ใจบุญโอเว่อร์??

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย anntys, 18 ตุลาคม 2013.

  1. anntys

    anntys Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +63
    สวัสดีค่ะ กัลญาณมิตรทุกท่าน ดิฉันมีความสงสัยเกี่ยวกับการทำบุญและทำทาน จึงอยากจะขอคำชี้แนะทางสว่างด้วยค่ะ
    ดิฉันเพิ่งย้ายมาอยู่ที่บ้านเดิมภูมิลำเนาของสามีดิฉัน ที่จังหวัดนึงในภาคอีสานค่ะ ครอบครัวดิฉันไม่ใช่คนร่ำรวย แต่กัอไม่ลำบากค่ะ ญาติทางสามีฐานะค่อนข้างดีเกือบทุกคน แต่ที่ทำให้ดิฉันค่อนข้างอึดอัดและไม่สบายใจ คือ ทัศนคติในการใช้ชีวิตของดิฉัน และฝ่ายสามีและญาติๆ มักจะขัดกันจนทำให้ดิฉันเกิดสับสน ว่าตัวดิฉันเอง ใจบุญโอเว่อร์มากไป แบบที่พวกเขามักจะว่าดิฉันเสมอๆ รึเปล่า จึงอยากจะถามท่านผู้รู้ทั้งหลายในเว็บนี้ เพื่อต่อไป ดิฉันจะได้ปล่อยวางและดำเนินชีวิตตามศีลธรรมแบบถูกต้อง เรื่องเริ่มจาก อาหารการกินของที่นี่ ญาติๆของสามีดิฉันอยู่แบบพอเพียงถึงแม้จะฐานะดี ซึ่งอันนี้ดิฉันก้อเห็นด้วยค่ะ พวกเขามักจะออกไปตกปลา ไปเก็บผักตามไร่นามาเป็นอาหาร อันนี้ดิฉันก้อไม่ได้แคลงใจ แต่บ่อยครั้ง ที่ดิฉันมักจะเตือนสามี ไม่ให้ทานพวก ปลาไหล กบ เขียด ที่ญาติๆเขาหามาได้ เพราะดิฉันคิดว่า สัตว์เหล่านี้ ไม่ได้เกิดมาเพื่อเปนอาหารของมนุษย์ ยิ่งปลาไหลแล้ว ดิฉันไม่ได้รังเกียจชาวชนบทที่กินสัตว์พวกนี้ แต่ดิฉันคิดว่า สัตว์ที่เปนอาหารเราโดยเฉพาะเช่น หมู ไก่ ปลา(ทั่วไป) กุ้ง ก็มีเยอะแยะ ทำไมต้องไปเบียดเบียน สัตว์เล็กๆเหล่านั้น ปลาไหลเปนสัตว์ที่เรามักจะซื้อไปปล่อยเพื่อทำบุญ แล้วทำไมถึงต้องไปจับเค้ากลับมาให้บาปอีก เพราะเหตุนี้ ทำให้ญาติๆของสามีไม่ค่อยพอใจดิฉัน หาว่าใจบุญโอเว่อร์(กระแดะ) ดิฉันไม่ใช่แม่พระอะไรหรอกค่ะ บุญทานก็ทำบ้างตามกำลังและวาระโอกาสเท่าที่จะทำได้ ดิฉันจึงไม่เข้าใจ ว่าดิฉันโอเว่อร์มากไปจริงรึป่าว. และเช่นดิฉันมักจะไม่ค่อยทานปลาที่ไปจับมากันเอง แต่มักจะไปซื้อที่ตลาดและเลือกตัวที่ตายแล้วมาทำอาหารค่ะ.ดิฉันคิดว่า อย่างน้อย เราก้อไม่ได้เป็นคนไปชี้เลือกที่จะฆ่าเค้า ถามว่าบาปมั้ย? ดิฉันคิดว่า คงบาปเหมือนกัน เพราะดิฉันก้อยังทานเนื้อสัตว์อยู่ค่ะ แต่เนื้อวัว จะพยายามเลี่ยงมากที่สุดค่ะ เพราะเหตุนี้ ดิฉันจึงมักจะโดนหัวเราะเยาะและเสียดสีจากญาติๆ สามี ว่าเว่อร์มากไปทุกวัน จนตอนนี้ดิฉันเกิดวิตกจริตไปแล้วค่ะ ว่าดิฉันเลี่ยงบาปแบบนี้มันถูกรึป่าวคะ? ขอทุกท่านช่วยชี้ทางด้วย
     
  2. Youkai

    Youkai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2013
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +1,683
    เท่าที่อ่านดูก็เป็นปกติธรรมดาของคนรักษาศีล 5 นี่คะ ไม่ได้มีอะไรแปลก ทำใจให้สบายเถอะค่ะ
     
