระเครื่องหลวงพ่อปาน ให้ลูกหลานติดตัวคู่กับหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด"


    ผมรักพระเครื่องท้องถิ่นบ้านผม ... กว่าจะสร้างมาแต่ละรุ่น ให้เวลาเตรียมการ ไม่ต่ำกว่า 2-3 ปี ในพระ 1 รุ่นครับ >__<

    [​IMG]

    พระหลวงพ่อปาน วัดนาประดู่ ปี37
     
  20. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,205
    กราบสมเด็จหลวงพ่อทวด

    สวัสดียามดึกค่ะ....


    วิถีแห่งบุญบารมี
    เพื่ออยู่เหนือดวงชะตา

    พระสมุห์ปุญยวัจน์ ติกุขวีโร
    วัดพระนอนแหลมพ้อ สงขลา

    การคิด
    เมื่อจิตเป็นสมาธิ ก็สามารถคิดในสิ่งนั้น ๆ ได้ดีทั้งเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด เพราะไม่มี สิ่งใดมาแทรกให้ไปสนใจในเรื่องอื่นระหว่างที่คิด จึงเป็นการคิดที่สมบูรณ์ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติ
    ในกาลต่อไป

    การทำ
    เมื่อมีจิตเป็นสมาธิการทำก็จะทำได้อย่างต่อเนื่องเพราะไม่มีสิ่งใดมาแทรกในการคิดให้ไปสนใจในเรื่องอื่นสิ่งอื่นการทำสิ่งใด ๆ จึงมีพลัง คือ มีกำลังใจเต็มร้อย

    การภาวนานั้น
    หมายถึง การปฏิบัติสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วภาวนาควบคู่กันไปจึงจะสำเร็จผลได้ เพราะการภาวนาเป็นเหมือนสิ่งที่ช่วยเสริมการปฏิบัติให้สมบูรณ์ขึ้นมีขึ้นนั่นเอง

    เมื่อบุคคลใดได้สั่งสมบุญไว้เต็มเปี่ยมแล้วจะระลึกถึงสิ่งใด สิ่งเหล่านั้นย่อมไม่ไกลเกินเอื้อม หมายความว่า ต้องการสิ่งใดที่ไม่เกินกำลังแห่งบุญที่ตนได้สั่งสมมาในไม่ช้าย่อมได้สิ่งนั้นมาโดยง่าย

    หลักธรรมทั้ง ๓ ประการนี้ เป็นวิธีการสั่งสมบุญควบคู่กับการทำหน้าที่การงาน ในขั้นพื้นฐานของการดำรงชีวิต เมื่อเราสั่งสมบุญเต็มเปี่ยมแล้ว บุญนั้นจะมีอานุภาพกลายมาเป็นโชคลาภ โชคลาภในที่นี้หมายถึง ทรัพย์วัตถุสิ่งของที่ได้มาโดยง่าย ดังที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้น แต่ที่สำคัญเราจะรู้ได้อย่างไรว่า บุญนั้นเต็มเปี่ยมแล้ว ก็คือ ก่อนนอนให้กำหนดด้วยสติ ว่าเราจะตื่นเวลานั้น ๆ เช่น จะตื่นตี ๔ หรือตื่นตี ๕ ถ้าได้ตื่นตามเวลาที่กำหนดนั้นแล้วไม่งัวเงียด้วย ก็แสดงว่าวันนั้นบุญเต็มเปี่ยมแล้ว แต่บุญก็มีขึ้น ๆ ลง ๆ เนื่องจากในแต่ละวันผ่านไป เราได้ทำความดีหรือสั่งสมบุญไปตามภาวะโอกาสไม่สม่ำเสมอ

    บุญกิริยาวัตถุ ๓ ประการ

    ๑. การให้ทาน เพื่อละลดกิเลส
    ๒. การรักษาศีล ทำให้เกิดความสงบ (เกิดสันติสุข) ความสงบทำให้เกิดสมาธิ สมาธิทำให้จิตมีพลัง
    ๓. การเจริญภาวนา ทำให้มีขึ้น ซึ่งจิตที่ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว มีอานิสงส์มากกว่าการรักษาศีล

    คำว่าภาวนา เช่น การให้ทานบ่อยๆ ให้ทานอยู่เนือง ๆ หรือการรักษาศีลอยู่เนือง ๆ ก็เป็นการภาวนา

    ทั้ง ๓ ประการนี้ เป็นหลักธรรม ที่ยังประโยชน์แก่บุคคล ให้อยู่เหนือดวงชะตาหมายถึง
    มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งบุคคลทั้งหลายก็ได้มีการประพฤติปฏิบัติอยู่แล้ว แต่เมื่อได้ทำให้สมบูรณ์ยิ่ง ๆ ขึ้นแล้ว ชีวิตก็จะมีความสุขความเจริญกันต่อไป ดังที่ได้พรรณนามา
    เอวังก็มี ด้วยประการฉะนี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...