ข้อความจากต่างมิติ - ตาที่ 3 (The Third Eye)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 16 กันยายน 2013.

  1. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    a.jpg
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

    โปรดใช้วิจารณญาณในการรับรู้ข้อมูลทุกๆชนิดเสมอนะครับ
    และโปรดอย่าลืมว่า ข้อความนี้ ผมแปลเขามาอีกทีหนึ่ง
    และก็นำมาโพสต์เพื่อแบ่งปันให้ท่านได้อ่านด้วยเท่านั้นเองนะครับ
    หาใช่เจ้าของข้อมูลแต่อย่างใดไม่

    ดังนั้น หากท่านต้องการข้อมูลอะไรเพิ่มเติม
    ท่านก็สามารถที่จะคลิ๊กเข้าไปดูในลิงค์ต้นฉบับภาษาอังกฤษ
    ที่ผมจะแปะเอาไว้ให้เสมอได้นะครับ


    ............................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 3rd eye.jpg
      3rd eye.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.3 KB
      เปิดดู:
      8,104
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2022
  2. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารจาก Mytria (รูปธรรมชีวิตจากมิติที่ 5)

    ถึงนาง Suzanne Lie

    ที่มา:
    http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html


    ตอนที่ 1

    ฉันคือ Mytria ฉันมาที่นี่ก็เพื่อที่จะพูดถึงเรื่องจิตสำนึก/ความตระหนักรู้
    ที่กำลังขยายตัวของพวกคุณ อันที่จริงแล้ว ตอนที่ฉันเวียนว่ายตายเกิด
    อยู่บนโลกมนุษย์ ภพชาติส่วนใหญ่ของฉัน ฉันเคยเป็นผู้รับใช้เทพธิดาองค์นั้นมาก่อน
    (น่าจะหมายถึงไกอานะครับ - ผู้แปล) ดังนั้น ฉันจึงเคยมีประสบการณ์
    กับด้านมืดของตัวฉันเองด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่จะต้องได้เผชิญ
    เมื่ออยู่บนดาวเคราะห์แห่งความเป็นขั้วอย่างดาวเคราะห์โลกดวงนี้เป็นต้น

    ฉันอยากจะปลอบโยนพวกคุณทุกๆคน ที่กำลังต่อสู้กับด้านมืดของตัวเองอยู่ในขณะนี้
    เพราะว่าฉันรู้ดีว่า มันจะต้องใช้ความกล้าหาญและความมุ่งมั่นมากเพียงใด
    เพื่อที่จะอยู่ให้เหนืออำนาจล่อลวงของความกลัวและความโกรธให้ได้
    ในโลกที่อยู่ในมิติที่ 3 ของพวกคุณเช่นนี้

    มันมีความทุกข์ยากอย่างใหญ่หลวงเกิดขึ้นกับไกอา และฉันก็อยากที่จะขอชื่นชม
    กับความกล้าหาญของเธอ ที่กล้าเผชิญกับความท้าทาย โดยการลดระดับความสั่นสะเทือน
    ของตัวเธอเองลงมาอย่างมากมาย เพื่อที่จะลงมาอยู่ในมิติที่ 3 แห่งนี้

    เธอคือครูและแม่ผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเราทุกๆตัวตน และตอนนี้ มันจึงถึงคราวของพวกเราบ้างแล้ว
    ที่จะต้องให้ความช่วยเหลือเธอ เพื่อให้เธอกลับคืนไปสู่ความเป็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเธอเองให้ได้

    ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดที่พวกคุณจะสามารถทำได้ก็คือ

    การกลับคืนไปสู่ความเป็นตัวตนที่แท้จริง
    ของตัวพวกคุณเองนั่นเอง

    ซึ่งเมื่อใดที่พวกคุณสามารถพบกับ “สามเหลี่ยมศักดิ์สิทธิ์” (Sacred Triangle)
    ของตัวเองได้แล้ว พวกคุณก็จะได้พบกับสามเหลี่ยมศักดิ์สิทธิ์ของไกอาด้วยเช่นเดียวกัน
    เพราะว่าพวกคุณและไกอาคือหนึ่งเดียวกัน

    และเพื่อที่จะเตรียมความพร้อมให้พวกคุณ สำหรับการเปิดตาที่ 3 นั้น
    ฉันจะต้องทำให้พวกคุณเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งเกี่ยวกับ “สามเหลี่ยมศักดิ์สิทธิ์” ซะก่อน

    ............................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2022
  3. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารจาก Mytria (รูปธรรมชีวิตจากมิติที่ 5)

    ถึงนาง Suzanne Lie

    ที่มา:
    http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html


    ตอนที่ 2: สามเหลี่ยมศักดิ์สิทธิ์ (The Sacred Triangle)

    a.jpg
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)


    ประตูมิติสำหรับการเดินทางข้ามมิติของพวกคุณ มันถูกซุกซ่อนอยู่ภายในสมองของพวกคุณนั่นเอง
    ซึ่งประตูมิติที่ว่านี้ พวกเราเรียกมันว่า “สามเหลี่ยมศักดิ์สิทธิ์” (The Sacred Triangle)
    ซึ่งสามเหลี่ยมศักดิ์สิทธิ์ ที่มีรูปร่างคล้ายกับปิระมิดกลับหัวดังกล่าวนี้ ก็คือโพรงสมองที่ 3
    (the third ventricle) ที่อยู่ภายในสมองของพวกคุณนั่นเอง

    ด้านบนซึ่งเปรียบเสมือนเป็นหลังคาของมัน ถูกล้อมรอบด้วยข่ายประสาทคอรอยด์ (the choroids plexus)
    ส่วนต่อมพิทูอิทารี่ (pituitary grand) จะอยู่ตรงส่วนปลายสุดของรูปสามเหลี่ยมกลับหัวนี้
    และต่อมไพเนียล (pineal grand) ก็จะอยู่ตรงกึ่งกลางของสมองของพวกคุณพอดี
    อยู่เหนือก้านสมองขึ้นมาหน่อยหนึ่ง

    และสามเหลี่ยมศักดิ์สิทธิ์อันนี้ ก็คือ “ตาที่สาม” ของพวกคุณ

    ที่อยู่ในรูปแบบของวัตถุธาตุทางกายภาพนั่นเอง

    ข่ายประสาทคอรอยด์ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นส่วนหลังคาของสามเหลี่ยมศักดิ์สิทธิ์ที่ว่านี้
    ก็คือกลุ่มของเส้นประสาทกลุ่มหนึ่ง ซึ่งก็คล้ายๆกับกลุ่มของเส้นประสาท
    ที่อยู่ที่บริเวณ solar plexus ในจักระที่ 3 ของพวกคุณนั่นแหละ
    บริเวณดังกล่าวนี้ คือบริเวณหลักที่น้ำไขสันหลังจะถูกสร้างขึ้นมา

    ภายในสมองของมนุษย์จะมีโพรงสมองต่างๆเชื่อมต่อกันอย่างเป็นระบบอยู่
    ซึ่งโพรงสมองเหล่านี้ ก็คือช่องว่างต่างๆที่อยู่ภายในสมองของพวกคุณ
    ที่พวกคุณเรียกกันว่า “ระบบโพรงสมอง” (ventricular system) นั่นเอง

    น้ำไขสันหลัง จะเข้าไปเติมเต็มโพรงสมองเหล่านี้เอาไว้
    และรวมถึงจะเข้าไปเติมเต็มช่องว่างต่างๆที่อยู่รอบๆสมอง และที่อยู่ในไขสันหลังด้วย
    เพื่อทำหน้าที่เป็นทั้งฉนวนและสิ่งปกป้องให้กับสมองและไขสันหลังดังกล่าวนี้

    นอกจากนี้น้ำไขสันหลัง ยังทำหน้าที่เป็นตัวนำไฟฟ้า ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากสมอง
    และระบบประสาทที่อยู่ภายในไขสันหลังอีกด้วย น้ำไขสันหลังดังกล่าวนี้
    จะไหลเวียนจากโพรงสมองที่ 3 ที่อยู่ตรงส่วนกลางของสามเหลี่ยมศักดิ์สิทธิ์
    ผ่านทางท่อน้ำสมองแล้วเข้าไปในโพรงสมองที่ 4 แล้วจากนั้น ก็จะไหลต่อไป
    เพื่อเข้าไปยังช่องใต้เยื่ออะแร็กนอยด์ (the subarachnoid space)
    ซึ่งเป็นที่ๆมันจะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือดต่อไป

    จารึกโบราณระบุไว้ว่า เมื่อใดที่พลังกุณฑลิณี (kuldalini)

    พุ่งขึ้นมาสู่ศูนย์กลางระหว่างคิ้ว ซึ่งก็คือจักระที่ 6 ได้แล้ว
    สารัตถะ (essence) ของต่อมพิทูอิทารี่และต่อมไพเนียล
    ก็จะรวมเข้าด้วยกัน ภายในโพรงสมองที่ 3 และ 4
    ที่อยู่ในสมองของมนุษย์ผู้นั้น เพื่อเปิดตาที่ 3 ขึ้น

    และเมื่อใดที่ตาที่ 3 ของพวกคุณถูกเปิดขึ้นมาแล้ว
    พวกคุณก็จะได้ความตระหนักรู้/จิตสำนึก
    ในระดับกาแลกซี่ของตัวเอง กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง

    ซึ่งการขยายตัวด้านจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ดังกล่าวนี้
    ก็จะทำให้ระดับความสั่นสะเทือนของคลื่นความถี่ของพวกคุณ
    เพิ่มสูงขึ้น และความหนาแน่นทึบตัน
    ของร่างกายเนื้อของพวกคุณก็จะลดลง

    กระบวนการขยายตัวด้านจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ดังกล่าวนี้
    จะเริ่มต้นจากคลื่นสมองของพวกคุณ แล้วจากนั้น
    จึงจะขยายผลออกไปสู่การรับรู้ของพวกคุณเป็นอันดับต่อไป

    ...............................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2022
  4. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารจาก Mytria (รูปธรรมชีวิตจากมิติที่ 5)

    ถึงนาง Suzanne Lie

    ที่มา:
    http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html


    ตอนที่ 3: จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ที่กำลังขยายตัว

    “คลื่นสมอง” ก็คือการแกว่งขึ้นๆลงๆอย่างเป็นจังหวะของแรงดันไฟฟ้าอย่างหนึ่ง
    ระหว่างส่วนต่างๆของสมอง จนเป็นผลให้เกิดกระแสการไหลของไฟฟ้าขึ้น
    ซึ่งสภาวะของคลื่นสมอง หรือก็คือกิจกรรมทางไฟฟ้าที่เกิดขึ้นภายในช่วงความถี่หนึ่งๆ
    ที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุด มีอยู่ 4 สภาวะด้วยกัน ได้แก่ คลื่นสมองระดับเบต้า (Beta),
    แอลฟ่า (Alpha), ธีต้า (Theta), และ เดลต้า (Delta)

    ซึ่งระดับความถี่ของคลื่นสมองของพวกคุณนี้เอง ที่เป็นตัวกำหนด
    ระดับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกคุณเอง และในทางกลับกัน
    ระดับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกคุณ ก็จะนำพาไปสู่การมี ”อารมณ์”
    และ/หรือ “ความคิด” แบบใดแบบหนึ่งตามมาด้วย

    คลื่นสมองทุกๆสภาวะ จะดำรงอยู่ในส่วนต่างๆของสมองของพวกคุณ ในปริมาณที่แตกต่างกันไป
    และระดับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกคุณ ก็จะถูกกำหนดโดยคลื่นสมอง
    ที่กำลังเป็นใหญ่อยู่ในสมองของพวกคุณ ในขณะนั้นๆด้วย

    ดังนั้น เมื่อพวกคุณได้ทำการปรับตั้งจักระที่ 6 (จักระที่อยู่ระหว่างคิ้ว) และ 7
    (จักระที่อยู่ตรงกลางกระหม่อม) ของตัวเอง เพื่อเปิดตาที่ 3 ของตัวเองขึ้นมาแล้ว
    มันจึงไม่เพียงแต่จะทำให้ระดับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของตัวพวกคุณเพิ่มสูงขึ้น
    และเป็นใหญ่อยู่ในสมองของพวกคุณมากขึ้นเท่านั้น แต่มันยังจะทำให้พวกคุณ
    ได้มีประสบการณ์กับคลื่นสมองชนิดใหม่ๆ, ระดับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ใหม่ๆ
    และหน้าที่การทำงานของสมองใหม่ๆที่นอกเหนือจากเดิมอีกด้วย

    .
    ...............................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2022
  5. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารจาก Mytria (รูปธรรมชีวิตจากมิติที่ 5)

    ถึงนาง Suzanne Lie

    ที่มา:
    http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html


    ตอนที่ 4:

    a.jpg
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต-ตัวเลขในภาพกับในเนื้อหากระทู้อาจจะไม่ตรงกันเป๊ะๆนะครับ)

    คลื่นสมองระดับเบต้า (Beta Brainwaves)

