ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,791
    ค่าพลัง:
    +16,105
  2. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    ได้เลยครับน้องเอไว้รวบรวมยอดที่จะจัดส่งได้จำนวนพอสมควรจะส่งให้เลยครับช่วงแรกอาจเป็นพระปรกใบมะขามหลวงปู่แหวนและพระปิดตาสองหน้าที่ได้รับการเชิญบารมีเพิ่มจนเสกไม่เข้าเต็มที่จริงๆ
     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,791
    ค่าพลัง:
    +16,105
    คำบอกเล่าความเกี่ยวพันหลวงพ่อเกษมกับเจ้าประคุณสมเด็จฯ ภาคแรก

    ภาคปฏิปทาขั้นอุกฤษฎ์

    ประวัติหลวงพ่อเกษม เขมโก <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <HR align=center width="100%" color=white noShade SIZE=1>
    ที่มา : อานนท์ เนินอุไร. (๒๕๒๗.) รวมภาพชุดและประวัติย่อ ๘๐ พระกรรมฐาน นิตยสาร ธรรมสมาธิ โลกทิพย์


    วัตรการประพฤติปฏิบัติธรรมของหลวงพ่อเกษมองค์นี้นับเป็นเรื่องอัศจรรย์ ปฏิปทาของท่าน แม้เราจะมองดูตามลักษณะที่ท่านบำเพ็ญภาวนาตามสถานที่ต่างๆ ดูเหมือนว่าท่านจะทรมานตนเองเกินกว่าเราจะคิดว่านั่นคือการปฏิบัติธรรม เพราะปกติท่านจะอาศัยป่าช้า นั่งสมาธิภาวนาอยู่หน้าเชิงตะกอนเผาผีบ้าง นั่งภาวนากลางแดดร้อนระอุ นั่งภาวนายามค่ำคืนที่หนาวอย่างทารุณของภาคเหนือนั่งภาวนาท่ามกลางสายฝนที่ตกชุก อย่างนี้เป็นต้น

    ทำไมท่านต้องกระทำถึงขั้นนั้น จะไม่เป็นกานทรมานตนเองเกินไปหรือ?...เปล่าเลย ท่านทนได้และทำได้ โดยไม่มีอันตรายอันใด ไม่ว่าจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ไม่เกิดกับท่านเลยในเรื่องนี้

    นอกจากว่า ความเจ็บที่มีขึ้นตามปกติมนุษย์พึงมีพึงเป็นเท่านั้นมันเป็นความเลี่ยงไม่ได้ แต่การกระทำเยี่ยงท่าน เป็นนิสัยที่ท่านเคยปฏิบัติมาก่อนในอดีต ซึ่งท่านเคยพูดอยู่เสมอๆ ว่า “การปฏิบัติอย่างนี้ ต้องแยกกายและจิตให้ออกจากกัน”

    หลวงพ่อเกษม เขมโก กำเนิดเมื่อวันพุธ แรม ๔ ค่ำ เดือนยี่เหนือ ปีชวด ตรงกับวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๕ เป็นบุตรชายคนหัวปีของ เจ้าน้อยหนู มณีอรุณและเจ้าแม่บัวจ้อน ณ ลำปาง ณ บ้านท่าเค้าม่วง ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง เจ้าเกษม ณ ลำปาง(หลวงพ่อเกษม) จบการศึกษาชั้นประถม ๕ อันเป็นขั้นสูงสุดของโรงเรียนบุญทวงษ์สมัยนั้น ต่อมาได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดบุญยืน จ.ลำปาง ในปีพ.ศ. ๒๔๗๕ ขณะนั้นสามเณรเกษมอายุได้ ๒๐ ปี ก็สามารถเรียนนักธรรมสอบได้ชั้นโท มีความแตกฉานในด้านบาลีมาก

    พ.ศ. ๒๔๗๖ อายุได้ ๒๑ ปีจึงได้อุปสมบท โดยมีท่านเจ้าคุณธรรมจินดานายก(ฝาย) เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านพระครูอุตตรวงศ์ธาดา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ท่านพระธรรมจินดานายก เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “เขมโกภิกขุ” เมื่อบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์แล้ว ท่านก็ยังศึกษาพระธรรมวินัยอยู่ในระยะแรกๆ ในระยะหลังจากที่หลวงพ่อเกษม เขมโก เข้าดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบุญยืนนี่เอง ทำให้ท่านเกิดเบื่อหน่ายและได้สละตำแหน่งออกเดินธุดงค์ เข้าไปอยู่ในป่าช้าบำเพ็ญภาวนาธรรม ซึ่งท่านได้รับอุบายธรรมะมาจากหลวงพ่อครูบาแก่น(อุบล สุมโน) ถือได้ว่าเป็นพระอาจารย์สอนกรรมฐานองค์แรก

    การปฏิบัติท่านมีปฏิปทาเช่นเดียวกันกับ “พระป่า” ที่เที่ยววิเวกไปในทุกแห่งหนนั้นเอง อาศัยป่าที่สงบจากผู้คนโดยอาศัยเฉพาะป่าช้าศาลาวังทานในเขต จ.ลำปาง หลวงพ่อเกษม เขมโก ท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่ทุกคนไม่เข้าใจในปฏิปทาของท่านจะพากันสงสัยว่า... “การปฏิบัติที่ตึงเปรี๊ยะ คือ การนั่งภาวนากลางแดดร้อนระอุบ้าง นั่งทั้งวันทั้งคืนโดยไม่ไหวกายเลยบ้าง อดอาหารเป็นเวลานานถึง ๔๙ วันบ้าง มิหนำซ้ำท่านยังไม่ติดรสในอาหารอีกด้วย”

    ดังนั้นคณะศรัทธาทั้งหลายจึงมีความเป็นห่วงกังวลในเรื่องนี้มาก เพราะเป็นการถือเคร่งทรมานกิเลสภายใน อันได้แก่ตัณหา อุปาทาน เป็นวิธีที่ล่อแหลมต่ออันตรายทางด้านสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง หลวงพ่อเกษม เขมโก ท่านไม่มีความกังวลในการทรมานตนของท่านเลย ท่านไม่เป็นอะไรยังแข็งแรงเช่นเดิม

    หลวงพ่อเกษม เขมโก ท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่มีข้อวัตรปฏิบัติไม่เหมือนคนอื่นนั้น อาจเป็นบารมีเก่าของท่านที่เคยดำเนินมาก่อนก็เป็นได้ เพราะการกระทำของนักปฏิบัติธรรมนั้น เป็นการรู้เฉพาะจิตตัวเอง ไม่มีใครรู้หรือจะเดาไม่ได้เลย พระกรรมฐานทุกองค์ ท่านจะมีปฏิปทาที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งผิดแปลกไปจากชาวบ้านธรรมดาอยู่มากทีเดียว แต่ความมุ่งหมายที่สุดของการดำเนินจิตก็เป็นแหล่งเดียวกัน คือทางพ้นทุกข์พ้นภัยนั่นเอง