  3. AYACOOSHA

    AYACOOSHA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    368
    ค่าพลัง:
    +2,253
    ไม่ลองอธิบายเหตุผลให้ญาติๆสามีฟังดูสักหน่อยเหรอครับ ว่าเหตุผลมันเป็นมายังไงเราคิดแบบไหนจึงทำแบบนั้น...หรือถ้าหากว่าอธิบายไปแล้วเขาก้ยังไม่เข้าใจ...ก็ต้องทำใจเพราะแล้วแต่ความคิดเห็นของใครของมัน...แต่ก็อยากให้คุฯเจ้าของกระทู้ทำใจให้สบาย...ถ้าหากคิดว่าการกระทำของเรามันถูกต้องแล้ว...สวัสดี
     
  4. mahamettayai

    mahamettayai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +10,673
    อย่าไปคิดมากค่ะ ^^ จะทำความดี มันก็มีอุปสรรคหรือมีมารมาผจญให้เราไขว้เขวอย่างนี้แหละ ไม่มีใครที่ไม่เคยเจอ แม้แต่พระพุทธองค์

    ทำแล้วสบายใจ จิตเป็นกุศลก็ทำไปเถอะ เพราะเวลาที่ต้องชดใช้ผลของวิบากกรรม ตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ไม่มีใครพาใครไปด้วยได้อยู่แล้ว

    ก็เฉยๆ ไว้ ถ้าเค้าเบื่อ อีกหน่อย เค้าก็เลิกว่าไปเอง หรือถ้าอธิบายแล้วเค้าไม่เข้าใจก็ต้องปล่อยไป

    ภูมิจิต ภูมิธรรมของคนมีหลายระดับ อาจจะต้องใช้เวลา เพราะมันเป็นวิถีชีวิตประจำวันของเค้า
     
  5. เตหิณรัตน์

    เตหิณรัตน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +476
    คุณทำดีอย่างไรก็ให้คงความดีแบบนั้นไว้ครับดีแล้วครับ อย่าใส่ใจคนอื่น เค้าไม่มีบุญเหมือนเรา เราอยู่กับคนแบบนั้นก็ต้องมีข้อแย้งข้อแตกต่างเป็นธรรมดาไม่ต้องจิตตกหรอกครับ ลองคิดเล่นๆนะ ถ้าตอนนี้คุณยืนอยู่ท่ามกลางหมู่เทวดา คุณจะรู้สึกว่าตัวคุณเองปกติไม่แปลกแยกจากหมู่เลย อาจจะรู้สึกด้อยกว่าเทวดาบางองค์เสียอีกในเรื่องของทานและศีลที่เค้ามีมากกว่าคุณ เพราะเทวดาเค้าก็มีทานมีศีลแบบคุณนี้หละ เรื่องของทานของศีลนี่เป็นเรื่องปกติของเทวดาเค้าหละ แต่เป็นเรื่องไม่ปกติและเป็นเรื่องน่าขันน่าหัวเราะสำหรับคนไม่มีศีลไม่มีปัญญา คุณอยู่ในหมู่ญาติที่ใจเค้าขาดศีลขาดปัญญาก็เป็นธรรมดาครับที่ต้องเจอหัวเราะเยาะแบบนั้น วางใจให้เป็นปกติเป็นธรรมดาครับ คุณจะไม่รู้สึกเป็นตัวตลกเลยครับในเรื่องนี้ถ้าได้ลองตายแล้วไปเกิดในหมู่เทวดาด้วยกันเพราะเราและเค้ามันพวกเดียวกัน ลองคิดดูนะจ๊ะว่าจริงมั้ย! 5555+ ปล. ญาติๆแฟนคุณฟังแล้วน่าสงสารนะไม่มีทานไม่มีศีลนี่อบายยาวววววววววเลย น่าสงสารมาก ถ้าคิดว่าช่วยอะไรไม่ได้เเล้วต้องอุเบกขานะกรรมใครกรรมมัน
     
  6. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ถ้าสามี ท่านรับได้ ญาติเขาจะว่ายังไงก็ช่วงหัวเขาจะไปสนทำไม สามีคุณต้อง แคร์คุณมากกว่าญาติของเขาอยู่แล้วนอกเสียจากว่า สามีคุณเขาไม่เห็นหัวภรรยา และเอาญาติมากกว่า ถ้าอย่างนั้นก็เลิกไปเถอะ คนสนิทกันขนาดเป็นสามีภรรยาแล้วยังไม่ฟัง และไปฟังญาติมากกว่า ยิ่งถ้าสามีเองก็กินปลาไหลด้วย ก็แสดงว่าทั้งคุณและเขาจริตไม่ตรงกันคบกันไปก็เลิกกันแน่นอน ไม่ว่าเร่องปลาไหล หรือเรื่องอื่นๆในอนาคต อย่างครอบครัว ท่านพ่อท่านแม่ของดิฉัน คุณพ่อท่านไม่ทานก็วยเตี๋ยว รังเกียจมาก ส่วนคุณแม่ ไม่ทานเนื้อวัว ทั้งคู่ก็ไม่ทำอะไรที่ขุ่นเคืองและเข้าใจ ขอบเขตของแต่ละบุคคล ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่จะทำให้ทะเลาะกัน
     