    คลื่นสมองระดับเบต้า ปกติแล้วจะเกิดจากการจดจ่ออยู่กับโลกภายนอก
    และเกิดจากการจดจ่อในขณะที่ยังลืมตาอยู่เป็นหลัก คลื่นสมองชนิดนี้
    จะบ่งบอกถึงความสามารถของพวกคุณ ในการจัดการกับความคิดทั้งหลาย
    ของตัวเองอย่างมีสติสัมปชัญญะ พวกคุณมักใช้เวลาส่วนใหญ่ในยามตื่นของตัวเอง
    อยู่ในจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นสมองระดับเบต้านี้
    ซึ่งเป็นคลื่นสมองที่มีความถี่อยู่ระหว่าง 13 – 39 รอบต่อวินาที

    ในสภาวะนี้พวกคุณจะจดจ่อความสนใจอยู่แต่กับเรื่องราวและตรรกะในชีวิตประจำวัน
    ของตัวเองซะเป็นส่วนใหญ่ พวกคุณจะใช้กิจกรรมของสมองซีกซ้ายซะเป็นส่วนใหญ่
    เพราะว่าพวกคุณจะยุ่งอยู่กับการประมวณผลข้อมูลข่าวสาร จำนวนมหาศาล
    ที่ถูกส่งเข้ามาทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของพวกคุณเองอยู่ตลอดเวลา

    คลื่นสมองระดับเบต้านี้ จะทำให้พวกคุณสามารถจดจ่อความตระหนักรู้ของตัวเอง
    ไปบนร่างกายเนื้อของตัวเองได้ และไปบนภาระหน้าที่ๆกำลังทำอยู่นั้นได้

    แต่อย่างไรก็ตาม ระดับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ ที่จดจ่ออยู่กับแต่มิติที่ 3 ล้วนๆแบบนี้
    ก็มักจะทำให้เกิดความเหนื่อยล้าขึ้นอย่างมากด้วย และก็มักจะทำให้พวกคุณ
    เกิดการเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นอีกด้วย จนอาจถึงขั้นเป็นโรคเหนื่อยล้าแบบเรื้อรังขึ้นมาได้

    การจำกัดจิตใจของตัวเองให้อยู่กับแต่กิจกรรมของคลื่นสมองระดับเบต้านี้
    จะทำให้ “จิตวิญญาณของพวกคุณเอง” ซึ่งเป็นผู้ที่คุ้นเคยอยู่กับแต่การ
    ล่องลอยไปจักรวาลหลากมิตินี้ และตอนนี้ก็ได้บูรณาการเข้ากับพวกคุณเรียบร้อยแล้วนั้น
    มีความรู้สึกราวกับว่า กำลังเดินย่ำอยู่ในโคลนอย่างอิดโรยอย่างนั้นแหละ


    คลื่นสมองระดับแอลฟ่า (Alpha Brainwaves)

    คลื่นสมองระดับแอลฟ่า จะเกิดจากการผสมผสานการจดจ่อระหว่าง
    การจดจ่ออยู่กับโลกภายในและกับโลกภายนอก ซึ่งในขณะนั้นๆ
    พวกคุณกำลังให้ความใส่ใจอยู่กับจินตนาการภายในของตัวเอง
    พอๆกับการให้ความใส่ใจกับสิ่งกระตุ้นจากภายนอก

    ในขณะที่พวกคุณผ่อนคลาย หรือ กำลังทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่
    คลื่นสมองของพวกคุณจะเปลี่ยนไปอยู่ในระดับแอลฟ่า ซึ่งมีความถี่อยู่ระหว่าง 8 – 12 รอบต่อวินาที

    จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นสมองในระดับแอลฟ่านี้ จะเป็นจิตสำนึก/ความตระหนักรู้
    ที่ผสมผสานระหว่างสิ่งกระตุ้นจากมิติที่ 3 และมิติที่ 4 ซึ่งจะทำให้
    ตัวตนที่อยู่ในมิติที่ 4 ของพวกคุณเอง ซึ่งก็คือ “กายทิพย์” (Astral Body) ของพวกคุณเอง
    สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับชีวิตประจำวันของพวกคุณเองได้อย่างเป็นอิสระ

    ในขณะที่พวกคุณกำลังอยู่ในจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับนี้อยู่
    พวกคุณจะสามารถ “คิดแบบใช้สมองทุกๆส่วน” (Whole Brain Thinking)
    ได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น ซึ่งการคิดแบบใช้สมองทุกๆส่วนที่ว่านี้ก็คือ
    การมีความสมดุลระหว่างสมองซีกขวาและสมองซีกซ้าย ในการเขียน การเต้นรำ
    การปั้น การร้องรำทำเพลง หรือการทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์ใดๆก็ตาม

    ในสภาวะนี้ ตามปกติแล้ว ระดับความเข้มข้นของสารเอนดอร์ฟินส์ (endorphins)
    ในร่างกายของพวกคุณ ก็จะสูงกว่าปกติ ซึ่งจะทำให้พวกคุณรู้สึก “เบิกบาน” ตามไปด้วย

    จิตวิญญาณของพวกคุณ ที่บัดนี้ได้ผสานรวมเข้ากับตัวตนของพวกคุณแล้วนั้น
    จะชื่นชอบคลื่นสมองระดับนี้พอสมควร แต่ก็ยังจะรู้สึกว่าเชื่อมต่อกับพวกคุณ
    ซึ่งเป็นตัวตนภาคที่อยู่บนพื้นโลกไม่ติดสักเท่าไหร่ เพราะว่าความเข้มข้นด้านอารมณ์
    ของระนาบทิพย์ สามารถที่จะกลายเป็นอุปสรรคกีดขวางการติดต่อสื่อสารระหว่างพวกคุณ
    กับตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกคุณได้ด้วย

    คลื่นสมองระดับแอลฟ่านี้ จะช่วยให้พวกคุณเชื่อมต่อกับ
    “จิตสำนึกมวลรวมของคนทั้งโลก” ได้ (the Collective Consciousness)


    .................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2022
  6. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารจาก Mytria (รูปธรรมชีวิตจากมิติที่ 5)

    ถึงนาง Suzanne Lie

    ที่มา:
    http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html


    ตอนที่ 5:

    คลื่นสมองระดับธีต้า (Theta Brainwaves)

    คลื่นสมองระดับธีต้า จะเกิดขึ้นเมื่อพวกคุณหลับตาลง และจดจ่อความสนใจอยู่กับโลกภายในอย่างเข้มข้น
    คลื่นสมองระดับธีต้านี้ จะมีความถี่อยู่ระหว่าง 4 – 7 รอบต่อวินาที และจะเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ภายใน
    ที่เกิดจากการเข้าสมาธิ และการทำกิจกรรมสร้างสรรค์ขั้นลึกที่สุด

    และเพื่อที่จะรักษาจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับนี้เอาไว้ให้ได้
    พวกคุณจะต้องทำให้ร่างกายเนื้อของตัวเองอยู่นิ่งๆเท่านั้น
    เพราะว่าในสภาวะนี้พวกคุณจะต้องจดจ่ออยู่แต่กับโลกภายในของตัวเองเท่านั้น
    ดังนั้น มันอาจจะเป็นการไม่ปลอดภัยหากจะเคลื่อนที่ไปไหนมาไหน
    ในโลกทางกายภาพในระหว่างที่กำลังอยู่ในสภาวะนี้

    จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นสมองในระดับธีต้านี้ ปกติแล้วจะได้มาจากการเข้าสมาธิขั้นลึก
    และจะทำให้พวกคุณสามารถยังมีสติเต็มตื่นอยู่ได้ ในขณะที่กำลังท่องไปด้วยกายทิพย์
    เพื่อเข้าไปสู่มิติที่ 4 ส่วนบน และเข้าไปสู่สะพานสายรุ้งที่เชื่อมต่อไปสู่มิติที่ 5 ด้วย

    และด้วยการฝึกฝน พวกคุณก็จะสามารถจดจำการผจญภัยของตัวเองในช่วงระหว่างที่กำลังอยู่ในสมาธิได้
    ไม่เช่นนั้นแล้ว ความทรงจำเกี่ยวกับการผจญภัยเหล่านี้ มันก็จะหายไปทันทีเมื่อพวกคุณลืมตาขึ้น

    จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นสมองระดับธีต้านี้ ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับ “การฝันแบบรู้ตัว” (Lucid Dreaming)
    และมีส่วนเกี่ยวข้องกับมโนภาพต่างๆ ที่พวกคุณจะได้ประสบในระหว่างที่พวกคุณ
    กำลังอยู่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นอีกด้วย (ทั้งช่วงเวลาก่อนหลับ และ ก่อนตื่น)

    จิตวิญญาณของพวกคุณ หรือตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกคุณเอง ที่บัดนี้ได้ผสานรวมเข้ากับตัวตนของพวกคุณแล้วนั้น
    จะปิติยินดีกับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นสมองระดับนี้มาก เพราะว่ามันจะทำให้พวกคุณ
    สามารถเข้าไปใน “กระแสของความเป็นหนึ่งเดียวกัน” (the Flow of the One) ได้

    ซึ่งภายในกระแสดังกล่าวนี้ พวกคุณจะสามารถติดต่อสื่อสารกับตัวตนที่สูงส่งกว่าของตัวเองได้
    เพื่อทำให้ตัวเองมีความรู้ความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น และได้รับแรงบันดาลใจเพิ่มมากขึ้น อย่างมหาศาล

    คลื่นสมองระดับธีต้านี้ จะไปกระตุ้นสมองส่วนที่ไม่เคยถูกใช้งานของพวกคุณ
    และจะเชื่อมต่อพวกคุณให้เข้ากับ “จิตสำนึกมวลรวมของโลกทั้งโลก” (the Planetary Consciousness) ด้วย


    คลื่นสมองระดับเดลต้า (Delta Brainwaves)

    คลื่นสมองระดับเดลต้า คือความสามารถในการรับรู้ความรู้สึกของคนอื่นของจิตเหนือสำนึกของพวกคุณ
    (your superconscious empathy) ซึ่งจะมีปฏิสัมพันธ์กับ และเชื่อมโยงพวกคุณเข้ากับ
    ตัวตนหลากมิติของพวกคุณเอง

    คลื่นสมองระดับเดลต้านี้ จะมีความถี่อยู่ในช่วง 0.5 – 4 รอบต่อวินาที และจะเกี่ยวข้องกับ
    การบำบัดรักษาโรคแบบปาฏิหาริย์, ความรู้อันศักดิ์สิทธิ์จากเบื้องบน, การเกิดใหม่,
    การหายจากความเจ็บปวดทางจิตใจ, การเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล (สมาธิ),
    ประสบการณ์เฉียดตาย (near death experience) และอาการโคม่า

    ซึ่งในระหว่างที่อยู่ในจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับเดลต้านี้
    ปกติแล้วพวกคุณจะ “ไม่รับรู้” ความเป็นไปของโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพเลย

    ในระหว่างที่อยู่ในสภาวะจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ดังกล่าวนี้ ปกติแล้ว จะปราศจากความฝัน
    และจะมีก็เพียงแต่ผู้ปฏิบัติสมาธิที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์สูงที่สุดเท่านั้น
    ถึงจะสามารถเข้าถึงจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับนี้ได้

    แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อใดที่สามารถเข้าถึงสภาวะแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกับ
    “ความเป็นหนึ่งเดียว” (the ONE) ได้แล้ว มันก็จะไม่มีการลืมเกิดขึ้น
    เพราะว่ามันจะค่อยๆซึมซับเข้าไปในทุกๆพื้นที่ของชีวิตของพวกคุณ
    และ จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นสมองระดับนี้ มันก็จะช่วยให้พวกคุณ
    ได้มาซึ่งสภาวะอันมั่นคงของความเป็นหนึ่งเดียวกัน กับตัวตนที่แท้จริงของพวกคุณเอง ในท้ายที่สุด

    และเมื่อใดที่ตาที่สามของพวกคุณถูกเปิดขึ้นแล้ว พวกคุณก็จะสามารถทำให้
    จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกคุณเอง ถูกครอบงำด้วยคลื่นสมองระดับนี้
    และสามารถรักษาไว้ซึ่งคลื่นสมองระดับนี้ ได้อย่างง่ายดาย

    จิตวิญญาณของพวกคุณ หรือตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกคุณเอง
    ที่บัดนี้ได้ผสานรวมเข้ากับตัวตนของพวกคุณแล้วนั้น
    จะปิติยินดีกับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นสมองระดับนี้มาก
    เพราะว่ามันจะช่วยให้จิตวิญญาณ/ตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกคุณเอง
    สามารถที่จะโฉบลงมาจิกเอาพวกคุณขึ้นไปได้ เพื่อพาพวกคุณท่องเที่ยวเข้าไป
    ใน “จิตวิญญาณต้นธาตุ” (Oversoul) ของพวกคุณเอง และท่องเที่ยวเข้าไป
    ในโลกแห่งความเป็นจริงต่างๆที่มีอยู่จำนวนมากมายก่ายกอง ที่ตัวตนหลากมิติของพวกคุณเอง
    มี “รูปกาย” อยู่ เพื่อไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์อันหลากหลายมาได้


    คลื่นสมองระดับเดลต้านี้ จะช่วยให้พวกคุณหลุดพ้นจากมายาการ
    ของโลกแห่งความเป็นจริงในมิติที่ 3 นี้ได้ และจะช่วยเชื่อมต่อพวกคุณ
    ให้เข้ากับ “จิตสำนึกระดับกาแลกซี่” (Galactic Consciousness) ได้


    ...........................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2022
  7. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารจาก Mytria (รูปธรรมชีวิตจากมิติที่ 5)