    หลวงพ่อเกษม เขมโก ท่านปฏิบัติธรรมขั้นอุกฤษฏ์ ตลอดพรรษาได้อย่างสบายไม่มีอะไรติดขัด ก็เพราะท่านมีกำลังจิตแก่กล้ามั่นคงนี่เอง การกระทำเช่นหลวงพ่อเกษม จะต้องมีอารมณ์จิตถึงระดับฌาณ ๔ หรือที่เรียกกันว่า จตุตถฌาณ คือมีอารมณ์จิตสงัดเงียบจิตจะได้ไม่เกี่ยวข้องกับร่างกายสังขารเลย ญาณ ๔ นี้แม้ความร้อนอ่อนหนาวจะไม่มีอาการรู้ตัวเลย หรือจะมีใครมาทำอะไรแก่บุคคลผู้ได้ระดับญาณ เช่น คนมาตีศีรษะอย่างแรง ทำร้ายร่างกาย จะไม่มีความรู้สึก เพราะจิตและกายได้แยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด ผู้เขียนไม่เคยได้พูดคุยปัญหาเรื่องนี้กับ หลวงพ่อเกษม แต่ได้เรียนถาม หลวงพ่อพุธ ฐานิโย แห่งวัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมาท่านเมตตาเล่าให้ฟังว่า

    “ถ้าบุคคลใด ปฏิบัติมาได้ขั้นนี้แล้ว จะเป็นผู้มีกำลังจิตที่แก่กล้ามาก อาการเช่นนี้ ถ้าจะมีใครยกเราหย่อนลงไปในน้ำก็สามารถอยู่ได้ ไม่มีอันตรายเลยและไม่มีอะไรอีกด้วย ว่าเย็นหนาว และถ้าเขาจะจับศีรษะบิดจนรอบก็ไม่มีความรู้สึกอะไร จะนั่งอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลงบุคคลเช่นนี้มีอำนาจจิตที่แก่กล้าแสดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ได้ทุกเมื่อเลยทีเดียว”

    เป็นอันว่าสรุปผลแห่งการปฏิบัติของ หลวงพ่อเกษม เขมโก เป็นผู้ทรงอภิญญาจะต้องแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ได้เป็นที่แน่นอน หลวงปู่ศรี มหาวีโร ท่านเคยเมตตาอธิบายว่า.. “การเจริญสมาธิภาวนาแบบอุกฤษฏ์ทรมานตนนี้ เป็นการสร้าง “มหาสติ” อีกแบบหนึ่ง ผู้ทำสำเร็จจะมีพลังแก่กล้ามาก เป็นความจริงในเรื่องนี้”

    ปัจจุบัน ป่าช้าประตูม้า ศาลาดำ(สุสานไตรลักษณ์) ยังเป็นจุดหมายปลายทางที่ท่านสนใจในทางธรรม จะเห็นได้ว่า มีผู้คนหลั่งไหลกันเข้าไปกราบนมัสการท่านอยู่ทุกวัน แม้ว่าท่านจะพูดน้อย คือ...พูดค่อยๆ เชิงกระซิบ โดยท่านให้เหตุผลว่า... “ถ้าต้องพูดกับคนทุกคนแล้ว ท่านคงไม่มีเวลาปฏิบัติธรรมแน่ๆ

    หลวงพ่อเกษม เขมโก ท่านมีคุณธรรมวิเศษอีกข้อหนึ่ง อันได้แก่ เป็นผู้มีศีลอันบริสุทธิ์และมีเมตตาสูง โดยไม่เลือกชั้นวรรณะของผู้เดินทางไปถึงสุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง...<o:p></o:p>

    <o:p> </o:p>
     
  4. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ผมพยายามโน้มนำให้ยอมๆกันบ้างนะครับ มาดูบรรยากาศงานบุญที่ได้เคยร่วมบุญกันมาก่อน..ผ้าป่ามหากุศล สมทบทุนสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมเพื่อพระสงฆ์-สามเณร วัดบ่อเงินบ่อทอง

    <TABLE class=tborder id=post277484 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead id=currentPost style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">[​IMG] 11-07-2006, 12:29 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#450 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>พันวฤทธิ์<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_277484", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: เมื่อวานนี้ 10:19 PM
    วันที่สมัคร: Jul 2006
    ข้อความ: 294 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 183 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 2,814 ครั้ง ใน 288 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 328 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]





    </TD><TD class=alt1 id=td_post_277484 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong
    <TABLE class=tborder id=post277333 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="FONT-WEIGHT: normal">[​IMG] วันนี้, 03:47 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="FONT-WEIGHT: normal" align=right>#931 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 width=175>โสระ<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_277333", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 05:05 PM
    วันที่สมัคร: Sep 2005
    อายุ: 29
    ข้อความ: 13 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    Thanks: 1
    Thanked 44 Times in 6 Posts <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 0[​IMG]






    </TD><TD class=alt1 id=td_post_277333><!-- message -->อนุโมทนาในความเสียสละของทุกๆท่านที่ช่วยให้งานบุญครั้งนี้สำเร็จ และเต็มเปี่ยมด้วยกุศล ได้รับกันถ้วนหน้าทั้งที่ได้ไปในงานและไม่ได้ไป แต่สำหรับผู้ที่ได้ไปถ้าช่างสังเกตุจะเห็นว่าเวลาพระท่านให้พรกรวดน้ำ มักจะมีลมกรรโชกพัดมาตลอด ทุกครั้ง จนครั้งสุดท้ายก่อนจะกลับเหลือแต่คณะของพวกเรา เกิดเสียงดังตอนพระให้พร ตอนหลังกลับมาแล้วถึงรู้ว่า ทั้งท่านอาจารย์ประถม คุณsithiphong คุณปุ๊ ตัวผมเอง และคงอาจมีท่านอื่นๆอีก ได้อารธนาเชิญหลวงปู่ให้มาในงานวันนี้ด้วยท่านคงจะรับรู้และแสดงให้เห็นพอกับที่พวกเรารับรู้ได้ อีกประการถ้าท่านใดมีจิตสัมผัสได้บ้างจะรู้ว่าตอนพระให้พรกรวดน้ำมีพลังที่แผ่ออกมาสัมผัสได้ว่าเป็นบุญที่มีการอนุโมทนาจากพระหรือเทพระดับสูงๆมาในที่นั้นด้วย ทั้งหมดเป็นความรู้และความเห็นส่วนตัวผมที่อาจไม่ตรงกับความจริงก็ตามแต่จะพิจารณานะครับ
    <!-- / message -->



    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE class=tborder id=post277337 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="FONT-WEIGHT: normal"><!-- status icon and date -->[​IMG] วันนี้, 04:05 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="FONT-WEIGHT: normal" align=right>#932 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 width=175>โสระ<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_277337", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 05:05 PM
    วันที่สมัคร: Sep 2005
    อายุ: 29
    ข้อความ: 13 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    Thanks: 1
    Thanked 44 Times in 6 Posts <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 0[​IMG]






    </TD><TD class=alt1 id=td_post_277337><!-- message -->ส่วนอีกเรื่องที่อยากจะบอกว่าท่านใดได้บูชาพระหลวงปู่กรุเนปาลจากอาจารย์ประถมถือว่าเป็นผู้โชคดีมากครับ พลังแรงเด็ดขาดมากครับ


    <!-- / message -->



    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    กรุเนปาลครับ คุณสิทธิพงษ์



    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    "ปู่"รู้เข้าจะเสียใจมากที่มาขัดกันเอง ความขัดแย้งกันนี้หากสัมผัสกระแสหลวงปู่ได้จริง ทำไมจะไม่รู้ว่า"หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร"ท่านก็ทราบ...กลับมารวมกันเป็น"คณะเรา"เหมือนเดิมนะ(kiss)

    http://palungjit.org/showthread.php?t=22445&page=612
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2007
  5. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]