  7. Ta WHK

    Ta WHK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,133
    ค่าพลัง:
    +6,078
    เราก็มีลุงเขยเป็นคนอีสาน ส่วนบ้านเราจะออกจีนๆแต่ก็ไม่ได้จีนจนเข้ม

    เราว่าคุณต้องเข้าใจคนอีสานด้วยค่ะ สภาพแวดล้อมของคนอีสานส่วนใหญ่จะกินปลาเป็นอาหารหลัก คนอีสานสมัยก่อนเขาจะทานสัตว์ที่เขาจับได้แถวๆนั้นกินกันค่ะ แม้แต่ กิ้งก่า ตุ้กแก รังมดแดง หรือแม้แต่พืชผักต่างๆ เป็นวัฒนธรรมการกินอยู่ของเขาค่ะ ทางบ้านแฟนคุณถึงแม้จะมีฐานะแต่ก็ยังกินอาหารพวกที่คุณบอกมา เราว่าเป็นความเคยชินกับวัฒนธรรมการกินของเขามากกว่า สมัยก่อนอิสานการเดินทางไม่สะดวกเหมือนสมัยนี้รวมถึงอากาศสมัยก่อนก็แห้งแล้ง เนื้อหมู ไก่ หายากแถมแพงด้วย เนื้อวัวเขาจะล้มกันตอนมีงานแต่ง งานบวชหรืองานเลี้ยงใหญ่ๆ แล้วพวกปลา กบ เขียด ปลาไหล ก็เป็นอาหารแบบจานหลักๆของพวกเขาที่สามารถหาได้ในละแวกนั้นด้วยนะคะ คนอิสานอาจจะเคยชินกับอาหารพวกนั้นจนกลายเป็นวัฒนธรรมในการกินไปแล้ว หลักการและเหตุผลของคุณและญาติแฟนในมุมมองเรื่องอาหารอาจจะแตกต่างกัน แต่อย่าให้มาเป็นประเด็นที่จะทำให้ไม่สบายใจทั้งสองฝ่ายเลยค่ะ คนไทยเวลาแต่งงานจะแต่งรวมญาติๆเข้าไปด้วย คือยังไงดีแบบว่าญาติจะมีส่วนร่วมในครอบครัวของคุณ ยิ่งในกรณีที่อยู่ร่วมบ้านเดียวกันกับญาติๆหรืออยู่ใกล้ๆกัน แต่ก็อาจจะไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกครอบครัวนะคะ ส่วนฝรั่งส่วนใหญ่ที่เราเคยเจอมาเวลาแต่งงานไปเขาจะให้ความสำคัญกับภรรยาหรือสามีมากกว่าพ่อแม่และญาติพี่น้องค่ะ คุณลองไปซื้อหนังสือเกี่ยวกับอิสานมาอ่านก็ได้ค่ะ เราเข้าใจความรู้สึกคุณนะคะ แม่เราชอบทานปลามากๆ ทุกวัน ทุกมื้อจะต้องมีปลาๆ บางวันปลาอย่างเดียวเลยก็มี แต่เรากับพี่ๆน้องๆก็ชินนะไม่รู้สึกอะไรไม่มีใครบ่น จนวันนึงมีน้าสาวมา (น้าสาวคนนี้ค่ะที่แต่งงานกับสามีชาวอิสาน) น้าก็บ่นว่ามีแต่ปลาๆๆ เพราะแฟนเขาก็เน้นปลาเช่นกัน(แม่เราตอนแรกไม่ค่อยชอบแฟนน้าค่ะ) แม่เราชอบปลาแต่พ่อเราต้องมี เนื้อหมู เนื้อไก่ด้วย แม่เราก็ทำอาหารที่มีไก่ หมูด้วย ถ้าคุณทำอาหารเองก็ลองเพิ่มไก่ หมูเข้าไปด้วยสิคะ ทำอร่อยๆเดี๋ยวเขาก็ค่อยปรับได้ ขณะเดียวกันก็จะเป็นการปรับตัวคุณให้เข้ากับวัฒนธรรมของเขาด้วย ลองอธิบายให้พวกเขาฟังเหมือนที่คุณ Ayacoosha แนะนำ คนอิสานก็ชอบทำบุญนะคะ ขอเอาใจช่วยนะคะให้ผ่านพ้นไปด้วยดี อยู่กับคนต่างความเชื่อ ต่างพื้นฐานก็ต้องมีความแตกต่างเป็นธรรมดา แต่คุณกับสามีต้องมีบุญเท่ากันถึงอยู่คู่ด้วยกันได้ คนรอบข้างเป็นส่วนประกอบเท่านั้นค่ะ ความเห็นของกัลยาณมิตรในนี้ก็มีข้อดีๆทั้งนั้นค่ะ ถ้าไม่ถูกใจขออภัยด้วยค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ตุลาคม 2013
  8. anntys