    ถึงนาง Suzanne Lie

    ที่มา:
    http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html


    ตอนที่ 6:

    คลื่นสมองระดับแกมม่า (Gamma Brainwaves)

    คลื่นสมองระดับแกมม่านี้ จะสั่นสะเทือนอยู่ในช่วงความถี่ประมาณ 40 รอบต่อวินาที
    คลื่นสมองระดับแกมม่านี้ เป็นคลื่นสมองที่เพิ่งถูกค้นพบใหม่ชนิดหนึ่ง
    เพราะว่ามันเป็นคลื่นสมองที่ยากต่อการใช้เครื่องมือตรวจวัดค่ามันออกมาให้ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ

    คลื่นสมองระดับแกมม่านี้ เป็นคลื่นสมองที่มีความถี่สูงกว่าคลื่นสมองระดับเบต้าซะอีก
    และมันก็ถูกเข้าใจว่ามันเป็น “ความถี่แห่งการประสานกลมกลืนกัน” (harmonizing frequency)

    การสังเกตการณ์ดูวัตถุใดๆ เช่น ดูขนาด, ดูสี, ดูเนื้อสัมผัส, ดูหน้าที่ของมัน เป็นต้น
    จะถูกเก็บบันทึกเอาไว้, ถูกรับรู้ และถูกจัดการโดยส่วนต่างๆของสมองของพวกคุณ ที่แตกต่างกัน

    คลื่นสมองระดับแกมม่านี้ จะเกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ของสมอง ในการสร้างภาพโฮโลแกรมขึ้นมา
    โดยการปะติดปะต่อเอาข้อมูลต่างๆ ที่ถูกเก็บเอาไว้ในส่วนต่างๆของสมองเข้าด้วยกัน
    เพื่อรวมพวกมันเข้าด้วยกัน ให้กลายเป็นภาพรวมระดับสูงกว่าขึ้นไปอีก

    จิตวิญญาณของพวกคุณ จะพึงพอใจกับคลื่นสมองระดับนี้เป็นอย่างมาก
    พอๆกับที่พึงพอใจ “คลื่นสมองใหม่” อื่นๆ เพราะว่าพวกมันจะทำให้พวกคุณ
    สามารถนำเอาประสบการณ์ภายในทั้งหมดของตัวเอง มารวมเข้าด้วยกันได้
    และจะทำให้พวกคุณสามารถจดจำพวกมันได้ ในชีวิตจริงทางโลกของพวกคุณด้วย

    ยิ่งไปกว่านั้น สภาวะจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับนี้ คือสิ่งที่มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมาก
    ต่อการกราวด์มิติที่ 5 ให้เข้ากับดาวเคราะห์โลกของไกอา ที่อยู่ในมิติที่ 3 แห่งนี้


    คลื่นสมองใหม่ (New Brainwaves)

    นักวิจัยด้าน EEG ได้สังเกตเห็นว่ามันมีคลื่นสมองที่มีความถี่สูงมากๆแบบสุดขั้ว
    จนสูงกว่าคลื่นสมองระดับแกมม่าอยู่อีก คือราวๆ 100 รอบต่อวินาที
    ดังนั้น พวกเขาจึงตั้งชื่อให้มันว่า “คลื่นสมองระดับไฮเปอร์แกมม่า” (Hyper Gamma Brainwaves)

    ส่วนคลื่นสมองที่มีความถี่สูงกว่านั้นไปอีก คือมีความถี่ราวๆ 200 รอบต่อวินาที
    พวกเขาตั้งชื่อให้มันว่า “คลื่นสมองระดับแลมบ์ด้า” (Lambda Brainwaves)

    และในทางกลับกัน พวกเขาก็ยังค้นพบคลื่นสมองที่มีความถี่ต่ำมากๆแบบสุดขั้วอีกด้วย
    ซึ่งต่ำกว่าคลื่นสมองระดับเดลต้าซะอีก นั่นก็คือมีความถี่ต่ำกว่า 0.5 รอบต่อวินาที
    ดังนั้น พวกเขาจึงได้ตั้งชื่อให้กับมันว่า “คลื่นสมองระดับเอปซิลอน” (Epsilon Brainwaves)

    จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับเอปซิลอนนี้ ถูกเข้าใจว่ามันคือสภาวะที่เหล่าโยคีทั้งหลาย
    ใช้เพื่อเข้าสู่นิโรธสมาบัติ (Suspended animation) ซึ่งในระหว่างที่อยู่ในสภาวะนี้
    เหล่าแพทย์ชาวตะวันตกจะไม่สามารถตรวจพบชีพจร, การเต้นของหัวใจ, และการหายใจ ของโยคีเหล่านี้ได้เลย

    จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับไฮเปอร์แกมม่า และ แลมบ์ด้านี้ เป็นสภาวะที่มีความเกี่ยวข้องกับ
    ความสามารถของพระทิเบตบางนิกาย ที่สามารถนั่งสมาธิบนภูเขาหิมาลัยที่มีอุณหภูมิติดลบได้
    โดยสวมใส่เครื่องนุ่งห่มเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นเอง และยังสามารถทำให้หิมะที่อยู่รอบๆตัวพวกเขาละลายได้ด้วย

    คลื่นสมองระดับเอปซิลอน ที่มีความถี่ต่ำกว่า 0.5 รอบต่อวินาทีนี้ พวกคุณจะเห็นว่า
    มันซ่อนอยู่ภายในรูปแบบของคลื่นสมองระดับไฮเปอร์แกมม่า และแลมบ์ด้า
    ซึ่งมีความถี่ 100 – 200 รอบต่อวินาทีด้วย

    และในทำนองเดียวกัน ถ้าพวกคุณสามารถถ่ายภาพเป็นมุมกว้างย้อนกลับไปได้
    พวกคุณก็จะเห็นว่า คลื่นสมองระดับแลมบ์ด้า ซึ่งมีความถี่สูงแบบสุดขั้ว คือราวๆ 200 รอบต่อวินาทีนี้
    ก็จะขี่อยู่บนยอดของคลื่นสมองระดับเอปซิลอน ซึ่งมีความถี่ต่ำแบบสุดขั้ว อยู่เช่นเดียวกัน

    ในทำนองเดียวกัน ประสาทสัมผัสภายในของพวกคุณเอง
    ก็จะถูกตรึงเอาไว้กับประสาทสัมผัสภายนอกทั้ง 5 ของพวกคุณ
    และจะต้องพึ่งพาอาศัยประสาทสัมผัสภายนอกทั้ง 5 ของพวกคุณด้วย
    ดังนั้น พวกคุณจึงสามารถรับรู้โลกภายในได้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ ในท้ายที่สุด
    ในขณะที่ยังคงอยู่ในรูปกายทางกายภาพของมิติที่ 3 นี้

    มันเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับพวกคุณ ที่จะต้องจดจำเอาไว้ว่า
    โลกแห่งความเป็นจริงที่อยู่ในมิติสูงๆกว่าทั้งหลาย
    พวกมันยังคงมีอยู่เสมอ แต่ในชั่วขณะใดที่พวกคุณหลงลืมพวกมันไป
    พวกมันก็จะไม่มีอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงที่เป็นไปได้ของพวกคุณอีกต่อไป


    เพราะฉะนั้นแล้ว แนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องโลกที่อยู่ในมิติที่สูงๆกว่าทั้งหลาย
    จึงจะกลายเป็นเรื่องที่ “เป็นไปไม่ได้” ไป


    ดังนั้น ยิ่งพวกคุณกล้าที่จะเชื่อในสิ่งที่
    “เป็นไปไม่ได้” อันนั้น มากเท่าไหร่
    พวกคุณก็จะยิ่งสามารถ เข้าถึงการทำงานขั้นสูงกว่า
    ของสมองตัวเองได้มากขึ้นเท่านั้นด้วย

    หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ
    ยิ่งพวกคุณ “เปิดใจตัวเอง” มากขึ้นเท่าไหร่
    พวกคุณก็จะยิ่งทำให้ “สมองของตัวเองพัฒนา”
    มากขึ้นเท่านั้นด้วย


    ...........................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2022
  8. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารจาก Mytria (รูปธรรมชีวิตจากมิติที่ 5)

    ถึงนาง Suzanne Lie

    ที่มา:
    http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html


    ตอนที่ 7: การขยายความสามารถในการรับรู้

    ด้วยคลื่นสมองที่ขยายขอบเขตเพิ่มมากขึ้นของพวกคุณนี้ พวกคุณก็จะสามารถเข้าถึงการรับรู้ต่างๆ
    ที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่นอกเหนือขอบเขตความสามารถของสมองของพวกคุณ
    ที่จะรับรู้และประมวณผลได้ได้

    จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ ในมิติที่ 3 ของคลื่นสมองระดับเบต้า ของพวกคุณ
    ได้ถูกจำกัดการรับรู้เอาไว้มานานแล้ว ให้อยู่แต่ในช่วงความถี่ช่วงแคบๆเท่านั้น
    คือช่วงความถี่ 90 – 174 รอบต่อวินาที ซึ่งช่วงความถี่ดังกล่าวนี้ ถือว่าเป็นช่วงที่แคบมากๆ
    เมื่อเทียบกับช่วงความถี่ของคลื่นแสงและเสียงที่สามารถตรวจวัดค่าได้แล้ว
    นี่ยังไม่ได้กล่าวถึงช่วงความถี่ของแสงและเสียง ที่เทคโนโลยีสมัยใหม่ของพวกคุณ
    ยังไม่สามารถตรวจวัดค่าได้เลยนะ

    1). Ultraviolet => ความยาวคลื่น: 280 – 380 nm, ความถี่: 179.51 – 243.61 Hz.
    2). สีม่วง => ความยาวคลื่น: 390 – 430 nm, ความถี่: 158.13 - 174.90 Hz.
    3). สีน้ำเงิน => ความยาวคลื่น: 460 – 480 nm, ความถี่: 142.11 - 148.29 Hz.
    4). สีเขียว => ความยาวคลื่น: 490 – 530 nm, ความถี่: 128.70 - 139.21 Hz.
    5). สีเหลือง => ความยาวคลื่น: 550 – 580 nm, ความถี่: 117.61 - 124.02 Hz.
    6). สีส้ม => ความยาวคลื่น: 590 – 640 nm, ความถี่: 106.58 - 115.61 Hz.
    7). สีแดง => ความยาวคลื่น: 750 – 650 nm, ความถี่: 90.95 - 104.94 Hz.
    8). Infrared => ความยาวคลื่น: 751 – 1000 nm, ความถี่: 68.21 – 90.83 Hz.

    เมื่อใดที่พวกคุณสามารถเปิดตาที่ 3 ได้แล้ว พวกคุณก็จะสามารถยินยอมให้
    คลื่นสมองที่มีความถี่สูงกว่าคลื่นสมองระดับเบต้า และ คลื่นสมองที่มีความถี่ต่ำแบบสุดขั้วทั้งหลาย
    เข้ามามีบทบาทสำคัญในกิจกรรมของสมองของพวกคุณเองได้มากขึ้น

    แล้วการรับรู้ของพวกคุณ ก็จะขยายขอบเขตกว้างมากขึ้น และพวกคุณก็จะสามารถรับรู้ถึง
    คลื่นความถี่ของแสงและเสียง ที่มีระดับความถี่สูงกว่าขึ้นไปอีก ได้อย่างมีสติสัมปชัญญะด้วย

    และด้วยเหตุนี้ พวกคุณก็จะสามารถเข้าถึงแสงสว่างของมิติที่ 4 และ 5 ได้
    จนทำให้พวกคุณสามารถมองเห็น และ ได้ยินเสียง รูปธรรมชีวิตหลากมิติทั้งหลาย
    ที่อยู่แค่อีกฟากฝั่งหนึ่งของม่านพรางแห่งมายาการของมิติที่ 3 นี้ได้

    แต่โชคยังดีที่ เมื่อพวกคุณเปิดตาแห่งจิตวิญญาณของตัวเองขึ้นแล้ว
    มันจะช่วยให้วิสัยทัศน์ของพวกคุณขยายตัวออกไปกว้างไกล
    กว่าการมองเห็นด้วยตาเนื้อของพวกคุณอย่างมาก

    แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ยังเทียบไม่ได้กับการทำงานร่วมกันของ
    “ตาแห่งจิตวิญญาณ” (Eyes of Soul) และ “ตาที่ 3” ที่เปิดแล้ว
    ของพวกคุณเองหรอกนะ เพราะว่าการมองเห็นผ่านทาง “ตาแห่งจิตวิญญาณ” นั้น
    จะเห็นภาพที่นุ่มนวลกว่า และเป็นภาพที่แยกอยู่ต่างหากจากผู้ดู
    คล้ายๆกับการมองดูภาพผ่านเลนส์ของกล้องถ่ายรูป

    พวกคุณก็รู้อยู่แล้วว่า จิตวิญญาณของพวกคุณ กำลังคอยให้คำชี้แนะกับพวกคุณเองอยู่ตลอดเวลา
    ในการรับรู้ทั้งหลายของพวกคุณ ซึ่งพวกคุณก็พบว่ามันเป็นประโยชน์กับตัวเองมาก
    แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยตาที่ 3 ของพวกคุณที่เปิดแล้วนี้ พวกคุณจะกลายเป็นจิตวิญญาณเสียเอง!
    พวกคุณจะไม่ใช่แค่ถูกชี้แนะเท่านั้น เพราะว่าพวกคุณจะกลายเป็นผู้ชี้แนะซะเอง!