    สาธุครับ
     
  6. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    [​IMG]
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ aries2947 [​IMG]
    ความจริงผมเป็นน้องน้อยก็ไม่อยากจะพูดอะไรครับขอเล็กน้อล่ะกันครับ
    แต่ที่ผมรู้สามัคคีคือพลังครับ(smile)
    เราถึงจะย้อนเวลาไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะทำปัจจุบันเพื่อให้เกิดอนาคตด้วยตัวเราเองได้ครับ(good)
    ขอให้วันคืนที่ดีกลับมาโดยเร็วครับ(cry)
    น้องเอ
    (kiss)
    ปล.ว่าแต่พี่เพชรครับ วิชานี้น่าสนใจนะครับ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    หากปัจจุบัน เกิดความตั้งใจจริง ร่วมมือกันจริง ไม่เพียงกรณีศึกษานี้นะครับ ภาพใหญ่คือบ้านเมืองเรานั่นแหละ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระผู้เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งชาติ รัฐมนตรี พรรคการเมืองต่างๆ หากไม่สนองคุณแผ่นดิน ก็เป็นการทำให้ระคายเบื้องพระยุคลบาท อาจารย์ปู่เป็นศูนย์รวมความรัก ความศรัทธาของคณะศิษย์หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ที่ทุกฝ่ายปรารถนาจะเข้าใกล้ ดาวเคราะห์บางดวงบ้างมีแสงในตัว บ้างขาดแสง บ้างริบหรี่ ส่วนมากจะสว่างได้ต้องอาศัยแสงสว่างจากดวงตะวันฉันใด กลุ่มคนทั้งหลายย่อมต้องการที่พักพิง ต้องการความปลอดภัยถ้วนทั่วทุกตัวคนฉันนั้น คิดถึงส่วนรวมกันให้มาก ละตัวเองลงบ้าง เป้าหมายเดียวกัน แค่ต่างวิธีการกัน...
     
  7. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    อาจารย์ประถมเป็นบุคคลสาธารณะอยู่ฐานะนี้มาเกือบ50-60ปีและมีลูกศิษย์เข้ามานับถือเคารพและหาความรู้จากท่านมากหน้าหลายตาเกือบทุกวันมีคนไปหาตลอดคณะเราเป็นเพียงส่วนเล็กๆเท่านั้น อย่าเพิ่งไปคิดแทนท่านว่าจะผิดหวังอะไรกับเรื่องนี้ เพราะไม่มีเรื่องอะไร ก็แค่ทางคณะต้องการทำทุนนิธิให้บริสุทธิ์ ไม่มีอามิสเป็นวัตถุมงคลพระพิมพ์ราคาแพงๆเพื่อหวังผลสำเร็จให้กิเลสอ้วนก็เท่านั้น มีก็แต่แจกฟรี แต่ไม่ถูกใจบ้างท่านเท่านั้น เรื่องนี้ต้องไปแก้ที่ใจบ้างท่านไม่ใช่มาแก้ที่นี้เพราะทางเรายืนยันเจตนาบริสุทธิ์เหมือนเดิม

    ขอบารมีพระรัตนตรัยให้ท่านนั้นคิดเป็นสัมมาทิฐิโดยไวครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 ธันวาคม 2007
  8. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    หากใจเศร้าหมองไม่สบายใจ ให้น้อม....ใจไปกราบสักการะนมัสการองค์พระบรมสารีริกธาตุกันที่เทวโลกนะครับ ขอกระแสพระบารมีพระฉัพพรรณรังสีของพระพุทธองค์ได้ปกแผ่มายังปวงข้าฯทั้งหลายชำระล้างความเศร้าหมองในใจ และให้เห็นตามความเป็นจริงทุกประการด้วยเทอญ พระพุทธเจ้าข้าฯ

    <!-- / message --><!-- attachments -->

    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    </FIELDSET>
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,791
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ขอบคุณ คุณเพชรครับ ผมและคณะทำงานเฉยๆ ครับ โดนกระหนาบจิตโดยพี่ใหญ่ ทำอะไรต้องขออนุญาตทุกครั้ง ขึ้นกระทู้ เปิดบัญชี รวมถึงเลขที่บัญชี แม้กระทั่งพระที่แจกต้องถามก่อนเพราะท่านขอบารมีเสกให้ตั้ง 2 เดือน คำสั่งคือแจกให้หมด ผมน้อมรับทั้งที่เดิมจะทำไว้แจกงานศพพ่อแม่ตนเอง หากถามว่าชุดนี้ใครลงมาบ้าง บอกได้เลยว่าตั้งแต่ท่านองค์ใหญ่ต้นภัทรกัปป์ลงมา จนกระทั่งพรหมสุทธาวาสที่ประทาน "นะ" จึง ขอให้เก็บไว้ด้วย ฝากแฟนด้วยก็ได้ เก็บแล้วปิดทองท่านแยกต่างหาก จะได้ไ่ม่ปน เพราะพระที่ขอบารมีไว้คือเจ้าคุณกรมท่า และปิดตา 2 หน้า ส่วนการจัดส่งพระให้นั้น คุณโสระควักทุนส่วนตัวให้ทั้งหมด ลงทั้งทุนลงทั้งแรง ก็เกรงใจกันอยู่ ถามน้องว่ายังยินดีมั๊ย น้องบอกว่ายังรับไหว เราก็เบาใจ ถ้าคุณเพชรเข้าใจเรื่องฤกษ์ บอกได้เลยว่าลงสมโณฤกษ์ เป็นฤกษ์กุศล ไม่เร่งไม่รีบ เหมือนฤกษ์บิณฑบาตร เท่าไรก็เท่านั้น พระสงฆ์ไม่หวือหวาอยู่แล้วต้องการช่วยพระไม่ได้เร่งสร้างสาธารณกุศลอื่นๆ ซึ่งฤกษ์สร้างพระส่วนใหญ่คุณโสระบอกส่วนใหญ่จะใช้ฤกษ์โจร หรือโจโรฤกษ์นำ เพื่อต้องการให้ได้ทรัพย์เยอะๆ ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ที่ก่อตั้งทุนนิธิ ผิดถูกยังไง น้องบอกก็เชื่อไว้ก่อนครับ เพราะไม่เสียหายอะไร เจตนายังคงเดิม สติสัมปัชญะยังเหมือนเดิม
    ไม่ร้อนรน กระวนกระวายครับ ดังนั้นไม่ต้องห่วงในเรื่องทิฐิ ถ้าขืนเกิดคณะทำงานจะโดนก่อน เพราะพี่ใหญ่จะคอยเตือนครับ เรื่องนี้ขอให้วางใจกัน ฝึกกันมาจนป่านนี้แล้ว ถ้าปล่อยให้เกิด ก็เท่ากับไปเริ่มต้นใหม่ ที่ผ่านมาเท่ากับเสียเวลาเปล่า พอแล้วครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2007
  10. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ขอโมทนาบุญด้วยครับ รับทราบครับ...