    anntys Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +63
    ขอบพระคุณ กัลยาณมิตรทุกท่าน ที่ได้แนะนำสิ่งดีๆให้ค่ะ. ตอนนี้ ดิฉันก้อใช้วิธีการ ฟัง นิ่ง เฉย และยิ้มค่ะ. เพราะเคยลองอธิบายแล้ว เกรงว่าจะกลายเปนพูดไปสองไพเบี้ยเสียมากกว่า ดิฉันเลยคิดว่าจะเอาตำลึงทองค่ะ ส่วนคุณสามี อยู่ด้วยกันมาเกือบ10 ปี เมื่อก่อนดิฉันชี้นกเป็นนกค่ะ แต่ตอนนี้เขาก้อแบ่งรับแบ่งสู้ เข้าใจเค้านะคะ เพราะเขาเป็นคนกลาง ใจนึงคงเกรงใจพวกญาติๆ อีกฝ่ายก็เมีย ดิฉันเลยคิดว่า การนิ่งเฉยเสีย จะสร้างความสบายใจให้คุณสามีบ้าง และลดการกระทบกระทั่งกับทางญาติๆด้วยค่ะ และตอนนี้ดิฉันก็มีเรื่องท้าทายกว่าให้ทำค่ะ. คือ ดิฉันกำลังพยายามชักจูงใจ หลานๆของคุณสามี ให้เลิกไปเที่ยวยิงนก ตกปลา หรือจับสัตว์อื่นๆ แล้วหันมาทำกิจกรรมที่บ้านดิฉันค่ะ เช่น วาดภาพ ระบายสี ปั้นดิน แทนค่ะ ส่วนเด็กๆที่โตขึ้นมาหน่อย ดิฉันก็หากิจกรรมแบบ ทำอาหาร ขนมง่ายๆช่วยกัน เหรอหาแผ่นdvd หนังสนุกๆมานั่งดูด้วยกันเพลินๆค่ะ ดิฉันคิดว่าอาจปลูกฝังให้เด็กๆลดการทำบาปลง และเสริมทักษะให้พวกเค้าเล็กๆน้อยๆบ้าง เป็นกำลังใจให้ดิฉันด้วยนะคะ ^_^
     
  9. markdee

    markdee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    745
    ค่าพลัง:
    +1,911
    นอกบ้านจะเป็นอย่างไรเรื่องของเขา..แต่ในบ้านเรามันเป็นหน้าที่เรา เราปราถนาทานแบบไหนก็ทำไปค่ะและอธิบายให้สามีเราเข้าใจในเจตนาของเราก็พอ นานๆไปเดี๋ยวเขาก็เกรงใจเราไปเอง ไปอยู่ตรงไหนก็ไม่ทานอาหารแบบเบียดเบียนผู้อื่น..ไม่ต้องตามไปบอกสามีถึงนอกบ้านหรอกค่ะ คุณจะไปเปลี่ยนพฤติกรรมชาวท้องถิ่นแบบนี้มันจึงเป็นเรื่องโอเวอร์สำหรับพวกเขาค่ะ..และขอถามหน่อยว่าถ้าพวกเขาบอกให้คุณเลิกทำความดี เลิกถือศีลคุณทำได้ไหม? "จะเปลี่ยนโลกนี่เปลี่ยนยากนะ..ถ้าเปลี่ยนตัวเราเองนี่จะง่ายกว่าหรือเปล่า?"
     