    ............................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2022
  9. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารจาก Mytria (รูปธรรมชีวิตจากมิติที่ 5)

    ถึงนาง Suzanne Lie

    ที่มา:
    http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html


    ตอนที่ 8: การ Entrainment

    เวลาที่พวกคุณเคาะซ่อมเสียง มันก็จะสั่นสะเทือนด้วยคลื่นความถี่เฉพาะตัวของมัน
    แล้วถ้าพวกคุณนำเอาซ่อมเสียงอีกอันหนึ่งมาถือไว้ใกล้ๆกับซ่อมเสียงอันแรก
    ที่กำลังสั่นสะเทือนอยู่นั้น ซ่อมเสียงอันที่สอง ก็จะเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นตามไปด้วย
    และสั่นด้วยคลื่นความถี่เดียวกันด้วย


    หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือซ่อมเสียงอันแรก
    เหนี่ยวนำ หรือ entrain ซ่อมเสียงอันที่สอง


    คำว่า Entrainment นี้ เป็นคำนามที่เกี่ยวข้องคำกิริยา “entrain”
    ซึ่งหมายความว่า ดึงไปด้วยกัน หรือดึงให้ลงเรือลำเดียวกัน

    อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าบนผนังห้องมีนาฬิกาแบบลูกตุ้มอยู่หลายๆอันแขวนอยู่
    แล้วถ้าคุณบังเอิญไปแกว่งลูกตุ้มของพวกมันทุกๆอัน ด้วยความเร็วที่แตกต่างกันทั้งหมด
    และพอทิ้งไว้สักพัก ลูกตุ้มทุกๆอันก็จะกลับมาแกว่งด้วยความเร็วเท่าๆกันเหมือนเดิม
    เพราะว่าพวกมันจะ entrainment ซึ่งกันและกัน

    การ entrainment ของคลื่นสมอง ก็สามารถเกิดขึ้นได้ด้วย
    เมื่อความถี่ของคลื่นสมองของพวกคุณ ค่อยๆเริ่มต้นเลียนแบบจังหวะ
    หรือความถี่ของสิ่งเร้าจากภายนอก หรือ จากภายในของตัวพวกคุณเอง

    ซึ่งสิ่งเร้าด้านคลื่นความถี่เกือบทุกชนิด
    สามารถที่จะนำมาใช้เพื่อ entrain คลื่นสมองของพวกคุณได้
    ไม่ว่าจะเป็น เสียง, แสง, สัมผัส หรืออะไรก็ตาม
    ที่สมองของพวกคุณสามารถรับรู้ได้
    ไม่ว่าจะเป็นการรับรู้ผ่านทางประสาทสัมผัสทางกายภาพ
    หรือ รับรู้ผ่านทางประสาทสัมผัสทางจิตของพวกคุณเองก็ตาม


    การสะกดจิต ซึ่งจะทำให้คลื่นสมองเข้าสู่ระดับแอลฟ่า และธีต้านั้น
    จะเริ่มต้นด้วยการจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ
    เพื่อ entrain ให้จิตใจของพวกคุณกลับเข้าไปจดจ่ออยู่กับกระบวนการภายในของตัวเอง

    อันที่จริงแล้ว สมองของพวกคุณ (จังหวะและคลื่นสมองทางชีวภาพ)
    จะถูก entrain โดยสิ่งแวดล้อมทั้งจากภายในและจากภายนอก อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว

    เช่น ถ้าพวกคุณกำลังเดินอยู่ในชนบทที่มีทิวทัศน์สวยงามสักแห่งหนึ่ง
    ในวันที่อากาศแจ่มใส และท้องฟ้าปรอดโปร่ง พวกคุณอาจจะรู้สึกสงบ
    และคลื่นสมองของพวกคุณก็อาจจะถูก entrain ให้เข้าสู่ระดับแอลฟ่าก็ได้

    แต่ในทางกลับกัน ถ้าพวกคุณกำลังอยู่บนท้องถนนที่การจราจรกำลังติดขัดอยู่
    ระบบชีวภาพของพวกคุณก็อาจจะปั่นป่วน และคลื่นสมองของพวกคุณ
    ก็อาจจะถูก entrain ให้เข้าสู่ระดับเบต้าก็ได้

    แต่แน่นอนว่า โลกภายในของพวกคุณ
    ก็สามารถที่จะส่งผลกระทบอย่างมาก
    ต่อทั้งสองเหตุการณ์เบื้องต้นนี้ได้ด้วย


    เช่น ถ้าพวกคุณเป็นคนที่กลัวงูอย่างมาก แล้วพวกคุณก็ไปเดินอยู่ในชนบทดังกล่าวนั้น
    พวกคุณก็จะมองหาแต่งูอยู่ทุกๆย่างก้าว แล้วระบบของพวกคุณก็จะปั่นป่วน
    และคลื่นสมองของพวกคุณก็จะถูก entrain ด้วยคลื่นสมองระดับเบต้า

    แต่ในทางกลับกัน ถ้าพวกคุณกำลังติดอยู่บนท้องถนนที่การจราจรติดขัด
    และถ้าพวกคุณบอกกับตัวเองด้วยความใจเย็นว่าก็ไม่เห็นเป็นไรนี่
    พวกคุณก็จะเปิดเพลงเย็นๆขึ้นมาฟัง และตัดสินใจที่จะมีความสุข
    กับการที่ได้อยู่คนเดียวตามลำพังในขณะที่กำลังขับรถอยู่นี้
    แล้วระบบของพวกคุณก็จะสงบลง และพวกคุณก็จะถูก entrain ด้วยคลื่นสมองระดับแอลฟ่า


    ...............................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2022
  10. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารจาก Mytria (รูปธรรมชีวิตจากมิติที่ 5)

    ถึงนาง Suzanne Lie

    ที่มา:
    http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html


    ตอนที่ 9: ความคาดหวัง และ การ Entrainment

    อย่างที่พวกคุณก็เห็นแล้วว่า กระบวนการทางความคิด และ อารมณ์ภายในของพวกคุณ
    ที่มีต่อแต่ละสถานการณ์นั้น ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาของร่างกายของพวกคุณอย่างมาก

    หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ร่างกายของพวกคุณจะ entrain ตัวมันเอง
    ให้เข้ากับความคิดและอารมณ์ของพวกคุณ

    นอกจากนี้ โลกภายในของพวกคุณ ก็ยังตั้งความคาดหวัง
    เอาไว้ให้กับการรับรู้ภายนอกของพวกคุณเองด้วย


    ตัวอย่างเช่น ถ้าในขณะที่พวกคุณกำลังเดินอยู่ในป่าที่ไหนสักแห่งหนึ่ง
    แล้วพวกคุณบอกกับตัวเองว่าพวกคุณจะต้องได้เห็นนกแน่ๆ นั่นหมายความว่า
    พวกคุณมีความคาดหวังว่าจะได้เห็นนก และเพราะฉะนั้น พวกคุณก็จะมองหานกอยู่ตลอดเวลา
    หรือ มองหานกโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วพวกคุณก็จะเจอนกจริงๆ

    ในทางตรงกันข้าม ถ้าพวกคุณบอกตัวเองว่า พวกคุณจะต้องได้เจอขยะแน่ๆเลย
    กระบวนการเดียวกันนี้ ก็จะเกิดขึ้นกับพวกคุณ แล้วพวกคุณก็จะได้เจอขยะจริงๆ

    แต่ถ้าพวกคุณกำลังมองหาขยะอยู่ เพื่อที่จะเก็บกวาดทำความสะอาดให้กับพระแม่ธรรมชาติแล้วหละก็
    มันก็เป็นไปได้มากที่พวกคุณจะรู้สึกดี และจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกคุณ
    ก็จะถูก entrain ด้วยคลื่นสมองระดับแอลฟ่า

    แต่ว่า ถ้าพวกคุณรู้สึกโกรธและบ่นพึมพำให้กับความสกปรกมักง่ายของมนุษย์บางคน
    ในขณะที่พวกคุณกำลังย่ำเท้าไปในป่าไม้นั้นอยู่หละก็ พวกคุณก็จะรู้สึกเครียดอย่างแน่นอน
    และคลื่นสมองของพวกคุณ ก็จะอยู่ในระดับเบต้า

    การมองหานก เป็นกิจกรรมที่ผ่อนคลายอย่างหนึ่ง เมื่อพวกคุณมองขึ้นไปบนต้นไม้
    และฟังเสียงนกร้องอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่ว่าถ้าพวกคุณเกิดความรู้สึกว้าวุ่นใจขึ้นมา
    เพราะว่าพวกคุณมองหานกไม่เจอเลยซักตัว พวกคุณก็จะ entrain ตัวเอง
    ให้อยู่ในจิตสำนึกของคลื่นสมองระดับเบต้า เช่นเดียวกันกับเมื่อตอนที่พวกคุณ
    กำลังขับรถอยู่บนถนนที่การจราจรที่ติดขัด

    ในทางกลับกัน พวกคุณก็สามารถที่จะทำความรู้สึกถึงธรรมชาติได้
    แล้วนั่งลง และหลับตา แล้วเข้าสู่สมาธิลึกๆ
    เพื่อ entrain จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของตัวเอง
    ให้เข้าสู่คลื่นสมองระดับแอลฟ่า และ ธีต้า

    และถ้าพวกคุณคาดหวังว่าจะได้เห็นมิติที่อยู่สูงๆกว่าขึ้นไป
    พวกคุณก็สามารถที่จะขยายขอบเขตการรับรู้ของตัวเองออกไปอีกได้
    เพื่อที่จะทำให้สามารถมองเห็นเทพในนิยาย (Faeries) ทั้งหลาย
    ที่กำลังหล่อเลี้ยงบำรุงดอกไม้แต่ละดอก และพืชแต่ละต้นอยู่ได้
    และเพื่อที่จะได้มองเห็นเหล่าเทวะ (Deva) ที่อยู่บนต้นไม้ใกล้ๆได้ด้วย

    และเมื่อพวกคุณมองขึ้นไปบนท้องฟ้า พวกคุณก็จะสามารถมองเห็นเหล่าทวยเทพ (Angels)
    และรูปธรรมชีวิตที่อยู่ในมิติที่สูงๆกว่าขึ้นไป ที่กำลังเฝ้าสังเกตการณ์ดูพวกคุณอยู่ได้

    พวกคุณเห็นจากตัวอย่างข้างต้นพวกนี้แล้วใช่ไหม

    ว่าความคาดหวังของพวกคุณ, ความคิดของพวกคุณ
    และ ความรู้สึกของพวกคุณ
    คือผู้สร้างโลกแห่งความเป็นจริงที่พวกคุณจะได้รับรู้ขึ้นมา
    และก็คือสิ่งที่พวกคุณจะได้ประสบในลำดับต่อไปด้วย

    ความคาดหวังของพวกคุณ
    คือสิ่งที่ได้รับอิทธิพลอย่างมาก
    จาก “ความเชื่อหลัก” ของพวกคุณเอง

    ดังนั้น ถ้าพวกคุณเชื่อว่า โลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณ
    ก็คือโลกที่พวกคุณสามารถรับรู้และสัมผัสได้
    ด้วยประสาทสัมผัสทางกายภาพทั้ง 5 นี้ของพวกคุณเองเท่านั้น
    เพราะฉะนั้น มิติที่ 3 นี้ ก็จะกลายเป็นโลกแห่งความเป็นจริงเพียงโลกเดียว
    ที่พวกคุณจะได้ประสบพบเจอ

    แต่ในทางกลับกัน ถ้าพวกคุณเชื่อว่ามันมีโลกแห่งความเป็นจริงอื่นๆ
    ที่อยู่ในมิติอื่นๆ “ซุกซ่อนอยู่” หรือ “ทับซ้อนอยู่” กับมิติที่ 3 นี้แล้วหละก็
    พวกคุณก็จะมีความคาดหวัง ที่จะได้เห็นพวกมันด้วยเช่นเดียวกัน

    และเพราะความคาดหวังที่มีต่อโลกแห่งความเป็นจริงอื่นๆของพวกคุณนี้เอง
    พวกคุณก็จะ entrain ระบบร่างกายของตัวเอง ให้ไปกระตุ้น “คลื่นสมองใหม่”
    และ “คลื่นสมองที่มีความถี่สูงแบบสุดขั้ว” และ/หรือ “คลื่นสมองที่มีความถี่ต่ำแบบสุดขั้ว”
    ของตัวเองขึ้นมา เพื่อที่จะให้สามารถรับรู้โลกแห่งความเป็นจริงในมิติอื่นๆได้

    หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ

    ถ้าพวกคุณเลือกที่จะ “มองหา”
    พวกคุณก็จะ “มองเห็น”

    และด้วยความคาดหวังนี้ พวกคุณก็จะได้ประสบกับ:
    ต้นไม้ที่เป็นเหมือนบุคคล หรือ ต้นไม้ที่เป็นประตูมิติ เพื่อเข้าไปสู่มิติอื่นๆ

    ความคาดหวังของพวกคุณ ที่จะเห็นโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ
    จะ entrain จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกคุณ
    ให้ไปอยู่ในระดับความสั่นสะเทือนนั้นๆ