    พระที่มอบให้นั้นขอรับไว้พิมพ์ละ ๒ องค์สำหรับภรรยาด้วย ผมจะโอนค่าส่งไปให้คุณโสระ เพื่อแบ่งเบาภาระค่าจัดส่งครับ ขอให้แจ้งเบอร์บัญชีมาที่ PM ของผมด้วยครับ

    ท่านผู้ขอรับพระเครื่องนี้ หากสามารถแบ่งเบาค่าจัดส่งให้คุณโสระได้ก็จะดีนะครับ ช่วยๆกันไป อย่าให้ไปหนักที่คนใดคนหนึ่งจะเป็นกุศลเพิ่มขึ้นอีกนะครับ<!-- / message --><!-- sig -->
     
  11. kwok

    kwok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    563
    ค่าพลัง:
    +4,239
    ผมและครอบครัวขอร่วมทำบุญนี้บริจาคเข้ากองทุนสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ 1200 บาท
    โมทนาสาธุครับ
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,791
    ค่าพลัง:
    +16,105
    [FONT=&quot]ท่านเป็นชาวพุทธเพียงสำมะโนครัวใช่หรือไม่[/FONT]?<o></o>
    [FONT=&quot]ถ้าไม่[/FONT][FONT=&quot] กระทู้นี้ขอนำบทความนี้มาเพื่อนำเสนอความรู้ด้านการศึกษาของพุทธศาสนาให้แก่ท่านดังนี้[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    1. การศึกษาพระปริยัติธรรมหมายถึงการศึกษาตามหลักสูตรพระประยัติธรรม แผนกธรรมและแผนกบาลีสนามหลวง<o></o>
    [FONT=&quot]2. [/FONT]วิิชาการพระพุทธศาสนาตามพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการพระพุทธศาสนาพ.ศ. [FONT=&quot]2527 [/FONT]หมายถึง วิชาการซึ่งจัดให้พระภิกษุสามเณรศึกษาตามหลักสูตรใดหลักสูตรหนึ่งต่อไปนี้[FONT=&quot]
    (1) [/FONT]
    หลักสูตรพระปริยัติธรรมแผนกธรรมและแผนกบาลีสนามหลวง[FONT=&quot]
    (2) [/FONT]
    หลักสูตรปริญญาศาสนาศาสตรบัณฑิตของสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์[FONT=&quot]
    (3) [/FONT]
    หลักสูตรปริญญาพุทธศาสรบัณฑิต ของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ
    ต่อมาในปี พ.ศ. [FONT=&quot]2540 [/FONT]ได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติกำหนดวิทยาฐานะผู้สำเร็จวิชาการพระพุทธศาสนา[FONT=&quot] ([/FONT]ฉบับที่ [FONT=&quot]2) [/FONT]พ.ศ. [FONT=&quot]2540 [/FONT]วิชาการพระพุทธศาสนา หมายถึงวิชาการซึ่งจัดให้มีพระภิกษุสามเณรศึกษาตามหลักสูตรพระปริยัติธรรมแผนกธรรมและแผนกบาลีสนามหลวง[FONT=&quot] ([/FONT]ไม่รวมมหาวิทยาลัยสงฆ์ ทั้ง [FONT=&quot]2 [/FONT]แห่ง เพราะมีพระราชบัญญัติทั้ง [FONT=&quot]2 [/FONT]มหาวิทยาลัยรับรองโดยเฉพาะ)<o></o>
    [FONT=&quot]3.[/FONT]พระมหาหมายถึงพระภิกษุซึ่งสอบบาลีได้ชั้นเปรียญธรรม[FONT=&quot] 3 [/FONT]ประโยคขึ้นไป<o></o>
    [FONT=&quot]4.[/FONT]สามเณรเปรียญหมายถึงสามเณรซึ่งสอบบาลีได้ชั้นเปรียญธรรม [FONT=&quot]3 [/FONT]ประโยคขึ้นไป<o></o>
    [FONT=&quot] 5.[/FONT]สอบธรรมสนามหลวงหรือสอบบาลีสนามหลวงหมายถึงการสอบพระปริยัติธรรมแผนกธรรมหรือแผนกบาลีประจำปีเพราะการสอบพระปริยัติธรรมแต่เดิมอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ของพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะในสมัยกรุงศรีอยุธยาพระมหากษัตริย์จะทรงเป็นประธานการสอบเองต่อมา ในระยะหลังๆ ได้ถวายให้คณะสงฆ์ดำเนินการ แต่ยังคงเรียกว่า สอบธรรมหรือสอบบาลีสนามหลวงอยู่ด
    [FONT=&quot]6.[/FONT]นักธรรมหมายถึงระบบการศึกษาความรู้ทางพระพุทธศาสนาของพระภิกษุสามเณรตามหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม มี [FONT=&quot]3 [/FONT]ระดับคือ นักธรรมชั้นตรีนักธรรมชั้นโท และนักธรรมชั้นเอกโดยนักธรรมชั้นเอกเทียบเท่าการศึกษาระดับประถมบริบูรณ์<o></o>
    [FONT=&quot]7.[/FONT]ธรรมศึกษาหมายถึงระบบการศึกษาความรู้ทางพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกับนักธรรมแต่เป็นหลักสูตรที่ให้คฤหัสถ์ทั้งชายและหญิงได้ศึกษามี[FONT=&quot] 3 [/FONT]ระดับ คือ ธรรมศึกษาตรีธรรมศึกษาโทธรรมศึกษาเอก[FONT=&quot] ([/FONT]แต่ไม่มีการเทียบวุฒิ)
    [FONT=&quot] 8. [/FONT]ประโยคหมายถึงระดับชั้นการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลี มี [FONT=&quot]8 [/FONT]ระดับคือ ประโยค [FONT=&quot]1-2 ([/FONT]ใช้เวลาเรียน [FONT=&quot]1-2 [/FONT]ปี)ประโยค ป.ธ. [FONT=&quot]3-9 (7 [/FONT]ระดับ)รวม [FONT=&quot]8 [/FONT]ระดับเปิดสอบปีละ [FONT=&quot]1 [/FONT]ครั้งมีข้อสังเกตในการเรียกชื่อดังนี้[FONT=&quot]
    [/FONT]
    ชั้นที่ [FONT=&quot]1 [/FONT]เรียกว่าประโยค [FONT=&quot]1-2
    [/FONT]
    ชั้นที่ [FONT=&quot]2 [/FONT]เรียกว่าเปรียญธรรม [FONT=&quot]3 [/FONT]ประโยคผู้สอบชั้นนี้จะได้รับการเทียบเท่าวุฒิการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น[FONT=&quot] ([/FONT]ม.[FONT=&quot]3) [/FONT]ถ้าเป็นพระภิกษุจะมีคำนำหน้าชื่อว่า พระมหาถ้าเป็นสามเณรจะมีคำว่า เปรียญต่อท้ายนามสกุล (ใช้คำนำหน้าเช่นนี้จนถึงประโยคป.ธ.[FONT=&quot]9)
    [/FONT]
    ชั้นที่ [FONT=&quot]3 [/FONT]เรียกว่าเปรียญธรรม [FONT=&quot]4 [/FONT]ประโยค (ไม่มีการเทียบวุฒิ)[FONT=&quot]
    [/FONT]
    ชั้นที่ [FONT=&quot]4 [/FONT]เรียกว่าเปรียญธรรม [FONT=&quot]5 [/FONT]ประโยคผู้ที่สอบได้ชั้นนี้หากได้รับแต่งตั้งให้เป็นครูสอน[FONT=&quot] 1 [/FONT]ปีและทำการสอนมาแล้วไม่ต่ำกว่า [FONT=&quot]300 [/FONT]ชั่วโมงสามารถนำมาขอใบเทียบวุฒิการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายได้[FONT=&quot]
    [/FONT]
    ชั้นที่ [FONT=&quot]5 [/FONT]เรียกว่าเปรียญธรรม [FONT=&quot]6 [/FONT]ประโยคผู้สอบได้ชั้นนี้มีวุฒิเที่ยบเท่าการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย[FONT=&quot] ([/FONT]โดยไม่ต้องมีใบเทียบวุฒิ)[FONT=&quot]
    [/FONT]
    ชั้นที่ [FONT=&quot]6 [/FONT]เรียกว่าเปรียญธรรม [FONT=&quot]7 [/FONT]ประโยค[FONT=&quot] ([/FONT]ไม่มีการเทียบวุฒิ)[FONT=&quot]
    [/FONT]
    ชั้นที่ [FONT=&quot]7 [/FONT]เรียกว่าเปรียญธรรม [FONT=&quot]8 [/FONT]ประโยค (ไม่มีการเทียบวุฒิ)[FONT=&quot]
    [/FONT]
    ชั้นที่ [FONT=&quot]8 [/FONT]เรียกว่าเปรียญธรรม [FONT=&quot]9 [/FONT]ประโยคผู้สอบได้ชั้นนี้ถือว่ามีวุฒิปริญญาตรีตามพระราชบัญญัติผู้สำเร็จวิชาการพระพุทธศาสนา พ.ศ.[FONT=&quot] 2527 [/FONT]และพระราชบัญญัติผู้สำเร็จวิชาการพระพุทธศาสนา (ฉบับที่[FONT=&quot] 2) [/FONT]พ.ศ. [FONT=&quot]2540[/FONT]<o></o>
    อนึ่งการศึกษาระดับประโยค [FONT=&quot]1-2 [/FONT]และเปรียญธรรม [FONT=&quot]3 [/FONT]ประโยคเรียกว่าเปรียญตรี คือ ผู้ที่จะมีสิทธิสอบประโยค [FONT=&quot]1-2 [/FONT]ขึ้นไปจะต้องสอบได้นักธรรมชั้นตรีก่อน<o></o>
    ระดับเปรียญธรรม[FONT=&quot] 4-6 [/FONT]ประโยคเรียกว่า เปรียญโท คือ ผู้ที่จะมีสิทธิสอบเปรียญธรรม[FONT=&quot] 4 [/FONT]ประโยคขึ้นไปจะต้องสอบได้นักธรรมชั้นโทก่อน
    ระดับเปรียญธรรม[FONT=&quot] 7-9 [/FONT]ประโยคเรียกว่า เปรียญเอกคือ ผู้ที่จะมีสิทธิสอบเปรียญธรรม[FONT=&quot] 7 [/FONT]ประโยคขึ้นไป จะต้องสอบได้นักธรรมชั้นเอกก่อน<o></o>
    <o></o>
    [FONT=&quot]คัดลอกมาจาก [/FONT]http://www.geocities.com/thaibuddhists/term.htm[FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,791
    ค่าพลัง:
    +16,105