  10. Ta WHK

    Ta WHK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,133
    ค่าพลัง:
    +6,078
    อนุโมทนากับความตั้งใจของคุณด้วยนะคะ ตอนเด็กๆ เราก็ไปยิงนก ตกปลา ประจำ ถึงข้างบ้านจะมีทำอาหาร ทำเสร็จก็กินได้เลย บางวันเราเบื่อเราก็ไปตกปลาเหมือนเดิม ถึงตกปลาไม่เคยได้กับเขาแต่ก็ไปตามเพื่อนๆ เด็กๆจะเบื่อง่ายหน่อย ลองดูว่าเด็กคนไหนสนใจอะไรเป็นพิเศษและตัวเขาเองมีจุดเด่นตรงไหนก็ส่งเริมแนะนำ ถ้าเด็กๆติดคุณก็ดีค่ะ อย่างน้อยก็ช่วยลดทำบาปน้อยลง ดู DVD ก็มีทั้งดีและเสีย ต้องให้คำแนะนำกับพวกเขาด้วยนะคะ
     
  11. Piagk3

    Piagk3 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    606
    ค่าพลัง:
    +1,222
    วางอุเบกขา ซะ เราก็อยู่ ในส่วนแห่งเรา เขาก็อยู่ในส่วนของเขา กรรม ของใคร ของมัน อย่าไปวิตกจริต เพราะเราเดินอยู่บนทางแห่งธรรม อย่าหวั่นไหว ต่อสิ่งรอบข้าง
     
  12. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    แก้เรื่องความเข้าใจผิด คิดไปเองเออเองว่า บาป ต่างๆนาๆก่อนนะครับ

    ไม่ได้ฆ่าเอง ไม่ได้สั่งคนอื่นฆ่า ไม่ยินดีเมื่อรู้ว่าเขาฆ่า

    1.แก้ความเข้าใจผิดเรื่อง บาป ก่อนนะครับ สัตว์ที่ตายแล้ว

    สัตว์ที่ตายแล้ว เราไม่มีส่วนในการฆ่า หรือไปรู้เห็นสั่งให้ฆ่า

    เอาซากสัตว์ ที่ตายแล้ว รับมา หรือ มารับประทาน เราไม่บาป ครับ


    ดังนั้น เวลาญาติพี่น้อง จขกท เอา ซากสัตว์ที่ตายแล้ว ต่างๆมาให้รับประทาน กินได้ตามปรกติครับ


    2.ถ้า ญาติ เอาสัตว์ที่ยังไม่ตาย มาให้ฆ่าเอง เพื่อทำเป็นอาหาร ก็แนะนำว่า เอาไปปล่อยแทน ครับ

    3. ควรวางกำลังใจ ให้ดีครับ ตัดกำลังใจให้เป็น ถ้าคุณมัวแต่ คิด วิตก กังวล เรื่อง อกุศลกรรมต่างๆ ทำให้จิตเศร้าหมอง เกิดลูกปืนตกใส่หัวตาย ตอน จิตเศร้าหมอง ดิ่งไปนรกแน่ๆครับ


    ดังนั้น กิน รับประทาน ซากสัตว์ ต่างๆ ที่เราไม่ได้มีส่วนร่วมฆ่า หรือ สั่งให้ฆ่า ได้ตามสบายๆนะครับ ไม่บาปใดๆ ทั้งสิ้นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2013
  13. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    หากมีอาชีพเกี่ยวข้องกับการฆ่าสัตว์ ต้องตัดกำลังใจให้เป็น

    ถาม : หนูทำงานเกี่ยวกับการตรวจดูอาการป่วยของสัตว์ต่าง ๆ ทั้งที่รู้ว่าถ้าตรวจผ่านเขาก็เอาไปฆ่า ?

    ตอบ : เราทำแค่หน้าที่ของเรา เรามีหน้าที่ตรวจโรคเราก็ตรวจไป ถึงเวลาก็แจ้งผลไปตามความจริงแค่นั้น ส่วนเขาจะเอาผลไปทำอะไร เราไม่ต้องไปใส่ใจ ตัดกำลังใจได้แค่นี้จะไม่มีโทษอะไร เพราะหน้าที่เราไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับส่วนที่เขานำไปฆ่า เราทำแค่หน้าที่เฉพาะหน้าของเราเท่านั้น

    ส่วนหน้าที่ของเราทำไปแล้ว คนอื่นเขาเอาผลไปขยายเพื่อทำอะไรอีกไม่เกี่ยวกับเราแล้ว ถ้าหากว่าตัดกำลังใจไม่เป็น เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าเราไปส่งเสริมให้เขาตายอีก

    ถาม : ไม่ได้เป็นการสนับสนุนให้เขาฆ่าหรือคะ ?

    ตอบ : เราไม่ได้บอกให้เขาว่าตัวนี้ปลอดโรคเอาไปฆ่าได้ เราแค่รายงานผลไปเฉยๆ ว่าผลเป็นอย่างไร ส่วนเขาจะไปทำอะไรเป็นเรื่องของเขา ถ้าตัดกำลังใจไม่เป็นเดี๋ยวก็เป็นเรื่อง..!