    พวกคุณได้ผ่านการเวียนว่ายตายเกิดมาหลายภพชาติแล้ว บนดาวเคราะห์โลก
    ที่อยู่ในมิติที่ 3 แห่งนี้ ดังนั้น “เทวะแห่งร่างกายของพวกคุณ” (your body Deva)
    ซึ่งก็คือ “ผู้ดูแลรักษาร่างกาย” ของพวกคุณแต่ละคน (your personal holder of form)
    จึงมีความคาดหวังว่า จะได้รับรู้แต่สิ่งเร้าของมิติที่ 3 นี้เท่านั้น

    แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าพวกคุณสามารถจดจำ ที่จะ “ควาดหวัง” ว่า
    จะได้เจอกับมิติอื่นๆที่อยู่สูงกว่าขึ้นไปอีก ที่ทับซ้อนกันอยู่และพัวพันกันอยู่
    กับชีวิตทางโลกของพวกคุณนี้ได้แล้วหละก็ พวกคุณก็จะ entrain
    จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของตัวเอง ให้ไปอยู่ในรูปแบบของคลื่นสมอง
    ที่จะทำให้สามารถรับรู้ถึงโลกแห่งความเป็นจริงเหล่านั้นได้

    ....................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2022
  11. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารจาก Mytria (รูปธรรมชีวิตจากมิติที่ 5)

    ถึงนาง Suzanne Lie

    ที่มา:
    http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html


    ตอนที่ 10: องค์ประกอบทางชีวภาพ (Biological Components)

    a.jpg
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

    มันยังมีองค์ประกอบทางชีวภาพบางอย่างเกี่ยวข้องอยู่อีก ในการรับรู้แบบหลากมิติของพวกคุณ
    ซึ่งในทางสรีรวิทยาแล้ว เนื้อสมองสีเทา (thalamus) ของพวกคุณ ก็คือบริเวณ
    ที่จะทำหน้าที่รับสัญญาณจากสิ่งกระตุ้นทั้งหมดเข้ามา แล้วจากนั้น สิ่งเร้าเหล่านี้
    ก็จะถูกส่งผ่านต่อไปยังตัวกรองที่อยู่ภายในระบบ Reticular Activating System ต่อไป

    ระบบ Reticular Activating System นี้ หรือที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า
    reticular formation ของสมองของพวกคุณนี้ จะเป็นผู้เลือกว่า สิ่งเร้าอันไหน
    ที่จะถูกส่งต่อไปยังจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ในมิติที่ 3 ของพวกคุณได้

    หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ reticular formation นี้ จะเป็นผู้เลือกว่า
    สิ่งเร้าอันไหน ที่จะถูกเก็บเอาไว้ในส่วนที่เป็น 10 – 15% ของสมองของพวกคุณบ้าง

    ซึ่งส่วนที่เป็น 10 – 15% ดังกล่าวนี้เอง

    ก็คือส่วนที่ประสาทสัมผัสทางกายภาพ
    ทั้ง 5 ของพวกคุณสามารถเข้าถึงได้

    แต่โชคยังดีที่ ด้วยการกลับมาของพลังอำนาจของเทพธิดา
    จึงทำให้ขั้วพลังงานแห่งบุรุษเพศ และขั้วพลังงานของสตรีเพศ
    กำลังจะเข้าสู่สมดุลแล้ว เพื่อกลายไปเป็นร่างกายและสมอง
    ที่ไร้เพศหรือมีทั้งสองเพศในร่างเดียวกัน

    และเพราะด้วยเหตุนี้ การคิดโดยใช้ทุกๆส่วนของสมอง (Whole Brain Thinking)
    จึงมีความเป็นไปได้แล้ว ซึ่งก็จะทำให้พวกคุณสามารถเข้าถึงพื้นที่ต่างๆของสมอง
    ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพื้นที่ๆ “ไร้สำนึก” ได้ และภายในพื้นที่เหล่านี้เอง
    ซึ่งคิดเป็น 80% ของสมองของพวกคุณ ก็คือพื้นที่ๆความสามารถในการรับรู้
    สเปกตรัมของแสงและเสียง ที่กว้างใหญ่กว่า อย่างมีสติสัมปชัญญะ
    กำลังรอคอยที่จะถูกกระตุ้นอยู่

    การทำสมาธิ จะช่วยให้ประสาทสัมผัสภายในของพวกคุณ
    เชื่อมต่อเข้ากับประสาทสัมผัสภายนอกทั้ง 5 ของพวกคุณได้
    ดังนั้น พวกคุณจึงจะสามารถมองเห็นมิติที่อยู่สูงกว่าทั้งหลาย
    ภายในโลกแห่งความเป็นจริงภายนอกของพวกคุณ ได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น

    ซึ่งโดยปกติแล้ว มันก็จะดูเหมือนว่าเป็นภาพอันเลือนลางที่ซ้อนทับอยู่
    กับภูมิทัศน์ภายนอกที่ชัดเจนกว่า

    ดังนั้น ยิ่งพวกคุณสามารถขยายจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของตัวเอง
    ออกไปได้มากเท่าไหร่ ประสาทสัมผัสภายในของพวกคุณ
    ก็จะยิ่งจะสามารถเชื่อมต่อเข้ากับประสาทสัมผัสภายนอกของพวกคุณได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้นด้วย

    ซึ่งการขยายตัวของจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับนี้ จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
    เมื่อพวกคุณบูรณาการเอาจิตวิญญาณ/ตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง
    เข้ามาสู่จักระต่างๆของตัวเองได้แล้ว

    เมื่อใดที่จิตวิญญาณ/ตัวตนที่แท้จริงของพวกคุณเอง
    สามารถบูรณาการเข้ากับจักระที่ 1 – 5 ของพวกคุณเองได้แล้ว
    พลังกุณฑลิณีของพวกคุณ ก็จะสามารถพุ่งขึ้นมาตามจักระต่างๆที่อยู่สูงขึ้นมาอีก
    ได้อย่างง่ายดาย และก็จะเข้ามาสู่ “สามเหลี่ยมศักดิ์สิทธิ์”
    ที่อยู่ที่บริเวณจักระที่ 6 ของพวกคุณได้

    และในขณะเดียวกันนั้นเอง จิตวิญญาณ/ตัวตนที่แท้จริงของพวกคุณ
    ก็จะเข้ามาสู่ร่างกายเนื้อของพวกคุณ ผ่านทางจักระที่ 7 ของพวกคุณ
    ซึ่งเปิดแล้ว ได้

    และด้วยการเคลื่อนขึ้นมาของเทพธิดาจากจักระที่ 1 ของพวกคุณ
    และด้วยการเคลื่อนลงมาของพระเจ้าผ่านจักระที่ 7 ของพวกคุณนี้เอง
    ที่จะทำให้เกิดการสมรสอันวิเศษ (Mystic Marriage)
    ระหว่างเทพบุตร และ เทพธิดา ขึ้นภายในตัวของพวกคุณ
    และทำให้ “ความเป็นเด็กอันศักดิ์สิทธิ์” (Divine Child) ของพวกคุณ
    ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา

    นอกจากนี้ การสมรสอันวิเศษ (Mystic Marriage)
    ระหว่างเทพบุตรกับเทพธิดาดังกล่าวนี้
    ยังจะไปกระตุ้นสามเหลี่ยมศักดิ์สิทธิ์ของพวกคุณด้วย

    ซึ่งเมื่อใดที่สามเหลี่ยมศักดิ์สิทธิ์ของพวกคุณถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้ว

    ต่อมพิทูอิทารี่ ก็จะเตรียมความพร้อมให้กับร่างกายเนื้อของพวกคุณ
    เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านการรับรู้สิ่งเร้าหลากมิติ
    ของจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ ของพวกคุณ

    ส่วนต่อไพเนี่ยล ก็จะค่อยๆยินยอมให้
    แสงสว่างเข้ามาสู่ระบบของพวกคุณได้มากขึ้นเรื่อยๆด้วย

    ส่วนข่ายประสาทคอรอยด์ (choroids plexus)
    ซึ่งอยู่ที่ส่วนหลังคาของสามเหลี่ยมศักดิ์สิทธิ์
    และอยู่ด้านบนของโพรงสมองที่ 3 ก็จะได้รับสัญญาณ
    ให้ผลิตน้ำไขสันหลัง ที่มีระดับความสั่นสะเทือน
    ของคลื่นความถี่ที่สูงขึ้นออกมา

    แล้วจากนั้น น้ำไขสันหลัง
    ที่มีระดับคลื่นความถี่สูงขึ้นกว่าเดิมแล้วนี้
    ก็จะไปเอิบอาบทั่วทั้งสมองและไขสันหลังของพวกคุณ
    และก็จะทำให้ระบบประสาทของพวกคุณ
    ค่อยๆถูกปรับตั้งค่าใหม่ (re-calibrate)
    เพื่อที่จะให้มันรับรู้และรู้จัก และยอมรับ
    สิ่งเร้าจากมิติที่อยู่สูงๆกว่าขึ้นไปได้

    แล้วจากนั้น น้ำไขสันหลัง
    ที่มีระดับความสั่นสะเทือนสูงขึ้นกว่าเดิมนี้
    ก็จะไหลจากโพรงสมองที่ 3 ผ่านไปตามท่อน้ำสมอง
    และผ่านเข้าไปในโพรงสมองที่ 4

    แล้วจากนั้น ก็จะไหลต่อไปยังช่องใต้เยื่ออะแร็กนอยด์
    (subarachnoid space) เพื่อที่จะถูกดูดซึม
    กลับเข้าไปในกระแสเลือดต่อไป

    ดังนั้น จึงไม่เพียงแต่เส้นประสาททั้งหลายของพวกคุณเท่านั้น
    ที่จะถูกเอิบอาบด้วยน้ำไขสันหลังที่มีระดับคลื่นความถี่สูงกว่าเดิมนี้
    แต่ทั่วทั้งร่างกายของพวกคุณเองก็ด้วย
    ก็จะได้รับคลื่นความถี่ที่สูงกว่าเดิมนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
    ผ่านทางกระแสเลือดของพวกคุณ

    ....................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2022
  12. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารจาก Mytria (รูปธรรมชีวิตจากมิติที่ 5)

    ถึงนาง Suzanne Lie

    ที่มา:
    http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html


    ตอนที่ 11: การผสานรวมเข้ากับดาวเคราะห์โลก

    การกระตุ้นตาที่ 3 ของพวกคุณ คือสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด
    ต่อการผสานรวมเข้ากับร่างกายที่เป็นดาวเคราะห์โลกของไกอาร่างนี้
    ให้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งเมื่อใดที่พวกคุณสามารถผสานรวมเป็นหนึ่งเดียว
    กับไกอาได้แล้ว จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกคุณ ก็จะขยายตัวออกไป
    กว้างไกลเหนือขอบเขตของ “จิตสำนึกมวลรวมของโลกทั้งโลก”
    (Planetary Consciousness) และจะไปรวมเข้ากับ
    “จิตสำนึกระดับกาแลกซี่” (Galactic Consciousness) ต่อไป

    และเมื่อใดที่พวกคุณสามารถเรียกคืนจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับกาแลกซี่
    ของตัวเองกลับคืนมาได้แล้ว พวกคุณก็จะสามารถจดจำ “รูปธรรมชีวิต” ทั้งหลาย
    ที่มีชีวิตอยู่บนดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ, ในกาแลกซี่อื่นๆ และในมิติอื่นๆ
    ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่มาจาก “จิตวิญญาณ/ตัวตนของพวกคุณเอง” ด้วยเช่นเดียวกันได้

    แล้วเมื่อนั้น ตัวตนส่วนที่แตกแยกย่อยออกมาจาก “ตัวตนรวม” ของพวกคุณ
    ที่อาศัยอยู่ในมิติที่สูงๆกว่าเหล่านี้ ก็จะสามารถช่วยเหลือพวกคุณได้อย่างมาก
    ในภาระกิจรับใช้โลกของพวกคุณ ในฐานะที่พวกคุณเป็นสมาชิกคนหนึ่ง
    ของ “ทีมงานแห่งการเลื่อนระดับขึ้นของดาวเคราะห์โลก” (Planetary Ascension Team)

    และในตอนนี้ พวกคุณก็พร้อมแล้วที่จะบูรณาการจักระที่ 6 และ 7 ของตัวเอง
    เพื่อที่จะเปิดตาที่ 3 ของตัวเอง


    แล้วฉันจะกลับมาอีก เพื่อให้ความช่วยเหลือพวกคุณต่อไป

    Mytria

    …………………….
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2022
  13. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    เรื่อง:การบูรณาการจักระที่ 6 และ 7 เพื่อเปิดตาที่ 3
    (Integrating the 6th and 7th Chakras to open the 3rd eye)


    โดยนาง Suzanne Lie

    ที่มา:
    http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html


    (เลือกมาแปลเพียงบางส่วน)

    ตอนที่ 1:

    การบูรณาการจักระที่ 6 และ 7 เพื่อเปิดตาที่ 3
    (Integrating the 6th and 7th Chakras to open the 3rd eye)