    คุณกังวาล อย่าลืมขอพระมาด้วย ส่งมา pm. ก็ได้ ขอชื่อภรรยาและบุตรด้วย ขออนุญาตโมทนาบุญตามวิธีการครับ
     
  14. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    เมื่อวานได้โอนเงินเข้าทุนนิธิจำนวน 1000 บาทครับ
     
  15. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    วันนี้ไปเยี่ยมนายเก่าของศรีภรรยา ทำการบอกบุญเรื่องการช่วยสงฆ์อาพาธท่านเลยร่วมทำบุญมาเป็นจำนวน 3000 บาท และรับปากว่าจะโอนเงินให้ทุกเดือนจำนวน500บาทตลอดไป ชื่อท่าน วิศัลย์ ณ ระนอง ขอโมทนาบุญกับท่านครับ
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,791
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ได้มีโอกาสคุยกับประธานที่ปรึกษาโครงการฯ ได้รับคำแนะนำว่าควรจะนำธรรมขั้นสูง และจริยวัตรของท่านมาลงในกระทุ้บ้างซึ่งหลังพุทธกาลมานี้ ท่านถือว่าได้ "สำเร็จ"ในธรรม และเดินตามธรรมที่ตนเองได้ศึกษาจนรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมนั้น จนเรียกได้ว่าท่านได้ทั้งปฏิบัติ ปริยัติ และพร้อมถึงซึ่งปฏิเวธ ดังนั้นในกาลนี้จะได้นำเสนอข้อธรรมของ "ท่านเจ้าคุณโชดก คณะ 5 วัดมหาธาตุนำมาลงเป็นตอนๆ ไป" ซึ่งผมเองเคยทำตามท่าน ยอมรับเลยว่าไม่ไหวครับยากจริงๆ ยุบหนอ-พองหนอนี่ จริตไม่ให้จริงๆ แต่ด้วยเราเป็นคนชอบอ่าน จึงซื้อ cd mp3 ท่านทีเดียว 7 แผ่นๆ ละ 100 ยอมเลยรับภูมิธรรมท่านแน่นปึ๊ก (พี่ใหญ่บอกว่าในทางจิตท่านลุยหมดทั้งนรกสวรรค์ทุึกภูมิ เอากะท่านซิ) จนถึงวาระสุดท้ายท่านมรณะภาพในท่านั่งสมาธิ สาธุ ท่านเจ้าคุณสมกับที่เป็นพุทธบุึตรจริง

    ในเบื้องต้นจึงนำหลักประยุกต์ของท่านมาให้ศึกษาพอสังเขปดังนี้

    [FONT=&quot]การประยุกต์วิธีการปฏิบัติวิปัสสนา [/FONT][FONT=&quot]ที่มาของพองยุบ และ กำหนดรูปนาม[/FONT]

    [FONT=&quot]คัดจาก[/FONT][FONT=&quot]มูลนิธิอภิธรรม[/FONT][FONT=&quot]เว็บ[/FONT] http://geocities.com/virunha/index.htm [FONT=&quot]หัวข้อธรรมวิจัย[/FONT]

    [FONT=&quot]กิจสำคัญในพระพุทธศาสนา มี [/FONT]2 [FONT=&quot]อย่าง[/FONT]
    [FONT=&quot]คือ[/FONT][FONT=&quot]คันถธุระ และ วิปัสสนาธุระ ธุระทั้ง [/FONT]2 [FONT=&quot]นี้ต่างเกื้อกูลกัน[/FONT][FONT=&quot]หากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ความเข้าใจถูกต้องในเรื่องชีวิต[/FONT] ([FONT=&quot]สัมมาทิฏฐิ)จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย คันถธุระ ได้แก่[/FONT][FONT=&quot]การศึกษาพระปริยัติธรรมทั้งในพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกาต่าง ๆ[/FONT][FONT=&quot]เพื่อสร้างพื้นฐานความเห็นที่ถูกต้อง[/FONT][FONT=&quot]ความเข้าใจในพระปริยัติจะน้อมนำไปสู่การปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ความจริงด้วยตนเอง[/FONT]

    [FONT=&quot]การศึกษาเปรียบเทียบครั้งนี้[/FONT][FONT=&quot]เลือกศึกษาถึงโครงสร้าง เนื้อหาและหลักการของมหาสติปัฏฐานสูตร[/FONT][FONT=&quot]เปรียบเทียบกับ พระอภิธัมมัตถสังคหะ[/FONT][FONT=&quot]และวิสุทธิมรรคในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรรมฐาน[/FONT][FONT=&quot]นอกจากนี้ยังศึกษาถึงความเปลี่ยนแปลงทางความคิด[/FONT][FONT=&quot]ที่มีในคัมภีร์กับที่ปรากฏในสำนักปฏิบัติธรรม[/FONT][FONT=&quot]โดยเปรียบเทียบระหว่างสำนักวิปัสสนาอ้อมน้อย กับสำนักวิปัสสนา[/FONT][FONT=&quot]วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์[/FONT]