    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๕
    http://palungjit.org/threads/หากมีอาชีพเกี่ยวข้องกับการฆ่าสัตว์-ต้องตัดกำลังใจให้เป็น.374021/
     
  14. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ฉันเนื้อสัตว์

    --------------------------------------------------------------------------------

    เรื่องของพระนางอุบลวรรณาเถรีมีอยู่ตอนหนึ่งที่ยืนยันได้เลย ปรากฏในพระไตรปิฎก ก็คือ ที่เขาสงสัยกันว่าพระพุทธเจ้าฉันเจหรือว่าฉันเนื้อสัตว์ ก็คือพระนางอุบลวรรณาเถรีท่านจำพรรษาในป่าสีตวัน (สีตวันก็คือ ป่าเย็น แสดงว่าเป็นป่าดงดิบลึกมาก)

    พระนางอุบลวรรณาเถรีก็คิดจะไปเฝ้าพระศาสดา จึงเหาะมาด้วยกำลังฤทธิ์ ปรากฏว่าในช่วงที่ผ่านป่าใหญ่ มันมีลานอยู่แห่งหนึ่ง เห็นมีชิ้นเนื้ออยู่ อันนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสัตว์มันฆ่าหรือพรานมันฆ่าไว้ ท่านก็ลงไป มองซ้ายมองขวา หาเจ้าของไม่เห็น จะเป็นคนเป็นสัตว์ก็ไม่เห็นมี กระแอมดูว่าจะมีใครตอบรับก็ไม่มี บาลีบอกว่ากระแอมถึงสามครั้งแล้วมั่นใจว่าไม่มีเจ้าของแน่ ก็ถือเอาชิ้นเนื้อนั้นไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อจะถวายให้พระองค์ท่าน เหมือนกับลูกศิษย์ไปหาอาจารย์ หาของฝากไปให้อาจารย์

    ลักษณะอย่างนั้นยืนยันได้ว่าพระพุทธเจ้าท่านฉันเนื้อแน่นอน ไม่อย่างนั้น จะเอาไปฝากทำไม ส่วนใหญ่แล้วคนเขาจะให้พระพุทธเจ้าบริสุทธิ์ไร้ที่ติ ความจริงก็ไม่มีที่ให้ติ เพราะท่านบอกว่าถ้าไม่ได้ฆ่าเอง ไม่ได้สั่งคนอื่นฆ่า ไม่ยินดีเมื่อรู้ว่าเขาฆ่า จะกินก็กินไปเพราะไม่มีส่วนในกรรม แต่ถ้าเราสั่งเขาฆ่าอันนี้ผิดตรง ๆ เลย ลงมือฆ่าเองก็ใช่ หรือว่าเขาทำมาให้เราแล้วดีใจก็ใช่อีก ถ้าหากว่าบริสุทธิ์โดยสามส่วนท่านบอกว่าไม่เป็นไร ฉันได้ไม่มีส่วนร่วมในกรรม

    จริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านตั้งใจที่จะไม่ให้พระรบกวนโยม แบบเดียวกับเวลาที่อาตมาไปพม่า ครูบาน้อยฉันเจ อาตมาก็ฉันเจด้วย โยมเขาจะได้ทำมาชุดเดียว ไม่อย่างนั้นแล้วลำบาก ทำสองชุดแบ่งกัน เสียเวลามาก เสียของมาก

    เทศน์ช่วงเช้า ณ บ้านอนุสาวรีย์
    วันเสาร์ที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๒

     
  15. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    เหตุที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงห้ามการกินเนื้อสัตว์

    --------------------------------------------------------------------------------

    http://palungjit.org/threads/เหตุที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงห้ามการกินเนื้อสัตว์.347431/?langid=2

    ถาม : นอกจากการห้ามฆ่าสัตว์แล้วทำไมไม่ห้ามกินสัตว์ด้วย เพราะเป็นการสนับสนุนทางอ้อม ?

    ตอบ : ถ้าหากว่าคุณไปสั่งเขาทำจะเป็นการสนับสนุน ถ้าหากว่าคุณไม่ได้สั่งเขา อย่างไรเขาก็ทำอยู่แล้ว ทำไม พระพุทธเจ้า ไม่ห้าม ? เพราะว่า คนไม่ใช่สัตว์กินพืช อย่างไรส่วนของเนื้อยังมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เพียงแต่ว่าให้เป็น ปวัตตะมังสะ คือ เนื้อสัตว์ที่เขาค้าขายกันทั่วไป ถ้าเป็น อุทิสมังสะ ไปเจาะจงสั่งเมื่อไรก็เฮงเมื่อนั้น

    เราไม่กินเนื้อสัตว์ เขาก็ยังฆ่ากันอยู่อย่างนั้น ครอบครัวเราไม่กินเนื้อสัตว์ เขาก็ยังฆ่ากันอยู่อย่างนั้น เมืองเราทั้งเมืองไม่กินเนื้อสัตว์ เขาก็ยังฆ่ากันอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้น..คุณไม่สามารถจะแก้ไขการดำรงชีวิตของมนุษย์ได้ แต่ว่าสามารถที่จะสร้างกรรมให้น้อยที่สุดได้