    จักระที่ 6 มักจะเป็นที่รู้จักกันในนามของ “ตาที่ 3” (the Third Eye)
    แต่ว่าตามสมมุติฐานของโยคะแล้ว (โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เขียนโดย
    H.H Mahatapaswi Shri Kumarswamiji)
    สารัตถะ (essence) ของต่อมพิทูอิทารี่ของจักระที่ 6
    และ ของต่อมไพเนียลของจักระที่ 7 จะต้องรวมกัน
    ภายในสามเหลี่ยมศักดิ์สิทธิ์ซะก่อน จึงจะเปิดตาที่ 3 ขึ้นมาได้


    ต่อมพิทูอิทารี่ (Pituitary Grand)

    ต่อมพิทูอิทารี่ จะเกี่ยวข้องกับจักระที่ 6 และมีขนาดประมาณเท่าเมล็ดถั่ว
    และตั้งอยู่ที่ส่วนหลังของจุดกลางหน้าผาก ระหว่างดวงตาทั้งสองข้างของพวกคุณ
    ด้วยเหตุนี้ จักระที่ 6 จึงมักจะถูกเรียกว่า “จักระหัวคิ้ว” (Brow Chakra)

    ต่อมพิทูอิทารี่นี้ เป็นที่รู้จักกันในนามของ master grand เพราะว่ามันทำหน้าที่
    เป็น “ศูนย์ควบคุมหลัก” ศูนย์หนึ่ง ที่จะส่งข้อมูลข่าวสารไปถึงต่อมอื่นๆทุกๆต่อม
    จากลอนทั้งสองของมัน ที่อยู่ทางด้านหน้าและด้านหลัง

    ต่อมพิทูอิทารี่นี้จะกระตุ้นให้ต่อมอื่นๆ และอวัยวะต่างๆ มีการเจริญเติบโตที่เหมาะสม
    และจะทำหน้าที่ควบคุมพัฒนาการทางเพศอีกด้วย

    ต่อมพิทูอิทารี่นี้ ถูกเรียกว่า เป็น “ที่ตั้งของจิตใจ” (seat of the mind)
    เพราะว่าลอนด้านหน้าของมันจะทำหน้าที่ควบคุมความคิด
    ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึก เช่น บทกวี และ ดนตรี เป็นต้น

    ส่วนลอนด้านหลังของมันจะทำหน้าที่ควบคุมความคิดที่เป็นรูปธรรม
    และแนวความคิดด้านเชาว์ปัญญาทั้งหลาย

    ส่วนต่อมไพเนียล จะเป็นที่รู้จักกันในนามของ “ที่ตั้งของการรู้แจ้ง, ญาณหยั่งรู้,
    และจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับเอกภพ” (seat of illumination,
    intuition and cosmic consciousness)

    ต่อมไพเนียลนี้ จะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับต่อมพิทูอิทารี่
    ในแบบเดียวกับที่ ญาณหยั่งรู้ มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับ เหตุผล


    ต่อมไพเนียล (Pineal Grand)

    ต่อมไพเนียล จะเกี่ยวข้องกับจักระที่ 7, มีรูปร่างเป็นทรงกรวย
    และมีขนาดประมาณเท่าเมล็ดถั่วเช่นเดียวกัน
    และมีที่ตั้งอยู่ที่ส่วนกลางของสมองของพวกคุณ

    ต่อมไพเนียลนี้ จะประกอบไปด้วยรงควัตถุชนิดที่คล้ายๆกับที่พบในดวงตา
    และจะเชื่อมต่ออยู่กับเนื้อสมองสีเทาส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการมองเห็นด้วย

    ดังนั้น ต่อมไพเนียลนี้ จึงทำหน้าที่ควบคุมการกระทำต่างๆของแสงสว่าง
    ที่จะมีต่อร่างกายของพวกคุณ ต่อมไพเนียลนี้ ตั้งอยู่ที่ขอบริมสุดของส่วนหลัง
    ของ “หลังคา” ของโพรงสมองที่ 3 ซึ่งก็คือ “สามเหลี่ยมศักดิ์สิทธิ์”
    (the Sacred Triangle) นั่นเอง

    ส่วนต่อมพิทูอิทารี่นั้น จะตั้งอยู่ที่ส่วนหน้าของปลายยอดของสามเหลี่ยมกลับหัว
    ของโพรงสมองที่ 3 ภายในกระโหลก ใกล้กับหน้าผากของพวกคุณ
    และการรวมกันของสารัตถะ (essence) ของต่อมทั้งสองนี้
    จะทำให้ตาที่ 3 ถูกเปิดขึ้น

    ต่อมไพเนียล จะทำหน้าที่ 2 อย่าง เพื่อยับยั้งกิจกรรมของต่อมพิทูอิทารี่
    ซึ่งอย่างแรกก็คือ ต่อมพิทูอิทารี่ จะทำหน้าที่รับผิดชอบต่อการกระตุ้นการเจริญเติบโต
    ของช่วงวัยหนุ่มสาว และต่อการเริ่มต้นของพัฒนาการทางเพศ
    แล้วต่อมไพเนียลก็จะไปตรวจสอบการทำงานของต่อมพิทูอิทารี่อีกทีหนึ่ง
    เพื่อไม่ให้ต่อมพิทูอิทารี่ ไปปลุกให้พัฒนาการทางเพศเกิดขึ้นก่อนวัยอันสมควร

    อย่างที่สองก็คือ กระบวนการคิดของมนุษย์ ถือว่าเป็นผลลัพธ์ของกิจกรรมอย่างหนึ่ง
    ที่จะถูกยับยั้งไว้ชั่วคราวก่อน ดังนั้น ต่อมไพเนียล จึงทำหน้าที่สกัดกั้น
    ไม่ให้ “ความคิด” ถูกปลดปล่อยออกมาเป็น “การกระทำ” แบบทันทีทันใด
    ซึ่งการสกัดกั้นดังกล่าวนี้ จะทำให้พวกคุณมีเวลาในการมองกลับเข้าไปดูข้างในตัวเอง
    และพิจารณาไตร่ตรองดูอย่างละเอียดซะก่อน ก่อนที่จะกระทำ หรือ ตอบสนองการกระทำใดๆลงไป

    การกลับเข้าไปพินิจพิเคราะห์ดูข้างในตัวเองนี้
    เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ต่อการกลายเป็นผู้รู้-ผู้ตื่น (self-realization)
    เพราะว่ามันจะช่วยให้พวกคุณ หันกลับมาสนใจโลกภายในของตัวเอง
    แทนที่จะไปสนใจแต่โลกภายนอก

    และเมื่อใดที่โลกภายนอกหายไปแล้ว ปริมณฑลของจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกคุณ
    ก็จะหดตัวแคบลง แล้วความสนใจหลักของพวกคุณ ก็จะไปจดจ่ออยู่แต่กับโลกภายในของตัวเอง

    ซึ่งการเพ่งความสนใจอยู่แต่กับโลกภายในนี้เอง
    ที่จะไปดึงดูดเอา “แสงสว่างด้านจิตวิญญาณ” (spiritual light)
    เข้ามาในต่อมไพเนียลของพวกคุณ


    โพรงสมองที่ 3 (The Third Ventricle)

    โพรงสมองที่ 3 ของพวกคุณ คือช่องเปิดแคบๆช่องหนึ่ง
    ที่อยู่ใกล้กับส่วนฐานของสมองใหญ่ของพวกคุณ
    และมันคือส่วนที่แยกเนื้อสมองสีเทาออกเป็น 2 ส่วน

    ซึ่งเนื้อสมองสีเทาทั้ง 2 ส่วนนี้ ก็คือ “คลังสินค้า” ของสมองของพวกคุณ
    ที่ทำหน้าที่เก็บรักษาข้อมูลการรับรู้ด้านประสาทสัมผัสทั้งหมดของพวกคุณเอาไว้นั่นเอง

    เมื่อใดที่ต่อมพิทูอิทารี่ และ ต่อมไพเนียล ถูกพัฒนาขึ้นจนเต็มที่แล้ว
    และถูกกระตุ้นขึ้นมา โดยการทำสมาธิจดจ่ออยู่กับจักระที่ 6 และ 7 ได้สำเร็จแล้ว
    ความสั่นสะเทือนของพวกมัน ก็จะรวมเข้าด้วยกัน และจะไปกระตุ้นให้ตาที่ 3 เปิดขึ้นมา

    และเมื่อใดที่ตาที่ 3 เปิดขึ้นมาแล้ว
    พวกคุณก็จะสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลความรู้
    ที่อยู่ในมิติที่สูงๆกว่าได้ด้วยตัวเอง


    Shiva yoga คือโยคะรูปแบบหนึ่ง ที่มุ่งเน้นไปที่การปลุกต่อมไพเนียลให้ตื่นขึ้น
    ซึ่งโดยปกติแล้ว ต่อมไพเนียลของคนเรา มักจะหลับอยู่ หรือหยุดการเจริญเติบโตชั่วคราวอยู่
    เพราะว่าตัวตนที่อยู่ในมิติที่ 3 ของพวกคุณนี้ มักจะจดจ่ออยู่แต่กับโลกภายนอก
    ที่ตัวเองรับรู้และสัมผัสได้อยู่นั้น ซะเป็นส่วนใหญ่
    แทนที่จะจดจ่ออยู่กับโลกที่อยู่ในมิติที่สูงกว่านั้นขึ้นไปอีก

    Shiva yoga สอนว่า “แสงคอสมิก” (Cosmic Light) จะลงมาสู่คนแต่ละคน
    โดยอาศัยเส้นประสาทของเนื้อสมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการมองเห็น
    (optic thalami nerve) ที่เชื่อมต่ออยู่กับจักระที่ 7
    และเมื่อใดที่พลังกุณฑลิณีสามารถพุ่งขึ้นมาถึงต่อมพิทูอิทารี่ได้แล้ว
    มันก็จะไปผสานรวมเข้ากับแสงคอสมิก ที่ต่อมไพเนียลเพิ่งรับเข้ามานี้
    ภายในโพรงสมองที่ 3

    ..................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2022
  14. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    เรื่อง:การบูรณาการจักระที่ 6 และ 7 เพื่อเปิดตาที่ 3
    (Integrating the 6th and 7th Chakras to open the 3rd eye)


    โดยนาง Suzanne Lie

    ที่มา:
    http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html


    (เลือกมาแปลเพียงบางส่วน)

    ตอนที่ 2:

    การผสานรวมของความเป็นขั้ว (Merging of Polarities)

    สมองของมนุษย์ โดยพื้นฐานแล้ว ก็จะมีความคล้ายคลึงกับตัวอ่อนที่ไร้เพศของมนุษย์นั่นเอง
    เพราะว่า ต่อมพิทูอิทารี่ จะมีประจุบวกของเพศชายอยู่
    ส่วนต่อมไพเนียล ก็จะมีประจุลบของเพศหญิงอยู่
    และเมื่อใดที่พลังงานของเพศหญิงและเพศชายนี้ พบกันในสมองแล้วหละก็
    ก็จะถูกเรียกว่าการแต่งงานอันวิเศษ (Mystical Marriage)

    ซึ่ง Mystical Marriage ที่ว่านี้ ก็จะไปทำให้จิตสำนึก/ความตระหนักรู้
    แบบหลากมิติของพวกคุณถือกำเนิดขึ้นมา และจะไปทำให้
    จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกคุณ ขยายตัวมากขึ้น
    จนเข้าไปถึงมิติที่ 5 และมิติที่อยู่สูงขึ้นไปกว่านั้นอีกได้

    การพุ่งขึ้นมาของพลังกุณฑลิณีนี้ จะไปดึงเอาพลังงานจากดาวเคราะห์แม่โลก
    ให้ไหลขึ้นมาตามช่องทางของเส้นประสาทด้วย
    แล้วจากนั้น ก็ไหลเข้าไปในส่วนของก้านสมองส่วนท้าย
    (medulla oblongata) และไหลผ่านส่วนพอนส์ (pons area) ของสมอง
    แล้วจากนั้น ก็ไหลลงมาและไหลเข้าไปในต่อมพิทูอิทารี่ที่อยู่ด้านหลังของดวงตาทั้งสองข้าง

    ซึ่งการเพิ่มขึ้นของพลังงานที่ถูกแผ่ออกมาจากต่อมพิทูอิทารี่นี้
    ก็จะแพร่ผ่านเข้าไปในโพรงสมองที่ 3 เพื่อไปปลุกให้ต่อมไพเนียล
    ซึ่งได้รับแสงคอสมิก จากมิติที่อยู่สูงๆกว่าขึ้นไปเข้ามาแล้ว ให้ตื่นขึ้นต่อไป

    พลังงานแห่งสตรีเพศ จากดาวเคราะห์โลก
    เมื่อผสานรวมเข้ากับพลังงานแห่งบุรุษเพศที่อยู่ในต่อมพิทูอิทารี่แล้ว
    ต่อมไพเนียลซึ่งมีพลังงานแห่งสตรีเพศอยู่ ก็จะได้รับพลังงานแห่งบุรุษเพศ
    จากแสงสว่างของมิติที่อยู่สูงกว่าของวิญญาณ (Higher Light from Spirit)
    และเมื่อสารัตถะของจักระที่ตื่นขึ้นแล้วทั้งสองนี้ มาพบกันในโพรงสมองที่ 3
    มันก็จะเกิดการรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน และเกิดการสอดประสานกลมกลืนกัน
    ของ “วิญญาณ กับ สสาร” (Spirit into Matter) ขึ้น
    เพราะว่าพลังแห่งแสงสว่างและวิญญาณที่อยู่ในมิติที่สูงกว่า
    จะมาผสานรวมเข้ากับ “สสาร” ของสมองที่อยู่ในมิติที่ 3 ของพวกเรา