    [FONT=&quot]วิธีการศึกษาแบ่งเป็น [/FONT]2 [FONT=&quot]ส่วน คือ[/FONT][FONT=&quot]ภาคเอกสารและภาคสนาม จะใช้ข้อมูลจากเอกสารทั้ง พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา[/FONT][FONT=&quot]และผลงานทางวิชาการด้านพระพุทธศาสนาของพระอาจารย์และนักวิชาการยุคปัจจุบัน[/FONT][FONT=&quot]ในภาคสนามนั้นเป็นการสัมภาษณ์ความคิดเห็นของบุคคลที่เกี่ยวข้องรวม [/FONT]8 [FONT=&quot]ท่าน[/FONT][FONT=&quot]มีทั้งพระอาจารย์ของทั้ง [/FONT]2 [FONT=&quot]สำนัก และพระอาจารย์จากอภิธรรมโชติกะวิทยาลัย[/FONT]

    [FONT=&quot]ผลการศึกษาด้านคัมภีร์[/FONT][FONT=&quot]พบว่า แต่ละคัมภีร์มีจุดเน้นในการอธิบายไม่เหมือนกัน[/FONT][FONT=&quot]ทั้งนี้เพื่อเป็นส่วนเสริมซึ่งกันและกัน ใน[/FONT][FONT=&quot]การนำเสนอวิถีดำเนินชีวิตเพื่อการบรรลุธรรม กล่าวคือ มหาสติปัฏฐานสูตร[/FONT][FONT=&quot]จะเน้นขั้นตอนการเจริญสติไว้อย่างสมบูรณ์[/FONT][FONT=&quot]เป็นการฝึกฝนความระลึกรู้สึกตัวด้วยสติตามฐานทั้ง [/FONT]4 [FONT=&quot]เท่านั้น[/FONT][FONT=&quot]ไม่กล่าวถึงสภาวธรรมอย่างในพระอภิธัมมัตถสังคหะ[/FONT][FONT=&quot]และไม่กล่าวถึงความสัมพันธ์ของ ศีล สมาธิ ปัญญา[/FONT][FONT=&quot]เหมือนอย่างที่กล่าวไว้ในวิสุทธิมรรค[/FONT]

    [FONT=&quot]สำหรับพระอภิธัมมัตถสังคหะจะแสดงหัวข้อสำคัญสรุปสภาวธรรมในพระอภิธรรมปิฎกมิใช่เพียงแค่การเจริญสติเท่านั้น[/FONT][FONT=&quot]แต่จะกล่าวถึงโครงสร้างพื้นฐานอันเป็น[/FONT][FONT=&quot]เบื้องหลังของความคิดและพฤติกรรมทั้งหลายจึงเป็นการเน้นความสำคัญของ[/FONT][FONT=&quot]สภาวธรรมในเชิงปริยัติมากกว่าการปฏิบัติ[/FONT]

    [FONT=&quot]ส่วนวิสุทธิมรรคจะเน้นภาคการปฏิบัติ[/FONT][FONT=&quot]โดยกล่าวถึงลำดับขั้นตอนของ การเจริญ ศีล สมาธิ ปัญญา[/FONT][FONT=&quot]ความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกัน จนถึงการปฏิบัติสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน[/FONT][FONT=&quot]เพื่อการบรรลุมรรคผลในที่สุด ทั้งนี้จะต้องมีพื้นฐาน[/FONT][FONT=&quot]ด้านสภาวธรรมจากพระอภิธัมมัตถสังคหะมาก่อนแล้ว จึงจะปฏิบัติ[/FONT][FONT=&quot]ได้อย่างถูกต้อง อาจกล่าวรวมได้ว่า[/FONT][FONT=&quot]ความเข้าใจถึงอรรถรสในพระอภิธัมมัตถสังคหะ เป็นจุดเริ่มของการเจริญสติใน[/FONT][FONT=&quot]มหาสติปัฏฐานและการเจริญปัญญาในวิสุทธิมรรคนั่นเอง[/FONT]

    [FONT=&quot]ส่วนผลการศึกษาด้านสำนักปฏิบัติธรรม[/FONT][FONT=&quot]พบว่า ทั้ง [/FONT]2 [FONT=&quot]สำนักประยุกต์วิธีการและหลักการเจริญสติจากมหาสติปัฏฐานสูตร[/FONT][FONT=&quot]ตั้งเป็นหลักการใหม่ที่ต่างกัน กล่าวคือ[/FONT][FONT=&quot]สำนักวิปัสสนาอ้อมน้อยประยุกต์ด้านวิธีการในมหาสติปัฏฐานสูตร มาเรียบเรียง[/FONT][FONT=&quot]ใหม่เป็นหลักปฏิบัติ [/FONT]15 [FONT=&quot]ข้อ เนื้อหายังคงส่วนเดิมไว้มีการกล่าวถึง[/FONT][FONT=&quot]สภาวธรรมที่ปรากฏในพระอภิธัมมัตถสังคหะและ วิสุทธิมรรคประกอบการอธิบายด้วย[/FONT][FONT=&quot]ส่วนสำนักวิปัสสนาวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ประยุกต์ด้านหลักการพิจารณา[/FONT][FONT=&quot]ลมหายใจและอิริยาบถ ออกมาเป็นหลักการใหม่แบบ[/FONT]

    [FONT=&quot]พองหนอ-ยุบหนอ "[/FONT][FONT=&quot]โดยสังเกตการเคลื่อนไหวของหน้าท้องขณะ หายใจเข้า-ออกมีคำภาวนา เฉพาะ[/FONT][FONT=&quot]ซึ่งทำให้เกิดสมาธิได้ระดับหนึ่ง[/FONT][FONT=&quot]ส่วนใหญ่จะใช้ความรู้จากวิสุทธิมรรคในการอธิบาย ลำดับญาณขั้นต่าง ๆ[/FONT][FONT=&quot]ไม่เน้นถึงหลักสภาวธรรมในพระอภิธัมมัตถสังคหะ[/FONT]

    [FONT=&quot]ความเปลี่ยนแปลงทางความคิดดังกล่าว[/FONT][FONT=&quot]เป็นเพียงความต่างในหลักการและวิธีการขั้นเบื้องต้น ซึ่งแต่ละสำนักล้วน[/FONT][FONT=&quot]พยายาม แนะนำแนวทางที่เชื่อว่าจะก่อให้เกิดความถูกต้อง[/FONT][FONT=&quot]จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าวิธีการใดดีกว่าวิธีการใด การศึกษา วิธีการ[/FONT][FONT=&quot]ที่ต่างกันเช่นนี้ก็เพื่อความเข้าใจพระพุทธศาสนาในมุมมองที่กว้างขึ้น[/FONT][FONT=&quot]และผสมผสานส่วนที่ดีของแต่ละแห่งมา ปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม[/FONT]