    หรือจะเอาอย่างทิเบตก็ได้ สมัยก่อนทิเบตไม่กินเนื้อสัตว์ รอจนกระทั่งสัตว์ตายก่อนถึงจะเอามาเป็นอาหาร แต่พอตอนหลังพวกอิสลามเข้าไปอยู่ในทิเบตจึงมีการฆ่าสัตว์ คนทิเบตก็ไปเอาเนื้อที่เขาฆ่าแล้วมากินได้


    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๕
     
  16. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ถาม : ...................................
    ตอบ : เรื่่องอาหารพระ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า อาหารที่เป็นเนื้อสัตว์มี ๒ อย่างคือ
    ๑. ปะวัตตะมังสะ อาหารที่เขาขายอยู่ทั่วไปอยู่แล้ว เราจะสั่งหรือไม่สั่งเขาก็ฆ่าขายกันอยู่ อันนั้นสั่งมากินได้ไม่เป็นไร ซื้อได้อะไรได้ อย่างเช่น หมูที่เขาชำแหละอยู่ ไก่ที่เขาฆ่าขายอยู่
    ๒. อุทิสสะมังสะ เขาเจาะจงให้เฉพาะคน ถ้าเป็นอุทิสสะมังสะเจาะจงให้นี่ เรา"เห็นว่า เขาฆ่าเพื่อเรา รู้ว่าเขาฆ่าเพื่อเรา รังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อเรา" เรากินไม่ได้เลย กินนี่เขาปรับทุกคำที่กลืน อันนี้ของพระนะ ของโยมเอาแค่ว่าเราไม่ได้สั่งก็พอ
    ตัวอย่างต้องหลวงพี่วิชชา หลวงพี่วิชชา ตอนนี้คงเป็นหลวงตาแก่ ๆ ไปแล้วล่ะ สมัยโน้นท่านอยู่วัดศรีมณีวรรณ เป็นพระอภิญญา มีลูกศิษย์ลูกหาเยอะ ท่านเลื่อมใสหลวงพ่อ เพราะว่าพระระดับนั้นก็ต้องรู้ว่าหลวงพ่อเป็นอย่างไร ไปร่วมงานกันบ่อย คราวนั้นเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ด้วยกัน ก็ใกล้เพล เฮ้ย...แวะแม่ลาปลาเผา แต่ตอนนั้นแม่ลาปลาเผางานยังน้อยอยู่ ก็ยังไม่ได้เผาปลารอแล้วมาอุ่นทีหลัง เหมือนสมัยนี้ ปลาจะเป็น ๆ เลย พอเข้าไปในร้าน เจ้าของร้านเข้ามาถาม "จะรับอะไรดีครับ ?" ตอบว่า "อะไรที่อร่อย ๆ ก็เอามาเถอะ" เขาก็เข้าไปหลังร้าน เสียงทุบป้าบ ๆ ดิ้นพลาด ๆ เลย ได้ยินชัดเลย หลวงพี่วิชชาหน้าเหลือ ๒ นิ้วเลย (หัวเราะ) ตกลงวันนั้นได้นั่งดูปลาเผา ไม่มีใครแตะเลยสักคน (หัวเราะ) ยังดียังมีอย่างอื่นด้วย ไม่อย่างนั้นอดตาย นั่นน่ะรู้เลยว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ถึงไม่เห็นก็ได้ยินเต็มสองหู
    ถาม : ถ้าพระไม่ฉันนี่ผิดหรือเปล่าคะ ?
    ตอบ : เขาปรับตอนฉัน
    ถาม : ไม่ได้ฉันก็ไม่เป็นไรหรือคะ ?
    ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ นั่นจริง ๆ ก็ไม่ได้สั่ง ใครจะไปรู้ว่ามันเป็น ๆ ก็บอกเขาว่า "มีอะไรอร่อย ๆ ก็เอามา" แหม...ของเขาก็อุตส่าห์ขึ้นชื่อแม่ลาปลาเผา เขาก็ต้องเอาเมนูเด็ดของเขาออกมา ที่ไหนได้มันไปทุบเลย เสียงคงจะตีด้วยไม้ เสียงดังป้าบ ดิ้นพลาด ๆ แต่ว่าสมัยหลังใช้วิธีเผารอเอาไว้แล้ วพอถึงเวลาเอาเข้าไมโครเวฟแล้วก็เอาออกมา อย่างนี้เรียบร้อยไปนานแล้ว