    แล้วเมื่อนั้นความเป็นขั้วของเพศหญิง และ เพศชาย ก็จะผสานรวมเข้าด้วยกัน
    กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน และเมื่อนั้น การคิดแบบใช้สมองทุกๆส่วน
    (Whole Brain Thinking) ของพวกคุณ ก็จะเริ่มต้นขึ้น


    ดวงตาที่อยู่ตรงกลาง (The Middle Eye)

    a.jpg
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)


    ตาที่ 3 ที่ถูกเปิดขึ้นแล้วนี้ เป็นที่รู้จักกันดีในนามของ
    “ดวงตาที่อยู่ตรงกลางของพระศิวะ” (The Middle Eye of Shiva)
    หรือ “ดวงตาแห่งฮอรัส” (the Eye of Horus)
    และ “เขาของยูนิคอร์น” (the Horn of the Unicorn)

    ในวิหารแห่งมารต (the Temple of Maat) ในยุคอียิปต์ตอนต้น
    ได้ถูกอุทิศให้เป็นที่ๆใช้เพื่อเปิดตาที่ 3 ขึ้น

    ตาที่ 3 นี้ เป็นตาทิพย์ชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในมิติที่สูงกว่า
    ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นตัวรับสัญญาณ และ ตัวส่งสัญญาณ ที่มีความไวมากชนิดหนึ่ง
    จนทำให้สัญญาณที่ได้รับรู้มาจากมิติที่อยู่สูงๆกว่าขึ้นไป
    สามารถถูกแปลความหมาย, ถูกตีความ และ ถูกส่งต่อไปยังสมองที่อยู่ในมิติที่ 3
    ของพวกคุณได้ เพื่อให้ได้มาซึ่งภูมิปัญญา และ การรู้แจ้ง

    ด้วยตาที่ 3 นี้ พวกคุณก็จะสามารถรับรู้และเข้าใจ รูปธรรมชีวิต
    และโลกแห่งความเป็นจริงที่อยู่ในมิติที่ 5 และมิติที่อยู่สูงกว่าขึ้นไปอีกได้
    และข้อมูลข่าวสารที่ว่านี้ ก็จะไปเปลี่ยนแปลงกระบวนการทางความคิด,
    อารมณ์ความรู้สึก และความเข้าใจด้านเหตุและผล (cause & effect) ของพวกคุณ
    และรวมถึงจะไปเปลี่ยนแปลงทัศนคติทั้งหมดทั้งมวลของพวกคุณ
    ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของ “ชีวิต” อีกด้วย

    ดวงตาทุกๆดวง ซึ่งรวมถึงตาที่ 3 ด้วย จำเป็นจะต้องมีเลนส์
    เพื่อแปลความหมายของแสงที่ได้รับมาทางประสาทสัมผัสด้วย
    และเลนส์ของตาที่ 3 ที่ว่านี้ ก็อยู่ในสนามพลังออร่าของพวกคุณเอง
    ณ.จุดที่อยู่ด้านหน้าของจักระที่ 6 เล็กน้อย

    ซึ่งโครงสร้างทางกายภาพของเลนส์ดังกล่าวนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่จะต้องการฝึกฝนและปฏิบัติด้วย
    เพื่อที่จะนำไปสู่การรับรู้อย่างถูกต้องและแม่นยำของตาในของพวกเราอันนี้

    โดยวิธีการใช้จุดดังกล่าวนี้ ที่อยู่ในออร่าของพวกคุณ
    (จุดที่อยู่ระหว่างดวงตาทั้ง 2 ข้าง และตรงกึ่งกลางหน้าผากของพวกคุณ)
    เป็นจุดสำหรับเพ่งเวลาทำสมาธิ พวกคุณก็จะสามารถกระตุ้นให้เลนส์ของตาที่ 3 ของพวกคุณ
    พัฒนาขึ้นได้แล้ว และการใช้วิธีทำสมาธิดังต่อไปนี้ ก็จะสามารถกระตุ้นให้
    จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกคุณเข้าสู่คลื่นสมองระดับธีต้า
    และ ระดับที่สูงกว่าขึ้นไปอีกได้ด้วย

    ......................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2022
  15. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บางส่วนของข้อความจากไกอา (จิตสำนึกของดาวเคราะห์โลก)
    เรื่อง: การทำสมาธิเพื่อทำให้คลื่นสมองเข้าสู่ระดับธีต้า
    (Theta Wave Meditation)


    ที่มา:
    http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html

    ตอนที่ 1: คลื่นสมองระดับธีต้า (Theta Brainwaves)


    a.jpg
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)


    คลื่นสมองระดับธีต้า (4 -7 รอบต่อวินาที) จะเกิดขึ้นในขณะที่เราหลับ
    และจะครองความเป็นใหญ่อยู่ ในขณะที่เราอยู่ในสภาวะที่จิตเป็นสมาธิขั้นสูงสุด

    โดยปกติแล้ว พวกคุณจะสามารถมีประสบการณ์กับคลื่นสมองระดับธีต้านี้ได้
    ก็เฉพาะตอนที่พวกคุณเคลิ้มๆใกล้จะหลับ หรือบางช่วงของตอนที่กำลังฝันอยู่
    หรือตอนที่เพิ่งจะกลับออกมาจากการหลับลึกที่คลื่นสมองเข้าสู่ระดับเดลต้า เท่านั้นเอง

    ซึ่งภาพต่างๆที่พวกคุณมองเห็นในขณะที่กำลังเคลิ้มหลับ หรือ กำลังจะตื่นนั้น
    ก็มาจากจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นสมองที่อยู่ในระดับธีต้านี้แหละ

    ในระหว่างที่กำลังอยู่ในสมาธิ ที่คลื่นสมองเข้าสู่ระดับธีต้านั้น
    พวกคุณจะอยู่ในความฝันในขณะที่ยังตื่นอยู่ ซึ่งก็จะมีภาพนิมิตรต่างๆที่ชัดเจนและมีชีวิตชีวา
    โผล่แว๊บขึ้นมาในมโนภาพของพวกคุณ และในสภาวะนี้ พวกคุณจะมีความไว
    ต่อการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ที่ถูกส่งมาจากมิติที่อยู่สูงๆกว่าขึ้นไป อย่างมากด้วย

    สภาวะจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของผู้ทรงฌาณนี้
    ซึ่งก็คือสภาวะที่คลื่นสมองอยู่ในระดับธีต้านี้
    จะทำให้พวกคุณสามารถท่องเที่ยวเข้าไปในระนาบที่สูงกว่าทั้งหลายได้

    จังหวะการตีกล่องแบบสม่ำเสมอ 4 ครั้งครึ่งต่อวินาที
    (คลื่นสมองระดับธีต้ามีความถี่อยู่ในช่วง 4-7 รอบต่อวินาที)
    คือกุญแจสำคัญที่จะนำพา Shaman คนหนึ่ง ให้เข้าสู่ฌาณระดับที่อยู่ลึกที่สุดได้

    และจังหวะที่ต่อเนื่องสม่ำเสมอ ของเสียงสวดมนต์ต่ำๆ ของชาวพุทธชาวธิเบต
    ที่สามารถนำพาพระเหล่านั้น รวมถึงผู้ที่ได้ฟังเสียงสวดมนต์เหล่านั้น
    เข้าสู่ความปิติสุขแห่งสมาธิได้นั้น ก็เป็นจังหวะเดียวกันนี้ด้วย

    โดยอาศัยการ Theta Wave Meditation นี้

    จะช่วยให้พวกคุณสามารถเปิดตาที่ 3 ของตัวเองได้
    และจะช่วยให้พวกคุณเข้าสู่คลื่นสมองระดับเดลต้าได้ด้วย
    ซึ่งมันจะทำให้พวกเรารวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพลังงานจักรวาล
    และกับจิตสำนึกระดับกาแลกซี่

    แล้วเมื่อนั้น พวกคุณก็จะสามารถเข้าถึงคลื่นสมองระดับอื่นๆ
    ของตัวเองได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นคลื่นสมองที่มีความถี่สูงหรือต่ำแบบสุดขั้ว
    ที่เพิ่งจะถูกค้นพบใหม่ก็ตาม ซึ่งได้แก่ คลื่นสมองระดับแกมม่า,
    ไฮเปอร์แกมม่า, แลมบ์ด้า และ เอปซิลอน

    คลื่นธีต้านี้ ยังถูกระบุว่าเป็นประตูสู่การเรียนรู้และการจดจำอีกด้วย
    การทำสมาธิกับคลื่นสมองระดับธีต้า จะช่วยให้มีความคิดสร้างสรรค์เพิ่มมากขึ้น,
    ช่วยให้มีศักยภาพในการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น, ช่วยทำให้ความเครียดลดลง
    และจะช่วยปลุกญาณหยั่งรู้และทักษะในการรับรู้แบบพิเศษ/สัมผัสพิเศษทั้งหลาย
    ให้ตื่นขึ้น

    จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ในระดับธีต้านี้ จะช่วยให้พวกคุณ
    สามารถเชื่อมต่อกับแรงบันดาลใจเชิงสร้างสรรค์ของตัวเองได้,
    และจะช่วยให้เชื่อมต่อกับผู้นำทางด้านจิตวิญญาณ (spiritual guidance)
    และประสบการณ์แบบสุดยอด (peak experiences) ของตัวเองได้ด้วย

    จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ในระดับธีต้านี้
    ดำรงอยู่แบบ “ไร้กาลเวลา”
    ของมิติที่ 5 และมิติที่อยู่สูงกว่าขึ้นไป

    ดังนั้น ในระหว่างที่กำลังอยู่ในจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับนี้
    พวกคุณจึงสามารถที่จะรับ และแม้แต่เข้าใจ สิ่งเร้าต่างๆจากมิติที่อยู่สูงกว่าขึ้นไปได้
    ในขณะเดียวกันก็จะยังสามารถตระหนักรู้ถึงโลกทางกายภาพนี้อยู่ด้วย

    การรับสิ่งเร้าแบบหลากมิติ เป็นเรื่องธรรมชาติ
    ของจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ที่อยู่ในคลื่นสมองระดับธีต้านี้
    แต่มันจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากลำบาก สำหรับการคิด
    โดยใช้คลื่นสมองระดับแอลฟ่าของพวกคุณ
    และจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ สำหรับคลื่นสมองระดับเบต้า

    และเมือพวกคุณได้รับข้อมูลข่าวสารหลากมิติมาแล้ว
    ในระหว่างที่อยู่ในสมาธิจนคลื่นสมองเข้าสู่ระดับธีต้า
    พวกคุณก็จะสามารถเรียนรู้ที่จะส่งผ่านข้อมูลข่าวสารเหล่านี้
    ให้เข้ามาสู่จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับแอลฟ่าของตัวเองได้
    เพื่อที่พวกคุณจะได้สามารถแปลความหมายของพวกมัน
    ให้ออกมาอยู่ในรูปแบบของข้อมูล 3 มิติ
    ภายใต้ช่องว่างและกาลเวลาแบบที่เป็นเส้นตรงนี้ได้

    ถ้าพวกคุณวาดภาพ, หรือจดบันทึกลงไป หรือร้องเพลง หรือเต้นรำ
    หรือเคลื่อนที่ไปตามสิ่งเร้าเหล่านั้น พวกคุณก็จะสามารถฝึกฝนจิตใจของตัวเอง
    ให้ “ถอดรหัส” ข้อมูลข่าวสารเหล่านั้นออกมาได้

    ...................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • brain-waves.jpg
      brain-waves.jpg
      ขนาดไฟล์:
      35.2 KB
      เปิดดู:
      5,557
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2022
  16. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บางส่วนของข้อความจากไกอา (จิตสำนึกของดาวเคราะห์โลก)
    เรื่อง: การทำสมาธิเพื่อทำให้คลื่นสมองเข้าสู่ระดับธีต้า
    (Theta Wave Meditation)


    ที่มา:
    http://www.multidimensions.com/Superconscious/super_intuition_home.html

    ตอนที่ 2:


    การทำสมาธิเพื่อทำให้คลื่นสมองเข้าสู่ระดับธีต้า (Theta Wave Meditation)

    โปรดจงอดทนกับตัวเอง และจงฝึกฝน Theta Wave Meditation นี้
    ให้บ่อยครั้งที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะว่ามันจะช่วยพวกคุณได้มาก
    ในกระบวนการเปลี่ยนสภาพ (transformation process) ของพวกคุณ

    พวกคุณอาจจะจำเป็นต้องฝึกหลายๆครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำอีก กว่าที่จะสามารถเข้าสู่คลื่นสมองระดับธีต้านี้ได้
    หรือพวกคุณอาจจะสามารถเข้าได้ ในทันทีทันใดเลยก็เป็นได้ ซึ่งในแต่ละวัน ก็อาจจะไม่เหมือนกัน

    เพราะว่าบางวัน จังหวะทางชีวภาพ (biorhythms) หรือสภาพร่างกายของพวกคุณ
    ก็อาจจะอยู่ในความสมดุล และสงบเยือกเย็น และผ่อนคลาย
    แต่ในบางวันพวกคุณก็อาจจะเสียศูนย์ไปก็มี