    [FONT=&quot]ส่วนหลักการปฏิบัติขั้นสูงแล้วจำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจในพระปริยัติ[/FONT][FONT=&quot]ธรรมเป็นบรรทัดฐานเท่านั้น[/FONT][FONT=&quot]ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณในการศึกษาปริยัติธรรมของผู้ปฏิบัติเป็นส่วนสำคัญ[/FONT]<o>:p></o>:p>



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2007
  17. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    918
    ค่าพลัง:
    +4,293
    ต้องขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงยิ่งสำหรับทุกๆท่านที่ได้ร่วมกันบริจาคสร้างบุญกุศลร่วมกัน ซึ่งผมเชื่อว่าสิ่งที่กำลังกระทำอยู่นี้เราได้ทำตามพุทธโอวาทของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านต้องการให้เรารู้จักเรื่องของ
    จาคะ คือรู้จักซึ่งการเสียสละและแบ่งปันให้ผู้อื่นบ้างโดยที่ตัวเราเองมีความยินดีและเต็มใจ แต่ถ้ามองให้ลึกๆนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการไม่ยึดมั่นถือมั่นซึ่งเป็นหนทางที่จะช่วยให้เราหลุดพ้นจากภพชาติได้ แต่ต้องทำควบคู่ไปกับการสร้างสมาธิและความสงบให้กับจิตใจของเราด้วย

    ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นคงจะผ่านไปได้ด้วยดี บุญและความดีงามยังรอเราอยู่ข้างหน้า หลวงพ่อณรงค์ท่านให้โอวาทที่ลึกซึ้งตอนหนึ่งว่า
    "ถ้าตัวเราเลือกทางเดินที่ถูกต้อง(มรรค)สามารถตัดสินใจได้เองว่าทางไหนถูกควรเดิน ทางไหนไม่ถูกไม่ควรเดิน คนที่ปฎิบัติเช่นนี้ได้ยมบาลท่านไม่ต้องการตัวหรอก"

    ขอกราบขอบพระคุณอีกครั้งจากใจจริง
     
  18. kwok

    kwok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    563
    ค่าพลัง:
    +4,239
    โอนแล้วจาก Loc 6207 Seq.552 Time 17:22 Date 3/12/07
    Amount 1,200
     
  19. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    ภาพพระปิดตาพระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่าและพระนาคปรกหลวงปู่แหวนที่จะแจกฟรีครับ
    ท่านใดสนใจส่งข้อความส่วนตัวแจ้งที่อยู่มาที่ผมครับหรือเมล์มาที่
    ponlapat_t@yahoo.com

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCN0680.jpg
      DSCN0680.jpg
      ขนาดไฟล์:
      84.5 KB
      เปิดดู:
      1,602
    • DSCN0687.jpg
      DSCN0687.jpg
      ขนาดไฟล์:
      98.8 KB
      เปิดดู:
      1,674
    • DSCN0622.jpga.jpg
      DSCN0622.jpga.jpg
      ขนาดไฟล์:
      86.8 KB
      เปิดดู:
      1,522
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 มกราคม 2008
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,791
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ตามรอยคุณ kratium จนได้เจอของดี เลยนำมาฝากกัน อยูี่ในเวบนี้ละ
    หลักของการปฏิบัติสมาธิภาวนาเพื่อเพิ่มบุญบารมีให้เต็ม
    1. ก่อนภาวนาให้พิจารณาว่า ตั้งแต่เกิดมานี้ มีความสุขจริงหรือไม่ ร่างกายเราหิว ต้องแสวงหาอาหารวันละ 3 มื้อ อิ่มแล้วนึกว่า ประเดี๋ยวก็หิวอีก ต้องกินต้องถ่าย วุ่นวาย เพราะอาหาร ทำงานเหนื่อยยาก ให้ได้เงินเพื่อซื้ออาหาร บรรเทาความหิวกระหาย แล้วร่างกายก็เหม็นสกปรกทุกวัน ให้วิจัยสังเกตดูร่างกายเรา เขา เป็นสุขเป็นทุกข์ ถ้ายังมองไม่เห็นทุกข์ ก็ยากที่จะปฏิบัติสมาธิภาวนาได้ เพราะคิดว่าเป็นคนมีความสุข โลกนี้น่าอยู่ นอกจากนี้เรายังเดินเข้าหาความตายทุกลมหายใจเข้าออก เราในที่นี้หมายถึง จิตที่มาอาศัยอยู่ในกายที่มีเลือดเนื้อ ไขมัน กระดูก ที่เสื่อมสลายตลอดเวลา เซลล์เนื้อเยื่อในร่างกายมีอายุ 1 เดือน 2 เดือน 2 ปี ก็ตาย สังเกตเห็นง่าย คือ เส้นผมและเล็บงอกยาวต้องตัด สะอาดหรือสกปรก เหงื่อไคล ก็คือเซลล์ที่ตายแล้วจากผิวหนัง ต้องชำระล้าง ถ้าไม่ล้างก็เหม็นเน่าเป็นซากศพ ร่างกายตายแน่นอน แต่จิตไม่ตายตามร่างกาย เราปฏิบัติเพื่อให้จิตเลิกยึดติดกับร่างกายเสีย เราเชื่อพระพุทธองค์ว่าท่านมีปัญญา พ้นทุกข์จากการเวียนเกิด เวียนตาย เราปฏิบัติตามท่านเราก็พ้นทุกข์จากการเกิดเป็นคน สัตว์ เทวดาได้ ดูร่างกายมีอะไรดี โลกนี้เป็นสุขจริงหรือ ถ้าเป็นสุขก็เป็นความสุขชั่วคราว คือสุขหลอกลวง ไม่ช้าไม่นานก็ทุกข์ ความสุขทางโลกคือความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส ของสวยงาม อ่อนนุ่ม แต่วัตถุธาตุคนทุกอย่างมีแต่ผุพังสลาย แม้ทรัพย์สมบัติมีหลายล้าน ก็ต้องเจ็บป่วยตาย ไม่มีใครช่วยเราเป็นสุขได้จริง ๆ นอกจากจิตเรา จะฝึกหัด ปฏิบัติ เจริญสมาธิ ภาวนา แล้วท่านจะได้พบความสุขจริง คือ จิตเป็นสุขยิ่งกว่าสุขใด ๆ ในโลก นี่เป็นตัวปัญญาเพื่อจิตฉลาด คิดรู้เท่าทันสภาวะธรรมชาติ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เกิดขึ้นเปลี่ยนไป สลายตัวในที่สุดคือ อนิจจัง (ความแก่) ทุกขัง(ความเจ็บปวด) อนัตตา( ความแตกสลายตายไป ) คิดแบบนี้เพื่อเพิ่มปัญญาบารมีให้เต็ม

    2. มีความขยันหมั่นเพียรดูลมหายใจตนเอง อย่าสนใจเรื่องคนอื่น เขาจะดีจะชั่วเรื่องของเขา เรื่องของเราคือชำระจิตใจให้สะอาด สว่างไสว เบิกบานด้วยพุทโธ แล้วเราจะช่วยคนรอบข้างให้มีความสุขได้อย่างมหัศจรรย์ ไม่ท้อถอยเมื่อมีอุปสรรค

    3. มีจิตเมตตาคิดสงสารเพื่อนมนุษย์ทั่วไป มีอารมณ์ที่จะช่วยเหลือสงเคราะห์โดยไม่หวังการตอบแทน มีการทำบุญในพระพุทธศาสนาเพื่อพระศาสนาจะได้รุ่งเรือง เต็มใจในการให้ทาน เป็นการตัดกิเลสตัวสำคัญ คือ ความโลภออกไปโดยอัตโนมัติไม่รู้ตัว