    มีเหมือนกันแหละประเภทให้นัย ประเภทที่เรียกว่าให้แม่ชีเดินจ่ายตลาด แม่ค้าก็ถาม "แม่ชีไม่ซื้อปลาหรือคะ ?" แม่ชีบอกว่า "ยังไม่ตายนี่" พอกลับมาตายเรียบร้อยแล้ว อย่างนี้ให้นัยเขา มีโทษเหมือนกันนะ ถาม : อย่างเช่นเราสั่งกับข้าว เช่น ผัดหอยลายอย่างนี้ คนทำเขาก็ไปทำมาให้ เขาทำมาขายแล้วอย่างนี้ คนสั่งกับคนทำโดนด้วยกันไหมคะ ?
    ตอบ : คนทำโดนแน่ ๆ อยู่แล้วล่ะ เพราะถ้าหากว่าเป็นอยู่ คนทำต้องทำให้มันตาย คราวนี้คนสั่งถ้าตั้งใจสั่งก็โดนด้วยกัน อย่างของพระเขามี "สาณัตถิกะ" โดนอาบัติศีลขาดเพราะสั่งเขาทำ เขาปรับนะ ไม่ใช่สั่งคนอื่นทำแล้วเราจะปลอดภัย โดนด้วยกันนะ จะมี "สาณัตถิกะ" ศีลขาดเพราะสั่งคนอื่นเขาทำ "อนาณัตถิกะ ทำเองก็ขาด (หัวเราะ) ของพระเขาปรับละเอียด ไม่มีซอกไม่มีมุมให้หลบเลย สมัยหนึ่งเขาว่า "บาปคนทำ กรรมคนกิน" ความจริงโดนทั้งคู่แหละ (หัวเราะ)
    ถาม : อย่างนี้ต้องแผ่เมตตาให้เขาหรือเปล่าคะ ?
    ตอบ : จริง ๆ คือว่า ถ้าสามารถทำบุญให้เขาได้ก็ดี อย่างน้อย ๆ ถ้าเขายังจองเวรอยู่ ก็เอาเป็นว่าได้รับความดีไปเรื่อย ๆ จะได้ใจอ่อนบ้าง
    ถาม : วันนั้นไปปล่ยอปลากับเขาที่ตลาดพงษ์เพชร ก็ไปเอาปลาดุกที่เราจะเอาไปปล่อย เขาก็กำลังเลือกให้เราอยู่ แล้วเขาก็กำลังปิ้งปลาดุกขายด้วยแล้วก็มีคนมาบอก "นี่ปิ้งแล้วก็มี" ก็บอก "ไม่เอา ๆ เอาเป็น ๆ สิ" เราหาเป็น ๆ ไปปล่อย นี่เขาเอาเป็น ๆ ไปย่าง...!
    ตอบ : พูดง่าย ๆ คือว่า ทำกรรมเสียจนชิน ชินเสียจนไม่รู้ เขาเรียกว่า "อาจิณกรรม" อาจิณกรรมที่ทำจนชิน อย่างเรื่องฆ่าสัตว์นี่ลงอเวจีมหานรกแน่อนเลย อเวจีมหาจริง ๆ ลงยาก แต่แหม...มันลงกันจัง ถาม : ถ้าเราทำเป็นอาชีพล่ะคะ ?
    ตอบ : นั่นแหละ พระพุทธเจ้าท่านกำหนดไว้ว่า "มิจฉาวณิชชา"อาชีพในทางไม่ชอบมี ๕ อย่าง ๑. ขายสุรา ๒. ขายยาพิษ ๓. ขายอาวุธ ๔. ขายมนุษย์ ๕. ขายสัตว์ที่ยังมีชีวิต ห้ามเด็ดขาด...! ท่านบอกว่า "ผู้ที่เป็นพุทธมามะกะ มิสมควรจะกระทำ"คือว่าพวกสุรายาพิษ จริง ๆ เราไม่ได้ไปบังคับให้ใครเขากินหรอก แต่ว่าถ้าหากว่าตัดกำลังใจไม่ได้ จะพลอยไปยินดีกับเขา อย่างเช่น ขายได้มากก็ไปดีใจอะไรอย่างนี้ เท่ากับไปโมทนาบาปกับเขา

    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๖(ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    http://www.grathonbook.net/book/98.html
     
  17. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    "..สัตว์ทั้งหลายที่ตายไปนั้นจะห้ามกันได้อย่างไง เมื่อห้ามอันนี้ความมุ่งหมายของสัตว์ที่ตายไปแล้วจะไม่มีทางก้าวเดิน ไม่มีทางออก เข้าใจไหม ต้องอาศัยบุญกุศลจากเนื้อหนังของเขาที่ตายไปแล้วนั้น มาหนุนตัวเองไปอีก..."
     

แชร์หน้านี้

Loading...