    ซึ่งในวันที่พวกคุณเสียศูนย์ หรือ เสียสมดุลไปนั้น ถ้าพวกคุณทำได้แค่
    ทำให้ตัวเองสงบลง และทำให้ความคิดและอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองเข้าสู่สมดุลได้
    ก็นับว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก ต่อการก้าวเดินให้ผ่านพ้นวันนั้นไปให้ได้
    อย่างมีประสิทธิภาพแล้วหละ

    และเพื่อที่จะให้ได้ผลดีที่สุด มันเป็นความคิดที่ดี ที่จะมานั่งสมาธิตรงที่เดิม
    และในเวลาเดิมทุกๆวัน และมันก็จะช่วยได้มาก ถ้าจะจัดเตรียมสถานที่นี้
    ให้มีแสงเทียน, ธูปหอม และเสียงเพลงเบาๆด้วย (เพื่อช่วยให้คลื่นสมองระดับเบต้าของพวกคุณ
    มีอะไรอย่างอื่นทำ นอกเหนือจากการวิตกกังวล) และบางที แม้แต่การยืดเส้นยืดสาย
    ก่อนที่จะนั่งสมาธิ ก็จะเป็นการดีมาก

    จงทำให้แน่ใจว่าพวกคุณมีความสะดวกสบาย และจะไม่ถูกรบกวนจริงๆ
    และที่สำคัญมากที่สุดก็คือ จงอดทน และ รักตัวพวกคุณเองอย่างไม่มีเงื่อนไข
    เพราะว่ามันจะต้องใช้เวลาเพื่อที่จะทำให้รู้จักตัวพวกคุณเอง

    ในการกระตุ้นคลื่นสมองให้เข้าสู่ระดับธีต้านั้น ให้จดจ่อสมาธิไปที่ตรงบริเวณกลางหน้าผาก
    ระหว่างดวงตาทั้งสองข้างของตัวเอง ซึ่งพวกคุณอาจจะเพ่งรูปมันดาล่ารูปนี้ด้วยก็ได้
    หรือรูปไหนก็ได้ที่พวกคุณทำขึ้นมาเอง

    a.jpg
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต - มันดาล่า)

    อันดับแรก ให้มองดูรูปมันดาล่าซะก่อน ให้มองเห็นว่ามัน อยู่ภายนอกจิตใจของพวกคุณ
    แล้วจากนั้น ก็ให้ “คัดลอก” (copy) มัน แล้วนำไป “แปะ” (paste) ไว้ภายในจิตใจของพวกคุณเอง
    ตรงกลางหน้าผาก ระหว่างดวงตาทั้งสองข้างของพวกคุณ

    มันอาจจะต้องใช้เวลาทำอยู่หลายครั้ง กว่าที่จะสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างนอก
    จากข้างในได้ แต่นี่แหละคือวิธีที่พวกคุณจะเริ่มใช้มองดูโลกทั้งโลก
    เมื่อตาที่ 3 ของพวกคุณเปิดขึ้นมาแล้วหละ

    อีกครั้งหนึ่ง จงอดทนกับตัวเอง เพราะว่าพวกคุณอาจจะต้องเผชิญกับความคิดฟุ้งซ่านมากมาย
    และ ความรู้สึกมากมาย ก่อนที่จะสามารถเข้าสู่คลื่นสมองระดับธีต้าได้
    ซึ่งในบางวันมัน ก็อาจจะง่ายดายกว่าในอีกบางวันก็ได้

    และถ้าทั้งหมดที่พวกคุณสามารถทำได้ก็คือ การเพิกเฉย และ/หรือ
    การหายใจเอาความคิดและอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ที่ทะลักทะลายเข้ามาอยู่ตลอดเวลา ออกไปหละก็
    นั่นก็นับว่าพวกคุณประสบความสำเร็จในการทำสมาธิแล้วหละ

    เมื่อใดที่พวกคุณทำสมาธิจนได้พบกับสภาวะที่คลื่นสมองเข้าสู่ระดับธีต้าแล้ว
    ในครั้งแรก การรับรู้อากัปกิริยาของตัวเองตามปกติ ว่าร่างกายของพวกคุณกำลังอยู่ในท่าไหนนั้น
    อาจจะถูกรบกวนได้ ซึ่งอาจจะทำให้พวกคุณรู้สึกเวียนศรีษะเล็กน้อย
    หรือไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ หรือนั่งอยู่กันแน่

    พวกคุณอาจจะรู้สึกง่วงนอน เพราะว่าร่างกายของพวกคุณคุ้นเคยกับสภาวะนี้
    เฉพาะในเวลาที่พวกคุณนอนหนับเท่านั้น ดังนั้น จงพยายามหลับตา
    แล้วจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออก และภาพนิมิตรภายในต่อไป
    ไม่นานร่างกายของพวกคุณก็จะปรับตัวได้เอง

    ในช่วงแรกๆ ให้ลองทำสมาธิโดยวิธีการนี้ เพียงแค่ 5 – 10 นาทีก่อน
    เพื่อที่จะทำให้พวกคุณสามารถ “หาเวลา” มาทำสมาธิได้ ในระหว่างวันอันยุ่งเหยิงของพวกคุณ

    แล้วจากนั้น หลังจากที่พวกคุณประสบความสำเร็จไปได้ระดับหนึ่งแล้ว
    จึงค่อยๆหาเวลาพิเศษเพื่อทำสมาธิให้ยาวนานขึ้น


    ขั้นตอนการกระตุ้นของการทำสมาธิแบบ Theta Meditation

    ให้หายใจเข้าและออกโดยใช้จมูกของพวกคุณ
    โดยในระหว่างที่หายใจเข้านั้น ให้สูดลมหายใจเข้าลึกๆแรงๆ
    เหมือนตอนที่พวกคุณกำลังดมดอกไม้อยู่ แต่ว่าให้สูดลมหายใจเข้าให้ยาวๆ

    และในระหว่างที่หายใจออกนั้น ก็ให้จับความรู้สึกของลมหายใจ
    ที่กระทบกับชานจมูกด้วย พร้อมทั้งให้จดจ่ออยู่กับเสียงสูดลมหายใจออกนั้นด้วย

    จากนั้น ก็ให้จินตนาการว่า พวกคุณกำลังสูดลมหายใจเข้าไปที่จักระหัวใจของตัวเองอยู่
    และกำลังหายใจออกผ่านออกมาทางมันดาล่า (mandala) ที่อยู่ที่ตาที่ 3 ของตัวเองอยู่

    ให้ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าพวกคุณจะรู้สึกว่าได้กราวน์อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว

    และเมื่อใดที่พวกคุณพร้อมแล้ว ก็ให้เริ่มต้นจินตนาการว่า
    พวกคุณกำลังหายใจเข้าผ่านทางจักระที่ 7 ของตัวเองอยู่
    (โดยหายใจเข้าให้ลึกลงมาถึงจักระที่ 4 หรือเปล่านะ – ผู้แปล)
    และหายใจออก ผ่านออกมาทางมันดาล่าที่อยู่ที่จักระที่ 6 ของตัวเองอยู่เหมือนเดิม

    ให้จดจ่ออยู่แต่กับเสียงของลมหายใจเข้าและออกของตัวเอง
    และกับภาพมันดาล่าในมโนนิมิตรของตัวเองเท่านั้น

    ในระหว่างนี้ ให้สังเกตดูความคิดทั้งหลายของตัวพวกคุณเอง
    ที่กำลังผ่านเข้ามาในจิตใจของตัวเองแบบเฉยๆ โดยไม่ต้องไปทำอะไรกับมันเลย
    แล้วจากนั้นก็ให้ปลดปล่อยพวกมันออกไป พร้อมๆกับลมหายใจออก ครั้งต่อไป

    และจงยินยอมให้อารมณ์ความรู้สึกทั้งหลาย ผ่านเข้ามาในความตระหนักรู้ของพวกคุณเองได้ด้วย
    โดยที่พวกคุณยังคงรักษาใจให้สงบเยือกเย็นอยู่เหมือนเดิม
    แล้วจากนั้นก็ค่อยปลดปล่อยพวกมันออกไป พร้อมๆกับลมหายใจออก ครั้งต่อไป

    ให้จดจ่ออยู่กับเสียงของลมหายใจเข้าและออก และกับภาพมันดาล่า
    ในมโนนิมิตรของพวกคุณเองเท่านั้น และจงยินยอมให้ภาพมันดาล่าดังกล่าวนี้
    หมุนได้ และ/หรือ เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปได้ด้วย

    และในระหว่างนี้ ถ้ามีภาพนิมิตรใดๆโผล่ซ้อนขึ้นมา
    ก็ให้จับพวกมันไปไว้เป็นฉากหลังของภาพมันดาล่าให้หมด
    ให้ภาพมันดาล่าอยู่ข้างหน้าเสมอ

    ให้ทำสมาธิด้วยวิธีการนี้ นาน 5 -10 นาที


    ขอแสดงความยินดีด้วย! ไม่ว่าพวกคุณจะได้พบกับประสบการณ์แบบไหนก็ตาม
    จงให้เครดิตกับตัวเอง ที่ได้ใช้เวลาสำหรับตัวเองในครั้งนี้

    และข้อสำคัญก็คือ มันจะต้องใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่อง
    ในการปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้น และแต่ละคนก็อาจจะมีวิธีการทำสมาธิที่แตกต่างกันออกไป
    ขึ้นอยู่กับบุคลิกและสภาวะของแต่ละคน

    ซึ่งบางคนก็อาจจะจำเป็นต้องใช้วิธีการทำสมาธิที่มีการเคลื่อนไหวมากกว่านี้ก็ได้
    เช่น โดยการวิ่ง, โดยการเต้นรำ หรือโดยการเล่นเครื่องดนตรีอะไรซักอย่าง เป็นต้น

    แต่อย่างไรก็ตาม กิจกรรมส่วนใหญ่เหล่านี้ ไม่สามารถที่จะกระทำได้
    ในขณะที่พวกคุณกำลังหลับตาอยู่ ซึ่งพวกคุณก็จำเป็นจะต้องหลับตา
    เพื่อปิดกั้นการรับรู้สิ่งเร้าจากภายนอก เพื่อที่จะเข้าให้ถึงคลื่นสมองระดับธีต้าให้ได้ซะด้วย

    เพราะฉะนั้นแล้ว พวกคุณจึงควรที่จะออกกำลังกาย, ทำโยคะ, ร้องเพลง, เล่นดนตรี
    หรืออะไรก็ตามแต่ ก่อนที่จะนั่งลงเพื่อทำสมาธิแบบสั้นๆนี้
    ซึ่งมันก็จะทำให้ร่างกายเนื้อของพวกคุณ มีโอกาสได้ปลดปล่อยความตึงเครียดออกไป
    และจะทำให้มันเข้าสู่ความสงบนิ่งได้ง่ายดายยิ่งขึ้นด้วย

    แต่สิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือ พวกคุณได้เลือกมาแล้ว
    ที่จะมามีส่วนร่วมในกระบวนการแห่งการตื่นรู้นี้
    เพื่อตื่นขึ้นมาสู่ความเป็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง
    ซึ่งก็คือความเป็นตัวตนหลากมิตินั่นเอง

    ฉัน,ไกอา ขอแสดงความชื่นชมพวกคุณ ในความพยายามของพวกคุณ
    และจงรู้ไว้ด้วยว่า พวกคุณจะได้พบกับสิ่งที่พวกคุณกำลังค้นหาอยู่นี้ อย่างแน่นอน

    และที่รักทั้งหลาย จงจำไว้ว่า ด้วยการเดินบนเส้นทางนี้
    พวกคุณถึงจะได้พบกับความสมปราถนา

    จงปลดปล่อยสิ่งที่พวกคุณถูกโปรแกรมมาจากมิติที่ 3 ออกไปเสีย
    ที่ว่า..พวกคุณจะต้อง “พยายามเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย” เพราะว่าในขณะนี้
    พวกคุณทุกๆคนมีความสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว ดังนั้น พวกคุณจึงไม่จำเป็นจะต้อง
    ไป “พยายาม” อะไรเลย

    แต่ว่า.. ชาวโลกที่รักทั้งหลายของฉัน
    พวกคุณแค่จะต้อง “จดจำให้ได้” เท่านั้นเอง!

    ขอขอบคุณ

    ไกอา
    ………………………
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2022
  17. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    เฮ้อ!! จบซะที

    .................
     
  18. elmaun

    elmaun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +149
    ขอบคุณครับ ในน้ำใจสำหรับความเสียสละเพื่อคนทั่วไปที่ไม่ได้เลือก ว่าพวกเขาเหล่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยและถึงแม้บางทีก็ได้รับความเห็นที่แตกต่างเขามาทดสอบหลายๆครั้ง แต่คุณชยุตก็พิสูจน์ความเป็นคนดีในตัวเองแล้ว ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปหรือไม่ คุณก็ได้ทำประโยชน์เพื่อคนอื่นในโลกไปแล้ว ถือว่าเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ประเสริฐแล้วครับ (ดีกว่าพวกคันมือคันปากไปวันๆ)
     
  19. กะเหรี่ยง

    กะเหรี่ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +111
    ดีมากเลยครับ..ขอบคุณ
     
  20. ศารทวิศุวต

    ศารทวิศุวต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    249
    ค่าพลัง:
    +368

แชร์หน้านี้

Loading...