    4. ไม่ยอมละเมิดศีล 5 ตัวตายดีกว่าผิดศีล 5 ไม่ยุยง ไม่ยินดี เมื่อผู้อื่นผิดศีล เป็นศีลบารมีคือ กำลังใจเต็มในศีล

    5. ทำจิตให้สะอาด ไม่ยอมให้นิวรณ์ 5 คือ รักในรูป เสียง กลิ่น รส ความโกรธพยาบาท ความฟ้งซ่าน รำคาญใจ ความง่วงเหงาหาวนอน ความสงสัยในผลของการปฏิบัติ มาเป็นเจ้าหัวใจ คือทรงสมาธิ (จิตอยู่ในฌาน) เป็นปกติ นึกพุทโธ หรือสวดมนต์ก็ดีเพื่อไล่สิ่งสกปรก ออกจากใจ

    6. มีจิตอดทนต่อความยากลำบาก การปฏิบัติธรรมเป็นการง่ายกว่าการไปหาเงินเลี้ยงชีวิต เพราะไม่ต้องออกแรงกายให้เหนื่อย ไม่ต้องลงทุนด้วยเงินตรา ใช้จิตคิดพิจารณาสบาย ๆ จะอยู่ที่ไหนก็ทำได้ ไม่มีใครว่า เพียงแต่จิตเราต้องไล่กิเลส ความวิตกกังวล ความคิดไร้สาระ ออกจากจิตให้ได้ ฝืนใจระงับอารมณ์ที่ไม่ถูกใจ ไม่หวั่นไหว มีอารมณ์อดกลั้นเป็นปกติ ถ้ามีความโกรธกับบุคคลที่เขาทำไม่ถูกใจ ก็คิดว่าในจิตใจเขาก็มีความทุกข์เช่นเรา อย่าทำให้ความทุกข์เพิ่มขึ้นโดยจุดไฟเผาจิตใจเราด้วยการโกรธตอบ ใช้น้ำเย็นคือความเมตตาสงสาร ขอให้เขาเป็นสุขเถิด จิตใจเราจะสงบสุขเยือกเย็น ใบหน้าแจ่มใส ไม่แก่เร็ว หลับเป็นสุข ตายแล้วยิ่งสุขมากกว่าคือ ไปเกิดเป็นพรหม ข้อนี้มีทั้งขันติบารมีและ เมตตาบารมี เป็นการเดินทางใกล้พระนิพพานเต็มที

    7. มีความจริงใจ คือ สัจจะบารมี ตั้งใจปฏิบัติความดี ด้วยศีล สมาธิ พิจารณาโลกเป็นสุขหรือเป็นทุกข์จริง เพื่อมรรคผล คือพระนิพพานในชาตินี้ การปฏิบัติเพื่ออริยผลก็เป็นของง่ายเมื่อมีความจริงใจ

    8. อธิษฐานบารมี มีความตั้งใจจริงในการปฏิบัติสมาธิ ภาวนา คือตั้งใจทำไปจนกว่าจะหมดลมหายใจจึงจะหยุดเลิกทำ คือ การทำความดีโดยไม่สนใจกายที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เราเหน็ดเหนื่อย ทุกข์ยาก ในการเกิดเป็นคน เราดูแลเอาใจร่างกายอย่างดีมานาน ประคบประหงมให้อาหารอย่างดี เสื้อผ้า ที่นอน แต่ร่างกายก็เหม็นทุกวัน แก่เฒ่าทุกวัน เจ็บป่วยเสมอ และเดินทางเข้าหาความแตกสลาย พังทลาย คือตายในที่สุด พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานที่ใต้ต้นโพธิ์ว่า ถ้าพระองค์ไม่สำเร็จพระโพธิญาณ จะไม่ยอมลุกจากที่นี้ แม้เนื้อและเลือดจะเหือดแห้งก็ตามที และพระองค์ก็ทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณในคืนนั้น เราก็อธิษฐาน ปฏิบัติสมาธิภาวนา เพื่อพ้นทุกข์ หมดกิเลส เข้าเสวยสุขพระนิพพานในชาตินี้ ทำจิตใจให้มั่นคงจริงจัง

    9. มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้ทาน คน สัตว์ เป็นปกติ ให้ทานพระภิกษุสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรงในพระพุทธศาสนา บุญกุศลในการให้ทานในพระพุทธศาสนาทำให้เรามีทรัพย์สมบูรณ์ ไม่อดอยากยากจน มั่งมีตลอดกาล ให้ทานแก่คนยากจน ทำให้เรามีคนรัก เมตตา และความโลภ ความอยากได้ทรัพย์สิ่งของต่าง ๆ ในโลกก็หมดไป ยิ่งให้ยิ่งได้ คือ ได้อริยทรัพย์ที่เป็นสุขตลอดกาลทั้งชาตินี้ชาติหน้า

    10. อุเบกขาบารมี เมื่อมีอารมณ์ที่ถูกใจ ขัดใจ ก็ปลงตกว่า เรื่องอย่างนี้มันเป็นธรรมดาของโลกแท้ ๆ คือเราจะต้องเจอโลกธรรม 8 หนีไม่พ้นพยายามบังคับใจให้นิ่ง ๆ ยิ้มเข้าไว้ เฉยไว้ เดี๋ยวได้ดีเอง โลกธรรม 8 ที่เป็นธรรมดาในโลกนี้คือ ได้ลาภเสื่อมลาภ ได้ยศเสื่อมยศ มีสรรเสริญ มีคนนินทาว่าร้าย มีความสุขกายใจ มีความทุกข์กายใจ เราปฏิบัติธรรมเอาชนะโลก ไม่หนีโลกทำใจให้สะอาดกว่าเหตุการณ์ในโลก บารมี 10 อย่างนี้มีความสำคัญมาก วิปัสสนาญาณ จะมีผลสมบูรณ์ไม่ได้ถ้าไม่มีบารมี 10 ครบ ท่านอาจจะเข้าใจผิดว่าเราไม่ใช่พระพุทธเจ้านี่ จะต้องครบบารมี 10 แต่เราเป็นสาวกภูมิ เราก็พยายามปฏิบัติ 10 บารมี ได้เพียง 25 % ของพระองค์ก็ได้แล้ว ในชาติเดียว ไม่ต้องไปเกิด 10 ชาติ สะสมแต่ละชาติแบบพระพุทธองค์ เพราะเราไม่ต้องไปค้นคว้าตรัสรู้เอง ความรู้ทุกอย่างมีอยู่ครบในพระไตรปิฏก เราปฏิบัติ ตามท่านง่าย ๆ ด้วยใจจริง ไม่สงสัย ไม่นานท่านก็จะเห็นแสงสว่างพระนิพพานในดวงจิตดวงใจท่านเอง ขออย่าได้คัดค้านทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ปฏิบัติจริง เมื่อได้มรรคผลเป็นพระอริยเจ้า หรืออริยบุคคลจึงจะเข้าใจพระธรรมที่ละเอียดลึกซึ้ง ต้องมีปัญญาดี มีจิตใจที่สะอาด จึงจะเข้าใจได้ การอ่านแล้วคิดเข้าใจเองแบบชาวโลกยังเป็นอวิชชา
    คำสอนของหลวงพ่อฤาษีฯ ในเวบพลังจิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2007

แชร์หน้านี้

Loading...